เปิดตำนานหลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย แก้วสว่าง, 4 ธันวาคม 2014.

  1. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    จะเห็นว่าพระขุนแผนของหลวงปู่ทิมนั้น ค่อนข้างที่จะสับสนกันมากเพราะแม่พิมพ์นั้นตกแต่งกันมาเรื่อยและกดทำกันมาหลายหน ตามแต่เนื้อหาที่ผสมใช้กันไปหรือเพื่อให้เนื้อหาของพระมีความเรียบร้อยกันไป จึงอาจจะหามาตราฐานของพิมพ์ที่แน่ชัดไม่ได้ เพราะไม่มีใครอยู่ในเหตุการณ์ตลอดทุกครั้งเวลาที่ทำ จึงอาจที่จะชี้ขาดกันได้ยากมาก โดยเฉพาะการกดพิมพ์ในครั้งก่อนๆและครั้งต่อมา และการกดพระชุดขุนแผนในทุกๆครั้งนั้นจะไม่มีการใช้เครื่องกดเด็ดขาดพระขุนแผนที่ชาวบ้านและศิษย์ยานุศิษย์ทั้งหลายที่เคยได้รับมาโดยตรงกับมือหลวงปู่ทิมเลย ส่วนใหญ่จะเป็นพิมพ์ที่ไม่ค่อยสวยคม หรืออาจจะดูสวยในเนื้อหาแบบฝีมือชาวบ้าน ส่วนใหญ่คนที่ได้รับจะทาทองกันบ้างเพื่อป้องกันผงร่วน นายช่างมงคล นาคแพนท่านก็ได้เห็นการกดพระขุนแผนในช่วงเวลาหนึ่ง และท่านก็ได้กดทำไว้ใช้เองเพียงองค์เดียว โดยท่านได้นำเอาพระมาฝังตระกรุดเองแล้วเอาทองที่ทาโบสถ์สมัยนั้นมาทาองค์พระทั้งหมดแล้วจารอักขระเองไว้ใช้ จากนั้นท่านก็ได้เอาไปให้หลวงปู่ทิมท่านเสกต่อไป ลองชมพระขุนแผนของท่านดูนะครับ
    [​IMG][​IMG]
     
  2. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    ผมจะขอเล่าข้อมูลที่ได้มาอย่างเช่น ลุงบุญล้ำซึ่งเป็นคนทางภาคอีสานมาทำงานอยู่กับกำนันสาคร ซึ่งเป็นกำนันในเขตตำบลบางบุตร โดยมีพื้นที่อยู่ไม่ใกล้กับวัดละหารไร่ ลุงบุญล้ำ(ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่)ท่านเข้าในวัดมาตั้งแต่ปี2509เพราะได้ยินชื่อเสียงของหลวงปู่ทิม สมัยท่านมีอายุประมาณ20ปี ท่านมากินข้าวที่วัดเป็นประจำ และได้คลุกคลีคนที่วัดมากมาย และได้มาสนทนากับหลวงปู่ทิมเสมอเวลายามว่างและได้ขอคาถากับหลวงปู่มาหลายบทแต่ก็ไม่ได้เรียกว่าการเรียนวิชา เพราะหลวงปู่ท่านไม่สอนให้ใคร แต่ถ้าใครอยากได้คาถาแบบไหนก็ต้องมาบีบนวดท่านแล้วท่านก็จะบอกคาถาให้ไปกันเท่านั้น ท่านเล่าว่าตอนที่เข้ามาครั้งแรกท่านได้เห็นลุงสายและคนในวัดกำลังช่วยกันกดพระที่หอฉันท์ที่อยู่ติดคลอง โดยพระที่เห็นจะเป็นพระเนื้อขาวทั้งสิ้น โดยแม่พิมพ์นั้นทำเป็นไม้แต่จะกดเป็นพระพิมพ์อะไรนั้นจำไม่ได้ เพราะจำไม่ไหวมันหลายพิมพ์ ท่านเองยังเคยมาช่วยปั้นลูกอมที่เหลือจากการกดพระ โดยเป็นเนื้อขาวทั้งสิ้น สมัยนั้นยังไม่มีการทาทองเคลือบ

    ครั้งหนึ่งตอนนั้นลุงบุญล้ำท่านเห็นหลวงปู่ทิมท่านนำเอาผงของท่านเองโดยนำมาจากในห้องของท่านมามอบให้กับไวยาสาย(สมัยนั้นตามแต่จะเรียกชื่อกัน) โดยผงหลวงปู่ที่ท่านทำไว้จะบรรจุใส่ในขวดโหลที่มันเป็นเหลี่ยม แต่ท่านเรียกขวดโหลห้าเหลี่ยม ผงนั้นจะรวมกันทั้งหมดเลยจะไม่มีผงแยกต่างๆหรือการแยกขวดใดๆทั้งสิ้น และผงที่หลวงปุ่ท่านทำไว้สมัยนั้นก็ไม่มีการตั้งชื่อว่าเป็นผงอะไร หลวงปู่ท่านก็ไม่ได้กล่าวถึง และก็ไม่มีลูกศิษย์คนใดกล้าที่จะถาม นายสายท่านนำผงที่หลวงปุ่มอบให้นั้นมาผสมกับผงที่ต่างๆที่เตรียมไว้โดยผสมในกะละมังของวัด จากนั้นก็หมักกันไปตามอายุกาลจนกว่าจะนำมาใช้กันได้ ตอนนั้นจะใช้น้ำข้าวหรือกล้วยกันบ้างมาเป็นตัวผสาน นายสายท่านเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ในการผสมทำทั้งหมด เวลากดทำกันนั้นนายสายท่านจะเรียกคนใดที่ว่างก็มาช่วยกันกดพระกัน ลุงบุญล้ำท่านได้เห็นการกดสร้างพระในยุคแรกนั้นบ่อยครั้ง ท่านจะรู้จักคนที่มาช่วยทำกันหลายคนแต่ปัจจุบันนี้คงจะเสียชีวิตกันไปซะส่วนใหญ่ เพราะคนที่ทำในยุคนั้นก็ถือว่าเป็นคนในรุ่นวัยกลางคนถึงรุ่นใหญ่ ส่วนลูกศิษย์ในยุคหลังๆหรือการเขียนหนังสือนั้นไม่ต้องถามถึงยังไม่มีใครเข้ามากันเลย จึงมีโอกาสน้อยมากที่ลูกศิษย์ในยุคหลังจะย่อมรู้จักการสร้างวัตถุมงคลในยุคแต่แรกนี้

    พระยุคนี้สร้างถึงยุคปี2514 ก่อนเริ่มที่จะมีการสร้างโบสถ์ ในช่วงปีนั้นท่านได้เห็นการสร้างพระโดยการนำเอากระเบื้องโบสถ์เก่ามาตำแล้วเอามากดทำเป็นพิมพ์พระขุนแผนบ้านกร่างโดยที่นายสายท่านได้ถอดพิมพ์จากองค์เดิมแล้วเอามาทำพระเครื่องโดยเนื้อพระจะออกเป็นดินเผาสีแดงหรือสีออกเป็นสีอิฐแดงโดยสร้างมาจำนวนหนึ่ง พระชุดนี้หลวงปู่ทิมเสกหนึ่งพรรษา หลังจากนั้นท่านก็ออกให้คนที่ศรัทธาบูชากันไปตามแต่จิตประสงค์ ลุงบุญล้ำท่านได้คลุกคลีอยู่กับวัดละหารไร่น่าจะจวบจนปี2515-2516ท่านก็ได้ย้ายไปทำงานที่อื่น หลังจากนั้นท่านก็ไม่ได้คลุกคลีแต่นานๆท่านก็มาหาซะที แต่เรื่องราวต่างๆมันยังเป็นความทรงจำอยู่เสมอมิได้ลืมเลือนและก็มิได้มีผลประโยชน์อันใดในการแต่งเรื่องราวกัน เพราะเรื่องราวนั้นยังมีคนที่ทันเหตุการณ์กันอยู่อีก ทำให้เรื่องราวมีการปะติปะต่อกันที่เป็นเหตุการณ์จริงเกิดขึ้นมา
     
  3. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    ผมเคยมีโอกาสได้สืบเสาะหาข้อเท็จจริงในเรื่องของผงพลายกุมารที่ร่ำลือกันว่าต้องไปผ่าแหวะท้องเอากระโหลกเด็กมาทำเป็นผงพลายที่เขาร่ำลือกันจริงหรือไม่ซึ่งคนที่จะตอบคำถามได้ดีที่สุดคือคนที่อยู่ใกล้ชิดหลวงปู่มากที่สุดก็คงไม่มีใครพ้นจากนายสาย แก้วสว่างเลย เพราะท่านได้อยู่ในเหตุการณ์สำคัญเมื่อหลวงปู่ท่านต้องการจะทำอะไร ทั้งนายสายหรือชาวบ้านที่เคยบวชอยู่ในวัดต่างก็กล่าวยืนยันว่าไม่เคยเห็นหลวงปู่เล่นผี และหลวงปู่ท่านก็ไม่เคยใช้ใครด้วย ส่วนใหญ่ก็มีแต่การร่ำลือกันไป แต่หาจุดจบที่แท้จริงไม่ได้ เพราะไม่มีใครกล้าออกมายืนยันว่าเห็นจริง แม้กระทั่งลุงสายเอง ท่านเคยบอกว่าตั้งแต่อยู่มาไม่เคยเห็นหลวงปู่ทิมท่านเล่นผงผีเลย ก็มีแต่ลุงร่อนและตัวท่านเองที่เคยไปเอาไม้ฟืนถ่านที่เขาเผาผีคนที่ตายวันเสาร์เผาวันอังคารตามเคล็ดโบราณโดยแกะเป็นพระปิดตามาให้หลวงปู่ท่านเสกเท่านั้น ส่วนผีอีส้มที่เขาร่ำลือกันนั้นท่านไม่รู้จักเลย เคยมีคนไปสอบถามลุงสายตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่ว่าเคยไปเอาผงกระโหลกมาให้หลวงปู่ทิมรึปล่าว ลุงสายท่านตอบว่าผีอีส้มอะไรที่ว่านี่มันมีด้วยรึ มันจะไปกันใหญ่แล้ว! หลวงปู่ท่านไม่ได้เล่นผีเล่นพรายอย่างที่เข้าใจกันหรอก คงจะเข้าใจกันผิดแล้วล่ะ แต่ถ้าเสกให้เป็นพรายนั้นมันก็อาจไม่แน่ แต่ลุงสายท่านก็ไม่กล้ายืนยัน เพราะหลวงปู่ทิมท่านก็ไม่เคยเล่าและก็ไม่เคยกล่าวอวดอ้างสรรพคุณใดๆ ท่านบอกแต่เพียงว่าของท่านทำสำเร็จแล้ว จึงนำมาแจกให้บูชาคนที่ศรัทธากันไปเท่านั้น

    เรื่องผงพรายกุมารเป็นเรื่องที่จะต้องมีความเข้าใจกันอย่างมากถึงเหตุผลหลักที่แท้จริง ว่ามีที่มาที่ไปชัดเจนเพียงใด ซึ่งต่อมาภายหลังมันเป็นเรื่องของความเชื่อและปาฎิหาริย์ที่เกิดขึ้น เมื่อมีคนนำไปใช้หรือทดลองแล้วเกิดผลอย่างดีเยียมและชัดเจนจนเป็นที่ร่ำลือกันอย่างหนาหูหนาตาว่าเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของผงพลายนั้นจริงหรือ มันเป็นคำถามและคำตอบที่ค้างคาใจคนกันมานานจนเป็นความเชื่อกันในทุกวันนี้ว่าเป็นผงพรายจริง แล้วหนังสือตำราต่างๆที่เขียนกันมานั้นตอบเหตุผลที่มาหรือชัดเจนได้อย่างไร ทั้งๆที่เข้าไปก็ไม่ทันยุคทันเหตุการณ์ แต่ภายหลังมันเป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจกันอย่างลึกซึ้งเพราะมันเป็นความเชื่อกันไปแล้ว จึงต้องมีคำตอบจากลุงสายที่ว่า"ถ้าคิดว่ามีก็มี ถ้าคิดว่าไม่มีก็ได้"เป็นเหตุผลที่มันตอบได้ทั้งนั้นไม่ว่าถูกหรือผิด บางครั้งก็ต้องตอบแบบหลีกเลี่ยง บางครั้งก็จำเป็นต้องพูดปดหรือเล่าความเท็จเพื่อตัดความรำคาญกันไปก็ไม่ต่างอะไรกับพระขุนแผนที่เห็นของไม่สวยแต่คนกลับมองข้ามไปกัน จึงเป็นเหตุผลที่จะต้องกำเนิดมีของที่มีความสวยงามหรือของที่มีเนื้อหาอันจัดจ้านกันขึ้นเพื่อตัดกิเลสของคนที่มีเจตนาความต้องการในหลายจุดประสงค์ ทำให้ทุกวันนี้เรื่องของพระขุนแผนและผงพลายกุมารอันลือลั่นเป็นเรื่องที่ต้องใช้ปัญญาเป็นตัวบทวิเคราะห์กันต่อไป
     
  4. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    เรื่องผงพลายกุมารเป็นเรื่องที่ต้องมีความเข้าใจกันให้อย่างสูงเพราะเป็นเรื่องของแม่บทสำคัญที่ต้องรับรู้กับความเชื่อว่ามันมีจริงอย่างที่เข้าใจกันรึไม่ บางคนอาจคิดว่าหลวงปู่ท่านเล่นหาจริง แต่ก็หาคนที่พิสูจน์ตามข้อเท็จจริงนั้นไม่ได้ เพียงแต่เป็นการร่ำลือกันไปต่างๆนาๆ ในยุคสมัยแต่ก่อนนั้นมันเป็นเรื่องของการศึกษาวิชาอาคมและการเล่าเรียนรู้เพื่อให้มีความแตกฉานในแต่ละวิชานั้นๆ วิชาของการทำผงพลายกุมารนั้นมีจริงแต่จะเป็นไปในรูปแบบลักษณะใดอย่างเช่นการนำเอากระโหลกเด็กมาตำเป็นผงเพื่อนำไปใช้ในพิธีกรรมต่างๆซึ่งก็แล้วแต่การนำผงพลายนั้นไปใช้ในทางไสยศาสตร์ที่ถูกที่ควรหรือไม่หรือเราอาจจะกล่าวกันง่ายๆว่าทางไสยขาวหรือไสยดำ แต่ในอีกลักษณะรูปแบบหนึ่งก็คือการอัญเชิญเอาวิญญาณหรือดวงจิตมาสถิตย์ในรูปแบบที่ต้องการจะทำหรือแบบรูปลักษณ์ที่เราต้องการจะประจุไว้เพื่อนำมาใช้ให้เกิดผลตามที่ต้องการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความเชื่อถือกันมาเท่านั้น แต่ลักษณะการนำเอากระโหลกเด็ก หนังหน้าผากศพหรือการใช้ไฟลนศพเอามาทำน้ำมันพรายต่างๆนั้น โดยเฉพาะในสิ่งที่เกิดจากการกระทำเอาหรือการไหว้วานใช้ให้ไปกระทำนั้น จะเป็นการกระทำในพิสัยของฆราวาสทั้งสิ้น แต่ถ้าสิ่งของดังกล่าวนั้นเป็นมรดกตกทอดมาอีกที ก็สามารถเอามาทำได้ถ้าเกจิอาจารย์นั้นมีอาคมที่แก้กล้าวิชาและมีจิตที่สัมพันธ์กับของสิ่งนี้มาตั้งแต่ต้นหรือแต่เดิมเมื่อครั้งสมัยเป็นฆราวาสก็สามารถกระทำได้เพราะถือว่าไม่ได้ไปนำเอามาหรือไปใช้มาแต่เป็นของตกทอดมาก็สามารถเสกกระทำได้

    ในสมัยก่อนในแถบหมู่บ้านวัดละหารไร่นั้นมีการเล่นของสิ่งนี้กันมาก ส่วนใหญ่ถ้าอาคมไม่ถึงหรือถือกันอย่างไม่ระวังก็จะเข้าตัวกันได้ และของสิ่งนี้แรงมากเมื่อกระทำในสิ่งที่ไม่ดีสามารถทำให้เป็นบ้าได้โดยถ้าแก้ไม่ได้ก็ตายสถานเดียว

    ในวัดละหารไร่หรือในแถบหมู่บ้านนั้นมีใครบ้างที่ไม่รู้จักตาพูน เพราะท่านเป็นสัปเหร่อเก่า ท่านเป็นคนทางหมู่บ้านแม่น้ำคู้ ท่านเป็นสัปเหร่อให้ทั้งในวัดแม่น้ำคู้บ้างวัดละหารใหญ่บ้าง วัดหนองกรับบ้างตามแต่จะเรียกใช้ ท่านมีชื่อเสียงที่ร่ำลือกันมากในเรื่องการเล่นผงผี หรือน้ำมันพราย ซึ่งก็คงไม่ต่างกับลุงร่อน แต่ลุงร่อนท่านจะเป็นรุ่นก่อนกว่า ตาพูนท่านเล่นพวกนี้มาจนช่ำชอง จนภายหลังท่านได้มาบวชอยู่กับหลวงปู่ทิมที่วัดละหารไร่จนท่านมรภาพไปหลายปีแล้ว ชื่อเสียงของตาพูนเป็นที่ร่ำลือกันพอควร สำหรับคนในยุคเก่าเขาจะทราบกันดีว่าท่านเล่นของแบบไหน
     
  5. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    การกดสร้างพระเครื่องเนื้อผงพิมพ์ต่างๆเราต้องลองสังเกตให้ดีว่ารูปลักษณ์ที่ออกมาจะเป็นดั่งเช่นใด ฝีมือการกดในระดับช่างที่มีประสบการณ์กับฝีมือชาวบ้านที่ทำกันจะมีลักษณะเนื้อหาเป็นอย่างเช่นใด เนื้อหาที่เป็นธรรมชาตินั้นเป็นตัวบ่งบอกถึงอายุการทำได้ โดยเฉพาะเนื้อหาในยุคก่อนนั้นส่วนใหญ่จะเป็นดินสอพองที่หาได้ง่ายที่สุด เพราะนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการรักษาโรคต่างๆได้ ดินสอพองในยุคเก่านั้นเนื้อหาจะต่างกับดินสอพองในยุคปัจจุบันสมัยนี้ ซึ่งอาจทำให้แยกประเด็นในส่วนที่ง่ายต่อการวิเคราะห์การทำเลียนแบบในยุคหลังได้มาก

    เมื่อย้อนกลับไปในช่วงยุคแรกๆช่วงก่อนประมาณปี2514 ช่วงที่มีการกดสร้างพระของวัดละหารไร่ในยุคพิมพ์ต่างๆพระเครื่องของวัดละหารไร่นั้นเริ่มสร้างมาตั้งแต่ปลายปีพ.ศ.2508 หลังจากงานฉลองสมณะศักดิ์ –ต้นปีพ.ศ.2509 นั้น นายสาย แก้วสว่างไวยาวัจกรของวัดละหารไร่ที่มีส่วนสำคัญยิ่งในการสร้างพระเครื่องต่างๆของวัดในยุคต่างๆ โดยก่อนที่ลูกศิษย์ลูกหาในยุคหลังๆยังไม่เข้ามากัน การสร้างวัตถุมงคลต่างๆนั้นทางวัดจะสร้างกันเองส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านในหมู่บ้านและพระที่อยู่ในวัดหรือไม่ก็จะมีเด็กวัดในยุคนั้นมาช่วยกันทำ ซึ่งเด็กวัดในยุคนั้นที่มาช่วยทำกันเท่าที่จำได้จะมีนายหล่ำ นายทุ่น ( อยู่ทางอำเภอปลวงแดง ) นายสิทธิ์ นายดำ( อยู่ทางบ้านหนองมะปริง ) ซึ่งปัจจุบันก็ได้เสียชีวิตกันไปเกือบหมดแล้วจะเหลือกันก็เพียงนายทุ่นเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ สมัยก่อนนั้นเด็กวัดจะต้องพักอยู่ในวัด ส่วนใหญ่จะต้องนอนอยู่ในห้องพระคอยที่จะเรียกรับใช้ได้เสมอเมื่อเวลามีงานใดๆ ตามแต่พระนั้นจะใช้กัน ชาวบ้านในหมู่บ้านละหารไร่นั้นเมื่อหลังจากที่เกี่ยวข้าวกันเสร็จ ก็ไม่มีงานอะไรทำกัน เพราะคนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านจะประกอบอาชีพทำนาทำไร่กัน สมัยนั้นเครื่องอำนวยความสะดวกหรือไฟฟ้าไม่มีใช้ ยามนั้นจึงต้องอยู่กันไปตามประสาคนในชนบทที่อยู่ห่างไกลความเจริญ ใครที่เข้าออกคลุกคลีอยู่กับวัดเสมอก็จะมาช่วยทำภาระกิจต่างๆภายในวัด บางคนที่พอจะเป็นงานบ้างก็จะมาช่วยกดทำพระกันไปตามแต่ที่ใครมีใจที่จะชอบทำกันไป ไม่ได้เฉพาะเจาะจงใครคนใดคนหนึ่ง

