เรื่องเล่าของข้าพเจ้าความศักดิ์สิทธิ์พระคาถาชินบัญชร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย ชัชวาล เพ่งวรรธนะ, 1 ตุลาคม 2008.

  1. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    อนุโมทนาคุณหนุ่ย
    การตื่นขึ้นมาจากโลกดีกว่าจมไปกับโลก
    การรู้ว่าตนเองเกิดมาเพื่ออะไรเป็นเพราะคุณธรรมได้ถูกกระตุ้นเตือน
    เป็นเพราะจิตสำนึกที่เคยฝึกตนหนีห่างจากกิเลสอันเป็นเครื่องเศร้าหมอง
    เป็นเพราะบารมีและอธิษฐาน
    เป็นเพราะเคยพึงพอใจในเส้นทางแห่งมรรค
    เป็นเพราะเคยสะสมเส้นทางแห่งความพ้นไป
    เมื่อเดินคล้อยลงต่ำ ....
    จิตสำนึกจะถูกกระตุ้นเตือนให้แสวงหาสัจธรรม

    อนุโมทนาในสิ่งที่เคยสะสมมาเป็นบารมีในทางธรรม
    พี่อ้อง
     
  2. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ส่งหนังสือให้น้องแดน

    ถึงน้องแดน

    พี่อ้องส่งหนังสือไปให้แล้วคิดว่าวันพรุ่งนี้คงได้รับนะครับ
    จึงมาลงกระทู้ให้เพื่อนๆอนุโมทนาน้องแดนที่ให้ธรรมทานแก่มารดา
    เพื่อประโยชน์เพื่อความสว่างเพื่อความพ้นไปเพื่อความรู้แจ้งและเข้าถึงธรรม
    ในอนาคตในไม่ช้า
    อนุโมทนาครับ

    พี่อ้อง
     
  3. awesomekid

    awesomekid สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +2
    พี่อ้องครับ


    ขอขอบคุณในความกรุณาเป็นธุระจัดหาหนังสือให้ครับพี่ เมื่อได้รับ คนแรกที่จะได้อ่านจะเป็นแม่ผมครับ ผมตั้งใจอย่างนั้น อยากให้แม่ได้อ่าน อยากให้แม่ได้รับรู้เรื่องราวดี ๆ สุดท้ายนี้ ขอคุณพระศรีรัตนตรัย คุ้มครองพี่อ้อง และครอบครัวพี่อ้อง ให้ผ่องใสด้วยธรรมและเจริญด้วยสติครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2009
  4. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ทำอย่างไรจึงจะสวดพระคาถาให้ศักดิ์สิทธิ์

    จริงๆแล้วการสวดมนต์เราทำเพื่อสติ เพื่อระลึกในคุณแห่งพระรัตนตรัย
    ในขณะที่เราสวดมนต์เราจะรับรู้ถึงคุณธรรม ความเย็น ความสะอาด
    ความบริสุทธิ์ที่แผ่ซ่านออกมาจากภายในประกอบด้วยปิติ สุข

    อันเนื่องมาจากการที่เรามีศรัทธา มีความเคารพ มีการระลึกถึง สิ่งเหล่านี้คือ
    ตบะ เดชะแห่งอำนาจที่สะสม เป็นฐานรองรับคุณธรรมที่จะเพิ่มทวีผลเป็นกำลัง
    เมื่อปรากฏศีลคือความปกติของจิต สมาธิกำลังของจิตที่ตั้งมั่น

    คุณธรรมที่เราสะสมมา ฐานรองรับที่เราสะสมจะเหมือนจุดตะเกียงแห่งแสงสว่าง
    ที่บริสุทธิ์กระจายปกคลุมกระถางรองรับก็คือขันธ์ของคุณเองที่คุณสะสมกำลังแห่งคุณธรรมต่างๆที่สะสมมา

    คนโบราณเวลาเข้าป่าลึกมักจะมีพรานป่าที่มีตบะ มีอำนาจ ที่สามารถ สยบ
    กดข่ม สัตว์ร้ายต่างๆ หรืออำนาจมืดของผืนป่าที่แฝงเ้ล้นอยู่ภายใน โดยทำพิธีเปิดป่าเพื่อขอต่อเจ้าป่า เจ้าเขา เพื่อขอขมาลาโทษที่อาจจะล่วงเกินต่อสิ่งภายในแห่งป่าเขา

    บุคคลบางคนมีอำนาจ มีตบะที่แรงที่สามารถกดข่มสัตว์บางชนิดด้วยการฝึกตนเอง สร้างตนเอง สร้างจิตตนเองให้แข็งแกร่ง ให้เหนือขึ้นไปด้วยการละทิ้งความหวาดกลัว ความกังวล

    นิ่งเหมือนลมสงบ ไม่หวั่นไหวต่อสรรพสิ่ง...

    นี่เป็นการฝึกตนของคนที่พยายามสร้างอำนาจของตนเองให้เหนือต่อบางสิ่ง

    บุคคลบางคนมีอำนาจฤทธิ์ ไปสถานที่ใดล้วนมีคนเคารพ เกรงกลัว ยำเกรง อบอุ่นมีกระแสแผ่ซ่านออกมาเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่ให้ที่พักพิง

    บุคคลบางคนมีความร่มเย็น ไปที่ใดมีคนรัก มีคนหลงไหล มีความเย็น มีกระแสแผ่ซ่านออกมาเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่ให้ความร่มเย็น

    บุคคลบางคนใช้อำนาจในทางไร้คุณธรรม ใช้อำนาจไปทางด้านมืด มีตบะ อำนาจไปในทางที่เบียดเบียน มีโลภะจิต มีการแสวงหาในสิ่งที่ทำร้ายแทนการช่วยเหลือ แทนการให้ที่พักพิง ให้ความร่มเย็นล้วนแล้วมีอำนาจชนิดหนึ่ง
    ที่ทำให้คนหรือสัตว์วิญญาณต่างๆเกิดความหวาดระแวง เกลงกลัว ขาดความอบอุ่น ขาดความร่มเย็น มีแต่ความรู้สึกเหมือนดั่งถูกดูดด้วยโลภะจิต

    บุคคลที่เข้าหาที่พักพิงชนิดนี้จึงมีแต่โลภะจิตและถูกอำนาจของมิจฉาทิฎฐิที่มีอำนาจเหนือกว่าดึงดูดให้ลงต่ำและหลงไปทางที่ผิดพลาดแก่ตนเอง

    การที่อ้องเขียนมาเพื่ออ้างอิงเพราะ พวกเรามักคิดเสมอว่า ตัวหนังสือศักดิฺสิทธิ์
    คาถาที่พูดหรือท่องออกมาศักดิ์สิทธิ์ จริงๆแล้วมีองค์ประกอบร่วมกันหลายๆอย่างเช่นกัน

    กระถางที่ศักดิ์สิทธิ์รองรับคุณธรรมที่สะสมเอาไว้ในกระถาง
    สะสมมาหลายอสงขัยกัลป สะสมคุณธรรม
    ได้พบเจอพระพุทธศาสนามามากมาย เราต้องรู้จักการจุดเชื้อแห่งคุณธรรมให้ฉายแสงสว่างกระจายเพื่อปกคลุม
    กระถางหรือกระจายแผ่ออกฉายส่องให้กว้างไกล

    ความศักดิ์สิทธิ์จึงต้องเริ่มมาจากความปกติของจิตที่สะอาด บริสุทธิ์
    ปราศจากการเบียดเบียน
    ไร้การตื่นตระหนกตกใจ สร้างตบะ อำนาจเดชะปลุกจิตภายในให้มีอำนาจมีพลังด้วยการทำจิตให้เป็นหนึ่ง

    อย่าสวดมนต์เพื่ออ้อนวอนดั่งคนอ่อนแอ
    อย่าสวดมนต์เพื่อร้องขอเหมือนดั่งคนขี้แพ้
    อย่าสวดมนต์เพื่อหวังผลในอามิสเพราะแพ้ตัณหา
    จงสวดเพื่อระลึก เพื่อสติ เพื่อความสงบ เพื่อความเข้าถึงคุณธรรมแห่งพุทธะ

    เวลาที่เราตกใจ หรือเจอผี หรือเจอสิ่งอันใดก็ตาม
    อำนาจแห่งพระคาถาจะมีอำนาจก็ต่อเมื่อท่านมีศรัทธา มีสติ มีกำลัง
    ไม่ตื่นตกใจ รวบรวมสมาธิไม่ให้ซัดส่าย

    เวลาเจอผีอ้องเห็นแต่ละคน สวดไล่ผีแล้วมาบ่นกันว่า ทำไมมันไม่ยอมไปเลย
    แถมซ้ำมันยังหัวเราะและเล่นบทหลอกแรงขึ้นอีกด้วย

    ตรงนี้มาถามอ้องว่าพระคาถาศักดิ์สิทธิ์จริงหรือพี่อ้อง...ขอบอกว่า
    สวดไปเหอะ สวดให้ตาย เค้าก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก

    นั่นก็เพราะ เราตื่นเต้น ตกใจ
    ไม่มีสติ ไม่มีศีล ไม่มีกำลังที่รวบรวมเข้ามาให้จิตเป็นหนึ่งคือสมาธิ

    นี่แหละที่เค้าเรียกว่าไม่มีตบะ ไม่มีอำนาจในการเข้าไปต่อสู้กำลังที่เหนือกว่า
    น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ นั่นก็คือแพ้ภัยตนเองเพราะตื่นเต้น ตกใจ จิตหวาดกลัว ผวา และกระทำไปโดยไร้สตินั่นเอง

    คนเราจึงควรฝึกสร้างทิพย์อำนาจ สร้างจิตตนเองให้เข้มแข็งพร้อมที่จะต่อสู้ภัยอันตรายต่างๆด้วยการสวดมนต์...
    เพื่อระลึก
    เพื่อสติ
    เพื่อสร้างกำลัง
    เพื่อไม่ให้ตระหนกตกใจ
    เพื่อให้จิตรวมเข้าถึงด้วยไม่หวั่นไหว
    เพื่ออำนาจ
    เพื่อฤทธิ์
    เพื่อเดชะ
    เพื่อบารมี
    เพื่อเข้าถึงพุทธคุณ
    เพื่อนำกำลังแห่งคุณธรรมให้ปรากฏ

    พวกเราจึงคือกระถางรองรับคุณธรรมที่สะสมมา
    เราจึงอย่าสวดมนต์ด้วยกิเลสดั่งที่อ้องเขียนมา
    คนที่สวดมนต์แล้วไม่เห็นผลเพราะไปหวังผล
    บุคคลที่มีคุณธรรม มีปัญญา เค้าจะตัดสิ่งที่เป็นตัณหาทิ้งลง
    เพราะเค้าเชื่อมั่นอยู่แล้วว่า "พระคาถานั้นศักดิ์สิทธิ์เสมอ"เพราะตนเอง...

