เรื่องเล่าของข้าพเจ้าความศักดิ์สิทธิ์พระคาถาชินบัญชร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย ชัชวาล เพ่งวรรธนะ, 1 ตุลาคม 2008.

  1. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    พอดีจะรบกวนถามเพิ่มเรื่องศีลนี้เลยค่ะ
    พอดีคุณพี่อ้องตอบก่อนพอดีเลยค่ะ
    พอดีเจอบทความเพิ่มเติมเรื่องศีล ขออนุญาติโพสน์เพิ่มหน่อยนะคะ

    ศีลมี ๓ อย่าง คือ หีนศีล, มัชฌิมศีล, และปณีตศีล

    หีนศีล... ศีลของอันธปุถุชน(ผู้มีใจมืด) คือศีลที่บุคคลประพฤติด้วย ฉันทะ, วิริยะ, จิต, วิมังสา(สีลพัตตปรามาส-ยึดถือการปฏิบัติที่ผิด) ศีลของอันธปุถุชนอย่างเลว เกี่ยวกับความน้อมใจที่เลว ด้วยอำนาจของกิเลสขาดปัญญา

    หีนศีล... คือ ศีลที่บุคคลสมาทานด้วยความปรารถนายศ

    หีนศีล... คือ ศีลที่เศร้าหมองด้วยอุปกิเลส มีการยกตนข่มผู้อื่น เราถึงพร้อมด้วยศีล ผู้อื่นทุศีล

    หีนศีล... คือ ศีลที่ประพฤติเพื่อต้องการภพและโภคะ ด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา

    มัชฌิมศีล... ศีลของกัลยาณปุถุชน คือศีลที่บุคคลประพฤติด้วย ฉันทะ, วิริยะ, จิต, และวิมังสาอย่างกลาง เกียวกับอธิมุติ(หลุดพ้น) ความน้อมใจปานกลาง ศีลของกัลยาณปุถุชน

    มัชฌิมศีล... คือ ศีลที่บุคคลสมาทานด้วยต้องการผลบุญ

    มัชฌิมศีล... คือ โลกียศีลที่ไม่เศร้าหมองด้วยอุปกิเลส

    มัชฌิมศีล... คือ ศีลที่ประพฤติเพื่อความหลุดพ้นแห่งตน

    ปณีตศีล... ศีลของพระอริยะ คือ ศีลที่บุคคลประพฤติด้วย ฉันทะ, วิริยะ, จิต, และวิมังสาอย่างประณีต เกี่ยวกับอธิมุติ ความน้อมใจอันประณีตศีลของพระอริยะ

    ปณีตศีล... คือ ศีลที่สมาทานด้วยอริยะภาวะ ด้วยคิดว่าสิ่งนี้ควรทำแท้

    ปณีตศีล... คือ โลกุตรศีล

    ปณีตศีล... คือ ศีลบารมีที่พระโพธิสัตว์ประพฤติเพื่อความหลุดพ้นของสัตว์ทั้งปวง

    (ฉันทะ-ความพอใจ, วิริยะ-ความเพียร, วิมังสา-ปัญญา.)

    (ที่มา-คู่มือการศึกษา วิสุทธิมรรค รวบรวมโดย อาจารย์วรรณสิทธิ ไวทยะเสวี)
    อ้างตาม *****
     
  2. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ช่วงนี้อ้องคงไม่อยู่หลายวันเพราะคงจะพาภรรยาไปผ่าตัดมดลูกครับ
    คงไปนอนโรงพยาบาลหลายคืน
    แหะๆ...

    ไม่ค่อยชอบนอนโรงพยาบาลเท่าไหร่ ไว้เจออะไรจะมาเล่าให้ฟังนะครับ
    อยู่บ้านเราอย่างน้อยก็มีเจ้าที่เจ้าทาง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดาประจำองค์รักษา

    ไปนอกบ้าน ไปนอนค้างที่ไหน กลางคืน อ้างว้างวังเวง วิเหวงโหวง
    มาแต่ละครั้งถ้าเป็นเทวดาก็ไม่น่ากลัวเท่าไหร่
    แต่ถ้าเป็นพวกสัมภเวสีเร่ร่อนนี่เอาเรื่อง

    ดังนั้นเวลาไปไหนต้องมีกำลังของสติ ศีล สมาธิ จะคุ้มครองเราเสมอนะครับ
    ยามที่ระลึกในคุณพระรัตนตรัยจะมีกำลังและช่วยปกป้องเราได้เพราะ ศีล สติ สมาธิ คุณธรรมของเราที่เป็นวิบากที่ดีที่สะสมเอาไว้ครับ

    วิบากที่ดีจึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือกว่าความศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง
    เพราะถ้าเราไม่มีวิบากที่ดี คุณธรรมที่ดี จะไปเรียกร้องหรือไปอ้อนวอนก็คงจะไร้วาสนาครับ
    อีก4-5วันเจอกันใหม่ครับ

    อ้อง...
     
  3. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    สวัสดีครับ อา อ้อง ^^

    อาอ้องจำผมได้มั้ยครับ ......... ที่ผมห่างหายไปนาน เป็นเพราะเรียนอยู่ครับไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่.... ถ้าทำแอบเปิดอ่านตอนอาจารย์สอนเหมือนเดิมคงไม่ดีแน่ ^^

    ผมอยากจะตอบแทนอาอ้องมากมายครับ แต่ไม่รู่จะตอยแทนอายังไง อาเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้เรียนรู้กับตัวเอง

    เมื่อก่vนท้อแท้ จิตใจอ่อนแอมาก แต่ก็ไม่รู้มีอะไรบันดาลใจให้ผมได้มาอ่านกระทู้ของอาเข้า.... จนวันหนึ่ง ได้รู้สึกว่า ที่ผ่านมา ผมโง่มากจริงๆ..

    ...ผมได้ทำตามที่อาบอก ผมไปศึกษาการเรียนรู้เรื่องจิต จากการฟังธรรมของหลวงพ่อปราโมช ปฏิบัติไปถูกบ้างผิดบ้าง คาใจบ้าง สงสัยบ้าง แล้วผมก็แสวงหาธรรมมะจากหนังสือต่างๆ เรื่องจิตมั่ง กายมั่ง การทำสมถกรรมฐานมั่ง การทำวิปัสสนากรรมฐานมั่ง

    ...ผมในตอนนี้เหรอครับอา .....ไม่มีผมอีกต่อไป ...แม้แต่ตอนหลับ เรา ยังไม่หลับเลย... หลับคือกายที่พักผ่อนเท่านั้น แม้จะนอนนิดเดียวแต่ เมื่อจิตตั้งมั่น รู้สึกว่ามีพลัง จะเหนือยก็แค่กายเท่านั้น


    ....ผมรู้สึกว่า ผมรู้แล้วครับอา อันไหนคือ กาย อันไหนคือจิต

    เมื่อก่อนไม่รู้เพราะเพ่งอารมณ์ เห็นอารมร์มันนิ่มนวลก็ว่า เออ...นี้คงเป็นจิตที่อ่อนนุ่มกระมั่ง ฮะห้า ^^ ...แต่แล้วไม่ใช่ มันเป็นอารมณ์ ตัวที่รู้ว่ามันเป็นอารมณ์นั่นแหละคือ "จิต"

    ... จะว่าไปแล้วจิตคือ ผู้รู้ ....

