แก้วจักรพรรดิ์ และรวมของดีจาก อ.เถิน ของดีจาก จ.สุโขทัยและของดีจาก จ.อุตรดิตถ์ ครับ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย satan, 6 มิถุนายน 2007.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ราตรี

    ราตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +409
    ความยาวรอบนิ้ว 6 ซ.ม ครึ่งค่ะ คุณพ่อมด!
     
  2. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ครับผม...ขอบคุณครับ...จะรีบดำเนินการให้นะครับผม...
     
  3. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    การสร้างพลังจิตตานุภาพที่สมบูรณ์แบบนั้น ประกอบด้วย สิ่งเหล่านี้ครับ

    1.การรักษาศีล คนมีศีลธรรม ย่อมมีจิตใจที่บริสุทธิ์ คนไม่มีศีลทำย่อมไม่มีพลังจิตตานุภาพ / จึงมีผลต่อจิตโดยตรง
    2.ทำบุญทำทาน ไม่ใช่เพื่อการหวังขึ้นสวรรค์ แต่การทำบุญทำทาน เป็นอานิสงค์อย่างหนึ่งที่ ช่วยทำให้บาปกรรมมากวนเราได้ช้าลง และยังช่วยให้เราสบายใจขึ้นการให้ชีวิตกับสัตวืที่กำลังจะตายเป็นการต่อชีวิตตัวเอง การให้อภัยทานเป็นทานที่ทำได้ยากที่สุดและมีผลต่อเจ้ากรรมนายเวรด้วย การให้ธรรมะเป็นทานคือการให้ที่มีบุญกุศลสูงสุด จึงมีผลต่อจิตโดยตรง
    3.การสวดมนต์ ไม่ใช่สวดแล้วหวังเป็นเทวดา แต่การสวดมนต์ ทำให้เราสบายใจและได้กุศลที่ทำให้ เจ้ากรรมนายเวรลดแรงอาฆาตเราลงไป จากหนักก็เป็นเบาบางลง การสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏกและชินบัญชรมีอานิสงมากกว่าการสวดมนต์อย่างอื่นถึง 100 ปี จึงมีผลต่อจิตใจโดยตรง
    4.การฝึกฤทธิ์อภิญญาต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรู้เห็นในสิ่งที่สายตาธรรรมดามองไม่เห็น เป็นองค์ความรุ้อย่างหนึ่ง ที่มีผลต่อจิตโดยตรง แต่ต้องมีปัญญาคอยกำกับดูแล
    5.การเดินในสายปัญญาโดยตรง...สิ่งนี้ถือว่าประเสริฐโดยแท้...ผลจากปัญญาก็นำมาพิจารณาถึงสิ่งต่างๆได้ ผลจากการฝึกปัญญานอกจากได้ปัญญาแล้ว อีก 4 ข้อ ก็รวมอยุ่ด้วยเช่นกัน ซึ่งผู้มีปัญญาย่อมมีผลต่ออำนาจจิตด้วยเป็นอย่างมาก
    6.มีความสามารถมาแต่ดั้งเดิม...คนที่มีความสามารถแบบดั้งเดิมนี้ ถ้าหากสามารถรื้อฟื้นออกมาได้และหมันขวนขวายเพิ่มเติมอยุ่เสมอ ไม่มีวันเสื่อมแน่นอน แต่หากมีพลังมาจากอดีตชาติ แต่ลุ่มหลง หยิ่งทรนงว่าตัวเองเก่งเป็นเทพเหนือเทพ นั่นย่อมหมายถึงความเสื่อมเกิดขึ้นเรียบร้อยไปแล้ว ดังนั้นจึงต้องหมันฝึกฝนและกำกับด้วย 5 ข้อข้างบน
    7.ถ้านำทั้ง 5 หรือ 6 ข้อข้างบนมาอยุ่ในคนๆเดียวกันได้ พลังจิตตานุภาพที่สมบูรณ์แบบจึงได้กำเนิดขึ้นมาในบุคคลผู้นั้นได้...ใน 6 ข้อข้างบนนั้น จะทำทีละข้อสลับกันไปก็ได้...ไม่จำเป็นต้องทำพร้อมกันหมดในคราวเดียว...แต่ทำเป็นกิจวัตรประจำก็จะดียิ่ง สาธุ สาธุ ทั้งหมดนี้ เรียกง่ายๆว่า การสร้างสมบารมีไงครับ

    --------------------------------------
    สุดยอดวิชาเดินธาตุ โดย สำเร็จลุนแห่งนครจำปาศักดิ์
    เริ่มตั้งแต่...การบูชาพระ คำนมัสการพระรัตนตรัย คำนมัสการพระพุทธเจ้า คำขอขมาพระรัตนตรัย คำพรรณาพระบรมธาตุ บทไตรสรณคมน์ อาราธนา ศีล 5 คำนมัสการพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ บทบูชาบิดามารดาและครูบาอาจารย์ บทชุมนุมเทวดา ธรรมจักรกัปวัตนสูตร ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก ชินบัญชร พาหุงมหากา บารมี 30 ทัศ อุณหิสวิชัยคาถา แผ่เมตตาให้ตนเองและสรรพสัตว์
    จากนั้นจึงนั่งหันหน้าไปทางทิศใต้เพื่อรับพลังปราณจักรวาลที่ไหลจากทิศใต้มาสู่ทิศเหนือ ด้วยการนั่งพนมมือเพื่อรวมพลังปราณทั้ง 6 สายที่นิ้วมือเพื่อเพิ่มพลังปราณให้กับตนเอง พร้อมกับการท่องมนต์ตราแห่งวิชาเดินธาตุ ซึ่งมีทั้งวิชาเดินธาตุแบบขั้นต้น แบบขั้นกลางและแบบขั้นสูง ซึ่งมีความยากง่ายแตกต่างกันไป...เมื่อฝึกวิชาเดินธาตุแล้ว จะออกจากวิชาเดินธาตุเพื่อผ่อนคลายพลัง เพราะวิชาเดินธาตุนั้นเป็นวิชาที่มีพลังมหาศาล เมื่อฝึกไปได้ถึงระดับหนึ่งแล้วจะรู้สึกว่า ใจจะเย็นเหมือนมีน้ำทิพย์ชโลมใจแต่กายจะร้อนดั่งไฟเผากาย ดังนั้นจึงต้องมีการนั่งสมาธิแบบธรรมดาทั่วไป คือ ท่องพุทโธ หรือ ยุบหนอพองหนอ เพื่อผ่อนคลายพลังอันมหาศาลในการและใจของผู้ฝึก จากนั้นจึงท่องบทอัญเชิญเทวดากลับ ที่ต้องอัญเชิญเทวดากลับทีหลังนั้น เพราะเมื่อฝึกวิชานั้นๆ ก็จะได้มีเทพเทวดาต่างๆมาช่วยปกปักษ์รักษาและช่วยส่งเสริมการฝึกวิชา นั่นเอง

    วิชาเดินธาตุแบบฉุกเฉิน ใช้ในยามคับขัน เมื่อนึกอะไรไม่ออกให้ให้ นะโมพุทธายะ จิเจรูนิ

    วิขาเดินธาตุขั้นต้นนั้นจะใช้ หัวใจของธาตุทั้ง ๔ ไฟ ดิน ลม น้ำ บังเกิดสรรพสิ่งในจักรวาล
    ธาตุทั้ง4 ไฟ ดิน ลม น้ำ ตามหลักแล้วธาตุที่อยู่ตรงข้ามกันจะเกื้อหนุนกัน เช่น ดินกับน้ำ ไฟกับลม นะ โม พุท ธา ยะ นี้เปรียบเสมือนธาตุใหญ่ เป็นรากเหง้าของธาตุทั้ง4
    นะ คือ พระกุกกุสันโธ คือ ธาตุน้ำ หล่อเลี้ยงร่างกายและดวงจิต กำลังธาตุ 12
    โม คือ พระโกนาคม คือ ธาตุดิน ให้กำลังวังชา กำลังธาตุ 21
    พุท คือ พระกัสสป คือ ธาตุไฟ ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย กำลัง ธาตุ 6
    ธา คือ พระสมณโคดม คือ ธาตุลม หล่อเลี้ยงชีวิต ดูดพลังปราณมาหล่อเลี้ยงดวงจิต กำลังธาตุ 7
    ยะ คือ พระศรีอริยเมตตรัย คือ อากาศธาตุ เป็นที่ตั้งของวิญญาณ กำลังธาตุ 10

    เมื่อรวมกำลังธาตุ นะโมพุทธายะ จะได้ 56 คือกำลังพุทธคุณ ส่งผลให้เกิดกำลังธรรมคุณ 38 และกำลังสังฆคุณ 14 รวมกำลัง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณได้ 108 เชื่อว่าหากกระทำการใดเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เช่น ปลุกเสกลงเลขยันต์ให้ครบ 108 ครั้งจะมีความศักดิ์สิทธิ์มากได้ผลตามใจปรารถนา

    เมื่อถอดจากพระเจ้า 5 พระองค์ นะโมพุทธายะ จึงบังเกิดเป็นธาตุทั้ง 4 คือ
    นะ(ธาตุน้ำ)
    มะ (ธาตุดิน)
    พะ(ธาตุไฟ)
    ธะ (ธาตุลม)
    นะ มะ พะ ธะ ธาตุทั้ง4นี้ เป็นธาตุหล่อเลี้ยงร่างกาย สังขารที่ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นตัวธาตุ ที่ถอดจากแม่ธาตุใหญ่ คือ นะ โม พุท ธา ยะ