    ดังนั้นอ้องจึงอยากบอกเพื่อนๆว่า เรากราบพระ เราจะรู้สึกถึงความเย็น ความอบอุ่น ความเป็นที่พึ่ง ความได้เป็นที่พักพิงอาศัย ความสงบ ความปลอดภัย
    ปราศจากอันตราย นั่นก็เพราะเราสะสมมาทั้งสิ้น

    เราจึงกราบไหว้พระพุทธและระลึกถึงท่านด้วยการสวดมนต์น้อมเข้าถึงกระแสแห่งพระธรรมและระลึกถึงคุณธรรมต่างๆของพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย

    ความศักดิ์สิทธิ์ปรากฏเอง เมื่อเรามีตบะ มีเดชะ เพราะเราฝึกตน ฝึกสติ ด้วยมาจากความบริสุทธิ์ล้วนๆ ไม่ใช่ถูกให้สวดเพื่อตัณหา ความร่ำรวย ความโชคดี
    ความปลอดภัยเพราะจริงๆแล้วไม่มีสิ่งใดให้อะไรนอกจาก

    ตนของท่านนั้นเองที่เป็นที่พักพิง ที่ร่มเย็น ท่านสร้างตัวตน สร้างกำลัง สร้างคุณธรรมให้ฉายแสงไปทั่วปฐพีด้วยคุณธรรมที่ท่านทำให้งอกงามเพราะท่านคือ
    "กระถางรองรับคุณธรรม"

    ผิดถูกขออภัยด้วยครับ เป็นความคิดเห็นส่วนตน แต่อ้องคิดเช่นนี้ว่า
    ไร้วาสนาอย่าขอพร
    บุญมาดวงดีได้เงินทอง
    ความร่ำรวยขอกันไม่ได้
    ไม่งั้นโลกนี้ก็ไม่มีคนจน...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2009
  5. awesomekid

    awesomekid สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +2
    พี่อ้องครับ

    ผมได้รับหนังสือแล้วครับ ขอขอบคุณในความกรุณาเป็นธุระจัดหาหนังสือให้ครับ ผมได้มอบให้แม่ตามที่ตั้งใจ ดูท่านยินดีที่ได้หนังสือธรรมเล่มใหม่ ขอบุญกุศลที่พี่ได้กระทำโดยการเผยแพร่สิ่งดี ๆ ช่วยส่งเสริมให้พี่เจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  6. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    ทำอย่างไรจึงจะสวดพระคาถาให้ศักดิ์สิทธิ์

    อีกครั้ง ที่อ่านข้อความของคุณอาอ้องแล้วเหมือนถูกตักเตือน ตรงจุดพอดีค่ะ

    ส่วนใหญ่เวลาทำบุญหรือสวดมนต์มักขอให้เป็นปัจจัยให้มีปัญญาเข้าถึงพระนิพพาน
    เรื่องสวดมนต์แล้วอธิษฐานให้รวย มาไม่กี่วันนี้เองค่ะ ขอสารภาพ
    แล้วพอขอให้รวยกับพระแล้วรู้สึกละอายใจอึดอัด เป็นเพราะกิเลสนี้เอง

    ขอบคุณมากค่ะ
    ที่ตั้งใจและสละเวลามาเขียนให้อ่านเป็นธรรมทาน ช่วยกระจายแสงสว่างแห่งธรรมะของพระพุทธองค์สืบไป

    ผิดถูกไม่รู้ (เพราะวาสนาบารมีไม่พอที่จะเห็นความจริงได้หมด)
    แต่อ่านแล้วไม่เคยตะขิดตะขวงใจหรืออึดอัดใดๆเลย อ่านแล้วรู้สึกดีเสมอค่ะ
     
  7. Angelina

    Angelina สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    อ้างอิงจาก Bloggang.com (..ต่อ...ค่ะ...)

    ในที่สุด.... ก้อหาพี่อ้องเจอ... จนได้อิ.. อิ..
    รบกวนพี่อ้องด้วยค่ะ..
    ส่งถึง
    แองเจลีน่า (นงนุช)
    69/300 ซอยรามคำแหง 164
    แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ 10510

    แองไม่รู้จะขอบคุณพี่อย่างไรดี.. ให้สมกับความมีน้ำใจของพี่.. หวังว่า คงมีโอกาสได้ร่วมทำบุญด้วยนะคะ ในโอกาสต่อไป...
    สุดท้ายนี้.. ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก จงช่วยดลบันดาล ให้พี่อ้อง ภรรยา และครอบครัว จงประสบแต่ความสุข ปราศจากสิ่งใด ๆ ที่ร้ายแรง คิดหวังสิ่งใด ให้สมความปรารถนา ความตั้งใจของพี่อ้อง ที่หวังหลุดพ้น ขอให้อยู่ใกล้แค่เอื้อม และสมหวังโดยเร็วพลันด้วยเทอญ. สาธุ สาธุ สาธุ

    ขอบคุณค่ะ
    แองค่ะ...
     
  8. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบน้องแอง

    น้องแอง

    ก็เป็นอีกคนที่ขอหนังสือเพื่อจะให้ธรรมทานแก่พ่อแม่ พี่อ้องก็ต้องเลยขวนขวาย
    หาหนังสือเอามาส่งให้เหมือนน้องแดนเช่นกัน

    เพราะการให้ธรรมทานแก่บิดามารดาเป็นความกตัญญูในคุณธรรมที่ประเสริฐ
    ถ้าไม่ส่งเสริม ถ้าไม่ทำให้สำเร็จย่อมเปรียบเสมือนกีดกันบุญบารมี
    อันยิ่งใหญ่ไม่ให้สำเร็จผล

    พี่อ้องจะส่งหนังสือไปใ้ห้คงจะวันจันทร์นะน้องแอง
    ก็เลยขอเพื่อนๆอนุโมทนาร่วมกันกับอ้องและน้องแองด้วยนะครับ

    อนุโมทนา สาธุ

    พี่อ้องครับ
     
  9. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    แม่ย่าแห่งขุนเขาค้อมาเยือน

    <meta http-equiv="Content-Type" content="text/html; charset=utf-8"><meta name="ProgId" content="Word.Document"><meta name="Generator" content="Microsoft Word 11"><meta name="Originator" content="Microsoft Word 11"><link rel="File-List" href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5CJ3998%7E1.SUT%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtml1%5C01%5Cclip_filelist.xml"><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><style> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Angsana New";} @page Section1 {size:612.0pt 792.0pt; margin:72.0pt 90.0pt 72.0pt 90.0pt; mso-header-margin:36.0pt; mso-footer-margin:36.0pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} --> </style><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <o:shapedefaults v:ext="edit" spidmax="1026"/> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <o:shapelayout v:ext="edit"> <o:idmap v:ext="edit" data="1"/> </o:shapelayout></xml><![endif]--> [FONT=&quot]เมื่อประมาณ4[FONT=&quot]ปีก่อนหลานอ้องน้องวีวี่ยังเด็ก พ่อแม่เค้าพาเจ้าวีวี่มาเขาค้อ[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อเจ้าวีวี่เข้าไปที่พระตำหนักสมเด็จย่า ที่นั่นจะมีศาลแม่ย่าอยู่เราเรียกว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]ศาลแม่ย่าแห่งเทือกเขาค้อ หลานตัวน้อยอายุ[/FONT]2[FONT=&quot]ขวบกว่าเดินลงไปจากรถ[/FONT]
    [FONT=&quot]ก็ไปสวัสดีในสิ่งที่พ่อแม่เค้ามองไม่เห็น[/FONT]
    "[FONT=&quot]วีวี่ลูกสวัดดีใครค่ะ"แม่วีวี่ถาม[/FONT]
    "[FONT=&quot]ก็คุณย่าคนนั้นไง เดินไปนั่นแล้ว"วีวี่ชี้ไปที่ศาล นั่นเป็นครั้งแรกที่วีวี่แสดงสื่อสัมผัสของเด็กโคริค[/FONT]

    [FONT=&quot]มาอยู่วันหนึ่งวีวี่นอนอยู่ในห้องและเอาแต่ร้องไห้จนแม่เค้าสงสัยเพราะร้องไห้ไม่พอแต่เอามือปิดตาแล้วเอาแต่ชี้ไปที่มุมห้องแล้วพูดว่า[/FONT]
    "[FONT=&quot]หนูไม่นอนห้องนี้แล้ว พี่ผู้หญิงคนนั้นเอาแต่แลบลิ้นหลอกหนู"แม่วีวี่ขนลุกซู่แล้วก็แกล้งบอกว่า[/FONT]
    "[FONT=&quot]แม่ไม่เห็นมีอะไรเลย ไม่เห็นน่ากลัวอะไรเลยลูก"วีวี้ไม่ยอมและปิดตาแล้วบอกว่า[/FONT]
    "[FONT=&quot]แม่ๆ มาอีกหลายคนเลยเดินออกมาจากเสา มาจากกำแพง หนูไม่เอาแล้วแม่[/FONT]
    [FONT=&quot]หนูกลัว"แม่วีวี่ขนลุกซู่ๆ อุ้มลูกและเดินจ้ำออกมาจากห้องเสียทันที[/FONT]

