เรื่องเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นจริง!

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เกตุวดี, 27 พฤษภาคม 2014.

  1. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    นักแสดงผู้มีความสามารถควบคุมการผายลม

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=ZB_QyxV8lHA]IL PETOMANE (Ugo Tognazzi) Spettacolo - YouTube[/ame]

    เคยมีคนใช้ความสามารถพิเศษนี้สร้างชื่อเสียงและกลายเป็นเศรษฐีร่ำรวยมาแล้ว
    เขาชื่อว่า ปูจอล

    ปูจอล(1875-1945) เป็นนักแสดงบนเวทีที่มีชื่อเสียงโดดเด่นในฝรั่งเศส คือเขาสามารถควบคุมการผายลม(ตด) ได้โดยใช้กล้ามเนื้อหูรูดตูด เขาสามารถใช้ความสามารถพิเศษนี้สร้างชื่อเสียงและกลายเป็นเศรษฐีร่ำรวยใน ชั่วพริบตา

    ปูจอลรู้ถึงความ สามารถตนเองเมื่อครั้งยังเด็กตอนว่ายน้ำทะเล เขากลั้นหายใจใต้น้ำ จากนั้นเขาก็รู้สุกเย็นยะเยือกด้านหลังของเขา เขาวิ่งขึ้นฝังด้วยความตกใจและประหลาดใจเมื่อมีน้ำไหลจากทหารหนักของเขา แพทย์ลงความเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ

    ต่อมาเขาเข้าร่วมกองทัพและเขาก็แสดงความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งให้เพื่อนทหารดูคือเขาสามารถ ควบคุมการผายลมได้ และสามารถเล่นเพลงได้ด้วย!!

    จาก นั้นปูจอลก็ได้ตัดสินใจใช้ความสามารถนี้ไปแสดงที่เวทีใน Marseille debuteed ในปี 1887 และได้ผลตอบรับเป็นอย่างสูง และเขาก็เริ่มมีชื่อเสียงจากการแสดงในโรงละครมูแล็ง รูจ(Moulin Rouge) ที่ปารีสนั้นในปี 1892 คนดูบางคนลุกขึ้นยืนตัวแข็งน้ำตาไหลพราก บางคนก็ตีอกชกหัวส่วนอีกบางคนก็หัวเราะจนลงไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้น ผู้หญิงสมัยนั้นใส่สเตย์รัดรูปแน่นหัวเราะหนักเข้าก็เกิดอาการหายใจไม่ออก ด้วยเหตุนี้ เวลานายปูจอลออกแสดงจึงต้องมีนางพยาบาลแต่งเครื่องแบบออกมาคอยทำหน้าที่ทาง ที่นั่งคนดูครั้งละหลายคนเสมอ

    การแสดงของปูจอลอยู่ชุดเดียว ไม่ได้เปลี่ยนเลยตลอดเวลายี่สิบปีเขาจะขึ้นเวทีคนเดียวนุ่งกางเกงแพรดำแค่ เข่า สวมเสื้อแดง เดินออกไปคำนับคนดูที่หน้าเวทีและกล่าวกับผู้ชมด้วยอารมณ์ขันว่า “ท่านสุภาพสตรี ท่านสุภาพบุรุษ ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่จะนำเสนอต่อท่านการแสดงตด...” จากนั้นเขาก็โก้งโค้งลงตดแบบต่างๆ ตดเป็นเสียงเพลง ไม่ว่าจะเป็นเพลงอ่อนหวานช้าๆ(ตดเบาๆ) เพลงตื่นเต้น(ตดดังๆ) เขาเล่นได้หมด นอกจากนี้ เขายังสามารถทำเสียงตดให้เหมือนยิงปืนกลทั้งตับ หรือตดดังกระหึ่มครึมครางเหมือนเสียงปืนใหญ่และฝนฟ้าคะนองได้ ผ่านทวารหนักของเขาซึ่งดังอยู่ถึงสิบวินาที นอกจากนั้นนายปูจอลยังตดไล่ลูกฆ้อง ทำเสียงโด เร มี ฟา จากเสียงสูงไปหาต่ำ และจากต่ำไปหาสูง นอกจากนี้เขายังเป่าเทียนดับโดย ใช้ตดได้อีกด้วย

    ปรากฏว่าในการแสดง รอบกลางวันนายปูจอลเรียกคนดูได้คิดค่าตั๋วเป็นเงินถึง 20,000 ฟรังค์ มีคนดูเข้ามาชมการแสดงอย่างล้นหลาม รวมไปถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินอย่างพระองค์ก็เข้ามาดูการแสดงของปูจอลด้วย ทำลายสถิตินางซาราห์แบรน์ฮาร์ดดาราหญิงผู้ยิ่งใหญ่ของโลกนั้น ซึ่งได้ค่าตั๋วรอบกลางวันเพียง 8000 ฟรังค์เท่านั้น ผิดกันตั้งไกล

    ต่อมาอีกภายในเวลายี่สิบปี นายปูจอลก็ได้แสดงที่ปารีส ที่บรุสเซลส์เมืองหลวงของเบลเยี่ยมในแอฟริกาเหนือ และในที่อื่นๆ ทั่วยุโรป

    ต่อมานายปูจอลเกิดไม่ลงรอยกับโรง ละคอนมูแล็ง รูจ จึงออกไปตั้งการแสดงด้วยตนเอง เปิดโรงละคร ขึ้นใหม่เป็นของตน ชื่อโรง “ปอมปาดัวร์” แสดงตดเกือบจะล้วนๆ

    นายปูจอลมีอายุอยู่มาถึง 88 ปี และตายเมื่อปี 1945 ถูกฝังที่ป่าช้า La Valette de Var หลุมศพของเขายังคงเห็นทุกวันนี้ ครอบครัวของเขาได้รับขอเสนอเป็นเงินก้อนโตให้แพทย์ศึกษาร่างกายของเขา แต่พวกเขาปฏิเสธข้อเสนอ


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 กรกฎาคม 2014
  2. ยากูซ่าา

    ยากูซ่าา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    1,028
    ค่าพลัง:
    +808
    สวัสดีค่ะคุณน้องมินต์
    ยากูซ่าแวะมาเป็นกำลังใจให้นะคะ
    กระทู้นี้มีสาระน่าสนใจดีจังเลย
     
  3. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    ขอบคุณคุณยากูซ่าที่มาให้กำลังใจค่ะ :cool:(f)
     
  4. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    คลิปหญิงไทยร้องเพลงกล่อมช้างนอนหลับ แชร์ทั่วโลก

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Y6mml1Lr3_M]คลิปหญิงไทยร้องเพลงกล่อมช้างนอนหลับ แชร์ทั่วโลก - YouTube[/ame]

    สุดประทับใจ...คลิปหญิงไทยร้องเพลงกล่อมช้างนอนหลับปุ๋ย ด้านสื่อมะกันตีข่าว ชาวเน็ตทั่วโลกแห่ชื่นชม

    เป็นคลิปที่เห็นแล้ว..อดชื่นชมถึงความรักความเอ็นดูของคุณเล็ก แสงเดือน ใจเลิศ ผู้ก่อตั้งศูนย์บริบาลช้างแม่แตง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ที่มีต่อเจ้าช้าง "ฟ้าใหม่" ไม่ได้เลยล่ะ นั่นเป็นเพราะคุณเล็กร้องเพลงกล่อมช้าง เพื่อให้ช้างได้นอนหลับสบาย อีกทั้งยังคอยดูแลโบกพัดเจ้าฟ้าใหม่ด้วยความรักด้วย งานนี้เจ้าฟ้าใหม่เลยหลับปุ๋ยแถมยังกรนเสียงดังอีกต่างหาก

    ทั้งนี้ คลิปที่คุณเล็กร้องเพลงกล่อมช้างฟ้าใหม่นั้น ทางหนังสือพิมพ์ออนไลน์ของสหรัฐฯ ก็ได้นำไปเผยแพร่เรื่องราวดังกล่าวด้วย เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2557 โดยมีข้อความที่หน้าคลิปวิดีโอว่า "มั่นใจ ว่าคุณไม่เคยเห็นภาพนี้มาก่อน" ซึ่งหลังจากคลิปนี้ได้เผยแพร่ออกไป บรรดาชาวเน็ตทั่วโลกต่างก็กดไลค์และแสดงความคิดเห็นมากมาย โดยกล่าวชื่นชมคุณเล็กถึงความรักที่เธอมีต่อช้าง

    สำหรับ คุณเล็ก แสงเดือน ใจเลิศ เป็นผู้ก่อตั้งศูนย์บริบาลช้างแม่แตง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ด้วยเงินเก็บของเธอเอง เนื่องจากต้องการให้ที่แห่งนี้เป็นที่อยู่ของช้าง และช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เธอก็ได้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ ทำงานช่วยเหลือช้างที่ได้รับบาดเจ็บมาโดยตลอด


    kapook.com
     
  5. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    เจ้าหนูเสียงมหัศจรรย์ร้องเพราะจนกรรมการเงิบ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=xLiU7gMdLjs&feature=kp]ขนลุกทั้งรายการ! เมื่อเจอเจ้าหนูเสียงมหัศจรรย์ ร้องเพราะจนกรรมการเงิ่บ - YouTube[/ame]
     
  6. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    มหัศจรรย์ชีวิต คุณเกิดมาได้อย่างไร

    (พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ได้เล่าว่า
    พระพุทธเจ้าได้ทรงอุปมาไว้ว่า การได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก
    เปรียบเสมือนว่า ในห้วงมหาสมุทรมีเต่าตาบอดตัวหนึ่งดำน้ำอยู่ใต้ทะเล
    โดยในทุก ๆ ๑๐๐ ปี เต่าตาบอดตัวนี้จะโผล่ศีรษะขึ้นมาพ้นเหนือพื้นผิวทะเลครั้งหนึ่ง
    และในมหาสมุทรนั้นก็มีห่วงเล็ก ๆ ซึ่งขนาดใหญ่กว่าศีรษะของเต่าตัวนั้นไม่มาก
    ลอยอยู่ด้วย ๑ ห่วง ดังนี้ โอกาสที่เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่ศีรษะขึ้นมาเหนือพื้นผิวทะเล
    แล้วศีรษะของเต่าตาบอดนั้นไปลอดเข้าห่วงนั้นได้พอดี
    โอกาสนั้นก็ยังจะมีมากกว่าการที่เหล่าสัตว์ทั้งหลายจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์



    "กำเนิดมนุษย์"

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=TMKlIhgovPM]ไตรภูมิพระร่วง มนุสสภูมิ ตอนกำเนิดมนุษย์ - YouTube[/ame]