    ถอดลงไปอีกบังเกิด ธาตุพระกรณี(ธาตุพี่เลี้ยง)คือ
    จะ(ธาตุน้ำ)
    ภะ(ธาตุดิน)
    กะ(ธาตุไฟ)
    สะ(ธาตุลม)
    จะ ภะ กะ สะ คือธาตุพี่เลี้ยง นะ มะ พะ ธะ ที่ท่านจัดเป็นกองธาตุทั้ง4กอง คือเมื่อจะตั้งธาตุทั้ง4กองนี้ ต้องมีธาตุพระพุทธเจ้าคือธาตุพระกรณีตั้ง กำกับลงไปด้วย คือ จะ ภะ กะ สะ เพื่อเป็นพี่เลี้ยงคุมธาตุลงไปอีกทีหนึ่ง

    เมื่อตั้งธาตุได้บริบูรณ์แล้ว จากนั้นก็มีการหนุนธาตุ การหนุนธาตุนั้นท่านให้หนุนด้วยแก้ว4ดวง คือ นะ มะ อะ อุ
    นะ คือแก้วมณีโชติ (ธาตุน้ำ)
    มะ คือแก้วไพฑูรย์ (ธาตุดิน)
    อะ คือแก้ววิเชียร (ธาตุไฟ)
    อุ คือแก้วปัทมราช (ธาตุลม)

    เมื่อรวมพระเจ้า 5 พระองค์ ธาตุทั้ง 4 ธาตุพระกรณีและดวงแก้วทั้ง 4 เข้าด้วยกันจึงจะสมบูรณ์ครบถ้วน ทำให้เกิดเป็นอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ ตามหลักวิชาแปรโลกธาตุ คือการปลุกเสกของกายสิทธิ์ให้มีอิทธิฤทธิ์เทียบเท่ากับเหล็กไหลชั้น 1 คือมีสีเปลี่ยนไปจากเดิมจนกลายเป็นสีเขียวปีกแมลงทับ หรือยืดหดกินน้ำผึ้งได้เองเมื่อใช้คาถากำกับหรือใช้อำนาจกำลังของตบะฌานประจุลงไป ณ ธาตุนั้น ๆ

    หลักการใช้ธาตุอย่างกว้าง ๆ คือ ธาตุน้ำเด่นทางเสน่ห์และเมตตา ธาตุดินเด่นทางอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ คงกระพันชาตรี ธาตุไฟใช้ทำลายสิ่งชั่วร้ายและหลอมรวมวัตถุ ธาตุลมใช้ทางล่องหนหายตัว สะกด เมื่อได้ในพื้นฐานแล้วยังต้องรู้จัก การเดินธาตุ หนุนธาตุ อัดธาตุ ซ้อนธาตุ แยกธาตุ สลับธาตุ ย้อนธาตุและพลิกแพลงธาตุต่าง ๆ ซึ่งยังแบ่งแยกออกตามระดับความยากง่ายอีกด้วย คล้ายกับการเรียนหนังสือ เริ่มจากชั้นประถม มัธยม ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก เพราะถ้าขั้นประถมก็อาจใช้พระคาถาว่า นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ นะมะมะนะ นะอะอะนะ นะอุอุนะ

    วิชาเดินธาตุขั้นกลาง
    ปฐวีธาตุ หรือ ธาตุดิน ให้ว่าดังนี้
    มะ กะ ทะ นะ พะ กะ สะ จะ
    มิ ตะ ติ อุ อะ มะ นะ
    จิ ตะ ติ จะ พะ กะ สะ
    มุ ตะ ติ มะ นะ อะ อุ

    อาโปธาตุ หัรือ ธาตุน้ำ
    นะ มะ ทะ จะภะ กะ สะ
    ริ ตะ ติ นะ อะ อิ อุ
    ริ ตะ ติ สะ มะ นิ ทุ
    ริ ตะ ตะ วิ กะ วิ ตะ ติ

    วาโยธาตุ หรือ ธาตุลม
    พะ ทะ นะ มะ พะ สะ จะ พะ
    ริ ตะ ติ ทะ พะ มะ นะ
    มิ ตะ ติ อุ อะ มะ นะ
    วิ ตะ ติ พะ สะ กะ สะ

    เตโชธาตุ หรือ ธาตุไฟ
    ทะ นะ มะ พะ สะ จะ พะ วะ
    มิ ตะ ติ พะ จะ สะ กะ
    มุ ตะ ติ นะ มะ อะ อุ
    จุ ตะ ติ กะ ระ มะ กะ

    นอกจากคาถาธาตุตัวเต็มนี้แล้ว สามารถถอดเอาไปใช้เฉพาะเรื่อง
    ทำให้ร่างกายให้โตว่า
    มะ นะ อุ อะ นะ มะ อะ อุ
    ทำให้มีข้าวของเครื่องใช้มากว่า
    อะ อุ มะ นะ นะ มะ อุ อุ
    ทำให้วิ่งเดินเร็วว่า
    อุ อะ มะ นะ นะ มะ อะ อุ
    ทำให้หายตัวไม่มีใครเห็น
    อะ อุ นะ มะ มะ นะ อะ อุ
    ทำให้ฝนตก
    นะ มะ อะ อุ มะ นะ อุ อะ

    และขั้นสูงสุดคือ วิชาเดินธาตุทั้ง 7 อันประกอบด้วย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ จิตธาตุ อันเป็นวิชาอันเล้นลับและซับซ้อนซ่อนเงื่อน ซึ่งเมื่อเดินถึงวิชา 7 ธาตุนี้แล้วจึงจะครอบคลุมทั้ง กสิน ฌาณ มโนมยิทธิ อภิญญา 6 และคือครบวิชชา 8 ประการ แถมด้วยพลังลมปราณและพลังจักรวาลอันเป็นเลิศเพื่อเสริมพลังให้กับร่างกายอีกด้วย
    ---------------------------------------------
    ทำไมต้องพอกกายทิพย์
    เพราะตกใจขณะจิตสงบในสมาธิ เรียกว่ากายทิพย์สะเทือน
    ภาวะตกใจแล้วลุกขึ้นวิ่งหนีจากที่นั่ง เรียกว่า กายทิพย์สะเทือน ถึงขั้นกายทิพย์แตกกระจาย อาจเสียสติได้
    ตกใจในขณะทำสมาธิ.......เกิดเพราะ
    เห็นวิญญาณหรือสิ่งน่ากลัว ต้องมีสติคุมอารมณ์ไม่ให้ตกใจกลัว และไม่ลุกขึ้นจากที่นั่งเป็นอันขาด ต้องวางใจให้นิ่ง ๆ ระลึกถึงครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วอุทิศส่วนบุญกุลศลให้ วิญญาณนั้นก็จะหาย
    ตกใจเพราะเหตุอื่น ทำให้สะดุ้งตกใจ เช่น เสียงดัง ๆ ให้ค่อย ๆ ลืมตาดูช้า ๆ นั่งปรับจิตใจให้สงบดีขึ้นแล้ว จึงจะลุกจากที่นั่งได ้

    วิธีปรับจิตให้สงบ เพื่อรักษากายทิพย์สะเทือน
    ในขณะที่นั่งสมาธิอยู่นั้น เมื่อตกใจ หัวใจจะเต้นแรงผิดปกติ อาจจะมีอาการปวดเสียวเป็นระยะ ๆ หน้าซีด มือที่วางซ้อนอยู่ด้วยกัน อาจจะถูกสลัดออกจากกัน ให้วางซ้อนให้เหมือนเดิม หลับตาลง ถอนหายใจลึก ๆ ช้า ๆ ๕ ครั้ง เริ่มต้น ตั้งจิตใจ ส่งไปที่กึ่งกลางระหว่างคิ้ว หายใจเข้าภาวนาว่า "พุท" หายใจออกว่า "โธ" (คำอื่นก็ได้) ทำอยู่ ๑๕ นาที หัวใจที่เต้นแรงผิดปกตินั้นจะกลับเข้าสู่ภาวะเดิมได้ เมื่อหายกลัวแล้วจึงจะออกจากสมาธิได้

    วิธีรักษากายทิพย์ที่ถูกสะเทือนถึงขั้นแตกกระจาย
    หาครูบาอาจารย์ หรือพี่เลี้ยงใจเย็น ๆ มาช่วยควบคุมให้ผู้นั้นนั่งสมาธิใหม่ ด้วยการมองพระพุทธรูป ให้จำ รูปนั้นแม้หลับตาก็ให้จำภาพนั้นให้ชัดเจน ถ้าภาพหายไปให้ลืมตาดู จนหลับตาก็จำภาพพระพุทธรูปได้ นับว่า เริ่มมีสติรู้สึกตัว ควบคุมตัวเองได้ ต่อด้วยการพอกกายทิพย์ให้สมบูรณ์ ด้วยการส่งความรู้สึกนึกคิดทั้งมวล เพ่งส่งไป ที่พระพุทธรูป เมื่อฝึกทำมาก ๆ ครั้งเข้า ภาพพระพุทธรูปจะค่อย ๆ ชัดขึ้นจนเห็นชัดทุกสัดส่วน เหมือนลืมตา จนพระพุทธรูปนั้นมีความสว่างไสว จนเป็นวงรอบองค์พระเหมือนดวงแก้ว จนมีความปิติสุข เกิดขึ้น แสดงว่า "ท่านหายแล้ว"
    การพอกกายทิพย์นี้ เป็นการดึงเก็บรวบรวมเอา มวลสาร ของอะตอมในโมเลกุลซึ่งเป็นส่วนส่วนละเอียดที่สุด ของส่วนประกอบดวงจิต ที่เหมือนดวงแก้วที่แตกกระจากออกไปนั้น มารวมตัวสมานกันอีกครั้ง เมื่อเพ่งมองพระพุทธรูปจนเป็นนิมิต นั้นทำให้จิตรวมเป็นหนึ่งก็จะเกิดอำนาจดึงดูด เหมือนแม่เหล็ก ยิ่งส่งความนึกคิดเข้าไปในองค์พระพุทธรูปมากเท่าใดแล้ว เหมือนเสริมพลังให้กับแม่เหล็ก อำนาจแม่เหล็ก ที่ศูนย์กลาง คือพระพุทธรูป จะยิ่งเพิ่มพลังดึงดูดมากขึ้น จึงเกิดกำลังทวีคูณดึงดูด เก็บรวบรวมชิ้นส่วนอัน ละเอียดของดวงจิต (ดวงแก้ว) ที่แตกซ่านกระจายนั้นรวมตัวเข้าเป็นวงกลม(ดวงแก้ว) ที่สมบูรณ์ ใหม่ ๆ ดวงแก้วจะไม่ค่อยสว่างและไม่ค่อยกลมด้วย สุดท้ายอำนาจดึงดูดสูงขึ้น ๆ เศษส่วนต่าง ๆ ของดวงแก้วก็ จะติดแน่น สมานจนไม่มีรอยตำหนิ
    (เรียบเรียงจากหนังสือแนวคำสอนสมเด็จโต สมาธิ ทางสงบ ถอดจิต โดยแสง อรุณกุศล )
     
