เส้นทางนักแสวงหาพระสมเด็จ

ในห้อง 'วิธีดูพระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง' ตั้งกระทู้โดย phak622, 7 กรกฎาคม 2012.

  1. phak622

    phak622 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +402
    จะให้ผมพูดถึงความชั่วร้ายของผมให้ฟังเอามั้ยครับ555!เพื่อไม่ให้ซี้เรียดเกินไปนัก. กรรมการตัดสินพระคนหนึ่งคุยว่าตนเองน่ะเป็นกรรมการตัดสินพระมาสามสิบปี. เอาพระสมเด็จแท้ๆให้ดูเก๊. เก๊! จนเกิดการหมั่นใส้. โม้นักฮ่าๆๆๆ. ผม. อาจารย์ของผม. อาจารย์ขิงผมอีกคน. พี่ที่รู้จักอีกคน. นกต่อที่รู้จัก ท่านกรรมการท่านนั้น. ทั้งหมด5คน. ผมเอาเนื้อวัดสะตือมาทำเพราะมวลสารครบชัดเจน อาจารย์ทั้งสองเช็คพิมพ์รวมถึงตัวผมด้วย. ไม่บอกว่าทำอย่างไร. เอาพระที่ทำเสร็จแล้ว ให้นกต่อใส่. แล้วให้ไปเดินโชว์ท่านกรรมการท่านนั้น. ท่านกรรมการท่านนั้นขอดูแล้วบอกตามให้ผมไปดูพระของนกต่อว่าพระสมเด็จมันต้องแบบนี้. ผมก็เออออไปด้วย. ต่มมาได้สองวันท่านกรรมการชวนนกต่อไปกินข้าวบวกเหล้า. แล้วเอ่ยปากขอเช่า. ให้พี่เถอะ! เดี๋ยวพี่กดตังค์มาให้เดี๋ยวนี้เลย. นกต่อที่ถูกเตี้ยมใว้แล้ว ก็เล่นตามบทออกลูกพระมรดกมีองค์เดียวต่างๆไปดึงราคาจากคนกันเองไปถึงราคาเป็นหลักใกล้แสน แล้วไปกดเงินสดๆมาวาง. แล้วเอาพระไป. นกต่อเอาเงินมาให้ ชาวแก๊ง5คนข้างต้น อาจารย์ทุกคนไม่เอาเงินไปทำอะไรหรอกครับรอ. รอเวลาเดี๋ยวเขาก็มาเอาคืนเอง. เป็นไปดังคาดการผ่านไปได้หนึ่งเดือน มาทวงเงินนกต่อเองตอนแรกนกต่อบอกกินเหล้าหมดแล้ว. แต่ก็ทวงแล้วทวงอีกทั้งๆที่ตนเองไปขอเช่าเขาเองออดอ้อนเขาเอง. จนในที่สุดก็ให้นกต่อเอาเงินคืนให้. นี่แหละครับความชั่วของผม กรรมการตัดสินพระโดนเสี้ยนพระเล่นแต่นั่นเป็นครั้งเดียวที่ทำเพร่ะหมั่นใส้ขี้อวดนัก. คนเราก็มีทั้งใช่และไม่ใช่อต่พระแท้ก็คือพระแท้ครับ. แต่ชั่วๆอย่างผมอย่าทำนะครับ 555! อ่านสนุกๆครับ
     
  2. nitisartthai

    nitisartthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    313
    ค่าพลัง:
    +875
    พี่ลองติชมให้ผมหน่อยนะครับ รับได้ทุกคำติชมครับ
     
  3. vatchara101

    vatchara101 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +75
    ด้วยความเคารพเช่นกันครับ
    สถาบันนี้วงการไม่รับรองครับ ไม่ยอมรับแบบสากลนิยม ในประเทศไทยผมเข้าใจว่า กลุ่มคนเล่นพระในไทย ก็มีมากครับ ซึ่งต่างกลุ่ม ต่างคนก็ กำหนดบรรทัดฐานในการดูซึ่ง แต่งต่างกันไป คำที่ว่าไม่ยอมรับแบบสากล ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นบ้างกลุ่มมากกว่าครับ บางพิมพ์ไม่มีเส้นบังคับ ก็เก๊ บางคนก็ดูเนื้อเป็นสำคัญ บางคนก็ดูความเป็นธรรมชาติ ผมก็ผ่านงานประกวดมามากครับ ซึ่งไม่ใช่ งานโบราณศิลป์อย่างเดียวครับ งานใหญ่ๆผมก็ไปมา แต่ที่สงสัย ก็คือแต่ละงานกำหนด บรรทัดฐานในการดู ต่างกับไป บางก็ว่าของด้วยเอง แท้ บางก็ว่าของเข้าแก๊
    เอาเป็นสรุปว่า ผมเกิดไม่ทันสมเด็จโต จึงไม่รู้ว่ากรรมวีธีในการทำของท่าน
    มีแต่คนบอกต่อกันมา และหนังสือให้ศึกษา ครับผม
     