    [FONT=&quot]ขึ้นชื่อว่าสื่อสัมผัสจะมีในเด็กบางคนที่เค้าเคยฝึกอบรมปฎิบัติมาก่อน[/FONT] [FONT=&quot]แต่ใช้ไม่เป็นจะปรากฏตอนช่วงที่เค้าว่างๆ สบายๆ[/FONT] [FONT=&quot]เหมือนเคยชินในสมาธิและจิตไปสัมผัสสื่อที่เคยชินอารมณ์ในภพเดิมๆ[/FONT]
    [/FONT]

    [FONT=&quot]ที่เคยฝึกมา[FONT=&quot]ก่อนแสดงให้ปรากฏเกิดขึ้นมาเอง[/FONT][/FONT]
    บนเขาค้อคนมักจะเรียกศาลแม่ย่าเจริญทองนิ่ม ทั้งๆที่ คุณ เจริญ ทองนิ่ม ที่เป็นพันอากาศที่มาเสียสละชีวิตบนเขาค้อในสมรภูมิได้จุติ ปฏิสนธิไปที่ภพภูมิอืื่่นเสียแล้ว

    อ้องเองตอนเเรกก็เข้าใจว่าแม่ย่าท่านเรียกว่าเจริญทองนิ่มเสียอีก
    ถ้าถามอ้องว่าอ้องเจอแม่ย่าคนเดียวก็คงจะผิดไปเพราะพี่หมูที่มาซื้อบ้านของอ้องหลังแรกก็บอกว่ามีเสียงคนสูงอายุเหมือนย่ามาเรียกในยามค่ำคืน

    รวมทั้งเจ้าวีวี่หลานของอ้องเองก็เห็นด้วยตาเนื้อของเด็กโคริคส่วนอ้องเห็นท่านในสมาธิของท่านอน ท่านแก่มากจนเรียกว่าน่าจะอายุประมาณ100กว่าตอนท่านเสียไป ผิวพรรณขาวตกกระ ผมบางหลังโก่งนิดหน่อยแต่รูปลักษณะท้วมๆเตี้ยเล็กกลับดูเหมือนท่านมีสง่าแห่งผู้ดูแล บนเทือกเขา บารมีแห่งบุญกุศลทำให้ท่านมาบริวารมากมายที่ปรากฏให้เห็น

    ส่วนท่านเจริญ ทองนิ่ม แม้มีศาลแต่ตัวตนไม่อยู่เสียแล้วจึงทำให้คนรู้จักศาลเจริญ ทองนิ่มน้อยลง ขึ้นชื่อว่าศาลที่บูชา ถ้ามีเทพเทวา สถิตย์อาศัย จะทำให้คนหรือบุคคลที่รับรู้เข้าถึง เข้าหาท่านได้ง่าย ด้วยเพราะบารมี บุญ กุศลของเทพเจ้านั้นจะมีสื่อแห่งการทดแทน การตอบสนอง การเอื้อเฟื้อ ความผูกมิตร

    สันติไมตรีให้แก่บุคคลที่บูชาท่านและเข้าถึงโดยการสื่อสัมผัส

    คนเราทำดีเอาไว้ สิ้นอายุขัยไปก็เสวยกุศลอย่างยาวนาน
    เช่นแม่ย่าแห่งขุนเขาค้อ แม่ย่าเรียกอ้องว่า"ท่านขุนพิเรน"แหะๆ
    ไม่รู้พิเรนตรงไหน นี่หล่ะมั๊งที่อ้องบอกว่าภพเดิมของอ้องคือทำกรรมมามากเพราะเที่ยวไล่ฆ่าเพื่อปกป้องแผ่นดินเพื่อลูกหลาน



    ส่วนจะพิเรนท่านไหนอ้องก็ไม่รู้นะครับเพราะไม่มีความสามารถในการโจมตีไปยังจุดระลึกชาติคือที่ครรภ์มารดาเพื่อย้อนดูอดีตกรรม อีกอย่างกรรมคือการกระทำที่่เราทำลงไปแล้วแก้ไขไม่ได้เป็นอดีตกรรมเสียแล้ว

    เวรนั้นระงับได้ด้วยการไม่จองเวร
    ส่วนกรรมระงับไม่ได้เพราะมีเหตุก็ต้องมีผล

    เพียงแต่เราสามารถสร้างกุศลให้มากขึ้นเพื่อทำให้กรรมที่ส่งผลมีอำนาจน้อยลงหรือแม้จะส่งผลให้มากก็มีสิ่งดีๆเข้ามาช่วยเหลือเกื้อกูลได้บ้าง


    พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงสอนให้แก้กรรมแต่ทรงสอนให้รู้เพื่อละและวางลงด้วยเพราะเห็นโทษ เห็นภัยเพื่อให้พ้นไปจากกรรมทั้งหลายด้วยรู้แจ้งอริยสัจ๔ธรรมอันประเสริฐ


    นี่คือความจริงแห่งพุทธองค์ที่ทรงตรัสสอน
    ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรอยู่เบื้องหลังท่านมีแต่ตัวท่านเองเป็นผู้กระทำและท่านจึงเป็นผู้รับ

    ส่วนที่ๆเห็นว่ามีวิญญาณอาฆาตมาดร้ายนั้นเค้ามาแค่เวียนวนเพราะอาฆาตแต่ทำอะไรท่านไม่ได้จนกว่าวันเวลาแห่งจุิติปฎิสนธิและวิบากกรรมท่านมาเยือนนั่นหล่ะ


    วิญญาณที่อาฆาตจึงจะแสดงตัวตนเพราะวันแห่งกรรมที่ส่งผลเค้าจะมาสะใจ สาสมแห่งการกระทำที่ทำต่อเค้าวันนั้นคือวันที่กรรมเก่าที่เรากระทำย้อนกลับมาด้วยเหตุและปัจจัยแค่นั้นเป็นสิ่งที่เราต้องรับ


     
  10. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนในเรื่องง่ายๆ

    พระพุทธองค์ท่านสอนให้เรามีศีลคือความเป็นปกติของมนุษย์ที่มีใจประเสริฐคือไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

    พระพุทธองค์ท่านสอนให้รู้จักละอายและเกรงกลัวต่อบาป

    ท่านทรงตรัสเตือนและแสดงสภาวะของกรรมดีและเลวเพื่อยังประโยชน์ให้แก่พุทธศาสนิกชนผู้มีปัญญาหนีออกจากโลกและเพื่อให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายเห็นภัยแห่งการกระทำที่เป็นสิ่งไม่ดีแล้วมาแผดเผาตนเองทั้งโลกนี้และโลกหน้าให้เดือดร้อนตนเสียเปล่า

    พระพุทธองค์ท่านตรัสสอนกรรมเพื่อให้เรากลัวและละอายที่ไปกระทำต่อผู้อื่น
    ท่านแสดงสิ่งที่ท่านกระทำเอาไว้และแสดงสิ่งที่ผู้อื่นกระทำเอาไว้

    พระพุทธองค์ท่านตรัสสอนว่า
    เราจะพ้นไปจากสิ่งเหล่านี้ด้วยทางอันประเสริฐคือมรรค๘เพื่อพบสัจธรรมแห่งชีวิตคืออริยสัจ๔

    ท่านทรงวางรากฐานคุณธรรมต่างๆให้เราเจริญงอกงามอันเป็นโพธิปักขิยธรรม37ประการอันเป็นการสร้างคุณธรรมเพื่อเป็นเครื่องตรัสรู้แจ้งในสรรพสิ่ง

    ท่านสอนแค่นี้ง่ายๆแต่ทรงสอนต่างกรรมต่างวาระต่อบุคคลผู้ที่มีวาสนาที่แตกต่างแห่งอารมณ์ที่ไปยึดรูปลักษณะที่แตกต่างกันออกไป

    พระพุทธองค์ท่านตรัสสอนให้เจริญสมาธิเพื่อเป็นกำลังเพื่อให้จิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์หนึ่งท่านจึงวางรากฐานแห่งทานคือการสละอารมณ์
    ทั้งดีเลวปราณีตเพื่อให้ก้าวเข้าสู่ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของจิตที่ใสสะอาดก็คือศีล

    ศีลคือความผ่องใส สะอาด บริสุทธิ์ของจิตและก้าวเข้าสู่สมาธิคือใจอันเที่ยงธรรมไร้สุขไร้ทุกข์มีสติมีกำลังเอาไปพิจารณาความจริงแห่งพระไตรลักษณ์ที่ปรากฏในขันธ์ทั้ง๕ในธรรมหนึ่งจิตหนึ่ง

    เมื่อเราได้พบความจริงแท้บ่อยๆอย่างถูกต้องเที่ยงธรรม มรรคทั้ง๘ย่อมปรากฏและย่อมเห็นความจริงแห่งอริยสัจธรรมทั้ง๔อย่างรู้แจ้ง

    อ้องขอย้ำอีกครั้งว่ากรรมไม่ได้มีเอาไว้แก้ไข
    แต่มีเอาไว้รู้และละเหตุด้วยปัญญา

    และเพื่อไม่ไปกระทำต่อตนเองและคนอื่นต่างหาก เรารู้และก็ไม่ไปสร้างกรรมเพิ่มและสร้างความดีให้ต่อเนื่องอันเป็นสัมมัปปทาน๔ละชั่วทำดีต่างหาก

    กรรมจึงเป็นเครื่องรู้อารมณ์ที่ปรากฏ เพื่อละอายและเกรงกลัวที่จะไปทำให้ผู้อื่นเดือนร้อนและย้อนมาทำให้เราเดือนร้อนเช่นกัน

    ถ้าคนฆ่าวัว หมา ไก่ ฆ่าสารพัดแล้วมีโรคแห่งกรรมมาย้อนตนเองทุกๆคน คนคงจะเลิกในการฆ่าแต่การที่เป็นโรคกรรมมีในแค่บางคนนั้นก็เพราะกุศลผลบุญเค้าน้อยลงกรรมที่ทำเป็นอาจิณในฝ่ายอกุศลจึงมีผลมากขึ้นและเข้าถึงตัวเค้าเร็วขึ้นก็แค่นั้น

    กรรมจึงเป็นสิ่งละเอียดมีมากมายและพวกเราก็เกิดมานานมาก
    วิบากกรรมที่สะสมจึงมีมากมายเจ้ากรรมนายเวรก็มากมายนับไม่ไหว

    อ้องจึงบอกว่าไม่ต้องแก้กรรมหรือกลัวกรรม(แต่ให้กลัวที่จะไปกระทำต่างหาก)

    จงเป็นคนที่กล้าทำก็ต้องกล้ารับ
    อย่าอ้อนวอนเจ้ากรรมนายแวรอย่างกับคนขี้แพ้
    แต่จงเตือนตนเองว่าเราจะไม่ไปสร้างกรรมที่ไม่ดีอีกและเราจะอบรมสติและพัฒนาตนเองเพื่อก้าวเข้าสู่เส้นทางเหนือกรรม
    โดยพ้นไปจากกรรมทั้งหลายด้วยการรู้แจ้งแห่งอริยสัจธรรมทั้ง๔ประการ

    พระพุทธองค์สอนง่ายๆแค่นี้ ...