    การปฏิสนธิในคน น้ำอสุจิของเพศชายจะปร­ะกอบด้วยอสุจิเป็นจำนวนมากถึง 4 - 5 ร้อยล้านตัว บรรดาอสุจิเหล่านี้มีทั้งแข็งแรงและไม่แข็­งแรง พวกที่แข็งแรงก็สามารถแหวกว่ายเข้าไปในมดล­ูก และเลยเข้าไปยังปีกมดลูกเพื่อจะได้ผสมพันธ­ุ์กับไข่ ตามปกติอสุจิตัวที่แข็งแรงที่สุดตัวเดียวเ­ท่านั้นจะไปพบกับไข่ได้ก่อน และเนื่องจากอสุจิจะมีสารซึ่งสามารถละลายผ­นังที่ห่อหุ้มปกป้องไข่ออกได้ อสุจิจึงเจาะผ่านเปลือกของไข่ เพื่อเข้าไปรวมตัวกับนิวเคลียสภายในไข่ได้ หลังจากนั้นอสุจิตัวอื่นๆ ก็จะไม่สามารถเข้าไปได้อีก ส่วนอสุจิตัวที่เข้าไปในไข่แล้วจะสลัดหางท­ิ้ง และส่วนหัวที่เข้าไปในไข่จะเริ่มพองขึ้นแล­ะหลอมรวมกันกับไข่เป็นเซลล์เดียวกันในที่ส­ุดการแบ่งตัวของเซลล์หลังการปฏิสนธินั้น แทบจะเกิดขึ้นในทันทีหลังจากการปฏิสนธิเกิ­ดขึ้น โดยเซลล์จะเริ่มแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้นเ­รื่อยๆ และเคลื่อนตัวผ่านท่อนำไข่มาสู่โพรงมดลูก ในระยะเวลาประมาณ 4 วัน หลังจากเกิดการปฏิสนธิ ไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว (Fertilized ovum) ในช่วงนี้ไข่จะมีลักษณะเป็นลูกกลม ประกอบด้วยเซลล์ประมาณ 100 เซลล์ ภายในลูกกลมนี้จะเป็นโพรงที่บรรจุของเหลว ซึ่งขนาดของไข่นี้จะไม่สามารถมองเห็นได้ด้­วยตาเปล่า ไข่จะใช้เวลาอีกประมาณ 2 - 3 วัน ลอยอยู่ในโพรงมดลูกนี้หลังจากที่ไข่ลอยอยู­่ในโพรงมดลูกชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก็จะเข้าสู่ระยะการฝังตัว โดยประมาณปลายสัปดาห์ที่ 3 ไข่ที่ผสมแล้วจะเคลื่อนตัวลงมาตามปีกมดลูก เมื่อมาถึงมดลูกแล้วไข่ก็จะเกาะติด และฝังตัวลงในเยื่อบุมดลูกที่มีลักษณะหนาแ­ละนุ่ม ซึ่งมีโลหิตมาคั่งเพื่อเตรียมพร้อมอยู่ก่อ­นแล้ว เมื่อเกาะยึดกันมั่นคงดีแล้ว ก็อาจถือได้ว่า การปฏิสนธิได้ดำเนินไปอย่างเรียบร้อยและสม­บูรณ์ ไข่ที่ผสมแล้วในระยะนี้เรียกว่า เอ็มบริโอ (Embryo) ซึ่งเอ็มบริโอนี้จะยื่นส่วนอ่อนนุ่มลักษณะคล้ายนิ้วมือแทรกลึกลงไปในผนังมดลูกเพื่อสร้างทางติดต่อกับเลือดของแม่ต่อมาส่วนนี้จะเจริญเติบโตขึ้นกลายเป็นรกและจะมีการสร้างสายสะดือและถุงน้ำคร่ำห่อหุ้มต่อไปตัวเอ็มบริโอเองก็จะมีเนื้อเยื่อพิเศษสามชั้นซึ่งต่อไปในแต่ละชั้นก็จะสร้างเป็นอวัยวะต่างๆของร่างกายทารกต่อไปนั่นเอง

    เรื่อง การปฏิสนธิของมนุษย์ วิกิพีเดีย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 กรกฎาคม 2014
  7. เมตต

    เมตต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +240
    หลังจากปฏิสนธิครบ 7 วันจิตวิญญาณจะเข้าสู่ร่าง ก่อนเข้าจะทำประทักษิณารอบท้องมารดา 3 รอบ ใครทราบบ้างว่า ผู้หญิงกับผู้ชายเวียนต่างกันอย่างไร เสร็จแล้วก็เข้าสู่ท้องแม่ทันที ถ้าใครเรียนตายจบแล้วก็ต้องเรียนเกิด ฉนั้นการเกิด เกิดได้อย่างไร ได้เห็นภาพที่ชัดเจน เมื่อพิจารณาธรรมก็จะได้รับรู้เร็วขึ้น และน่าจะสร้างบทที่เกิดจากความแก่ ความเจ็บ และความตายต่อ วีดิโอนี้มีประโยชน์มากสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม อนุโมทนาสาธุขอบคุณมากๆ
     
  8. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    คงหมายถึงประทักษิณาวัตร ซึ่งหมายถึงการเวียนขวาสามรอบใช้กับสิ่งที่เป็นมงคล เช่นการเวียนเทียนรอบโบสถ์
    ส่วนการเวียนซ้ายจะเห็นในการพิธีก่อนเผาศพ จะนำศพเวียนรอบเมรุไปทางซ้ายสามรอบ แต่ไม่ทราบความหมายของการเวียนซ้ายค่ะ

    ตามตำนานพระพิฆเณศเป็นเทพแห่งปัญญาโดยชัดเจน จากเรื่องราวการเดินทางรอบโลกแข่งกันระหว่างพระพิฆเณศกับพระขันธกุมาร เมื่อพระขันธกุมารทรงนกยูงออกไปก่อน ในขณะที่พระพิฆเณศเลือกการทักษิณาวัตรพระอิศวรและพระอุมาซึ่งมีฐานะเป็นบิดามารดาของตนแล้วกล่าวตามเนื้อหาพระคัมภีร์ว่า ผู้ใดที่ทักษิณาวัตรบิดามารดาของตนเอง ย่อมเท่ากับผู้นั้นได้เวียนรอบโลก เพราะว่าคุณของบิดามารดายิ่งใหญ่กว่าแผ่นดิน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 กรกฎาคม 2014
  9. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    ความจริง 7 ประการ

    ความจริงในโลก 7 ประการ ..

    1. คุณไม่สามารถมองหูตัวเองได้ (นอกจากดูในกระจก) ..

    2. คุณไม่สามารถนับเส้นผมของคุณได้ ..

    3. คุณไม่สามารถหายใจทางจมูกและแลบลิ้นในเวลาเดียวกันได้ ..

    4. คุณเพิ่งทดลอง ข้อ 3

    5. ตอนที่คุณทำตามข้อ 3 คุณรู้ทันทีว่าคุณทำได้

    6. ตอนนี้คุณกำลังยิ้ม และเพิ่งรู้ตัวว่าเพิ่งทำจมูกบาน แลบลิ้นเป็นน้องหมา 555+

    7. คุณรู้ตัวว่ากำลังโดนแกล้ง อิอิแล้วคุณก็ยิ้มได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 กรกฎาคม 2014
  10. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    Chris Angel

    [​IMG]

    คริส แองเจิล เป็นนักแสดงมายากลชาวอเมริกันเชื้อสายกรีกและยังเป็นนักดนตรี เขาเติบโตที่ รัฐนิวยอร์ก เขามักแสดงกลลวงตาเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง เช่น การเดินบนน้ำ การมุดทะลุผ่านกระจก และการล่องลอยตัวจากตึกหนึ่งไปยังอีกตึกหนึ่ง เขามีรายการโทรทัศน์ที่ออกอากาศในอเมริกามีชื่อรายการว่า "Criss Angel Mindfreak"ซึ่งเป็นรายการที่โชว์ความสามารถด้านมายากล

    ข่าวนี้เคยโด่งดังไปทั่วโลกมาแล้วครั้งนึง เป็นที่กล่าวขานกันว่าชายคนนี้สามารถลอยตัวข้ามตึกได้ยังไง โดยที่เขาให้ตากล้องจับภาพกันสดสดเลย และคนที่กำลังเดินผ่านไป ผ่านมา ก็ตกตะลึงไปตามกัน

    Chris Angel นักมายากลที่ ไม่มีใครทราบว่าเขาสามารถทำเรื่องพวกนี้ได้อย่างไรกันแน่


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=d75B6Fi4BpQ]Cris Angel- Levitation from building to building - YouTube[/ame]


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=jxOyST6gM_A]Criss Angel - Walk Through Metal Gate - YouTube[/ame]
     
  11. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    จำได้ว่าตอนสมัยเป็นเด็กป้าพาไปสถานที่หนึ่งจำไม่ได้ว่าคือที่ใด เนื่องจากป้าคิดว่าตนเองโดนคุณไสยจึงไปรักษาตัวและพาข้าพเจ้าไปเป็นเพื่อน พอดีไปเจอรูปเก่าๆ เข้า หลายปีมากแล้ว อาจารย์ท่านนี้แต่งตัวคล้ายฤาษีเวลาทำพิธีคุณไสยจะสวดมนต์ และถอนสิ่งที่ไม่ดีออกจากตัวคนไข้เข้ามาอยู่ไข่ไก่ เทียนที่ใช้จุดไฟ เทียนนั้นไฟจะลุกขึ้นเอง (เห็นด้วยตาตัวเองเนื่องจากนั่งดูอยู่ใกล้มาก)จากการเพ่งเทียนและสวดมนต์ไปด้วย พอเทียนหมดแท่งท่านก็สาวเทียนที่อยู่ในน้ำมนต์ขึ้นมาเป็นสาย ซึ่งเป็นส่ิ่งเหลือเชื่อเพราะเทียนเมื่อหยดลงน้ำจะแข็งตัวเป็นเกล็ด แต่อาจารย์สาวขึ้นมาเป็นเส้นยาวๆ ได้ เมื่อทำพิธีเสร็จก็ตอกไข่ไก่ของแต่ละคน บางคนตอกไข่ออกมาไม่มีอะไร แต่บางคนก็มีของแปลกๆ อยู่ข้างใน (ดูภาพค่ะ)พอดีไปค้นเจอรูปจึงเอามาลงให้ดู คิดว่าอาจารย์ท่านนี้คงสำเร็จกสิณไฟ ปัจจุบันป้าของข้าพเจ้าเสียชีวิตไปแล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 กรกฎาคม 2014
  12. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    ผู้ผ่านยมโลก โดย ท.เลียงพิบูลย์

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=t3uMZ6oPJeY]กฎแห่งกรรม ตอน ผู้ผ่านยมโลก - YouTube[/ame]

    เมื่อคุณนายน้อมได้ส่งหนังสือมาให้ข้าพเจ้าอ่านเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณ เรื่องตายแล้ววิญญาณออกจากร่างท่องไปตามสถานที่ต่างๆ ผู้มีประสบการณ์ได้บันทึกเขียนขึ้นแล้ว เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๗ เมื่อท่านยังเป็นภิกษุนวกะ ขณะที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดราชประดิษฐ์ ท่านมีนามฉายาว่า “กนฺตสิริ ภิกฺขุ” (ธนศิริ ศิริสัมพันธ์) พอที่จะคลี่คลายคำถามในเรื่อง “ตายแล้วไปไหน” ของท่านผู้สนใจ

    ท่านได้บันทึกไว้ท้ายเรื่องว่า การที่อาตมาบันทึกเขียนเรื่องนี้ขึ้น ในขณะที่อาตมารักษาศีลภาวนาถือพรหมจรรย์ มีสัจจะหากว่าอาตมายังอยู่ในเพศฆราวาส ท่านพุทธมามกะแม้จะเชื่อก็คงมีน้อย เพราะเรื่องเกิดขึ้นกับอาตมานั้นเป็นเรื่องจริง เป็นสิ่งที่ลี้ลับมหัศจรรย์ยากที่ผู้ที่ไม่ได้ประสบกับตัวเองก็ยากจะเชื่อง่ายๆ

    ฉะนั้น อาตมาคิดแล้วจึงได้บันทึกเรื่องนี้ขึ้น ไม่อยากปล่อยให้ผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็น่าเสียดาย จึงได้บันทึกไว้เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังที่สนใจ จะได้เป็นแนวศึกษาค้นคว้าในสิ่งลี้ลับซับซ้อน ขณะอาตมายังอยู่ในร่มโพธิของพระพุทธศาสนา ห่มห่อด้วยผ้ากาสาวพัสตร์ มีศีลสัจจะที่ปฏิบัติ ทำจิตสะอาดบริสุทธิ์ มีสติสัมปชัญญะปกติธรรมดา มีจิตใจแจ่มใสขอให้ท่านผู้ที่สนใจอ่านจงได้ใช้วิจารณญาณดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอาตมาในยมโลกนั้น ควรจะหยิบยกมาพิจารณาสิ่งลี้ลับในโลกมนุษย์มีจริงหรือไม่

    ต่อไปนี้เป็นเรื่องของท่านกนฺตสิริภิกฺขุ ที่ข้าพเจ้าได้เรียบเรียงขึ้นใหม่ และย่อเรื่องให้เหมาะกับหน้ากระดาษจำกัดที่จะพิมพ์

    เมื่อครั้งอาตมามีอายุ ๑๙ ปีเศษ ได้ติดตามญาติผู้ใหญ่ไปอยู่หัวเมืองชายแดน เป็นจังหวัดที่แห้งเล้งกันดาร ตามสภาพของท้องถิ่นทางภาคอีสานในเวลานั้น วันหนึ่งอาตมาเกิดปวดฟันปวดที่กรามเป็นกำลัง การปวดฟันนั้นถ้าไม่ได้เป็นกับตัวเองแล้วคงไม่รู้ว่าปวดแค่ไหน อาตมาจึงไปหาหมอฟัน เป็นชาวจีนที่ตลาด เป็นหมอฟันชั้น ๒ สมัยนั้นหมอฟันชั้นหนึ่งหายาก ยิ่งต่างจังหวัดหาไม่ได้ มีแต่หมอฟันชั้นสอง ที่เป็นชาวจีนทำตกทอดกันมาครั้งบรรพบุรุษถึงลูกหลานด้วยความชำนาญ เมื่อหมอถอนฟันซี่ที่ปวดออกแล้ว อาตมาก็ขึ้นสามล้อพ่วงข้างกลับที่พัก