  4. paper_white

    paper_white เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2011
    โพสต์:
    2,021
    ค่าพลัง:
    +4,804
    ผมเองก็เกิดไม่ทันครับ แต่ผมศึกษาไม่ใช่เฉพาะสมเด็จครับผม สถาบันดังกล่าวจากพระหลายสำนักแล้ว ที่พอมีข้อมูลบ้าง และคิดว่าไม่น่าจะทันหรือถึงยุค แต่สถาบันดังกล่าวก็ได้มีรับรองว่าทันหรือถึงยุคบ้างครับ รอดูนะครับ ตอนนี้สถาบันนี้กำลังตีพระกรุของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองอยู่ครับ (หาข้อมูลวัดเองนะครับว่าพึ่งเจอที่วัดไหน) กลัวจะเหมือนสมเด็จวัดขุนอินทรประมูล ที่อีกท่านนึงพยายามตีขึ้นมาแต่ไม่สำเร็จครับ (ซึ่งกรุวัดขุนอินทรประมูล นั้นพุทธคุณสูงมากนะครับ แต่ก็คิดว่ายังไม่ถึงยุคสมเด็จโตท่าน) ด้วยความเคารพครับ
    อย่างสมเด็จเองผมก็เข้าใจครับ มีหลายยุคหลายวาระ เพียงแต่วงการหยิบมาเล่นเพียงยุคเดียว และผมเองที่ได้เคยกล่าวไว้ ถ้าจะเริ่มเล่นสมเด็จให้เริ่มจากวัดบางขุนพรหมก่อน เพราะมีหลักฐานแน่นอนกว่า แล้วค่อยศึกษาไปถึงวัดระฆัง หรือ วัดไชโย ครับ ส่วนที่ทางคุณ phak622 แนะนำว่าให้เริ่มจากเชื้อก่อน ผมถึงให้หาแค่รุ่นปี 2543 วัดบางขุนพรหมก่อน เพราะผสมหรือโรยผงกรุเยอะมากอะครับ
    ผมเองผมก็เข้าใจผู้แสวงหาสมเด็จทุกท่าน (จริง ๆ รวมถึงทุกบูรพาจารย์ในอดีตด้วยครับ) เพราะเราเพียงแค่ศึกษาข้อมูลจากคนรุ่นก่อนทิ้งไว้ให้ ซึ่งบางที่อาจจะผิดทางหรือถูกทางก็ได้ครับ ขอให้ได้พระสมเด็จ (หรือบูรพาจารย์ท่านอื่น) แท้ ๆ สมดังใจปรารถนาครับ
    ปล. หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ยิ่งแล้วใหญ่เลยครับ ข้อมูลยิ่งสับสนศึกษายากกว่าเยอะครับ เพราะเห็นปัจจุบัน เริ่มมีรูปท่านเผยแพร่ออกมาหลายรูป แต่แต่ละรูปเหมือนพระคนละองค์ แล้วยังคนละช่วงเวลาอีกครับท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2012
  5. vatchara101

    vatchara101 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +75
    ขอบคุณมาครับ คุณ paper_white ที่มาให้ความรู้กันครับ
     
  6. phak622

    phak622 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +402
    ติชมให้ได้อยู่แล้วครับไม่กลัวลองภูมิด้วยครับแต่ผมพยายามหลายครั้งแล้วผมมองไม่เห็นภาพเลยครับขออภัยด้วยครับ
     
  7. GUYTHUM

    GUYTHUM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,354
    ค่าพลัง:
    +1,088
    เกจิสร้างครับไม่ใช่สมเด็จโตสร้าง
     
  8. phak622

    phak622 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +402
    จริงแล้วไม่มีใครเกิดทันหรอกครับที่มาคุยกันอยู่นี่ แต่เราศึกษาจากอะไรล่ะ ก็ว่ากันไปผิดถูกไม่รู้แต่ตอบคำถามคาใจตัวเองแบบหายสงสัยได้หรือไม่ล่ะได้ ก็ได้ ไม่ได้ก็ว่ากันไป ผมถามตรงๆไม่อ้อมค้อม ท่านทั้งหลายดูพระสมเด็จที่คิดว่าเป็นหลวงวิจารณ์แกะพิมพ์ท่านทั้งหลายคิดว่าหลวงวิจารณ์ถนัดมือข้างไหนครับ ? นี่ต่างหากครับคือความถูกต้องสำหรับผมในพระองค์นั้นๆคือการวิเคราะหาที่มาที่ไปหลักและเหตุผล เรามีอะไรมาอ้างอิงว่าท่านหลวงวิจารณ์ถนัดมือข้างไหนใช้มือไหนแกะพิมพ์ นี่คือการคิดและวิเคราะ นี่คือความเป็นตัวตนของช่างแกะก็เหมือนเนื้อหามวลสารนั่นแหละครับที่บอกถึงผู้สร้าง สรุปท่านถนัดมือไหน? คิดกันสนุกๆครับ เคยคิดกันรึเปล่าก็ไม่รู้
     
  9. phak622

    phak622 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +402
    เป็นคำถามที่ดีครับ. ขอถ่ายรูปประกอบนิดนึงครับถ่ายจากมือถือและเท่าที่จะมีติดตัวอยู่ อาจจะไม่ชัด.

    ที่ถามคือ1.ทำไมเป็นปูนเปลือกหอย. 2.มีหลักฐานหรือไม่. และหลักฐานที่แน่นอนด้วย. เนื้ออย่างอื่นมีหรือไม่

    จะตอบทุกคำถามครับแต่อดใจนิดนึงต้องอธิบายนิดหน่อยครับ.
     