  4. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    คำไหว้พระจุฬามณี ฯ

    อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธฯ
    นะโม ข้าจะไหว้พระพุทธเจ้าทุกพระองค์
    เมื่อข้าดับจิตลง อย่าให้ใหลหลง ขอให้จิตจำนง ตรงทางพระนิพพาน
    ขอให้พบดวงแก้ว ขอให้แคล้วหมู่มาร ขอให้ทันพระศรีอาริย์
    ข้าจะไปนมัสการ พระเกษแก้ว พระจุฬามณี เจดีย์สถาน เป็นที่ไหว้ ที่สักการ กุศลสัมปันโน ฯ

    อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธฯ
    นะโม ข้าจะไหว้พระธรรมเจ้า ของพระพุทธองค์
    เมื่อข้าดับจิตลง อย่าให้ใหลหลง ขอให้จิตจำนง ตรงทางพระนิพพาน
    ขอให้พบดวงแก้ว ขอให้แคล้วหมู่มาร ขอให้ทันพระศรีอาริย์
    ข้าจะไปนมัสการ พระเกษแก้ว พระจุฬามณี เจดีย์สถาน เป็นที่ไหว้ ที่สักการ กุศลสัมปันโน ฯ

    อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธฯ
    นะโม ข้าจะไหว้พระสังฆเจ้า ของพระพุทธองค์
    เมื่อข้าดับจิตลง อย่าให้ใหลหลง ขอให้จิตจำนง ตรงทางพระนิพพาน
    ขอให้พบดวงแก้ว ขอให้แคล้วหมู่มาร ขอให้ทันพระศรีอาริย์
    ข้าจะไปนมัสการ พระเกษแก้ว พระจุฬามณี เจดีย์สถาน เป็นที่ไหว้ ที่สักการ กุศลสัมปันโนติ ฯ
     
  5. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ข้อสรุปผลงานวิจัยการศึกษาเหล็กน้ำพี้ ของ วท.
    1.เหล็กน้ำพี้ที่มีความแข็งเหนียว ไม่ได้มีผลมาจากธาตุคาร์บอนเพียงธาตุเดียวเหมือนอย่างเหล็กกล้าคาร์บอนที่รู้จักกันในปัจจุบัน
    2.โครงสร้างที่ทำให้ความแข็งแรงสูง จะมาจากผลของธาตุแมงกานีส เพราะพบแมงกานีสในเหล็กน้ำพี้ทุกตัวอย่าง
    3.การตกผลึก(precipitation) ทั้งในสภาพขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ที่ปรากฏเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เหล็กน้ำพี้มีความแข็ง อยู่ในเกณฑ์สูง
    4.ความแข็งคมของดาบเหล็กน้ำพี้ น่าจะเป็นไปในลักษณะการชุบแข็งผิว อันเกิดจากการเผาด้วยถ่านไม้ และนำออกมาตีซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยธาตุคาร์บอนจะแพร่ซึมเข้าตามบริเวณผิว และมีผลทำให้เหล็กน้ำพี้มีความแข็ง ภายหลังการอบชุบความร้อน
    5.ผลของธาตุบางตัว เช่น โบรอน และไททาเนียม เชื่อว่ามีบทบาทในการทำให้เหล็กมีความแข็งแรงสูง แต่เนื่องจากการศึกษาในด้านนี้ยังก้าวไปไม่ถึง เพราะขาดข้อมูลทางวิชาการ จึงไม่สามารถกล่าวยืนยันในที่นี้ได้
    6.คุณสมบัติไม่เป็นสนิมของเหล็กน้ำพี้ และมีสีเขียวเหมือนปีกแมลงทับ เชื่อว่ามาจากการเกิดออกไซด์ของเหล็ก และธาตุบางตัวในเหล็กในขณะเผาแล้วตี เกิดผิวออกไซด์ที่หนาและป้องกันไม่ให้เกิดสนิมต่อไปได้อีก เช่น อะลูมิเนียมออกไซด์ และโครเมียมออกไซด์ เป็นต้น
    7.ธาตุโครเมียม ทองแดง และนิเกิล ไม่ปรากฏพบในแร่เหล็กตัวอย่าง แต่ปรากฏพบในเหล็กน้ำพี้ตัวอย่าง อาจเป็นไปได้ที่การเก็บตัวอย่างแร่เหล้ก กระทำในขอบเขตไม่กว้างขวางเพียงพอ หรือไม่ก็อาจเป็นไปได้ที่การถลุงแร่เหล็กน้ำพี้โบราณ ได้มีการนำเอาแร่เหล็กจากบริเวณอื่นมาผสมรวมกันก็เป็นไปได้
    8.ข้อสรุปอีกประการหนึ่งที่เกี่ยวกับวิชาการ เรื่องของ Composite steel ที่กล่าวว่าเป็นเหล็กที่ประกอบด้วยโครงสร้างของเหล็กอ่อน ร่วมกับโครงสร้างของเหล็กแข็ง แทรกตัวอยู่ร่วมกันมีผลทำให้เหล็กมีคุณสมบัติแข็งแรง และมีความเหนียว ซึ่งในปัจจุบันนี้ ได้อาศัยหลักการที่กล่าวมานี้ ผลิตเหล็กกล้าที่มีคุณสมบัติพิเศษ โดยกรรมวิธีโลหะผง ( powder metallurgy technique ) เช่นที่ปรากฏชื่อทางการค้าว่า Ferro-Titanit จากบริษัท ไทเซ่น ของเยอรมันตะวันตก โดยเอาผงเหล็กกล้าผสมกับผงไททาเนียมคาร์ไบด์ มาอัดด้วยแรงยึดเหนี่ยวระหว่างผงโลหะเหล้กกล้ากับผงไททาเนียมคาร์ไบด์เป็นการเสริมความแข็งแรง ลักษณะเช่นนี้ อาจกล่าวได้ว่า เหล็กน้ำพี้โบราณของไทย ก็เป็น Composite steel ได้เช่นเดียวกัน เพราะประกอบไปด้วย เนื้อเหล็กอ่อน ผสมกับ ผงผลึกเล็กๆ ของ อินคลัสชัน ที่ประกอบด้วย แมงกานีส กับโครเมียม ดังปรากฏในตัวอย่างเหล้กน้ำพี้ที่หนึ่งกับที่สามและสี่
    9.จากคุณลักษณะของดาบเหล็กน้ำพี้ ปรากฏมีลวดลายกระจัดกระจายอยู่ตามบริเวณผิวและภายในเนื้อเหล็ก ซึ่งปรากฏร่องรอยฝังอยู่ แม้จะขัดเนื้อเหล็กให้ลึกลงไป ที่เป็นเช่นนี้น่าจะเป็นผลมาจากการมีอินคลัสชันขนาดโตแทรกอยู่ในเนื้อเหล็ก ซึ่งอินคลัสชันนี้ มาจากกรรมวิธีในการถลุงเหล็กแบบโบราณ

    http://thaiblades.com/forums/newreply.php?do=newreply&p=24997
     
  6. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    จงลดละ หาวิเวก ขัดเกลาจิต
    วิปัสสนา เป็นนิจ จิตผ่องใส
    อยู่สงบ เสงี่ยม เจียมกายใจ
    พ้นวิบาก พาลภัย ให้มั่นคง
     
  7. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    พลังบุญ-พลังจิต
    คนที่รู้จักพลังบุญและพลังอนันต์นั้นไม่มีหรอก หาได้น้อย ส่วนใหญ่เขาก็จะสอนให้พวกเราทำบุญเฉยๆ ไม่ให้เราเข้าใจถึงพลังวิเศษเหล่านั้นหรอกว่ามันมีคุณชาติ ความสามารถที่จะช่วยปลดปล่อยเราได้อย่างไร ถ้าจะบอกว่ามันเป็นเคล็ดลับของธรรมมะ 84,000 พระธรรมขันธ์หรือไม่ ต้องบอกว่า...มันยิ่งกว่าเคล็ดลับมันคือหัวใจของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า มันไม่ใช่หัวใจของพระพุทธเจ้า แต่มันคือ...ไขกระดูกของพระพุทธเจ้ามันอยู่ลึกยิ่งกว่าหัวใจของพระพุทธเจ้า และมันคือหัวใจของพระพุทธะทุกองค์ที่อยู่ในจักรวาล มันคือไขกระดูกของพระพุทธะผู้ยิ่งใหญ่ทั้งปวง มันคือโครงสร้างของพระโพธิญาณ มันคือจิตวิญญาณ ของ พระปัจเจกโพธิ และมันคือเลือดเนื้อของพระสาวกสัมมาพุทธะ ผู้ที่จะต้องทำหน้า ที่ถ่ายทอดสู่อนุชนรุ่นหลังต่อไป

