แนะนำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ทางจิตและ แนะนักทดลองทางพลังจิต

อนุโมธนาบุญด้วยนะครับขอให้ ประสบความสำเร็จนะครับ

 

ผมฝึกแล้วไม่ก้าวหน้าไปไหน นอกจากรู้สึกว่าตึงบริหน้าผาก และเวลานั่งรถนานๆก็ฝึก ก่อนจะหลับรู้ว่าหายใจออกจนสุดลมเท่านั้น

อยากขอให้ช่วยแนะนำผมต่อเพื่อเป็นกุศลนะครับ

 

อืม.... ลองคิดดูดี ๆ นะครับ ว่า วิทยาศาสตร์ พิสูจน์ สิ่งที่เป็นธรรม หรือ เราควรจะเอา ธรรม ไปพิสูจน์วิทยาศาสตร์ครับ

จริงๆ แล้ว ศาสนาพุทธ เป็นวิทยาศาสตร์ โบราณ มีการตั้งสมมติฐาน มีการพิสูจน์ ค้นคว้า และหาข้อสรุป แต่ถามว่าทำไมคนเราจึงทำอะไร อะไร ในแบบที่มีบันทึกไว้ไม่ได้ เช่น เหาะเหินเดินอากาศ หรือ หายตัว บังคับคน ฯลฯ คำตอบคือ เราเอาวิทยาศาสตร์เข้ามาควบคุม...... อย่างไร???..... วิทยาศาสตร์ ล้วนมีข้อสมมติมากมาย เช่น สมมติว่า โลกหมุนครบ 365 หรือ 366 รอบเนี่ย เรียกว่า 1 ปี หรือ 60 นาที มี 60 วินาที สมมติเอาจากปรากฎการณ์ธรรมชาติ เช่น น้ำขึ้น น้ำลง.... เหล่านี้เลยกลายมาเป็นข้อจำกัดทำให้เราไม่สามารถทะลุกำแพงความจริง.... หรือเรียกว่า สัจจะธรรม

ขออ้างคำพูดจากหนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น มาประโยคหนึ่งนะครับ "วิทยาศาสตร์ ล้วนเป็นสิ่งสมมติ ฉะนั้น จะเอาสิ่งสมมติมาพิสูจน์ความจริงในพุทธศาสนานั้น ไม่ได้" เช่น

ความจริง (พุทธศาสนา) คนทุกคนต้องตาย
(วิทยาศาสตร์) คนทุกตนต้องตายโดยสมัยนี้มีอายุเฉลี่ย 75
ความจริง (พุทธศาสนา) ภพ ชาติ มีจริง
(วิทยาศาสตร์) พิสูจน์ไม่ได้ ไม่เชื่อ

จงหลุดจากวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบัน และก้าวกลับไปหาวิทยาศาสตร์โบราณสมัย 2551 ปีที่แล้วสิครับ แล้วท่านจะรู้ว่า 1 วัน ไม่ได้มี 24 ชั่วโมง.... บางครั้ง หนึ่งวันมีถึง 360 ชั่วโมง

สาธุ

 

sounds interesting ka

 

โมทนาสาธุแล้วจะลองไปปฏิบัติดู เพราะตัวเองเจ้าแห่งโทสะ แล้วจะจดบันทึกไว้ ขอเจริญในธรรมค่ะ

 

สุดยอด ครับ

 

ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จ นะแล้วอย่าลืมมาเล่าสู่กันฟังด้วยนะ

สำหรับท่านหนุมานฯ จะลองปฏิบัติ ตามท่านแต่ขอแค่วันละ 15 นาทีก่อนนะ

อนุโมทนาทุกท่านค่ะ

 

ขอร่วมทดลองด้วยอีกคนครับ เริ่มวันนี้เลย 3 มกราคม - 3 กุมภาพันธ์ 2552 ผลเป็นยังไงเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังนะครับ

 

จะคอยติดตามนะครับ

สนใจเหมือนกัน

 

เป็นกำลังใจให้ครับ

 