    ส่วนใหญ่คนที่มาช่วยนั้นจะเป็นชาวบ้านที่เข้าออกอยู่กับวัด หรือลูกศิษย์ลูกหาในยุคเก่าๆ ซึ่งชาวบ้านในยุคนั้นย่อมทราบกันดีกับพระเครื่องที่กดสร้างกันในยุคนั้นๆ ลุงทองสุข ซึ่งเป็นชาวบ้านละหารไร่ (ปัจจุบันอายุ76 ปียังมีชีวิตอยู่) ท่านเข้าออกอยู่กับวัดเสมอประกอบกับท่านต้องมาดูแลบิดาของท่านก็คือ หลวงตาเยื่อ ซึ่งบวชเป็นพระอยู่ที่วัดละหารไร่ เมื่อกล่าวถึงหลวงตาเยื่ออาจจะมีหลายท่านที่ไม่รู้จักเพราะในหนังสือไม่มีการกล่าวถึงแต่จะมีการกล่าวขานในหมู่ชาวบ้าน หลวงตาเยื่อท่านจะบวชในยุคคราวเดียวกับหลวงตาเอ ซึ่งเป็นในคนพื้นที่เหมือนกัน ชาวบ้านในยุคเก่านั้นเขาย่อมรู้จักกันดี ลุงทองสุขท่านเป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้มีส่วนร่วมในการกดสร้างทำพระของวัดตั้งแต่เมื่อครั้งแรกเริ่ม ท่านกล่าวว่าสมัยนั้นเนื้อหาส่วนผสมของพระนั้นจะใช้น้ำข้าวมาหมักกับผงที่เตรียมไว้เพื่อมากดทำพระโดยส่วนใหญ่ในขณะนั้นจะผสมรวมกันในกะละมังของวัดแล้วแต่ระยะการหมักเพื่อให้เนื้อหานั้นใช้ได้ บางรุ่นหลวงปู่ท่านก็ มีดำหริให้ใช้ดินเหนียวที่อยู่ในแถบวังสามพญามากดทำก็มี ซึ่งลุงทองสุกท่านก็เป็นคนหนึ่งที่มาช่วยกดทำกันตลอดครั้งเวลายามว่างจากภาระกิจต่างๆ

    ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องราวที่เนิ่นนานมา 40 กว่าปีแล้วก็ตามที คนที่เคยทำคนที่เคยเห็นเขาย่อมจำลักษณะที่เคยกระทำได้ซึ่งเรื่องราวนั้นมันยังตรึงความทรงจำได้เสมอ นายสาย แก้วสว่าง ท่านเล่าว่าช่วงตอนที่ชาวบ้านมาช่วยกดทำพระกันนั้นส่วนใหญ่จะมีแต่คนหนุ่มๆหรือผู้ใหญ่ขึ้นไปช่วยกันกด ส่วนเด็กวัดและเณรหรือคนที่มาถือศีลที่วัดไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายหรือคนแก่บางทีก็จะมาช่วยปั้นลูกอมกันบ้างหรือไม่ก็ใครที่มีแรงก็มาช่วยกันยกพระที่กดกันเสร็จแล้วนำเอาเข้าไปในห้องของหลวงปู่เพื่อให้ท่านเสกต่อไป

    สามเณรที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในยุคนั้นน่าจะช่วงปีพ.ศ.2513-2514 เท่าที่คนรุ่นนั้นจำกันได้จะมี"สามเณรลาว" ( นามที่เรียกกันมา )แต่ชาวบ้านหรือพระในวัดจะเรียกกันว่าเณรเสี่ยว ซึ่งเณรลาวนี้แต่ก่อนเดิมนั้นเป็นคนมาจากทางภาคอีสานมาคลุกคลีพักพิงอยู่กับหลวงตาจันทร์ซึ่งญาติกันและเป็นพระสงฆ์ที่บวชอยู่ในวัดละหารไร่ ( หลวงตาจันทร์องค์นี้ภายหลังหลวงปู่ทิมท่านได้ให้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองมะปริง ) และจากนั้นหลวงปู่ทิมท่านเห็นว่าเด็กคนนี้ดื้อเอาการพอควรแต่พอที่จะเรียกใช้งานได้หลวงปู่ท่านเห็นดีเห็นชอบด้วยในการดัดนิสัยของเด็กคนนี้ จึงได้จับบวชเป็นสามเณรตั้งแต่บัดนั้น และหลวงปู่ท่านก็จะเรียกใช้เณรลาวให้บีบนวดหรือเรียกใช้งานตามแต่ภาระกิจต่างๆในวัด

    และมีสามเณรอีกองค์ที่มาคลุกคลีอยู่กับหลวงปู่ทิมอยู่เสมอก็คือ"สามเณรเสือ" ซึ่งเป็นเพื่อนกันกับสามเณรลาว เณรเสือนี้แต่เดิมมาจากวัดตะพงในได้เดินทางไปมาหาสู่กับเณรลาวจนหลวงปู่ทิมเห็นว่าเณรเสือนี้เป็นคนมีจิตใจกล้าหาญ นิสัยดื้อรั้นค่อนข้างเอาการประกอบกับเป็นคนที่มีรูปร่างล่ำสันแข็งแรงหลวงปู่ท่านจึงให้อยู่รับใช้ในวัด โดยให้นอนอยู่หน้าห้องของหลวงปู่เป็นประจำทุกครั้งเวลามา หลวงปู่ท่านก็จะเรียกใช้เณรเสือให้ทำโน่นทำนี่หรือให้บีบนวดอยู่เป็นประจำโดยให้พลัดกับเณรลาวบ้างตามแต่ใครจะว่างกัน เณรเสือเจ้าของลูกอมดินเหนียวโดยตอนที่เดินทางมาที่วัดเมื่อครั้งแรกหลวงปู่ทิมท่านก็ได้ใช้ให้เณรเสือไปเอาดินเหนียวบริเวณแถววัดมา จากนั้นหลวงปู่ท่านก็ได้ปั้นเป็นเม็ดกลมๆเหมือนลูกกระสุนโดยท่านปั้นเองกับมือ จากนั้นท่านก็ได้อธิษฐานเสกแล้วมอบให้เณรเสือไป ซึ่งก็ถือว่าเป็นคนเดียวที่หลวงปู่ทิมท่านปั้นเป็นลูกอมดินเหนียวขึ้นมาเพื่อให้เป็นเครื่องรางไว้สำหรับติดตัว สมัยนั้นเณรลาวและเณรเสือนั้นมีส่วนสำคัญยิ่งในการปรนิบัติรับใช้หลวงปู่ทิมอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะเหตุการณ์เรื่องราวต่างๆที่มีการกดสร้างพระในยุคเก่าๆของวัดละหารไร่ที่ทำกันมาตั้งแต่คราวแรกและคราวต่อมาที่การกดสร้างพระในวัด ซึ่งภายหลังจากที่หลวงปู่ทิมท่านมรณภาพไปแล้ว เณรลาวก็ได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่วัดอื่นในกาลเวลาต่อมาจนภายหลังก็ได้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคอีสาน ส่วนเณรเสือนั้นก็ได้ลาสึกออกไปก่อนหลวงปู่ทิมท่านมรณภาพ โดยเณรเสือท่านไปสึกที่วัดตะพงในโดยมีพระครูพิทักษ์บุรเขต(หลวงพ่อเพลาะ)เจ้าอาวาสเป็นคนสึกให้ ซึ่งทั้งสองคนนั้นปัจจุบันก็น่าจะยังมีชีวิตอยู่ซึ่งก็สามารถทราบเรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะสามเณรลาวที่ถือเป็นบุคคลในตำนานที่ได้บวชอยู่รับใช้หลวงปู่ทิมในยุคที่ท่านดำรงขันธ์อยู่

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2015
  6. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    เมื่อกล่าวถึงสามเณรลาวนั้นถือว่ามีบทบาทสำคัญในยุคสมัยนั้นมากเพราะได้ปรนิบัติรับใช้หลวงปู่ทิมกันอย่างใกล้ชิดและนานพอควรพอที่ได้เห็นและรับรู้เรื่องราวต่างๆได้ ซึ่งจริงๆแล้วก็ยังพอมีอีกหลายคนแต่ก็บวชได้เพียงไม่นาน เพราะอาจจะบวชเพียง15วันหรือ1เดือนเท่านั้นแล้วก็สึกไปโดยส่วนใหญ่จะเป็นการบวชเพื่อการแก้บนเท่านั้น ในสมัยก่อนนี้หลวงปู่ท่านเก่งมากในเรื่องของการรักษาคนที่ป่วยเป็นโรคต่างๆใครป่วยใครเจ็บหนักก็ต้องนึกถึงหลวงปู่ทิมกันเป็นอันดับแรกและส่วนใหญ่ก็จะสงเคราะห์กันไปทุกรายไปโดยที่หลวงปู่ท่านไม่เคยบ่นถึงความเหน็ดเหนื่อยหรือย่อท้อแต่ประการใด หรือมีบางโรคที่การรักษานั้นไม่หายโดยท่วงทีหรือได้เพียงแต่ทุเลาอาการ อาจเป็นเพราะกรรมเก่าที่เข้ามาสนองจนอาจที่จะต้องมีการอโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรไปเพื่อให้เป็นการรักษาอย่างต่อเนื่องหรือถ้ารักษาหายแล้วก็ต้องบวชเพื่อการประนีประนอมผ่อนละโทษกับเจ้ากรรมนายเวรไป สมัยก่อนนี้คนโบราณเขาจะมีความเชื่อถือเรื่องแบบนี้กันมาก กรรมเป็นเรื่องของการกระทำ ที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้เมื่อเวลานั้นมาถึง อยู่ที่เคยก่อกรรมนั้นมาจะมากน้อยกันเพียงใด หลวงปู่ทิมท่านก็จะยึดการรักษาตามแบบฉบับที่ท่านได้เคยร่ำเรียนรู้มา ซึ่งท่านก็คงผสมผสานกันไปตามแบบข้อเท็จจริงของหลักศาสนาพุทธที่ยึดถือกันมาได้

    นายสาย แก้วสว่าง ไวยาวัจกรของวัดละหารไร่ท่านเล่าว่า สมัยก่อนนี้ในแถบบ้านค่ายเรื่อยลงไปจนถึงในเขตอำเภอปลวกแดงหรือบางทีก็ล่วงเลยไปถึงเขตเมืองชลนั้นหลวงปู่ทิมท่านมีชื่อเสียงที่โด่งดังมากในเรื่องหมอยาหรือหมอแผนโบราณมาก ในยุคแต่ก่อนนี้ ชาวบ้านที่มาหาหลวงปู่ทิมเขาจะเรียกกันว่า”อาจารย์ทิม”เพราะก่อนนี้การที่จะยกย่องหรือการยอมรับกับบุคคลที่มีความสำคัญนั้นจะต้องมีความสามารถอย่างสูง มีความรอบรู้ทุกด้าน มีจิตอาสาและมีจริยธรรมอย่างน่าเลื่อมใสกันอย่างแท้จริงเขาถึงจะสามารถเรียกกันเป็นอาจารย์ได้แต่ถ้าเทียบในยุคสมัยนี้นั้นคงห่างไกลกันมากราวฟ้าสูงกับเหวลึก

    ชาวบ้านละหารไร่และในแถบพื้นที่ใกล้เคียง ถ้าย้อนเวลากลับไปเมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว ชาวบ้านเขาจะเรียกแทนตัวหลวงปู่กันว่าอาจารย์ทิม เพราะสมัยนั้นหลวงปู่ท่านยังคงมีร่างกายที่ยังกระฉับกระเฉงและแข็งแรงพอที่จะต้อนรับชาวบ้านและลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายที่ต้องการให้ความช่วยเหลือใดๆตามแต่ความประสงค์กัน เพราะสมัยนั้นวัดคือศูนย์รวมแห่งจิตใจของหมู่บ้าน และด้วยความที่หลวงปู่ท่านให้ความสนใจซึ่งเป็นการเข้าทำนองในเรื่องของการเป็นจิตอาสา คือมีจิตที่ปรารถนาในการช่วยเหลือสังคมและเพื่อนมนุษย์ที่ทุกข์ยากโดยเฉพาะเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วยใดๆ หลวงปู่ทิมท่านได้ศึกษาวิชาอาคมและไสยศาสตร์มาแต่แรกเริ่มและโดยเฉพาะวิชาการแพทย์แผนโบราณที่ถือเป็นหลักพื้นฐานสำคัญท่านได้ศึกษามาอย่างเป็นเอกอุ เพราะสมัยนั้นหมอแผนโบราณนั้นถือว่าสำคัญมากเป็นอันดับแรกก่อนที่จะศึกษาวิชาอาคมใดๆ และหลวงปู่ทิมท่านก็ได้นำเอาความรู้ต่างๆที่ได้เล่าเรียนศึกษามาใช้อย่างมีจิตที่ปรารถนาจนทำให้เกิดความประสิทธิผลดังกล่าวได้

    ลุงพราม คำมี ปัจจุบันอายุ 72 ปี(ลูกชายหมอเช้า คำมี)ซึ่งเป็นศักดิ์เป็นหลานชายของหลวงปู่แก้ว เกสาโร ท่านอยู่รับใช้หลวงปู่ทิมมากว่า 17 ปี ซึ่งชาวบ้านละหารไร่นั้นย่อมรู้จักกันดีเพราะอยู่กันมาตั้งแต่เป็นเด็กวัด สมัยนั้นท่านจะมีหน้าที่ในการหุงหาอาหารให้หลวงปู่ทิมท่านฉัน โดยเฉพาะการหุงข้าวนั้นคือหน้าที่ประจำที่จะต้องเตรียมหา ลุงพรามท่านเล่าว่าสมัยนั้นจะหุงข้าวด้วยหม้อดินต้องหุงด้วยฟืนไฟ และเวลาหุงจะต้องกะน้ำกะไฟให้พอดีกะเม็ดข้าวที่จะสุก เพราะหลวงปู่ท่านจะไม่ชอบฉันข้าวที่แฉะ ซึ่งสมัยนี้ก็คงไม่มีใครหุงแล้ว เว้นเสียแต่คนเก่าแก่ในยุคเก่าๆ ที่อาจจะยังเคยชินกันอยู่ ในยุคแต่ก่อนๆนั้นจะพลัดหุงกันหลายคนแล้วแต่ใครจะว่างกัน เพราะตอนนั้นหลวงปู่ทิมท่านก็ไม่ได้เดินบาตรมานานแล้ว เท่าที่ลุงพรามท่านจำได้หลักๆก่อนนั้นจะมีลุงจวน(เสียชีวิตแล้ว) ลุงกรอด(เสียชีวิตแล้ว)ลุงแก่น(ยังมีชีวิตอยู่) แต่ถ้าเป็นในยุคก่อนหน้านั้นหลักๆก็จะมีก็ทิดสายเป็นคนหุง

    เรื่องกับข้าวนั้นส่วนใหญ่จะเป็นผักต่างๆที่อยู่ตามพื้นบ้าน หลักส่วนใหญ่นั้นจะเป็นหน้าที่ของเณรและเด็กวัดไปช่วยกันหาบางทีชาวบ้านก็นำเอามาถวายกันบ้างตามแต่บางครั้ง โดยหลักๆที่หลวงปู่ทิมท่านชอบฉันมากก็จะมีถั่วฝักยาว ยอดหวาย เห็ดหูหนู ถั่ววุ้นหรือบางทีก็เรียกถั่วน้ำวุ้นหรือถั่วเต่ารั้ง น้ำพริก เกลือ ส่วนกระเทียม หัวหอมนั้นท่านไม่เอาเลย น้ำปลาท่านก็ไม่เอา ลุงพรามท่านเล่าว่าอาหารหลักๆที่หลวงปู่ท่านชอบให้ทำอีกอย่างก็คือ เอาหน่อไม้ต้มกับน้ำอ้อย โดยต้มกันเป็นหม้อใหญ่หรือต้มกันเป็นปีบๆเลยเพราะเก็บไว้ทานได้นานไม่เสียง่าย



    ชาวบ้านในยุคนั้นที่ทำอาหารมาถวายหลวงปู่เป็นประจำในยุคเก่าจะมีก็ ยายคลัง อัมฤทธิ์(เสียชีวิตไปนานแล้ว) ย่าจิ๊ด วงศ์จิราษฎร์(เสียชีวิตไปนานเนแล้วและเป็นมารดาของกำนันเสถียรกำนันตำบลละหารไร่) ป้าตุ้ย เจริญพิทักษ์(ภรรยาของหลวงตารอดปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) เวลานั้นป้าตุ้ยจะมาที่วัดเป็นประจำเพราะต้องทำอาหารให้กับหลวงตารอด และจากนั้นก็ทำอาหารถวายให้กับหลวงปู่ท่านด้วย ส่วนใหญ่อาหารที่ป้าตุ้ยทำให้กับหลวงปู่จะมีจำพวกต้มผักต่างๆ มะละกอผ่าซีก แล้วต้ม หรือไม่ก็เป็นดอกกล้วย บ้าง ฝักอีกาหรือไม่ก็เอาหน่อไม้ผ่าสองซีกแล้วต้มไปตามแต่จะทำกัน ส่วนคนที่หุงข้าวหลักๆจะมีเพียงก็ลุงพรามที่หุงให้ท่าน แต่ถ้าเวลามีงานวัดชาวบ้านต่างก็ต้องมาช่วยกันสมัยนั้นจะหุงข้าวด้วยกระทะใหญ่ ส่วนใหญ่เท่าที่ทราบจะมีก็ลุงบุญ อัมฤทธิ์(เสียชีวิตแล้ว) ลุงเรือง ลุงปัต ลุงหวัน ซึ่งต่างก็ยังมีชีวิตอยู่แต่ก็แก่ชรากันไปมาก สมัยก่อนนี้เวลาวัดมีงานทั้งที ชาวบ้านจะมาช่วยกันอย่างขะมักเขม้นกันมากเพราะถือว่าได้บุญอย่างยิ่ง ซึ่งเรื่องราวต่างๆนั้นก็ยังมีอีกมากมายกับบันทึกเปิดตำนานหลวงปู่ทิมครับ

    ในการนี้ผมจะขอนำรูปถ่ายลุงพราม คำมีซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ถือรับใช้หลวงปู่ทิม อิสริโกกันมาในภาพยุคปัจจุบันกับรูปถ่ายเมื่อครั้งปีพ.ศ. 2518โดยในครั้งนั้นชาวบ้านในหมู่บ้านละหารไร่ได้ถ่ายร่วมกับลูกศิษย์ลูกหาจากที่อื่นเพื่อเป็นที่ระลึกกันไว้ครับ
    [​IMG][​IMG]
     
  7. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    แต่ก่อนนี้ชาวบ้านละหารไร่และในบริเวณแถบพื้นที่ใกล้เคียงนั้น เขาจะเรียกแทนตัวหลวงปู่ทิมว่า “อาจารย์ทิม” บ้าง”ท่านพ่อทิม” “หลวงพ่อ”บ้างตามแต่จะเรียก ถ้าคนที่อยู่ห่างไกลออกไปก็จะเรียก”ขรัววัดไร่” หรือ”ท่านพ่อทิมวัดไร่”บ้างตามแต่จะกล่าวเรียกเป็นคำสรรพนามแทนตัวท่าน ด้วยชื่อเสียงที่ท่านได้สร้างคุณประโยชน์ไว้มากมายโดยเฉพาะในด้านการรักษาทางแพทย์แผนโบราณนั้นจะมีชื่อเสียงที่โด่งดังมากเลยทีเดียว