    ตอนนี้ผมทำ สมถกรรมฐาน กับวิปัสสนากรรมฐาน ควบคู่กันครับอา

    ..ผมอยากจะบอกอาครับว่า ผมเข้าถึงสมาธิที่ว่า มีแค่อารมณ์เดียวครับ คือ นิ่งๆเกินไป ไม่รู้สึกอารมณ์ภายนอกแต่เป็น อารมณ์ปรีติ ผมเคยเข้ามาแล้วสองครั้ง....

    ..ครั้งแรกเข้าไปได้ นึกดีใจตามมันไม่ได้พิจารณา แช่อยู่กับอารมณ์นั่น จนไม่อยากคลายสมาธิ เป็นอารมณ์ที่ดีมากมาย ประมาณว่า ถ้าใครได้ทำน่ะครับ รับรอง มีเมียทิ้งเมียแน่นอน 5555555 ^^ ! ...


    ..ครั้งที่สองเข้าได้ แต่ไม่นานเหมือนครั้งแรก เพราะครั้งนี้พิจารณาดู เพราะผมไม่อยากติดกับอารมณ์นั่น เหมือนรู้แล้วทำลายมันหนะครับ

    ..ผมถึงสมาธิขั้นนี้ครับอา


    ..เลยอยากจะเรียนถามอาอ้องว่า จะทำอย่างไรจึงจะเข้าสามธิโดยรู้ชัดกว่านี้ โดยเป็นสมาธิ ที่ผ่านสมาธิตัวนี้ แล้วจะมีสมาธิอีกขั้นหนึ่งตามมา เพราะครั้งที่สองที่ผมเข้าไป แล้วรีบถอนสมาธิออกมา แล้วคอยดูไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าไม่มีอะไรเลย มันว่างเกินไป หรือว่าผมเพ่งไป เพราะรู้สึกว่าตาเขม่นบ้างน่ะครับ บางครั้งก็ไม่เขม่นน่ะ เหมือนจะมีภาพอะไรไม่รู้ซูมเข้ามา แต่ตกใจเกินเหตุครับ ออกจากสมาธิกระทันหันเลย


    ...ทุกวันนี้กินน้อย นอนน้อยครับ เร่งความเพียรให้มากขึ้น ตามอิทธิบาท4

    .......เลยอยากจะขอคำปรึกษาจากอาครับ


    ...วานด้วน่ะครับอา ^^






    ................ตั้ม ครับ..... ^o^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กันยายน 2009
  4. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207

    คืออะไรเหรอครับอา........

    แล้วกฏแห่งไตรลักษณ์ คือไรอะไรเหรอครับอา .........
     
  5. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    ไขแจ้งให้ทีครับอา ....^^


    คืออะไรเหรอครับอา........

    แล้วกฏแห่งไตรลักษณ์ คือไรอะไรเหรอครับอา .........
     
  6. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    ขอให้หายเร็วๆนะคะ

    อนุโมทนาด้วยค่ะพี่อ้อง
    ขอให้ภรรยาพี่อ้องหายเร็วๆนะคะ ขอให้คุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองพี่ทั้งสองและครอบครัวให้มีความสุขมากๆ บุญรักษานะคะ


    ช่วงนี้หลังจากที่ได้ปฏิบัติอย่างจริงจัง ก็รู้สึกว่าบางทีช่วงนี้จิตมันจะรวมโดยไม่รู้ตัว บางทีทำอะไรอยู่ก็จะรู้สึกวูบๆเบาๆ เหมือนเรานั่งดูอยู่เฉยๆค่ะ
    เหมือนรู้สึกว่าตัวจะแกว่งๆ โคลงๆ เบาๆ ยังไงไม่ทราบค่ะ

    ส่วนเรื่องอารมณ์คือจะรู้สึกมันจะหายไปเร็วมากๆ อันนี้ไม่ทราบว่าเป็นสมาธิหรือวิปัสสนา แต่น่าจะวิปัสสนาเพราะเราจะหาเหตุผลได้ทันทีว่าเพราะอะไร ทำไม
    แล้วอารมณ์ต่างๆมันก็หายวูบไปเลยค่ะ

    ก่อนหน้านี้บางทีจะรู้สึกเหมือนหายใจไม่ค่อยทั่วท้อง เหมือนมีแรงอัดตรงหน้าอก พอดีได้เข้าไปอ่านบทความเรื่องของคุณแม่จันทร์ทา ฤกษ์ยาม ท่านบอกว่าท่านจะต้องสวดมนต์แผ่ส่วนกุศลทุกวัน เพราะถ้าไม่ทำจะเหมือนกับมีแรงอัด เหมือนกับวิญญาณต่างๆ หรือท่านเจ้ากรรมนายเวร ก็จริงๆนะคะ พอสวดมนต์ทุกวันอาการเหล่านี้มันหายไปเองเลย ก่อนหน้านี้หนูจะไปหาหมอแล้ว คิดว่าเป็นโรคหัวใจหรือเปล่า

    วันก่อนฝันเห็นคุณพ่อค่ะ ไม่ได้ฝันเห็นท่านมาเกือบปีแล้ว จู่ๆฝันว่าท่านมานั่งคอยอยู่ ตัวใสเปล่งประกายเหมือนทอง แล้วท่านหล่อมากๆแบบไม่เคยเห็นท่านเป็นแบบนั้นเลย รู้สึกดีใจมากค่ะ ก็เข้าไปกอดท่านแน่นเลย ( พ่อเสียไป 10 ปีกว่าแล้ว )
    ช่วงนี้ได้ปฏิบัติเต็มที่ ก็รู้สึกว่าได้อะไรเยอะมากๆค่ะ
    ก็จะทำอย่างนี้ตลอดไปค่ะ ถามนิดนึงนะคะ เวลานั่งสมาธิพี่ต้องกำหนดภาพองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้หรือเปล่าคะ หรือว่านั่งไปเรื่อยๆไม่ต้องกำหนดอะไร เพราะหนูตอนนี้เวลานั่งสมาธิ หนูก็จะวูบดิ่งไปเลย ไม่ต้องภาวนาคำว่าพุทโธแล้ว บางทีมันรู้สึกวูบนิดๆแล้วเห็นตัวเองตัวเขียวเหมือนกับศพอ่ะคะ พักนึงก็หายไป ก็พยายามคิดว่านั่นเราตอนตายคงเป็นอย่างนั้นแหละ

    ขอให้คุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองพี่อ้องและครอบครัว และเพื่อนๆกัลยาณมิตรทุกท่านค่ะ สาธุ
     
  7. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    สวัสดีครับพี่
    ขอให้ภรรยาพี่ หายจากอาการเจ็บป่วยเร็ววันนะครับ
    หนุ่ยครับ
     
  8. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    สวัสดีครับอา

    ขอคุณพระรัตนตรัย จงปกป้องรักษาภรรยาอา ให้หายไวๆ น่ะครับ


    ^o^
     
  9. ขันติธรรม

    ขันติธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2009
    โพสต์:
    545
    ค่าพลัง:
    +372
    [​IMG]
    ขออำนาจแห่งคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    โปรดคุ้มครองดูแลรักษาให้ภรรยาของคุณอ้องมีสุขภาพแข็งแรง
    ด้วยเทอญ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบน้องทางธรรม