    เมื่อกลับมาถึงที่พักประมาณ ๑๐.๐๐ น. แล้วอาการปวดก็ค่อยเบาบางลง แต่ความรู้สึกเวลานั้นมีความง่วงอยากนอน จึงเอนตัวลงนอน หลังติดที่นอนแล้ว เกิดความรู้สึกมีอะไรผิดปกติในร่างกายจากปลายเท้าปลายมือรวมกัน เหมือนมีเลือดฉีดแรงแล่นเข้ามารวมจุดที่ตรงหัวใจ ต่อจากนั้นอาตมาก็หมด สติหมดความรู้สึก

    แต่แล้วพอรู้สึกตัวก็คล้ายความฝัน แต่เป็นความฝันที่แจ่มแจ้งชัดเจนผิดกับความฝันธรรมดา ที่ได้เกิดขึ้นกับอาตมา และรู้ว่าร่างนั้นยังนอนออยู่ในท่าเดิม แต่มีบุรุษ ๒ นาย ผู้หนึ่งยืนอยู่ทางศีรษะ อีกคนหนึ่งยืนอยู่ที่ปลายเท้า บุรุษที่ยืนอยู่ทางหัวนอนนั้นถือคบเพลิง ด้ามทำด้วยทองเหลืองอยู่ในมือชูขึ้น บุรุษผู้ที่ยืนปลายเท้าเรียกให้อาตมาลุกขึ้น และบอกว่าไปด้วยกันเถิด อาตมาพิจารณาดูชายทั้งสอง รูปร่างใหญ่ ผิวเนื้อดำล่ำสัน อายุประมาณ ๓๐ และเข้าใจว่าไม่เกิน ๔๐ ปี อาตมาจึงถามบุรุษผู้นั้นว่า

    “จะพาไปไหน”

    แต่บุรุษผู้นั้นพูดคล้ายบังคับว่า “ไปก็แล้วกัน”

    ได้ยินเท่านั้นอาตมาก็ลุกขึ้นและเดินตามเขาไป ส่วนผู้ถือคบเพลิงนั้นบอกกับเพื่อนว่า “ให้พาอาตมาไปคนเดียวก็ได้ เพราะยังเด็กคงไม่กล้าขัดขืน” แล้วก็แยกทางไป

    อาตมารู้สึกว่ามีสภาพตกอยู่ในความควบคุมตัวไป หมดความเป็นอิสระ ไม่ทราบชะตากรรมข้างหน้าจะเป็นอย่างไร บุรุษผู้นั้นเดินนำหน้าอาตมาเดินออกจากบ้านไป ทางเดินผ่านป่าโปร่งมีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมทั่วไป อาตมาพยายามสังเกตสองข้างทางผ่าน สองข้างทางเดินมีบ้านของชาวบ้านป่าปลูกอยู่เป็นกลุ่มมีเพียง ๓ หลังเท่านั้น ตั้งอยู่ห่างกันพอสมควร เมื่อผ่านหมู่บ้านสามหลังนี้ไปแล้วก็จะมองเห็นข้างหน้าเป็นหาดทราย มีน้ำใสสะอาด เห็นแล้วอยากจะอาบคิดอยู่ในใจว่า ถ้าได้อาบน้ำคงจะเย็นสบาย เมื่ออาตมาขอผู้ควบคุมลงไปอาบน้ำที่หาดทราย บุรุษผู้นั้นก็อนุญาตให้โดยดีแล้ว ตัวผู้ควบคุมก็ไปนั่งคอยอยู่บนตอไม้ใหญ่ที่ถูกเผาจนดำเกรียม

    เมื่ออาตมาได้ลงไปอาบน้ำที่ใสสะอาด รู้สึกจิตใจชุ่มชื่นเย็นสบาย อาบอย่างเพลิดเพลินไม่อยากขึ้นจากน้ำ จนบุรุษผู้ควบคุมอาตมาออกปากชวนให้ขึ้นจากน้ำเพื่อเดินทางต่อไป จึงต้องจำใจขึ้นจากน้ำมาอย่างเสียดาย รีบสวมใส่เสื้อผ้า เสร็จแล้วอาตมาก็เดินตามบุรุษผู้นำทาง ซึ่งไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดที่ใด เมื่อเดินไปได้ไม่นานก็ถึงทางแยก รู้สึกว่าจะเคยผ่านมาแล้ว จึงหันไปดูให้แน่ใจ เมื่อหันกลับมาก็ปรากฏว่า มีกำแพงคล้ายกำแพงวัดสูงพอประมาณ บุรุษผู้นั้นได้นำอาตมาเดินผ่านประตู ซึ่งเปิดไว้ก่อนแล้วเข้าไปข้างใน

    ภายในกำแพง อาตมาเห็นสระน้ำมีดอกบัว และใบบัวชูสลอนข้างสระบัวมีศาลา บนศาลามีพระกำลังเทศน์อยู่บนธรรมาสน์ มีหญิงชายนั่งสงบนิ่งพนมมือตั้งใจฟัง ไม่สนใจอะไร ส่วนมากเป็นผู้ที่สูงอายุ เมื่ออาตมาผ่านถึงหน้าศาลาก็หยุดเดิน แล้วหันหน้าไปทางพระที่กำลังเทศน์ ยกมือขึ้นพนม ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ คิดถึงเมื่อครั้งเป็นนักเรียน อาตมาเคยปฏิบัติอยู่เสมอ เพราะทางไปโรงเรียนจะต้องผ่านวัดผ่านโบสถ์ทุกวัน

    เมื่อเราเดินผ่านศาลาที่พระเทศน์ แล้วก็ถึงกำแพงชั้นใน เหมือนกำแพงชั้นแรก มองเห็นข้างในมีบ้านทรงมนิลาชั้นเดียวสูง อยู่ทางซ้ายมือหลังหนึ่ง ในบริเวณบ้านปลูกดอกไม้ ตบแต่งไว้เป็นระเบียบสวยงามน่าดูมาก แต่บริเวณเงียบสงัด ปราศจากเสียงใดๆ บุรุษนั้นพาอาตมาไปถึงบันไดชั้นสูง แล้วหันมาบอกอาตมาว่า
    “ยืนอยู่ตรงนี้ก่อน”

    แล้วบุรุษผู้นั้นก็หยุดนิ่ง คล้ายจะรอพบใครที่มีตำแหน่งสูงกว่า เมื่อเราหยุดยืนรอไม่นานนักก็ปรากฏว่า มีพวกบุรุษร่างสูงใหญ่ แต่งกายคล้ายทหารโบราณ มือถือหอกก็มี บางคนก็ถือขวานใหญ่ ออกมายืนเรียบแถวขนาบสองข้าง ท่าทางดุ ขนาบข้างละ ๓ คน

    เมื่ออาตมาเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ทำให้ตกใจสะดุ้งนึกหวาดกลัว นึกในใจว่าคงจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับตัวเราในทางไม่ดีเวลาไม่ช้านี้ แต่ก็พยายามสะกดใจให้สงบไว้ ไม่ยอมให้เกิดความกลัวจนเสียขวัญแล้วจะขาดสติ เมื่อคุมสติอยู่แล้วก็คอยดูเหตุการณ์ต่อไป

    บุรุษที่เป็นผู้คุมก็ยืนนิ่ง และอาตมาก็ยืนสงบนิ่งเป็นตุ๊กตาไปด้วย ในใจนั้นยังควบคุมสติไม่ให้ตื่นเต้นคอยดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป

    ข้างหน้าเรายืนห่างออกไป มีม่านสีดำเป็นผ้าม่านกำมะหยี่ผืนใหญ่เหมือนฉากปิดอยู่ อาตมาคิดว่าภายในหลังม่านนั้นคงจะมีสิ่งลี้ลับซ่อนอยู่ภายใน อาตมาจ้องดูว่าต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น ต่อมาไม่นานนัก ม่านนั้นก็รูดไปรวมอยู่ทางเดียว จึงมองเห็นภายในมีโต๊ะและเก้าอี้ ๓ ตัว ตั้งอยู่อย่างเป็นระเบียบ พิจารณาแล้วก็เหมือนบัลลังก์ผู้พิพากษาออกตัดสินความ ทางสุดของบัลลังก์อยู่ด้านหนึ่ง เป็นช่องทางเดินออกมาจากภายในตึก

    เมื่อม่านเปิดแล้วก็ปรากฏว่า มีบุรุษผู้หนึ่งเดินออกมามีแฟ้มเอกสารหนีบไว้กับตัว เมื่อเดินออกมาแล้วเขาก็ไปนั่งเก้าอี้ด้วยท่าทางอันสงบ บรรยากาศภายในนั้นเงียบสงัด เขาตั้งหน้าตั้งตาเปิดแฟ้มพลิกดู ไม่ได้สนใจอะไรเหมือนไม่มีพวกเรายืนห่างออกมาตรงหน้าไม่ไกลนัก อาตมาจับตามองดูว่าเหตุการณ์อะไรที่จะเกิดขึ้นต่อไป ต่อมาไม่นานก็มีบุรุษอีกผู้หนึ่งเดินออกมาจากข้างในมือเปล่า แล้วตรงไปนั่งเก้าอี้ตัวที่ ๓ ด้วยท่าทางอันสงบ

    ครู่หนึ่งก็มีบุรุษสูงใหญ่ท่าทางสง่าน่าเกรงขาม แต่งตัวในเครื่องแบบแปลก อาตมาไม่เคยเห็นมาก่อน จึงอธิบายไม่ถูก พอมาถึงก็นั่งลงที่เก้าอี้ตัวกลาง พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ก็หันหน้ามาทางอาตมาว่า

    อาตมาเป็นคนใจบาป เมื่อเด็กอายุเท่านั้น ได้เอาก้อนอิฐขว้างลูกไก่ตาย อาตมาก็นิ่งฟังอย่างสงบ แล้วก็หวนไปนึกถึงอดีตเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เป็นความจริงที่อาตมาเคยขว้างลูกไก่ตาย อาตมาอยากจะเรียกท่านผู้นั้นว่า “ยมบาล” แล้วยมบาลก็ลำดับเรื่องต่อไป ถึงเรื่องอะไรที่อาตมาทำบาปกรรมไว้ในโลกมนุษย์ ที่จำได้อาตมาก็รู้ว่าเป็นความจริง ที่จำไม่ได้อาตมาก็ว่าไม่ตรงกับความจริง

    เมื่อยมบาลหยุดพูด อาตมาจึงบอกว่า การที่เอาก้อนอิฐขว้างลูกไก่ตายนั้นเป็นความจริง นอกนั้นข้อกล่าวหาไม่เป็นความจริง ยมบาลเห็นอาตมาค้านเสียงแข็งเช่นนั้น จึงหันมาทางผู้ตรวจแฟ้มถามว่า คนที่ให้เอาตัวมานั้นชื่ออะไร อายุเท่าใด ผู้ตรวจแฟ้มดูในแฟ้มตอบว่า ๑๓ ปี ชื่อเดียวกับอาตมา ท่านยมบาลย้อนมาถามอาตมาว่า ชื่อนี้ใช่ไหม เดี๋ยวนี้อายุเท่าไร อาตมาบอกว่า ใช่ชื่อนี้ อายุเวลานี้ ๑๙ ปี รู้สึกว่าเมื่อยมบาลได้ยินแล้วทำท่าตกใจ รีบสั่งผู้ที่คุมตัวอาตมาแต่แรกว่า ให้รีบพาอาตมาไปส่งให้เข้าร่างประเดี๋ยวจะไม่มีเวลา ทางบ้านเขาจัดการไปแล้วจะลำบาก แล้วยมบาลก็ให้โอวาทว่า

    ใครไปเกิดเป็นมนุษย์สร้างแต่กรรมดีเป็นกุศล เมื่อสิ้นอายุขัยแล้วมาสู่ยมโลก ไม่ช้าก็กลับไปเกิดในโลกมนุษย์เพื่อสร้างบารมีต่อไป หากสร้างกรรมชั่ว เมื่อสิ้นชีวิตมาสู่ยมโลก ต้องใช้หนี้กรรมที่ทำบาปไว้ในโลกมนุษย์ กว่าจะได้กลับไปเกิดเป็นมนุษย์อีกนั้นแสนยากนานแสนนานกว่าจะใช้หนี้กรรมหมด ยมบาลยังได้บอกกำหนดเวลาที่อาตมาจะสิ้นอายุขัย ยมบาลบอกเสร็จแล้วก็สั่งให้ผู้คุมที่พาอาตมา มาให้รีบพาไปส่งกลับโลกมนุษย์

