เมื่อพระอภิญญาท่านว่า...

ท่านใดบริจาคเลือด บริจาคเกล็ดเลือดในช่วงนี้ ก็ขอเชิญชวนร่วมกิจกรรมทำดี รับพระหลวงปู่ทวดมวลสารเหล็กไหลฟรีกันนะครับ อยากแจกๆๆๆๆๆ และอยากให้ได้บุญกันครับ

 

ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
ภิศรณ์, toplus99

พี่ต้อยคะ อยู่ไหนอ่ะคะ เร็ว..น้องจับเจ้าบ้านได้เป็นตัวประกันแล้วค่ะ

การเดินสัมผัสดินด้วยเท้าเปล่ายังไม่เกิดขึ้นเช่นเดิม มัวสาละวนกับวิถีโน่น นี่ นั่น
(ข้ออ้างค่ะ) แต่สัปดาห์นี้ต้องได้เดินสักครั้งแน่ๆ เลย คาดหวังเช่นนั้นค่ะ

"..เปิดแขนขึ้นค่ะ.ขอเจาะเลือดให้คุณหมอดูหน่อยนะคะ"
คุณพยาบาลใจดี ว่างั้น

..ฮึๆ แล้วเธอจะเซอร์ไพร์สกับคาถามหาอุด ที่ฉันบริกรรมมา ศักดิ์สิทธิ์คณานักจนเข็มแทงไม่เข้า จนเข็มคดหักแน่นอน ฮือฮากันโรงพยาบาล หึหึ!!!
ในใจเราลำพองอย่างมั่นใจจริงๆ..

ภิศรณ์อ่านไปก็ช่วยลุ้นไป เพี้ยง!! เข็มหัก เข็มงอ ๆ เฮ้อ เจ็บตัวจนด้ายค่า....

 

เอ้อออ เข็มเจาะเลือดน่ะ เค้าลงอาคมไว้หมดแล้วนะ
ไม่ใช่แค่อาคม ทั้งลุงคม น้าคม ป้าคม พี่คม น้องคม
ทั้งตระกูลคม ทั้งคมและแหลมเลยหล่ะ

ใครร่ายคาถาอะไรมาปะทะเข็มคม สู้ไม่ได้ในยกที่หนึ่ง
ก็จะพลิกแพลงกระบวนท่าต่อเข็มที่สอง สาม สี่ ห้า
จนกว่าคนร่ายคาถาหมดแรง ยินยอมให้เลือดไปตรวจซะโดยดี
555+

 

********************************catt11
ท่านนี้มีคาถา"หายตัว"ด้วยนะคะ

 

ของหลานชายเราค่ะของแท้ เจาะไม่เข้า

ด้วยความที่ต้องนอนค้างคืนที่ รพ. เพราะปอดรั่วค่ะ ตอนพยาบาลขอเจาะปอด เจาะเท่าไหร่ก็ไม่เข้า พยาบาลถามว่าไปทำอะไรมา มีวิชาอะไรเอาออกไปก่อน หลานชายไม่มีวิชาอะไรหรอกค่ะ แค่กำพระไว้ในมือ น้องสาวเราให้หลานถือไว้เพราะหลานต้องนอนค้างคืน เขากลัวผีมากเลยขอพระที่น้องสาวมีติดตัวไว้ค่ะ ยังไม่ทันได้เก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ พอดีพยาบาลมาก่อน เลยเป็นเรื่องค่ะ

เรื่องประจุไฟฟ้าในดิน เคยอ่านที่ไหนจำไม่ได้อ่ะค่ะ ว่า ถ้าเวลาตัวเรามีไฟฟ้าสถิตย์(ส่วนใหญ่จะหน้าหนาว) เขาบอกให้เดินเท้าปล่าวบนดินหรือสนามหญ้าค่ะ ไฟฟ้าสถิตย์จากตัวเราจะลงไปสู่ดินค่ะ ช่วยลดไฟฟ้าสถิตย์บนตัวเรา ถ้าตัวเรามีไฟฟ้าสถิตย์จะทำให้นอนไม่หลับด้วยค่ะ ถ้าเดินบนดินหรือหญ้าจะทำให้หลับง่ายขึ้นค่ะ ใครนอนไม่หลับลองทำดูนะคะ เราลองทำแล้วได้ผลดีค่ะ

 

พรุ่งนี้เป็นวันพระ ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ วันมาฆบูชา และอีกวันคือวาเลนไทน์ ต่างเป็นวันแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ทั้งของไทยและเทศ

ในวาระดีๆ เช่นนี้จึงถือโอกาส มาส่งความรักและปรารถนาดีค่ะ

 

ลงหลุมพราง เข้าหน้า 97 เบ็ดเสร็จใกล้จบแล้ว..