    สติก็คือประตู เมื่อเห็นลมพัดมา มันจะพาเอาฝุ่นละอองเข้ามา มันจะพาเอาฝนสาดเข้ามา มันจะพาเอาโจรเข้ามา ถ้าเรารู้ว่ามันเป็นโจรเราก็รีบปิดประตู นั่นคือผู้มีสติ แต่ถ้าลมพัดมา ฝนสาดมา โจรเข้ามาผู้ร้ายจะมาขโมย แต่ไม่มีประตูจะปิด นั่นคือคนไม่มีสติ และเราก็จะโดนปล้นสดมส์ความเป็นไทของเราออกไปพวกนี้มันจะมาทำให้ตัวเราเปียก ฝุ่นเปราะเรา ขยะก็เต็ม แล้วเป็นมลภาวะภายใน เพราะฉะนั้นถ้าจะถามหลวงปู่ว่า สติคืออะไร มันก็คือประตูกับหน้าต่าง คนมีสติก็คือคน...คนที่ไม่มีประตู ไม่มีหน้าต่าง พอมันไม่มีทั้งประตูหน้าต่าง ไม่มีทั้งหน้าต่าง มันก็มีแต่ช่องโล่งๆ ที่อะไรมันจะเข้ามาก็ได้ และอะไรมันจะออกไปก็ได้ โดยที่ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ หรือไม่รู้จักใจ ไม่เข้าใจ จนสุดท้ายก็กลายเป็นว่าเสียใจ ขาดใจ ไม่หายใจ

    เพราะฉะนั้น การที่พระศาสดาให้เรามีสติก็คือ รู้จักที่จะเปิดปิดประตูหน้าต่างนั่นเอง ถ้าเรารู้ว่า...คน ข้างหน้าเรามันเป็นโจร ถ้าเราต้องการจะพูดกับโจรว่า อย่าให้โจรมันมาปล้นเรา เราก็ต้องเตรียมเนื้อเตรียมตัวที่จะระแวดระวังภัยจากโจร นั่นแสดงว่า...เราเริ่มจะมีสติแล้วคอยปิดประตูเปิดหน้าต่าง คอยแง้มช่องทางมองหาทางหนีทีไล่ แต่ถ้าเราคุยกับใคร ไม่ว่าเขาจะพูดดีก็ตาม ชมก็ตาม หรือนิยมนินทาก็ตาม เปิดให้เขาเข้ามาในบ้านแล้วปล่อยให้เขาฝอย จนกระทั่งน้ำลายเป็นฟอง พอเขากลับไป แต่เรามีหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคำพูดของเขาอยู่ นั่นแสดงว่า...เราไม่มีประตู ไม่มีหน้าต่าง ไม่รู้จักเลือกว่าอนุญาตให้ใครเข้า หรือไม่รู้จักปฏิเสธว่าใครควรจะออก เพราะฉะนั้นคนๆนั้นไม่มีพลัง เสียพลัง และก็ไม่รู้จักใช้พลัง

    ก่อนที่เราจะมาพูดถึงพลัง ควรจะต้องพูดถึงประตูกับหน้าต่างก่อน ก่อนที่จะมาพูดถึงสมบัติในบ้าน ถ้าจะมาบอกว่า เปรียบระหว่างพลังกับประตูหน้าต่าง สมาธิก็คือพลัง พลังก็คือสมบัติในบ้าน สติก็คือประตู หน้าต่างคือรั้ว คือข้างฝา คือหลังคา คือพื้น คือสิ่งแวดล้อมที่รักษาพลัง ถ้าหากว่ามันไม่มีรั้ว ไม่มีหลังคา ไม่มีพื้น ไม่มีข้างฝา ไม่มีประตู ไม่มีหน้าต่าง มีแต่เพชรวางไว้กลางแจ้งอยู่ไม่ได้ เดี๋ยวใครก็ขโมยไปกิน เปรียบเสมือนกับคนที่อยากจะฝึกพลัง แต่ไม่มีสติ ก็ใช้ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น หลวงปู่จึงพูดไว้ว่า พระที่วิเศษ ไม่ใช่พระหลวงพ่อ ไม่ใช่พระเหรียญห้อยคอ แต่มันคือพระสติ คนที่มีพระสติ ไม่เตะก้นแก้วแตก คนที่มีพระสติ ไม่เดินแล้วให้ชาวบ้านเขามาตีหัวเราแตก คนที่มีพระสติ มักจะไม่ทำตัวแปลกให้ใครตำหนิ ติ หรือชม คนที่มีพระสติไม่ทำให้ใครนิยมยอมรับ คนที่มีพระสติทำตนให้เป็นตัวของตัวเองรักษาพลัง สั่งสมพลัง ดูแลพลังแล้วก็ค่อยๆที่จะใช้พลัง พลังงานอนันต์ พลังงานอมตะ พระสติ และจิตวิญญาณ ฟังเผินๆ เหมือนมันอยู่ในเรื่องเดียวกัน แต่จริงๆแล้วมันทำหน้าที่กันคนละเรื่อง ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้

    มีผู้ถามว่า...บุญถ้าเป็นพลังงานเขียนออกมาเป็นค่าสมการได้ไหม? ซึ่งหลวงปู่ก็ตอบไปว่า มันคงจะไม่ได้ เหตุผลก็เพราะ สมการเป็นตัวเลขมันเป็นสิ่งที่แสดงของวัตถุ เป็นค่าของวัตถุ แต่บุญคือพลังงาน เราไม่สามารถเอาสมการมาเทียบเคียงวัดค่าของบุญได้ แต่เราสามารถสัมผัสรับรู้รับทราบถึงพลังแห่งบุญได้ ตัวอย่าง เช่น ผู้มีบุญ คนมีบุญ ผู้ใจบุญ ถ้าอยู่ใกล้ใคร เขาก็จะให้พลังที่สงบสุข และสันติต่อผู้อยู่ร่วมและอยู่ใกล้

    รวมแล้วผู้มีบุญอยู่ใกล้กับสัตว์ตนใด สัตว์ตนนั้นจะสงบสุขสันติและฉลาด คำว่าสุข สงบ สันติ และ ฉลาด ไม่สามารถสร้างเอาสมการมาเปรียบเทียบและวัดได้ ซึ่งมันต่างจากวัตถุ คำถามประโยคที่ว่า ระหว่างพลังบุญกับพลังจิต เหมืนกันหรือต่างกันอย่างไร คำตอบก็คือ ต่างกัน บุญมีกรรมเป็นเจ้านาย บุญมีกรรมเป็นผู้ควบคุม กรรมก็คือการกระทำของบุคคลและสรรพสัตว์ เป็นผู้ควบคุมพลังบุญ

    มีคำถามแทรกเข้ามาระหว่างสนทนาว่า แล้วอะไร...? จะไปวัดค่าของบุญได้ หลวงปู่ก็ตอบเขาไป ระหว่างนิวตรอน โปรตรอน และอะตอม เราว่ามันละเอียดอ่อน ลุ่มลึก และก็มีพลังเยี่ยมแล้ว มันก็ยังไม่สามารถ เทียบเท่าค่าราคา และความละเอียดอ่อนของบุญ ซึ่งถือว่าเป็นพลังงานอนันต์ของสรรพสัตว์ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ พระปัจเจกโพธิ พระเจ้าแผ่นดิน เพราะฉะนั้นโปรตรอน นิวตรอน และอะตอม ก็ไม่สามารถจะไปเทียบราคาเท่ากับพลังงานของบุญ คำตอบคือ บุญมีความละเอียดอ่อนยิ่งกว่า โปรตรอน นิวตรอน และอะตอม พลังงานของบุญมีความละเอียดอ่อนมากกว่า

    คำถามประโยคต่อมาว่า ระหว่างบุญกับจิต อันไหนมีพลังงานเหมือนกัน หรือต่างกันอย่างไร คำตอบก็คือ ไม่เหมือนกัน ต่างกัน พลังบุญเปรียบเป็นอาหารของต้นไม้ บุญเป็นอาหารของจิต แต่พลังของจิตเหนือกว่าพลังของบุญ พลังแห่งจิตเป็นพลังอมตะ พลังแห่งจิตไม่มีใครจะทำลายได้ พลังแห่งจิตเหนือกว่าพลังงานอนันต์จิตทุกดวงมีพลังอมตะ และเท่าเทียมกัน ต่างกันตรงคนๆนั้น จะเข้าถึงจิตของตนมากน้อยอย่างไรต่างกันตรงที่คนๆนั้น สัตว์เหล่านั้น บุคคลนั้น จะเปิดประตูแห่งวิญญาณไปรู้จักหน้าตาแห่งจิตแท้ๆ อย่างละเอียดหยาบ สุขุมลึก หรือรู้จักแบบความไม่มีอะไร เพราะฉะนั้นพลังจิตเป็นพลังอมตะ ไม่มีพลังอะไรในโลก ในจักรวาลสามารถจะทำลายพลังจิตได้

    บุญมีคุณลักษณะพิเศษคือ น้ำท่วมไม่หาย โจรปล้นไม่ได้ ไฟไหม้ไม่หมดแล้ว แต่จิตพิเศษยิ่งกว่า เพราะไม่สามารถจะเอามาเป็นประโยค เป็นตัวอย่างได้เลย เหตุผลก็เพราะจิตไม่มีรูปร่าง มันเมือนกับสุญญากาศ มีพลังอันยิ่งใหญ่แฝงอยู่ ถามว่าเป็นพลังอะไร ก็คือพลังงานแห่งสุญญากาศ จิตยิ่งกว่าสุญญากาศ พระพุทธเจ้าเรียก มันสุญญตา คือความว่างเปล่า ความว่าง ความโปร่ง ความโล่ง ความเบาและสบาย มันยิ่งกว่าสุญญากาศเพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าถึงพลังจิตก็คือ ผู้ที่เข้าถึงพลังแห่งสุญญตาเป็นอมตะ เป็นนิรันดร ไม่มีผู้ใดจะทำลายล้างมันลงไปได้