    คนเก่าคนแก่ในวัดไร่เล่ากันว่าหลวงปู่ทิมท่านสามารถรักษาคนบ้าหรือคนที่มีลักษณะอาการเป็นบ้าได้ ซึ่งก็ได้มีชาวบ้านจากที่อื่นและในเมืองนำคนป่วยที่มีลักษณะอาการแบบนี้มาให้หลวงปู่ทิมท่านรักษาจนหายขาดกันไปก็หลายท่าน นายสาย แก้วสว่างอดีตไวยาวัจกรของวัดแต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ในละแวกนั้นจะเรียกกันว่าหมอสาย นายสายท่านเคยเล่าว่าได้รับมอบวิชาการรักษานี้มาจากหลวงปู่ทิม ส่วนลูกศิษย์ในยุคก่อนๆอีกคนเท่าที่ทราบได้รับการถ่ายทอดวิชานี้ไปก็คือหมอเปี่ยมพื้นเพเป็นคนอยู่ทางบ้านหนองมะปริง ซึ่งก็ได้บวชเรียนวิชาอยู่กับหลวงปู่ทิมมานานพอสมควร วิชานี้หลวงปู่ท่านจะไม่ค่อยถ่ายทอดให้กับใครง่าย ด้วยเพราะเหตุอันใดนั้นไม่สามารถทราบกันได้ โดยทราบแต่เพียงว่าวิชานี้มันแรงถ้าจิตไม่มั่นพอก็อาจเป็นบ้าได้เหมือนกัน นายสายเล่าว่าหลวงปู่ทิมท่านได้สืบทอดวิชารักษาคนบ้านี้มาจากตำราของหลวงพ่อวงษ์แห่งวัดบ้านค่าย ซึ่งเป็นลูกศิษย์สายเดียวของหลวงปู่สังข์เฒ่าเกจิผู้เรืองวิชาในยุคเก่าก่อน หลวงพ่อวงษ์ในยุคสมัยนั้นเมื่อราวๆ80กว่าปีที่แล้วท่านมีชื่อเสียงมากในการรักษาคนบ้าให้หายขาดได้จนมีชื่อเสียงเป็นที่ร่ำลือกันมาก ซึ่งในยุคสมัยนั้นหลวงปู่ทิมท่านยังไม่ค่อยมีใครรู้จักหรืออาจจะรู้จักหรือมีชื่อเสียงเฉพาะในแถบพื้นบ้านกันเท่านั้น

    เมื่อเทียบในยุคสมัยที่หลวงพ่อวงษ์ท่านมีชื่อเสียงที่โด่งดังนั้นน่าจะเป็นช่วงในยุคที่หลวงปู่ท่านยังต้องไปร่ำเรียนศึกษาความรู้กับสรรพวิชาต่างๆเพราะท่านเคยกล่าวกับลูกศิษย์ของท่านว่า “วิชาอาคมต่างๆนั้นมีมากมายทุกสรรพสิ่งอยู่ที่เราจะสนใจกันมากน้อยเพียงใด” ซึ่งในยุคสมัยก่อนนี้หลวงปู่ทิมท่านได้ไปศึกษาวิชากับอาจารย์ท่านใดนั้นก็คงเป็นไปได้ยากที่จะทราบกันทั้งหมด เพราะท่านเรียนมามากหลากหลายอาจารย์ ส่วนใหญ่ก็จะทราบกันเพียงก็ส่วนบางอาจารย์ที่หลวงปู่ท่านเล่าให้กับลูกศิษย์ยุคก่อนฟังกันเท่านั้น อย่างเช่นการศึกษากับเกจิแห่งเมืองระยองนั้นเท่าที่ทราบจะมีหลวงปู่กราดวัดชากกอไผ่ โดยได้ศึกษาวิชาการสร้างผ้ายันต์พัดโบกตามที่หลวงปู่ท่านได้เคยเล่าให้กับนายสายมา หลวงพ่ออ่ำวัดหนองกระบอกท่านได้เข้าไปศึกษาวิชากันในห้องแต่จะเป็นวิชาใดนั้นไม่มีการยืนยันกันแน่ชัดแต่วิชาหนึ่งในนั้นน่าจะเป็นวิชาการสร้างแพะโดยในครั้งกระนั้นผู้ยืนยันก็คือปลัดเจริญ เพชรนครสมัยที่ท่านเป็นเด็กวัดได้เดินตามหลวงปู่ทาบวัดกระบกขึ้นผึ้งมาด้วยทุกครั้ง

    หลวงปู่ทองแห่งวัดน้ำคอกเก่าเกจิอาจารย์ในยุคเก่าที่หลวงปู่ทิมท่านถึงกับเอ่ยนามหรือกล่าวยกย่องว่าท่านมีอาคมที่แก่กล้ามากสามารถเหาะเหินเดินอากาศหรือดำดินได้ดุจเช่นเดียวกับหลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า แต่หลวงปู่ทิมท่านได้เรียนวิชากับหลวงปู่ทองนั้นไม่สามารถยืนยันได้เช่นเดียวกับหลวงพ่อวงษ์แห่งวัดบ้านค่ายที่ท่านมีชื่อเสียงที่โด่งดังแต่หลวงปู่ทิมท่านไปศึกษาด้วยนั้นก็ไม่สามารถยืนยันได้แต่ก็ทราบได้เพียงว่าท่านศึกษามาจากตำราหลวงพ่อวงษ์หรือตำราสายของหลวงปู่สังข์เฒ่าหรือเป็นไปได้ท่านอาจจะศึกษามาจากหมอวังซึ่งเป็นฆราวาสผู้เรืองนามที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนในยุคกระนั้นก็เป็นได้ เพราะหลวงปู่ทิมท่านเกิดในยุคที่ทันกัน และในยุคสมัยนั้นหลวงปู่ทิมท่านก็ได้ศึกษาร่ำเรียนวิชาการทำปลัดกับหลวงพ่ออี๋แห่งวัดสัตหีบและหลวงพ่อเหลือแห่งวัดสาวชะโงกอีกด้วย โดยมีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่หลวงปู่ทิมท่านได้ศึกษาวิชาอาคมกับหลวงพ่ออี๋และได้แสดงอาคมให้ดูจนหลวงพ่ออี๋ท่านก็ได้ถึงกับกล่าวเปรยกับหลวงพ่อวงษ์วัดบ้านค่ายว่าเมืองระยองนั้นมีช้างเผือกเหมือนกันนะซึ่งรูปนั้นก็คือหลวงปู่ทิมแห่งวัดละหารไร่นั้นเองและชาวระยองได้กล่าวกันเป็นตำนานเรื่อยมาตราบเท่าทุกวันนี้

    เกจิอาจารย์แห่งเมืองระยองอีกรูปที่หลวงปู่ท่านได้ไปศึกษาร่ำเรียนจนบ่อยครั้งก็คือหลวงปู่หินแห่งวัดหนองสนม ซึ่งหลวงพ่อหินนั้นโดยตามประวัติกล่าวว่าท่านได้ร่ำเรียนศึกษามาจากหลวงปู่สังข์เฒ่าวัดเก๋งหรือวัดจันทอุดม เกจิผู้ที่ตำนานกล่าวขานกันว่าเมื่อถ้าถ่มน้ำลายลงบนพื้นเมื่อใดพื้นนั้นจะแตกทันที หลวงพ่อหินท่านมีชื่อเสียงมากในช่วงยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่สองตอนที่ญี่ปุ่นบุกเข้ามาเมืองไทย โดยในยุคนั้นหลวงพ่อหินถือเป็นเกจิดังแห่งเมืองระยองซึ่งท่านโด่งดังพอๆกับหลวงปู่อี๋แห่งวัดสัตหีบ แต่หลวงพ่อหินท่านจะดังในพื้นที่ในครั้งกระนั้นท่านจะสร้างทั้งตระกรุด ผ้ายันต์ เสื้อยันต์ แต่ที่ร่ำลือกันมากเรื่องการสักยันต์ เหนียวมากถึงขนาดปืนผาหน้าไม้นั้นไม่ระคายผิวเลย หลวงพ่อหินท่านมีชื่อเสียงทั้งทางด้านหมอยาและคงพระพัน และเรื่องเมตตามหานิยมนั้นท่านก็เป็นเลิศ

    เมื่อหลวงพ่อหินแห่งวัดหนองสนมท่านมีชื่อเสียงที่โด่งดังมากและเป็นที่ร่ำลือกัน ประกอบท่านถือเป็นเกจิคนเดียวที่ได้คัดลอกตำราวิชาจากวัดเก๋งมา โดยที่ของเดิมนั้นเป็นตำราใบลานซึ่งคงจะเก่าแก่ผุพังกันไปตามกาลเวลา โดยภายหลังจากหลังสงครามโลกได้สิ้นสุดลงไม่นาน หลวงปู่ทิมเมื่อได้ยินชื่อเสียงของหลวงพ่อหินเป็นที่ร่ำลือกัน ท่านจึงได้เดินทางมาวัดหนองสนมเพื่อร่ำเรียนวิชาหรือการต่อวิชากับหลวงพ่อหินวัดหนองสนมทันที กำนันผล แสงจันทร์(เสียชีวิตไปนานแล้ว)ชาวระยองในยุคเก่าย่อมรู้จักกันดีท่านเป็นกำนันตำบลเนินพระ ท่านเป็นเด็กวัดในยุคแรกๆของวัดหนองสนมและถือว่าท่านจะใกล้ชิดหลวงพ่อหินมาก ท่านกล่าวว่าสมัยก่อนท่านเห็นหลวงปู่ทิมท่านเดินทางมาศึกษาวิชาตำราต่างๆกับหลวงพ่อหินอย่างสม่ำเสมอจนมาถึงเด็กวัดในรุ่นสุดท้ายที่เหลืออยู่คือ หมออ่อง ( ยังมีชีวิตอยู่ปัจจุบันอายุ 95 ปี ) ท่านกล่าวยืนยันว่าสมัยนั้นท่านเป็นเด็กวัดอายุประมาณ 15-16 ปี หลังจากในช่วงฤดูออกพรรษาท่านได้เห็นหลวงปู่ทิมเดินทางมาเรียนวิชากับหลวงพ่อหินที่วัดเสมอ แต่จะเรียนวิชาใดนั้นไม่ทราบได้ เพราะเกจิสมัยนั้นเขาจะปิดห้องเรียนวิชากัน เขาจะไม่ออกมาเปิดเผยข้างนอก ประกอบหลวงพ่อหินท่านเป็นพระที่ดุและระเบียบมากท่านกล่าวไว้ โดยที่คนสมัยเก่ายุคนั้นจะทราบกันดี

    หลวงปู่ทิมท่านได้ศึกษาร่ำเรียนและได้ร่ำลองวิชาอาคมกันกับหลวงพ่อหินจนเป็นที่ยอมรับกันทั้งสองฝ่าย เมื่อกระนั้นเหตุการณ์ผ่านไป ก็ได้มีชาวบ้านจากหมู่บ้านกลุ่มหนึ่งเดินทางมาหาหลวงพ่อหินที่วัดหนองสนมเพื่อมาขอของดีจากท่าน เมื่อหลวงพ่อหินท่านถามว่ามาจากไหน ชาวบ้านกลุ่มนั้นก็ได้ตอบว่ามาจากบ้านค่าย เมื่อหลวงพ่อหินได้ยินกระนั้นก็ได้ให้ไปขอที่ไอ้เสือวัดไร่ซิ ( ท่านหมายถึงหลวงพ่อทิมวัดไร่ ) ท่านมีอาคมที่แก่กล้าเหลือเกิน อยู่ที่นั่นแท้ๆทำไมไม่ไปกัน และวันนั้นหลวงพ่อหินท่านก็ไม่ยอมให้อะไรโดยหนึ่งในนั้นที่ไปก็มีปลัดเจริญ เพชรนคร รวมอยู่ด้วย ซึ่งก็เป็นตำนานของคนรุ่นเก่าที่เล่าขานกันมา

    การศึกษาวิชาอาคมใดๆนั้นเราจะเห็นว่าในยุคแต่ก่อนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถร่ำเรียนกันได้ ถ้าไม่มีความมานะความอดทนและความตระหนักพร้อม บวกกับจิตวิญญาณที่มีอยู่ จะเห็นว่าอย่างหลวงปู่ทิมเมื่อท่านเห็นประจักษ์วิชาใดๆที่นำพาซึ่งประโยชน์ท่านจะเดินทางมาขอร่ำเรียนวิชาทันที ถึงแม้หนทางมันจะอยู่ไกลก็ตามที
     
  8. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    นี่คือรูปหลวงปู่ทอง วัดน้ำคอกเก่า ที่หลวงปู่ทิมท่านเคยกล่าวกับลูกศิษย์ของท่านว่ามีอิทธิฤทธิ์ที่เก่งกาจสามารถเหาะเหินเดินอากาศและดำดินได้ แต่หลวงปู่ทิมท่านเคยได้ร่ำเรียนวิชาอาคมหรือไม่อาจจะเป็นเหตุผลที่ได้หรือไม่ได้ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ก็ไม่มีการยืนยันจากหลักฐานเป็นเพียงคำยืนยันบอกเล่าจากหลวงปู่ท่านเท่านั้น เพราะสมัยนั้นหลวงปู่ทิมท่านยังเป็นพระหนุ่มที่ยังต้องการศึกษาวิชาอาคมซึ่งก็อาจจะมีส่วนก็ได้แต่ไม่ขอยืนยัน หลวงปู่ทองท่านเป็นเกจิในยุคเก่าน่าจะในยุครุ่นเดียวกับหลวงพ่อเงินวัดบางคลานจ.พิจิตร ซึ่งท่านก็ได้มรณภาพไปเป็นร้อยปีแล้ว ท่านมีอายุกาลที่ยืนยาวถึง105 ปี ด้วยชื่อเสียงท่านก็ยังเป็นที่ขนานนามกันในตำนาน มีผู้คนที่นับถือและศรัทธาไปขอพรบนบานกันมากมาย ส่วนใหญ่ที่ทราบมีคนไปบนบานแล้วประสบความสำเร็จจะแก้บนกันด้วยการถวายกลองยาว เพราะตามตำนานที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นเล่ากันว่าหลวงปู่ทองในยุคสมัยที่ดำรงขันธ์อยู่ท่านจะชอบการรำกลองยาวเป็นพิเศษ จึงทำให้มีผู้คนมาบนบานกันมากมาย

    [​IMG]
     
  9. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    หลวงปู่ทิมท่านถือเป็นเกจิอาจารย์มีจิตที่แก่กล้ามากสามารถปลุกเสกจนน้ำมนต์เดือดและเป็นที่ร่ำลือกันมากในยุคสมัยนั้น เมื่อปีพ.ศ.2511หรือประมาณ45ปีล่วงมาแล้ว ทางวัดตะพงนอกได้นิมนต์เกจิอาจารย์ชื่อดังมาปลุกเสกวัตถุมงคลและหล่อรูปเหมือนของหลวงพ่อจันทร์ อดีตเจ้าอาวาสวัดตะพงนอก หนึ่งในนั้นก็มีหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่มาร่วมในพิธีนี้ด้วย ในช่วงเวลานั้นหลวงปู่ทิมเริ่มมีคนรู้จักกันมากขึ้น เมื่อหลวงปู่ทิมท่านได้แสดงอภินิหารเสกน้ำมนต์จนเดือด ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ต่างๆก็ได้เฮโลกันเอาน้ำมนต์ในโอ่งที่เสกไว้นั้นจนหมดเกลี้ยงตุ่มในเวลาอันรวดเร็ว โดยหลังจากนั้นมาหลวงปู่ทิมท่านเริ่มมีคนรู้จักกันมากขึ้น โดยหลังจากนั้นวัดไหนที่จัดสร้างวัตถุมงคลหารายได้ก็จะนิมนต์หลวงปู่ทิมท่านไปปลุกเสกด้วยชื่อเสียงที่ร่ำลือกันมา

    ซึ่งโดยก่อนหน้านี้เมื่อปีพ.ศ.2508 หลวงปู่ทิมท่านก็ได้ถูกเชิญนิมนต์จากทางวัดป่าประดู่มาร่วมเสกหล่อรูปเหมือนหลวงพ่อแอ่วอดีตเจ้าอาวาส ซึ่งในงานก็มีเกจิมากันมากมายเช่นกันซึ่งมีทั้งหลวงพ่อเงินวัดดอนยายหอมและหลวงพ่อกันวัดเขาแก้ว ลูกศิษย์หลวงพ่อเดิมวัดหนองโพ จ.นครสวรรค์ ซึ่งในงานนั้นได้มีการถ่ายรูปหมู่กันขึ้น ซึ่งผลปรากฎว่าพอเวลาล้างฟิล์มออกมาหลวงพ่อรูปอื่นถ่ายติดหมดมีแต่เพียงหลวงปู่ทิมองค์เดียวเท่านั้นที่กลับถ่ายติดแต่อาสนะที่นั่งเท่านั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กล่าวขานมาตราบเท่าทุกวันนี้ ซึ่งแสดงถึงอานุภาพจิตที่แก่กล้าของท่านได้

    และในปีเดียวกันหลวงปู่ทิมท่านก็ได้ถูกเชิญให้ไปร่วมพิธีปลุกเสกพระพุทธอังคีรส พระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดระยองซึ่งในงานก็มีเกจิมาร่วมพิธีมากมายเช่นกันซึ่งในงานนี้จัดพิธีเสกไว้ 3 วัน 3 คืน หลวงปู่ทิมท่านมาปลุกเสกจนครบ3วัน3คืนเช่นกัน นายสาย แก้วสว่างซึ่งเป็นไวยาวัจกรได้ติดตามหลวงปู่ทิมมาด้วยทุกครั้ง นายสายท่านเล่าว่าหลวงปู่ทิมท่านนั่งปรกยาวไปเลยจนเสร็จสิ้นไปเลยไม่มีการพักเหมือนกับเกจิท่านอื่นเลย ซึ่งก็ใช้เวลาหลายชั่งโมงพอควร ซึ่งแสดงได้ถึงอำนาจฌานสมาบัติที่ท่านสามารถนั่งปรกได้ยาวนาน เมื่อท่านนั่งปรกจนเสร็จสิ้นแล้วท่านจะกลับทันทีเลย เพราะถือว่าเสร็จแล้ว

    หลวงปู่ทิมท่านถือการบำเพ็ญสมถะกรรมฐานที่เคร่งครัดตั้งแต่ในยุคสมัยที่ท่านได้ออกธุดงค์วัตรในสายของหลวงพ่อปานวัดคลองด่าน และหลวงปู่ทิมท่านก็ได้ศึกษาร่ำเรียนกับหลวงพ่อปาน โดยตามตำนานนั้นกล่าวว่าถ้าพระสงฆ์องค์ใดได้ศึกษาผ่านจากสำนักของหลวงพ่อปาน ถือว่าองค์นั้นสำเร็จกันแล้วโดยเฉพาะในเรื่องของฌานหรือเรื่องของสมาธิจิตที่ถือการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ซึ่งเกจิชื่อชั้นที่ผ่านสำนักเดียวกันก็มีอย่างอาทิเช่น หลวงพ่อดิ่งวัดบางวัว หลวงพ่ออ่ำวัดหนองกระบอก หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ หลวงพ่อเหลือวัดสาวชะโงก เป็นต้น ส่วนใหญ่แต่ละองค์นั้นเราจะเห็นว่าแต่ละองค์จะมีชื่อเสียงทางด้านการสร้างเครื่องรางกันทั้งนั้น เพราะการสร้างเครื่องรางจะสร้างกันให้สำเร็จได้ต้องมีสมาธิจิตที่แน่วแน่มากหรือจะกล่าวกันง่ายๆว่าต้องสำเร็จอำนาจฌานสมาบัติถึงจะสามารถทำได้ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยที่จักทำกันได้ทุกองค์
     