    ก่อนที่จะกลับ ยังมีเวลาก็ให้พาผ่านไปทางสถานที่มนุษย์ที่สร้างกรรมทำชั่ว รอคอยเวลาชดใช้กรรม บุรุษผู้คุมนั้นพาอาตมาขึ้นไปบนตึกสามชั้น รูปร่างตึกมีระเบียง คล้ายกระทรวงกลาโหมของเรา แต่มีห้องเป็นลูกกรงเหล็ก ภายในมีผู้ถูกคุมขังมากมายคงได้รับทุกข์ทรมานอย่างสาหัส อ้าปากร้องครวญครางเสียงแหบๆ

    เวลานั้นอาตมาเกิดหวาดกลัว ไม่อยากเห็นสิ่งที่ไม่น่าดู อยากจะหลับตา อาตมาไม่อยากเห็นภาพที่มนุษย์จิตเหี้ยมโหด สร้างบาปไว้มากทุกข์ทรมาน ไม่อยากถาม อยากจะให้เขาพากลับบ้าน จึงเร่งให้พาตัวออกจาสถานที่นั้นโดยเร็ว ผู้คุมคงจะรู้ใจจึงพาอาตมาออกมาส่งทางเก่า พอมาถึงทางแยก และทางที่ไปหาดทรายที่อาตมาอาบน้ำ บุรุษผู้คุมก็บอกว่า

    “ต่อจากนี้เดินไปเองเถิด ประเดี๋ยวก็ถึง”

    แต่อาตมากลัวจะหลงทาง จึงอ้อนวอนขอให้ไปส่งถึงบ้าน แต่ก็ได้รับคำปฏิเสธยืนคำว่า

    “เดินไปเถิด ไม่ต้องไปส่ง ประเดี๋ยวก็ถึงบ้านเอง”

    เป็นอันว่าอาตมาต้องเดินกลับคนเดียว แล้วรีบเดินอย่างตื่นกลัวว่า จะหลงทางกลับบ้านไม่ถูก ทั้งภาพที่ได้พบเห็นยังติดตาฝังอยู่ในความรู้สึกไม่รู้หาย มีความรู้สึกหวาดกลัวสยดสยองไม่รู้ลืม อาตมาอยากถึงบ้านเร็วๆ เดินไปเหลียวหน้าเหลียวหลังกลัวหลงทางกลับบ้านไม่ถูก บังเอิญเท้าไปสะดุดรากไม้ อาตมาก็หกล้มตีลังกานอนหงายไม่เป็นท่า แล้วก็หมดความรู้สึกไปทันที

    พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นตัวเองมานอนบนฟูกอยู่ในห้องบ้านที่อาตมานอน พอรู้สึกตัวได้สติก็มองเห็นพี่สาวและชาวบ้านใกล้เคียงมานั่งอยู่ข้างที่นอน ต่างก็มีหน้าเศร้าเป็นทุกข์มีถาดบายศรีปากชาม ข้าวตอกดอกไม้บุหรี่อยู่ถาดหนึ่ง เมื่ออาตมาหันไปดูพี่สาวคนใหญ่และน้องๆ เห็นตาแดง ต่างเช็ดน้ำตาแสดงถึงการร้องไห้เป็นการใหญ่มาแล้ว เมื่ออาตมารู้สึกตัวมีสติปกติ ฟื้นขึ้นเป็นเวลาบ่ายมากแล้ว มีความรู้สึกกระหายน้ำมาก ลำคอแห้งผากน้ำลายไม่มีในปาก จึงร้องบอกพี่สาวซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ ด้วยเสียงแหบๆ ขอน้ำดื่ม พี่สาวก้มหูฟังพอรู้เรื่อง ก็รีบสั่งน้องสาวให้รีบไปตักน้ำใส่ขันใบใหญ่มาให้ดื่ม

    อาตมาได้ดื่มน้ำด้วยความกระหายแทบจะขาดใจ แล้วค่อยทำให้จิตใจชุ่มชื่นสดใสสบายขึ้น เมื่อดื่มน้ำอิ่มแล้วพอมีกำลังและมีเสียงดังขึ้นก็บอกว่า อาตมาไม่ตายแล้ว พวกพี่สาว น้องสาวและเพื่อนบ้านที่นั่งอยู่ที่นั่นต่างพากันดีใจ

    อาตมาบอกว่าหิวข้าว น้องสาวก็ไปจัดสำรับมาให้อาตมากิน อิ่มแล้วก็เล่าเรื่องเหตุการณ์ที่ไปประสบมาให้ฟัง ต่างก็มีความตื่นเต้นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอาตมาในปรโลกด้วยความสนใจ

    นี่เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นที่พระภิกษุนวกะ วัดราชประดิษฐ์บันทึกเขียน เมื่อครั้งท่านยังเป็น กนฺตสิริภิกฺขุ ตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นครั้งแรก ยังมีการตายแล้วฟื้นขึ้นครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้าแยกออกสองตอน เพราะต่างวาระต่างเวลากัน ทั้งบังเอิญหน้ากระดาษจำกัด หากมีเวลาพิมพ์ฉบับหน้าก็อยากจะเรียบเรียงตอนต่อไป ข้าพเจ้าได้รับความเห็นดีเห็นชอบจากท่านเจ้าของเรื่อง อนุญาตให้ข้าพเจ้าเรียบเรียงข้อความท่านผู้ผ่านยมโลกนี้คือ คุณธนศิริ ศิริสัมพันธ์ ปัจจุบันท่านอยู่บ้านสวน ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณท่านเจ้าของเรื่อง ผู้มีประสบการณ์ในเรื่องผู้ผ่านยมโลกมาในที่นี้ด้วย


    จากหนังสือกฎแห่งกรรม
    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๑
     
  13. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    บาป - บุญ มีจริง ตายแล้วฟื้น

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=cukx9TtLng8]ตีสิบ บาป บุญมีจริง ตายแล้วฟื้น - YouTube[/ame]

    ระลึกถึงความตายสบายนัก
    มันหักรักหักหลงในสงสาร
    บรรเทามืดโมหันต์อันธการ
    ทำให้หาญหายสะดุ้งไม่ยุ่งใจ

    พระศาสนโสภณ (จตตสลลเถร)


    มรณสติเมื่อบำเพ็ญอย่างสม่ำเสมอ ย่อมช่วยให้เกิดปัญญาตระหนักรู้ว่าความตายมิได้เป็นปฏิปักษ์กับชีวิต แต่เป็นสิ่งที่สามารถหนุนเสริมและขับเคลื่อนชีวิตให้เป็นไปในทางที่งอกงามได้ กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้วชีวิตกับความตายนั้นหาได้แยกจากกันไม่ หากดำรงอยู่ควบคู่กับชีวิตตลอดเวลา ดังมีพุทธพจน์ว่า “ความแก่มีอยู่ในความเป็นหนุ่มสาว ความเจ็บไข้มีอยู่ในความไม่มีโรค ความตายก็มีอยู่ในชีวิต” สำหรับผู้ที่เข้าถึงสัจธรรมดังกล่าว ความตายจึงไม่ใช่ศัตรู หากเป็นส่วนหนึ่งของธรรมดาที่สบตาได้อย่างสบายใจ

    ระลึกถึงความตายสบายนัก

    โดย พระไพศาล วิสาโล
     
  14. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำตอบปัญหาเรื่องเทวดา

    ผู้ถาม : คนที่ชอบบนกับพระภูมิ ท่านสามารถจะช่วยได้จริงหรือเปล่าค่ะ…?

    หลวงพ่อ : ก็ไปถามท่านซิ ฉันไม่ใช่คนถูกบนนี่…

    ผู้ถาม : บางครั้งคนที่ไปบนก็ได้รับความช่วยเหลือก็มีค่ะ แต่ยังไม่แน่ใจว่าท่านจะช่วยได้อย่างไร…?

    หลวงพ่อ : ท่านจะช่วยได้ในสิ่งที่ไม่เกินวิสัย อย่าลืมนะคนกับเทวดานั้นไม่เหมือนกัน ถ้าสิ่งที่เกินวิสัยเขาก็หมดทางช่วยเหลือเหมือนกัน เคยถามหลวงพ่อปานว่า เขาบนหลวงพ่อเขาขอให้หลวงพ่อช่วยหลวงพ่อแย่ไหม…ท่านบอกว่าไม่หรอก บางทีเขาบนเกินวิสัยท่าน ท่านก็ให้คณะของท่านมาสงเคราะห์พระโพธิสัตว์ทั้งนั้น ท่านต้องการช่วยคนอยู่แล้ว ท่านมีหน้าที่ช่วยคน ท่านทำเพื่อพระโพธิญาณ ถ้าท่านช่วยไม่ไหว องค์อื่นทำงานแทนทันที คณะของพระโพธิสัตว์นี่บารมีเข้มข้นมาก พระภูมิเจ้าที่หรือเทวดา พวกท่านก็มีเยอะเหมือนกัน ความสามารถไม่เท่ากัน ความสามารถเขาดูกันที่มือ องค์ที่มีอานุภาพมาก มือขวาแดงชาด แดงมาก มีฤทธิ์มาก แดงน้อยมีฤทธิ์น้อย ที่ไม่แดงเลยไม่มีฤทธิ์เลย

    ผู้ถาม : เราจำเป็นต้องตั้งศาลพระภูมิไหมค่ะ…?

    หลวงพ่อ : ก็สุดแท้แต่เรา เพราะว่าที่ต้องมีการยกศาลก็เป็นการยอมรับนับถือกัน เรื่องนี้บางคนเขาชอบสงสัย วันหนึ่งว่างๆ ถามท่านว่าทำไมจึงต้องตั้งศาล ท่านก็เลยบอกว่า ฉันจะเล่าประวัติให้ฟัง
    สมัยดึกดำบรรพ์ชาวบ้านยังไม่ มีอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวใจ ไปอยู่ที่ไหนก็ตามก็คิดว่าผีสางเทวดาอาจช่วยเขาได้ เขาก็จุดธูปเทียนบูชา ทีนี้ไอ้ที่บูชาที่ไหนมันก็ไม่เหมาะ เขาก็ปักบนกระบอกไม้ ต่อมาภายหลังความสุขสบายมีขึ้น ความเคารพนับถือมีขึ้น อาจจะใช้เวลาหลายชั่วอายุคนก็ได้ ก็คิดว่าเทวดานี่ดีจริง ทีนี้ทำยังไง จะวางกับดินก็ไม่ได้ หาโต๊ะหาตั่งลำบาก ก็ตั้งเป็นศาลเพียงตา ๒ ชั้น เวลาจะถวายอาหารเขาก็เอาไปวางบนนั้น ต่อมาภายหลังเขาเกิดสงสารเทวดา ก็เลยทำหลังคาให้ และต่อมาก็ทำเป็นเรือนมีหลังคา ต่อมาก็ประดิษฐ์เป็นเรือนไทย เวลานี้เป็นตึกแล้ว
    ก็รวมความว่า ศาลก็คือที่บูชานั่นเอง พระภูมิไม่ได้ขึ้นศาล วิมานท่านมีอยู่แล้ว ทีนี้ศาลที่เราทำเป็นที่บูชา การบูชานี่เป็นการยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน ก็เลยถามท่านว่า แล้วไปช่วยอะไรเขาได้บ้าง ก็ช่วยได้เท่าที่จะช่วยได้ ถ้าสิ่งใดที่จะช่วยได้ก็พยายามช่วย ถ้าสิ่งใดที่ช่วยไม่ได้ก็พยายามป้องกัน ถ้ากันไม่ได้มากก็กันน้อย แต่ว่ากำลังกันเขามากกว่า เอาเต็มที่ไม่ได้เอาสิบเปอร์เซ็นต์ก็ยังดี จนกระทั่งเขาไม่บูชา ทีนี้พอจะกันเขาได้ก็ไม่ได้เสียแล้ว เพราะไม่ได้ให้ช่วยได้ยังไงล่ะ เขาก็เฉย
    ทีนี้ถ้าถามว่าควรตั้งศาลไหม ถ้าชอบก็ควร ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องตั้ง แต่ถ้าเป็นฉัน ฉันตั้งนะ และฉันเคยแนะนำให้เขาตั้งศาลทางทิศเหนือกับทิศตะวันออกของบ้าน ถ้าตั้งทางทิศใต้กับทิศตะวันตก ทำมาหากินมาได้เท่าไร ก็ไม่เหลือ

    ผู้ถาม : ผมก็ตั้งครับหลวงพ่อ ผมบูชาทั้งพระภูมิทั้งผีบ้านผีเรือน เวลาถวายข้าวพระภูมิ ผมจะมีข้าวตอกให้ผีบ้านผีเรือนด้วย ทีนี้ถ้าผมจะเชิญพระภูมิเจ้าที่ และผีบ้านผีเรือนพร้อมกันเลยได้ไหมครับ…?