    พลังจิต ผู้ที่เข้าถึงมันก็คือ ผู้มี่เข้าถึงจักรวาล ผู้ที่ถึงแกแลคซี่ ถึงทางช้างเผือก และก็ถึงอนันตจักรวาล พระศาสดาเป็นผู้เข้าถึงพลังแห่งจิต พระองค์จึงเรียกขานตัวเองว่า เราคือโลก โลกคือเรา จิตคือ โลก โลกคือจิต จิตคือเรา เราคือโลก เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าถึงพลังแห่งจิต ซึ่งเป็นพลังอมตะ ย่อมแจ่มแจ้งเข้าใจและแสดงพลังแห่งโลกได้ เปรียบประดุจดังชี้ให้คนดูลายมือในฝ่ามือตน ซึ่งต่างจากผู้ที่เข้าถึงพลังอนันต์ นั่นก็คือคำว่าบุญ เพราะว่าผู้เข้าถึงพลังแห่งบุญก็คือ ผู้ที่เข้าถึงอาหารแห่งจิต ต้องบอกกันตรงๆชัดๆก็คือ บุญเป็นอาหารแห่งจิต เหมือนดั่งแสงแดดเป็นตัวการ หรือเป็นตัวกลางสำหรับปรุงอาหารให้กับต้นไม้ เหมือนดั่งธาตุอาหารที่อยู่ในใบไม้เปลือกไม้ รากไม้ เยื่อไม้ และลำต้นแห่งไม้ เพราะฉะนั้นบุญจึงเป็นเหตุแห่งจิตบุญจึงเป็นเหตุแห่งพลังในจิต และจิตเป็นผลแห่งบุญ ทั้งจิตและบุญถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีบุญ ผู้มีใจบุญ ผู้เจริญในบุญย่อมมีจิตที่สะอาด สงบ และก็สว่าง เพราะว่าจิตใจแห่งผู้ที่เปี่ยมล้นด้วยบุญ ย่อมเป็นจิตใจที่ไม่อาฆาต ไม่พยาบาท ไม่ริษยา ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ตระหนี่ ไม่ละโมบ ไม่เป็นคนมักหลง และไม่เป็นคนขี้โกรธ จิตที่ปราศจากขยะเหล่านี้ ย่อมเป็นจิตที่เปล่าเข้าขั้นสุญญตา เหตุเพราะยังมีอัตตา(ความมีตัวตน)

    สุญญากาศไม่ใช่สุญญตา เพราะระหว่างสุญญากาศกับสุญญตา ยังห่างไกลกันหลายอสงไขย (นับไม่ถ้วน)แห่งแสง หลายอสงไขยแห้งพันปีแสง ซึ่งมันต่างกันมาก แต่เราก็ไม่สามารถใช้ศัพท์อันใดเรียกขานมันได้ว่า อะไรคือสุญญตา อะไรคือสุญญากาศ ในที่นี้ก็ต้องบอกว่า มันมีเวลาที่ห่างไกลกันเนิ่นนานขนาดนั้น

    ผู้ที่มีจิตอันเป็นบุญ มีบุญอยู่ในจิต หรือผู้มีบุญอยู่ในใจ เป็นผู้มีบุญอยู่ในวิญญาณในชีวิต ในการกระ ทำ ในคำที่พูดและในสูตรที่ตนคิด ย่อมมีพลังจิตที่อยู่สูงกว่าพลังอนันต์ แห่งบุญ นั่นคือเข้าถึงพลังแห่งอมตะ ซึ่งไม่มีใครสามารถทำลายล้าง มันให้ตายดับสูญลงไปได้ ผู้ที่มีพลังจิตย่อมพลิกโลกให้ดำเป็นขาว ให้มืดเป็น สว่าง ให้ยาวเป็นสั้น ผู้ที่มีพลังจิตย่อมมีอำนาจเหนือสรรพสิ่ง สรรพวัตถุ สรรพชีวิต และสรรพธรรมชาติทั้งปวง ผู้ที่เข้าถึงพลังจิตย่อมเหนือกว่ามัจจุราช ทั้งปวงในโลกและในจักรวาล

    พระศาสดาจึงอาจที่จะอยู่ได้เป็นพันปี ตัวอย่างเช่น ก่อนพระองค์จะปรินิพพาน พระองค์ได้แสดง บุพนิมิต เพื่อเตือนให้พระอานนท์ทูลอาราธนาให้พระองค์มีชีวิตอยู่ พระองค์ทรงเตือนพระอานนท์หลายครั้ง ด้วยบุพนิมิต ด้วยอาพาธ ด้วยกิริยาอาการ และสุดท้ายด้วยวาจา แต่เพราะอานนท์มีปัญญาไม่แจ่มชัด มีญาณอันไม่หยั่งทราบได้ จึงไม่ได้กราบทูลอาราธานาให้พระองค์มีชีวิตอยู่ และพระองค์ก็ทรงแสดงไว้ในมหาปรินิพพานสูตรว่า

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดูกรสารีบุตร เราตถาคต มีอำนาจเหนือมัจจุราชทั้งปวง อาจกล้าและสามารถจะอยู่ได้เป็นหมื่นปีแสง เป็นพันอสงไขย โดยไม่ดับสูญและตายจากร่างกายหรืออัตภาพปัจจุบัน"

    นั่นเป็นการแสดงออกว่า พลังแห่งจิตอันยิ่งใหญ่เหนือสรรพวัตถุ สรรพธรรมชาติ สรรพวิญาณ และ สรรพมัจจุราชทั้งปวง ของผู้ที่เข้าถึงพลังอมตะ ซึ่งก็คือพลังจิต หลวงปู่จึงตอบปัญหาเขาไปว่า ระหว่างพลังจิตกับพลังบุญต่างกัน แต่เป็นเหตุและผลของกันและกัน หลวงปู่อาจจะเคยพูดว่าบุญเป็นพลังงานอนันต์ ทำให้คนเป็นพระพุทธเจ้า บุญเป็นพลังงานอนันต์ทำให้ยาจกเป็นพระราชา บุญเป็นพลังงานอนันต์ทำให้คนธรรมดา เป็นคนเหนือธรรมดา บุญเป็นพลังงานอนันต์ ทำให้คนใกล้ตายกลับไม่ตาย บุญเป็นลพังงานอนันต์ ทำอะไรๆ ของใครๆ ที่ปรารถนาให้สำเร็จลุล่วงไปได้ตามความประสงค์ แต่บุญก็ยังเป็นพลังงานที่รองลงมาจากพลัง งานอมตะแห่งจิต เพราะฉะนั้น

    ผู้ที่เข้าถึงจิต
    ผู้ที่รวมจิต
    ผู้ที่รู้จักจิต ผู้ที่เข้าใจจิต
    ก็คือผู้เข้าใจโลกและมัจจุราช

    ถึงแม้ว่าเราจะปฏิเสธการเรียนรู้เรื่องจิต แต่ทุกคนมีพลังจิต แต่ไม่ได้พัฒนา ถึงแม้ว่าเราจะบอกว่าเรา ไม่รู้จักพลังจิต แต่ทุกคนมีพลังชนิดนั้นอยู่ แต่ไม่รู้จักวิธีใช้ ถึงแม้ว่าเราจะบอกกับใครๆ ว่าเราไม่รู้ว่าอะไรคือจิต อะไรคือพลังแห่งจิต แต่จริงๆแล้วเราใช้มันแบบฟุ่มเฟือย และไม่รู่จักรักษาเพิ่มเติม สะสม เพราะฉะนั้นพระศาสดาจึงสอนให้พวกเราเข้าถึงจิตของตน และพระองค์ก็ทรงชี้ประโยชน์แห่งการเข้าถึงจิตของตนว่า คนๆนั้น สัตว์ประเภทนั้น ท่านเหล่านั้น จะดับและเย็นนั่นคือนิพพาน ซึ่งผู้มีบุญไม่มีนิพพาน พลังงานอนันต์ไม่สามารถผลักดันให้ถึงนิพพานอันแปลว่าดับและเย็นได้ มีพลังงานชนิดเดียวเท่านั้น ที่ทำให้เข้าถึงนิพพานได้ นั่นคือ... พลังแห่งจิต ซึ่งต้องได้รับการฝึกปรือ ขัดเกลาพัฒนา ได้มาจากอัตภาพร่างกายและวาจาใจแห่งนี้ พลังงานวิเศษซึ่งเป็นพลังงานอมตะนั้น ไม่ใช่ได้มาจากที่อื่น ไม่ใช่ได้มาจากครูคนใด ไม่ใช่ได้มาจากพระพุทธเจ้าประทานให้ แต่ได้มาจากหัวใจที่เอื้ออารีย์ แต่เต็มเปี่ยมด้วยคุณงามความดี ที่เราเรียกขานกันว่าผู้มีบุญ และมันก็ได้มา จากการทำกรรมดี ที่เรียกว่าทำบุญ สุดท้ายไม่ยึดติดในคำว่าบุญ ทิ้งบุญ ไม่หลงใหลในบุญ จนกระทั่งถึงคำว่า สุญญากาศ และก็ยกระดับไปสู่คำว่า สุญญตา อันแปลว่าว่างและไม่มีอะไร

    กระบวนการฝึกจิตต้องเริ่มต้นมาจากการดัดกาย วาจา ใจของตน ให้เต็มเปี่ยมไปด้วยคำว่าบุญเพราะบุญเป็นอาหารแห่งจิต เรากำลังจะนำร่างกายไปออกรบ เรากำลังจะนำร่างกายไปอดตาหลับขับตานอน ไปฝึกปรือไปทำกิจกรรมใดๆ แต่ถ้าร่างการยเราขาดสารอาหาร เราก็มิอาจนำเอาร่างกายและอัตภาพนี้เดิน ทางไกล หรือไปทำอะไรๆ รบแล้วไปเอาชนะใครได้เลย