ขอบคุณญาติมิตรทุกท่าน...

เพิ่งรู้ว่าคำค้นหาคำว่า"..toplus99 " มีการค้นหาตั้ง 5 หมื่นกว่าครั้งใน Google
เท่ไม่หยอก โม้ไว้เยอะเลยเป็นเรื่อง


ต่อไปไม่ทำเล่นล่ะ...เจอกันใน "ครรลองธุลีดิน" ถึงก่อนเข้าพรรษา

จากนั้นมีโอกาสค่อยว่ากัน "เมื่อชาติต้องการ"

เคยจำได้มั้ยเมื่อประมาณ 2-3 ปีก่อน เคยร้องเล่นๆในกระทู้

ร้องว่า"..เจ็บนี้รสปูอัด..รสปูอัด"

เนื้อเพลงแบบวัยรุ่นเก่าๆ RS แล้วมีคนถามว่า...มันสื่อเรื่องอะไร???
ก็ไม่รู้...แต่ให้รู้สึกว่ามันน่าจะมีปัญหาในอนาคต

นึกแล้วมันครึ้มในหัวใจ จนน้ำตาไหลจริงๆเมืองไทยเรา


ขอเหล่าองค์เทพไท้เทวัญ พระสยามเทวาธิราชทั้งหลาย
ขอจงดลบันดาลให้เหล่าประชาชาวไทยทั่วหล้า...จงพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยดี..เทอญ สาธุ

 

สมองกับอัศจรรย์แห่งสมาธิ

นพ. เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ ศัลยแพทย์สมองและระบบประสาท และผู้เชี่ยวชาญกฎหมายการแพทย์

ปัจจุบันวงการวิทยาศาสตร์ได้ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างคลื่นสมอง และการฝึกสมาธิ ถึงแม้จะเป็นการค้นพบเพียงน้อยนิด แต่ก็ทำให้เราทราบว่าสิ่งเหล่านี้มีความเกี่ยวพันอย่างแยกไม่ออก รวมถึงยังทำให้ทราบว่าการฝึกสมาธิทำให้เกิดผลดีกับสมอง

คำสอนที่สำคัญอย่างหนึ่งในพระไตรปิฎกคือคำสอนในเรื่องการปฏิบัติสมาธิ ซึ่งทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่พระพุทธเจ้าสอนให้ทำเป็นหลักคือ การตามลมหายใจ หรือ “อานาปานสติ” ซึ่งจะทำให้เกิดสิ่งที่สำคัญตามมาคือ “สติ” โดยในพระไตรปิฎกได้บันทึกคำสอนเกี่ยวกับอานาปานสติไว้ดังนี้
“ภิกษุทั้งหลาย เธอจงตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า

เธอย่อมมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า

เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว

เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น

สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง”

สำหรับสาเหตุที่พระพุทธเจ้าให้เราใช้ลมหายใจเป็นเครื่องมือในการให้ได้มาซึ่งสตินั้น ก็เป็นเพราะว่าลมหายใจเป็นของที่มีติดอยู่กับตัวของเราทุกคน ไม่ว่าจะไปที่ไหนอย่างไร เราจึงไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวในการนำลมหายใจติดตัวไปด้วย