  10. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    ในช่วงยุคสมัยก่อนนี้โดยตามประวัติที่ทราบหลวงปู่ทิมท่านถือเป็นพระที่เคร่งครัดมากในเรื่องของวัตรปฏิบัติและในยามกิจของสงฆ์ที่ต้องพึงปฏิบัติ โดยเฉพาะในเรื่องของการลงโบสถ์ทำสังฆกรรมใดๆหลวงปู่ท่านจะไม่ขาดเลยแม้กระทั่งยามเจ็บป่วยอาพาธ เพราะท่านถือว่ากิจของสงฆ์นั้นเป็นหน้าที่สำคัญต้องมาก่อน

    นายสาย แก้วสว่าง ไวยาวัจกรวัดละหารไร่ เล่าว่า หลวงปู่ทิมท่านย่อมมีดำริอย่างมั่นที่จะสั่งสอนให้ลูกศิษย์ลูกหาของท่านให้มีจิตศรัทธานับถือในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นจุดหลัก เพราะถือว่าพระองค์ท่านมีบารมีสูงสุดเหนือกว่าสิ่งอื่นใด สมัยนั้นหลวงปู่ท่านจะไม่ชอบสร้างสิ่งใดที่เป็นรูปเหมือนของท่านเลย จนมาถึงเมื่อคราวตอนที่จะสร้างเหรียญรูปเหมือนของหลวงปู่ท่านตอนงานฉลองสมณะศักดิ์ เมื่อปีพ.ศ.2508 ลูกศิษย์ลูกหาและชาวบ้านในยุคนั้นต่างก็อยากได้เหรียญรูปเหมือนของหลวงปู่ท่าน จึงต่างก็ไปขอหลวงปู่ท่านให้ออกเหรียญไว้เป็นที่ระลึกกัน แต่แล้วเหตุการณ์ก็กลับกลายเมื่อหลวงปู่ท่านกลับตอบปฏิเสธไปทันที ทำยังไงท่านก็ไม่ยอมเสกให้ เมื่อถึงเวลานั้นคนที่ใกล้ชิดหลวงปู่ทิมมากที่สุดก็ต้องเป็นไวยาวัจกรของวัดก็คือนายสาย แก้วสว่างเท่านั้น โดยที่ลูกศิษย์ลูกหาและชาวบ้านนั้นต่างก็ได้รบเร้าให้นายสายไปขอหลวงปู่ท่านให้สร้างเหรียญเพื่อเป็นที่ระลึกกัน จากนั้นนายสายท่านก็ได้ไปขออนุญาตหลวงปู่ให้ แต่ก็กลับถูกปฏิเสธขึ้นมาอีก ซึ่งนายสาย ท่านก็ได้ไปเวียนขออยู่ 2-3ครั้ง ก็ไม่รู้จักทำยังไงเพราะหลวงปู่ท่านปฏิเสธไปทุกครั้ง จนนายสายและชาวบ้านนั้นต่างก็ได้นัดรวมตัวกันแล้วประท้วงไม่ยอมเข้าวัดกันเลย จนเหตุการณ์ผ่านล่วงเลยไปประมาณ 3 วัน เมื่อเป็นเหตุผลฉะนี้หลวงปู่ท่านถึงยอมใจอ่อนและจากนั้นหลวงปู่ทิมจึงได้เรียกนายสายเข้าไปหาแล้วปรารภกับนายสายว่า” วัดกับชาวบ้านต้องอยู่คู่กัน” จากนั้นหลวงปู่ท่านจึงได้ยอมอนุญาตขึ้นมาในกาลฉะนั้นทันที และเมื่อชาวบ้านทราบข่าวจากนายสายต่างก็ได้เฮโลยินดีกัน จากนั้นทางวัดจึงได้จัดงานฉลองสมณะศักดิ์พร้อมกับการให้ร่วมทำบุญบูชาเหรียญรุ่นฉลองสมณะศักดิ์กันไปเลย ซึ่งการออกแบบเหรียญนั้นนายสายท่านกล่าวว่า อ.ปฐม อาจสาคร เป็นผู้ออกแบบขึ้นมา โดยสร้างมาจำนวนประมาณ 1,080 เหรียญ

    หลังจากที่เริ่มมีการสร้างเหรียญรุ่นแรกขึ้นมา โดยต่อมาหลังจากที่หลวงปู่ท่านได้อนุญาติเสกพระเครื่องที่เป็นเอกลักษณ์ของทางวัดขึ้นมา จากนั้นนายสายซึ่งเป็นไวยาวัจกรของวัดก็ได้มีการดำหริริเริ่มสร้างพระเครื่องและวัตถุมงคลในรูปแบบต่างๆขึ้นมาตั้งแต่บัดนั้นซึ่งมีทั้งแบบพระผงและไม้แกะในรูปลักษณ์ต่างๆโดยมีเหตุผลเพื่อนำมาแจกจ่ายแก่ผู้ที่ศรัทธาต่อหลวงปู่ทิมกัน โดยก่อนหน้านี้เท่าที่ทราบหลวงปู่ท่านจะเสกสร้างก็แต่เพียงวัตถุมงคลของท่านที่เป็นจำเพาะเครื่องรางโดยเฉพาะตระกรุดกับผ้ายันต์เท่านั้นหรือบางทีก็จะมีน้ำมันงาเสกหรือสีผึ้งก็มีกัน แม้กระทั่งการสร้างพระสมเด็จดำพิมพ์รัศมีและรูปเหมือนผงใบลานเผาของหลวงปู่ทิมที่อาจารย์สาครท่านกดสร้างมาก็ทำกันที่วัดละหารไร่เช่นกันโดยนายสายได้นำเอาตำราใบลานเก่าที่ผุพังและตาลปัตรใบลานที่เก่าแก่ของวัดที่ชำรุดมาพลีเผากันที่โคนต้นโพธิ์ในแถบบริเวณวัดซึ่งก็จะอยู่ในช่วงยุคปลายปีพ.ศ.2508 ไม่ใช่ปีพ.ศ.2503 ตามที่มีบทการกล่าวอ้างกันขึ้นมา ซึ่งตอนนั้นหลวงปู่ทิมท่านยังไม่มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือและครานั้นทางวัดก็ยังไม่เคยมีการสร้างพระเครื่องใดๆขึ้นมาหรือการนำพระเครื่องและวัตถุมงคลจากที่อื่นมาให้หลวงปู่ทิมท่านปลุกเสกใดๆอย่างมีหลักฐานที่เด่นชัดกันทั้งสิ้น ซึ่งด้วยการยืนยันข้อมูลและหลักฐานตามความเป็นจริงจากสมัยที่นายสาย แก้วสว่างท่านก็ยังถือบวชอยู่ที่วัดละหารไร่ โดยท่านบวชมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2501 ก่อนที่หลวงพ่อเพ่ง วัดละหารใหญ่ท่านจะมรณภาพไป

    สมัยนั้นหลวงปู่ทิมท่านยังไม่ค่อยมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันเท่าไหร่ในเรื่องของวัตถุมงคล ส่วนใหญ่ท่านจะเน้นหนักหรือจะทราบกันไปในเรื่องของหมอยาหรือการรักษาทางแพทย์แผนโบราณและการสร้างเครื่องรางก็มีแต่ยังไม่กว้างกันมากจะกว้างขวางกันในแถบหมู่บ้านและหมู่ลูกศิษย์ลูกหาที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน ในช่วงยุคนั้นหลวงพ่อเพ่ง สาสโนเจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่ในขณะนั้นในช่วงก่อนปีพ.ศ.2500ท่านมีชื่อเสียงที่โด่งดังมากประกอบกับหลวงพ่อท่านเป็นครูพระสอนหนังสือด้วยเพราะสมัยนั้นวัดละหารใหญ่มีสถานที่เป็นโรงเรียนประชาบาลด้วย แต่ทางวัดก็ได้รื้อย้ายโรงเรียนกันไปหลายปีดีดักแล้วคนรุ่นเก่าในยุคนั้นย่อมทราบกันดี หลวงพ่อเพ่งท่านจะเก่งสร้างเรื่องตระกรุดกับผ้ายันต์ที่มีอานุภาพเป็นที่แพร่หลายกันมากในหมู่ย่านนั้น ใครมีพกไว้ติดตัวป้องกันอันตรายได้ โดยเฉพาะปืนนั้นยิงไม่ออกเลย ตามที่เล่าขานกันมา แต่ตระกรุดของหลวงพ่อเพ่งนั้นหาเอายากมากสุดๆในยุคปัจจุบันนี้ ด้วยเพราะความหามาตรฐานที่บ่งบอกกันเด่นชัดไม่ได้ เพราะถ้าใครอยากได้ก็เตรียมวัสดุเอามากันเอง แต่ส่วนใหญ่เท่าที่ทราบหลวงพ่อท่านจะทำเพียงแค่ขนาดเท่ามวลบุหรี่เท่านั้น

    หลวงพ่อเพ่งเดิมท่านเป็นทหารมหาดเล็กในวัง สมัยกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ท่านบวชมาแต่ครั้งใด ที่ไหน เมื่อไหร่ ไม่ทราบกันได้เพราะไม่มีการบันทึกไว้ ทราบกันแต่เพียงว่าหลังจากท่านปลดจากพลลูกหมู่ไปจากนั้นท่านได้ติดตามกรมหลวงชุมพรหรือเสด็จเตี่ยไปร่ำเรียนวิชากับคณาจารย์ต่างๆ ซึ่งที่แน่ๆหลวงพ่อเพ่งท่านบวชเรียนจนแตกฉานวิชาทางธรรมและได้ร่ำเรียนวิชาอาคมมากับหลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาถ มาและมีอาจารย์ท่านอื่นอีกก็เป็นได้ นายสาย แก้วสว่างซึ่งถือเป็นญาติกันกับหลวงพ่อเพ่ง ท่านเล่าว่า หลวงพ่อเพ่งท่านจิตไวมาก ขนาดเสกทำตะกรุดท่านจะจารอักขระยันต์เฑาะว์ตัวเดียวเท่านั้น แล้วม้วนเป่าพรวดเดียวเป็นอันว่าใช้ได้เลย ซึ่งก็มีหลายคนที่ให้หลวงพ่อท่านทำกันแต่เมื่อเห็นดังนั้นแล้วส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเชื่อว่าจะมีอานุภาพที่ขลังจริง จึงได้เอาปืนมาทดลองยิงผลปรากฏว่า ปืนยิงไม่ออก ซึ่งก็ได้เจอะเจอเป็นที่ประจักษ์ตากันหลายท่านเลยทีเดียว นายสายท่านเล่าว่าหลวงพ่อเพ่งท่านมีอิทธิฤทธิ์อาคมที่แก่กล้าและมีหนังที่เหนียวมาก เคยเห็นหลวงพ่อท่านใช้มีดผ่าไม้รวก แต่คงไม่ทันใจ จากนั้นหลวงพ่อท่านก็ได้ใช้มือมาผ่าแทนมีดแล้วแหกรูดกันบนเหนือเอวท่าน เป็นที่น่าเสียวไส้มากเพราะไม้รวกนั้นทุกคนคงทราบดีมากว่ามันคมมากขนาดไหน

    หลวงพ่อเพ่งท่านมรณะภาพเมื่อปี พ.ศ.2501 ซึ่งมีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อคราวตอนที่เผาศพหลวงพ่อเพ่งผลปรากฏว่าเหลืออยู่เพียงส่วนบนเท่านั้นที่ไฟไม่สามารถเผาหลวงพ่อได้สุมไฟเผายังไงก็ไม่ไหม้ จนสัปเหร่อต้องให้คนไปตามหลวงปู่ทิมที่วัดละหารไร่ซึ่งอยู่คนละฟากคลองกัน หลวงปู่ทิมท่านก็ได้เดินมากับพระสายในขณะนั้น เมื่อเดินมาถึงบริเวณเมรุเผาหลวงปูทิมท่านก็ได้ให้พระสายไปเอากะลามะพร้าวตาเดียวมา จากนั้นหลวงปู่ทิมท่านก็พนมมือบอกกล่าวสักพักแล้วโยนไปที่ศพของหลวงพ่อเพ่งซึ่งตั้งขึ้นเป็นเมรุลอยขึ้นมา จากนั้นไฟที่กำลังครุติดอยู่สักพักไฟก็ได้ลุกโชนเผาร่างหลวงพ่อเพ่งขึ้นมาในทันใด ครูเฮียง คงเมือง(ซึ่งอดีตเป็นครูสอนที่โรงเรียนวัดไร่วารีในขณะนั้น)ปัจจุบันอายุ 88 ปี ยังมีชีวิตอยู่ท่านอยู่ในเหตุการณ์เผาศพหลวงพ่อเพ่งในขณะนั้นด้วย ครูเฮียงท่านเล่าว่าหลังจากที่ไฟเผาศพหลวงพ่อเพ่งไม่หมด เมื่อหลวงปู่ทิมท่านโยนกะลามะพร้าวลงไปสักพักไฟก็ได้ลุกโชนเผาไหม้หลวงพ่อเพ่งเหมือนกับการเผาทองคำที่กำลังหลอมเหลว โดยเห็นเป็นภาพที่อร่ามตามาก ไม่เหมือนกับการเผาศพทั่วไป ซึ่งมันก็เป็นภาพทรงจำของท่านที่มิลืมเลือนได้ตราบเท่าทุกวันนี้

    หลังจากที่สิ้นเกจิอาจารย์หลวงพ่อเพ่ง สาสโน แห่งวัดละหารใหญ่ ซึ่งถือเป็นเกจิอาจารย์องค์เดียวของเมืองระยองที่ได้สืบทอดวิทยาคมมาจากหลวงปู่ศุขแห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า โดยวัตถุมงคลที่หลวงพ่อเพ่งท่านได้เสกสร้างทิ้งไว้ในโลกนี้จะมีก็ตระกรุด ผ้ายันต์ รูปถ่าย ลูกสะกด ซึ่งแต่ละอย่างนั้นเป็นของที่หายากกันทั้งสิ้น และหลังจากนั้นก็เริ่มมีผู้คนรู้จักชื่อเสียงของหลวงปู่ทิมวัดละหารไร่กันมากขึ้นในเวลาต่อมา โดยมีตำนานที่ร่ำลือของคนในเขตนั้นจนต่อกันมาถึงยุคนี้ที่กล่าวกันว่า ” อิทธิฤทธิ์..หลวงพ่อเพ่ง, เมตตามหานิยม...หลวงพ่อทาบ , อาคม...หลวงพ่อทิม, กสิน...หลวงปู่แก้ว ”
     
  11. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    การกดทำพระขุนแผนโดยตามหลักความเป็นจริงนั้นอาจดูกันสับสนมากในเรื่องของพิมพ์และเนื้อหาในการผสมทำแต่ละครั้งเพราะกดทำกันมาหลายหน แต่งพิมพ์กันหลายครั้งรายละเอียดเนื้อหาจะแตกต่างกันไปไม่มีเนื้อหาของความเป็นมาตราฐาน และการกดทำทุกครั้งจะไม่มีการใช้เครื่องกดพระหรือตัวโยกพระทั้งสิ้น พระขุนแผนที่ทำกันในครั้งแรกจะมีเพียงแค่ด้านหน้าด้านเดียวเท่านั้นจะยังไม่มีด้านหลัง คนที่เขาทันยุคทันเหตุการณ์นั้นเขาย่อมจะทราบดีว่าแม่พิมพ์เป็นแบบไหนเขากดทำกันยังไงบ้าง นายสาย แก้วสว่างท่านเล่าว่า จะใช้ไม้มาเลื่อยแล้วฉลุทำเป็นเบ้าประกบกับตัวบล็อกแม่พิมพ์อีกที โดยการกดพิมพ์นั้นจะใช้การกดด้วยมือจะยังไม่มีหีบกดพระเข้ามาช่วย เนื้อหาการหมักผงจะใช้น้ำข้าวหรือกล้วยมาเป็นตัวประสมประสานของเนื้อให้แกร่ง แต่ก็ยังถือเป็นการทำสูตรที่ยังคงใช้แบบสูตรเดิมที่เคยทำมา โดยลักษณะการทำในครั้งแรกนั้นองค์พระที่ออกมาจะมีลักษณะออกบิดๆเบี้ยวๆตื้นบ้างเกินบ้างหนาบ้างบางบ้างหรือบางทีก็เอียงกันไปตามแต่การทำกัน เพราะไม่มีใครที่มีความรู้ในการทำจึงต้องจัดทำกันเอง ซึ่งการกดแต่ละครั้งจะมีจำนวนพอควรหรือตามแต่พิสัยการทำ นายพราม คำมีซึ่งมีหน้าที่หลักประจำหุงข้าวให้หลวงปู่ท่านฉันมานานกว่า17 ปี โดยที่ท่านอยู่ในเหตุการณ์การกดทำวัตถุมงคลเกือบจะทุกครั้ง ใครเข้ามามีบทบาทแบบไหนท่านทราบหมดเพราะท่านเองก็กินนอนอยู่กับวัดเลย โดยที่บางครั้งที่ท่านช่วยทำกดทำบ้าง หรือบางทีท่านก็ยังช่วยยกพระที่ทำเสร็จแล้วเอาเข้าไปในห้องหลวงปู่แต่ส่วนใหญ่ท่านเล่าว่าจะเป็นหน้าที่ของเณรและเด็กวัดที่จะช่วยกัน โดยสามเณรที่มีบทบาทและเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในตอนนั้นจะเป็นสามเณรลาวและสามเณรเสือที่มาจากวัดตะพงในที่มาช่วยกันยกพระเมื่อทำเสร็จแล้วกัน ส่วนสามเณรฉ่ำนั้นยังเป็นเด็กวัดอยู่

    นายสาย แก้วสว่างถือว่าเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการกดทำพระเครื่องต่างๆของวัดละหารไร่ การกดทำพระขุนแผนหรือพระห้าเหลี่ยมตามที่เขาเรียกกันในยุคนั้นโดยเฉพาะการกดทำครั้งแรกๆ ยังไม่มีการให้บูชา ถึงให้บูชาก็ยังออกไม่ได้ด้วยเพราะเนื้อหาและรูปทรงยังไม่มีความสวยงามและความเรียบร้อย เพราะการกดทำแต่ละครั้งจะมีแต่คนติเพราะความที่มันไม่งามเอาซะเลย ส่วนใหญ่พระจึงจะได้กันแต่หมู่ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดเท่านั้น และด้วยคำติเตียนจากวาจาในหมู่ลูกศิษย์ลูกหากันจึงจักต้องพัฒนาแม่พิมพ์และเนื้อหากันไปตามแบบอัตลักษณ์ที่ถูกสูตร เคยมีคำแซวจากในหมู่ชาวบ้านและลูกศิษย์ลูกหาในวัดที่กดสร้างพระกันแบบนี้โดยพูดกันเล่นๆว่า”พระแบบนี้ต้องเอาไปโยนลงคลอง” ซึ่งแท้จริงมันไม่ใช่เอาพระโยนลงคลองแล้วตามไปเก็บเอามา เพราะถ้าโยนลงคลองจริงก็คงไม่มีใครกล้าไปลงไปแน่เพราะน้ำมันลึกมีทั้งปลาและตะพาบชุกชุมมากมาย นายสาย แก้วสว่างท่านเล่าว่าหลวงปู่ทิมท่านไม่เคยติเตียนกับวัตถุมงคลใดๆเลยถึงแม้มันจะมีรูปลักษณ์ที่สวยหรือไม่สวยก็ตามที ท่านถือว่าถ้าเป็นรูปลักษณ์ของพระพุทธเจ้าหรืออัครสาวกต่างๆซึ่งคงไว้ด้วยบารมีอันศักดิ์สิทธิ์แล้วสำคัญหมด