  10. phak622

    phak622 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +402
    ิโหลดรูปให้ดูไม่ได้ครับ แต่จะอธิบายในความรู้ที่มีนิดหน่อยดังนี้ครับ
    1.ทำไมเป็นปูนเปลือกหอยดิบ เพราะ
    -มีความแกร่งในตัวเมื่อนำมาบดจนละเอียด เมื่อสร้างเป็นองค์พระแล้วเปลือกหอยก็จะประสานกันตามการเวลาทำให้พระยิ่งนานยิ่งแกร่ง
    -ความนุ่มตาเนื่องเพราะเนื้อในปูนเปลือกหอยดิบนั้นมีความวาวอมชมพูระเรื่อๆเมื่อบดแล้วสร้างเป็นองค์พระจะสวยงามเพราะเปลือกหอยจะออกเป็นสีมุกๆหน่อยครับ
    -พุทธคุณดีในตัวคือ คาวมทนทาน แข็งแกร่งจนกลายเป็นหิน เด่นทางด้านอยู่ยงคงกระพัน อยู่ได้เป็นพันเป็นล้านปี
    2.มีหลักฐานหรือไม่หลักฐานที่แน่นอนคืออะไร
    -หลักฐานก็ปรากฎเป็นก้อนมวลสารอยู่ในองค์พระนั่นไงครับเม็ดจะผิวเรียบขาวขุ่นนิดๆสีอมชมพูหน่อย
    -และหลักฐานที่แน่นอนอีกอย่างนอกจากข้อแรกคือพระสมเด็จที่แก่ปูนเปลือกหอยที่บดละเอียดเมื่อเนื้อจัดๆจะมีสีชมพูขึ้นตามผิวพระให้เห็นอันนี้เป็นคุณสมบัติเฉพาะของปูนเปลือกหอยอันนี้ชัดเจน
    3.มีเนื้ออย่างอื่นหรือไม่
    -ที่เอามาใช้แทนโดยไม่ใช้ปูนเปลือกหอยเลย ตอบไม่มี
    -ที่เอามาผสมร่วม ตอบต้องมี คือผงช็อกชนวน และมวลสาร

    ดังนั้นพอสังเขปคือ. เปลือกหอยดิบต้องมีเป็นคุณสมบัติที่อยู่ในวัดระฆังทุกองค์

    ไม่รู้จะเข้าใจรึเปล่านะครับหวังว่าจะเข้าใจ
     
  11. huyakorn

    huyakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +369
    [​IMG]

    การพิจารณาดูพระสมเด็จ

    หลายคนคงเคยเห็นนักเลงพระหรือเซียนพระเขาส่องกล้องอันเล็กๆ ดูพระเครื่องพระสมเด็จกัน หลายคนที่ดูไม่เป็นก็คงอยากจะรู้ว่าเขาดูอะไรกันในพระ เขาดูอย่างไร เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าพระนั้นเป็นพระอะไร แท้หรือไม่แท้ โดยเฉพาะพระสมเด็จ คนที่มีอายุอยู่ปัจจุบันไม่มีใครเกิดทันได้ดู ได้เห็นสมเด็จโตท่านทำพระสมเด็จเลยแม้แต่คนเดียว แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรพระสมเด็จองค์นี้รุ่นไหน ยุคไหน แท้หรือไม่แท้ พระสมเด็จจริงหรือปลอม

    1. ก่อนอื่นต้องศึกษาเรียนรู้โบราณคดีของพระก่อน ศึกษาประวัติการทำพระของสมเด็จโตให้เข้าใจก่อน

    2. หัดดูความเก่าของพระให้ออกก่อน พระสมเด็จอายุไม่ต่ำกว่า 130 ปี ของเก่าอายุเป็นร้อยปี ผิวพรรณจะต้องคร่ำตามธรรมชาติ มีรอยยุบย่นหดตัว ดูผิวพระ ดูคราบตังอิ๊ว คราบรัก รงค์ ชาด เทือก และคราบกรุที่ผิวพระ ต้องเก่า ผิวพรรณพระจะเหมือนผิวคนแก่ 80-90 ปี

    3. หัดดูมวลสารสำคัญที่พระสมเด็จต้องมี คือ ผงกฤติยาคมหรือผงสมเด็จ จะเป็นเม็ดเล็กๆขาวขุ่น แข็งแกร่ง สัณฐานกลม (ดูในเรื่องการทำผงกฤติยาคมหรือผงสมเด็จ) ถ้าพระองค์ใดมีก็ให้ถือว่าใช่ไว้ก่อน เม็ดผงสมเด็จที่แท้จะเป็นเม็ดเล็กๆ กลมๆ สีขาวขุ่น ดูแข็งแกร่ง และจะดูเก่ากว่าผงพื้นองค์พระนั้น ผงสมเด็จจะดูเก่าพอๆกับเนื้อพระสมเด็จหัก ที่เขานำมาตำบดไส่เป็นมวลสารที่ชิ้นโตสีขาวขุ่นแบบสีฟันของคน ถ้าผงกับเศษพระดูเก่าพอๆกันก็ให้คิดว่าใช่ไว้ก่อน ผงเก๊ หรือผงปลอมจะขาวซีดๆ จืด สันฐานไม่กลม และดูจะไม่เก่ากว่าเนื้อพระ จะถือว่าของปลอม