ลมหายใจกับสมอง
การตามลมหายใจหรือการทำสมาธิแบบอานาปานสติ นอกจากจะทำให้เราเกิดความสงบในจิตใจแล้ว ในทางวิทยาศาสตร์ยังพบการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการทำงานของสมองด้วย ในต่างประเทศมีการทำวิจัยหลายชิ้นที่สนับสนุนข้อมูลดังกล่าว อาทิเช่น นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาได้ทำการทดลองกับพระภิกษุที่ปฏิบัติสมาธิมาอย่างดี รวมถึงได้ทำการทดลองกับปุถุชนธรรมดาที่ฝึกนั่งสมาธิมาเป็นระยะเวลานาน 1 ปี ผลการวิจัยพบว่า คนที่ฝึกสมาธิเหล่านี้มีความจำดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงยังมีการจัดตารางชีวิตประจำวัน หรือจัดตารางการทำงานได้เรียบง่ายและมีความสับสนน้อยกว่าคนอื่น โดยระดับคลื่นสมองของพระภิกษุมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดระหว่างเข้าสมาธิ หรือแม้แต่เมื่อออกจากสมาธิแล้ว ก็พบว่าคลื่นสมองของท่านยังอยู่ในระดับที่ต่างจากคนปกติเป็นอันมาก ส่วนในปุถุชนนั้น จำนวนการปฏิบัติสมาธิและระยะเวลาในการฝึก จะมีผลโดยตรงต่อคลื่นสมองแกมมา (คลื่นสมองแกมมาเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองที่เชื่อมโยงความทรงจำ ระดับการเรียนรู้ ระดับสมาธิและการมองโลกในแง่ดี) คือ ยิ่งทำสมาธิมากและทำได้ดี ระดับคลื่นสมองแกมมาก็จะยิ่งสูง
ขณะที่ผลการตรวจคลื่นสมองด้วยเครื่องสนามแม่เหล็ก (MRI) ก็พบว่า การฝึกนั่งสมาธิแม้เพียง 2-3 เดือนจะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสติปัญญาและการเปลี่ยนแปลงทางสมองได้ ในขณะที่ผู้ฝึกเองยอมรับว่า สามารถนอนหลับได้ง่ายขึ้น และหลับได้สนิทมากกว่าเดิม รวมถึงมีปัญหาเรื่องความวิตกกังวล อาการเครียด อาการซึมเศร้าลดลงเช่นกัน หลังจากเริ่มฝึกสมาธิ

คลื่นสมองกับสมาธิ
ในทางวิทยาศาสตร์ เราแบ่งคลื่นสมองออกเป็น 4 ประเภทดังนี้

1. คลื่นเบต้า (beta wave) เป็นคลื่นในภาวะปกติของคนเรา เกิดจากการรับรู้ข้อมูลผ่านประสาทสัมผัส ยิ่งมีข้อมูลที่ต้องสนใจเข้ามามาก คลื่นยิ่งมีความสับสน คลื่นยิ่งสูง คล้ายกราฟรูปฟันปลา

2. คลื่นอัลฟา (alpha wave) เกิดขึ้นในขณะที่เจ้าของอยู่ในสภาวะสงบ ไม่วุ่นวาย คลื่นจะมีรอบน้อยกว่าคลื่นเบต้า เป็นคลื่นที่มีความถี่น้อยกว่า แต่ขนาดของคลื่นจะใหญ่กว่าคลื่นเบต้า

3. คลื่นธีต้า (theta wave) จะมีความถี่น้อยลงไปอีก แต่มีขนาดคลื่นสูงใหญ่กว่าแบบอัลฟา แต่ไม่ค่อยพบคลื่นแบบนี้ในคนปกติ นานๆ จึงจะเห็นสักครั้ง โดยอาจเกิดขึ้นในขณะครึ่งหลับครึ่งตื่น

4. คลื่นเดลต้า (delta wave) เป็นคลื่นที่มีความถี่น้อยที่สุด แต่ขนาดคลื่นจะใหญ่ที่สุด เกิดขึ้นในขณะหลับลึก
ส่วนในบางตำราจะจัดให้มีคลื่นแบบที่ 5 เรียกว่า คลื่นคอสมิก
โดยในหนังสือของ “พระธรรมวิสุทธิกวี” หรือ “พระสาสนโสภณ (พิจิตร ฐิตวณฺโณ)” ได้เปรียบเทียบคลื่นของสมองกับระดับของการฝึกสมาธิไว้ดังนี้

1. คลื่นเบต้า คือ คลื่นสมองของคนที่ไม่ได้ฝึกสมาธิ ซึ่งก็คือปุถุชนธรรมดา

2. คลื่นอัลฟา คือ คลื่นสมองของคนที่เริ่มฝึกสมาธิแบบ “ขณิกสมาธิ” (คือสมาธิที่เป็นไปชั่วคราว)

3. คลื่นเธต้า คือ คลื่นสมองของคนที่จิตสงบมากจนเกือบถึงขั้นจะเป็น “อุปจารสมาธิ”

