เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อดีตนักข่าว “นิวส์ออฟเดอะเวิลด์” ยืนยัน “แฮ็กโทรศัพท์” เป็นเรื่องปกติ
    <TABLE style="WORD-SPACING: 0px; TEXT-TRANSFORM: none; TEXT-INDENT: 0px; FONT-FAMILY: 'Times New Roman'; LETTER-SPACING: normal; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); orphans: 2; widows: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=left><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>30 พฤศจิกายน 2554 11:20 น.</TD><TD vAlign=center align=left>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    พอล แม็คมุลแลน อดีตรองบรรณาธิการบทความพิเศษของ นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์
    เอเอฟพี - อดีตผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ ให้การต่อคณะไต่สวนอังกฤษกรณีการดักฟังโทรศัพท์ วานนี้(29)ว่า วิธีการดังกล่าวเป็นเรื่อง “รับได้” สำหรับสื่อมวลชน

    หลังจากที่กระบวนการสอบสวน “เลเวอสัน” เพื่อปฏิรูปสื่ออังกฤษทั้งระบบเริ่มหันมารับฟังมุมมองของสื่อมวลชนที่เกี่ยวข้อง ปรากฎว่า พอล แม็คมุลแลน อดีตผู้สื่อข่าวของ นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ ยังยืนยันหนักแน่นว่าการดักฟังโทรศัพท์เพื่อที่จะได้มาซึ่งข้อมูลเป็นวิธีที่ชอบธรรมแล้ว

    แม็คมุลแลน ซึ่งเคยเป็นรองบรรณาธิการบทความพิเศษของ นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ ระหว่างปี 1994-2001 ระบุว่า สาธารณชนอังกฤษคือผู้ที่จะตัดสินว่าอะไรคือสิ่งที่รับได้ และพวกเขาก็ซื้อ นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ ไปอ่านกันแล้วหลายล้านฉบับ

    “สิ่งที่ผมพยายามทำมาโดยตลอดคือเขียนข่าวตามความเป็นจริง และใช้ทุกช่องทางที่จำเป็นเพื่อให้ได้มาซึ่งความจริง” เขากล่าว

    “บางครั้งคุณอาจต้องก้าวล่วงเข้าไปในพื้นที่สีเทาบ้าง แต่ผมว่าเราควรจะได้รับการยกย่องมากกว่า เพราะพื้นที่ตรงนั้นมันอันตรายมาก”

    “ชีวิตผมต้องเผชิญความเสี่ยงหลายต่อหลายครั้งขณะอยู่บ้าน มันยิ่งกว่าอยู่กลางสนามรบเสียอีก ผมเคยถูกขู่ฆ่าอย่างน้อยเดือนละครั้ง ตลอด 15 ปีของการทำอาชีพนักข่าว”

    แม็คมุลเลน ยังตำหนิ 2 อดีตบรรณาธิการข่าว รีเบกาห์ บรูกส์ และ แอนดี้ โคลสัน ซึ่งต่อมาดำรงตำแหน่งโฆษกสำนักนายกฯ ที่ปฏิเสธไม่เคยรับรู้พฤติกรรมแฮ็กโทรศัพท์ของนักข่าวในสังกัด

    “พวกเขาควรกล้าพอที่จะพูดว่า ใช่! บางครั้งเราก็ต้องเข้าไปในพื้นที่สีเทา หรือแม้กระทั่งพื้นที่สีดำซึ่งเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ก็เพื่อประโยชน์สำหรับผู้อ่าน เพื่อสาธารณชน”

    “ที่ไหนได้... พวกเขากลับพูดว่า โอ... เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าพวกเขาทำอย่างนั้น”

    “พวกเขาก็แค่เศษสวะในแวดวงหนังสือพิมพ์ ที่พยายามโยนบาปให้ผมและเพื่อนนักข่าวคนอื่นๆ”

    แม็คมุลเลน เสริมว่า “การดักฟังโทรศัพท์เป็นวิธีที่รับได้อย่างแน่นอน เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่เราต้องเสียสละ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำไปเพื่อให้ได้มาซึ่งความจริง”

    “ผมเชื่อว่า ตอนที่จะลงมือดักฟังโทรศัพท์ คงไม่มีนักข่าวคนไหนรู้สึกว่าเรากำลังก่ออาชญากรรมหรอก”

    “ตลอด 21 ปีที่ผมก้าวล่วงเข้าไปในชีวิตส่วนตัวของคนอื่น ผมไม่เคยเห็นใครทำเรื่องดีๆเลย... ความเป็นส่วนตัวเป็นของเลว มันทำให้มนุษย์เผยด้านมืดของตัวเองออกมา ทำให้คนตีสองหน้า และเปิดโอกาสให้พวกเขาทำเรื่องชั่วร้าย”