    ท่านสอนสมาธิ วิปัสสนาเพื่อให้เกิดสติ
    เกิดปัญญาเอาไปแก้ไขอารมณ์ที่เป็นกิเลสตัณหาที่มีแรงชักจูงใจให้กระเพื่อมหวั่นไหว

    เพื่อทำลายความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ทั้งหลาย สิ่งนี้คือการแก้ไขแต่ไม่ใช่แก้กรรม

    เราไม่ได้ภาวนาเพื่อแก้กรรมแต่เราภาวนาเพื่อรู้จักอารมณ์ทั้งหลายและจะทำอย่างไรเพื่อวางอารมณ์ทั้งหลายได้อย่างสิ้นเชิงต่างหากเพราะว่าถ้าท่านเอาแต่แก้ไขแต่ก็ยังไปสร้างกรรมเพิ่มแก้ไขเท่าไหร่จึงจะพ้นทุกข์พ้นภัย

    พระพุทธองค์สอนให้มีปัญญาไม่ได้สอนให้หลงติด...

    พระพุทธองค์ทรงตรัสสอน สติ สอนให้มีปัญญา ไม่ได้สอนให้มีกิเลส
    ไม่ได้สอนให้เพิ่มกิเลส ไม่ได้ทรงสอนให้ขอ ท่านสอนให้ทำ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

    พระพุทธองค์สอนให้ตื่น ไม่ได้สอนให้หลงในทาน ในศีล ในสมาธิ...

    ผู้ที่หลงในทาน
    ต่างหวังในผลแห่งทาน ทำทานเพื่อหวังผลแห่งความปรารถนา
    ถูกคนหลอกให้หลงงมงายในทานสมบัติ์ ซึ้้งทานที่แ้ท้จริงที่
    พระพุทธองค์ตรัสสอนนั้นเพื่อสละออกคือ สละวัตถุในเบื้องต้น

    เมื่อจิตใจเราเหนือวัตถุก็สละอารมณ์และผลแห่งทานนี่หล่ะ
    เป็นปัจจัยแห่งนิพพานสมบัติ์คือเมื่อสละอารมณ์ท้ายที่สุดก็จะวางอารมณ์ทั้งหลายลง
    เพราะเห็นว่าอารมณ์ที่ถูกผัสสะมากระทบที่ช่องวิญญาณแห่งอายตนะ

    ก็เป็นสิ่งที่ไร้สาระล้วนๆเพราะหาความจริงแท้และอมตะมั่นคงหามีไม่

    พระพุทธองค์ไม่ได้สอนให้หลงไหลในศีลเพราะการรักษาศีลด้วยกิเลสไม่ใช่ความหมายของพระองค์ท่าน
    ศีลที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การจงใจที่จะรักษา

    เพราะศีลเป็นเรื่องปกติที่จะปรากฏเกิดขึ้นเสมอเมื่อจิตสะอาด ผ่องใส มีสติที่ตื่นรู้ไม่ซัดส่าย

    การรักษาศีลที่มีความกำหนด มีการจงใจ มีกิเลสเป็นเปลือกหวังในผลของศีล ขอให้ใช้ปัญญาพิจารณาในเหตุและผล
    สิ่งใดที่เราอยากจะทำ มันมีกิเลสทั้งสิ้นแต่สิ่งใดที่เราไม่จงใจแต่ปรากฏขึ้นเองเพราะชินสภาวะต่างหาก เหมือนเพื่อนๆจดจำคนๆหนึ่งที่คุ้นหน้าแต่นานมากแล้วที่ไม่ได้เจอ แต่พอนึกบ่อยๆ เห็นบ่อยๆ มันจะแวบเข้าไปรู้เพราะจดจำได้หมายรู้ในสัญญาที่ปรากฏเกิดขึ้นด้วยการไม่จงใจ อันเนื่องมาจากปราศจากกิเลสตัณหานำพาให้เกิดต่างหาก

    จงให้ศีลปรากฏเกิดขึ้นโดยไม่อาศัยตัณหานี่หล่ะคือการที่อ้องเรียกโดยรวมทั้งหมดว่า"สำรวมระวังรักษา" เพราะความสำรวมในศีลเมื่อจิตเผลอหลงโดยเข้าสู่เจตนา จำนงค์เพราะพลั้งเผลอไปชั่วแวบขณะในอกุศล

    สติจะตื่นขึนด้วยคุณธรรมที่รักษามาดีพร้อม ความระมัดระวังภัย เป็นสิ่งที่ถูกกระตุ้นเตือนสติให้ตื่นเพราะชินสภาวะแห่งความสะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใสต่างหาก

    เราสำรวมระวังรักษาศีลเพื่อสติ เพื่อตื่น ไม่ใช่เพื่อกุศลผลบุญอันยิ่งใหญ่ สิ่งนี้เป็นเปลือกเพราะแก่นแห่งการอบรม สำรวม รักษานั้น เราทำเพื่ออบรมสติล้วนๆ
    เมื่อมีสติ ศีลย่อมปรากฏ เมื่อไม่มีสติ ย่อมไม่มีศีล

    เพราะยามที่เราเผลอ หลงไปกับโลกชั่วแวบขณะจะบอกว่าท่านรักษาศีลตลอดทั้งวัน ทุกเวลาได้อย่างไร ในเมื่อใจท่านมัวหมองเพราะอกุศล

    ศีลปรากฏเมื่อมีสติระลึกรู้ได้ คุณธรรมที่ท่านเจริญก้าวหน้าเป็นลำดับเรามาดูที่ศีลนี่หล่ะครับว่าตื่นรู้เร็วในศีลมากน้อยแค่ไหน เพราะคุณธรรมในเครื่องตรัสรู้จะเหมือนกระจกมันหม่นหมองและทำให้ใจที่ใสสะอาดมัวหมองตื่นขึ้นไม่เผลอหลงไปในโลกที่เเท้จริง

    บัณฑิตที่มีปัญญาจะไม่หวังอามิส ไม่พึงปรารถนาทำดีแล้วจะได้อะไร เราไม่ได้เป็นพ่อค้าแม่ค้าอีกต่อไป แต่เราจะทิ้งทุกสิ่งเอาไว้ข้างหลัง โลกธรรมทั้ง๘นั้นเป็นของโลก ความดีมีเสมอเมื่อได้กระทำดี ไม่ต้องไปร้องขออันใดอีก

    พระพุทธองค์ไม่ได้สอนให้หลงในสมาธิ...
    ก็เพราะก่อนที่สมาธิที่แท้จริงจะปรากฏนั้น มักจะมีเหยื่อล่อคือนิมิต ปิติ สุข แสงสว่าง ความอัศจรรย์แห่งฤทธิ์อำนาจเป็นเหยื่อล่อ ของหอม ท่านจึงตรัสสอน ทานเป็นเบื้องต้น ศีลเป็นท่ามกลางและใชุ้คุณธรรมมาเจริญภาวนาเพื่อพบสมาธิในเบื้องปลาย

    เราจึงทำสมาธิเืพื่อพบใจที่เที่ยงธรรม เป็นหนึ่ง มีจิตที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่งอย่างชัดแจ้ง เมื่อพบใจแท้จริงปรากฏ สิ่งที่ถูกรู้ย่อมไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน
    เมื่อพบเห็นความจริงแท้ ปัญญาก็จะรู้แจ้งชัดในสรรพสิ่ง จนคลายจากกิเลส
    ตัณหา อุปทาน

    ความจริงเหล่านี้ง่ายๆ...แต่คนไทยทุกวันนี้กำลังหลงในทาน ศีล สมาธิ

    สอนให้คนงมงายย่อมได้รับสิ่งงมงาย
    สอนให้คนหลงย่อมได้รับสิ่งมอมเมาให้ลุ่มหลง
    สอนในสิ่งที่ถูกย่อมได้ในสิ่งที่ถูก

    อย่าวิ่งเข้าหาคนแก้แต่จงแก้ไขที่ตัวท่านเอง

    เพราะเจ้ากรรมนายเวรที่หลวงปู่เทสก์สอนก็คือตัวเราเอง

    เราเป็นเจ้ากรรมนายเวรกระทำอะไรไว้เป็นอารมณ์มันสะสมเอาไว้เป็นเชื้อในจิตรอวันที่จะรับผลแห่งการกระทำ

    เมื่อมีเหตุมีปัจจัยทั้งดีและเลว...
    กรรมและอารมณ์ชนิดนั้นๆก็จะปรากฏเกิดขึ้นเป็นไปตามธรรมดาของธรรมชาติชนิดหนึ่งแค่นั้น

    อย่าไปหนีกรรมแต่หันหน้ามาต่อสู้และรู้จักกรรมรู้จักรูปลักษณะ
    เราจะพ้นจากกรรมอย่างแท้จริงเพราะเห็นทุกข์และละเหตุนั้นเสียด้วยมหาสติที่ตื่นขึ้นมากับความจริงต่างหาก

    พระพุทธองค์สอนแค่ง่ายๆไม่ได้พลิกแพลงอันใดเลยตรงไปตรงมาที่สุดแล้วครับ
    ขออนุโมทนา...