    หลวงปู่ทิมท่านเป็นพระที่มีจิตอันแก่กล้า มีใจที่มั่นและศรัทธาในพระพุทธศาสนาไม่เคยทำลายกับสิ่งที่เคยสับสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะพระเครื่องและวัตถุมงคลใดๆ ที่ว่าเสกแล้วจะไม่มีการทำลายทั้งสิ้นถึงแม้จะมีรูปลักษณ์ที่ไม่สวยงามก็ตามที ท่านไม่เคยยึดติดกับสิ่งนี้เลย เคยมีคำกล่าวเรื่องราวกันว่าหลวงปู่ทิมท่านโยนพระลงคลอง แล้วมีลูกศิษย์โดดลงตามไปเก็บเอากัน ซึ่งเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องกล่าวกันแบบตลกโปกฮากันเท่านั้น มันมิใช่เรื่องจริงแต่ประการใดทั้งสิ้นเพราะไม่มีประจักษ์หลักฐานใดๆเพียงพอกับความเชื่อถือ เอาง่ายๆแค่พระตกลงไปในน้ำคลองพระก็คงจะยุ่ยแล้ว เพราะไม่ได้ใช้กาว ไม่มีความแข็งตัวพอย่อมที่จะเปื่อยกันง่าย แต่ถ้าตอนทำพระแล้วเหลือเศษผงหรือเศษก้อนผงแล้วโยนลงไปในคลองก็น่าจะเป็นไปได้กัน การศึกษาเรื่อราวของหลวงปู่ที่มีความเป็นมาเป็นไปอย่างไรอยู่ที่เราจะใช้วิจารณญาณกันเพียงใด อย่าสับแต่ว่าเชื่อเพียงเพราะเขาเล่าว่า เขาลือว่า แต่ไม่ชัดเจนกับเนื้อหา ซึ่งเรื่องราวต้องมีบทพิสูจน์หรือการวิเคราะห์กันต่อไป
     
  12. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    หลวงปู่ทิมท่านเป็นพระที่มีความแน่วแน่และมั่นคงในการศึกษาร่ำเรียนวิชาต่างๆเพื่อให้เกิดผลสมดุลกันไปตามแบบวิสัยที่มีอยู่ และการบำเพ็ญเพียรวิปัสสนากรรมฐานเพื่อให้จิตนั้นมีความหมดสิ้นจากกิเลสทั้งปวงซึ่งอาจจะกล่าวกันง่ายๆว่าการบำเพ็ญตบะที่ต้องการเผาผลาญกิเลสทุกสิ่งอย่างที่เข้ามาครอบงำจิตใจให้หมดกันไปโดยดำรงไว้เพื่อแนวหลักวิถีธรรมที่ถูกต้องโดยละสิ้นจากความโลภ โกรธ หลง ปลงจิตใจทุกสิ่งอย่างตามแบบอย่างสัจธรรมของชีวิตที่ต้องหมุนเวียนกันไป

    สมัยก่อนคงย้อนเวลากันไปนานหลายสิบปี ลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่ท่านในรุ่นเก่าที่ได้เล่ากันจากรุ่นสู่รุ่น เขาจะเล่ากันว่า เวลาหลวงปู่ท่านนั่งสมาธิครั้งใดท่านจะใช้เวลานั่งนานมาก ท่านเคยนั่งตั้งแต่หัวค่ำยันจบเช้าก็บ่อยครั้ง ส่วนใหญ่ท่านจะนั่งหลังจากเสร็จสิ้นจากภาระกิจของสงฆ์หรืออาจจะเป็นในช่วงที่หลังจากการสวดมนต์ทำวัตรเย็นเสร็จ ซึ่งถ้าความคิดเห็นเราเป็นไปได้แสดงว่าหลวงปู่ท่านคงเข้าฌานสมาบัติหรือเพื่อเป็นการดำรงจิตในอารมณ์ของฌานตามหลักสมาบัติหรือเพื่อฝึกกำลังฌานของท่านให้มีความชำนาญแก่กล้าอยู่เสมอ

    มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงปู่ท่านได้เรียกลูกศิษย์ใกล้ชิดเข้าไปแล้วได้เอ่ยเล่าถึงเรื่องสรรค์และนรกนั้นเป็นเรื่องราวและบทตอนที่มีจริง ท่านกล่าวว่า"กรรมนั้นเป็นของตน กรรมก็เป็นไปในเรื่องของกรรม บุญก็เป็นไปในเรื่องของผลบุญ ตามแนวทางสองแบบอย่างที่มนุษย์เราต้องดำเนินกันไปตามจุดมุ่งหมายของชีวิต จะมาเกี่ยวข้องลบล้างกันไม่ได้เลย ใครทำดีย่อมไปสวรรค์ ใครทำชั่วย่อมลงนรกกันไปตามบทวิถีทางการปฏิบัติของตนเอง" ท่านเอ่ยกล่าวถึงเทวทูตและยมทูตนั้นมีจริงในบทถึงการลงโทษลงทัณฑ์ เมื่อใครได้ประพฤติกรรมทำความชั่วหรือการก่อกรรมทำไม่ดีก็ย่อมที่จะได้เข้าสู่ประตูนรกอเวจีกันต่อไป และอีกบทหนึ่งท่านก็ได้กล่าวถึงเทวดานางฟ้าในสวรรค์ชั้นมาดแมนที่งามหรูยิ่งเมื่อใครได้ยลแล้วจักลืมสิ้นทุกสิ่งอย่างโดยเฉพาะสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่เป็นประตูสู่จุดมุ่งหมายสูงสุดของมนุษย์ทุกคนเมื่อละสิ้นจากโลกนี้ไปแล้วโดยถ้ามนุษย์ทุกคนได้สร้างสะสมบุญหรือการประพฤติปฏิบัติทำแต่ความดีมีศีลธรรมอย่างงดงามและน่ายกย่อง ซึ่งแต่ละอย่างนั้นอยู่ที่บทบาทและบทตอนของเราๆท่านๆที่จะมีจิตในการแยกแยะกับสิ่งทั้งที่เป็นกุศลจิตและอกุศลจิตกันเพียงใดในการกระทำเมื่อครั้งตอนที่ยังเป็นมนุษย์อันแสนประเสริฐได้

    นายสาย แก้วสว่างลูกศิษย์ใกล้ชิดท่านเล่าว่า เมื่อครั้งหนึ่งหลวงปู่ทิมได้เอ่ยกล่าวถึงดินแดนลับแลแห่งตำนานเรื่องราวของป่าหิมพานต์ที่เป็นบทกล่าวอ้างถึงไว้ในวรรณคดี ซึ่งป่าหิมพานต์นี้เป็นสถานที่เปรียบดุจเหมือนอุทยานแห่งชาติของสวรรค์ในชั้นวิมาน โดยเรื่องราวต่างๆนั้นหลวงปู่ท่านกล่าวว่ามีจริงไม่ใช่เป็นเรื่องของนิยายเพ้อฝัน แต่มันเป็นดินแดนแห่งสุขาวดีตามบทวรรณคดีของเทพนิยายที่กล่าวกันมา โดยหลวงปู่ท่านได้เอ่ยกล่าวถึงพืชวิเศษชนิดหนึ่งที่เกิดอยู่ในป่าหิมพานต์ โดยผลนั้นมีลักษณะขั้วลูกอยู่ด้านบนศีรษะ มีรูปร่างเป็นหญิง รูปร่างสะโอดสะอง สมส่วน ผิวพรรณงดงามปานเทพธิดา

    “ ว่ากันว่า จริงๆ แล้ว ผลหนึ่งผล ก็คือรุกขเทพธิดาหนึ่งนาง หรือ เมื่อต้นนารีผลออกดอก เสมือนเกิดวิมานแห่งรุกขเทพธิดาขึ้นที่นั่น เมื่อติดลูก ก็คือเทพธิดาจุติลงมาเกิดที่นั่น ความสวยงามสมบูรณ์แห่งผลนารีผล แต่ละผล จึงสวยงามต่างกัน ขึ้นอยู่กับบุญของเทพธิดาแต่ละนางด้วย เมื่อเหล่าพวกวิทยาธร เดินทางมาพบเข้า หากจิตใจไม่เข้มแข็งพอ ตบะแตก ก็จักได้เสพบำเรอกับนารีผล เมื่อตบะแตก ฤทธิ์เสื่อม เหาะไปต่อไม่ได้ เมื่อไปต่อไม่ได้ ก็ไม่มีทางจะได้พบกับพระนางมัทรี…. การจะเดินทางต่อ หรือออกไป จำต้องบำเพ็ญเพียรใหม่ ยกระดับจิตขึ้นแล้ว จึงกลับออกมาได้ ซึ่งมันก็คือด่านป้องกัน ไม่ให้ใครไปล่วงศีลกับพระนางมัทรี และเทพธิดาที่จุติไปเกิดที่นารีผล แต่ละนางก็ไปด้วยกรรมของตน มิได้บังคับไปแต่อย่างใด

    แม้ว่า พระเวสสันดร พระนางมัทรี จะเสด็จออกจากป่าเข้าเมืองไปแล้ว ต้นนารีผล ก็ยังคงมีอยู่ในที่นั้น ตราบเท่าทุกวันนี้ ยังมีดอกหอมกรุ่น มีนารีผลห้อยระย้าอยู่ดังเดิม แม้ลูกที่หมดอายุขัยจะร่วงหล่นเหี่ยวเฉาไป ลูกใหม่ก็ขึ้นมาแทนที่ไม่ได้ขาด โดยว่ากันว่า บางครั้ง ฤๅษีที่บำเพ็ญเพียรจนมีตบะกล้า กิเลสสงบ เพื่อจะทดสอบจิตตน ก็จะเหาะไปที่ต้นนารีผล มองดูนารีผล ว่าตนจะตบะแตกหรือไม่ หรือบางครั้งฤๅษีผู้เป็นอาจารย์ อาจจะพาลูกศิษย์ไปทดสอบระดับจิต ไปฝึกควบคุมจิต ที่นั่น ก็มีและว่ากันว่า พวกวิทยาธร มักจะเหาะไปเก็บนารีผล อุ้มมาเชยชมแล้ว ฝึกจิตใหม่ ค่อยเหาะกลับออกมา นารีผล เป็นที่ต้องการของสัตว์วิเศษ รวมถึงคนธรรพ์ วิทยาธรทั้งหลายผู้ยังไม่หมดกามราคะ ดังนั้น การที่นารีผลจะเหี่ยวแห้งคาต้นแล้วร่วงหล่นนั้น เป็นไปได้ยาก ก่อนจะโรยรา จะมีเทวดา สัตว์วิเศษ และวิทยาธร เป็นต้นมาเก็บเอาไป “

    หลวงปู่ทิมท่านเอ่ยกล่าวกับลูกศิษย์ใกล้ชิดถึงดินแดนมหัศจรรย์แห่งการจินตนาการในป่าหิมพานต์ แห่งนี้เป็นมิติที่ซับซ้อนซ่อนโลกที่อยู่ในโลกมนุษย์เรานี้เอง แต่ต้องเป็นคนที่มีบุญญาวาสนาหรือมีบารมีเท่านั้นถึงจะพบเห็นและเข้าไปได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องของการเพ้อฝัน ดังสิ่งที่เราเคยได้ยินได้ฟังมา แต่ไม่เคยเห็น ไม่เคยจับต้อง นั้นอาจไม่ได้แปลว่ามันไม่มีอยู่จริง เหมือนกับนรกสวรรค์ที่เป็นคำสอนของศาสนามาตั้งแต่สมัยพุทธกาล แต่ไม่เคยเห็นและยืนยันกันได้ว่ามีจริง นอกจากต้องละจากทางโลกนี้ไปแล้วหรือการใช้อำนาจจิตจากเกจิอาจารย์ผู้ทรงอภิญญาหรือผู้ที่สำเร็จฌานสมาบัติในการท่องไปในดินแดนแห่งอนาคตกาลเบื้องหน้า ซึ่งมันหลักแนวทางอย่างหนึ่งตามหลักพุทธศาสนาของการสื่อท่องโลกไปในดินแดนแห่งนรกสวรรค์หรือในดินแดนแห่งสุขาวดีที่เป็นบ่อเกิดกับเรื่องราวต่างๆอันเกิดขึ้นมาได้

    มีอยู่บทตอนหนึ่งหลวงปู่ท่านเอ่ยกับนายสายและลูกศิษย์ใกล้ชิดอีกสองสามคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน ว่าใครอยากไปท่องแดนสนธยาแห่งป่าหิมพานต์ดูต้นมักกะรีผลที่กล่าวกันในตำนานกันไหม! ซึ่งลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ต่างก็สนใจกันมากเพราะเป็นเรื่องเร้นลับที่ใครหลายคนอยากจะรู้กันว่ามันมีจริงตามที่กล่าวกันไว้ในวรรณคดีรึไม่ หลวงปู่ท่านก็บอกว่าท่านจะนำพาไปให้ ซึ่งลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ต่างก็หูผึ่งสนใจกันอย่างมากและตอบรับกันทุกคน เมื่อมีเรื่องราวเป็นเช่นนั้นแล้ว หลวงปู่ท่านก็ได้เอ่ยกล่าวกับศิษย์ว่า แต่มันมีข้อแม้อยู่ที่ว่า เราเพียรสร้างสะสมบุญกันมาเพียงพอรึยังที่จะเข้าไปในดินแดนแห่งนี้ ถึงแม้เราจะมีจิตสมาธิที่มั่นดีแล้วก็ตามที “นี่นำพาไปให้ได้” ซึ่งเป็นคำกล่าวของหลวงปู่ท่าน “ แต่ถ้าใครได้เห็นแล้วเกิดลุ่มหลงในจิตหรือตกในภวังค์ เมื่อได้เห็นสิ่งที่ต้องการแล้ว จิตอาจจะหลงทางและหาทางกลับมาไม่ได้นะ ถึงแม้นี่นำพาไปก็ช่วยไม่ได้ เมื่อได้ยินได้ฟังเช่นนี้แล้วมีศิษย์คนใดจะไปกันมั่งล่ะ ” ลูกศิษย์ที่ได้ฟังกันในขณะนั้นต่างก็เงียบกริบกันทุกคน เมื่อหลวงปู่ทิมท่านได้เอ่ยกล่าวสาธยายแบบนี้ แล้วทีนี้ใครล่ะจะกล้าไปกัน ลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ต่างก็อึมอัมๆกันหมด หลวงปู่ทิมท่านก็ไม่ว่ากระไรท่านก็ได้แต่นั่งยิ้มหัวเราะพร่ำๆตามประสาของท่านไป

    ซึ่งก็แสดงว่าการเดินทางไปในดินแดนสนธยาป่าหิมพานต์แห่งนี้สามารถไปได้ 2 วิธีด้วยกัน คือมีคนนำทางพาไปได้ กับอีกอย่างหนึ่งคือต้องคนที่สำเร็จอภิญญา5 ขึ้นไป ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงตามที่ลูกศิษย์ลูกหาคนใกล้ชิดเขาจะรู้กันดีกับคำเอ่ยกล่าวของหลวงปู่ทิมในช่วงเหตุการณ์หนึ่งที่ท่านดำรงขันธ์อยู่ในขณะนั้น......
     
  13. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    เราจะเห็นว่าเมื่อหลวงปู่ทิมท่านมีชื่อเสียงเป็นที่เกรียวกราวกันเพราะความมีปฏิปทาจริยาวัตรอันน่าเลื่อมใสและมีจิตรานุภาพต่อการช่วยเหลือมวลหมู่มนุษย์ทั้งหลายที่ต้องเผชิญกับโรคภัยต่างๆตามวาระการเวียนว่ายและการอธิษฐานจิตหรือการเสกสร้างวัตถุมงคลต่างๆจนมีอานุภาพแห่งความเชื่อมั่น จึงเป็นที่มาของความศรัทธาจากผู้คนจากถิ่นใกล้และถิ่นทั่วเมืองไกลกันมากมาย

    เราลองมองกันดูว่าทำไมหลวงปู่ทิมท่านถึงมีชื่อเสียงที่เลื่องลือกันมากนับตั้งแต่ในยุคกึ่งพุทธศตวรรษลงมาโดยนับแต่แรกเริ่มมีการรู้จักเพียงแค่พระรูปหนึ่งที่เคร่งครัดตามระเบียบวินัยของสงฆ์และการรู้จักใช้ความมรรคชอบในสิ่งที่ถูกต้องตามหลักปฏิบัติจนเกิดความชอบธรรมทำให้มีชื่อเสียงกันนับตั้งแต่แค่เฉพาะถิ่นฐานบ้านเกิดและอาณาบริเวณใกล้เคียงจนมาถึงวาระการเสกสร้างสรรค์ในงานบุญตามสถานต่างๆที่เป็นบ่อเกิดชื่อเสียงตามคำร่ำลือกันขึ้นมาเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลเพราะอะไร! เพราะท่านมีจิตที่แน่วแน่ มีอาคมที่เคร่งครัด มีการถือปฏิบัติที่ยึดครองโดยปราศจากเครื่องกิเลสเศร้าหมองทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นแง่ความคิดกันทั้งสิ้นที่จะสนองผู้คนเพื่อให้เกิดความปีติยินดีที่จะสามารถได้พบพระอริยะสงฆ์เจ้าได้เต็มเปี่ยม แต่ทุกสิ่งอย่างนั้นอยู่ที่กาลเวลาเป็นเครื่องหนุนนำที่จะบ่งบอกได้ว่าความเป็นพระอริยะนั้นเขาวัดค่าหรือพิสูจน์กันยังไงได้......

    ด้วยบทพิสูจน์จากบทบาทเรื่องเล่าความจากแดนชนบทเข้าสู่สังคมเมืองที่มีจุดความเลื่อมใสและความศรัทธาของผองชนจนเป็นเรื่องราวที่พึงพอจะมีกันอย่างมากมายกับหลายบทหลายตอนหรือหลายวาระที่สามารถเป็นเครื่องบ่งบอกพิสูจน์ได้กับเรื่องราวความเป็นมาที่เกิดมีอานุภาพก่อเกิดเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ขึ้นมาอย่างเป็นผลกับเกจิอาริยะแห่งผองชนจนเป็นสมญานามว่าหลวงปู่ทิมแห่งวัดละหารไร่ “ช้างเผือกแห่งเมืองระยอง”กับคำกล่าวที่เป็นตำนานเล่าขานกันมาจากหลวงพ่ออี่ พุทธสโรแห่งวัดสัตหีบเทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำทะเลตะวันออกเกจิผู้เลื่องลือในคราวยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง....
     