    4. ดูมวลสารที่เอามาผสมในพระสมเด็จ คือ พระสมเด็จที่หักชำรุด ท่านเอามาบดเป็นผงใส่ไว้ เนื้อเป็นสีขาวขุ่นแกร่งออกมันเวลาส่องกล้อง ดูชิ้นเนื้อพระซุ้มกอที่ท่านใส่ไว้ เป็นเนื้อดินสีน้ำตาลเก่ากว่าเนื้อชิ้นพระสมเด็จ หากดูเก่ากว่าพระสมเด็จจึงจะใช่ ถ้าก้อนอิฐในพระดูไม่เก่าไม่ใช่เนื้อพระซุ้มกอ สีจืดกว่าแสดงว่าไม่ใช่ ดูมวลสารที่เป็นพระธาตุจะเป็นก้อนกลมๆมีขุยที่ผิว ก้อนดูใสมีสีขาวอมเหลือง สีนำตาล สีเทา เหมือนเม็ดพลาสติก ผิดจากนี้ไม่ใช่พระธาตุ พิจารณาดูมวลสารอื่นๆ ที่สำคัญ พวกแร่สะเก็ดดาวตกเม็ดสีเหมือนครั่งหรือยางสน ดูเม็ดอัญมณีหินพลอยสีต่างเป็นเม็ดสีคล้ายแร่สะเก็ดดาวตก และดูมวลสารอื่นๆที่อาจมี เช่น หมุดเงิน-ทอง ทรายเงิน-ทอง หยกตุ๊กตากวนอู และอื่นๆ ตามลักษณะมวลสารที่กล่าวไว้ข้างต้น ถ้ามีให้คิดว่าใช่ไว้ก่อนจะได้ไม่เสียโอกาส

    5. พิจารณาเนื้อพระว่าเป็นเนื้อพื้นอะไรในพระ 12 เนื้อพื้น และเป็นพระยุคไหน ตอนไหน ฝีมือใครแกะพิมพ์ ให้พิจารณาองค์ที่เป็นหินเปลือกหอยดิบหรือเปลือกหอยสุกไว้ก่อน เนื้ออื่นๆเอาไว้ทีหลัง ควรหาโอกาสดูเนื้อพระแท้จากคนที่เขามีเอาไว้เป็นองค์ครู เพราะเนื้อสมเด็จหินเปลือกหอยไม่ว่ารุ่นไหน ยุคไหน วัดไหน พิมพ์อาจจะต่างกัน แต่เนื้อพระจะเหมือนๆกันเกือบทุกองค์ ถ้ามีของแท้ดูเป็นครูก็จะดูเนื้อพระแท้ได้ไม่ยาก พระเนื้อหินเปลือกหอยให้ดูเนื้อหินลับมีดโบราณไว้เป็นแบบอย่างได้ เนื้อสมเด็จจะคล้ายๆแบบนั้น ต่างกันตรงที่เนื้อพระสมเด็จจะดูมีมันในตัว ดูแข็งแกร่งแล้วดูนุ่มนวลตาที่เรียกว่าหนึกนุ่มนั่นเอง ถ้าลองเอาพระมาวางบนแผ่นกระเบื้องหรือแผ่นกระจกจะมีเสียงดังกริ้งแบบเสียงหินกังสะดาร ก็ให้คิดว่าใช่ไว้ก่อน เนื้อพระจะมีทั้งเนื้อหยาบ และเนื้อละเอียด เนื้อละเอียดจะแกร่งกว่า ถ้าพิจารณาได้อย่างนี้ก็มีโอกาสได้พระสมเด็จแท้

    6. พิจารณาดูพิมพ์ทรง พระสมเด็จมีทั้งหมด 249 พิมพ์ทรง เราคงจะรู้ไม่หมดแน่ๆ และคงไม่มีใครจะรู้ได้มากอย่างนี้ ให้เราพิจารณาเฉพาะพิมพ์ทรงที่นิยมและเป็นสากลจะดี แต่อย่าทิ้งพิมพ์นอกนิยม ซึ่งปัจจุบันพิมพ์นิยมมี 17 พิมพ์ เนื้อนิยมแค่ 2 เนื้อ เป็นวัดระฆัง 5 พิมพ์ วัดบางขุนพรหม 9 พิมพ์ และวัดเกศไชโย 3 พิมพ์ ดังที่กล่าวมาแล้วหัดจำพิมพ์ทรงนิยมให้ได้จะได้เงินมหาศาล

    เนื้อได้ - พิมพ์ได้ - อายุได้ก็น่าจะเพียงพอแล้วในนักเล่นพระหัดใหม่

    ดูความเก่า - ดูเนื้อ - ดูมวลสาร - ดูความเก่า มันกลับกัน พระถ้าถูกพิมพ์เนื้อดี มวลสารดี ความเก่าจะตามมา

    ความเก่าของผิวพระต้องดูให้ดี พระที่ใช้สมบุกสมบัน เนื้อพระจะช้ำดูเก่ามากเหมือนคนชนบทดูแก่ ส่วนพระเก็บอย่างดีไม่ได้เอาออกมาใช้เนื้อจะเอี่ยมดูไม่เก่า เหมือนคนในเมืองผู้ดีดูไม่แก่

    พระสมเด็จถ้าเก็บไม่ถูกมือ ไม่ถูกแดด ไม่ถูกลม ผิวพระจะออกมาขาวอมเหลือง เนื้อจะหนึกแกร่งดูไม่หนึกนุ่มเหมือนของใหม่ของปลอม แต่ให้รู้ไว้เถอะนั่นแหละของสวย

    พระสมเด็จที่เอามาใช้ถูกมือจับห้อย ถูกเหงื่อ หรือบางคนเอามาทาที่แก้มจะทำให้พระดูเก่าหนึกนุ่มกว่าพระเก็บไม่ได้ใช้ สีจะคล้ำออกสีน้ำตาลแก่เซียนบางคนว่าเนื้อจัด