    บาปทำให้เบาบางลงด้วยการสร้างความดีให้มากและเว้นจากการสร้างบาปเพิ่ม
    กรรมที่กระทำไปแล้วเป็นอดีตและจงเตือนตนให้ละอายเกรงกลัวเพื่อไม่ไปสร้างบาปกรรมเพิ่มต่างหากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2009
  11. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบน้องเรื่องนรกที่ลานธรรม

    :02: ไฟไหนเล่าร้อนเท่าไฟในใจแห่งเรา
    นรกไม่ได้มีอุณภูมิความร้อนเพราะเป็นสภาพความว่างมาก่อน เป็นมิติภพแห่งความว่าง แต่ความร้อนเกิดมาจากจิตรวมหมู่ กรรมโดยหมู่มาก วิบากร่วมที่เกิดมาจากใจล้วนๆ มีอำนาจของกรรมหมู่ จิตหมู่ที่มีแรงดึงดูดกันและกัน ไปสร้างรูปสภาวะที่เกิดมาจากใจสัตว์เหล่านั้นเอง แม้สวรรค์ก็เช่นกัน

    ไฟ ความร้อน พิษ ความอึดอัด คับแคบ ร้อนรน หดหู่ เศร้าหมองเกิดมาจากใจคือกรรมที่มีเชื้อให้ผลแห่งอารมณ์ที่ไปสะสมและรับผลแห่งกรรมชั่วที่กระทำมา

    :02: สิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
    ขึ้นชื่อว่ารูป มีรูปที่ละเอียดจนมองไม่เห็น เราจึงต้องสร้างเครื่องมือที่ละเอียดสูงเพื่อเห็นรูปละเอียด ดังนั้น รูปละเอียดต้องใช้เครื่องมือที่ละเอียดส่องดูจึงเห็น

    วิญญานเป็นนามธรรมชนิดหนึ่งที่เป็นธรรมชาติรู้อารมณ์ชนิดหนึ่ง ไม่มีตัวตน สัมผัสไม่ได้ จับต้องไม่ถึง เหมือนเงา เหมือนลม เหมือนไฟในอากาศ เหมือนมายาแห่งจิตที่ไม่มีตัวตน สิ่งที่จับต้องไม่ได้ จะใช้รูปไปดูไม่ได้ ต้องสร้างเครื่องมือที่ละเอียดคือนามธรรมไปดู

    นรกไม่ใช่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวโปรดพิจารณาด้วย เพราะเป็นดินแดนแห่งการเสวยกรรม
    เราไม่สามาถไปสอบถามกรรมแห่งสัตว์นรกที่ตกอบายเพราะสภาพจิตที่เสวยอกุศลล้วนๆมีสภาพตื่นไม่เป็น เพราะถ้ามีสติก็คงไม่ต้องใช้กรรม

    เหมือนดั่งคนที่ฝันร้าย นอนฝันร้าย นึกในคุณแห่งพระรัตนตรัยไม่ได้ แถมไม่เข้าใจตนเอง นึกถึงกุศลตนเองไม่ออก แถมรับกุศลที่คนส่งมาก็ไม่ถึง มีสภาพที่ขาดสติ จมแช่อยู่ในองค์รักษาภพที่มีสภาพแห่งจิตที่ยึดอารมณ์แห่งความเศร้าหมอง

    นรกจึงไม่ใช่รีสอรท์...เป็นที่ท่องเที่ยว ที่สอบถามกรรม อ้องว่าไม่มีเหตุมีผล

    ยกเว้นในกรณีของพระบริสุทธิ์แต่ท่านก็คงจะไม่สามารถไปแก้ไขสิ่งใดๆได้เพราะเชื้อไฟท่านคงระงับไปชั่วขณะที่ท่านแผ่เมตตาไปถึง และไฟก็จะลุกโชนมาจากใจสัตว์ตนนั้นเหมือนเดิมอีกครั้งหลังหมดกระแสแห่งกุศล สัตว์โลกเป็นไปตามการกระทำที่ตนทำมาเพราะมีเชื้อเป็นปัจจัยที่ให้ผล

    ขออย่าลืมว่าในภพภูมิ31ภพ มีพระที่บริสุทธิ์ที่ยังไม่เข้าถึงภูมิแห่งพระอรหันต์มากมาย
    มีพระโพธิสัตว์เจ้าที่ได้รับพยากรณ์แล้วมากมาย และไม่ได้รับพยากรณ์แล้วเสวยกุศลในดินแดนแห่งสรวงสวรรค์มากมาย พระพรหมที่มีใจอันทรงเมตตาธรรมมากมาย ปวงเทพเทวา
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดา นางฟ้ามากมายที่มีจิตอนุเคราะห์ต่อเพื่อนร่วมทุกข์

    แค่อ้องเห็นว่าพวกท่านอยู่กันมากมายแต่ทำไม ท่านจึงไม่สามารถไปสงเคาระห์สัตว์ที่เสวยกรรมทั้งหลายเหล่านั้น ทั้งเป็นบิดามารดาก็ดี ญาติสนิท มิตรสหายก็ดี นั่นก็เพราะมีเหตุที่ไม่สามารถสงเคราะห์เกื้อกูลกันได้ เพราะจิตที่เสวยอบาย๔ ต่างก็มีสภาพที่เสวยทุกข์ล้วนๆ

    ตื่นไม่เป็น ปลุกอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง พระมาลัยถ้ามาปลุกคนที่โงเงียตื่่นขึ้น สลึมสลือ มึนงง
    ตื่นมาในสภาพที่ตื่นแบบงง ไม่เข้าใจ เพียงแต่สภาพทุกข์หดหายไป แต่สภาพจิตก็ยังมึนงง
    นึกอันใดไม่ถูก

    ถ้าสัตว์อบายตนใดตื่นขึ้นโดยไม่มีสภาพมึนงง ไม่มีอำนาจแรงดึงดูดสัตว์อบายอันเป็นกรรมหมู่ที่มีสภาพสะใจที่ไม่ยอมให้เพื่อนร่วมกรรมหนีไปเกิดใหม่ได้ แรงดึงดูดกันและกันหมดไปเพราะหมดแรงยึดในอารมณ์นั้นๆคือสิ้นภพ สิ้นกรรมและจุติจิตจะปรากฏ จิตจะวิ่งเข้าหาองค์รักษาภพใหม่เพื่อปฏิสนธิกรรม เป็นไปตามกรรมที่ตนกระทำมา

    ยึดอารมณ์ชนิดใดเป็นคตินิมิตเป็นมั่นหมาย รูปปรากฏ วิญญานก็จะก้าวลงสู่ภพใหม่ด้วยสันตติที่สืบเนื่องทันที

    กรุณาดูนางมัลลิกา ตกนรก7วันแต่ตื่นขึ้นมาเร็วนั่นก็เพราะเคยอบรมฝึกสติ การตื่นปรากฏและนึกโน้มอารมณ์ใหม่ คนตกนรกและหนีมาได้นั่นก็เพราะกรรมที่ได้วร้างได้อบรมมา

    คนที่ฝันร้ายแล้วตื่นเร็วก็เพราะมีสติ คนบางคนฝันร้ายนอนกรีดร้องโหยหวน ขนาดปลุกไม่ยอมตื่นก็ยังมี การที่เราไปยึดอารมณ์จึงเป็นสิ่งที่น่ากลัว การที่เราไปสะสมอารมณ์อกุศลจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัว รูปนามจึงน่ากลัว เพราะจิตที่ไม่มีตัวตนแต่ไปสร้างรูปนามหาเหาเข้าหาตัวมันเอง

    นั่นก็เพราะไม่รู้ความจริงแท้ๆ

    ถ้าเพื่อนๆที่ตกนรกแล้วมีคนไปสอบถามกรรมได้ อ้องขอแนะนำว่า รอก่อนผมมีสติพอตอบได้ ผมก็ระลึกในคุณแห่งพระรัตนตรัยได้เช่นกัน แค่ระลึกในความดีเป็นอารมณ์ จิตก็จะพ้นสภาพแห่งอารมณ์ที่เศร้าหมองทันที

    ถ้านรกให้สัตว์ในอบายภูมิสวดมนต์ไหว้พระในวันพระ นรกจะไม่มีสัตว์แห่งอบายอาศัยอยู่แน่นอน

    พระพุทธองค์สอนเหตุและผล สอนให้เรามีสติ มีปัญญา มีการไตร่ตรองพิจารณาในสิ่งที่เป็นไปได้ตามหลักแห่งวิทยาศาสตร์ที่มีการอ้างอิง วิเคราะห์และเชื่อได้ว่า น่าจะประสพผล

    เราไม่ได้ถูกสอนให้เชื่อโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง
    ถ้าโดยอ้องเองแล้ว อ้องเชื่อว่า นรกไม่ใช่รีสอรท์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยว
    เพราะขณะที่เข้าไปมีแต่คนเสวยกรรม ท่านยังมีใจไปถามความทุกข์เค้าแทนการช่วยเหลืออีกหรือครับ

    :11: สิ่งที่คุณSogy นำเสนอมาเป็นสิ่งที่มีเหตุ มีผล มีการวิเคราะห์ อ้างอิงที่ดี อ้องเพียงแต่ขอเข้ามาเสริมคุณ Sogy นิดหน่อย ผิดพลาดขออภัยด้วยนะครับ
     
  12. Angelina

    Angelina สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    เรียนพี่อ้อง
    อ่านบทความของพี่แล้วชอบมาก ๆ ในหลายๆ เรื่อง หลาย ๆ บทความ รวมทั้งที่เวปอื่นด้วย เลยอยากจะรบกวนขออนุญาตคัดลอก แล้วนำไปเผยแพร่ต่อได้ไหมค่ะ (ขออนุญาตให้ถูกต้องค่ะ) ตั้งใจว่าอาจจะทำเป็น FW mail และอาจ print ไว้ที่ร้าน เพื่อให้ลูกค้าได้อ่านค่ะ
    กราบขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
    แองค่ะ
     
  13. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบน้องแองเจลีน่า โจลี่

    ชื่อเหมือนดาราเลยแฮะน้องแอง

    พี่อ้องส่งหนังสือไปให้แล้วพรุ่งนี้คงได้รับนะครับ
    ยินดีในธรรมเสมอ ขอให้รักษาธรรมเหมือนรักษาใจที่ผ่องใส
    เพราะธรรมะที่แท้จริงออกมาจากใจเมื่อมีสติเข้าไปรู้ความจริง