  14. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    จะเห็นว่าพระเครื่องและวัตถุมงคลต่างๆของวัดละหารไร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระขุนแผนห้าเหลี่ยมที่กดสร้างอันมีจุดประสงค์ของการใช้ในการสืบสานการสร้างเป็นรูปแบบวัตถุมงคลต่างๆเพื่อให้มีความเป็นเอกลักษณ์ของวัดที่จะนำไปสู่ค่านิยมที่พึงพอจะมีกัน เมื่อกล่าวถึงตามหลักฐานจริงที่มันเป็นเรื่องราวพิสูจน์กันได้ในการสร้างตามแบบฉบับของวัดนั้น ส่วนใหญ่แล้วการทำตามเนื้อหาและเนื้องานแบบอย่างครั้งแรกโดยมีผลงานที่ออกมาตามความพึงประสงค์ขององค์พระนั้นจะไม่ค่อยมีความสวยงามเอาซะเลยเพราะความที่ยังไม่มีใครมีความคิดความสามารถทำให้องค์พระนั้นมีความสวยเรียบร้อยได้ ด้วยเพราะสภาพแวดล้อมที่ชาวบ้านนั้นกดทำกันเองภายในวัดเท่านั้น จึงได้ผลงานตามแบบฉบับที่เห็นกันในครั้งแรกหรือในยุคแรกๆของการสร้างที่เป็นรูปแบบอย่างและด้วยสิ่งที่มีค่าตามอัตลักษณ์ของการเข้าใจอย่างมีวัตถุประสงค์ จึงต้องตระหนักให้มีแบบการสร้างในยุคต่อๆมาที่ริเริ่มมีพัฒนาการกันขึ้นไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้รูปลักษณ์ขององค์ที่เรียบร้อยหรือความพึงพอใจตามแบบที่มีค่าความเหมาะสมของการบูชากันไปอย่างถูกจุดมุ่งหมาย

    อ.ดุษฎี ศิริโวหาร ( ปัจจุบันท่านได้เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว)อดีตท่านเป็นอาจารย์สอนอยู่รร.เทคนิคระยอง และเป็นลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่ทิม ท่านเป็นคนไปทำแม่พิมพ์พระขุนแผนมาจากกรุงเทพฯ ซึ่งครั้งแรกที่ทำมานั้นจะมีเพียงแค่ด้านหน้าด้านเดียวเท่านั้นยังไม่มีตัวยันต์หลัง จากนั้นก็ได้นำแม่พิมพ์ไปให้หลวงปู่ท่านดู ท่านก็เอ่ยว่าดีแท้เพราะถือว่าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วดีหมดทั้งสิ้น จากนั้นลูกศิษย์ลูกหาก็นำมากดสร้างกันในครั้งแรกโดยนายสาย แก้วสว่างไวยาวัจกรของวัดได้นำแม่พิมพ์มากดสร้างที่หอฉันท์โดยมีลูกศิษย์ลูกหาและพระเณรในวัดยุคนั้นร่วมรู้เห็นกันมาก โดยการกดสร้างในครั้งแรกนั้นด้วยความที่มีบล็อกแม่พิมพ์แค่เพียงเฉพาะด้านหน้าเท่านั้นไม่มีขอบข้างและด้านหลังเป็นส่วนประกอบ จึงจำเป็นต้องมีความคิดพิจารณาการดัดแปลงให้ถูกหลักตามภูมิปัญญาชาวบ้าน โดยเอาไม้มาเลื่อยทำเป็นตัวประกบข้างให้เสมอกับตัวบล็อกแม่พิมพ์ แล้วเอาไม้มากดด้านหลังองค์พระเพื่อให้เนื้อหามีความแน่นตัวอีกที เนื้อหาที่ทำเอาดินสอพองที่มีอยู่เป็นหลักในขณะนั้นผสมกับผงของหลวงปู่ทิมที่ท่านทำไว้ โดยตระเตรียมหมักผสมไว้กับน้ำข้าวเป็นตัวประสานหรืออาจจะใช้กล้วยน้ำหว้าด้วยตามสูตรผสมในแต่ละครั้งกันไป จะเห็นว่าทางวัดนั้นใช้สูตรดั้งเดิมที่เคยทำมาเมื่อครั้งก่อน และสมัยที่ทำครั้งนั้นจะไม่มีการนำชนิดของกาวมาใช้ทั้งสิ้น ซึ่งกาวนั้นอาจถือว่าเข้ามาตามยุคแล้ว แต่ชาวบ้านยังไม่นิยมนำมาใช้เพราะถ้าไม่มีความเข้าใจในการเอามาผสมทำเนื้อหาของพระก็คงทำกันได้ยากพอควร

    การกดสร้างพระขุนแผนครั้งนี้ จะไม่ใช่เรียกว่าชุดลองพิมพ์ที่เห็นกันตามท้องตลาดหรือในวงการที่ลูกศิษย์ใกล้ชิดจัดสรรกันไปแล้วนั่นเพราะมันมีมูลได้เล็งเห็นถึงผลประโยชน์ที่เข้ามา จึงจำเป็นต้องว่ากันไปตามบทเรื่องราวที่ผสมผะเสกันไปแบบเนื้อหาที่คลุมเครือ แต่ถ้าเอามาเล่าเป็นบทความจริงแล้วไม่มีใครรู้เห็นกันเลยกับพระชุดลองพิมพ์ที่เล่นหากันอยู่นี้ มีแต่ตัวละครอยู่คนเดียวเท่านั้นที่หยิบยกขึ้นมานอกนั้นจะเป็นตัวช่วยเสริมบทอีกที แบบเขียนในการประเมินให้ขายได้และยอมรับกับบทอิงกันเท่านั้น และมันก็เป็นเรื่องจริงที่คนทำเสริมออกมาก็ยังมีชีวิตอยู่กันในเวลานี้ ซึ่งลูกศิษย์ที่เอามาหลอกขายคงน่าจะเข้าใจดีกับการกระทำอะไรกันลงไปโดยไม่นึกถึงเหตุผลที่แท้จริงต่อไปในภายภาคหน้า

    พระขุนแผนนั้นตามความเป็นจริงแล้วทางวัดได้จัดสร้างเป็นพิมพ์ใหญ่ขึ้นมาก่อน ส่วนพิมพ์เล็กนั้น อ.ดุษฎีท่านได้ทำแม่พิมพ์มาทีหลังพร้อมกับพิมพ์ใหญ่ที่ได้เอาแม่พิมพ์มาตกแต่งกันใหม่ สมัยก่อนนี้เขาจะเรียกขุนแผนพิมพ์ใหญ่ว่าพระพุทธห้าเหลี่ยม ส่วนพิมพ์เล็กจะเรียกว่าพระห้าเหลี่ยมเล็ก หรือลูกศิษย์บางคนจะเรียกสมเด็จไร่วารีบ้างก็มี(คนละองค์กับพิมพ์สมเด็จพระประธานวัดไร่วารี)เพราะเราจะสังเกตว่าด้านหลังของพระพิมพ์เล็กนั้นจะแกะชื่อวัดว่า วัดไร่วารี ส่วนพิมพ์ใหญ่ด้านหลังจะแกะชื่อวัดเป็น วัดละหารไร่ ซึ่งจะเห็นว่าด้านหลังของแม่พิมพ์จะแกะชื่อวัดต่างกันไป

    ต่อมาเมื่อมีคนนำไปใช้ก็คงจะเกิดประสบการณ์กันมากมายหลายอย่าง แต่จุดประเด็นสำคัญขององค์พระเครื่องนั้นคงจะมีอานุภาพที่เด่นด้านในเรื่องของเสน่ห์หรือเมตตามหานิยมจนเกิดเป็นคำเลื่องลือกัน จากนั้นก็นำไปสู่ตามบทความคิดตามตำนานในเรื่องของขุนช้างขุนแผน โดยหยิบยกเอาขุนแผนตัวละครเอกของเรื่องที่มีอานุภาพฤทธิ์เดชอันเก่งกาจมากมายมีคาถาวิชาต่างๆที่เลื่องลือกัน อย่างเช่น คาถามหาละลวย วิชาคงกระพันชาตรี วิชามหาเสน่ห์ วิชาสะเดาะกลอน การเสกกุมารทอง การควบคุมผีพรายหรือโหงพรายตามความเชื่อและมีความสามารถความเสียสละในการออกรบปกป้องบ้านเมืองไม่ให้ตกเป็นเมืองขึ้นของอริราชศัตรู ประกอบกับคุณงามความดีที่ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความสื่อสัตย์สุจริตเห็นแก่ประโยชน์ของบ้านเมืองเหนือกว่าสิ่งอื่นใด ท่านเป็นทั้งนักรบที่เก่งกาจกล้าหาญ และเป็นนักรักที่น่าเคารพศรัทธา จึงทำให้บารมีชื่อของพระขุนแผนนั้นได้สถิตในหัวใจคนไทยเรื่อยมาตั้งแต่บรรพบุรุษกัน และสิ่งนี้จึงกำเนิดเกิดเป็นพระขุนแผนที่เรียกกล่าวเล่าขานตามความสามารถที่ครองตัวกันมา

    แต่ชื่อพระขุนแผนนั้นส่วนใหญ่ต่างจะได้ยินเป็นคำสรรพนามที่กล่าวขานกันว่า เป็นชายเจ้าชู้เพราะมีเสน่ห์และความมั่นใจตัวเองมีคารมคมคาย ฉลาดหลักแหลมและมีความขยันหมั่นเพียรจึงทำให้มีเสน่ห์กับหญิงสาวสามารถดึงดูดเพศตรงข้ามให้เกิดความหลงใหลได้ ทุกอย่างมันเป็นตำนานเรื่องเล่ากันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณในวรรณคดีจนเป็นความเชื่อถือกันมาตราบเท่ากันทุกวันนี้ ด้วยพระขุนแผนนั้นมีการสร้างมาด้วยพุทธศิลปะอันงดงาม มีพุทธคุณที่ปลุกเสกไว้จนเลิศล้ำคำบรรยายทั้งเมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์ ตลอดจน คงกระพันชาตรี ยากที่จะหาพระพิมพ์ใดเสมอเหมือนและเป็นที่นิยมกันมาก โดยรูปทรงแบบฉบับนี้ต่อมาจึงนิยมมีการสร้างตามชื่อชั้นในแบบพิมพ์ที่ทรงคุณค่าอย่างมากมายกับอานุภาพที่ร่ำลือกันและรูปทรงของพระห้าเหลี่ยมหลวงปู่ทิมนั้นมีแบบรูปทรงขับคล้ายกันกับพระขุนแผนทางสุพรรณที่เป็นแบบรูปทรงห้าเหลี่ยมเหมือนกัน และมีอานุภาพที่คงไม่ต่างกับพระขุนแผนกรุบ้านกร่างที่มีชื่อเสียงกันมากในยุคสมัยนั้นเลย จากวันเวลาที่ประจวบเหมาะและการคล้องจองกันกับอานุภาพที่ร่ำลือและรูปทรงที่มันเกรงขามจึงเป็นที่มาของการเรียกชื่อองค์พระขุนแผนพรายกุมารตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    ต่อมาก็ได้มีการตั้งชื่อเสียงเรียงนามเป็นพระขุนแผนพรายกุมารตามคำร่ำลือกันแทนพระห้าเหลี่ยมตามที่ชาวบ้านเขาเรียกกันมาแต่ก่อนไปเลย เพราะคนที่นำเอาวัตถุมงคลของหลวงปู่ทิมไปใช้ส่วนใหญ่จะพบกับอานุภาพทางด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด หรือมีพุทธคุณที่ครอบคลุมทุกด้าน นายสาย แก้วสว่างอดีตไวยาวัจกรท่านเล่าว่า หลวงปู่ทิมท่านจะสอนแนะให้ลูกศิษย์ที่นำวัตถุมงคลไปใช้จงมีจิตศรัทธาที่ถือกันให้มั่นเท่านั้น ไม่ต้องใช้คาถา มีแต่คำอาราธนาเวลาใช้ไปเท่านั้นพอ เพราะหลวงปู่ท่านไว้ทำสำเร็จแล้ว อยู่ที่เราจะนำใช้ไปกันอย่างไร ถึงแม้จะมีคาถาดีมีคุณวิเศษก็ตามที แต่จิตในการถือครองยังไม่มั่น มันก็ป่วยการที่จะใช้แล้วให้บังเกิดผลหรืออานุภาพใดๆได้เลย ซึ่งหลวงปู่ท่านจะเน้นย้ำมากในเรื่องแบบอย่างต่างๆที่จะบังเกิดผลจากตัวเราเองเพื่อเป็นองค์ประกอบให้มีความเชื่อถืออย่างมั่นใจกันได้
     
  15. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    การสร้างพระเครื่องของวัดละหารไร่ในยุคสมัยก่อนนั้น มีกันมาแต่ครั้งใด สร้างกันมาตั้งเมื่อไหร่ อย่างน้อยชาวบ้านในยุคเก่าที่เข้าออกอยู่กับวัดเสมอ เขาย่อมทราบกันดี ถึงแม้มันจะเป็นเหตุการณ์ที่มีระยะเวลาอันเนิ่นนานมาแล้วก็ตามที เพียงแค่ได้รู้ได้เห็นสามารถรับรู้ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในยุคช่วงจังหวะตอนใดก็ตามที การกระทำทุกสิ่งนั้นมีเหตุผลของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมีการอุปโลกน์สิ่งใดขึ้นมาเพื่อเป็นผลประโยชน์ที่เกลือกกล้ำต่อตัวเองหรือใครทั้งหลายที่จักต้องนำมาให้เชื่อถืออย่างไม่มีเหตุผลที่สมประกอบกัน เรื่องราวต่างๆของหลวงปู่ทิมแห่งวัดละหารไร่นั้นเป็นเรื่องราวดูเหมือนกับจิ๊กซอที่ต้องนำมาปะติปะต่อหรือการย้อนตำนานเรื่องราวกันให้เด่นชัดไม่ใช่เกิดจากการบิดเบือนหรือการเติมแต่งข้อมูลใดๆให้ลุ่มหลงกัน ซึ่งโดยตามความแท้จริงมันก็ไม่ได้มีอะไรที่พิสดารกันมากมายตามที่หลายคนคิด มีแต่เรื่องของความศรัทธาในสิ่งเดียวกันเท่านั้นและสิ่งที่เกิดเป็นอิทธิพลขึ้นมาได้คือแรงจิตศรัทธาที่มีแต่ความนับถือกับผู้คนที่เห็นความประจักษ์ต่อครูบาอาจารย์ที่ต่างก็นับถือกันอย่างมากล้นพูนทวี

    พระเครื่องและวัตถุมงคลต่างๆที่สร้างกันมานั้นเป็นจุดสำคัญอันกำเนิดเกิดขึ้นด้วยแรงศรัทธาต่อลูกศิษย์ลูกหาที่เคารพและนับถือกัน เมื่อมีการสร้างขึ้นมาเป็นรูปแบบที่มันยังไม่สร้างความมาตราฐานชัดเจนต่อวงการให้ต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เป็นการสร้างเพื่อความนับถือกับครูบาอาจารย์ต่อความเชื่อมั่นกัน และโดยการจัดสร้างนั้นยังไม่ถือการกำหนดราคาบูชากันขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์ที่ต่างยุคกัน และด้วยระยะเวลาที่มันนานกว่าวงการหนังสือหรือลูกศิษย์ในยุคหลังจะเข้าถึง จึงเป็นเหตุให้เกิดการรับรู้เรื่องราวในเรื่องของข้อมูลและข้อเท็จจริงต่างๆที่รับรู้กันไปในแต่ละยุค จนต้องเกิดความขัดแย้งกันขึ้นมากับเหตุผลหลายอย่างตามความเชื่อที่รับสืบทราบกันมา

    เราจะเห็นว่าชาวบ้านละหารไร่ที่เขาอยู่กันมาแต่เก่าแก่นั้น เรื่องราวสำคัญต่างๆจากในวัดที่เป็นเหตุการณ์ขึ้นมา ย่อมเป็นสิ่งที่ได้ประจักษ์และรับรู้ขึ้นมา อย่างน้อยมันก็ถือเป็นเรื่องราวจริงที่มันเกิดขึ้นมาอย่างหาเหตุผลได้ โดยไม่มีเงื่อนงำหรือเรื่องของผลประโยชน์เข้ามา สิ่งนี้ถือว่าสำคัญมาก

    ป้าทิม ซึ่งเป็นชาวบ้านละหารไร่โดยกำเนิด โดยตระกูลของป้าแกเป็นโยมวัดละหารไร่ทั้งสิ้น นับตั้งแต่ปู่แดง ซึ่งเป็นโยมวัดมาตั้งแต่รุ่นเก่าแก่(คนที่ช่วยหลวงปู่ทิมท่านปั้นพระประธานเนื้อดินดิบในโบสถ์ไม้เก่า) จนมาถึงโยมติ้น บิดาของป้าแก ซึ่งเป็นโยมวัดในรุ่นต่อมา ชาวบ้านในถิ่นนั้นเขาย่อมทราบกันดี ป้าทิมท่านเข้าออกวัดมาตั้งแต่เด็กได้ช่วยงานวัด และพอได้จดจำเห็นเรื่องราวต่างๆจากในวัดและอิริยาบถของหลวงปู่ที่พึงปฏิบัติ และพระเนื้อผงที่ทางวัดละหารไร่นั้นสร้างกันมาแต่ครั้งใด คงอาจจะรับทราบข้อมูลจากป้าแกได้บ้างว่าเรื่องราวการสร้างพระนั้นมันเป็นมาอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เคยเห็นทางวัดเขาสร้างทำกันอยู่ ลองชมคลิปกันดูนะครับ

    https://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=Fqsgd5pbT4I
     
  16. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    เมื่อกล่าวถึงหลวงปู่ทิม อิสริโกแห่งวัดละหารไร่ที่ท่านมีจิตน้อมปฎิบัติตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา อันมีจิตสนองเร้าต่อเหล่าสาธุชนผู้ศรัทธาร่วมทั้งหลายที่มากราบมนัสการแด่ท่านโดยให้ความระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าเป็นหลักคิดและแนวปฎิบัติคำสอนของพุทธศาสนาที่สืบทอดกันมามุ่งหวังเพื่อคติธรรมทางใจกันอย่างตั้งมั่น

    ครั้นเมื่อการสร้างพระเครื่องเพื่อให้เป็นแบบเอกลักษณ์ที่คุ้มครองใจคนนั้น หลวงปู่ท่านดำหริตามแบบรูปลักษณ์ของพระพุทธเจ้าเพื่อเป็นตัวแทนความหมายอนุสรณ์เตือนใจตนที่คงหยั่งยืนตลอดกาล แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปด้วยจิตศรัทธาน้อมรำลึกหลวงปู่ที่ท่านถือข้อปฎิบัติอย่างแน่วแน่และสิ่งที่กระทำอันเป็นผลดีตอบสนองต่อผู้คนจนมีชื่อเสียงกันล้นหลาม นายสาย แก้วสว่างซึ่งเป็นไวยาวัจกรของวัดและศิษย์ใกล้ชิดซึ่งพึงเห็นวัตรปฏิบัติอันกระทำอย่างแน่วแน่และด้วยความนับถือจากทุกผองชนที่เข้ามายังวัดละหารไร่ ด้วยเหตุจิตความศรัทธานั้นเองการกำหนดแบบสร้างจึงได้กำเนิดเป็นแม่พิมพ์ผงรูปเหมือนหลวงปู่ขึ้นมา ตามเจตนารมณ์การสร้างความน้อมรำลึกร่วมกัน

    ในยุคที่ทางวัดสร้างเป็นพระผงพิมพ์รูปเหมือนครั้งแรกนั้นคือในช่วงก่อนปีพ.ศ.2514 สมัยนั้นนายสายท่านแกะทำบล็อกแม่พิมพ์จากไม้และดิน โดยกำหนดตามแบบองค์หลวงปู่ท่าน ซึ่งก็ยังมีหลักฐานปรากฏอยู่ การกดสร้างในยุคแรกๆนั้นยังคงใช้สูตรเนื้อหาแบบดั้งเดิมที่ใช้กัน แต่ด้วยรายละเอียดของเนื้อพระยังไม่ค่อยมีความแน่นหนาหรือความกระชับในตัว เกิดความเปราะหรือแตกรานง่ายเมื่อเวลาแห้งตัว ประกอบกับพิมพ์ทรงแลดูใหญ่เกินความสะดวกในการแขวนใช้ จึงต้องยกเลิกพิมพ์นี้ไปหลังจากสร้างกันไปได้ในจำนวนหนึ่งที่ไม่มากพอ ในยุคต่อมาประมาณช่วงปลายปีพ.ศ.2515 นายสายท่านก็ได้แกะพิมพ์รูปเหมือนหลวงปู่ท่านขึ้นมาอีกครั้งตามแบบแนวพิสัยการคิดและจิตศรัทธาที่พ้องต้องกันอยู่

    แบบทรงรูปเหมือนพิมพ์ที่ชื่อว่า”พระเศียรโต”นี้นายสายท่านแกะตามองค์รูปเหมือนจริงในรูปลักษณ์ทรงสี่เหลี่ยมนั่งปางสมาธิมีซุ้มครอบองค์หลวงปู่ท่านอีกที โดยซุ้มครอบในความหมายจริงนั้นคือการกำหนดตามแบบซุ้มประตูวัดหรือซุ้มประตูโบสถ์ ดั่งมีความหมายการถือปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามหลักพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัดสมกับเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าที่ได้ดำเนินสืบทอดต่อกันมา แบบทรงที่แกะตามรูปแบบศิลป์นั้น โดยลักษณะทรงศีรษะของหลวงปู่ท่านจะแลดูใหญ่กว่าองค์รูปร่าง ต่างจึงเรียกกันเป็นพระหัวโตหรือพระพิมพ์เศียรโตตั้งแต่บัดนั้นกัน และถือเป็นแบบเอกลักษณ์ของวัดละหารไร่ที่ทรงคุณค่าไว้ แต่ลักษณะการสร้างทำนั้นมีการพัฒนาตกแต่งแม่พิมพ์กันไปอีกชั้นโดยใช้ปลายเหล็กแหลมเซาะแต่งให้มีรายละเอียดความชัดเจนตามรูปร่าง จากนั้นก็ได้กดสร้างทำตามแบบทรงและเนื้อหาที่เตรียมกัน ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ตามมุมมองของแต่ละคนที่เห็นไปตามลักษณะขององค์พระกับข้อแตกต่าง จึงต้องตกแต่งแม่พิมพ์กันไปเรื่อยเพื่อให้มีรายละเอียดความชัดเจนขึ้นตามมุมมองที่เห็น ซึ่งลักษณะการทำก็จะเหมือนแบบการสร้างพระขุนแผนพลายกุมารเช่นกัน