    สูตรผสมเนื้อพระสมเด็จของสมเด็จโต และอาคมอันแก่กล้า เขาว่าจะทำให้พระแกร่งหนึกไม่เหมือนพระอื่นๆ


    ที่มา : พระเครื่องเมืองสยาม ศูนย์รวมพระเครื่อง พระสมเด็จวัดระฆัง พระพิมพ์ขุนแผน และอื่นๆ

    พักสมอง..ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2012
  12. huyakorn

    huyakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +369
    ข้อมูลต่อไปนี้คัดลอกมาจากหนังสือ ทีเด็ดพระสมเด็จ ของอาจารย์พน นิลผึ้ง มาเพียงส่วนเดียว

    พระสมเด็จทำมาจากอะไรบ้าง

    การสร้างพระสมเด็จของพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านใช้ส่วนประกอบขององค์พระมากมายหลายอย่าง มีทั้งผงวิเศษ หรือผงสมเด็จ หรือผงกฤติยาคม เกษรดอกไม้ร้อยแปดชนิด ว่านยา และว่านมงคล สมุนไพรต่างๆ อัญมณี แร่ธาตุ พระธาตุ พระเก่าโบราณ ของวิเศษที่เป็นมงคล ก้านธูปบูชาพระรัตนตรัย ไม้มงคล ดินโป่ง หินเปลือกหอย ผลไม้ กระยาหาร ข้าวหอม ไคลเสมา ไคลเสาตะลุงช้างเผือก ดินสอพอง ปูนตายซาก หมุดเงินทอง ทรายเงินทรายทอง ใบลาน น้ำอ้อย ยางไม้ น้ำมันตังอิ๊ว ผงตะไบพระทอง และของที่เหลือใช้อย่างอื่นอีก

    การทำพระสมเด็จของท่านสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านมีวิธีการทำดังนี้

    ขั้นที่ 1 ท่านเอาดินสอพองจากลพบุรีถือว่าเป็นดินที่ขาวบริสุทธิ์ เอามาร่อนแยกเอาสิ่งแปลกปลอมออกจากดินสอพอง ให้เหลือแต่ดินสอพองบริสุทธิ์ ปั้นเป็นท่อนพอหมาดแล้วตัดเป็นแผ่นบางๆตากแดดให้แห้งสนิท

    ขั้นที่ 2 เอาดินสอพองที่หั่นตากแดดแห้งสนิทแล้วเอามาบดให้เป็นผงละเอยดเอาไปตากแดดให้แห้งสนิทอีกครั้ง แล้วแยกผงแป้งดินสอพองออกไปบรรจุใส่บาตร 5 บาตรเท่าๆกัน

    ขั้นที่ 3 เอาดินสอพองในบาตรที่หนึ่ง บริกรรมบรรจุด้วยคาถาบท อิธเจ บาตรที่ 2 บริกรรมประจุด้วยคาถาบท ตรีนิสิงเห บาตรที่ 3 บริกรรมปรุด้วยคาถาบท ปัทมัง บาตรที่ 4 บริกรรมประจุด้วยคาถาบทมหาราช และบาตรที่ 5 บริกรรมประจุด้วยคาถาบทพุทธคุณ ท่านบริกรรมประจุด้วยคาถาทั้ง 5 บท แต่ละบาตรอยู่ตลอดเวลาด้วยตัวท่านเอง จนเห็นว่าขลังเพียงพอ

    ขั้นที่ 4 เอาผงทั้ง 5 อย่าง 5 บาตรมารวมกันใส่ในบาตรใหญ่ 1 บาตร แล้วกำกับด้วยคาถา ทั้ง 5 บท อิธเจ - ตรีนิสิงเห - ปัทถมัง - มหาราช - พุทธคุณ พร้อมกันในบาตรใหญ่ เรื่องการบริกรรมคาถาทั้ง 5 บทพร้อมกันนี้ อาจารย์มงคลเล่าว่า ผู้ทำได้จะต้องมีจิตสมาธิแข็งกล้าจริงๆ ไม่เช่นนั้นจะทำให้จิตแตกกลายเป็นบ้าไปได้ บุคคลหรือพระที่ทำได้ในโลกนี้ก็มีเพียงสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี แต่เพียงองค์เดียวเท่านั้น จึงทำให้ผง กฤติยาคมของท่านขลังยิ่งนัก

    ขั้นที่ 5 เอายอดไม้มงคลเช่นยอดตำลึง - ยอดสุดสวาท - ยอดและดอกรักซ้อน - ยอดกาหลง - ยอดทองพันชั่ง - ราชพฤกษ์ - กระแจตะนาว - ยอดใบเงิน - ทอง - นาก และอื่นๆอีก เอามาตำให้แหลกละเอียด เอาน้ำพุทธมนต์ 7 บ่อ 7 รสผสมลงไปแล้วตั้นเอาแต่นำไปผสมผง 5 อย่าง แล้วปั้นเป็นแท่งชอล์คเอาไว้เขียนเลขยันต์ เรียกว่าดินสอมหาชัย