    อนุโมทนาครับ
    พี่อ้อง
     
  14. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบเรื่องดูจิต

    เราจะเห็นจิตตนเองก็ต่อเมื่อจิตเราตั้งมั่น
    ในขณะทำสมาธิ นิวรณ์๕เป็นสภาวะมีรูปลักษณะที่ต้องวางอารมณ์ลง
    เพื่อไม่ให้จิตซัดส่าย

    ในขณะที่จิตท่านซัดส่าย ท่านยังมีจิตไม่ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์หนึ่ง
    แต่เมื่อจิตไม่ซัดส่าย...รวมเข้าในอารมณ์หนึ่งของอัปนาฌาน เราจะพบใจปรากฏ
    เอกัคคตาจิตก็คือสมาธิ

    สัมมาสมาธิที่ปรากฏคือใจ ไร้สุข ไร้ทุกข์ มีกำลังของสติ มีความเที่ยงธรรม
    สักแต่รู้ สักแต่ดูปรากฏ สัมมาสติปรากฏเพราะชินในสภาวะธรรม จดจำได้ในถีรสัญญา

    ใจ จิต สติ เจตสิก ออกมาจากแหล่งเดียวแต่อาการแตกต่างกัน
    ถ้าเอากิเลสนำหน้าก็จะไม่เห็นจิต

    จิตเห็นจิตดวงเก่าที่ดับไป แต่สติที่จดจำได้ในถีรสัญญา
    ระลึกรู้แวบเข้าไปในรูปลักษณะของขันธ์เพราะชินในสภาวะธรรม

    ถ้าสติที่ตื่นต่อเนื่องเนืองๆ ในจิตหนึ่ง ในธรรมหนึ่ง เนืองๆ รู้แล้ววางในอารมณ์
    เราที่แท้จริงจะไม่มีเพราะความจริงมันไม่มีเรา มีแต่รูปนามที่เกิดดับสลายหายไป

    เมื่อไร้การปรุงแต่ง การกระเพื่อมหวั่นไหวในอารมณ์ ก็จะถูกสติที่ตื่นรู้ปัดในอารมณ์ที่จะปรุงแต่งภพ ให้สิ้นไป
    เมื่อพบจิตหนึ่ง ธรรมหนึ่ง และอยู่แต่มหากริยาจิต อยู่กับหนึ่ง ไม่มีคู่

    โลกธรรมทั้ง๘ก็โดนถูกทำลายลงในการคลายออก หนีออกจากโลก
    ทิ้งทุกสิ่งลงไปเบื้องหลัง โลกจึงว่างเปล่า เพราะรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส

    ถูก ศีล สมาธิ ปัญญา ที่อบรมมาดีแล้ว อันมีโพธิปักขิยธรรม๓๗ เป็นคุณธรรมแห่งการตรัสรู้แจ้งที่เราสะสมมา

    และเข้าไปวางขันธ์ของโลกลงในสิ่งสมมุติก้าวเข้ามาสู่เหนือสิ่งไร้สมมุติ

    ไร้เค้า ไร้เรา ไร้ตัวตน ไร้รูปลักษณะ ไร้ล่องลอย ไร้จุด ไร้ตำแหน่ง
    ไร้กาลเวลา ไร้สาระ ไร้สิ่งที่สืบค้นเข้าถึง อยู่กับจิตหนึ่ง ธรรมหนึ่ง
    ภพจึงขาดสิ้นเชื้อ
    สังโยชน์๑0 จึงถูกทำลาย ไร้คิด ไร้การปรุงแต่ง วางอารมณ์ลงโดยสิ้นเชิง

    หมดอุปทานในปวงขันธ์
    อวิชชาอันเป็นสิ่งมืดถูกวิชชาความรู้แจ้งปัญญาวิมุตติส่องสว่างชี้นำทางเอกเข้าถึงฝั่งแห่งพระนิพพาน

    หมดทุกข์ หมดโศรก หมดขันธ์ หมดภพ หมดกิเลส หมดตัณหา
    เพราะรู้แจ้งในอริยสัจ๔
    ธรรมอันประเสริฐอันเป็นเรื่องธรรมดาของธรรมชาติ
    คำว่าหมดคือวางหมด สิ่งใดที่เป็นของโลก ขันธ์ของโลก กิเลสตัณหาของโลก
    ถูกวางลงหมด ไม่ได้หมายถึง ไม่มีเหลือ แต่วางไม่มีเหลือ

    กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม นี่เป็นทางเอก ทางเดียว

    อนึ่งในขณะทำสมาธิ ท่านจะยังไม่พบจิต เห็นจิต เพราะสติ สมาธิ ท่านยังไม่มีกำลัง
    การเขียนธรรมะเป็นสิ่งดี การให้ธรรมทานเป็นสิ่งดี ขออนุโมทนา อ้องเพียงแต่ขอเข้ามาเสริมเพื่อให้เจ้าของกระทู้อธิบายธรรมได้หนักแน่นใน เนื้อหามากขึ้น

    ผิดพลาดขออภัยด้วยครับ
    อ้องครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2009
  15. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตัดความสงสัยในอำนาจของกรรม

    ถ้าเรารู้แจ้งในสังสารวัฎ รู้แจ้งการเกิดการตาย รู้แจ้งกรรมอันเป็นตัวตกแต่งรูปลักษณะ เราจะตัดความสงสัยในกรรมทั้งสิ้น
    การที่อ้องเขียนอะไรออกมาก็ดี...
    ถ้าอ้องไม่ไปประสพพบเจอ มันจะเขียนไม่ออกเพราะว่าไม่ใช่นักประพันธ์
    นักแต่งไม่มีจินตนาการ บางครั้งน้องๆถามอ้องว่าแล้วเทวดาติ๊กล่ะเจออีกไม๊
    คุณดาละ...

    ทุกๆคนต่างก็มีหน้าที่ๆตนต้องไปกระทำ อ้องก็มีหน้าที่ เพียงแต่ว่าวันใดที่ได้พบเจอกันอ้องก็คงจะมีเรื่องมาเล่าให้เพื่อนๆน้องๆฟัง

    ความอยากพบ อยากเจอเป็นกิเลสทำให้พอเรามีความคิดปรารถนาที่จะไปก็จะกลายเป็นไปที่อื่นแทนเหมือนเมื่อหลายวันก่อนจะไปหาคุณดาที่มิติภูตก็กลับกลายไปเข้าดินแดนเปรตที่อยู่ใกล้โลกเสีย

    ในขณะที่สมาธิรวมกำลังเข้าไปในจุด ตำแหน่งที่เราวางเอาไว้อย่างมั่นคง
    ตัวเราภายในที่อาศัยถ้ำโพลงมันจะรู้ในตำแหน่ง ในจุดที่เรารวมจิตเอาไว้ว่า
    มันมีพลังงานสะสมมากขึ้น จิตที่รวมแน่น จิตที่ไม่ซัดส่าย จะเกิดพลังงานจิตในอำนาจชนิดหนึ่งที่เราเคยฝึกเคยอบรมมา ในขณะที่ความสงบปรากฏเกิดขึ้น

    ความเงียบเหมือนดั่งอยู่ในป่าเปลี่ยวช่างสงบ สันโดษ เบา สบาย ปลอดโปร่ง โล่ง เย็น อยู่ๆก็เหมือนมีวงๆหนึ่งขยายออกมาเหมือนเรากำลังมองเข้าไปในวงที่เปิดอ้าออกมา

    โลกแห่งแดนเปรต...
    สัตว์แห่งอบายที่ต้องทุกข์ต้องโทษเดินก้มหน้ารับวิบากของตนเองดั่งมดปลวกเป็นหมื่นเป็นแสน อ้องจะไปมิติภูตก็ไปจริงๆแต่คนละดินแดน อบายมีมากมาย
    มีซ้อนกันหลายมิติ ในวงมิติเดียวกันมีหยาบไปหาละเอียด มีหลายอารมณ์
    มีหลายรูปลักษณะเป็นไปตามกรรม ตามอำนาจของจิตที่สะสมเชื้อไปยึดอารมณ์

    ในวงของจิตอารมณ์ชนิดหนึ่ง จิตก็จะถูกอำนาจแห่งภพที่ตนเองไปสร้าง ส่งไปปฏิสนธิในดินแดนแห่งอารมณ์นั้น

    อ้องเองไม่ได้สงสัยเรื่องกรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนอีกเพราะท่านเตือนๆเราอย่าไปกระทำไม่ดีและท่านสอนเราให้เหนือกรรมด้วยเหตุด้วยผลด้วยสติด้วยปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง

    ความตายไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่ากลัวอีกต่อไปแต่ที่ที่น่ากลัวคือสังสารวัฎที่เราจะต้องไปเยือนอีกมากมาย ความดีเราจึงทำให้ถึงที่สุดเพื่อประโยชน์เป็นเสบียงสะสมแก่ตน

    ขอให้เพื่อนๆและน้องๆอย่าเป็นผู้ประมาทในชีวิตที่ไม่แน่นอน ทำวันนี้ให้ดี
    ทำปัจจุบันให้ดี อดีตวางเค้าลง กรรมที่ได้กระทำไปแล้วไม่ต้องแก้ แต่จงแก้เอาที่ปัจจุบันคือสำนึกตน ขอเพียงแค่สำนึกเราก็จะไม่ไปสร้างกรรมชั่วอีก

    นี่คือการใช้สติ ใช้ปัญญา ยังดีกว่าคนที่ตามไปแก้กรรม แก้แล้วก็ยังกระทำเพิ่มอีกเพราะความไม่เข้าใจอย่างนี้แก้แบบคนอ้อนวอน คนขี้แพ้ คนไม่ยอมรับความจริง คนที่เอาแต่หนี เราจงหันหน้ามาต่อสู้กับความจริงเราจะพบความจริง

    พบกรรมข้ายื่นคอเข้า ให้เชืือดเฉือน
    ทรนงองอาจ กล้าทำ กล้ารับไม่ห่างหนี
    อดีตกรรมผ่านพ้น ข้าวางลงไม่ใยดี
    สำนึกตน มุ่งหน้าทำลายภพอยู่เหนือกรรม
     
  16. Angelina

    Angelina สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    แหะ.. แหะ.. โดนแซว เขินจัง
    เป็นนามแฝง..ที่ใช้เวลาพิมหรือให้ข้อมูลทางเน็ตค่ะ

    มีเรื่องตลก(รึป่าวไม่รู้)เกี่ยวกับเรื่องชื่อค่ะ เคยกรอกข้อมูลทางเน็ตของสินค้าชนิดหนึ่งซึ่งเขาแจ้งว่าจะส่งเป็นของ premium มาให้ แองก็ไม่ได้หวังจะได้ของหรอกค่ะ แต่ว่ามีคำถามที่สงสัยแล้วก็อยากได้ความรู้เพิ่มเติม.. ปรากฏว่าเขาส่งของมาให้ที่ office ค่ะ เต็มยศเลย ถึงคุณแองเจลีน่า โจลี่ ซึ่งพี่บุรุษไปรษณีย์ ก้อจะรู้จักชื่อของพนักงานที่นี่ทุกคน แกก้อเดินถือกล่องพัสดุเข้ามาใน office แล้วถามว่า ใครชื่อ แองเจลีน่า อ่ะ เพื่อนๆ ก้อพร้อมใจกันผายมือมาหาแองทันที พี่เขาก้อหัวเราะขำ พร้อม ๆ กับเพื่อน แองก้อขำปนอาย เพราะไม่คิดว่าจะมี จ.ม.ส่งมาให้เราในชื่อนี้จริง ๆ ...