    เนื้อหาที่สร้างพระเนื้อผงพิมพ์เศียรโตนั้น ส่วนใหญ่แล้วเนื้อหาหลักที่ทางวัดสร้างทำในแต่ละครั้งจะออกเป็นโซนเนื้อขาวทั้งสิ้น แต่จะออกไปทางวรรณะใดนั้นขึ้นอยู่กับส่วนผสมการทำของผงที่นำมาใช้ในแต่ละครั้งมากน้อย และการนำว่านต่างๆมาผสมลงไปเพื่อให้มีพลังอานุภาพตามความเชื่อถือ โดยว่านต่างๆที่นำมาผสมนั้นมีมากมายหลายอย่างที่เราคงเพียงแต่ทราบกันอย่างคร่าวๆเท่านั้นเช่น ว่านเสน่ห์จันทร์ ว่านสาวหลง ว่านขัดตามอญ ขมิ้น หัวไพรฯลฯ ซึ่งเป็นแค่ตัวอย่างคำบอกเล่าจากบุคคลในวัดที่อยู่ในเหตุการณ์ โดยเหตุแท้จริงของการจัดหาว่านต่างๆนั้นหลวงปู่ทิมท่านจะเอ่ยกล่าวบอกสรรพคุณและอานุภาพวิเศษขึ้นมา เพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาเอามาตำและผสมสร้างพระตามแต่ละชนิดที่นำมาใช้ ฉะนั้นการสร้างพระเครื่องเนื้อผงที่สร้างทำในวัดเนื้อหาจึงมีมากมายหลายอย่างกัน

    ในครั้งนี้ผมได้นำพระเนื้อผงพิมพ์เศียรโตยุคแรก ( พิมพ์ซุ้มหนา ) มาลงให้ชมกัน โดยถือว่าเป็นพิมพ์แรกในการสร้างทำอย่างเป็นเอกลักษณ์ของวัดก่อนที่จะมีการตกแต่งแม่พิมพ์ขึ้นไปอีกชั้นตามลักษณะรูปแบบทรงเพื่อความคล้ายเหมือนอย่างที่สุด ซึ่งรูปแบบหน้าตาของพระผงเศียรโตชุดนี้อาจจะไม่ค่อยพบเห็นในวงการมาก่อนเพราะทางวัดไม่ได้ออกนำมาให้บูชากันเป็นที่แพร่หลาย อาจจะเห็นหรือเคยได้รับกันแค่ในหมู่ลูกศิษย์ลูกหาที่ใกล้ชิดกันเท่านั้น จึงน้อยมากที่วงการจะรับรู้เรื่องราวอันแท้จริง ซึ่งมันแน่นอนเหตุการณ์การสร้างพระเครื่องของวัดละหารไร่นั้นเป็นเรื่องราวที่ควรค่าแก่การศึกษาและติดตามกันอย่างแพร่หลายต่อไป

    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  17. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    เรื่องราวการบันทึกประวัติของหลวงปู่ทิม อิสริโกแห่งวัดละหารไร่นั้นเป็นเรื่องราวที่เล่าขานกันมานาน ผมได้พยายามศึกษาค้นคว้าจากโยมผู้เฒ่าผู้
    แก่ลูกศิษย์ลูกหาและชาวบ้านที่ได้เคยไปมาหาสู่ที่วัดกันซึ่งปัจจุบันที่ยังมีชีวิตนั้นก็ยังมีกันอยู่ โดยคำบอกเล่าที่สืบทอดกันหรือการบันทึกความทรงจำต่างๆที่เคยได้ยินได้ฟังกันมาหรือการเห็นประจักษ์กับตาสามารถเป็นประสบการณ์เรื่องเล่าที่ได้ถ่ายทอดสู่กันฟังเพื่อจะได้ทราบถึงครูบาอาจารย์ที่เรานับถือกันโดยการน้อมนำเอาคำสอนสั่งที่ดีที่เป็นประโยชน์หรือบทความบันทึกการถ่ายทอดบทเรียนจากครูบาอาจารย์ที่สามารถนำมาสื่อใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้เพื่อให้เป็นหนทางแห่งความเจริญก้าวหน้าของชีวิตที่ดีอย่างเป็นรูปแบบ ซึ่งหลวงปู่ทิม อิสริโกนั้นท่านถือเป็นหนึ่งในเกจิอาจารย์ทั้งหลายที่ถือเป็นแม่บทที่ดีที่สาธุชนผู้นับถือทั้งหลายสามารถยึดถือและเป็นแนวปฏิบัติตามหลักวิธีของพระพุทธศาสนา เราจะเห็นว่าความสุขนั้นอาจจะเป็นหนทางของการเกิดกิเลสได้คือเกิดความลุ่มหลงได้ถ้าไม่เข้าใจตามหลักของวิถีแห่งชีวิตได้ และบางครั้งความทุกข์หรือความลำบากนั้นก็อาจจะสามารถเป็นหนทางให้เกิดความเข้าใจหรือรู้จักความหมายอย่างลึกซึ้งของชีวิตนั้นได้ ฉะนั้นสิ่งสำคัญๆต่างๆที่ก้าวเข้ามาในสังคมชีวิตนั้นถือเป็นบทเรียนที่จะพัฒนาตนเองให้มีความเข้าใจหรือมีทัศนคติตามหลักปฏิบัติแห่งทิศทางของชีวิตให้ดำเนินต่อไปอย่างถูกต้องได้ "

    ในยุคสมัยก่อนนั้นใครที่เก่งกล้าวิชาอาคมหรือเก่งกาจในเรื่องใดๆของอาคมต่างๆ สามารถเรียนรู้วิชาอาคมใดๆได้แตกฉานเร็วคนในสมัยก่อนนั้นเขาจะเรียกยกย่องคนๆนั้นว่า”ไอ้เสือ “หรือ “ อ้ายเสือ “เป็นคำเรียกแทนนามกัน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสนั้นก็จะเรียกเปรียบเสมือนกัน อย่างในยุคสมัยก่อนนั้นเมื่อมีฆราวาสที่ห้าวหาญไปออกปล้นตามที่ต่างๆและศาสตราวุธใดๆนั้นไม่สามารถทำอันตรายได้ โดยที่มีอิทธิฤทธิ์ทางอยู่ยงคงกระพันก็จะเรียกผู้นั้นว่าไอ้เสือเหมือนกัน ซึ่งไม่ว่าจะมีคาถาอาคมที่ดีหรือการถือใช้เครื่องรางของขลังและการสักยันต์ที่นิยมกันในยุคนั้นมีอานุภาพที่ศักดิ์สิทธิ์สามารถรอดพ้นภยันตรายใดๆได้ก็จะเรียกดั่งเช่นเดียวกัน ซึ่งที่มาของคำว่า ไอ้เสือหรืออ้ายเสือนั้นคงเรียกกันตั้งแต่โบร่ำโบราณกันมาแล้ว ซึ่งคำว่าไอ้เสือนั้นเราอาจจะตีความหมายว่า ผู้เก่งกาจหรือผู้รอบรู้ หรือผู้มีสรรพวิชาดีในตัวก็ได้ เราจะเห็นว่าแม้กระทั่งหลวงปู่หิน ถาวโรแห่งวัดหนองสนมเกจิผู้เรืองนามยังให้การยอมรับกันกับอาคมและอำนาจจิตที่แก่กล้าของหลวงปู่ทิมแห่งวัดละหารไร่เมื่อครั้งตอนที่ได้มาต่อวิชาอาคมสายหลวงปู่สังเฒ่าข์แห่งวัดเก๋งจึนหรือวัดจัทรอุดม(ปัจจุบันคือรพ.ระยอง)และได้มาลองอาคมกันจนประจักษ์แก่ท่ามกลางสายตาความเด่นชัดขึ้นมากับหลวงพ่อหินและลูกศิษย์ของหลวงพ่อหินในยุคเก่าที่เล่าลือต่อกันมา

    ซึ่งวิชาอาคมใดๆนั้น การที่เกจิอาจารย์ต่างๆนำเอาตัวยันต์มาสร้าง ซึ่งตัวยันต์แต่ละตัวที่นำมาสร้างเป็นเครื่องรางนั้นจะต้องได้รับการศึกษาและเรียนรู้ถ่ายทอดจากอาจารย์จนมีความมั่นใจในตัวเองได้จึงจะสามารถนำมาสร้างให้มีอานุภาพอย่างเชื่อมั่น ในยุคสมัยก่อนนั้นการกำหนดตัวยันต์หรือการเรียกสูตรอักขระต่างๆนั้นจะพิถีพิถันหรือเคร่งครัดตามขั้นตอนมาก แม้กระทั่งวัสดุที่นำมาสร้างจะต้องกำหนดตามตำราโบราณหรือครูบาอาจารย์ที่ท่านได้กำหนดไว้ เพื่อผลของอานุภาพและความศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อถือกันได้ ผมจะขอยกตัวอย่างเช่นการสร้างผ้ายันต์พัดโบกโดยเมื่อครั้งที่หลวงปู่ทิมท่านไปเรียนกับหลวงปู่กราดแห่งวัดชากกอไผ่ โดยตามตำราการสร้างของครูบาอาจารย์กำหนดว่าตัวผ้าที่จะนำไปสร้างเป็นผ้ายันต์พัดโบกนั้นจะต้องใช้ผ้าห่อศพหรือผ้ามัดตราสังข์ จากนั้นต้องนำมาพลีหรือมาบังสุกุลอุทิศให้แก่ผู้ตายให้เสร็จเรียบร้อยจึงจะสามารถนำมาสร้างได้ จากนั้นจะต้องหาว่านต่างๆที่กำหนดไว้ในตำราการสร้างให้ครบแล้วนำมาผสมกันเป็นน้ำว่านหรือผสมกับหมึกแล้วนำมาลงอักขระยันต์บนผ้าที่เตรียมไว้ ซึ่งเวลาลงอักขระแต่ละตัวนั้นจะต้องว่าคาถากำกับทุกตัวและต้องกลึงอักขระของแต่ละตัวไว้ หลังจากนั้นต้องนำไปปลุกเสกในโบสถ์จนกว่าผ้ายันต์ที่เสกนั้นลอยหรือกระพือขึ้นมาก็แสดงว่าเป็นอันสำเร็จเรียบร้อย สามารถที่จะนำมาใช้ให้เกิดผลดั่งปรารถนาความต้องการได้ ซึ่งเป็นคำบอกเล่าของนายสาย แก้วสว่างศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่ทิมที่เมื่อครั้งหนึ่งหลวงปู่ท่านเคยสร้างมาผืนหนึ่งตามตำราการสร้างตามแบบที่เรียนมากับครูบาอาจารย์ของท่าน โดยมีวันหนึ่งหลวงปู่ท่านใช้ให้นายสายไปหาว่านต่างๆที่กำหนดขึ้นมาและที่สำคัญคือผ้าห่อศพ โดยวัสดุแต่ละอย่างนั้นนายสายตระเตรียมขึ้นมาให้ทั้งสิ้นตามเจตนาการสร้างของหลวงปู่ จากนั้นหลวงปู่ท่านก็นำไปทำพิธีเสกและเขียนยันต์ด้วยน้ำว่านในห้องของท่านเอง จากนั้นก็ต่อด้วยการนำไปเสกในโบสถ์เก่าอีกเจ็ดวันเจ็ดคืน โดยต้องปิดประตูโบสถ์ไว้ และต้องเสกจนกว่าผ้ายันต์นั้นลอยขึ้นมา ถ้ายังไม่ลอยถือว่าใช้ไม่ได้นายสายท่านเล่าว่าหลวงปู่ทิมท่านเสกในโบสถ์โดยไม่ออกมาเลยเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน และสามารถเสกจนผ้ายันต์นั้นลอยขึ้นมาเป็นที่ประจักษ์ตาแก่นายสายอยู่เพียงชั่วครั้งที่เห็น ซึ่งถือว่าสำเร็จแล้ว และเป็นการสร้างในยุคเก่าเพียงครั้งเดียวในยุค จากนั้นหลวงปู่ท่านก็มอบผ้ายันต์ผืนนั้นให้กับนายสายไป ซึ่งนายสายท่านเคยนำผ้ายันต์ไปให้เพื่อนลองใช้อยู่ครั้งหนึ่ง โดยให้อฐิษฐานตามเคล็ดลับที่หลวงปู่ท่านบอกผลปรากฏว่า ได้ผลอย่างเร็วมากขนาดกำลังไถนาถึงกับตามกันเลยทีเดียว แสดงให้เห็นผลถึงอานุภาพเมตตามหานิยมอย่างสูง ผ้ายันต์พัดโบกผืนดังกล่าวถือเป็นตำนานการสร้างอย่างหาคุณค่ายิ่ง โดยเฉพาะการใช้ผ้าห่อศพมาใช้ตามตำราการสร้างของหลวงปู่ทิมเมื่อครั้งในอดีตยุคเก่าที่ผ่านมา

    เราจะเห็นว่าการสร้างเครื่องรางของขลังไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสร้างกันให้ถูกต้องตามตำราที่กำหนดขึ้นมา ซึ่งเกจิในยุคนั้นเขาสามารถทำกันได้จริงด้วยอำนาจจิตที่มั่นและการเรียนรู้กันอย่างจริงจัง การที่จะนำไปใช้ให้เกิดผลได้นั้นก็จะต้องมีเคล็ดลับในการใช้หรืออยู่ที่จิตศรัทธาความเชื่อมั่นจึงจะมีผลตอบรับที่แน่นอน และเมื่อเกจิอาจารย์ในยุคเก่าที่เคร่งครัดในอาคมไสยเวทต่างก็ได้สิ้นยุคกันไปตามกาลเวลา เกจิอาจารย์ในยุคต่อมาที่ได้สืบทอดวิชาและสามารถที่จะทำให้เกิดอานุภาพให้เป็นดั่งที่อาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชานั้นได้ ก็คงจะต้องมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมากถึงจะสามารถทำให้เกิดผลได้เหมือนกับอาจารย์ที่ได้ถ่ายทอดวิชากันมา ซึ่งในปัจจุบันนี้นั้นอาจจะด้วยความเจริญของโลกมนุษย์ด้วยสรรพสิทธิ์ทั้งหลายที่ย่างก้าวเข้ามา ความสะดวกสบายหรือความกะทัดรัดเพื่อความรวดเร็วของเวลาที่ทุกวินาทีเพื่อความคุ้มค่าและประหยัดเวลา การสร้างวัตถุมงคลทั้งหลายจึงได้นิยมสร้างเครื่องรางของขลังกันในรูปแบบจำนวนที่มากหลายโดยจะใช้หลักการเป็นแบบรวบรัดตามบทคาถาไปหรือแบบพิธีปลุกเสกหมู่จากเกจิอาจารย์ผู้ปลุกเสกนั้นด้วยความสะดวกทันสมัย ทำให้วิธีการสร้างในแบบยุคโบราณนั้นค่อยๆสูญสิ้นกันไปตามกาลสมัย และจึงกลายเป็นตำนานเรื่องราวอันกล่าวขานกัน
     
  18. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    พระเนื้อขาวหลวงปู่ทิม อิสริโก มีความหมายดั่งที่ว่า คือการสร้างพระเครื่องเนื้อผงสีขาวที่เป็นเนื้อหาแก่นแท้หลักในการสร้างทำพระเครื่องเพื่อการก่อเกิดขึ้นมาของวัดละหารไร่ โดยมีนายสาย แก้วสว่าง ไวยาวัจกรเป็นผู้ริเริ่มการสร้างขึ้นมาเพื่อความศรัทธาดั่งทุกผองชนที่มีต่อหลวงปู่ทิมเกจิอริยะชื่อดังแห่งบ้านค่ายในยุคสมัยนั้นหลังจากสิ้นเกจิชื่อดังหลวงพ่อวงศ์แห่งวัดบ้านค่ายลงมา หลวงปู่ทิมท่านก็เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวขานกันมากขึ้น จาก”ช้างเผือกแห่งเมืองระยอง”ตามคำกล่าวของหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ และ”อ้ายเสือแห่งวัดไร่” คือคำกล่าวของหลวงพ่อหินวัดหนองสนมเกจิชื่อดังในยุคเก่าของเมืองระยองอีกท่านหนึ่ง ( คำหลังนี้เป็นคำกล่าวของปลัดเจริญ เพชรนครที่หลวงพ่อหินได้กล่าวไว้กับชาวบ้านค่ายที่มากราบสักการะกับท่าน )

    สำหรับวิถีการสร้างหรือการผสมทำของวัดละหารไร่ก็มาจากผงสีขาว อย่างเช่น การนำเอาดินสอพอง ผงชอล์กหรือผงปูนมาเป็นเนื้อหาหลักในการผสมทำพระเครื่องต่างๆของวัดขึ้นมา โดยผงที่หลวงปู่ทิมท่านลบไว้ก็มาจากผงสีขาวบริสุทธิ์ทั้งสิ้น ในยุคการสร้างพระในยุคนั้นไม่ได้มีเกณฑ์การตัดสินความเป็นมาตรฐานว่าจักต้องเป็นพิมพ์ใดที่ต้องยึดเอา สมัยนั้นเขาสร้างเพื่องานออกร่วมบุญ หรือการสร้างเพื่อการบูชาอย่างมีความหมาย แต่การสร้างในยุคนั้นต้องถือวิธีการทำให้ดีที่สุดแต่เป็นวิถีของชาวบ้านที่ไม่มีใครมีความรู้เรื่องการสร้างพระ จึงต้องมีการพัฒนาฝีมือกันไปตามแบบฉบับชาวบ้าน

    สำหรับเนื้อหาการสร้างมีหลายแบบที่ยังไม่ขอกล่าวถึงกับส่วนผสมการทำ เพราะมันคงยากที่จะยึดเอาเนื้อใดเป็นเนื้อหามาตรฐานการสร้างที่ชัดเจนเพราะการสร้างนั้นมีการทำที่หลายครั้งมาก เนื้อหาจะแก่หรืออ่อนก็อยู่ที่ตัวประสานเท่านั้นหรือการหมักอย่างได้ที่หรือไม่ได้ที่ก็ตาม แต่การสร้างในยุคสมัยแรกและยุคต่อมายังไม่มีกาว จะมีแค่บางรุ่นเท่านั้น และการนำเอาแลคเกอร์มาผสมกับผงทองในการทาพระเพื่อป้องกันการร่วนซุยของเนื้อหา ซึ่งบุคคลที่ช่วยสร้างในยุคนั้นเขาจะทราบเหตุการณ์ดีว่าเขาทำกันแบบไหน แม่พิมพ์เป็นยังไง ทำกันตรงไหน และใครที่เป็นหลักๆในการทำ อันนี้ถือว่าเป็นเกณฑ์สำคัญอย่างหนึ่งที่จะบ่งบอกกับการที่จะยกเอาใครขึ้นมาแอบอ้างการทำ เพราะมันคงมีคำถามอีกหลายอย่างที่ถูกกำหนดขึ้นและเป็นปัญหาภายหลังที่ตามมากับความจริงที่ต้องตอบขึ้นมาให้ได้ ยิ่งด้วยความจริงแล้วก็มีกันเพียงไม่กี่คนที่สร้างพระเครื่องในวัดละหารไร่อย่างเป็นหลักโดยเฉพาะพระขุนแผนพรายกุมารที่กำลังขึ้นชื่อ และบุคคลผู้นั้นก็ต้องเป็นพระและเณรในวัดเท่านั้น ซึ่งมันจะค้านความจริงในสิ่งนี้ไม่ได้เลย และมันก็เป็นเรื่องราวที่ชาวบ้านหรือใครๆในละแวกวัดเขาก็ทราบกันดีในเรื่องราวที่จริง ยิ่งในยุคสมัยนี้เมื่อพระเครื่องเนื้อผงโดยเฉพาะผงพรายในพิมพ์ต่างๆ มีชื่อเสียงอันโด่งดังในเรื่องของราคา และความศรัทธาอย่างยิ่งยวด การที่จะหาเนื้อหาข้อมูลความจริงการสร้างแบบย้อนตำนานก็ต้องหาให้ถูกหลักและถูกคน ถ้าไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ก็ได้แต่เนื้อหาที่ถูกบิดเบือนไป ทำให้ความจริงจึงไม่เกิดในทุกๆวันนี้
     