    ถึงน้องอู๋
    ยินดีเสมอครับถ้ามาเยือน
    หลักธรรมแห่งพุทธะคือ สบายๆ ทิ้งความต้องการอยากจะพ้นทุกข์ลงด้วย
    ใจมันดิ้นเพราะอยากหนี มันจะไปกดดัยตนเองและจะทำให้สร้างจิตหลอกที่ละเอียดเราได้
    ทิ้งทุกอย่าง อยู่แบบสบายๆ อยู่กับปัจจุบัน ทำให้ต่อเนื่อง สำรวมอิินทรีย์
    เจริญคุณธรรมที่งอกงาม สติอบรมเค้าที่สภาวะให้ชินมากขึ้น

    อย่าพึ่งรีบให้ใจมันเป็นกลางจนลืมความเคยชินสภาวะเสียก่อน
    สติต่อเนื่องได้ด้วยสภาวะ ทิ้งความรีบร้อยลง จิตมันตึงจะไม่ไหวยิ่งฟุ้ง

    ปล่อยกายและใจแบบสบายๆเหมือนดั่งตามธรรมชาติ
    ลมมันพัดมาสบายๆอย่าไปเอาภูเขาไปบังเค้า
    ไฟมันจะร้อนอย่าเอาน้ำไปไล่ดับ
    ทุกอย่างมาจากใจ รู้ที่ใจ

    ดังนั้นเราต้องอบรมสภาวะให้ชินโดยรู้ชัดที่กายที่จิต
    รู้ตรงไหนสติก็ถูกอบรมตรงนั้น ตื่นตรงนั้น เพียงแต่อาจจะยังไม่ต่อเนื่อง

    อู๋ใจที่มีทุกข์มันกัดกร่อน อย่าเอาสมาธิเข้าไปข่มใจ แต่ให้รู้รูปลักษณะที่ตื่นรู้
    เพื่อให้รู้ว่า รูปลักษณะมันเป็นของเราหรือไม่ ใช่เรา ใช่ของเราไม๊

    อู๋จะเห็นธรรมชาติที่ไร้การปรุงแต่งสมมุติที่อธิบายยากที่สุด
    มันมาหลอมรวมเข้ามาด้วยเพราะการเกิดดับที่เร็วจนกลายมาเป็นเรา

    จนอู๋เข้าใจมันผิดนี่หล่ะวิปราสสัญญาเพราะถูกธรรมชาติปิดบัง
    เราจึงต้องฝึกสติ สมาธิให้มีกำลัง และเอากำลังนั้นไปพิจารณาขันธ์คือต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวล

    คนไทยที่ติดดี ติดกันมากนะ
    คือติดอยากพ้นทุกข์ เบื่อแล้ว อยากพ้น พอปฏิบัติก็อยากบรรลุธรรม
    ใจมันฮึกเหิม ความจริงไม่ผิดหรอกผิดตรงที่

    ใจมันอยากบรรลุก็รู้
    ใจมันฮึกเหิมก็รู้
    ใจมันกดดันตนเองก็รู้
    ใจมันอึกอัดก็รู้
    ใจมันฟุ้งซ่านก็รู้

    เราจะเห็นจิตมันไหลออกมาจากใจและเห็นเจตสิกปรุงแต่งในสิ่งที่วิญญาณมันสัมผัสกันที่อายตนะ
    ภายในและภายนอก สิ่งที่ถูกรู้มันไม่มาทุกข์กับเรา ส่วนเจ้าตัวที่รู้มันก็สลายหายไปแต่ที่ทุกข์เพราะ
    ตัวรู้ตัวใหม่มันมีภาระ มีเชื้อ มันจึงยึดรูปลักษณะเดิมๆของมัน อุปทานตัวนี้ เราจึงต้องเข้าไปรู้เพื่อทำลายให้สิ้น

    ฝากความคิดถึงคุณยุ่ง นาด้วยนะครับ
    ด้วยความเคารพในธรรมซึ้งกันและกัน
    ยังแข็งอยู่แต่อ่อนลงกว่าที่เคยเป็น
    ตรงสบายๆมีการฝืนให้มันนานเกินจริง

    จากพี่อ้องครับ
     
  11. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบน้องตั๊ม

    เร่งเกินไปไม๊เอ่ย...
    ธรรมะคือธรรมชาติ
    พระไตรลักษณะคือความจริงแห่งสรรพสิ่ง
    รูปทุกสิ่งถูกแผดเผาด้วยไฟ
    ทุกสิ่งอยู่ภายใต้ความจริงใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็หนีวังวนแห่งความจริงไม่พ้น

    นักวิทยาศาสตร์เชื่อเพียงแค่ว่ามีแค่สสาร ที่เหลือไม่มี จิตไม่มี วิญญาณไม่มี
    ในหลักของแมททริกเขาเชื่อว่ามีความจริงที่ถูกหลอกลวงด้วย
    พลังงานและสสาร

    พระไตรลักษณ์คือความจริงที่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ไม่ได้ เป็นทุกข์ ดับสลายหายไป บังคับไม่ได้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
    เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับลง ต่อเนื่องตลอดเวลา

    ต้นเหตุอยู่ที่กายและใจคือขันธ์๕ รูปนาม

    ปัญหาคือการเกิดดับเร็วมหาวินาศเราจึงต้องฝึกสมาธิหรือฝึกสภาวะธรรมเพื่อให้จิตมันตั้งมั่นในอารมณ์เดียวคือเอกัคคตาจิตนั่็คือใจ

    ใจที่เป็นกลาง เที่ยงธรรม มั่นคง ไร้สุข ไร้ทุกข์ ไร้โลกธรรมทั้ง๘มาก่อกวนจิต
    มีสติ มีความบริสุทธิ์ เราเอาสิ่งนี้พิจารณาลงสู่ขันธ์เพื่อรู้ความจริง

    ปัญญาก็คือความเข้าใจความจริง คือความสว่าง สะอาด บริสุทธิ์
    อวิชชาก็คือความไม่เข้าใจ ใจมันมืดบอด วิปราสสัญญา

    สิ่งที่ตั๊มทำอยู่ก็ดีนะ...
    แต่อย่าไปบังคับเค้าและอย่าไปดีใจ
    ปีติและสุขเป็นสิ่งที่ถูกรู้ เป็นรูปลักษณะชนิดหนึ่ง เรารู้เพื่อจดจำและรู้และละ

    ไม่ใช่รู้และยึดนะ...
    รู้และละมัน เพราะปัญญาคือความเข้าใจมันอยู่ตรงที่รู้แล้วเห็นความจริง
    ว่า ปีติ สุขนั้น มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ไม่ได้ สลายหายไป แวบนั้นพอ
    มีรูปลักษณะเดิมมาปรากฏ ปัญญามันจะเกิดเพราะเข้าใจ

    ว่าไม่มีอะไรเลยเป็นเรา ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
    รู้แล้วสลาย รู้แล้วมลาย
    เหมือนดั่งเงามายาหลอกลวงจิต
    ไล่คว้าลม
    ไล่หาเงา
    ความจริงแท้ๆคือ
    เราเป็นเพียงธาตุรู้ชนิดหนึ่งที่ไม่มีทั้งเงาและตัวตน
    ไม่ใช่ทั้งพลังงานและสสาร
    แต่ไปยึดเอาพลังงาน สสารมาเป็นตัวมัน
    ยึดเอาโลกมาเป็นมัน
    ยึดเอากายหยาย กายละเอียดมาเป็นมัน
    นั่นก็เพราะไม่เข้าใจแค่นั้นเอง