    แม็คมุลเลน ยังเล่าถึงประสบการณ์ในอดีตที่เขาไล่ตามบุคคลสำคัญไปยังที่ต่างๆ จนกระทั่งการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงไดอานาช่วยเปิดโปงพฤติกรรมดังกล่าวของสื่อมวลชนให้โลกรับรู้

    “ต้องยอมรับว่า ผมชอบการไล่ตามคนดังนะ... ก่อนที่เจ้าหญิงไดอานาจะสิ้นพระชนม์มันเป็นเรื่องสนุกมาก คิดดูสิว่ามีอาชีพไหนบ้างที่คุณจะได้ขับรถไล่ตามคนอื่นด้วย? มันยอดเยี่ยมมากเลยล่ะ”

    นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ ซึ่งเป็นสื่อแท็บลอยด์ในเครือของ รูเพิร์ด เมอร์ด็อก ปิดตัวลงเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลังถูกสังคมอังกฤษรุมประณามพฤติกรรมดักฟังและดัดแปลงข้อความโทรศัพท์ของเด็กหญิงซึ่งถูกฆาตกรรม
    http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9540000152490



     
  2. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    แอบเข้ามาอ่านหาความรู้ กั๊บบบบ โป๊ม....
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อังกฤษนับถอยหลังชุมนุมใหญ่สุดใน 30 ปี คาดคนเกิน 2 ล. ร่วมค้านปฏิรูปบำนาญ
    <TABLE style="WORD-SPACING: 0px; TEXT-TRANSFORM: none; TEXT-INDENT: 0px; FONT-FAMILY: 'Times New Roman'; LETTER-SPACING: normal; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); orphans: 2; widows: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>30 พฤศจิกายน 2554 14:20 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    สหภาพมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยอังกฤษเตรียมป้ายประท้วง เข้าร่วมการชุมนุมผละงานประท้วงที่คาดหมายกันว่า จะมีผู้ชุมนุมเกินกว่า 2 ล้านคน และจะเป็นการชุมนุมครั้งใหญ่ที่สุดของอังกฤษในรอบ 30 ปี วันนี้ (30)
    เอเอฟพี/บีบีซีนิวส์ - แรงงานอังกฤษไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน เตรียมรวมพลังผละงานประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 30 ปี วันนี้ (30) เพื่อคัดค้านการปฏิรูประบบเงินบำนาญ ทั้งนี้ โรงเรียน โรงพยาบาล สนามบิน ท่าเรือ แม้กระทั่งสำนักงานของรัฐหลายแห่งอาจต้องปิดทำการชั่วคราว ขณะเจ้าหน้าที่พร้อมใจกันร่วมชุมนุม

    ทั่วทั้งอังกฤษโรงเรียนสังกัดรัฐบาล 90 เปอร์เซ็นต์ อาจปิดการเรียนการสอน ขยะอาจกองเกลื่อนถนนไม่มีคนเก็บ และโรงพยาบาลอาจเหลือเจ้าหน้าที่คอยให้บริหารไม่กี่คน เมื่อแรงงานทั่วประเทศจะร่วมผละงานประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดของอังกฤษในรอบ 3 ทศวรรษ

    [​IMG]
    ขณะเดียวกัน ผู้โดยสารของท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ หนึ่งในศูนย์กลางการสัญจรทางอากาศ ได้รับคำเตือนว่า อาจต้องเสียเวลารอรับการตรวจหนังสือเดินทางนานขึ้น เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็จะร่วมผละงานประท้วงในวันนี้เช่นกัน

    “ณ เวลานี้ เราประเมินว่า ผู้ที่มาจากประเทศนอกอียูอาจต้องถูกกักตัวไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง” บริษัทบีเอเอ ผู้ดำเนินกิจการท่าอากาศยานฮีทโธรว์ แถลงวานนี้ (29)

    ทั้งนี้ ตั้งแต่ชนะการเลือกตั้งปี 2010 การผละงานประท้วงใหญ่ครั้งนี้นับเป็นบททดสอบที่สาหัสที่สุดของนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน แห่งอังกฤษ หลังจากรัฐบาลของเขาจุดประเด็นความไม่พอใจแก่กลุ่มสหภาพแรงงาน ด้วยการเสนอยืดอายุการทำงาน และลดเบี้ยบำนาญหลังเกษียณอายุ