    หลวงพ่อ : ว่าได้เลย ทีเดียวพร้อมกัน ผีบ้านหรือผีเรือนก็หมายถึง ภูมิเทวดา ผีอื่นเข้ามายุ่งไม่ได้

    ผู้ถาม : ทีนี้ของถวายเราเอาไว้ในห้องพระได้ไหมครับ…?

    หลวงพ่อ : ได้…วางกับพื้นหรือวางกับโต๊ะอีกโต๊ะหนึ่งก็ได้ เทวดาก็เหมือนพระ ถ้าวางไว้คนละโต๊ะไม่เป็นไร ไม่ถือว่าเป็นอาสนะเดียวกัน

    ผู้ถาม : แล้วอย่างถวายพวงมาลัยพระ แต่ไม่ต้องจุดธูปเทียน นี่จะได้ไหมคะ…?

    หลวงพ่อ : ได้…ฉันนี่ฝ่ายขี้เกียจจุดธูปเทียน ฉันใช้เทียนไฟฟ้า เวลาบูชาก็กดสวิทต์แชะเป็นแสงสวยดีกว่า สว่างกว่าใช่ไหม…
    คือ ว่าการบูชาด้วยเทียนเป็นการบูชาแสงสว่างหรือเป็นการบูชาด้วยประทีปโคมไฟ ถ้าไฟฟ้าก็สว่างกว่าเทียนธรรมดา แล้วไม่มีอันตรายจากไฟด้วย มีประโยชน์กว่าเยอะ แต่ถ้าเราหาอะไรไม่ได้ก็เอาธูปน้อยๆ เทียนน้อยๆ เป็นแสงสว่างนั่นแหละดี

    ผู้ถาม : ผมเคยฟังเทปที่คุณพรนุชท่องสวรรค์ บอกว่าวิมานของภูมิเทวดาสูงจากพื้นดินสักคืบหนึ่ง ทีนี้เวลาที่ขับรถผ่านไปก็ดี หรือขี้เยี่ยวก็ดี อย่างนี้ไม่ถูกเขาหรือครับ…?

    หลวงพ่อ : วิมานเขาเป็นวิมานทิพย์ขยับได้ พอขี้จะถูกขยับปั๊บ

    ผู้ถาม : อ้อ…หลบได้ด้วย

    หลวงพ่อ : ไม่ถูก อย่างเขาพระสุเมรุ สูงมากจากพื้นดินไปถึงดาวดึงส์ และดาวดึงส์นั้นอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ เครื่องบินยังไม่เคยชนเลย ไม่มีอะไรชนได้หรอก เพราะสภาพเป็นทิพย์

    ผู้ถาม : เป็นอันว่า ขี้เยี่ยวตรงไหนไม่ต้องกลัวไปโดนนะครับ…?

    หลวงพ่อ :ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องห่วง เอาอย่างนี้ดีกว่า เพื่อความมั่นใจเวลาจะถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ก็ยกมือ
    ไหว้ เจ้าประคู้น หลบหน่อยเถิด มันจำเป็นจริงๆ

    หลวงพ่อ : ไม่เป็นไรหรอกนะ สภาพท่านเป็นทิพย์ ไม่มีอะไรกระทบท่านได้

    ผู้ถาม : หลวงพ่อค่ะ บ้านทุกหลังมีพระภูมิเจ้าที่อยู่ไหมค่ะ…?

    หลวงพ่อ : เขาคงไม่อยู่นะ พระภูมิองค์หนึ่งรักษาเขตเป็นกิโลๆ องค์เดียวกันนี่นะ เคยถามเขาว่า คนที่คุณรักษาในเขตกรุงเทพเป็นกิโลนี่คนมันมากเหลือเกิน มีเป็นล้าน แล้วคุณจะรู้ได้ยังไงว่าเขาทำดีทำชั่ว ต่างกรรมต่างวาระ คุณรู้ได้ยังไง เขาบอกว่าอารมณ์จิตผมเป็นทิพย์ครับ คือไม่ต้องไปถามดูหรอก มันขึ้นเอง คือว่าบัญชีมันขึ้นเลย มันจะบอกเลยว่าใครทำอะไร เขาบอกว่า เขามีหน้าที่รับทราบคนที่ทำความดีความชั่ว เมื่อถึงเวลาวันโกน วันกลางเดือนหรือวันสิ้นเดือน จะมีเทวดาชั้นจาตุมหาราชมารับบัญชี และก็จะไปส่งให้เทวดาที่เป็นมหาอำมาตย์ใหญ่ เทวดาผู้ใหญ่ก็เสนอท้าวมหาราชๆ ท่านก็แบ่งบัญชีเป็น ๒ บัญชี ใครทำบาปกันไว้ประเภทของบาป ใครทำบุญกันไว้ประเภทของบุญ ประเภทบาปก็ให้เทวดา ๔ องค์ ที่เรียกว่าเทวทูตนำไปส่งสำนักพระยายม ตัวท่านท้าวมหาราชเอง พอเวลาวันพระก็นำไปส่งที่ประชุมของเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อเทวดามาประชุมกันที่เทวสภาหรือศาลาสุธรรมา บรรดาเทวดาทั้งหลายเหล่านั้นเมื่อทราบว่าคนทำบุญมากก็ดีใจ แต่หน้าที่ที่จะนำเอาบัญชีนั้นไปกราบทูลให้พระอินทร์ทรงทราบ คือ ท่านปัญจสิกขเทพบุตร มีหน้าที่เป็นเลขาพระอินทร์ เมื่อพระอินทร์ทรงทราบแล้วก็ประกาศนามคนที่ทำบุญเหล่านั้นให้มวลหมู่เทวดา ที่มาประชุมกันทราบ ถ้าระหว่างวันพระไหนมีคนทำบุญมาก บัญชีบุญบัญชีกุศลมาก บรรดาเทวดาทั้งหลายก็ดีใจ กล่าวกันว่าต่อแต่นี้ไปพวกบรรดาเทพนิกายมากแล้ว เพราะอาศัยความดีดีใจปลื้มใจที่มีพวกมาก ท่านก็พากันฟ้อนรำทั้งเทวดาและนางฟ้า ความจริงสวยจริงๆนะ แต่วันพระไหนถ้าบังเอิญคนทำบุญน้อย บรรดาเทวดาทั้งหลายได้ทราบจากบัญชีของท้าวมหาราชก็สลดใจ วันนั้นไม่มีการฟ้อนรำ นั่งสลดใจเศร้าสร้อยไปตามๆกัน

    ผู้ถาม : ความจริงเราบูชาเทวดาก็ดีเหมือนกันนะครับ

    หลวงพ่อ : เขาเป็นเทวดา เราบูชาได้ อย่าลืมว่าเขาเป็นเทวดาแล้ว เรายังไม่เป็นเทวดา เราจะถือว่าเราดีกว่าเขาไม่ได้ ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นภูมิเทวดา ท่านก็เป็นเทวดาแล้ว เรายังไม่เป็นเทวดา ยังเอาแน่ไม่ได้ ใช่ไหม…เวลาที่เราบูชาเทวดาในวิสุทธิมรรคท่านเรียกว่า เทวตานุสสติกรรมฐาน นึกถึงความดีของเทวดา คือเขาจะเป็นเทวดาได้ด้วยคุณธรรม ๒ ประการคือ หิริ กับ โอตตัปปะ เรื่องชั่วนี่เขาไม่ทำ เขาจึงเป็นเทวดาได้ เราก็ใช้แบบนั้น และเขาก็ดีจริงๆ ถ้ามีอะไรขัดข้องที่จะต้องทำ ถ้าไม่เกินวิสัย เขาจะมาบอกเลย ท่านจะมาบอกก่อนเสมอ

    ผู้ถาม : หลวงพ่อค่ะ ภูมิเทวดานี่จะอยู่ถึงศาสนาพระศรีอาริย์ไหมคะ…?

    หลวงพ่อ : ถ้าเทวดาองค์นั้นไม่จุติก็อยู่ถึง

    หลวงพ่อ : ภูมิเทวดาก็มีอายุเท่ากับอากาศเทวดา คือจาตุมหาราช แต่ว่าจะเอาแน่อะไรกับท่านละ เทวดามี ๒ ประเภท เทวดาขยัน กับเทวดาขี้เกียจ คือว่าเทวดาขยันนี่ ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ขยันจุติมาบำเพ็ญบารมีเพิ่ม ถ้าเทวดาขี้เกียจก็ปล่อยเต็มหุ่ย หมดอายุเมื่อไรจุติเมื่อนั้น

    ผู้ถาม : อายุของภูมิเทวดาเท่าไรคะ?

    หลวงพ่อ : ภูมิเทวดามีอายุ ๕๐๐ ปีทิพย์ ๕๐ ปี ของเราเป็น ๑ วันของเขา ก็ลองคิดซิ อีกล้านปีพระศรีอาริย์จึงจะตรัส

    ผู้ถาม : ภูมิเทวดาเป็นพวกเดียวกับรุกขเทวดา หรือเปล่าคะ…?

    หลวงพ่อ : ก็เหมือนกัน แต่รุกขเทวดาอยู่สูงกว่าหน่อย อยู่บนต้นไม้ ถ้าต้นไม้พังวิมานก็พังก็ต้องเดินดินเหมือนกันคือลอยไม่ได้

    ผู้ถาม : ทีนี้มีอีกอย่างนะคะที่หนูสงสัย คือเวลาที่หนูสวดมนต์บูชาพระแล้วก็อุทิศส่วนกุศลไปยังสัตว์โลกทั้งหลาย แต่มีเพื่อนคนหนึ่งมาบอกว่า ให้อุทิศส่วนกุศลแก่ท้าวเวสสุวัณด้วย เพื่อให้ท่านเป็นพยาน ท้าวเวสสุวัณคือใครคะ…