    จิตเหมือนดั่งลมจับต้องไม่ได้
    ดูเหมือนมีแต่ความจริงไม่มี
    ลมปรากฏเพราะธรรมชาิติแห่งการไหลถ่ายเท
    จิตปรากฏเหมือนดั่งธรรมชาติ
    เพราะมีเหตุมีปัจจัย

    สรรพสิ่งจึงคือธรรมชาติ ความจริงเราก็คือธรรมชาติเป็นสรรพสิ่ง
    ลมมันไม่ทุกข์ ไฟมันไม่ทุกข์ ดินมันไม่ทุกข์ น้ำมันไม่ทุกข์
    เพราะมันไม่ยึดรูปลักษณ์มาเป็นมัน
    แต่จิตมันไปเหมาเอาธาตุ มหาภูตรูป๔มาเป็นมันของมันจึงทุกข์

    วันใดที่เราหลอมกลมกลืนกับสรรพสิ่งนั่นก็เพราะเราได้คลายสิ้นในอุปทาน
    สังโยชน์สิบถูกประหารด้วยใจบริสุทธิ์อยู่กับหนึ่งเดียวตลอดกาล
    ไม่มีสองสามสี่ร้อยพันที่เห็นเป็นหนึ่ง
    แต่เป็นหนึ่งเพราะไม่กระเพื่อม
    ไม่หวั่นไหว ไม่มีแรงพลักด้วยตัณหา เพราะรู้ทันในอุปทาน
    รู้ทันในกิเลส ภพจึงมลายสิ้น โลกจึงว่างเปล่า
    ที่ว่างเพราะใจมันอิสร มันไม่เอาโลก ไม่เอาขันธเพราะแจ้งอริยสัจ๔นั่นเองคือ
    ถึงธรรมพ้นโลกเหนือธรรมชาติ

    กิเลสมันก็มีของมัน ลมก็มีของมัน ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็ยังเบียดเบียน
    แลกเปลี่ยน สสารพลังงานกันและกันเหมือนเดิม
    แต่นิพพานนั้นมีสภาพที่เข้าสู้หนือธรรมชาติ

    หลอมกลมกลืนเข้ากับสรรพสิ่งไร้จุด ตำแหน่ง ให้สืบค้น
    ปรมังสุขขัง บรมสุข นั้นคือสุขที่ปราศจากรูปนาม สิ่งสมมุติ อยู่เหนือกาลเวลา
    ไร้ช่องว่าง ไร้การสืบค้น เพราะไร้สมมุติ หมดจด บริสุทธิ์ อิสร เป็นไท ไม่กลับมา
    ทิ้งทุกอย่างลงข้างหลัง ไร้ตัวตน ไร้ร่องลอยให้นำสืบ

    แค่วางอารมณ์ลงก็พบสันติสุขคือความสงบเพราะปราศจากกิเลสตัณหานั่นเอง
    นิพพานที่แท้ก็คือสันติสุขเพราะวางอารมณ์
    เพราะขาดสิ้นลง
    เพราะรู้ความจริง
    แจ้งอริยสัจ
    ปัญญาวิมุติมรรค
    นั้นก็เพราะ...
    เราเดินทางสายกลางอย่างถูกต้อง
    คือรู้แล้วละ
    ไม่ได้รู้แล้วหลง
    รู้แล้วคลายออกในอุปทานสิ่งสมมุติทั้งปวง
    เข้าสู่สภาพเป็นกลางถึงที่สุดจนโลกธรรมทั้ง๘ดีชั่วก็ไม่ทำให้ใจหวั่นไหวได้อีกต่อไป



    ทำต่อไปนะตั๊ม อย่ารีบแต่ให้ฝึกอบรมสภาวะให้มากขึ้นเพื่อสติที่ตื่นอย่างถูกต้องด้วยสัมมาทิฎฐินะครับ

    ยินดีในธรรม
    พี่อ้อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2009
  12. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบกุ้ง

    สภาวะธรรมชาติที่ปรากฏเพราะจดจำได้
    มันปรากฏและกุ้งจะรู้สึกเอ๊ะ นี่ของเก่า เราจำได้ในรูปลักษณะ
    ตรงที่จำได้นี่เป็นจิตดวงใหม่ไปจำจิตดวงเก่าที่มีรูปลักษณะที่ปรากฏเอง
    ตามธรรมชาติ เพียงแต่กำลังของสติยังน้อย สมาธิยังน้อย
    จึงยังไม่เห็นการต่อเนื่อง สืบต่อ ส่งต่อ ปัจจัยที่ไหลไปไม่ย้อนกลับมา

    ช่วงสภาวะที่ตื่นรู้จิตเป็นมหากุศลจิต จิตดวงนี้มีคุณอุปการะมากยิ่งกว่าสร้างโบสถ์เพราะเป็นจิตแห่งการเดินเส้นทางแห่งมรรคคือพ้นไปจากสิ่งทั้งปวง

    สติที่กุ้งรู้สึกตัวชั่วแวบขณะจะเป็นผู้ตื่นรู้จะปัดอารมณ์ที่จะกระเพื่อมต่อเนื่อง
    ให้สะดุดหยุดลงเพราะการตื่นขึ้นมาบนโลกแห่งความจริงอย่างรู้ถูก

    ดังนั้นเราจึงต้องมาอบรมสภาวะ รู้ความจริงของกายและจิต
    เพื่อตื่น เพื่อรู้ความจริง พออบรมมากเข้า ฝึกจนจิตมันเห็นบ่อยๆ
    และตามรู้อย่างต่อเนื่องมากเข้า

    จิตมันถึงยอมรับและคลายออกจากอุปทานทั้งหลาย

    ดูสภาวะให้มากขึ้น ทำให้มากขึ้นนะกุ้ง อนุโมทนาจ๊ะ
    พี่อ้อง
     
  13. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    วิญญาณเด็กที่โรงพยาบาล

    อย่างที่อ้องบอกคือไปที่ไหนก็ต้องเจอนะ...
    ช่วงที่ทำสมาธิตอนกลางคืน ศีล คุณธรรม มีอำนาจที่แปลกๆครอบคลุมใจเรา
    รอบกายและปกคลุมกายและจิต

    กำลังของสมาธิในช่วงที่อ้องนอน ในที่ๆไม่ค่อยจะน่านอนเพราะผิดที่ ผิดเตียง
    จึงต้องนอนดูลมแบบไม่ใช้บริกรรมแต่ให้สติมาอยู่ที่หน้าของเราและให้จิตภายในมันตื่น รักษาจิตแจ่มใสเอาไว้ภายใน

    กายที่แข็งๆทื่อๆก็ตามรู้เอา ความมึนงง ซึมๆเซื่องๆปรากฏก็ตามรู้สภาวะเอา
    เป็นรูปลักษณะที่แปลกๆบอกไม่ถูกแต่มันจดจำได้หมายรู้เพราะเป็นอดีตกรรมที่จดจำได้