    พระศาสดาจึงสอนให้เราปฏิบัติธรรม ซึ่งเรียกว่า กุศล อันแปลว่าทำดี ทำด้วยความชาญฉลาด และก็เลือกที่จะทำบุญ พอฉลาดแล้วก็ทำดี พอทำดีแล้วก็เป็นบุญ ซึ่งแปลว่าอิ่ม เต็ม สุขสบายในหัวใจ ใน กระเพาะและในวิญญาณของเรา เพราะฉะนั้น"สะสมบุญเพื่อฝึกจิต" นี่คือประโยคของพระพุทธะผู้ยิ่งใหญ่ ที่สอนให้พวกเราทั้งหลายได้กระทำเราจึงต้องมีนักบวช มีปฏิคาหก(ผู้รับทาน) ผู้รับที่จะทำหน้าที่พัฒนาบุญ ทำหน้าที่บริหารบุญ และทำหน้าที่ให้แล้วซึ่งบุญต่อทายก คือผู้ให้ เพื่อจะนำคนที่ต้องการบุญ ไปสู่พลังงาน อมตะ ข้ามก้าวล่างพ้นพลังงานอนันต์ที่มี นั่นคือหน้าที่ของสาวกแห่งพระศาสดา ที่จะมาพาลูกหลาน ญาติ และพุทธบริษัท ท่านทั้งหลายเข้าไปสู่ประตูแห่งธัญญาชาติ ประตูแห่งอาหาร ประตูแห่งความอุดมมั่งคั่งสมบรูณ์ คือประตูแห่งคำว่า"บุญ" ละ วาง ปล่อย แม้แต่คำว่าบุญของตน ให้เป็นผู้เปล่า ผู้ว่าง ผู้ปราศจากอะไร และก้าวล่วงพ้นไปในวิญญาณแห่งคำว่าบุญ ก้าวล่างพ้นไปในคลังบุญ เข้าไปสู่ประตูแห่งวิญญาณสุญญตา สุญญากาศ และก็ไปสู่สุญญตา คือความว่างเปล่า เมื่อนั้นก็จะถึงคำว่านิพพาน อันแปลว่าดับและเย็นคำพูดและคำถามประโยคที่ว่า พลังงานอนันต์ที่เรียกว่าบุญ กับพลังงานอมตะที่เรียกว่าจิตเหมือน กันหรือเปล่า คำตอบก็คือต่างกันไม่เหมือนกัน และสรุปก็คือมันเป็นเหตุปัจจัยของกันและกันผู้มีบุญเท่านั้น จึงจะถึงพลังแห่งจิต พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เราทำบุญ 10 อย่าง

    1.ให้ทาน 6.ทำหน้าที่ของพ่อ แม่ ลูกฯ
    2.รักษาศีล 7.อ่อนน้อมถ่อมตน
    3.ฟังธรรม 8.ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นทำดี
    4.แผ่เมตตา 9.ปฏิบัติธรรม
    5.เจริญภาวนา 10.ทำความเห็นของตนให้ตรง ถูกต้อง

    นี่คือวิธีเข้าถึงพลังงานอนันต์ ถ้าเปรียบเป็นวิทยาศาสตร์ มันก็เหมือนกับกระสวยอวกาศ ยานอวกาศ ที่หลุดออกไปพ้นจากแรงดึงดูดของโลก เพื่อก้าวล่วงข้ามไปสู่วงโคจรแห่งจักรวาลได้ ก็ต้อง อาศัยเชื้อเพลิงที่จะผลักดันเอายานอวกาศลำนั้น ให้หลุดออกไปจากแรงดึงดูดของโลกก่อน เมื่อเชื้อเพลิงมันผลักเอากระสวยอวกาศให้หลุดออกไปได้แล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็จะใช้วิธีคำนวณ เพื่อจะให้สลัดหลุดจากแหล่งเชื้อเพลิงอันนั้น ต่อไปก็จะเดินทางด้วยพลังอีกชนิดหนึ่ง นั่นคือ...พลังบุญ เป็นพลังงานที่ผลักดันเอากระสวยอวกาศ ให้พ้นจากแรงดึงดูดของโลก จิต..เมื่อกระสวยอวกาศพ้นจากแรงดึงดูดของโลกแล้ว ผู้ควบคุมยานอวกาศลำนั้น ก็จะทำหน้าที่กดปุ่ม เพื่อจะสลัดเอาเชื้อเพลิงที่ติดมากับกระสวยอวกาศนั้น สลัดให้หลุดพ้นและทิ้งไป และก็จะใช้พลังงานชนิดใหม่ เพราะในอวกาศไม่มีแรงดึงดูดเป็นระบบสุญญากาศ ต้องใช้เชื้อเพลิงชนิดใหม่ที่เบา แข็งแรง มีพลังและต้านแรงกดดันได้เป็นเยี่ยมและเชื้อเพลิงชนิดนั้นก็ต้องเปรียบได้ว่าเป็น...พลังจิต

    เพราะฉะนั้นพวกเรามีหน้าที่ที่จะทำให้หลุดออกไปจากโลกนี้ให้ได้ แล้วพลัง 2 ชนิด ที่จะทำให้เราหลุดออกไปจากโลกนี้ก็คือ พลังงานอนันต์คือบุญ กับพลังจิต นั่นคือพลังอมตะ พวกเราก็เหมือนกันมี หน้าที่ที่จะพัฒนาชีวิจให้เข้าไปสู่พลัง 2 ชนิด แล้วก็เป็นหน้าที่ที่พระศาสดา องค์พระสัมมาสัมพุทธะผู้ยิ่งใหญ่ สืบทอดและสั่งการกันต่อๆมาในตระกูลศากยะ และชาวพุทธะทั้งปวงให้รู้และเข้าใจ

    ความเกิดเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ไม่สบายเป็นทุกข์ สมหวัง และไม่สมหวังเป็นทุกข์ นี่คือความทุกข์ที่อยู่ในโลกนี้ ถ้าเราเห็นว่าโลกนี้เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าให้พลังวิเศษ 2 ชนิด เพื่อจะให้พ้นจากโลกนี้ เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์ที่เห็นว่าโลกนี้แคบไป ต้องไปหาโลกใหม่ ที่จะอยู่อาศัย ก็สร้างจรวดขึ้นมา และหาพลัง 2 ชนิดขึ้นมาใช้ ซึ่งเหมือนกับพระพุทธเจ้าเมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน พระองค์ก็ทรงคิดค้นขึ้นมาว่า...พลังที่ผลักดันเอาจิตวิญญาณของมนุษย์ให้พ้นจากโลกนี้ได้ มีอยู่ 2 ชนิด ชนิดแรกคือ

    พลังงานอนันต์ที่เรียกกันว่า"บุญ" และชนิดที่สอง ที่เรียกกันว่าพลังจิต ซึ่งหลวงปู่เรียกว่า"พลังอมตะ" เพราะฉะนั้นเรามีหน้าที่ที่จะพัฒนาพลัง 2 ชนิดนี้ ให้อยู่ในจิตวิญญาณของเราให้ได้ เรามีหน้าที่ตรงนั้นอย่างนั้น เราสาวกแห่งชาวศากยะทั้งปวง มีหน้าที่ที่จะทำการชี้นำ อบรมสั่งสอน และเผยแพร่ วิถีทางแห่งความหลุดพ้นชนิดนี้ให้กับหมู่สรรพสัตว์ สรรพชีวิตทั้งหลายได้รับรู้ เพื่อจะนำเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ในชีวิตของตนและคนทั้งปวง นี้คือหน้าที่เท่านั้นแหละ มันไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีหน้าที่พัฒนาวัตถุให้ลอยหลุดออกไปนอกโลกได้เท่านั้นเอง

    จริงๆนักวิทยาศาตร์ เพิ่งจะมาคิดค้นหาวิธีการ ที่จะเอาสสารผลักดันสสารให้หลุดจากออกไป นอกโลกเขาเพิ่งจะคิดค้นได้ไม่กี่สิบปีมานี้ แต่จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าทรงคิดค้นหลักการ ที่จะนำจิตวิญญาณและสสาร รวมทั้งพลังงานให้หลุดออกนอกโลกนี้ได้เมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน

    พระองค์จึงเป็นสัพพัญญู(ผู้รู้หมด) เป็นมนุษย์ที่ยอดมนุษย์ เป็นผู้ที่ทรงไว้ซึ่งพลัง 2 ชนิดอันวิเศษสุดในโลกและจักรวาล นั่นคือ พลังงานอนันต์กับพลังงานอมตะ เราจึงไม่กล้าปฏิเสธพระองค์ได้เลยว่า พระองค์เป็นยอดมนุษย์เหนือมนุษย์ทั้งปวง ระบบวิทยาศาสตร์ที่มาคิดค้นกันทีหลังก็เป็นเพียงแค่ตามก้นพระองค์ หรือรอยเบื้องยุคลบาทพระองค์เท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นวิชาความรู้เรื่องแสง ความไวของเสียง และความเร็วของพลังทั้งปวงในจักรวาลพระองค์ทรงรู้ คิดค้นและ ก็เข้าใจมาก่อนเมื่อ 2,000 กว่าปี เพราะฉะนั้น คนยุคนี้กำลังเดินตามตูดคนโบราณ