4. คลื่นเดลต้า คือ คลื่นสมองของคนที่มีจิตสงบมากขึ้น

5. คลื่นคอสมิก คือ คลื่นสมองของคนที่มีจิตใจสงบมากเทียบได้กับระดับ “อัปปนาสมาธิ”

จะเห็นว่าการฝึกสมาธิด้วยการตามลมหายใจดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนภิกษุไว้ใน “อานาปานสติสูตร” ดังกล่าวแล้วจะทำให้คลื่นสมองของเรามีระเบียบ โดยยิ่งเราทำให้คลื่นสมองเป็นระเบียบได้มากเท่าไร (หรืออีกนัยหนึ่งทำให้คลื่นเบต้ามีน้อยที่สุด) ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์แก่ตัวเรามากขึ้นเท่านั้น เพราะทำให้ร่างกายและจิตใจมีการผ่อนคลายจากความเครียดในชีวิตประจำวันได้มากที่สุด จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมคนที่ฝึกสมาธิเป็นประจำจะเป็นคนที่สามารถรับมือกับเหตุการณ์ร้ายๆ ได้ดีกว่าคนทั่วไป

เมื่อการทำสมาธิส่งผลดีกับสมองถึงขนาดนี้ แล้วเราจะไม่หันมาสนใจในเรื่องการทำสมาธิกันไว้หน่อยหรือครับ

ที่มา :: www.HealthTodayThailand.com :: - Viewpoint -

 

การบริกรรมภาวนาอย่างจดจ่อเป็นสมาธิ
..ถึงเข็มยาจะแทงปึ๊กทะลุผ่านผิวหนังเข้าเส้นเลือด แต่ผลพลอยได้ที่ชัดเจนทางวิทยาศาสตร์คือ
อัตราการเต้นของหัวใจ ชีพจรเต้นช้าลง

========
ไปเจอบทความหนึ่งเลยเอามาฝากกัน

สุขภาพสดใสร่างกายมีชีวิตชีวา


สมาธิเป็นความสงบของจิต โดยปกติจิตมีความว่องไวซัดส่ายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เราเข้าใจได้ง่ายเพราะความฟุ้งซ่านของจิตเป็นเรื่องที่เราคุ้นเคยกันดี เคยเป็นอย่างนี้บ้างไหม ตอนที่เรามีเวลาว่างสักหน่อยเรามักจะคิดโน่นคิดนี่ เช่นคิดถึงเพื่อนที่อยู่เชียงใหม่ แสดงว่าจิตเราวิ่งขึ้นไปถึงทางเหนือ อีกเดี๋ยวเดียวกับคิดถึงป้าที่อยู่หาดใหญ่โน่น แสดงว่าจิตเราพุ่งจากเหนือลงใต้ภายในพริบตา อีกเดี๋ยวกลับคิดถึงที่งานว่าป่านนี้เลขาจะทำงานที่สั่งเสียไว้เรียบหรือไม่ แสดงว่าจิตมันกลับวนมาอยู่ในกรุงเทพฯ ภายในเวลาไม่ถึง 10 วินาที

ความว่องไวเป็นธรรมชาติของจิต ทำให้เราเกิดความสับสนวุ่นวาย เมื่อจิตไม่นิ่งเราก็จะควบคุมจิตรวมทั้งจิตใต้สำนึกไมได้ พลังของจิตก็จะไม่เกิด การฝึกสมาธิเป็นการฝึกตนเองไม่ให้ฟุ้งซ่าน ฝึกให้จิตว่าง เพื่อจะได้ทำหน้าที่ของมันได้อย่างที่เราต้องการ นั่นคือเราสามารถควบคุมจิตได้ดี

ท่านพุทธทาสกล่าวไว้ว่า “ถ้าเราบังคับจิตได้อะไร ๆ มันก็ไม่เป็นปัญหา” โรคมะเร็งก็ไม่เป็นปัญหาเพราะเราสั่งมันหายได้

ที่จริงสมาธิมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายที่สามารถตรวจวัดได้ทางการแพทย์ จากประสบการณ์ของ นพ.ชินโอสถ หัศบำเรอในการตรวจร่างกายขณะเข้าสมาธิปรากฏว่า เมื่อจิตนิ่ง