    กายเริ่มเบา ลมเริ่มละเอียด ลมหายใจที่เฝ้าดูเปลี่ยนจังหวะมันเองไปตามธรรมชาติคือแทนที่จะเข้ามันกลับคาอยู่ข้างนอกและหายใจออกเพิ่มเข้าไปอีก
    แทนที่จะออกมันกลับคาอย่ภายในและหายใจเพิ่มเข้าไปได้อีก

    ความเร็วของลม ความละเอียดของลมมันแปรเปลียนไปอย่างรวดเร็วเมื่อกายเกิดปัสสัทธิสงบระงับลง

    กายต้องการลมน้อยลงเป็นไปตามลำดับ ซักพักก็มาเห็นกายมันกรน มานั่งนับตัวเองกรนแม้เบาขนาดไหนก็ได้ยิน รู้สึก ถ้าต้องการจะให้รับรู้ผัสสะภายนอกก็ทำได้ ถ้าจะพลิกตะแคงตัวก็ทำได้ เหมือนคนที่ตื่นอย่างปกติ

    แต่กายมันหลับไปซะแล้ว...
    จิตภายในมันตื่น มีสติ และเริ่มมีกำลังที่แปลกๆมากสะสมเพิ่มไปเรื่อยๆ
    จิตมีสภาพที่เหมือนผ่านภวังค์จิตที่ปรากฏรูปลักษณะซึมๆเซื่องๆมีแรงดึงดูดให้มึนงง คล้อยตามมากยิ่งขึ้น

    ช่วงนี้อ้องก็จะเร่งดูลมที่เร็วและละเอียดมากยิ่งขึ้นจนผ่านภวังค์มาได้

    สภาพของห้องนั้นปกติในทุกๆอย่างแต่มีสิ่งที่เรียกร้องเหมือนกระแสแห่งความ
    ต้องการอ่อนๆเพื่อขอความสงเคราะห์และน่าเห็นใจ

    ชั้น๔ที่โรงพยาบาล เป็นชั้นของเด็กอายุต่างๆกันไป และมีห้องเด็กเล่นอยู่ในมุม
    ทางเดินเข้ามา

    อ้องถูกเชื้อเชิญด้วยวิญญาณของเด็กน้อยทั้งที่เสียชีวตที่นี่และที่อื่นมารวมกลุ่มกันที่ลานเด็กเล่นแต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือเป็นห้องที่เค้าไปปรุงแต่งสร้างกันขึ้น

    "ห้องแห่งใจ" พวกเค้าสร้างห้องแห่งใจและสร้างของเล่นในสิ่งต่างๆอย่างน่าสนุกสนาน วิญญาณของเด็กเหล่านี้ ทำไมจึงไม่ไปเกิด นั่นก็เพราะการผูกพันกับบิดามารดา การเรียกร้องถึงกันระหว่างภพหนึ่งอีกภพหนึ่ง

    และอีกกรณีคือวิบากกรรมที่ได้กระทำเอาไว้ยังไม่สามารถไปปฎิสนธิวิญญาณในที่ภพใหม่อีกครั้งได้เพราะกรรมแห่งการปฎิสนธิวิญญาณบางครั่งก็ต้องรอ
    รูปลักษณะที่สมบูรณ์เรียกร้องด้วยนั่นก็คือ

    ถ้าเกิดด้วยอิงอาศัยมหาภูตรูปไม่ว่าคนหรือสัตว์ บิดามารดาต้องพร้อม
    และรูปต้องปรากฏ วิญญาณที่จะไปปฎิสนธิตามอำนาจของกรรมนำพาไปนั้น
    จึงจะถูกอำนาจชนิดแห่งกรรมนำพาไปเกิดทันที

    พวกเราจึงมักเข้าใจผิดๆว่า วิญญาณล่องลอยไปเกิด จริงๆเค้าได้เกิดมาเป็นเปรต อสูรกาย ใกล้โลกเราเสียแล้ว แต่อำนาจของกรรมที่ไม่หนักมากจึงยังมีรูปลักษณะที่เหมือนเดิมอิงอาศัยบุญเดิม

    เด็กผมหยิกน่าตาเหมือนเด็กฝรั่งเข้ามากอดออ้งอย่างน่ารักน่าชัง น้องไม่ยอมพูดแต่มีความเศร้าหมองอยู่ภายในนั่นคือการพลัดพรากจากบิดามารดาที่เค้ารักและบิดามารดาเค้าก็มักจะเรียกร้องด้วยความเศร้าเป็นกระแสแห่งการผูกพัน

    จึงทำให้วิญญาณเดือดร้อนใจอย่างไม่ตั้งใจ
    ภพเมื่อสิ้น กายเมื่อตายจาก ต้องยอมรับและส่งใจไปให้เค้าอย่างไม่ต้องกังวล
    ความเศร้า ความเสียใจเพราะการพลัดพรากจึงมักทำให้วิญญาณจำนวนมาก

    ต้องผูกพันกับภพใกล้โลกที่ไม่น่าจะมีความสุขเสียเลย

    อ้องพยายามที่จะให้น้องเค้ามีความสุข ถามชื่อก็สั่นหัวไม่ยอมตอบ
    ความเเข็งทื่อ ความสดใสแห่งวัยสลายหายไปทั้งหมด มีแต่น้ำตาที่คลอเคลีย
    อย่างทุกข์ระทม

    "น้าอ้องช่วยเราได้เพียงแต่ทุกข์กาย ทุกข์ทางใจเกิดมาจากเราเอง
    น้าอ้องทำให้ใจเราสบายได้ชั่วขณะแต่เราก็เอาแต่กังวลในสิ่งที่พลัดพราก
    ถ้าทำได้น้าอ้องอยากให้เราไปสู่สุขคติภพใหม่
    อย่ารออะไรที่มันนานและทรมาน อย่างไรอนาคต เมื่อมีรักก็ย่อมพบกันอีก ลืมคุณพ่อ คุณแม่ลงเสีย
    และตรึกนึกในกุศลที่น้าอ้องจะให้ดีไม๊"อ้องทำหน้าที่คนส่งวิญญาณเด็กซะแล้ว

    แต่เจ้าหนูน้อยคงจะเพราะเก็บอารมณ์ตรงนี้มานานมาก เอาแต่ส่ายหน้าหนี
    มีทางเดียวคือต้องหาตัวพ่อแม่เค้าให้พบ เฮ้อ...