พลังจิต ก็เหมือนกับ พลังกาย เมื่อใช้ไปมากๆก็หมด ต้องมาสะสมกันใหม่ ก็เหมือนกับการทานข้าวเพื่อชดเชยพลังงาน พลังจิตก็ได้จากการทำสมาธิ แต่ไม่ควรเกินวันละ30นาที...ถ้าเกินจากนั้นจะทำให้เข้าภวังค์โดยไม่รู้ตัว จะเหมือนกับการฝันหากจิตยังไม่มีพลังพอจะกลายเป็นการดูดกินพลังจิตของตัวเอง...แต่ถ้าหากจิตมีพลังมากพอ เราก็สามารถเข้าภวังค์ได้ และอยู่ในภวังค์ได้โดยไม่หลับ แล้วเราก็จะสามารถพิจารณา ความเป็นไปต่างๆของธาตุและขันได้...การนั่งสมาธินานๆใช่ว่าจะเป็นผลดีนะครับ...การฝึกสมาธินี้ได้จากหลวงพ่อ...ซึ่งเป็นศิษย์ที่รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่มั่นมากที่สุด...

 

สวัสดีครับทุกคน

สวัสดีครับคุณWebSnow คุณเกิดวันเดียวกันกับผมเลยอะ เดือนด้วย เเละก็เกิดวันจักรี เหมือนผมเลยผมเกิด 6 เมษายน 2537 อายุ 15 ปีครับ
คุณเเละผมเกี่ยวข้องอะไรกัวันจักรีหรือป่าวครับถึงเกิดวันเดียวกัน เเละในนโลกนี้จะมีสักกี่คนที่เกิดวันจักรีครับ 6 เมษายน

 

รับสอนเทคนิค เคลื่อนย้ายวัตถุ โดยไม่สัมผัส ฟรี

รับสอนเทคนิค เคลื่อนย้ายวัตถุ โดยไม่สัมผัส ฟรี ขั้นพื้นฐาน สนใจติดต่อ คุณ โอ 08308-45627

 

สนับสนุนท่าน ครับ
เคยสนใจอยู่ แต่ลองแล้ว มันเหมือนกับหลอกตัวเองยังไงไม่รู้(คงเป็นเพราะท้อ)
สู้ๆครับท่าน ท่านทำได้อย่าลืมมาเล่าสู่กันฟังนะครับ

 

ยินดีด้วยครับ ขอให้ความพยายามนำไปสู่ความสำเร็จนะครับ ผมเองก็ฝึกครับแต่เป็นการฝึกพลังจิตในแบบธรรมชาติ เริ่มฝึกสมัย ป 2 จนถึง ม 6 แล้วก็เลิกไปเพราะเรื่องราวทางโลก แล้วมาฝึกอีกทีตอนอายุ 31 ตอนนี้ก็อายุ 39 ปีแล้ว การฝึกก็อ่านจากตำราคล้ายคุณ websnow และทำงานด้าน IT เช่นกันครับ แต่ไม่มีพระอาจารย์เป็นหลักหรือครูเป็นหลักครับ จึงรู้สึกล่องลอยยังไงไม่รู้ ช่วงที่ฝึกนั้นทำให้เรามีสมาธิสูง มีความไวในสัมผัสต่างๆ ช่วงเด็กๆจะเห็นชัดและไวมาก ตอนนั้นฝึกบังคับให้สัตว์เล็กๆเดินตามทางที่เราต้องการให้เดินไปได้ แล้วก็ค้นหาสิ่งของที่ต้องการได้ โดยที่ไม่ต้องเดินวนค้นหา คือ เดินไปแล้วเจอเลย และหยิบแล้วก็ใช่เลย เช่น หยิบลูกกุณแจ 1 ลูกมาไขประตู จากพวงลูกกุณแจ 50 ลูก แล้วก็ฝึกสัมผัสสิ่งของและสภาพแวดล้อม โดยการปิดตา แล้วเอาดาปไม้มาฟันกัน ผลที่ได้คือทำให้เราไวต่อสัมผัสที่รับรู้การเคลื่อนไหว สมัยนั้นเล่นกังฟูกับเพื่อนๆ มีผลมากครับทั้งพลังและการเครื่องไหวและการรับรู้ แล้วมีการฝึกพลังจากภายในร่างกาย ให้มีผลต่อวัตถุใด โดยที่ไม่ต้องใช้ร่างกายสัมผัส เวลาฝึกฝ่ามือจะร้อน เคยทำได้ไม่กี่ครั้งที่ผลักหรือดันให้วัตถุนั้นล้มลง ผลจากการฝึกสิ่งเหล่านั้นทำให้รู้ว่า ไม่ใช่มีเพียงแค่เราในโลกนี้ที่รับรู้และฝึกแบบนี่ ยังมีอีกหลายโลก อีกหลายอารยะ หลังจากนั้นผมก็ฝึกในแนวทางแบบผู้ใหญ่มากขึ้นคือตามทางของพุทธศาสนา จนถึงทุกวันนี้ครับ แต่ก็ยังไม่ถึงใหนเลย จึงขอเอาใจช่วยคุณ websnow นะครับ