การหายใจจากเดิม 20 ครั้งต่อนาที กลับกลายเป็นวัดไม่ได้ มองไม่เห็นด้วยตา

ชีพจรหรือการเต้นของหัวใจลดลงจาก 72 ครั้งต่อนาทีเหลือแค่ 6 ครั้งต่อนาที

ส่วนความดันเลือดลดลงจาก 120/80 มม.ปรอท ลดลงเหลือเพียง 40/0 มม.ปรอทเมื่อเข้าสู่สมาธิ ไม่แต่จิตที่นิ่งเท่านั้น ร่างกายของเราจะทำงานลดลง เมตาโบลิสมในร่างกายลดลงมากดังจะเห็นได้จากการเต้นของหัวใจและความดันเลือดที่ต่ำมาก ในขณะที่คนที่อยู่ในสมาธิสามารถอยู่ในท่านั่งได้อย่างสบาย ๆ ความดันเลือด 40/0 และหัวใจเต้นเพียง 6 ครั้งต่อนาที

ถ้าเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้อยู่ในสมาธิมีหวังต้องหามเข้าไอซียู เพราะการทำงานของร่างกายเพียงแค่นี้ไม่อาจรับได้กับเมตาโบลิสมของร่างกายยามปกติได้

เคยดูโทรทัศน์ข่าวโยคีในฝรั่งเศส ที่นอนในโลงแล้วตอกตะปูปิดฝาโลง ทั้งยังให้เอาฝังดินไว้ 7 วัน โยคีท่านก็นอนสมาธิของท่านไป เมื่อจิตสงบการเผาผลาญภายในร่างกายก็นิดเดียว เพียงแค่ออกซิเจนภายในโลกก็ก็เพียงพอสำหรับการหายใจเป็นเวลานาน เมื่อครบ 7 วัน ก็มีคนขุดโลงขึ้นมาปรากฏว่าโยคีไม่ตาย และเดินออกมาได้ตามปกติ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้กินอะไรเลย

จะเห็นว่าความสามารถของจิตนั้นมีมากมหาศาล เพียงแต่เราไม่รู้จักวิธีสั่งจิต ไม่รู้จักดึงเอาพลังออกมาใช้เท่านั้น สำหรับการรักษาโรคมะเร็ง เราเห็นความสำคัญของสมาธิ มีการแนะนำให้ฝึกสมาธิอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 15 นาที จากประสบการณ์สมาธิช่วยผู้ป่วยมะเร็งได้ดีมาก หลาย ๆ คน “ปลง” ได้ เมื่อคิดตกเสียก่อน ความฟุ้งซ่าน ความเป็นกังวล ความเครียดต่าง ๆ จะลดลงเอง เมื่อปลงได้ สมาธิก็ยิ่งเกิดง่ายขึ้น เมื่อใจสงบภูมิต้านทานก็จะดีขึ้นการรักษามะเร็งก็จะได้ผลดีกว่า



ถึงจำไว้ว่าสมาธิสามารถสร้างพลังกายและเสริมกำลังใจ ยามปลอดโรคสมาธิจะเสริมร่างกายให้แข็งแรง เวลาเราเป็นโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งสมาธิก็จะช่วยบำบัดรักษา ผู้ใดที่เคยหัดสมาธิมาก่อนและทำเป็นแล้วจะได้เปรียบกว่าคนที่ไม่เคยหัดเลย เพราะจะทำสมาธิในยามเจ็บป่วยในได้ง่ายกว่ามาก

ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามควรฝึกสมาธิไว้จะเป็นประโยชน์ในภายหน้า

ที่มา : สมาธิความสงบของจิตใจ (1/2) | ชีวิตชีวา

 

หลวงพ่อท่านแต่ละองค์.....หน้าตาสดใส ปิ้งๆๆๆๆๆๆ แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ครีมหน้าเด้งเล้ยยยยย..............

 

สมกับฉายาแล้วจริงๆนะแม่คุณ...กระทั่งหลวงพ่อ ยังเอาไปล้อเล่นได้อีกเนี่ย...นับถือ...นับถือ...แต่ไม่กล้าโมทนา...อิอิ...

หลวงพ่อเปลี่ยนเป็นพระสงฆ์รูปหนึ่งเลยนะ ที่หน้าตาอ่อนกว่าวัยมาก...อันนี้ก็เห็นด้วยจริงๆ...
แต่ท่าน toplus นี่ยังต้องรอพิสูจน์ก่อน...ไว้ทิ้งทางโลกเมื่อไร หรือว่าทางโลกทิ้งนะ?...เมื่อนั้นแล้วหน้าจะดูละอ่อน และผอมลง...ตอนนี้ก็ต้องปล่อยๆไปก่อนละกัน...อ้อ..ลืมไปว่าใช้ครีมช่วยก็ได้นี่ หรือจะศัลยกรรมเกาหลี...ที่มีสโลแกนว่า " หล่อได้ ไม่ต้องรอชาติหน้า"
รับรอง..เอาอยู่...