    แล้วอ้องจะตามหาได้ไม๊เนี่ย ไปถามนางพยาบาลสงสัยจะโดนเอ็ดเปิง เอาเรื่องวิญญาณเด็กที่ไปแต่ละห้องมาเล่าให้ฟัง เค้าคงจะว่าอ้องบ้า

    เรื่องบางเรื่องถ้าวางลงก็ต้องทำ

    อ้องได้แต่เดินไปดูสถานที่ๆพวกเด็กๆสร้างกันขึ้นมา ในตำแหน่งของโลกมันเป็นเพียงแค่ห้องเด็กเล่นเล็กๆ แต่เค้าสร้างกันเป็นห้องใหญ่อย่างกับโลกนิทานของพวกเค้า สิ่งนี้ถ้าบอกอ้องว่าเนรมิตด้วยบุญของพวกเค้าก็คงจะถูก

    ความอยากมีอยากได้ อาศัยด้วยกุศลผลบุญ ความสนุกสนานมีในเด็กบางคน
    เด็กบางคนก็อมทุกข์ บางคนก็นั่งเฉยๆ เพราะไปในสถานที่เดิมไม่ได้อีก กลับบ้านเดิมไม่ได้อีก เพราะหมดวาสนาต่อกันไปแล้ว จะไปปยู่ที่เดิมก็ไม่ได้

    ความตายไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือความไม่เข้าใจและขาดเสบียงแห่งบุญ

    อ้องทำหน้าที่ของอ้องและตรึกนึกกายหยาบก็เดินกลับเข้าห้องตนเองได้

    โลกแห่งความฝันมีอะไรที่แปลกๆมากมาย
    ผี วิญญาณ ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด การถ่ายภาพติดวิญญาณก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
    เพราะมีอยู่มากมาย และตัวเราก็ผีดีๆนี่เอง

    ขอให้วิญญาณของหนูน้อยที่มาหาพี่อ้อง พบกับความจริงที่ต้องยอมรับมันให้ได้ และขอให้บิดามารดาที่สูญเสียบุตร อย่าเรียกร้องความรักจากสิ่งที่สูญเสีย
    เพราะมีผลต่อวิญญาณเด็กที่พลัดพรากมากมายอย่างที่คุณกำลังทำร้ายเค้าแบบไม่รู้ตัว

    จากอ้องคนฝันเห็นผีแหะๆ...
     
  14. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    ขอบพระคุณครับอา ^o^

    แค่ได้อ่านคำตอบของอา ก็รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกครับ

    แต่จะว่าไปแล้วอารมณ์ ความรู้สึก ก็เป็นแค่สมมุติบัญญัติ เท่านั้นเนอะ ครับอา
    ^^


    ....คราวหนี้ต้องหมั่นฝึกอีกนาน ครับ ....




    ...สวัสดีครับอา^^


    เพื่อหลุดพ้น
    ตั้มครับ.. ^O^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2009
  15. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    อนุโมทนาค่ะพี่อ้อง

    กุ้งยังฝึกนอนเข้าฌานไม่ได้เลยค่ะ พยายามฝึกจับลมหายใจ แต่พอเริ่มเคลิ้มก็หลับปุ๋ยเสียทุกที

    กุ้งจะนั่งสมาธิก่อนนอนกับช่วงกลางวันค่ะ เนื่องจากลูกหลับ
    ตอนช่วงกลางวันนั้นก็จะนั่งได้จนรู้สึกว่าว่างไปหมด ไม่มีอะไรอยู่รอบข้างอีก ร่างกายตัวเองก็หายไปด้วย ลมหายใจนี่บางทีเหมือนมันหายไป บางทีก็มี ยังได้ยินเสียงนิดๆ และยังรู้สึกตัวอยู่นะคะ ก็จะใช้เวลาเกือบ2 ชม.

    วันนี้แปลกที่ว่ารู้สึกว่าจะวูบดิ่งไปแล้วก็ถอยออกมานิดหนึ่ง

    สักครู่ก็ดิ่งเข้าไปอีกอย่างรวดเร็วมากๆ แบบวืดไปเลยค่ะ แล้วรู้สึกมันมืดแต่ไม่มากนะคะ สักครู่ก็จะรู้สึกแบบเย็นทั้งตัว เย็นทั้งใจ ไม่เคยเป็นอย่างนี้เลยค่ะ

    ก็นั่งอยู่พักหนึ่งแล้วก็ออกจากสมาธิ ต้องนั่งอยู่สักครู่ จึงจะ ขยับมือนิดนึง
    เพราะรู้สึกเหมือนกับตัวหายไป

    สังเกตุว่าจะนั่งได้นานขึ้นกว่าเมื่อก่อน และบางครั้งในช่วงกลางวันที่เราทำกิจวัตรประจำวัน บางทีรู้สึกเหมือน ไม่รู้สึกตัวค่ะ คือเราดูร่างกายเราทำอยู่

    แต่มีสติอยู่นะคะ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ยืนอยู่เฉยๆรู้สึกร่างกายมันเบาโหวง เหมือนคนจะเป็นลมนะค่ะ แต่ถามตัวเอง ก็ไม่ได้เป็นลม ยังมีสติอยู่ ไม่ได้มึนหัวอะไรเลย
    ก็เลยแปลกใจ บางทีรู้สึกเหมือนตัวเราหายไปเฉยๆ บางทีมันโคลงเคลง แกว่งๆเหมือนคนอยู่บนเรือค่ะ แล้วลองถามพี่ในเวปนี้คนนึง เค้าบอกว่าอาจจะเป็นฌานที่สูงขึ้น ให้อธิษฐานไว้ว่าขอให้เราเข้าถึงสมาธิระดับนี้ได้ทุกครั้งที่เราต้องการค่ะ ก็รู้สึกว่าพอมานั่งทีหลัง จะเข้าวืดไปเลย

    พี่อ้องคะ ถ้านั่งสมาธิแล้วไม่ปรากฎนิมิตแปลกๆนี่ จะถือว่าก้าวหน้าขึ้นหรือไม่คะ
    เพราะกุ้งอธิษฐานไว้เวลา เข้าสมาธิลึกๆว่าอย่าให้เห็นนิมิตเลย ถึงเห็นอะไรนิดนึงก็จะไม่สนใจ ขออาราธนาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคุ้มครองด้วย

    ส่วนเรื่องอารมณ์นี่ จะเยือกเย็นมาก ไม่ค่อยจะพูดกับใครมาก แต่พอพูดออกมาคำหนึ่งนี่แบบมีคุณภาพมากค่ะ คนฟังนี่จะอึ้งไปเลย จนเราแปลกใจว่า เราพูดออกไปอย่างนั้นได้ยังไง เหมือนพระเทศน์อะไรประมาณนี้อ่ะค่ะ ฮ่าๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2009
  16. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตัดเอาสิ่งที่เป็นสัญญาทิ้งลงนะอย่าไปสนใจในสิ่งสูงมันจะยึดและหลงจมแช่เข้าไป
    แขกมาเยือน นิมิตปรากฏ สุขเย็นใจ ไหลดิ่งลงลึก สงบเงียบไม่ไหวหวั่น
    จงทำตัวเหมือนคนไม่สนใจแขก ทิ้งแขกอย่างไม่ใยดีนะ

    เราไม่ได้เอาดี เอาสุข เอาินิมิต เอาณานชั้นสูง เราเอากำลัง
    ตรงไหนที่สบายๆ เฉยๆ นั่นหล่ะ เราจะอยู่ตรงนั้นคือตรงใจบริสุทธิ์

    ทุกสิ่งที่เรารู้ คืออารมณ์ เช่นนิมิตเป็นอารมณ์ สุขเป็นอารมณ์ ความสงบเป็นอารมณ์
    ความรู้สึกวูบ ดิ่งลง สุขสงบ เป็นอารมณ์ ที่ถูกรู้ด้วย จิต

    เราไม่เอาอารมณ์ด้วยการสละออก ไม่หวั่นไหว ไม่คล้อยตาม สมมุติปรุงแต่งจิต
    เราทำเพื่อพบใจที่ตั้งมั่น เป็นหนึ่ง