    หลวงพ่อ : ท้าวเวสสุวัณ ก็คือเท้ามหาราชองค์หนึ่ง มี ๔ องค์ด้วยกัน คือ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ และท้าวเวสสุวัณ
    ถ้า เทวดาชั้นจาตุมหาราช เขาจะมีสองแบบนะ ยามปกติเขาจะอยู่ในฐานะทหารของพระอินทร์ เขาจะมีรูปร่างเหมือนคนนี่ล่ะ แต่ว่าเป็นคนละแบบ ท่าทางจะไม่สวยนัก แต่ถ้าเขาเข้าเครื่องทรงธรรมดาจะคล้ายพรหมหมด สวยมาก เพราะพวกนี้ก่อนตายเขาได้ฌาน แต่ว่าไม่ได้ถึงฌาน ๔ ได้แค่ฌาน ๑, ๒, ๓ และก่อนจะตายไม่ได้เข้าฌานตาย เขาจึงไปเป็นพรหมไม่ได้ จึงต้องพักแค่จาตุมหาราช พอไปชั้นนี้ฌานก็ทรงตัวตามเดิม แต่ก็ยังเป็นพรหมไม่ได้ ต้องทำงานตามเวลาก่อน เมื่อหมดวาระก็ไปเป็นพรหมตามกำลังของฌาน เวลาเขาแต่งเครื่องทรงเทวดานี่ รูปร่างเพรียวหมด มีสภาพเหมือนกับพรหม เพราะเขาไปจากฌาน
    เวลาอยู่ปกติเขาจะมีรูปร่างไม่เหมือนกัน อย่างลูกศิษย์ท้าวธตรฐนี่ มีรูปร่างเพรียวๆ สวยสะโอดสะองหน่อยๆ
    ถ้าลูกศิษย์ท้าววิรุฬหก เขาเรียกกุมภัณฑ์ อ้วนต่ำ
    ถ้าลูกศิษย์ท้าววิรูปักษ์ บอกลักษณะยาก ก็เหมือนกับคนเรานี่ อ้วนๆ ล่ำๆ แต่สูง
    ถ้าลูกศิษย์ท้าวเวสสุวัณนี่ ผมหยักโศก ท่าทางทะมัดทะแมงแข็งแรงมาก
    แต่ เทวดา ๔ ทิศนี่ มีพระท่านหนึ่ง จ.อยุธยาบอกว่า เทวดา ๔ ทิศนี่ มีเกเรจริงๆ อยู่ ๒ ทิศ คือลูกศิษย์ท้าวเวสสุวัณ กับลูกศิษย์ท้าววิรุฬหก แต่ความจริงเขาเข้มแข็งเอาเหมือนกัน ถามว่าเกเรเพราะอะไร แกก็ไม่บอกให้ฟัง มีวันหนึ่งเขาสร้างศาลาหลังใหญ่ เขาจะยกเสาขึ้นไปท่านก็จัดการบวงสรวง ฉันก็ไปในงานนั้นด้วย แต่มีเหล้าอยู่แก้ว ถามว่าทำไมต้องมีเหล้า เขาบอกว่าตำรา
    เขามีอย่างนี้ ก็บอกว่า ตายล่ะ…ที่ท่านบอกว่าเทวดา ๒ ทิศเกเร ก็ท่านทำอย่างนี้ก็เกเรซิ เขาก็ถามว่าทำไม ก็บอกว่าแกเลี้ยงเหล้าก็เมา วันนี้เมาหมด ก็จริงๆ เสาขึ้นเสาเมา ขื่อขึ้นขื่อเมา เมาหมดทุกอย่าง นี่เป็นอย่างนี้
    ทีนี้เวลาอุทิศส่วนกุศลแล้วบอกให้ท่านเป็นพยานอันนี้ ดี เมื่อก่อนฉันนึกว่าเขาพูดเล่น คิดว่าเขาพูดเพ้อ ฝากเทวดาให้เป็นพยานว่าก็ว่าไม่น่าเชื่อ ต่อมาพอมีประสบการณ์จริงจังจึงเชื่อ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงมีหลายคน พวกที่บอกฝากนี่นะ เวลาที่แกตายบางทีกำลังใจแกอ่อน คือสมถวิปัสสนานี่แกไม่เอาเอาแต่ทำบุญธรรมดา เวลาจะตายจิตก็เฝือ ก็ต้องลงไปที่สำนักพยายมก่อน เวลาไปอยู่สำนักพระยายม เวลาท่านสอบสวนกรรมบางอย่างมันปกปิด ถามเรื่องบุญมันนึกไม่ออก ถ้าเขานึกถึงบุญไม่ออก ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องปล่อยให้ลงนรก หากถาม ๓ เที่ยวนึกไม่ออก ท่านก็จะได้ประกาศว่า เขาเคยบอกฉันไว้ว่า เวลาเขาทำบุญให้ฉันเป้นพยาน แล้วท่านก็ประกาศกุศลนั้น ก็ได้ไปสวรรค์ อันนี้ดีนะ แต่ว่าหาว่าท่านเล่นพรรคเล่นพวกไม่ได้นะท่านไม่ได้จำกัด

    ผู้ถาม : แล้วพระยายมล่ะคะ…?

    หลวงพ่อ : พระยายมนี่เป็นตำแหน่ง ความจริงท่านเป็นพรหมและสำนักพระยายมก็อยู่ในเขตของจาตุมหาราช ไม่ใช่เขตนรก เวลาเราไปที่สำนักพระยายม เราจะเห็นมีวิมานสวยสดงดงาม แล้วก็เป็นทุ่งโล่งเตียน มีสวนดอกไม้สวยสดงดงาม เวลาจะมองดูนรกต้องมองไปทางทิศตะวันออกไกลมาก จะเห็นแสงเพลิงมันสว่างพุ่งขึ้นบนอากาศ เป็นลานกว้างมาก ทีนี้โดยมากคนเข้าใจว่าพระยายมเป็นพวกของนรก ความจริงท่านไปนั่งกันมิให้ลงนรกนะ

    ผู้ถาม : ยังงั้นให้ท่านพระยายมเป็นพยานองค์เดียวก็ได้ใช่ไหมคะ…?

    หลวงพ่อ : องค์นั้นองค์เดียวพอ เพราะถ้าท่านไม่กั้นละก็..ป๋อง…

    ผู้ถาม : หลวงพ่อลงไปเที่ยงคงร้อนมากซิคะ…?

    หลวงพ่อ : ใช่…ร้อนกว่าไฟธรรมดาหลายแสนเท่า มันร้อนกว่าไฟที่เราใช้อยู่นี่นะ แต่ถ้าเราลงไปเที่ยวไม่ร้อน แต่ว่าผู้ลงไปเที่ยว เขาห้ามลงขุมนรกลงได้แต่ขอบๆ ลงไปในขุมเขาไม่ได้นะ มีเจ้าหน้าที่เขาคอยกันอยู่ ถ้าลงขุมไฟเขาดับ ถ้าเราจะไปเที่ยวนรก เราจะไปตามลำพัง มันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ เราต้องไปสำนักพระยายมก่อนแล้วไปขอคนจากสำนักพระยายมคนหนึ่ง เราจะไปขุมไหนเขาจะพาไป ถ้าเราไปคนเดียว ถ้าเราเจอสัตว์นรกสักคนหนึ่ง เราเห็นเราก็รู้เลยว่าใครเป็นใคร ถ้าเราต้องการจะเรียกขึ้นมาพูดเขาไม่ให้ขึ้นมาหรอก ถ้าหากไปพูดกับนายนิริยบาลขอให้คนนั้นขึ้นมา เขาจะไม่พูดกับเรา ต้องให้คนจากสำนักพระยายมไปบอก คนที่ได้ก็คือเทวดา ถ้าเทวดาองค์นั้นท่านไปกับเรา เราต้องการจะคุยกับคนนี้ เขาก็บอกนายนิริยบาลให้เอาคนนั้นขึ้นมา พอเขาบอกเขาเรียกขึ้นมา เครื่องพันธนาการก็หลุด ไอ้หอกดาบที่ติดตัวเขาก็หลุด ไฟที่ไหม้ท่วมตัวเขาก็ดับ พอขึ้นมาก็เป็นรูปเดิม ถ้าเราถามประวัติเดิม เขาจะบอกตามความเป็นจริงหมด มันมี
    เมืองโกหกอยู่เมืองเดียว คือเมืองมนุษย์ เมืองผีนี่ไม่มีการโกหก

    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ กาลเวลาของโลกทิพย์กับโลกมนุษย์มันตรงกันไหมคะ…?

    หลวงพ่อ : ตรงกันพอดี ของเรา ๑๐๐ ปี ตรงกับดาวดึงส์ ๑ วันพอดี ของเรา ๕๐ ปี ตรงกับจาตุมหาราช ๑ วันพอดี ของเรา ๒๐๐ ปี ตรงกับยามา ๑ วันพอดี แต่ว่าของเรา ๙ ล้านปี ตรงกับสัญชีพนรก ๑ วันพอดี ตรงกัน

    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ แล้วอย่างพวกอสูรนี่เป็นพวกยักษ์หรือว่าเทวดาครับ…?

    หลวงพ่อ : อสูรเป็นเทวดาพวกหนึ่ง อสูร เขาแปลว่า ไม่กล้า ยักษ์ เขาแปลว่า บุคคลที่ควรบูชา ถ้าแปลอีกคำหนึ่งให้ตรงศัพท์ เขาแปลว่า เทวดา แต่เราไปตีความหมายเขาผิด ถ้ายักษ์ละก็รูปร่างน่ากลัว แต่ไอ้ยักษ์ที่น่ากลัวก็มียักเดียวคือ “ยักยอก” ยักนี้มันไม่มีเขี้ยว มีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เผลอเมื่อไรเป็นเอาหมดเลย
    คนที่จะเป็นอสูรได้ เพราะทำบุญผสมโทสะ หมายความว่าเวลาจะทำบุญมีคนมาพูดนิดๆ หน่อยๆ มันเกิดโมโห พอจะรับศีลก็มีคนมาสะกิดแขนอีกแล้ว ก็โมโห ฉะนั้นหน้าก็ยุ่งไปนิด หน้าเขาสวยน้อยกว่าเทวดานิดเดียว และเขาก็มีวิมานเหมือนกัน
    และอีกประการหนึ่งคำว่า กามาวจร ซึ่งแปลว่า อารมณ์ที่เที่ยวไปในความใคร่ คำว่าใคร่ตัวนี้ อย่านึกว่าเทวดาเขาใคร่เหมือนคนนะ ถ้าเทวดามีความใคร่เท่าคนเขาไม่เรียกเทวดา เขาเรียกว่าคน เทว แปลว่า ประเสริฐ
    ทีนี้ความใคร่ของผู้ประเสริฐนั้นหมายความถึงมีความเนื่องถึง กัน โดยมีความรู้สึกว่า คนนี้เป็นสามี คนนั้นเป็นภรรยา คนนี้เป็นลูก คนนั้นเป็นบริวาร ก็มีเท่านั้น ยังมีความห่วงใยกันอยู่ในฐานะที่เคยมีความสัมพันธ์กันมา ก็ยังมีความกังวลเรื่องความประพฤติว่าเขาจะทำดีหรือทำชั่ว จะต้องพลัดลงไปในอบายภูมิหรือเปล่า ฉะนั้นเทวดาพวกที่มีผัวเมียก็เหมือนกับคนที่รักษาอุโยสถ คนที่เขารักษาอุโบสถ เขาก็เว้นจากกามารมณ์เหมือนกัน เทวดาจึงไม่มีการเสพกาม
    การเกิดของเทวดาถ้าจะเกิดเป็นลูก พอตายจากมนุษย์ปั๊บก็ไปเกิดบนตักของเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง ถ้าเป็นผู้ชายเขาเรียกว่าเทพบุตร ถ้าเป็นผู้หญิงเรียกว่า เทพธิดา เป็นหนุ่มสาวเท่านั้นจนกว่าจะจุติ
    ถ้าหากว่าไปเกิดในที่นอนของใคร หมายถึงว่าเป็นคู่ครองขององค์นั้น บรรดาบริวารทั้งหลายเป็นพันเป็นหมื่นไม่มีการเลื่อนฐานะไม่มีการยกอันดับ เหมือนเมืองมนุษย์นะ
    ถ้าหากว่าจะเกิดเป็นบริวาร ถ้าเกิดในวิมานของใครตั้งแต่รั้ววิมานเข้าไป ก็เป็นขององค์นั้น แต่ถ้าเกิดกึ่งกลางจาก วิมานไหนก็ตามสี่หลังวัดไปเท่ากัน แต่ว่าหันหน้าไปวิมานไหน ก็เป็นบริวารของวิมานนั้นของเทวดาองค์นั้น
    ทีนี้ความรู้สึกของพรหม ซึ่งแปลว่า เป็นผู้ประเสริฐที่ไม่เรียกว่า กามาวจรก็เพราะว่าความใคร่ไม่มี เพราะพรหมอยู่ผู้เดียว ขึ้นชื่อว่าสามี ภรรยา บุตรธิดาไม่มี คำว่าบริวารนั้นหมายถึงพวกพ้อง ต่างคนต่างอยู่วิมานคนละหลัง ฉะนั้นอารมณ์เนื่องถึงกันในฐานะต่างๆ จึงไม่มีในพรหม พรหมเขาอยู่ด้วยอำนาจของธรรมปีติเฉยๆ คำว่าเฉยๆ ถ้าท่านจะคุยกันก็คุยด้วยธรรมปีติ ดังนั้นพวกพรหมจึงมีอารมณ์สงบกว่าเทวดา ไม่มีกังวลอย่างเทวดา จิตเขาเลยเบากว่าเทวดา
     
  15. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    วิญญาณข้ามภพ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=8SI6CDgOAog]ด.ญ.พิมพวดี - YouTube[/ame]

    เด็กหญิงพิมพวดี โหสกุล (ถึงแก่กรรมตั้งแต่เยาว์วัย อายุได้ 9 ปี 9 เดือน)

    เด็กหญิงพิมพวดี เป็นบุตรหญิงของพ่อค้าใหญ่ ชื่อคุณเสียง โหสกุล เจ้าของร้านอะไหล่รถยนต์ ชื่อร้านเสรีวัฒนา ตึกสามชั้นสามแยกสะพานนพวงศ์ใกล้วัดเทพศิร­ินทราวาส

    เด็กหญิงพิมพวดีเป็นบุตรหญิงคนเดียวในบุตร­ห้าคนของคุณเสียง เป็นเด็กน่าตาหน้ารัก อุปนิสัย กิริยามารยาทดีมากแต่เธอโชคไม่ดี เป็นไข้เลือดออกถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ.2502 อายุเพียง 9 ขวบ ที่ตึกเด็ก โรงพยาบาลศิริราช...