    ขั้นที่ 6 เอาดินสอมหาชัยไปเขียนเลขยันต์บนกระดาน แล้วลบเลขยันต์เก็บเอาผงชอล์คหรือดินสอมหาชัย ไว้เอาไปผสมน้ำคั้นยอดไม้มงคลปั้นเป็นแท่งดินสอมหาชัยใหม่ ตากให้แห้ง นำมาเขียนเลขยันต์ในกระดาน แล้วลบเลขยันต์เอาผงไปผสมน้ำคั้นยอดไม้มงคลอีก นำมาปั้นเป็นดินสอมหาชัย แล้วเอาไปเขียนเลขยันต์ ทำอยู่อย่างนั้นหลายร้อยคาบ หลายร้อยครั้ง จนสุดท้ายผงจากดินสอมหาชัยที่มียางยอดไม้ผสม จะเกาะเป็นเม็ดกลม เวลาเขียนจะร่วนออกมาเป็นเม็ดๆเล็กๆ สีขาวขุ่นๆ แข็งแกร่งมาก เม็ดผงนี่แหละเรียกว่า ผงสมเด็จหรือกฤติยาคม

    ขั้นที่ 7 ท่านเอาผงกฤติยาคมไปบรรจุไว้ในบาตร และบริกรรมพระคาถาดังกล่าวมาแล้วกำกับตลอดทุกวัน เป็นเวลานานๆ จนท่านมั่นใจว่าขลังดีแล้ว จึงเอามาผสมเนื้อพระ และมวลสารอื่น ตำผสมทำเป็นเนื้อพระ เอาไปพิมพ์พระต่อไป

    ท่านทั้งหลายเมื่ออ่านดูวิธีการทำของสมเด็จโตแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง ส่วนตัวผมเองรู้สึกถึงคุณค่าของพระแต่ละองค์ว่าได้มาด้วยความยากลำบาก จะถูกทอดทิ้งไปโดยไร้คุณค่าเนื่องจากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ลองหาหนังสือ ทีเด็ดพระสมเด็ด ของอาจารย์ พน นิลผึ้ง มาศึกษากันดู มีข้อมูลอีกมากมาย กว้างดี ใจไม่แคบ แล้วใช้วิจารณาญาณดูว่าเป็นไปได้ไหม ท่านมีชีวิตอยู่ถึงห้าแผ่นดิน แต่ถูกจำกัดพิมพ์พระแค่หลวงวิจารณ์เท่านั้น นอกพิมพ์นี้เก๊ ท่านอุตส่าห์ทำมาด้วยความยากลำบาก แต่ไม่ถูกใช้ประโยชน์ให้เต็มที่มันผิดอยู่นะ ผมเองไม่ได้ต้องการดึงราคาพระนอกพิมพ์ให้มีราคาสูงขึ้นแต่อย่างใด เพียงต้องการให้พระของท่านใช้ประโยชน์ได้เต็ม ไม่ใช่ใช้ได้เพียงส่วนเดียว อีกส่วนเก๊ ดังนั้นท่านทั้งหลายที่มีพระสมเด็จที่พิมพ์ไม่เหมือนของหลวงวิจารณ์แล้วล่ะก้อ อย่าเพิ่งทิ้งขว้าง ใจเย็นๆ ค่อยๆศึกษาดูก่อนด้วยตัวเอง เขาเรียนจบปริญญาได้เราก็ต้องทำได้ คนอีสานพูดว่า คนคื๊อกั้น ไม่เห็นเขาจะมีสาม หรือสี่ตาเลย เราจะได้มีพระสมเด็จไว้บูชากราบไหว้แบบสุดรักสุดหวงแหนกัน ในราคาที่ไม่ต้องไปเสียเงินกันเป็นแสนเป็นล้าน

    ที่มา : พระเครื่องเมืองสยาม ศูนย์รวมพระเครื่อง พระสมเด็จวัดระฆัง พระพิมพ์ขุนแผน และอื่นๆ
     
  13. phak622

    phak622 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +402

    ผงในส่วนนี้นั้นเมื่อเอามารวมกันตามกรรมวิธีด้านบนได้เป็นผงมาดูอย่างไรครับว่านี่ใช่ไม่ใช่ครับ?
     
  14. huyakorn

    huyakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +369
    ...ทำอยู่อย่างนั้นหลายร้อยคาบ หลายร้อยครั้ง จนสุดท้ายผงจากดินสอมหาชัยที่มียางยอดไม้ผสม จะเกาะเป็นเม็ดกลม เวลาเขียนจะร่วนออกมาเป็นเม็ดๆเล็กๆ สีขาวขุ่นๆ แข็งแกร่งมาก...

    ถ้าอ่านตรงนี้ ความเห็นส่วนตัวของผมคิดว่า คงเป็นเม็ดกลมๆ เหมือนหยดน้ำตาเทียน มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก บางส่วนอาจจะจมอยู่ในเนื้อพระ ถ้าเนื้อพระเปิดจึงจะสามารถเห็นได้ / อีกกรณีอาจอยู่บนเนื้อพระ เนื่องจากเม็ดนี้มีความแข็งมาก จึงไม่ถูกบดรวมไปกับมวลสารอื่น หรือปูนเปลือกหอย แต่จะยึดติด ฝัง อยู่กับเนื้อพระด้วยความแข็ง และยางยอดไม้ดังกล่าวข้างต้น เมื่อเวลาผ่านไปหลายร้อยปี เกิดการหด ยุบ ร่น ของเนื้อพระ เราจึงสามารถเห็นผงกฤติยาคมได้ด้วยตาเปล่า