    ตรงที่สบายๆ เฉยๆ อย่างที่หลวงปู่เทสก์ท่านสอนนะนี่หล่ะใจบริสุทธิ์
    สติมีกำลัง ไม่หวั่นไหว ดีที่ละเอียด ชั่วที่แสนหยาบ ในโลกธรรม มีความเป็นกลาง

    ลองหยุดสูบลมหายใจนะ หลวงปู่เทสก์บอกลักษณะของใจมันจะอยู่ตรงที่เราหยุดลมหายใจชั่วขณะ กลางๆที่หน้าอก ชั่วแวบนึง ไม่มีอะไร ไม่เอาอะไร เฉยๆ สบายๆแวบเดียว

    แต่สมาธิหรือณาน นัน้จะทรงอยู่ได้นานบางคนก็10-20นาที บางคนก็มากกว่านั้น

    เมื่อพบใจที่ตั้งมั่นก็เอาใจนั้นหยั่งพิจารณาลงสู่ขันธ์คือรูปนามตามจริง
    เพราะใจก็มีสภาพที่เป็นอนัตตา สัพเพสังขาราอนิจจัง ไม่เที่ยง ตั้งอยู่ไม่ได้ สัพเพธรรมมาอนัตตาติ บังคับให้อมตะ ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ

    มันจะกระเพื่อมหวั่นไหวเดี๋ยวก็ละเอียดเดี๋ยวก็หยาบ
    ทุกอย่างจะแสดงรูปลักษณะอย่างรู้ถูก
    ว่ารูปนามที่ปรากฏทุกสิ่งที่แตกต่างกันนั้น

    มีสิ่งที่เหมือนกันคือตกอยู่ใต้พระไตรลักษณและรูปนามไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
    ตรงนี้ีนะที่พี่พยายามสอนเรา คือฝึกสติ

    ที่เจริญสติดีแล้วตามรู้อริยาบท้วยความสำรวมระวัง
    บางครั้งเราจะเห็นคุณธรรมของเราไประงับยับยั้งอกุศลด้วยการสำรวมระวัง
    ในศีล สมาธิ ปัญญามันจะเข้าใจคือรู้ว่ารูปนามที่ปรากฏ มันเป็นเหตุแค่เรื่องธรรมดา

    มีเหตุให้เกิดและก็สลายหายไป
    แต่ความไวมากจึงทำให้ร้อยพันรูปนามมารวมเป็นกายเป็นจิตจนอวิชชามันปิดบังเรา
    ว่านี่เป็นกายนี่เป็นจิต

    เรามาศึกษาธรรมแห่งพุทธองค์เราต้องมีปัญญาเป็นพื้นคือสัมมาทิฎฐิคือรู้ถูก

    สิ่งที่กุ้งทำอยู่ขออนุโมทนาด้วย
    ขอให้อย่าไปหวั่นไหว ไม่ต้องสนใจแขกมาเยือนจะหล่อเทห์สวยงามช่างเค้า
    มาอยู่ที่การเจริญอิทธิบาท๔จิตตะ(จดจ่อ) วิมังสา(ใส่ใจพิจารณา)

    อย่าไปบังคับน้ำที่มันไหลบนพื้นความหมายคือปล่อยให้จิตนั้นเข้าหาใจ รวมเข้าสู่ใจ อย่างช้าๆมั่นคง ยิ่งอยากยิ่งกระเพื่อม น้ำจะไหลซัดส่ายไปมา จิตจะถูกหลอกด้วยจิตหลอกตนเอง

    หลักแห่งธรรมชาติต้องสบายๆ มั่นคง ไม่หวั่นไหว นิ่งสยบทุกสรรพสิ่ง
    ทิ้งความอยากจะพบความจริง

    อยากพ้นทุกข์ยิ่งไม่พ้นทุกข์
    อยากบรรลุธรรมยิ่งไม่สมหวัง
    ทิ้งอยากโดยเฉยๆ
    เดินไปข้างหน้าอยู่กับปัจจุบัน
    เมื่อถึงเวลาแห่งการสุกงอม
    ผลไม้มันสุกเอง
    เค้ารู้เอง
    สิ่งสำคัญเราไม่ได้ดูว่าเราเก่ง จะทำให้ทนงตน

    การประเมินผลแห่งการพัฒนาเราดูที่ศีล คุณธรรมที่เจริญขึ้นงอกงามเป็นลำดับ
    สิ่งเหล่านี้เป็นอินทรีย์ เป็นองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้
    ทำดีแล้วทำต่อไปอนุโมทนา

    ต่อเนื่องฝึกให้ชินสภาวะรูปลักษณะ พอชินมากสติจะกลายเป็นมหาสติ
    ปัญญาวิปัสสนาจะปรากฏ

    ด้วยความยินดีในธรรมแห่งกันและกัน
    พี่อ้อง
     
  17. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    อนุโมทนาด้วยค่ะ

    อนุโมทนาด้วยค่ะ อาจารย์พี่อ้อง _/\_ สาธุ
    หนูจะพยายามให้ดีกว่านี้ค่ะ
    ก็รู้สึกว่าจะนั่งได้นานขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ
    แต่เวลาเราสวดมนต์นานๆทำไมถึงง่วงคะพี่ เกือบทุกครั้งเลย

    ส่วนนิมิตนี่หนูจะเตรียมใจไว้ค่ะ จะไม่สนใจ แล้วถ้านิมิตแบบน่ากลัวนี่ต้องอาราธนาพระคุ้มครองใช่มั้ยคะ ปกติพี่อ้องเจอนิมิตแบบน่ากลัวๆมั้ยคะ
    แล้วทำยังไงคะ

    กราบอนุโมทนาค่ะ

     
  18. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    เวลาที่เราสวดมนต์ จิตมันตรึกนึกในคำบริกรรม มีพระพุทธคุรเป็นที่น้อมระลึกเข้าถึง
    จิตจดจ่อกับบทสวด...
    จึงทำให้กายเกิดปัสสัทธิคือสงบระงับ สบายๆ มีปิติ สุขปรากฏได้

    สมาธิอยู่กับอารมณ์ในกรรมฐาน
    พุทธานุสติก็เป็นกรรมฐาน
    โน้มเข้าหาบทสวดมนต์อย่างจดจ่อ

    สมาธิก็ปรากฏได้เช่นกัน

    ส่วนนิมิตร้ายๆนั้น บางครั้งแขกมาเยือนที่มีอำนาจก๋ต้องใช้บทพุทธคุณรักษาบ้างเช่นกัน

    เวลาที่พระป่าท่านเข้าป่า ภาวนาในถ้ำบางครั้งก็อาจจะพบนิมิตผู้ไม่ประสงค์ดี มาเอาเรื่อง
    ในถิ่นฐานบ้านเค้าที่เค้าผูกติดได้เช่นกัน

    นิมิตร้ายก็ควรแล้วที่จะโน้มจิตเข้าหาพุทธคุณที่หลงเผลอลืมไป
    ถามใจตนเองว่าขณะที่ใจเราเผลอ หลงเข้าไปนั้น
    ใจเราทิ้งคุณพระพุทธเพราะเผลอไป จึงทำให้จิตวิญญาณอื่นเข้าแทรกแทรงได้

    เมื่อพยนิมิตร้ายจึงโน้มจิตเข้าหาพุทธคุณเช่นเดิม ศีล สมาธิ คุณธรรมของเราจะปรากฏเกิดขึ้นด้วยการรักษาแห่งพุทธคุณ