    จากตอนแรกที่อาย..ๆ .. ตอนนี้เริ่มชินแล้วค่ะเพราะบริษัทฯเขาส่งมาให้หลายรอบเลย
    ก้อเลยเป็นชื่อที่ใช้เรื่อยมา เอวัง.. ก็จบด้วยประการฉะนี้.. แก้เครียดค่ะ...

    ด้วยความเคารพค่ะ
    แองค่ะ
     
  17. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    น้องแอง...
    ถ้าได้รับหนังสือแล้วแจ้งพี่อ้องด้วยนะครับ
    พี่อ้อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2009
  18. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    สวัสดีครับ พี่อ้อง
    2-3 ครั้งที่เขียนถึงพี่อ้อง รู้สึกอารมณ์ใจมันสบายยังไงบอกไม่ถูก บรมีพี่นี่ช่างมากมายนัก หลายวัน หลายคืนที่ผ่านไป ได้ตั้งหน้า ตั้งตาฝึกสมถะเพื่อเป็นบาทฐานเป็นกำลังเพื่อมาใช้วิปัสนาและทุกวัน ทุกเวลาที่ไม่คิดเรื่องอื่น จะพยายามพิจารณาให้เห็นถึงความจริง บางครั้งอารมณ์ใจก็สงสารเมื่อพิจารณาเห็นผู้มารับบริการตรวจรักษาโรคที่เขายึดติดในร่างกายเขานัก และวันไหนเข้าสมาธิได้ดีในตอนเช้า พอกลางวันบางครั้งเห็นคนเดินไปอารมณ์ใจเหมือนเห็นโครงกระดูกกำลังเดินได้ ใจมันคิดไปยังงั้น อาจเป็นเพราะผมใช้วิธีปลงอสุภะก่อนที่จะเข้าสมาธิก็ได้... พี่ครับผมมีความสงสัยอยู่อย่าง คือ เวลาที่ผมนอนเพื่อทำสมาธิในทุกครั้งผมผ่านภวังค์ไปไม่ได้เลย มีแต่หลับ แต่พอหลับแล้วมันกลับฝันเป็นเรื่องไปเรื่อยๆ ไม่ขาดตอน เป็นทุกวัน.. แต่พอนั่งสมาธิมักผ่านภวังค์ไปได้ แต่ที่ผมต้องการที่จะทำในท่านอนให้ได้ เพราะไม่ต้องการทรมานสังขาร และคิดว่าถ้าทำสมาธิในท่านอนได้จะอยู่ได้นานกว่าเท่าใดก็ได้ ขอความกรุณาชี้แนะแนวปฏิบัติด้วยครับ
    น้องหนุ่ย
     
  19. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบเพื่อนเรื่องกรรมที่ลานธรรม

    ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรอยู่เบื้องหลัง...

    แห่งการกระทำที่คอยมาบงการชี้นำให้ชีวิตต้องเป็นไปตามคำสั่ง
    ของเจ้ากรรมนายเวร มีแต่ตัวเราซึ้งเป็นผู้กระทำก็คือเจ้ากรรมนายเวรที่แท้จริง ไม่ว่าดีหรือชั่วเมื่อได้สร้างเหตุย่อมมีปัจจัยให้เกิดผล เราย่อมเป็นผู้รับกรรมไม่ว่าดีหรือเลว

    เวรย่อมระงับด้้วยการไม่จองเวร สิ่งนี้ระงับได้เมื่อมีการอโหสิกรรมแต่ผลแห่งการกระทำยังมีอยู่รอส่งผลให้เป็นไปตามเหตุและปัจจัย

    พระพุทธองค์ไม่เคยสอนให้แก้กรรม ท่านสอนให้ีสำนึกตน มีสติ มีปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง สร้างคุณธรรม เพื่อพ้นไปจากกรรมทั้งหลาย

    ถ้าเราเอาแต่แก้ไขแต่ก็ยังไปกระทำเพราะหลงผิดในสิ่งดีและชั่วเป็นอารมณ์อันเป็นโลกธรรม๘ ก็ย่อมเป็นการสร้างภพต่อเนื่องเพราะยึดอารมณ์ต่อเนื่องไปอีก

    ดังนั้นถ้าไปแก้ไขแต่ยังไปกระทำกับสำนึกตนและละอกุศลเพียรในสัมมัปทาน๔ละชั่วทำดีให้ถึงที่สุด นี่คือใช้สติ ใช้ปัญญานี่ล่ะแก้ของจริงคือไม่ทำเพิ่มและทำให้พ้นไปจากกรรมทั้งหลายด้วยสติด้วยปัญญาวิมุตติ

    เราไม่ได้ถูกสอนให้หลง ให้งมงาย เราถูกสอนให้ตื่น ให้ฉลาด ให้เท่าทันและอยู่กับปัจจุบัน

    เราถูกสอนให้วางอดีตและเข้ามาเรียนรู้พัฒนาอบรมกายและจิต

    พระพุทธองค์ทรงแจกแจงกรรมดีเลวปราณีต เพื่อเตือน
    เพื่อไม่ให้เดือนร้อนตน ท่านจึงสอนให้ละอายอย่าไปกระทำ
    ให้กลัวในการที่จะไปเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นให้เดือนร้อน

    ถ้าคนผิดศีล ผิดธรรม มีโรคกรรมกันทุกๆคน คนบนโลกคงไม่มีใครกล้าไปกระทำเพราะเห็นผลแห่งกรรมทันตาเห็น

    ถ้าคนฆ่าสัตว์ ฆ่าคน มามากมายแล้วมีวิญญาณมาตามอาฆาตมาเกาะแขนขาหัวคอท้องสารพัดให้เจ็บตัวดังว่า โลกนี้จะไม่มีคนแข็งแรง

    หลวงปู่เทสก์สอนว่า ตัวเราก็คือเจ้ากรรมนายเวรที่แท้จริง ทำดี เลวย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้นทั้งสิ้น

    ส่วนคนที่เราไปกระทำ สัตว์ที่เราไปกระทำ ต่างก็ไปเกิดเสียแล้ว
    การที่จะโอดครวญ ร้องไห้ คร่ำครวญ เพื่อให้อภัยโทษ ก็เป็นการไม่สมควรเพราะเขาได้ไปเกิดใหม่เสียแล้ว<!--emo&:09:--> [​IMG]<!--endemo-->

    คติ นิมิต ฝันร้าย เชื้อที่สะสมแห่งการกระทำที่ฝากฝัง ส่งต่อมายังจิตดวงใหม่ มันมีเหตุมีปัจจัย จึงทำให้แลเห็นการกระทำทั้งดีและเลว เมื่อวันใดที่วิบากกรรมส่งผล ย่อมปรากฏคตินิมิตเป็นอารมณ์ เป็นเชื้อ จึงทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า...

    มีเจ้ากรรมนายเวรมาดลบรรดาลให้เป็นไปตามอำนาจแห่งการจองเวร

    พวกเราเพื่อนๆแห่งลานธรรม ได้กำเนิดเกิดมากี่่อสงขัย กี่มหากัลป กี่ภพกี่ชาติ นับไม่หวาดไม่ไหว เรากระทำกรรมจนไม่ต้องไปนึกถึง อันเป็นอดีตกรรม

    พระพุทธองค์จึงสอนให้ ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
    <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo-->

    กล้าทำก็ต้องกล้ารับ ผิดพลาดก็ต้องรู้สำนึกและไม่กระทำ นี่ล่ะคือแก้ไข
    นี่หล่ะคือใช้ปัญญา นี่หล่ะคือการเชื่ออะไรก็ตามต้องพิจารณา ไตร่ตรอง พิสูจน์

    อ้องเห็นหนังสือตามท้องตลาด มีแต่แก้กรรม ทำให้รวย ทำให้มีชื่อเสียง ภาวนาก็แก้กรรม
    ทำทานก็แก้กรรม ถือศีลก็แก้กรรม สวดมนต์ก็แก้กรรม

    พุทธศาสนิกชนกำลังถูกให้มีแต่กิเลส มีแต่กลายเป็นคนขี้แพ้ ขี้อ้อนวอน เป็นพ่อค้าแม่ค้า
    ทำเพื่อหวังผล เพื่อลบล้างสิ่งชั่วที่มัวหมอง

    อ้องว่า...
    เรากำลังถอยหลังลงคลองเพราะงมงาย เพราะขี้กลัว เพราะหลงเชื่อ

    เรามารู้จักรูปลักษณะเพื่อทำลายรูปลักษณะ
    เรามาคลายยึดในอารมณ์ทั้งหลายด้วยการเข้าไปรู้
    เราถูกพระพุทธองค์สอนให้สู้
    หลวงพ่อก็สอนให้สู้

    เราไม่ได้ถูกสอนให้หนี ให้หลง ให้ขี้แพ้ ให้แก้ไข
    แต่เราถูกสอนให้มีสำนึกตน มีสติ มีปัญญาเพื่อพ้นไปจากรรมทั้งหลายต่างหาก

    อ้องคงขอให้เพื่อนๆพึงพิจารณา ผิดถูกอ้องขออภัยมา ณ ที่นี้ <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo-->
     
  20. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบเรื่องฝัน

    จุดหลับจุดตื่น...