    จากสาเหตุที่ใช้เวลาในการทำ และสามารถทำได้เพียงองค์เดียวคือองค์พระสมเด็จโตฯ ประจวบกับขั้นตอนการทำที่ยุ่งยาก จำนวนผงที่ได้คงมีไม่มากนัก ในการกดพิมพ์แต่ละครั้ง น่าจะใส่ได้เพียง 2-3 เม็ด เท่านั้น เลยไม่ค่อยได้เห็นกันโดยทั่วไป คงมีพระจำนวนน้อยมากๆ ที่จะได้เห็น "ผงกฤติยาคม" ในองค์พระอย่างชัดเจน..ครับ

    อีกอย่างหนึ่ง ผมคิดว่า "ผงกฤติยาคม" น่าจะเป็น Signature ด้านพุทธคุณของ "พระสมเด็จวัดระฆังทุกองค์" โดยที่ไม่เกี่ยวกับพิมพ์นิยมแต่อย่างใด..ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2012
  15. phak622

    phak622 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +402
    Signature=ลายเซ็น. แต่ลายเซ็น มีแค่สองถึงสามเม็ด. น่าสนใจครับ
     
  16. phak622

    phak622 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +402
    นี่ก็เป็นบทความของผมเองวิเคราะเอาผมไปเขียนให้อ่านสนุกๆในชมรมนักแสวงหาพระสมเด็จเป็นบางช่วงบางตอนที่เขียน
    เริ่มที่ องค์ประกอบหลักขององค์พระ
    1.ปูนเปลือกหอยดิบบด. หอยโบราณอายุเป็นพันๆปี.  ในที่นี้เรียกว่า.  เนื้อปูน
    2.ผงชนวน. เป็นดินสอพอง. ที่ทำเป็นช็อก มาเขียนที่กระดานชนวน.  เรียกว่า เนื้อผง
    3.มวลสาร อันนี้ท่านเจ้าประคุณไปแสวงหามา.เรียกว่า เนื้อมวลสาร
       มีแค่นี้ครับองค์ประกอบหลักของเนื้อพระสมเด็จ
    1.ปูนเปลือกหอยโบราณ. ทำความเข้าใจนิดนึงก่อนจริงๆจะข้ามแต่เดี๋ยวเอาให้รกสมองใว้ก่อนดีกว่า. หอยมีหลายชนิด โบราณมีหลายอายุปี.  คุณณสมบัติเนื้อหอยจะนุ่มตา มีความแข็งแกร่งมากเทียบเท่าหิน. บางชนิดมีความเป็นสีมุกอมชมพูในตัว เราจะสังเกตุได้ในองค์พระสมเด็จที่เห็นขาวๆขุ่นเกือบใสเม็ดดูมีความคมพอประมาณผิวเรียบนั่นแหละเปลือกหอยไม่ใช่เม็ดพระธาตุแต่บดยากเลยมี้ม็ดที่บดไม่ละเอียดอยู่บ้างหอยประเภทนี้บดยากหอยอีกบางประเภทเนื้อซุยในตัวแต่ด้วยความโบราณเลยแข็งเป็นหินและฯลฯมากมาย. แต่เอกลักษณ์เวลาเรามองเนื้อหอยโบราณคือความนุ่มแต่มันแกร่งแบบหินลูกกรวดหรือหินอ่อนและจะติดตัวมาคือการอมชมพูระเรื่อๆ. 
    2.ผงชนวนอันนี้ไม่ต้องบดเพราะเมื่อลบอักขระที่เขียนใว้ผงจะละเอียดเท่าๆกันอยู่แล้วมีโทนสีเดียวคือขาวแต่ผ่านวันและเวลาจะอมเหลือนิดๆคือแบบว่าขาวนั่นและแต่ขาวเก่าๆเหมือนเสื้อนักเรียนเรานั่นแหละใช้หลายปีไม่ผ่านโอโม่มันก็ขาวถ้ายืนคนเดียวแต่ยืนกับเด็กเข้าใหม่เสื้อผ้าใหม่หมดเนื้อผงอันนี้ก็จะแบบนั้นแหละครับเก๋าบวกเก่าแต่เดิมเคยขาวแต่แม่ดันประหยัดงบเป็นผลทำให้ไขผงที่ผุดขึ้นเรียกว่าพระสมเด็จที่มีฝ้าหรือหมอกนั่นและจะมีสีที่ขาวอมเหลืองถ้าขาวโอโม่มาเก๊ล้านเปอเซ็นเพราะอย่างที่กล่าวมาเก๋าบวกเก่า. ขาวถ้าอยู่คนเดียว. แฮ่ๆๆๆ
    3.มวลสาร เนื้อมวลสาร แบ่งออกเป็น2ประเภท.  
          -มวลสารหลัก
          -มวลสารพิเศษ(ไม่ได้มีทุกองค์) เลยพิเศษ
     
  17. huyakorn

    huyakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    407
    ค่าพลัง:
    +369
    Signature

    "ด้านพุทธคุณ" ครับ ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะผมคิดว่าในขบวนการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯทุกครั้งจะประกอบไปด้วย การเตรียมมวลสาร การกดพิมพ์พระ การผึ่งลม การแกะพระออกจากแม่พิมพ์ ฯลฯ ซึ่งล้วนต้องใช้เวลาการทำในแต่ละขั้นตอนนานพอสมควรไม่ได้เสร็จในวันเดียว