  19. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Prajean อ่านข้อความ
    เรียน อ. แก้วสว่าง ผมขอร่วมเสวนาด้วย เพราะการร่วมกันพิจารณาจะช่วยให้ได้ภาพรวมที่ชัดเจนจากในหลายด้าน เหมือนคนมองช้าง มองด้านหน้า ก็ให้ลักษณะช้างอย่างหนึ่ง มองด้านหลังก็อีกอย่างหนึ่ง พอมองหมดทุกด้านก็จะเห็นว่าช้างมันเป็นอย่างไร
    ตั้งแต่ปี 2503 การเดินทางเข้าไปวัดระหารไร่สะดวกแล้ว พ่อผมเช่ารถสองแถวไปกัน วิ่งเข้าไปถึงหน้าศาลาริมน้ำเลย ผู้คนเดินทางด้วยมอไซด์ และรถจักรยาน และทางโล่งเนื่องจากยังมีคนน้อยรถน้อย เวลานั้นรถสองแถวจะเป็น DATSUN หรือ TOYOPET ซึ่งก็คือ NISSUN และ TOYOTA ในปัจจุบัน
    ช่วงปี 2500 มีการตื่นตัวในการทำพระเครื่องกันมากทั่วประเทศเนื่องเป็นช่วงกึ่งพุทธกาล ทางราชการโฆษณาให้ประชาชนสนใจในพุทธศาสนาไปทั่วทุกตำบล หมู่บ้านทั่วประเทศ ดังนั้นวิธีการผลิตพระเครื่องเป็นที่แพร่หลายไปทั่วประเทศ การจะทำพระที่สวยงามไม่ใช่เรื่องลี้ลับอะไร โรงงานรับทำวิ่งหางานทั่วประเทศ
    แต่เนื่องจากหลวงปู่ทิมท่านไม่ยินดีที่จะทำพระเครื่องที่จะแสดงอิทธิฤทธิ์ แต่อย่างใด จึงยังมีแต่เพียงพระเนื้อขาวเป็นหลัก คนในพื้นที่รู้กันว่าถ้าจะใช้พระหลวงปู่ทิมให้ไปหยิบพระหลวงปู่ทาบ เพราะพระหลวงปู่ทาบก็คือพระหลวงปู่ทิม และพระหลวงปู่ทิมก็คือพระหลวงปู่ทาบ ผมเองตอนเด็กก็แขวนหลวงปู่ทาบและห้อยลูกอมหลวงปู่ทิม เพื่อนๆผมก็เหมือนกัน
    อยากจะบอกว่าพระเนื้อขาวไม่ใช่พระขุนแผน แต่ท่านที่มีพระเนื้อขาวอย่าได้เสียใจไปเลย เพราะเป็นพระหรือลูกอมที่สร้างขึ้นมาจากผงวิเศษของหลวงปู่จากการบริกรรมคาถา ซึ่งเป็นผงแห่งพลังในห่วงเวลาที่หลวงปู่มีปิติขั้นสูงสุดจึงอุดมไปด้วยบุญบารมีมีความร่มเย็นเป็นสุขยิ่ง จนกลายเป็นมณีวิเศษให้ได้ทุกอย่างที่อยากจะขอ เพียงแต่ผู้ครอบครองส่วนใหญ่ คิดถึงเพียงกุมารทองลูกอมมณีวิเศษท่านก็เลยแปรงร่างให้เป็นกุมารตามที่ต้องการ ทำไมท่านผู้ครอบครองไม่ลองขอให้ลูกอมวิเศษคือพระพรมผู้เปลี่ยนชะตาให้รุ่งโจน์ดูบ้าง เวลาได้งานดีๆก็ขอให้ลูกอมแปลงการเป็นหนุมาณชนะศึก เวลามีภัยก็ขอให้ลูกอมแปลงกายเป็นพระมหาอุดกำบังกาย หลวงปู่ท่านบอกแล้วว่าท่านเศกให้เป็นแก้วสารพัดนึก

    ยินดีต้อนรับครับคุณPrajean สำหรับเรื่องราวหลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ด้วยความจริงในย่างก้าวที่เราได้ศึกษากับเหตุผลเฉพาะสำหรับที่มา และความเป็นไปร่วมความศรัทธาหลวงปู่ อย่างหนึ่งที่เราต้องควรศึกษากันอย่างแน่แท้และมีเหตุผลนั่นคือ “ความจริง “ ความจริงที่ต้องใช้เหตุผลเข้าร่วมเพื่อความชัดเจนหรือความเป็นไปอย่างแน่แท้ จะเห็นว่าทุกวันนี้พระเครื่องของหลวงปู่ทิมนั้นมีราคาที่สูง ผิดไปกว่าแต่ก่อนมาก ด้วยบารมีของท่านเอง จนทำให้พระเครื่องเป็นที่นิยมไขว่คว้าหากันมาก แต่ในอีกรูปแบบหนึ่งเมื่อมันมีผลประโยชน์เรื่องราคาเข้ามา ความแปรเปลี่ยนจึงเริ่มเกิดขึ้น ซึ่งมันดูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยนะครับที่เกือบทั้งวงการมีการถกเถียงกันแบบข้างๆคูๆไปอย่างหาความชัดเจนกันไม่ได้ จนถึงทุกวันนี้ มีแต่ว่ากันในเรื่องของราคาวัตถุในแต่ละรุ่น
    เมื่อถ้าเราได้ศึกษากันดีๆกับชีวประวัติหลวงปู่ท่าน ท่านมีความเป็นอยู่อย่างไร สภาพแวดล้อมในตอนนั้นเป็นแบบไหน อิริยาบถต่างๆที่พึงปฏิบัติเป็นแบบใด ชาวบ้านในรุ่นเก่าและพระเณรในวัดที่ทันยุคย่อมทราบดีกัน แล้วสิ่งสำคัญที่จะต้องกล่าวถึงคือการสร้างวัตถุมงคลในวัดที่เขามีการสร้างแบบอย่างฉันใดกันมาก่อน เรื่องนี้ถือว่าสำคัญมากเพื่อเป็นเครื่องชี้วัดความถูกต้อง
    จะเห็นว่าในยุคแต่เก่าก่อนมา ก่อนที่กลุ่มสร้างพระจะเข้าไปสร้างพระ โดยเรื่องราวและเหตุการณ์สำคัญกันต่างๆที่ร่ำลือกันในวัด เรื่องนี้มีข้อเท็จจริงกันทั้งนั้นครับ ไม่ว่าจะเรื่อง ครกแตก ,ตำผงจนไฟลุกครก ,เรื่องของน้ำมันผีที่เอามาสร้างความขลัง, เรื่องความเฮี้ยนของผ้าคลุมหน้าศพอันร่ำลือ, ตำนานการทำผงพรายกุมารของหลวงปู่ ,ของอาถรรพ์กับความหมายผีตายวันเสาร์เผาวันอังคารหรือแม้กระทั่งปิดตานางพรายที่เป็นต้นกำเนิดเรื่องพราย ,การสอนธรรมของหลวงปู่ให้มีความหมายของประชาชีอย่างลึกซึ้ง,การเข้าใจถึงหลักแก่นแท้ของวัตถุมงคลที่หลวงปู่ทิมท่านได้เสกไว้อย่างเป็นความหมายอันถูกวิธี เรื่องราวเช่นนี้มีเหตุผลด้วยกันทั้งสิ้น อยู่ที่ความถูกต้องว่าจะเขียนเล่ากันไปอย่างไร สำหรับคนที่เล่าได้คงจะต้องเป็นบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์จริงเท่านั้น

    โดยเหตุการณ์ตามเหตุผลที่ยกมา คือตำนานอย่างหนึ่งที่ควรศึกษาและเข้าใจรับรู้กันอย่างถูกต้องกับเรื่องราวชีวประวัติอย่างหนึ่งของหลวงปู่ทิม อิสริโกที่ได้ดำเนินการต่อเนื่องกันมาจนเป็นเรื่องราวที่เล่าขานกันมาในทุกๆวันนี้................

    เรียน อ. แก้วสว่าง ถ้าเรารู้ว่าทำไมพระพุธห้าเหลี่ยมจึงแปรงร่างเป็นขุนแผนได้ มีคุณวิเศษใดจึงได้นามว่าขุนแผนที่ลือลั่น และก่อกำเนิดมาจากท่านใด และปรากฎขึ้นในโลกนี้เมื่อไร เราก็จะรู้คำตอบทั้งหมด
    ความจริง อ.แก้วสว่าง มีข้อมูลอยู่ในมือมากมายแล้ว ผมขอยกตัวอย่างข้อความที่ท่าน อ.แก้วสว่างเคยแสดงไว้ในกระทู้นี้ อาจจะยาวหน่อย แต่ผมคัดเฉพาะที่มีนัยสำคัญ
    “หลวงปู่ทิมท่านเคยเล่าเรื่องราวให้นายสาย แก้วสว่างฟังว่า ท่านได้เดินธุดงค์ในเขตเมืองบางปลาสร้อยและในพื้นที่เขตปริมณฑลใกล้เคียงในการสืบเสาะหาครูบาอาจารย์ต่างๆเพื่อการร่ำเรียนวิชาอาคมโดยในสมัยนั้นอาจจะไปโดยตามคำแนะนำหรือการมีชื่อเสียงกระฉ่อนตามคำร่ำลือกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงปู่ท่านได้พบกับฆราวาสผู้เรืองอาคมโดยฆราวาสผู้นั้นท่านสามารถมีอิทธิฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศ ดำดินและหายตัว โดยที่หลวงปู่ท่านก็ได้เห็นประจักษ์แก่ตาอย่างยิ่ง เมื่อเห็นดั่งเช่นนั้นแล้ว มีหรือที่ท่านจะไม่สนใจ หลวงปู่ท่านขอฝากตัวเป็นศิษย์ทันที หลวงปู่ทิมท่านยังเล่าว่า ฆราวาสนั้นสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ได้เต็มที่ไม่เหมือนกับพระที่จะไม่สามารถแสดงฤทธิ์อวดอ้างได้”
    “นายสาย แก้วสว่างลูกศิษย์ใกล้ชิดท่านเล่าว่า เมื่อครั้งหนึ่งหลวงปู่ทิมได้เอ่ยกล่าวถึงดินแดนลับแลแห่งตำนานเรื่องราวของป่าหิมพานต์ที่เป็นบทกล่าวอ้างถึงไว้ในวรรณคดี ซึ่งป่าหิมพานต์นี้เป็นสถานที่เปรียบดุจเหมือนอุทยานแห่งชาติของสวรรค์ในชั้นวิมาน โดยเรื่องราวต่างๆนั้นหลวงปู่ท่านกล่าวว่ามีจริงไม่ใช่เป็นเรื่องของนิยายเพ้อฝัน แต่มันเป็นดินแดนแห่งสุขาวดีตามบทวรรณคดีของเทพนิยายที่กล่าวกันมา หลวงปู่ทิมท่านเอ่ยกล่าวกับลูกศิษย์ใกล้ชิดถึงดินแดนมหัศจรรย์แห่งการจินตนาการในป่าหิมพานต์ แห่งนี้เป็นมิติที่ซับซ้อนซ่อนโลกที่อยู่ในโลกมนุษย์เรานี้เอง แต่ต้องเป็นคนที่มีบุญญาวาสนาหรือมีบารมีเท่านั้นถึงจะพบเห็นและเข้าไปได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องของการเพ้อฝัน ดังสิ่งที่เราเคยได้ยินได้ฟังมา แต่ไม่เคยเห็น ไม่เคยจับต้อง นั้นอาจไม่ได้แปลว่ามันไม่มีอยู่จริง เหมือนกับนรกสวรรค์ที่เป็นคำสอนของศาสนามาตั้งแต่สมัยพุทธกาล แต่ไม่เคยเห็นและยืนยันกันได้ว่ามีจริง นอกจากต้องละจากทางโลกนี้ไปแล้วหรือการใช้อำนาจจิตจากเกจิอาจารย์ผู้ทรงอภิญญาหรือผู้ที่สำเร็จฌานสมาบัติในการท่องไปในดินแดนแห่งอนาคตกาลเบื้องหน้า มีอยู่บทตอนหนึ่งหลวงปู่ท่านเอ่ยกับนายสายและลูกศิษย์ใกล้ชิดอีกสองสามคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน ว่าใครอยากไปท่องแดนสนธยาแห่งป่าหิมพานต์ดูต้นมักกะรีผลที่กล่าวกันในตำนานกันไหม! ซึ่งลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ต่างก็สนใจกันมากเพราะเป็นเรื่องเร้นลับที่ใครหลายคนอยากจะรู้กันว่ามันมีจริงตามที่กล่าวกันไว้ในวรรณคดีรึไม่ หลวงปู่ท่านก็บอกว่าท่านจะนำพาไปให้ ซึ่งลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ต่างก็หูผึ่งสนใจกันอย่างมากและตอบรับกันทุกคน เมื่อมีเรื่องราวเป็นเช่นนั้นแล้ว หลวงปู่ท่านก็ได้เอ่ยกล่าวกับศิษย์ว่า แต่มันมีข้อแม้อยู่ที่ว่า เราเพียรสร้างสะสมบุญกันมาเพียงพอรึยังที่จะเข้าไปในดินแดนแห่งนี้ ถึงแม้เราจะมีจิตสมาธิที่มั่นดีแล้วก็ตามที “นี่นำพาไปให้ได้” ซึ่งเป็นคำกล่าวของหลวงปู่ท่าน “ แต่ถ้าใครได้เห็นแล้วเกิดลุ่มหลงในจิตหรือตกในภวังค์ เมื่อได้เห็นสิ่งที่ต้องการแล้ว จิตอาจจะหลงทางและหาทางกลับมาไม่ได้นะ ถึงแม้นี่นำพาไปก็ช่วยไม่ได้ เมื่อได้ยินได้ฟังเช่นนี้แล้วมีศิษย์คนใดจะไปกันมั่งล่ะ ” ลูกศิษย์ที่ได้ฟังกันในขณะนั้นต่างก็เงียบกริบกันทุกคน เมื่อหลวงปู่ทิมท่านได้เอ่ยกล่าวสาธยายแบบนี้ แล้วทีนี้ใครล่ะจะกล้าไปกัน ลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ต่างก็อึมอัมๆกันหมด หลวงปู่ทิมท่านก็ไม่ว่ากระไรท่านก็ได้แต่นั่งยิ้มหัวเราะพร่ำๆตามประสาของท่านไป”

    ท่านบอกหมดเลย พระอาจารย์สายนี้ไม่สร้างพระเครื่องง่ายๆ เวลาสร้างครั้งใด ดังไปสามโลก
     
  20. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    สำหรับเหตุการณ์การสร้างพระขุนแผนพรายกุมารนั้น ผมเองไม่ขอเกริ่นกล่าวอะไรมากเพราะทุกๆวันนี้การได้รับสื่อต่างๆนั้นเป็นความเชื่อของแต่ละคนกันไปแล้ว มีอย่างหนึ่งที่จะขอเตือนใจกันไว้กับข้อมูลที่ให้ความถูกต้องก็คือ คนนั้นต้องอยู่ในเหตุการณ์การสร้างจริง และต้องเป็นที่ยอมรับกันทั้งหมดว่าอยู่ในเหตุการณ์สร้างตอนนั้น

    นายสาย แก้วสว่างไวยาวัจกรของวัดเป็นผู้ริเริ่มสร้างขุนแผนพลายกุมารขึ้นมา นับตั้งแต่การสร้างทำจากแม่พิมพ์บล็อกหินมีดโกน ซึ่งปัจจุบันของจริงๆขุนแผนบล็อกหินมีดโกนนั้นหายากมาก และน้อยคนนักที่จะเห็นของจริงๆที่ทางวัดสร้างกันไว้ในตอนนั้น ส่วนใหญ่จะเห็นกันเป็นรูปลักษณ์จากแม่พิมพ์ทองเหลืองที่ อ.ดุษฎีทำมาทั้งนั้น แล้วตีเหมาว่าเป็นบล็อกหินมีดโกนที่นายสายท่านแกะขึ้นมา ซึ่งทำให้ความจริงนั้นกล่าวผิดไป ซึ่งเราลองสังเกตุจากลักษณะการทำของบล็อกทองเหลืองและหินมีดโกนนั้นต่างกัน และลักษณะขององค์พระก็จะมีความแตกต่างกันจากเส้นสายรายละเอียดที่เห็นกันอย่างชัดเจนมาก

    ขุนแผนบล็อกทองเหลืองพิมพ์เล็กโดยตามหลักฐานข้อเท็จจริงนั้นจัดทำมาทีหลังพิมพ์ใหญ่ โดยแม่พิมพ์ดังกล่าว อ.ดุษฎีเป็นคนทำมาเช่นเดียวกันด้วยความที่มีขนาดขององค์พระเล็กกะทัดรัดเหมาะสำหรับใช้กับผู้หญิงและเด็ก จึงต้องมีการจัดทำขุนแผนเล็กตามมาทีหลังด้วย สำหรับขุนแผนพิมพ์เล็กนั้นตัวแม่พิมพ์นั้นด้านหลังจะมียันต์ห้าพร้อมมาด้วย ไม่เหมือนกับพิมพ์ใหญ่ที่ตอนเอามาครั้งแรกนั้นจะมีแค่ด้านหน้าด้านเดียว

    ขุนแผนที่กำเนิดสร้างขึ้นก่อนในครั้งแรกหรือการกดลองพิมพ์ใดๆ ทุกเนื้อหาการสร้างเกือบจะทุกคราวในรายละเอียดเนื้อหาหลักจะออกโซนขาวทั้งสิ้น ยกเว้นการสร้างโดยใช้สีฝุ่นทำโบสถ์มาผสมซึ่งเป็นการสร้างในช่วงเวลาต่อมา

    เรื่องราวการกดสร้างพระขุนแผนนั้นการสร้างจริงนั้นดูเหมือนจะซับซ้อนมาก เพราะทางวัดสร้างแบบพัฒนาพิมพ์ทรงและเนื้อหาของความแน่นตัวกันไปตามความเห็นชอบ โดยมีนายสาย แก้วสว่างไวยาวัจกรที่ถือเป็นหัวหน้าหลักสำคัญในการดำเนินการจัดสร้าง มีพระเณรในวัดเป็นผู้ร่วมช่วยกันทำ ซึ่งมีเหตุการณ์ในหลายขั้นตอนในการสร้างเพราะไม่ได้ทำในครั้งเดียว จึงดูเป็นความสับสนไป

    การสร้างพระเครื่องของวัดละหารไร่นั้น เมื่อมีการสร้างในบทครั้งแรกก็ย่อมมีการสร้างในครั้งต่อๆมาเพื่อให้มีความตระหนักของความเรียบร้อยแลให้ดูสวยงามเหมาะสมกับการบูชาของผู้ที่มาร่วมความศรัทธากับวัด เมื่อการกดครั้งแรกเนื้อหาและพิมพ์ทรงยังไม่มีความลงตัวประกอบกับการสร้างที่ไม่มีใครทำสูตรเนื้อหาให้ลงตัวได้ เพราะโดยส่วนใหญ่องค์พระเมื่อเวลาเซ็ตแห้งตัวเนื้อหาจะออกร่วนเกือบทั้งนั้น เพราะการสร้างขุนแผนช่วงตอนนั้นยังไม่มีการใช้กาวมาเป็นตัวผสาน ยกเว้นรุ่นที่นายครอกกดสร้าง

    ครั้งนี้ผมจะขอนำภาพขุนแผนเล็กที่สร้างในครั้งแรกจากแม่พิมพ์ทองเหลือง โดยทำกันในวัดซึ่งอาจจะถือว่าเป็นการกดลองพิมพ์ขึ้นมาก่อน เราจะสังเกตจากรูปทรงขององค์พระนั้นยังไม่มีการตกแต่งพิมพ์ใดๆ องค์พระยังมีขนาดที่เรียวเล็ก เนื้อหาจะยังไม่มีความคงตัว พิมพ์ที่กดอาจจะดูยังไม่มีความชัดเจนของเส้นสายรูปร่าง ทางวัดจึงต้องมีการตกแต่งแม่พิมพ์กันต่อไป ซึ่งมันเป็นเรื่องราวที่ติดตามกันได้กับยุคต่อมา...

    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...