 

อาจารย์คุณป๋า ยายเล่นมิได้คิดจาบจ้วงคิดมิดีจร้าเพียงระลึกถึงหน้าที่อิ่มเอิบด้วยออร่า และหน้าตาที่อิ่มบุญมองมาด้วยความเมตตา พร้อมรอยแย้มยิ้มที่ปนมานิดหน่อย ทำให้รู้สึกว่าช่างวิ่งสวนทางกับอายุจังเลย.......อิอิ

 

ขอยอมรับแบบไม่อาย...ฉันน้ำตาไหล

....เสียใจ หม่นหมองทุกข์ใจนักหนา

ที่คนไทยเราด้วยกัน ต้องมาฆ่ากัน ยิงกัน ทำร้ายกัน
หวาดระแวงคนไทยด้วยกัน
ทั้งที่ทุกคน ต่างก็อยู่บนผืนแผ่นดินที่บรรพบุรุษเรายอมพลี สละเลือดเนื้อ วิญญาณ
หวังเป็นมรดกแก่ลูกหลานเหลน..ได้ดำรงสืบไป


สถานะการณ์ยามนี้บ้านเรา เมืองเราเวลานี้
มันเกิดอาถรรพ์อัปรีย์อะไรขึ้น กับคนไทยเราทั้งผอง...

ฉันก็ไม่รู้ว่า..จักมีหนทางทางใด..ให้ไทยจงเป็นไทย
คืนหัวใจรักกัน...ให้ได้กลับคืนมาเร็วไวที่สุด...

หากแม้นรู้ ชีวิตกู..ก็จักยอมสละขอแลก
แม้เป็น...เถ้าธุลีกูก็ยอม

 

กลับมานั่งแถวหน้าเหลียวมองหาไม่เห็นใคร พี่ๆ น้องๆ หายไปไหน ช้าอยู่ใยมาล้อมวง เดี๋ยวเจ้าบ้านท่านก็มาเสวนาหลากเรื่องราว...(เมื่อใจสบาย)

วันนี้แวะมา ว่าด้วยเรื่องความเจ็บป่วย ไอ ไข้หวัด ปีนี้อากาศหนาวเย็นสักหลายวัน ช่วงอากาศเย็น หนาวอย่างไร หลายคนก็ยังพอไหว ต่างหาเสื้อผ้าสวมใส่ไล่ความเหน็บหนาว
ไม่มีใครเจ็บป่วยมากนัก ต่างกับช่วงรอยต่อหนาวสู่ร้อน

โห...ถ้าไม่ป่วยเองจะไม่ทราบเลยนะคะ ว่า คนป่วยช่วงนี้มากหน้าหลายตานัก ต่างเล่าสู่กันว่า รอบแรกที่ป่วยยังไม่ทันหายดีเลย เริ่มป่วยวงรอบใหม่อีกแล้ว ไข้ขึ้น ไอตลอด
อย่างน้อยคนละสองรอบ สามรอบ กินเวลาข้ามเดือนเชียว นี่ก็เพิ่งหัวไม่หมุนมาสักสาม สี่วัน

อะไรกันนี่ โลกเราอยู่ยากขึ้นทุกวัน

 

สวัสดีครับ...คุณภิศรณ์ ไม่เจอะเจอกันนาน แต่รู้สึกพักหลังสุขภาพร่างกายจะมีปัญหานิดหนึ่งเนอะ...ขอให้สุขภาพกายใจ ดีวันดีคืนโดยไวครับ

มองแบบทางธรรม โลกนี้มีความไม่เที่ยงแท้ให้เห็นอยู่ตลอดเวลา..
เกิด-แก่-เจ็บ-ป่วย- ตาย, สุข ทุกข์ มีให้เห็นอยู่ทุกวินาที

ใครเห็น ใครพิจารณา ใครเบื่อ ใครหน่าย ใครเห็นหนทาง ใครแสวงหาปัญญา
ย่อมหลุดพ้นจากสิ่งที่เรียกว่า" ไตรลักษณ์" ความไม่อาจคงทนอยู่ได้แปรเปลี่ยนอยูร่ำไปในวัฏฏะสงสารนี้