 

สำเร็จก็สอนกับบ้างนะครับ แบ่งปันเผยแพร่ได้บุญ สาธุ สาธุ

 

ขออนุโมทนาสาธุกับทุกท่านครับ
ผมเองเคยฝึกสมาธิ ต่อมา กัมมัถฐาน และและสุดท้ายคือวิปัสสนากัมมัถฐาน ตอนเริ่มฝึกก็อาศัยตำราเก่ามากๆที่ไม่มีใครใส่ใจเลยแถมถูกเท้าเขี่ยทิ้งอีกต่างหาก ที่อยากฝึกก็เพราะเกิดความสงสัยจากคนที่ฝึกเขาเล่าเหตุการณ์ขณะฝึกให้ได้รับรู้ ว่ามันมีความสุขดี มึความสบายอย่างบอกไม่ถูก จึงเกิดสงสัยอย่างแรงกล้าจึงอยากพิสูจน์ กอบกับนิสัยส่วนตัวเป็นคนชอบที่ชอบทดลองและใคร่ศึกษาอยู่แล้ว ตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจใส่ใจ่เกี่ยวกับพุทธศาสนาซักเท่าไหร่ ตรงข้ามกับชอบตำหนิพุทธบริษัททั้งหลายที่แสดงออกสู่สังคมบ่อยๆ
พอฝึกมาเรื่อยๆได้รับรู้ ได้เห็น ในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะมีในโลกนี้ ทั้งที่สัมผัสได้ และรับรู้ได้ จึงได้แยกแยะออก ว่าอะไรแท้ อะไรเทียม อะไรคือหนัก อะไรคือเบา เราควรมีชีวิตอย่างไรในโลกปัจจุบัน และอีกหลายๆอย่างที่เห็นจากสภาพที่เราพบและเจอ จนปัจจุบันนี้มาสรุปได้คือ
ที่ผ่นมาทั้งชีวิตเรานั้น ไม่มีอะไรเลย เราทำความวุ่นวายให้กับดวงจิตของเรา โดยที่เราวิ่งตามปัญญาเนื้อของเราไปเรื่อยไม่เคยเหน็ดเหนื่อย ก็ไม่รู้ว่ามันจะไปสุดที่ไหน ไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์แท้ๆแก่จิตของเราเลย
มีอยู่ครั้งหนึ่งตัดสินใจเข้าไปอยู่ป่ากะว่าจะไปซัก 10 วัน แต่เอาเข้าจริงเล่นเข้าไป2เดืนครึ่ง ได้ ธรรมมา 2 ข้อ เลยเข้าใจเรื่องของตัวเองทั้งหมด ว่าต่อจากนี้ไปต้องทำอะไร

 