    [​IMG]

    [​IMG]

    ด.ญ.พิมพวดี โหสกุล


    [​IMG]


    [​IMG]

    พลับพลาพิมพวดี ที่คุณเสียง โหสกุล ผู้เป็นบิดา
    สร้างเป็นอนุสรณ์แห่งความรัก - อาลัย บุตรี


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=2Uv4U4vjCDw]เรื่องกรรมที่ต้องดู ตอนพิมพวดี - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 กรกฎาคม 2014
  16. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    พิธีตบเหม่งของชาวโมซัมบิก

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=HJq0pd1i_gE&feature=kp]พิธีตบเหม่ง วิธีแก้โรคปวดหัวไมเกรน - YouTube[/ame]

    แปลกแต่จริง !! พิธีตบเหม่ง วิธีแก้โรคปวดหัว ปวดไมเกรน ของชาวโมซัมบิก ที่ชาวโมซัมบิกใช้รักษากันมาเป็นเวลาช้านาน ดูแล้วสงสารคนไข้ที่มารักษาจัง...หุหุหุ
     
  17. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    สาส์นจากพระยายม

    พระโอวาทจากท่านปู่พระยายมราชผู้เป็นใหญ่ในเมืองนรก

    ทุกคนขอให้ตัดความสงสัยในคุณพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์เสีย ผู้ใดลังเลในพระรัตนตรัยไม่ถึงธรรมนะลูกทุกคนเร่งสร้างกุศลทำให้ดีให้จริงจัง นิวรณ์ทั้ง 5 จงตัดทิ้งออกไปจากจิต
    (นิวรณ์ 5 คือ
    1. ความรักในรูป รส กลิ่น เสียง
    2. ความหงุดหงิดไม่พอใจ
    3. ความง่วงเหงาหาวนอนขี้เกียจในการปฏิบัติธรรม
    4. ความฟุ้งซ่านคิดไร้สาระคิดแต่ในทางโลก ไม่คิดทางออกจากขันธ์ 5
    5. ความลังเลสงสัยในผลของการปฏิบัติธรรมตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน คิดว่าไม่มีผลจริง)

    ข้างล่างคือ นรกโลก มีผีนรกมากมายพวกผีนรกนี้ก็มาจากคนที่ทำผิดศีล 5 ฆ่าสัตว์ฆ่าคน ลักขโมย มีชู้ พูดปด คดโกงพูดให้คนเป็นทุกข์ ดื่มสุรายาฝิ่น เล่นการพนัน เป็นต้น ไม่กตัญญูต่อคุณพ่อคุณแม่ผู้มีพระคุณ ปรามาสพระอริยเจ้า ก็ลงนรกได้ทำไมคนไม่เลือกเดินทางไปสวรรค์กันเล่า ทำไมคนจึงเลือกเดินทางไปนรกกัน ตอบได้ไหม ? เพราะความไม่รู้คิดว่านรก สวรรค์ไม่มีจริง คิดว่าตายแล้วสูญชาตินี้มีชีวิตอยู่ชาติเดียวจบกัน ถ้าเข้าใจผิดมีอวิชชาแบบนี้ ปัญญาย่อมไม่เกิดแล้วจะเดินขึ้นสวรรค์ได้อย่างไรเล่า คอยถามพวกผีหรือวิญญาณของคนที่ตายแล้วทุกวัน ถึงบุญกุศลความดีที่เคยทำไว้ในสมัยเป็นคน ถ้านึกได้ ข้าก็ให้ไปเสวยสุขที่สวรรค์ก่อน มันก็ระลึกถึงบุญกุศลกันไม่ออกสักคนสักตัว

    พวกผีนรกพวกนี้คือ คนที่ตลอดชีวิตไม่เคยสร้างบุญกุศลเขาก็ระลึกนึกถึงความดีไม่ได้ ถ้าเขาใส่ใจบุญกุศลสักนิดเช่นตักบาตร ไหว้พระ สวดมนต์ ทำบุญให้ทาน ตอบแทนพระคุณพ่อแม่เขาก็จะนึกออก สร้างพระพุทธรูป ทอดผ้าป่า ทอดกฐิน วิหารทาน ดีทั้งนั้นไปสวรรค์ได้ง่าย เพราะเขาไม่ทราบว่ากฎของกรรมดี กรรมชั่ว มีจริง เขาจึงต้องเวียนกลับไปสู่แดนอบายภูมิ มีนรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น

    อย่านึกว่าปู่ดีใจนะที่ได้เห็นพวกเจ้าลงนรกกัน นึกหรือว่าทรมานวิญญาณผีนรกแล้วมันสุขใจ ท่านปู่พระยายมราชเป็นทุกข์ใจมากสวรรค์มีทางกว้างขวางไปก็ง่ายมาก ทำไมไม่ไปทางสวรรค์ นรกไม่มีประตูปิดกั้นหมดแล้วคนก็ยังจะดันแส่หาเรื่องผิดศีลเข้าไปจนได้

    หากเจ้าจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ แล้วในบรรดาคนในโลกที่ตายไปนั้นมีเพียง 1 % เท่านั้นที่เดินขึ้นสวรรค์ หายากนะลูก 99 % ไปนรก เพราะความไม่เข้าใจในชีวิตจิตเศร้าหมองติดอยู่ในคนรักในทรัพย์สินเงินทองก่อนตาย ไม่ได้นึกถึงพระในศาสนาของตน นึกถึงพระศาสดาองค์ใดก็ดีทั้งนั้น จิตจะสะอาด พวกที่เขาตายโดยอุบัติเหตุก็ให้ญาติรีบทำสังฆทาน ถวายอาหารพระพุทธรูป (ขนาดไหนก็ได้ ) ผ้าไตรจีวร และปัจจัยสร้างวิหาร วัดไหนก็ได้เป็นสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน ทำสมาธิภาวนาอุทิศส่วนกุศลเจาะจงให้แก่ผู้ตายแล้วโดยตรง ก่อนที่เขาจะลงนรกเขารับรู้และอนุโมทนาก็จะพ้นขุมนรก

    เพื่อความแน่ใจว่าผู้ตายจะได้รับบุญที่ญาติส่งไปให้ ก็กล่าวขอมอบฝากกับท่านปู่พระยายามราช ขอให้ท่านบอกกับผู้ตายชื่อนั้นชื่อนี้ให้เขาได้โมทนา ความเป็นทิพย์ของท่านปู่พระยายมราช มีท่านรับทราบท่านเต็มใจที่จะบอกเพราะท่านไม่ต้องการให้ใครลงนรก เพราะบางครั้งคนตาย ทำบุญกุศลมามากตอนมีชีวิตแต่ก่อนตายตกใจจิตว้าวุ่น วิตกกังวลกลัวเป็นห่วงญาติ ห่วงทรัพย์สมบัติจิตเศร้าหมองจิตวิญญาณก็ไปทางต่ำคือ อบายภูมิ ผู้รับอนุตตรธรรม รับธรรมไว้ในจิตใจไม่ผิดศีล 5 อีกต่อไป ย่อมได้รับการโปรด หลุดพ้นจาการควบคุมของยมฑูต มีการไหว้พระสวดมนต์มีพระพุทธ พระธรรมพระอริยสงฆ์อยู่ในใจก็มีเทพเทวดาคอยรักษาคุ้มครองป้องกันภัย

    ทุกคนมีบาปทุกคนจึงต้องรีบเร่งทำบุญหนีบาป บาปเก่าอดีตชาติยังคอยจ้องติดตามเราอยู่ตลอดเวลา รีบเตรียมรับกรรม อย่ากลัวตาย จงพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับบาปกรรมบาปกรรมที่หนักที่สุดก็คือ เจ้าจะได้รับความเจ็บปวดรวดร้าวก่อนที่ร่างกายจะแยกแตกสลายตายไปนะแหละ จำไว้เถิดลูกเอ๊ย จงรีบเร่งใช้สติปัญญาที่เรามี พิจารณาขันธ์ 5 ให้ได้มากที่สุด คือ สักกายทิฎฐิ นะแหละให้พิจารณาว่าร่างกายขันธ์ 5 เป็นทุกข์เป็นโทษ เป็นของสกปรก ไม่ใช่ของเรา จิตเป็นของเรา จะบังคับร่างกายก็ไม่ได้ต้องปล่อยทำเฉย ๆ ทิ้งร่างกายขันธ์ 5 เป็นเรื่องของโลกของธาตุ 4 ดินน้ำลมไฟเสียนั่นแหละเจ้าจะปลดกรรมเก่าได้

    พอปลดปล่อยขันธ์ 5 ออกจากจิตเจ้าได้แล้วมันก็จะทุกข์น้อยลง เมื่อบาปกรรมเก่าของเจ้ามาถึงเจ้าก็จะคิดว่า กรรมเก่าทำเจ้าได้เฉพาะร่างกายเท่านั้นจิตเจ้าชนะร่างกายไม่เป็นทาสของร่างกายแล้ว และร่างกายก็ไม่ใช่ของเจ้าแล้วจะเจ็บจะปวดทรมานอย่างไรก็เป็นเรื่องของขันธ์ 5 จิตของเจ้าก็จะนอนยิ้ม เพราะเห็นว่าร่างกายมันไม่ใช่ของเจ้านี่มันจะตายเพราะใช้บาปกรรมก็ดี ยอมตายดีกว่าใช่ไหม มันจะได้ไม่เจ็บปวดทรมานต่อไปเจ้ากรรมนายเวรจะน้อยลง รีบหนีไปนิพพานเสียให้หมดทุกคน หากใช้มโนมยิทธิจะรู้ว่าทุกคนมีเจ้ากรรมนายเวร คือบาปเก่ารออยู่ข้างหลังพวกเจ้าทุกคน

    สิ่งที่ชั่วร้ายที่สุดคือ ร่างกายของคนอย่าหลงรัก ของชั่วร้าย คือ กายเรา กายเขา คือขันธ์ 5 เราขันธ์ 5 เขาต้องไล่ ขันธ์ 5 ร่างกายนี้ออกจากจิต ถ้าไม่ไล่ร่างกายของเจ้าออกจากจิตเจ้า เจ้าก็จะทุกข์กายทุกข์จิตใจแน่นอน ที่บอกมาก็เพราะต้องการให้เจ้าใช้กรรมด้วยปัญญาไม่ให้หลงฤทธิ์ ถอดจิตหนีขึ้นนิพพานอย่านึกว่าพ้นนะ

    การทำบุญ เปรต สัมภเวสี เทวดาเขารอนุโมทนาเยอะ ถ้าผีวิญญาณที่เขาได้รับบุญกุศลที่เราอุทิศแผ่ไปเขาก็จะได้รับอภัยโทษ ให้ไปเกิดเป็นคนบ้าง ไปเกิดเป็นเทวดาบ้าง จงใช้มโนมยิทธิของเจ้าดูบ้างก็ไปเสวยบุญชั่วขณะตามกำลังของบุญ เมื่อหมดก็มาขอบุญอีกก็มีเยอะ ดังนั้นเจ้าควรจะทำสมาธิภาวนาแผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญกุศลไปยังสรรพสัตว์ทั้ง 3 โลกตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกยิ่งดี

    ผู้ที่ขยันแผ่เมตตาจิตไปทั้ง 3 โลก คือ 1. นรกโลก 2. มนุษย์โลก 3. เทวโลก พรหมโลก จึงเป็นที่รักใคร่ของมวลเทพเทวดาและมนุษย์ ผีวิญญาณเร่ร่อนทั่วไป ปรทัตตูปชีวเปรตจะคอยโมทนาจงท่องคำอุทิศส่วนกุศลให้ทุกท่านได้โมทนาอยู่เป็นประจำก็จะดีมาก จะผ่านท่านปู่พระยายมราชได้ยิ่งดีท่านจะจำนำเป็นพยานที่เจ้าได้ทำบุญกุศลไว้ตอนเป็นคนให้ จงพูดถึงข้าคือท่านปู่พระยายมราชทุกครั้งเมื่อกระทำบุญ

    เมื่อเจ้าลงนรกไปด้วยความประมาทไม่ได้นึกถึงบุญความดีหรือพระพุทธเจ้าก่อนตาย ข้าหรือท่านปู่พระยายมราชจะได้บอกว่าเจ้าเคยฝากบุญไว้กับข้า คือท่านปู่พระยายมราชมาก่อนข้าก็จะบอกให้เจ้าที่ผ่านสำนักพระยายมราชว่า จงโมทนาสาธุยินดีในบุญความดีเสีย บาปจะได้ตามไม่ทันจะได้พ้นนรก ถ้าเจ้ามีกำลังจิตจะฝากบุญกุศลให้แก่จิตวิญญาณของคนทั้งโลกก็ได้ ข้าก็จะได้บอกเขาว่ามีคนฝากบุญกุศลให้เขาโมทนาถ้าเขารับได้เขาก็จะพ้นทุกข์ตามกำลังของจิตของเขาที่ทำบุญกุศลได้