    เวลาที่เรานอนถ้าคนที่ชอบนอนคิดเค้าจะส่งจิตไปด้านหน้าตรงระหว่างดวงตาทั้งสองและส่งจิตออกนอกคือนอนคิดฟุ้งจนลืมกายลืมใจตนเองไปจมแช่กับรูปลํกษณะแห่งความคิดที่ส่งออกไปยึดอารมณ์ จุดนี้เป็นจุดตื่น

    ส่วนคนหลับที่ปล่อยวางอารมณ์และทิ้งคิดกายสงบระงับถ้าเค้าไปชำเลืองดูในจุดหลับบริเวณใต้คาง ลูกกระเดือก จิตจะดิ่งวูบไปเร็ว หลับเร็ว นี่เป็นจุดหลับ

    แต่บางคนนอนหลับยากเพราะชอบคิด
    บางคนหลับง่ายเพราะปลดปล่อยตนเองได้เก่ง

    ความฝันก็คือความคิดชนิดหนึ่งที่จิตหลบเข้าไปจมแช่อยู่ภายในและทำหน้าที่ปรุงแต่งของเค้าอยู่ตลอดเวลา

    คนที่บอกว่าไม่เคยฝันก็เพราะว่าจดจำไม่ได้ในเวลาหลับ มีมากมายที่คนเราตื่นขึ้นมาแล้วบอกว่าไม่เคยฝัน

    ในจุดตำแหน่งที่ภวังค์จิตปรากฏจะมีแรงดึงดูดกลับแรงปลดปล่อยทิ้งคิดทุกอย่างในโลกของความหยาบเพื่อก้าวเข้าไปสู่โลกที่ละเอียดขันธ์ละเอียดภายในอันเป็นเรื่องธรรมดาของธาตุที่ต้องปรับแต่งสภาพให้เป็นกลางในการดำรงค์ขันธ์หยาบ

    คนที่คิดมาก นอนไม่หลับ ร่างกายจะมีสภาพที่แย่ หม่นหมองถึงขั้นไม่สบาย
    และอาจตายได้เช่น พอ เสนาะ จินดารัตน์ ที่เล่นไพ่เพลิดเพลินเป็นอาทิตย์จนมหาภูตรูปแปรปลวนจนธาตุแตก ธาตุลมตีจนหน้ามืด สลบและเกิดการน๊อคและตายไปครั้งแรก

    ที่คุณหนุ่ยถามว่า...
    ทำไมเวลานอนแล้วจิตไม่ผ่านภวังค์นั่นก็เพราะขาดการดำรงค์สติเฉพาะหน้าและสำเหนียกรู้ลม หลวงพ่อฤาษีลิงดำเรียกว่าฌานหลับ..

    คนที่หลับไปพร้อมกับการเฝ้าดูลมแล้วหลับไปมีโอกาสเป็นพรหม และมีโอกาสที่จะมีกำลังตามไปในฝันคือบังคับฝันหรือตื่นในฝันหรือจะรับรู้ในฝันตนมีกำลังที่สามารถใช้ได้ในหลายๆอย่าง

    ตรงนี้คือหลับพร้อมกำลังสมาธิ แต่สติมีกำลังน้อยและเผลอหลงโดนดูดเข้าไปในองค์รักษาภพจึงไม่ผ่านภวังค์เพื่อก้าวเข้าสู่ฌานในขั้นต่อๆไป

    การดำรงค์สติเฉพาะหน้า การสำเหนียกรู้ลมขอให้ทำอย่างนี้ครับ..
    ลืมตาเอาฝ่ามือมาเหมือนแปะหน้าแต่ให้ห่างซักครึ่งเซนต์ นิ้วชี้อยู่บริเวณระหว่างกลางจมูกปลายนิ้วชี้อยู่บริเวณกลางคิ้ว

    เราเอาสติดำรงค์ไว้เฉพาะหน้าบริเวณที่ใกล้หน้าและสำเหนียกรู้ลมออกลมเข้า
    ตามรู้

    ลองหลับตาและเอามือออกนะครับและเอามือเข้าไปวางใกล้ๆใหม่ เวลานอนอ้องจะดำรงค์สติเอาไว้และรู้สึกตัวผ่อนคลายปล่อยวางและรู้สึกถึงกายเกิดสงบระงับเบาสบายและเริ่มทิ้งคิด

    อ้องจะเร่งพิจารณาโดยเร่งความเพียรให้มากขึ้นมาต่อสู้กับการโดนดูดในรูปลักษณะซึมๆทื่อๆของถีนมิทธะเจตสิกที่กำลังเริ่มดูดเราเข้าไป เราต้องชักคเย่อกับมัน

    ถ้าเราดูไปสิ่งที่แปลกๆจะปรากฏให้เห็นคือ กายมันจะกรนออกมาแม้เบาๆเราก็จะรับรู้ได้และเราจะเห็นจิตเริ่มรวมเข้าไปในจุดตำแหน่งที่เราวางเอาไว้อย่างมั่นคงเป็นลำดับ

    เราจะเห็นกายมันเป็นก้อนธาตุชนิดหนึ่งแต่มีจิตผู้รู้อยู่ภายใน ตรงนี้อ้องเรียกว่า
    จิตมันอาศัยอยู่ในถ้ำโพลงวิ่งไปตามวิญญาณอายตนะเมื่อมีผัสสะมากระทบ

    และนี่หล่ะคือผีของเรา วิญญาณของเราที่อาศัยอยู่ วิญญาณที่ไม่มีตัวตนเป็นธาตุรู้อารมณ์โดยอาศัยอายตนะภายในภายนอกเมื่อมีผัสสะและจะเห็นอารมณ์ที่ถูกรู้ไม่ใช่เราแยกอารมณ์กับจิตได้ แยกกายกับจิตและจะเห็นว่า

    แม้แต่จิตที่คิดว่าเป็นเรา มันจะแสดงธาตุรู้เพราะเหตุและปัจจัยบังคับมันไม่ได้ไหลไปหาเหตุอยู่เสมอและดับสลายหายไป

    ตรงนี้ทำให้อ้องมีความรู้สึกว่ามรรคจิตอยู่ที่สัมมาทิฎฐิความรู้ถูกและทำให้มีปัญญาเข้าถึงสัจจะแห่งอริยสัจ คือเพราะยึดอารมณ์จึงทุกข์แค่วางอารมณ์ก็พ้นทุกข์

    เราจึงต้องอบรมพัฒนาตนเองที่เหตุคือกายและจิต(รูปกับนาม)...
    เมื่อเห็นบ่อยมากเข้าจิตมันจะยอมรับ
    การที่เราพบจิตทำลายจิตก็คือเห็นจยเค้ายอมรับและคลายออกจากอุปทานในขันธ์

    ขออย่าไปอธิษฐานขอเพื่อให้บรรลุธรรม มีดวงตาเห็นธรรมแต่จงเปลี่ยนการขอมาเป็นการทำให้ต่อเนื่องอันเป็นการพึ่งตนเองแทนการขอธรรมะย่อมประจักษ์แจ้งด้้วยการกระทำตามการหว่านพืชผล

    ชาวนาที่เอาแต่อ้อนวอนฝนฟ้า เทวดา ภูเขา ไม่มีวันที่จะประสพผลสำเร็จเท่ากับชาวนาที่ไม่รอฟ้ารอฝน รอเทวดามาโปรดแต่พวกเค้ากระทำโดยการขุดคลองวิดน้ำเข้านาหว่านพืชหว่านผลด้้วยสติด้วยปัญญา

    คนไทยติดการขอมากเกินไปแล้ว ทำให้ดีที่สุด ต่อเนื่อง ทำแบบสบายๆ ไม่ไปกดดัน ไม่ไปหวังผล ท้ายที่สุดย่อมมีเหตุมัปัจจัยในการทำนาหว่านพืชที่ถูกต้อง
    นาก็จะมีผลผลิตแบบไม่ไปเสียเวลาบวงสรวงอ้อนวอน

    คุณหนุ่ยลองทำดูนะครับ ดำรงค์สติเฉพาะหน้าสำเหนียกรู้ลมออกก่อนและเข้าทุกอย่างต้องสุขนำ ลมหายใจออกเป็นลมแห่งความสุขเช่นคนสูบบุหรี่ไปถามดูส่วนมากจะชอบพ่นมากกว่าดูด เพราะพ่นออกมันปลดปล่อยสบายๆ

    คนถอนหายใจก็เช่นกัน พระพุทธองค์จึงให้สำเหนียกลมออกก่อนและเข้าตามมา ในคืนตรัสรู้พระพุทธองค์ก็ทำเช่นดั่งว่านี้เพียงแต่ท่านไม่ได้บริกรรมท่าน
    ดำรงค์สติเอาไว้เฉพาะหน้าสำเหนียกรู้เวลามีคิดปรากฏท่านไม่เข้าไปปรุงแต่มีสติรู้อยู่จนจิตพระพุทธองค์เข้าสู่ฌานเป็นลำดับ

    สมาธิเราทำได้ตลอดเวลาแม้ลืมตาแต่จิตไม่ส่งออกก็ทำได้ครับ
    อนุโมทนาลองทำดูนะครับ อ้องทำอย่างนี้เป็นจริตอ้องเองคนอื่นอาจจะชอบอีกแบบหนึ่งก็ได้ สิ่งไหนที่เราพิจารณาดูแล้วจิตมันรวมก็ทำตามนั้น

    เพราะบางสิ่งเราไม่มีทักษะชนิดนี้แต่เราอาจจะมีทักษะอีกชนิดเป็นจริตให้
    สังเกตุด้วยนะครับ

    ผิดพลาดชออภัยด้วยครับเป็นความเห็นส่วนตน
    อ้องครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...