พอพิมพ์ข้อความเสร็จก็มาถึงบางอ้อ โห กระทู้ตั้งแต่ป๊ที่แล้ว แต่ไม่เป็นไร เล่าสู่กันฟัง ต่อละกัน
จึงอยากจะยกระดับจิตของตัวเอง เพราะ ไม่มีความก้าวหน้าอะไรเกิดกับจิตแล้ว แค่นึกอยากจะฝึกจิตให้สูงขึ้น ก็พอดีตอนนั้นบวชอยู่ได้2พรรษา มีโครงการของในหลวงที่ผ่านมาทางมหาเถรสมาคม คือ โครงการฝึกอบรมการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาของในหลวงรุ่นที่1 เอาพระที่มีพรรษา 5 และต้องได้ นธ.เอก ผมได้นธ.เอก แต่พรรษาไม่ถึง แถมยังเอาอำเภอละ2องค์ จึงอธิฐาน ว่าต้องการไป เท่านั้นไม่ได้ตามเรื่องอะไรเงียบไปเลย แต่มีรางบอกเหตุว่าได้ไป มารู้ว่าต้องไปล่วงหน้าประมาณ 2 อาทิตย์ ถึงวันได้ไปก็ขึ้นทะเบียนพระนับได้ทั้งจังหวัดมีแค่7องค์ มาคิดดูหน้าเศร้า จังหวัดดัง มีพระดังมากมายแต่มีพระไปอบรมแค่นี้เอง
ตอนไปไม่รู้รายละเอียดมากมาย พอถึงที่ก็ทราบรายละเอียด คือ ฝึก 3 เดือนเต็มและฝึกแบบอุกฤตเต็มรูปแบบ หนักหนาสาหัสมาก เพียง 3 วันก็มีพระหนีกลับแล้วหลายองค์ และเดือนแรกผ่านไปหายไปบานเลย พวกที่เจ๋งๆมีไอ้นู่น ได้ไอ้นี่มา แต่ละองค์ก็ล้วนแล้วแต่ได้ของดีมาแล้วทั้งสิ้น
เราเองก็มีไม่น้อยกว่าคนอื่นแต่ไม่ได้แสดงอะไรเป็นที่โดดเด่น
เดือนแรกไม่เข้าทางวิปัสสนาเลย เป็นสมถซะหมด แต่เป็นลักษณะที่เกิดควบคู่กัน คือเช่น คุณวิเศษต่างๆที่เคยฝึกได้มาทั้งหมด กำลังเกิดขึ้น(แต่ค่อยๆเกิดนะครับไม่ใช่พร้อมกัน) จะมีตัววิปัสสนาญาณเข้ามากำกับทุกครั้ง และผมเองรู้สึกได้ว่าจิตได้เริ่มพัฒนาแล้ว จนวิปัสสนาญาณสูงขึ้น จิตจึงเริ่มพิจารณาถอยหลังลงไปเรื่อยๆ จนถึงอายุประมาณขวบได้
จากที่ก่อนหน้านั้น เห็นไม่ชัด ได้ยินไม่ละเอียด แยกรสไม่ได้สัดส่วนชัดเจน ไม่เห็นธรรมชาติของไตรลักษณ์ที่แน่ชัด สิ่งเดียวที่ยังรับรู้ไม่ได้คือเรื่องของกลิ่นแต่ก็เริ่มแล้วละพอดีเวลาการฝึกหมดพอดีจึงต้องกลับ หลังจากนั้น1อาทิตย์จึงลาสิกขา

 

จากสิ่งที่ผมฝึกและปฏิบัตืมาเป็นของแท้และถูกต้อง
ผลที่ได้คือ ไม่ใช่แค่อิธิฤทธิ์ต่างๆ หรือได้เห็น ได้คุย แต่มันเหนือกว่านั้นมาก คือการใช้ชีวิตกับปัจจุบันในทางสุจริตมีเมตตาต่อสรรพสัตว์ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเองและสร้างประโยชน์ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ผมอยากบอกทุกท่านว่า จิตของเรานั้นสามารถพัฒนาได้โดยไม่มีขีดจำกัด ถ้าฝึกอย่างถูกวิธี
เมื่อฝึกไปท่านพอใจกับสิ่งนั้นเพียงแค่นั้นหรือเปล่า ถ้าพอใจก็หยุดแค่ธรรมนั้น แต่ถ้าอยากรู้ว่ามีธรรมใดที่สูงกว่าที่เรามีนั้นอยู่อีกหรือเปล่า ถ้ามีต้องแสวงหาศึกษาไปเรื่อยๆ ถ้าหวังนิพพาน หรือหวังพระอริยะชั้นใดชั้นหนึ่ง หรือ จะเอาแค่ผู้กำลังจะใหลเข้าสู่กระแสนิพพาน แล้วแต่ครับ จงจำไว้ให้ขึ้นใจว่า ตราบใดที่ยังไม่ถึง 84000 พระธรรมขันต์ เราต้องปฏิบัติไปเรื่อยๆ
ขออนุโมทนาสาธุกับกัลญาณนิมิตร และผู้ปฏิบัติหรือเริ่มจะปฏิบัติ ทุกท่านเทอญ