แว่วๆว่าปลายสัปดาห์นี้คุณLomdadbaimai หนึ่งในครอบครัวเรามาเนิ่นนาน เธอจะบุกตลุยเดี่ยวปฏิบัติธรรมเข้าป่า เข้าถ้ำตามเส้นทางที่ toplus99เคยเล่าสู่กันฟังไว้แล้ว..ว่าจะเป็นดังที่ toplus99 คุยโม้ไว้จริงหรือเปล่า!!!

...ตอนนี้คุณลมเธอจะเป็นผู้ขอเข้าไปพิสูจน์เองล่ะ

จะขอหอบหิ้วสัมภาระของกระโตงกระเตงขึ้นรถประจำทาง3-4 ต่อกว่าจะถึง...ปลายทาง
เธอบอกว่า "งานนี้ ลมขอลุยเดี่ยวค่ะ"

โดยส่วนตัวก็ยังมิเคยเห็นตัว หรือได้ยินเสียงสนทนากับคุณลมเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ด้วยอาจเคยเกี่ยวข้องกันมาบ้างแต่อดีตจึงเป็นความรู้สึกที่ปารถนาดีต่อกันเรื่อยมา

แต่งานนี้ขอยอมรับว่า

"ป๊าด...หัวใจเธอแกร่งดังเพชร"

ขออนุโมทนาในผลบุญล่วงหน้าให้เหล่า เทพ พรหมเทวามาพิทักษ์รักษา องค์บรมครูหลวงปู่ ครูบาอาจารย์เจ้าทั้งหลาย
โปรดได้อนุเคราะห์ให้คุณลม ได้เจริญคุณธรรมทางจิต สูงยิ่งๆสืบไป ให้ได้เป็นกำลังที่สำคัญของพระพุทธศาสนาสืบไปด้วยเทอญเจ้าข้า....

"งั้น..บรรดาพี่น้องญาติเราทั้งหลายในครอบครัว ขอได้ช่วยกัน ร่วมอนุโมทนาบุญและร่วมส่งกำลังแรงใจไปให้คุณลมเธอได้ฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคการเดินทางตลอดเส้นทางโดยสวัสดิภาพ และมีความเจริญทางธรรมยิ่งๆสืบไปด้วยเทอญฯ..."

อีกไม่นานเธอคงมีเรื่องมาเล่าสู่กันฟัง..

 

อนุโมทนากับคุณลมด้วยค่ะ
เสียดายจังที่คลาดวันกันนิดนึง
อดเจอกัลยาณมิตรหญิงแกร่งใจเพชรเลยอ่ะ

 

เชื้อโรค ดื้อยามากขึ้นและเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงเราจะใช้ยาเข้าไปกำราบปราบหวังให้มันหลาบจำไม่มาเกาะอยู่กับเรา
แต่ดูๆเหมือนว่า มันจะรู้ทางหนีทีไล่ ยืดเยื้ออยู่ได้นานวัน

ลองๆสังเกตุดูนะคะ ว่า ตอนนี้ ภูมิคุ้มกันในร่างกายเราพร้อมรึปล่าว
เอาตามแบบที่เคยไปเรียนๆรู้ๆกันมาเลยค่า คุณภิศรณ์

พืชผักผลไม้สดต่างๆที่เรากินเป็นอาหารทุกวัน
ใช้เป็นยาเป็นภูมิคุ้มกันได้อย่างดี

ทานพืชผักผลไม้ ลดปริมาณอาหารขยะที่ก่อเกิดพิษสะสมในร่างกาย
เม็ดเลือดแข็งแรงเลือดไหลเวียนดี
ปรับสมดุลย์ร่างกาย เราก็จะกลับมาสดใสได้โดยลืมยาสารพัดชนิดได้เลย
(ใช้ยาตามความเหมาะสม)