    ถ้าหากเจ้าคิดจะแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ ทั้ง 3 โลกให้ทำดังนี้จะสะเทือนไปถึงทั้ง 3 โลก แต่เจ้าต้องมีศีล 5 บริสุทธิ์ เป็นอย่างต่ำและมีบุญทานภาวนาเป็นอย่างสูงให้ว่าดังนี้


    พระคาถาแผ่เมตตาทั่วไตรภพ

    สวดในนามพระพุทธเจ้าแล้วแผ่เมตตาจิตไปยังสรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก(นรกโลก มนุษย์โลก เทวโลก) สวดอย่างน้อย 9 จบอย่างมากตลอดเวลา

    "นโมพระพุทธสิกขีพระพุทธเจ้า
    ขอได้โปรดดลบันดาลให้สรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก
    ได้หลุดพ้นจากภัยพิบัติ วัฏฏสงสารโดยสิ้นเชิง
    ด้วยพระบารมีมิอาจประมาณ
    ลูกขอนอบน้อมนมัสการด้วยจิตใจ
    ขอให้ลูกมีจิตสะอาดสว่างใส
    หลุดพ้นไซร้สู่บ้านนิพพานเทอญ
    สัมปะจิตฉามิ"


    คุณประโยชน์ของการอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาจิตให้สรรพสัตว์ทั้ง 3 โลกไปกับฉัพพรรณรังสี รัศมี 6 ประการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์แรกเริ่มมีดังนี้

    1. โปรดช่วยสรรพสัตว์ได้ แดนเปรต อสุรกาย มนุษย์โลกสัตว์ทั้งที่มีชีวิตและเป็นภูมิผีวิญญาณเร่ร่อน แผ่ไปทั่วเทวโลก พรหมโลกได้รับโมทนาบุญกับเรา
    การแผ่เมตตา แผ่ส่วนกุศลไปยังสรรพสัตว์ทั้ง 3 โลกรวมถึงเจ้ากรรมนายเวร จงทำทุกวัน จงตัดเวรตัดกรรม ให้อโหสิกรรมต่อกัน ยกเป็นอภัยทานถวายพระพุทธเจ้าถ้าเราโกรธตอบจะเพิ่มภพชาติให้เกิดมาใช้หนี้เวรกรรมกันอีก

    2. สวดด้วยจิตศรัทธาแท้ เทพ พรหมรักใคร่ สรรเสริญเมตตาติดตามรักษาเราให้อยู่เย็นเป็นสุข

    3. สวดตลอดเวลาคิดปรารถนาสิ่งใดก็สมหวัง

    4. สวดตลอดเวลาจิตเป็นสมาธิ ภาวนาจิตไม่ฟุ้งซ่านจิตสะอาดปราศจากนิวรณ์

    5. จิตสะอาดสว่างไสวจิตหลุดพ้นจากการหลงยึดติดในขันธ์ 5 จิตเป็นจิตประภัสสร เป็นจิตพระอริยบุคคลได้ง่ายเพราะเป็นจิตที่มีเมตตา เคารพบูชาพระรัตนตรัย มองเห็นภัยในวัฏฏสงสารเป็นจิตฉลาดไม่มีอวิชชา เป็นจิตที่มีพระนิพพานเป็นกรรมฐานได้ 8 กรรมฐานคือ

    1) พุทธานุสสติกรรมฐาน

    2) ธรรมนุสสติกรรมฐาน

    3) สังฆานุสสติกรรมฐาน

    4) พรหมวิหาร 4 เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

    5) อุปสมานุสสติกรรมฐาน นึกถึงความดียิ่งของพระนิพพาน

    6. เป็นการอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ตัดเวรตัดกรรม ยกเป็นอภัยทานถวายพระพุทธเจ้าถ้าเจ้าโกรธก็เป็นการเพิ่มภพเพิ่มชาติ

    7. การอุทิศแผ่กุศลไปยังสรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก จงทำทุกๆวันละอย่างน้อยสวด 9 จบช่วยทั้งคนทั้งผี ทั้งสัตว์โลก สัตว์นรก ช่วยเทพเทวดามีโอกาสโมทนากับพวกเราด้วย

    8. พระคาถาสวดพระนามพระพุทธเจ้านี้พระท่านให้ไว้แก่มวลมนุษย์มาจากเบื้องบนพระนิพพาน ให้สวดทุกวันเพื่อช่วยมวลเวไนยสัตว์ และตนเองก็หลุดพ้นจากนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานไม่ต้องได้เกิดในแหล่งอบายภูมิ 4 อย่างนี้เป็นการเสริมบารมีให้แก่ตนและผู้อื่น

    9. การแผ่พลังจิตให้เป็นพลังไปรอบทิศจักรวาลทั้ง 3 โลกนั้น ทำจิตให้ว่างจากขันธ์ 5 ว่างจากกิเลสตัณหา ทำบุญกุศลทุกอย่างขอถวายทางจิตให้องค์สมเด็จพระบรมครูพระพุทธเจ้าโปรดโ มทนาบุญกุศลทุก ๆพระองค์เพื่อประโยชน์สูงสุดแด่มวลสรรพสัตว์ทุกจิตดวงธรรมญาณได้รับผลบุญที่ลูกแผ่ไปให้ทุกดวงจิตธรรมญาณเทอญ

    การขอแรงพลังจิตขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นการขอแรงคลื่นวิทยุของท่านผู้เป็นใหญ่บุญบารมีให ญ่ช่วยอีกแรงหนึ่งเพื่อให้สรรพสัตว์ 3 โลกได้ยินคลื่นวิทยุได้ดียิ่งขึ้น

    จิตของสัตว์อบายภูมิน้อยนักที่จะได้รับได้ยินเหมือนคนตาบอด แต่ถ้าเขาโมทนายินดีรับกับการอุทิศบุญกุศลแผ่เมตตาไป ให้กับเขาก็ทำให้เขาเป็นสุข พ้นทุกข์จากอบายภูมิได้ทุกคน เราต้องทำจิตให้สะอาดทำจิตว่างจากขันธ์ 5 ปล่อยพลังจิตไปทั่วรอบทิศจักรวาล

    10. สวดพระคาถาพระนามองค์สมเด็จพระปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุ ทธเจ้าฝากบุญกุศลไว้กับท่านท้าวยมราชได้แน่นอน โปรดสัตว์ได้ทั่วทั้ง 3 ไตรภพแล้วแต่จะกำหนดจิตโปรดได้หมดทุกประเภท ทั้งชาติกำเนิด 4 คือ(เกิดในไข่ เกิดในคูตเกิดเป็นตัว เกิดขึ้นเอง เช่น ผี เทพ พรหม ) ภูมิวิถี 6 คือ 1.สัตว์นรก 2. เปรต 3.อสุรกาย 4. สัตว์เดรัจฉาน 5. คน 6. เทวดาพรหม

    โปรดสัตว์ได้ตามวาระจิตของวิญญาณใดถึงพร้อม ย่อมสามารถเข้าถึงสุขติภูมิคือ สวรรค์ และคนชั้นสูงมีความสุขตามฐานะกฎของกรรมต่าง ๆ ที่คอยกีดกั้นขวางงานเป็นเมตตาบารมี กฎของกรรมก็ตามไม่ทันเพราะบุญใหญ่

    สาส์นจาก “ลุงพุฒ” (พระยายมราช)

    ให้รักษาศีลให้เรียบร้อย ลุงจะลงมาทำงาน (เต็มที่) คนมีศีลจะได้รับการอภิบาล คนทุศีลจะได้รับเคราะห์ตามหนักเบา ทำบุญอุทิศแก่สรรพสัตว์ เพื่อให้เจ้ากรรมนายเวร ลด ละ เลิกจองเวรจองกรรมและอโหสิกรรมต่าง ๆ ให้ทุกคน

    ตัวเจ้าทั้งหลายจงโปรดอโหสิกรรมที่ผู้อื่นและใคร ๆ ที่ทำร้ายตัวเจ้าด้วย เพื่อถวายเป็นพุทธบารมีเป็นอภัยทาน พวกเจ้ามักจะขอกันและรู้จักให้อภัยทาน พวกลุงมาทำงานเต็มที่ ฉะนั้นบอกญาติโยมที่เป็นนักบุญให้รักษาศีลภาวนาไว้ตลอด ตั้งแต่บัดนี้จนขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีชวด

    เมื่อเดินทางให้ระวังไว้บ้าง มีภัยธรรมชาติด้วย เวลาคิดจะทำอะไรอย่าคะนองด้วยวาจา อย่าไปแช่งใคร ด่าใคร อย่าไร้สติ เพราะกรรมจะมา

    พวกที่มีความเลวเขาจะแสดงออกเอง หากเธอทนไม่ได้ก็นิ่งเสีย เธอจะได้ฝึกอารมณ์ด้วย ขจัดโมหะจริต โทสจริต รู้จักสติ สมาธิและลดความโลภ ความอยากได้ อยากจะเป็น ใจจะได้นิ่ง ว่างๆ ไม่มีอะไรคิดฟุ้งซ่าน ให้จับลมหายใจ อานาปานสติ จิตจะได้พิจารณา อารมณ์ฟุ้ง อารมณ์รำคาญ บ้านจะมีความสุข เพราะคนในบ้านไร้อารมณ์ฟุ้งซ่าน สนุกแต่พอสนุก ขำก็แค่ขำ อย่าเพ้อเจ้อ

    (ถาม) มีสติตลอดเวลาใช่ไหม

    ให้รู้อยู่

    (ถาม) เวลาเดินทางให้กราบเรียนอย่างไร

    ก่อนเดินทางให้จุดธูปบอกท่านท้าวจตุมหาราช จุดธูป 3 ดอกที่บ้าน เดินทางไกล มีที่ชุมนุมแรง ๆ ขอให้งด

    (ถาม) ศูนย์การค้าไปได้ไหม

    ถ้าเธอจับสมาธิได้ เธอจะรู้เองเวลามีเรื่องเกิดขึ้น

    เวลาสวดมนต์ ทำบุญอุทิศส่วนกุศล ให้ถวายในหลวงองค์ปัจจุบัน พระสยามเทวาธิราช นักรบ ถวายพระยายมราช ท่านท้าวจตุโลกบาลทุกครั้ง แล้วท่านจะคุ้มครองอย่างละเอียด เธอไม่รู้ว่าวันใด เวลาใด ที่เคราะห์กรรมเปิด เวลาขับรถท่อง "สัมปจิตฉามิ" ทำไปเถอะ

    หมายเหตุ :

    วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ปีชวด( 19 พฤษภาคม พ.ศ.2551 ) จึงเป็นกำหนดเส้นตายที่เทพพรหมทั้งหลายจะปล่อยให้มีการชำระล้างหนึ้กรรมครั้งใหญ่ ( เกิดภัยสงครามและภัยธรรมชาติ ) ในระยะเวลาที่เหลืออีก 1 ปีนี้จึงเป็นโอกาสทองเพื่อแก้ไขตัวเองให้กลับมาเป็นคนดี ด้วยการมารักษาศีล 5 และกรรมบท 10 ให้มั่นคงก่อนที่คนชั่วทั้งหลายจะถูกกวาดล้างให้หมดไปจากโลกนี้


    ของฝากจากท่านปู่ "ท้าวพญายมราช" - มีคำตอบ - กูรู
    ที่มา คณะลูกศิษย์สายหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 กรกฎาคม 2014
  18. ยากูซ่าา

    ยากูซ่าา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    1,028
    ค่าพลัง:
    +808
    คุณน้องมินต์คะ
    เพลงที่ขอยากูซ่าไว้ ยากูซ่าจัดให้แล้วนะคะ
    ในห้องลูกทุ่งนะคะ
     
  19. narata 12

    narata 12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    990
    ค่าพลัง:
    +1,462
    เอะ น้องมินต์ กับ น้องเมย์ นี่เป็นอะไรกัน เอ่ย โพสเหมือนกันเลย หลุมหลบภัย ที่น้ำหนาว เป็นยังไงบ้างครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2014
  20. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    ไม่รู้จักน้องเมย์เลยค่ะคุณ java ไม่ทราบว่าโพสเหมือนกันด้วย ถ้าโพสซ้ำต้องขออภัยด้วยค่ะ :d
     

แชร์หน้านี้

Loading...