    ในแผนปฏิรูปเงินบำนาญของรัฐบาลอังกฤษ แรงงานอาจต้องทำงานไปจนถึงอายุ 66 ปี และจะต้องเสียเงินสมทบประกันสังคมเพิ่มขึ้น 2,800 ล้านปอนด์ (ประมาณ 136,000 ล้านบาท) ภายในปี 2014-2015

    นอกจากนี้ แรงงานจะได้รับเบี้ยบำนาญที่ต่ำกว่าเดิม โดยยึดหลักพิจารณาจากค่าแรงเฉลี่ยตลอดการทำงาน ต่างกับเงื่อนไขเดิมที่ยึดฐานค่าแรงช่วงสุดท้ายในชีวิตการทำงาน

    ด้านนายกรัฐมนตรีคาเมรอนได้ออกมาแสดงความเห็นประณามการผละงานประท้วงครั้งนี้ โดยโต้แย้งว่า รัฐบาลได้เสนอสิ่งที่สมเหตุสมผลแก่ภาคแรงงาน ในช่วงเวลาที่ต้องหาทางรัดเข็มขัดการเงินการคลัง เพื่อลดการขาดดุลงบประมาณของประเทศ

    “การประท้วงครั้งนี้จะไม่เห็นผลอะไร แต่กลับจะสร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจของประเทศ” เดวิด คาเมรอน ผู้นำรัฐบาลอังกฤษ กล่าวถึงการประท้วงไว้เมื่อวันจันทร์ (28)

    อย่างไรก็ตาม การนัดหมายผละงานประท้วงได้รับเสียงตอบรับจากสหภาพแรงงานสำคัญๆ ของอังกฤษทั้งหมด และเดฟ เพรนติส แกนนำสหภาพแรงงานยูนิซัน ประเมินไว้ว่า จะมีผู้ร่วมชุมนุมประมาณ 2.6 ล้านคน และกลายเป็นการชุมนุมครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ ตั้งแต่การผละงานประท้วงปี 1926

    อนึ่ง สายการบินบางบริษัทได้ยกเลิกเที่ยวบินเข้า-ออก ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ ในวันนี้ (30) ตัวอย่างความเสียหายที่เกิดขึ้น อาทิ สายการบินเวอร์จินแอตแลนติก ซึ่งเปิดเผยว่า มีลูกค้า 1,000 ราย ยกเลิกเที่ยวบิน เช่นเดียวกับสายการบินบริติชแอร์เวย์ ที่ยอมให้ลูกค้าเปลี่ยนเที่ยวบินวันนี้ได้ โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ส่วนสนามบินแห่งอื่นๆ ในอังกฤษคาดว่า จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

    Around the World - Manager Online -
     
  4. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,670
    ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์พุ่ง 490.05 จุดหลัง 6 แบงก์ชาติบรรเทาสภาพคล่องตึงตัว
    ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2554 06:25:14 น.
    ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแข็งแกร่งกว่า 4% เมื่อคืนนี้ (30 พ.ย.) ขานรับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางชั้นนำของโลกอีก 5 แห่งที่ประกาศใช้มาตรการบรรเทาภาวะตึงตัวในตลาดการเงินด้วยการลดอัตราดอก เบี้ยสว็อปสกุลเงินดอลลาร์ เพื่อให้ธุรกรรมการกู้ยืมไหลเวียนดีขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานของ ADP Employer Services ที่ระบุว่า ภาคเอกชนของสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 2 แสนตำแหน่งในเดือนพ.ย.

    ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 490.05 จุด หรือ 4.24% ปิดที่ 12,045.68 จุด ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 51.77 จุด หรือ 4.33% ปิดที่ 1,246.96 จุด และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 104.83 จุด หรือ 4.17% ปิดที่ 2,620.34 จุด

    สำนัก ข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นแข็งแกร่งขานรับรายงานที่ว่า เฟด พร้อมด้วยธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางอังกฤษ ธนาคารกลางแคนาดา ธนาคารกลางญี่ปุ่น และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศความร่วมมือในการใช้มาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อบรรเทาภาวะตึงตัวใน ระบบการเงินโลก ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสว็อปดัชนีข้ามคืน (OIS) ลง 0.5% โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค.นี้เป็นต้นไป

    อัตรา ดอกเบี้ย OIS เป็นอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระยะสั้นประเภทหนึ่ง ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจะช่วยให้รธุรกรรมการกู้ยืมเป็นไปอย่าง คล่องตัวมากขึ้น นอกจากนี้ ธนาคารกลางทั้ง 6 แห่งยังตกลงกันว่าจะขยายระยะเวลาบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 1 ก.พ. 2556