    ให้รู้ไว้ว่าเรามีพ่อ เราเป็นลูกหลานของตระกูลผู้ยิ่งใหญ่ในจักรวาล เมื่อใดที่เราเอ่ยนามของพระองค์ อรหันต์สัมมนาสัมพุทธะ เมื่อนั้นเราก็กลายเป็นลูกหลานของพระผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงเป็น ผู้มีพระคุณอันประเสริฐสูงสุดในจักรวาล เราจะไม่รู้สึกกระดากปาก ไม่รู้สึกละอายที่จะกล่าวนามของพระองค์ ถ้าเราทำตามพระองค์สอน แต่ถ้าเราไม่ทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงบอก ไม่พิสูจน์สิ่งที่พระองค์ ทรงสอน ประโยชน์อันใดเล่า ที่เราจะเอ่ยนามของพระองค์วันละหลายล้านครั้ง มันคงไม่ใช่ประโยชน์อันใดกับเรา

    ชั่วชีวิตหลวงปู่รู้สึกภาคภูมิเป็นอย่างยิ่ง กล้าที่จะประกาศให้คนทั้งโลกและจักรวาลได้รู้ว่า เราคือตระกูล ศากยะ เราคือชาวศากยะ ซึ่งแปลว่า ผู้อาจ ผู้กล้า และไม่มีใครอาจ และกล้าเกินชาวศากยะ ไปได้เลยในจักรวาลนี้ ผู้ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้สืบทอดวิญญาณของพระพุทธเจ้า และส่งทอดต่อๆไป ถ่ายทอดกันต่อๆไป ก็คือผู้กล้าและผู้อาจ ผู้มีความสามารถในจิตวิญญาณของตน ยาก... และหาได้น้อยมาก ที่จะเข้าถึงสัจธรรมแห่งพลังงานอนันต์ ยาก...และหาได้น้อยมาก ในโลกยุตปัจจุบันที่จะ อธิบาย ชี้แจงและกล่าวแสดงเงื่อนไขแห่งพลังวิเศษ 2 ชนิด ที่มีอยู่ในพระวรกายแห่งพระพุทธะผู้ ยิ่งใหญ่ในอดีต

    หลวงปู่ก็จะไม่รู้สึกกระดากเลย ที่จะพูดถึงพลังของพระพุทธ จะไม่รู้สึกลำบากที่จะอธิบายในจิตวิญญาณที่มีอยู่ในพลังแห่งพระพุทธะ เพราะถือว่าเป็นการกล่าวขนานนามประกาศเกียรติคุณ ในจิตวิญญาณของพระองค์ ให้ยิ่งใหญ่ แผ่กว้างออกไป เพราะฉะนั้นหน้าที่ของพวกเราทุกคนก็คือถ่ายทอดจิตวิญญาณเข้าไปสู่จิตดวงหนึ่ง และส่งทอดต่อๆ กันไปกับจิตดวงหนึ่งเรื่อยๆ อย่างชนิด ไม่จบไม่สิ้น และพลังชนิดนี้มันก็จะยืนหยัดอยู่ในโลกได้อย่างชนิดช่วยสรรพสัตว์ ทำให้คนสัตว์และ สรรพชีวิตพ้นจากโลกนี้ไปได้

    โดยหน้าที่ของนักบวชในศาสนานี้ หลวงปู่พูดไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้วว่า..."มีหน้าที่ปลดจากความเป็นทาสของประชาชาติและสัตว์โลก"

    จำไม่ได้แล้วว่าเอามาจากที่ไหนครับ...เดี๋ยวจะพยายามหาต้นฉบับมาอ้างองิครับ..เพราะเก็บไว้ในเครื่องนานหลายปีแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 กรกฎาคม 2007
  8. anuchang

    anuchang เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +12,748
    ได้รับแก้วมหาจักรพรรดิแล้วครับพร้อมด้วยแก้วบริวารอีก5ดวงและไหลน้ำพี้ เพียงแต่ไหลน้ำพี้ที่ได้มามีอยู่เม็ดหนึ่งที่สัณฐานท่านแตกเป้นรอยร้าว อันนี้จะถือว่าเป็นแก้วที่ให้โทษได้ป่าว เพระบางทีการบูชาแก้วประเภทนี้อาจจะให้คุณหรือโทษได้ข้นยอุ่กับกายสิทธิ์ที่อยู่ข้างใน ยิ่งถ้าเรือนแตกหรือเสียหายกายสิทธิ์ก็มักจะไม่อยู่ออกไปหาเรือนใหม่ครอง
     
  9. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915

    ไหลน้ำพี้ที่แตกร้าวไม่เป็นอะไรครับ...ไม่ให้โทษครับ...เพราะกายสิทธิ์ยังอยู่...เก็บเอาไว้บนหิ้งก็ได้ครับ...แล้วผมจะส่งมาให้อีก 1 เม็ด ครับ...พร้อมกับแก้วบริวารที่เหลืออีก 5 ดวงครับพี่...(verygood) :cool: (nogood)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 กรกฎาคม 2007
  10. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    อ่ะ...เมื่อวานได้ของดีมาด้วยครับได้มาฟรีๆอ่ะ...เป็นตะกรุดมหาลาภครับ...และผมนำไปให้คุณลุงผมซึ่งท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจดู...ลุงบอกว่า ตะกรุดนี้ดีจริงๆ...จารด้วยมือและมีพลังสุงมาก...ผมก็เลยนำมาพกติดตัวครับ/ และวันนี้ก็โชคดีแบบ งง ๆ อีกแล้วครับทั่น...ได้รับจตุคามรามเทพฟรีอีก 2 องค์ครับ...จากคุณอัศวิน...พี่ชายที่ผมเคารพมากครับ...ลุงผมก็ตรวจดูอืม...มีพลังสูงอยุ่เช่นกัน...ก็เอาติดตัวไว้เช่นกันครับ อิอิอิ...พรุ่งนี้ไหลดำน้ำพี้มาถึงบ้านผม...ก็จะเตรียมแจกให้กับลูกค้าทุกท่านที่เหลือค้างอยู่และมิตรรักแฟนเพลงทั้งหลายน่ะครับ...บางอย่างของไปถึงบ้านแล้วอย่าตกใจคิดว่าเป็นไวรัสล่ะครับ อิอิอิ...จะส่งให้ใครบ้างเดี๋ยวให้ลุ้นในวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ครับ ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 ตุลาคม 2007
  11. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    วันนี้จะไปในเมืองนะครับ..ไปเอาแก้วบริวารมาให้แก้วจักรพรรดิ์...และจะส่งไหลน้ำพี้ให้คุณ รวิพันธุ์ / พระนางพระญาผงน้ำพี้ ดูดติดแม่เหล็ก 2 และไหลน้ำพี้ 3 เม็ด ให้คุณ ธวัชชัย หนังสือสวดมนต์ 1 เล่ม / และจะส่งไหลน้ำพี้ ของแถมให้คุณ ธัญธรณ์ มาก่อน 5 เม็ด ส่วนแหวนนั้นเดี๋ยวถ้าเสร็จเมื่อไหร่จะส่งมาให้ทีหลังครับ หนังสือสวดมนต์ 1 เล่ม / ส่วน คุณราตรีนั้น พรุ่งนี้จะส่งไหลน้ำพี้ที่เป็น 2 แถมมาให้ 5 เม็ดก่อนเช่นกันครับ ส่วนตัวแหวนไหลน้ำพี้นั้น จะจัดส่งให้ทีหลังเช่นกันครับ หนังสือสวดมนต์ 1 เล่ม / ส่วนแก้วมณีโชติรส ของคุณวิทยานั้น มาถึงบ้านผมพรุ่งนี้ 10.30 น. ก้จะได้จัดส่งให้ในวันพรุ่งนี้พร้อมกับ แก้วบริวาร 10 ดวง ไหลน้ำพี้ 5 เม็ด หนังสือสวดมนต์ 1 เล่ม ส่วนอีก 2 ท่านที่ได้แก้วบริวารไม่ครบ 10 วงนั้น จะจัดส่งให้พรุ่งนี้เช่นกันครับผม...
     
  12. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    พระเจ้าจักรพรรดิ์


    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    ขอนอบน้อม แด่พระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

    ความสำคัญของพระเจ้าจักรพรรดิ์ในพระพุทธศาสนา

    พระเจ้าจักรพรรดิ์ ที่กล่าวถึงนี้ ไม่ใช่ เจ้าจักรพรรดิ์ที่เราเคยรู้จักจาก การอ่านหนังสือ หรือชมภาพยนตร์ พระเจ้าจักรพรรดิราช ในที่จะกล่าวถึงนี้ มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏก จากการศึกษาพระสัทธรรมทำให้ทราบว่า พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ทรงได้เคยเกิดเป็น พระเจ้าจักรพรรดิราชมาแล้วทั้งสิ้น เนื่องจากกุศลกรรมที่ กระทำไว้อย่างยิ่งใหญ่ พระพุทธเจ้าทุกๆประองค์ทรงกล่าวสรรเสริญ พระเจ้าจักรพรรดิ์ ว่าเป็นผู้ที่มีความประพฤติที่ดีงามและ ทรงเป็นผู้ที่มีบุญมากในฝ่ายมนุษย์ การบังเกิดขึ้นของพระองค์เป็นสิ่งที่ยากยิ่งนัก ถ้าพระองค์บังเกิดขึ้น พระองค์จักได้เป็นผู้ครองครองแผ่นดินโดยมีมหาสมุทรทั้ง4 เป็นขอบเขต มีราชอนาจักรที่ยิ่งใหญ่มากกว่าพระราชาใดๆในโลกทั้งหมด โดยที่พระองค์มิได้รุกรานประเทศใดๆเลย พระองค์จะมีพระโอรสมากกว่า1000 พระองค์ ทุกพระองค์ล้วนกล้าหาญ มีสติปัญญา เฉลียวฉลาด รอบรู้วิชาการด้านต่างๆ มากมาย ช่วยดูแลปกครองประเทศแทนพระองค์ มิให้พระเจ้าจักรพรรดิ์ต้องลำบากพระวรกายเลย