ที่เคยทำอยู่ เวลาเริ่มเจ็บคอ แตนเคี้ยวใบสดฟ้าทลายโจรเลยอ่ะ
เวลาความขมมันผ่านคอ รู้สึกสุดๆไปเลย แทบอ๊วก 555
แต่หาย คอไม่อักเสบ ไอมีเสมหะก็ใช้จิบน้ำผึ้งมะนาวเติมเกลือนิดหน่อย
ถ้าได้น้ำผึ้งแท้ อาการหายไว หากเป็นแค่เบื้องต้นนะ
แต่ถ้าถึงขั้นปล่อยไว้จนเชื้อโรคลงปอด ปอดติดเชื้อแล้ว
ต้องไปนอนจิ้มน้ำเกลือแน่ๆจ้า

มีสูตรยาแก้ไอ ที่ใช้ได้ดีทั้งเด็กผู้ใหญ่ ถ้ามีมะนาวโห่
ให้ล้าง ผ่าครึ่งเอาเมล็ดออก ผึ่งให้แห้ง
แล้วใส่ขวดโหลเทน้ำผึ้งลงไปพอท่วม ปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ7วัน
กินวันละลูก ช่วยลดอาการไอได้ดีจ้า
ถ้ากินลูกมะนาวโห่หมดแล้ว น้ำผึ้งก็จิบได้เช่นกันนะ

ใครมีมะนาวโห่ ลองทำไว้พิสูจน์กันดูจ้า ^^

 

ขอบคุณค่ะ คุณtoplus99 ในน้ำมิตรที่มีความปรารถนาดีให้เสมอมา

และขออนุโมทนาบุญ ส่งกำลังแรงใจกับคุณลมในการไปเจริญธรรมค่ะ สาธุ...

 

ขอบคุณ คุณแตนนะคะกับสูตรมะนาวโห่ ต้องทำบ้างค่ะ แต่ยังสงสัยอีกนิดว่า สามารถทำรอไว้ และเก็บได้นานไหมคะ เพราะถ้าไอแล้วถึงทำสูตรมะนาวโห่นี้ต้องรอ 7 วัน กลัวว่าจะไม่ทันการ ไอจนแสงออกตาแน่นอนเลยนะคะ

และขอเผยแพร่สูตรบ้างค่ะเพิ่งได้มาเลย สำหรับแก้ไอคือน้ำกระเทียมดองพร้อมกระเทียมดอง โดยการค่อยๆ จิบ น้ำกระเทียมดอง และทานกระเทียมดองด้วยก็ดีนะคะ ชะงัดดีเหมือนกันค่ะ ช่วยขจัดเสมหะ และการไอจะเบาลงทันตาเชียวค่ะ (มีข้อเสียนิดหน่อย ต้องระวังเวลาคุยกับคนอื่น จะมีกลิ่นไม่พึงประสงค์เป็นของแถมปานกลาง-เล็กน้อย)

ขำๆ นะคะ ภิศรณ์กำลังเริ่มอาการไข้หวัดวงรอบที่สามมาเยือนอีกแหละ เฮ้อ..
สุขภาพจิตไม่แข็งแกร่ง ร่างกายก็ส่งผล ปรับสมดุลย์ไม่ได้สักที
เพราะบ้านเมืองมีปัญหา จะเกี่ยวกันไหมนะนี่

 

ถ้ามีมะนาวโห่ ก็สมามารถดองน้ำผึ้งเก็บไว้ได้นานมากๆได้เลยค่ะ
เหมือนเราทำน้ำหมักเอนไซด์
บางคนใส่น้ำผึ้งไปแล้ว อยู่ขึ้นฟองรึขึ้นฝ้าขาว นั่นไม่เสียค่ะ
เปิดฝาคนๆแล้วปิดฝาไว้ได้เหมือนเดิม
แต่ถ้าขึ้นฝ้าดำ นั่นถึงจะแสดงว่าเสีย
แตน หมักมะเฟืองน้ำผึ้งไว้นานเป็นเดือนแล้วยังอยู่ดี
อยากได้มะนาวโห่ แต่บ้านที่รู้จักกันยังเป็นลูกเล็กๆอยู่ค่ะ
บ้านตัวเองปลูกไว้ ต้นยังเล็ก ^^



สรรพคุณทางยาสมุนไพร อาทิเช่น ราก ใช้บำรุงธาตุ ขับพยาธิ
รักษาบาดแผล และแก้คัน, ใบ ใช้แก้ท้องร่วง เจ็บคอ แก้ปวดหู,
ผลมีรสเปรี้ยว คล้ายมะนาว ใช้แก้ไอ แก้โรคลักปิดลักเปิด แก้ท้องเสีย
แก้เจ็บคอ และช่วยขับเสมหะ