    อาจจะเป็นไปได้ว่าการใช้ผงกฤติยาคม เป็นการใส่ "มวลสารพลังพุทธคุณ" ให้แก่พระสมเด็จแท้ทุกองค์ที่ทำมาจากวัด ซึ่งอาจจะรวมพิมพ์ชาวบ้าน พิมพ์ช่างแกะเอกชน พิมพ์ช่างแกะวังหลวง ฯลฯ (น่าจะไม่รวมพิมพ์ยายขำที่เล่ากันต่อๆมา) ช่างแต่ละคนอาจจะต้องมาทำที่วัด ต่างคนต่างทำกันไป พระสมเด็จโตฯ ท่านก็คงให้เบิกผงกฤติยาคมไปใช้ใส่ในองค์พระที่ทำจากวัดทุกองค์ ซึ่งน่าจะต้องจำกัดจำนวน หรืออาจจะใส่ในพระสมเด็จฯบางพิมพ์ บางช่างก็ได้ครับ

    พอรวมพระได้ครั้งละมากๆ ก็จัดพิธีปลุกเสกเสียครั้งหนึ่ง โดยในแต่ละปีอาจจะทำเพียงไม่กี่ครั้ง เพราะต้องดูฤกษ์ยามที่เหมาะสมเสียก่อน ผมเชี่อว่าใน 1 ปี น่าจะมีฤกษ์ยามที่เป็นมงคลไม่กี่วัน ยกตัวอย่างเช่น เสาร์ห้า มหาอุตต์ วันพระใหญ่ เป็นต้น

    จากเทคนิคพิเศษของ "ผงกฤติยาคม" ในการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯข้างต้น ทำให้ "พระสมเด็จวัดระฆังฯแท้ทุกองค์" มีความแตกต่างจากการสร้างพระเครื่องโดยทั่วๆไป ผมจึงเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น "Signature" ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2012
  18. phak622

    phak622 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +402
    คั่นเวลานิดหน่อยเสริมเข้าไปอีกว่า
    **.ทั้งสามอย่างที่กล่าวมาคือองค์ประกอบที่ทำให้เกิดเป็นพระสมเด็จ**
    1. ถ้าเอาปูนเปลือกหอยที่บดแล้วมารวมกับผงชนวนในปริมาณที่เท่ากันเนื้อจะออกมาเป็นแบบไหน?(เอาแค่สองอย่างพอ)
    2.ถ้าเอาปูนเปลือกหอยใส่ในปริมาณที่มากกว่าผงชนวนเนื้อจะออกมาเป็นแบบไหน?
    3.ถ้าเอาผงชนวนใส่มากกว่าปูนเปลือกหอยเนื้อจะออกมาเป็นแบบไหน

    ต่อมา. 1.ผงชนวนถ้าอยู่ตัวคนเดียวเรามองแล้วจะได้ความรู้สึกอะไร?
    2.ปูนเปลือกหอยถ้าอยู่ตัวคนเดียวเรามองแล้วได้ความรู้สึกอะไร?

    นี่คือการพิจารณาล้วนๆ. เป็นวิธีการที่ผมใช้และเรียกหลักนี้ว่า. "แยกใหญ่ให้เล็ก รวมเล็กให้ใหญ่"
     
  19. phak622

    phak622 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +402
    **********ผงกฤติยาคม*********สำหรับผมนั้น ท่านไม่ต้องเบิกไม่ต้องอะไรทั้งสิ้นแต่ต้องมีเพราะ ผงที่ว่าอยู่ใน ข้อที่2.ที่ผมว่าใว้. แต่ผงชนวนไม่ได้เกิดขึ้นตามกรรมวิธิที่กล่าวมาเพียงอย่างเดียว. แต่ที่แน่ๆเกิดจากการเขียนแล้วลบครับ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2012
  20. Tonypwm

    Tonypwm Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +87
    เอาเปลือกหอยมาให้ดู เข้ามาประกอบการบรรยายภาพให้เข้าใจมากขึ้นครับ
    ว่าแต่เขาเอาชนิดไหนทำล่ะครับ

    ลองดูเนื้อหอยครับให้สังเกตุความหนึกนุ่มของเปลือกหอยครับ อันนี้เป็นหอยจากแหล่งชะอำเพชรบุรีครับ

    คุณ phak622 มีบรรทึกของกรมศิลป์ไหมครับว่าเขาเริ่มใช้ปูนเปลือกหอยกันในสมัยรัชกาลที่เท่าใด แต่คุ้นว่ามีใช้กันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว เพราะเห็นเศษหอยตามเจดีย์เก่าๆที่อยุธยาตามรอยปูนทีฉาบไว้เก่า แล้วกระเทาะล่อนออกมา

    เอ้าดูหอยกันดีกว่าครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN2028.JPG
      DSCN2028.JPG
      ขนาดไฟล์:
      5.6 MB
      เปิดดู:
      105
    • DSCN2027.JPG
      DSCN2027.JPG
      ขนาดไฟล์:
      5.8 MB
      เปิดดู:
      279
    • DSCN2025.JPG
      DSCN2025.JPG
      ขนาดไฟล์:
      5.5 MB
      เปิดดู:
      98
    • DSCN2024.JPG
      DSCN2024.JPG
      ขนาดไฟล์:
      5.4 MB
      เปิดดู:
      162
    • DSCN2029.JPG
      DSCN2029.JPG
      ขนาดไฟล์:
      5.5 MB
      เปิดดู:
      117

แชร์หน้านี้

Loading...