    การประพฤติพระองค์เมื่อทรงพระชนม์อยู่

    ทรงสละทรัพย์ เพื่อเป็นมหาทาน
    ทรงรักษาศีล 8 ในวันพระ
    ทรงเคารพ พระรัตนตรัยอย่างยิ่ง
    ทรงประพฤติธรรม ปฏิบัตธรรม
    ทรงสั่งสอน ปวงประชาให้มีความประพฤติดีงาม
    ตามข้อความที่มีกล่าวในพระไตรปิฏก การบังเกิดขึ้นของพระเจ้าจักรพรรดิ์ในโลกมนุษย์ จะมีสิ่งที่เรียก แก้วรัตนะ7ประการ บังเกิดขึ้นดังนี้

    จักรแก้ว ขึ้นมาจากมหาสมุทร แล้วเหาะมาหาพระองค์ มีอิทธิฤทธิ์มาก
    ช้างแก้ว ช้างฉัททันต์ เหาะมาจากป่าหิมพานต์ เมื่อพระองค์ระลึกถึง
    ม้าแก้ว ม้าพลาหกอัศวราช ม้าคู่บุญของพระเจ้าจักรพรรดิ์ เหาะมาเมื่อพระองค์ระลึกถึง
    แก้วมณี เหาะมาทางอากาศ บังเกิดขึ้น เมื่อพระองค์ระลึกถึง
    นางแก้ว พระมเหสีคู่บารมีพระองค์ มีความงดงามกว่าหญิงใดๆในเมื่องมนุษย์
    ขุนคลังแก้ว ขุนคลังที่มีตาทิพย์ หูทิพย์ ได้ด้วยบารมีของพระเจ้าจักรพรรดิ์
    ปริณายกแก้ว ขุนนางคู่พระบารมี ค่อยจัดการงานราชการต่างแทนพระองค์เป็น บุคคลที่มีปัญญามาก
    นับได้ว่าเป็นสิ่งที่อัศจรรย์อย่างสิ่ง ที่จะมีสิ่งต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้น เพราะโลกของเรานี้เป็นเมื่องมนุษย์อีกอย่าง รัตนแก้วทั้ง7 เป็นสมบัติของพระองค์ จะมีได้ก็ด้วย การที่พระเจ้าจักรพรรดิราชยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ หากพระทรงเสด็จสรรคตไป แก้วรัตนะ7ประการก็จะหายไป

    ผมเรียนท่านผู้อ่านตามตรงว่าตัว ผมเองเมื่ออ่านและฟังพระสูตรนี้ยังมิได้เชื่อ ตั้งแต่แรกครับ ผมมีข้อสงสัยมากว่าจะจริงหรือไม่ว่า จะมีเหตุการณ์อัศจรรย์ ต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นได้ในโลกมนุษย์ แต่เมื่อศึกษาและสอบถามจากท่านผู้ศึกษาพระสัทธรรม ทำให้ผมได้ เข้าใจว่า ในกาลเวลานั้น เป็นกาลที่ผู้มีบุญอันยิ่งใหญ่มาเกิด คล้ายกับกาลที่ พระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านทรงเสด็จมาบังเกิดเพื่อตรัสรู้ เราท่านทั้งหลายมิได้เห็น หลักฐานอะไรเลย ที่จะทำให้รู้ถึงเรื่องราวของพระองค์ สิ่งที่มีหลักฐาน ปรากฏอยู่มี แต่ในพระไตรปิฏกเท่านั้น และเมื่ออ่านพิจารณาพระมหาปรินิพานสูตร ทำให้ผมเชื่ออย่าง ไม่มีข้อสงสัยใดๆอีกครับ

    พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้ในพระมหาปรินิพานสูตรว่า หากบุคคลใดได้กราบไหว้พระสถูปเจดีย์ ที่บรรจุพระอัฏฐิธาตุ ของบุคคลทั้ง4นี้คือ

    พระพุทธเจ้า
    พระปัจเจกพุทธเจ้า
    พระอรหันตเจ้า
    พระเจ้าจักรพรรดิ์
    สุคติภูมิและบุญเป็นอันมากย่อมเกิดกับบุคคลนั้น พระพุทธเจ้าทรงกล่าวอย่างชัดเจน อย่างนี้แสดงถึงความสำคัญและ การบังเกิดขึ้นในโลกของพระเจ้าจักรพรรดิ์

    แหล่งข้อมูลของพระเจ้าจักรพรรดิ์

    http://www.tipitaka.com/tipitaka33.htm

    http://www.geocities.com/SouthBeach/Terrace/4587/jakka.htm
     
  13. Bd6/9

    Bd6/9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +620
    ได้รับพระ กับ ไหลน้ำพี้แล้วนะครับ ^๐^
     
  14. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ครับผม...ลองเอาพระผงน้ำพี้ไปแตะกับแม่เหล็กดูนะครับ...ส่วนไหลน้ำพี้นั้นก็เอาพกติดตัวไว้ครับ...^O^
     
  15. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    อ่ะ..เอาของที่ได้รับฟรีๆมาให้ชมครับ...ชิ้นแรกคือตะกรุด มหาลาภ / ผมจะเอาไว้ติดตัวตลอดล่ะครับ ...ให้ดูเฉยๆครับ...ไม่ขายครับ อิอิอิ / ขอขอบพระคุณ เป็นอย่างสูงครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 ตุลาคม 2007
  16. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ชิ้นต่อมาเป้น องค์จตุคามรามเทพ ครับ ได้มาฟรีๆเช่นกัน...พี่อัสวิน พี่ชายที่เคารพให้มาครับผม... 2 องค์นี้จะให้พ่อผมองค์หนึ่ง ผมเอาติดตัวองค์หนึ่ง / ขอบคุณพี่อัศวินเช่นกันครับ อิอิอิ ... ให้ดูเฉยๆครับ ไมได้ขายเน้อครับ อิอิอิ / ถ้าไหลน้ำพี้และข้าวตอกพระร่วงมาถึงคงจะได้มอบให้พี่อัศวินต่อไป ^_^
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    บุคคลที่สมควรสร้างสถูปไว้บูชา (ถูปารหบุคคล)

    ...............การบูชาบุคคลที่ควรบูชา นั้นเป็นมงคลข้อหนึ่งในมงคลสูตร 38 ประการ การบูชา คือ การยกย่อง เลื่อมใส ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่เสแสร้งแกล้งทำ นั่นหมายถึง กิริยาอาการสุภาพที่แสดงต่อผู้ที่ควรบูชาทั้งต่อหน้าและลับหลัง ซึ่งการบูชาในทางปฏิบัตินั้น มีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี คือ การบูชาด้วยสิ่งของ เรียกว่า อามิสบูชา และ การบูชาด้วยการตั้งใจปฏิบัติตามคำสอนหรือแบบอย่างที่ดีของท่าน เรียกว่า ปฏิบัติบูชา ซึ่งอย่างหลังนี้เองเป็นการบูชาสูงสุด ที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่อง

    ...............บุคคลที่ควรบูชา คือ บุคคลที่มีคุณงามความดี ควรค่าแก่การระลึกถึง และยึดถือเป็นแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติตาม มีอยู่ด้วยกันจำนวนมาก เช่น พระพุทธเจ้า พระสงฆ์ พ่อ แม่ ฯลฯ อย่างไรก็ดีพระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงบุคคลที่สมควรแก่การสร้างสถูปไว้บูชาไว้เพียง 4 จำพวก ได้แก่

    1.พระพุทธเจ้า
    เหตุที่พระพุทธเจ้าทรงเป็นถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่งนั้น ทรงมีพุทธาธิบายว่า เมื่อมหาชนยังจิตให้เลื่อมใสว่า นี่เป็นสถูปของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พวกเขายังจิตให้เลื่อมใสในสถูปนั้นแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
    2.พระปัจเจกพุทธเจ้า
    เหตุที่พระปัจเจกพุทธเจ้าทรงเป็นถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่งนั้น ทรงมีพุทธาธิบายว่า เมื่อมหาชนยังจิตให้เลื่อมใสว่า นี่เป็นสถูปของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น พวกเขายังจิตให้เลื่อมใสในสถูปนั้นแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
    3.พระอรหันต์ (ในพระสูตรกล่าวเป็น "พระตถาคตสาวก" ซึ่งปกติ หมายถึง "พระอรหันต์")
    เหตุที่พระสาวกของพระพุทธเจ้าทรงเป็นถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่งนั้น ทรงมีพุทธาธิบายว่า เมื่อมหาชนยังจิตให้เลื่อมใสว่า นี่เป็นสถูปของพระสาวกของผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พวกเขายังจิตให้เลื่อมใสในสถูปนั้นแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
    4.พระเจ้าจักรพรรดิ์
    เหตุที่พระเจ้าจักรพรรดิ์ทรงเป็นถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่งนั้น ทรงมีพุทธาธิบายว่า เมื่อมหาชนยังจิตให้เลื่อมใสว่า นี่เป็นสถูปของพระธรรมราชาผู้ทรงธรรมนั้น พวกเขายังจิตให้เลื่อมใสในสถูปนั้นแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
    http://www.relicsofbuddha.com/page4.htm
     
  18. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    คตลูกเกาลัด 500
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    คตรังต่อหรือคตรังหมาร่า 2500

    อันนี้มีพลังและฤทธิ์เป็นกายสิทธิ์ เช่นเดียวกับพวกเหล็กไหลครับ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กรกฎาคม 2007
  20. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    พระรอดปรอทหลวงปู่หลวง 20000

    อันนี้มีพลังและฤทธิ์เป็นกายสิทธิ์ เช่นเดียวกับพวกเหล็กไหลครับ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กรกฎาคม 2007
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...