    อนุโมทนา...
    ความกลัวเป็นสิ่งที่ถูกรู้ เป็นอารมณ์ที่ไม่เคยพบ หรือหวาดระแวงภัย มันไปตั้งจิตแข็งๆเอาไว้คือหนี ตั้งท่าทาง ความสงสัย สิ่งเหล่านี้เป็นรูปลักษณะทั้งสิ้น

    ถ้าเราหนีเราก็ไม่รู้ว่ากลัวอะไร
    เมื่อเราสงสัยเอาแต่คิดก็จะไม่รู้
    หันหน้ามารู้รูปลักษณะ เอาศีล คุณธรรมขึ้นนำ อาศัยพุทธคุณที่โน้มเข้าหา
    ใจจะเข้มแข็ง มีที่พึ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวนำ แล้วหันหน้าไปสู้

    แต่ถ้ากลัวมากๆก็ถอยหนี...ไม่งั้นจะบ้าได้นะ
    การถอยกำลังของสมาธิให้ค่อยๆถอนในทุกๆครั้ง ไม่งั้นกายหยาบจะลองรับสภาพไม่ทัน
    มหาภูตรูป๔จะแปรปลวน อาจทำให้ไม่สบายได้ ค่อยๆถอนออกมาและผ่อนคลาย

    ทำให้เป็นนิสัยทุกๆครั้งที่เข้าและออกจากสมาธินะ
    ด้วยความยินดีในธรรม
    พี่อ้อง
     
  19. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    รักไม่ได้ทำให้ทุกข์แต่เพราะยึดรักจึงทุกข์

    เช่นเดิมครับ...

    รักไม่ได้ทำให้ทุกข์แต่เพราะยึดรักนั้นหล่ะจึงทุกข์

    พวกเราติดรูปลักษณะ เรารักในทุกๆสิ่ง กายของเรา ของทุกสิ่งเป็นของๆเรา
    เมื่อมีอุปทานในรูปลักษณะและไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา

    ไม่ว่าจะมีรักหรือไม่มีรัก ถ้าจิตยังยึดในรูปลักษณะอย่างไรก็ทุกข์

    เพราะรูปลักษณะเป็นสิ่งที่ถูกรู้ เป็นอารมณ์ เมื่อมีผัสสะมากระทบและจิตยกอารมณ์ในรูปลักษณะนั้นๆได้เพราะ อดีตกรรม อารมณ์เจตสิก วัตถุรูป

    สรรพสิ่งมีเหตุ ไหลไปไหลมาเป็นเรื่องธรรมดาของธรรมชาติ
    ลมปรากฏเพราะช่องว่างอากาศไหลถ่ายเทเพราะความเย็นความร้อน

    จิตก็ปรากฏได้ตามธรรมชาติเพราะมันไปจดจำได้หมายรู้ในรูปลักษณะมาอย่างยาวนาน
    เมื่อมีเหตุให้ปรากฏมันก็จะปรากฏเองตามธรรมชาติรู้ของมันเป็นแค่เรื่องธรรมดาของธรรมชาติ

    แต่การรู้ไม่ได้ทำให้ทุกข์ แต่ที่ทุกข์เพราะไม่เข้าใจ(อวิชชา) จึงทุกข์
    ถ้าเข้าใจ(ปัญญา)วิชชาที่ปรากฏ ก็จะไม่ทุกข์

    เมื่อรู้จึงละ เมื่อพบและวางอารมณ์แล้วทุกข์จะมาจากไหน
    หมดสมมุติ หมดการปรุงแต่งสังขารขันธ์ก็พบสัจจะธรรมคือสันติ

    นิพพานังปรมังสุขขัง...
    พ้นเพราะไม่ยึดรูปลักษณะด้วยเพราะศีล สมาธิ ปัญญา ที่อบรมมาดีแท้ๆในมรรคชอบ นิโรธจึงปรากฏเป็นไปตามธรรมชาติพ้นไปจากธรรมชาติ

    เมื่อเราไม่โลก โลกก็ไม่เอาเรา
    เมื่อใจว่างจากภพ โลกก็ว่าง
    คำว่าโลกคือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส

    ดังนั้น ที่เราทุกข์ๆเพราะไปเอาโลกมากอดยึด
    เมื่อเข้าใจเห็นโลกว่าว่างเปล่าคือ
    รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส มันมีรูปลักษณะมากมายแต่ก็มีสิ่งที่เหมือนกันคือ
    ตกอยู่ภายใต้พระไตรลักษณะ

    มาหลอมรวมๆกัน หมื่นพันรูปลักษณะเราดันเห็นไปหนึ่งคือกายเรา ของเรา
    แต่เมื่อจิตเป็นหนึ่งพบใจบริสุทธิ์ เที่ยงธรรม มีสติ เอามาพิจารณาเพียงหนึ่งใน
    สัมมาทิฎฐิความรู้ถูกในขันธ์ตามความจิต

    จิตก็ย่อมถอดถอนอุปทานว่าเป็นเราของๆเราได้เมื่อแจ้งอริยสัจ๔ธรรมอันประเสริฐแห่งพุทธะ
    ซึ้งก็คือ

    เรื่องธรรมดาของธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มีเหตุให้เกิดและหมดเหตุก็สลายหายไปเป็นแค่เรื่องธรรมดาจริงๆแค่นี้จริงๆมีแต่ของเดิมๆของเก่าจริงๆและสลายไป

    กองไฟที่มอดดับไปแล้วยังเรียกว่ากองไฟอีกหรือไม่
    ลมที่พัดผ่านละลายหายไปจากผิวกายยังเรียกว่ามีลมอีกหรือ
    คนรักเก่าที่หายไปจากชีวิตท่านยังเรียกว่ามีรักอีกหรือ

    รักจึงไม่ได้ทำให้ทุกข์แต่เพราะยึดรักจริงแท้จึงทุกข์
    รู้ทุกข์แจ้งธรรมละเหตุพบสันติสุขตลอดกาล

    ทิ้งมันเอาไว้ข้างหลังอย่างไม่ใยดี
    ไม่เหลืออะไร
    ไม่เอาอะไร
    ไม่หันมามอง
    ไม่กลับหลังหัน

    อย่าเรียกเราให้กลับมีแต่เราจะเรียกให้เธอนั้นตามเรามา
    ที่นี่ไม่วุ่นวาย
    ที่นี่ไม่สับสน...
     
  20. ANUWART

    ANUWART เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +14,320
    โมทนาสาธุครับ

    เรียนเชิญทำบุญซื้อ อิฐ หิน ดิน ทราย เหล็ก ปูน สร้างศาลาแก้วพระจุฬามณีถวายสมเด็จองค์ปฐมครับ

    เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างพระประธานสมเด็จองค์ปฐมและศาลาแก้วพระจุฬามณี ที่ จ.นครศรีธรรมราช (สำนักสงฆ์ธรรมเจริญ)

    [​IMG]

    [​IMG]

    " บุญกุศลใดที่พึงจะได้รับ ก็ขอให้ทุกท่านได้รับเช่นเดียวกันถ้วนหน้าสถาพร ทั้งโลกนี้และโลกหน้า ที่สุดถึงซึ่งพระนิพพานด้วยกันเทอญฯ สาธุ"<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>
     

แชร์หน้านี้

Loading...