    เฟด ระบุว่า ความร่วมมือในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อบรรเทาภาวะตึงตัวในตลาดการเงิน และบรรเทาผลกระทบของภาวะดังกล่าวที่มีต่อการปล่อยสินเชื่อให้แก่ภาคครัว เรือนและภาคเอกชน การดำเนินการดังกล่าวจึงเป็นการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี

    ตลาด หุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนมากขึ้นหลังจากธนาคารกลางจีนประกาศลดสัดส่วนการ กันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลงอีก 0.5% โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค.นี้เช่นกัน ซึ่งถือการดำเนินการครั้งแรกในรอบประมาณ 3 ปี เพื่อผ่อนคลายภาวะสินเชื่อตึงตัวและเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

    นอก จากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากข่าวรัฐมนตรีคลังของ 17 ชาติสมาชิกยูโรโซน หรือยูโรกรุ๊ป มีมติให้เพิ่มขนาดทุนทรัพย์ให้กับกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) และข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ รวมถึงการจ้างงานในภาคเอกชน

    ADP Employer Services ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านตลาดแรงงานในสหรัฐ เปิดเผยว่า ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 206,000 ตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งถือว่ามากที่สุดในปีนี้

    การเพิ่มขึ้นของตัวเลขจ้างงานในภาค เอกชนทำให้นักลงทุนจับตาดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนพ.ย. ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในคืนวันศุกร์ตามเวลาไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 122,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ 9.0% ในเดือนพ.ย.

    หุ้น กลุ่มธนาคารทะยานขึ้นแข็งแกร่ง โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 7.3% หุ้นเจพีมอร์แกน เส แอนด์ โค ทะยานขึ้น 8.4% และหุ้นซิตี้กรุ๊ปพุ่งขึ้น 8.9% โดยหุ้นกลุ่มธนาคารปิดพุ่งขึ้น หลังจากที่ร่วงลงในระหว่างวัน อันเนื่องมาจากข่าวที่ว่าสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือธนาคารพาณิชย์รายใหญ่สุด 4 แห่งของสหรัฐ รวมถึงแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป, โกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์, ซิตี้กรุ๊ป อิงค์ และเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค

    หุ้นแคทเตอร์พิลลาร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับงานก่อสร้างและอุตสาหกรรมเหมืองแร่ พุ่งขึ้น 8.1% หุ้นยูเอส สตีล พุ่งขึ้น 15%

    ส่วนหุ้นเอเอ็มอาร์ คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของอเมริกัน แอร์ไลน์ส พลิกกลับมาปิดตลาดพุ่งขึ้น 23% หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันอังคาร อันเนื่องมาจากข่าวเอเอ็มอาร์ได้ยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์สินจากการล้มละลายต่อ ศาลในเมืองแมนฮัทตันของสหรัฐ

    นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่ สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย. ส่วนวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย.
     
  5. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,670
    เกิดอะไรขึ้น เมือธนาคารกลางทั่วโลกลดอัตราดอกเบียในวันเดียวกัน ร่วมทั้งประเทศไทยด้วย

    หรือคือสัญญาณ ล่อแมงเมา ก่อนเผาจริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2011
  6. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,670
    ตลาดหุ้นเอเชียพุ่งแรงเช้านี้ ขานรับเฟดและ 5 แบงก์ชาติใช้มาตรการเสริมสภาพคล่อง
    ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2554 09:00:12 น.
    ตลาด หุ้นเอเชียเปิดตลาดพุ่งขึ้นแข็งแกร่งในช่วงเช้าวันนี้ ขานรับธนาคารกลางสหรัฐและธนาคารกลางชั้นนำอีก 5 แห่งร่วมมือใช้มาตรการเพื่อคลายวิกฤตหนี้ยุโรป และสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

    ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิด วันนี้ที่ 8,581.20 จุด เพิ่มขึ้น 146.59 จุด ขณะที่ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 19,033.96 จุด เพิ่มขึ้น 1,044.61 จุด ส่วนดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นโซลเปิดวันนี้ที่ 1,911.50 จุด เพิ่มขึ้น 63.99 จุด ดัชนีเวทเต็ดตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 7,132.41 จุด เพิ่มขึ้น 228.29 จุด ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,486.92 จุด เพิ่มขึ้น 14.82 จุด ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดวันนี้ที่ 4,157.50 จุด เพิ่มขึ้น 37.70 จุด และดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,769.19 จุด เพิ่มขึ้น 66.73 จุด

    ดัชนี MSCI Asia Pacific พุ่ง 1.8% เมื่อเวลา 9.18 น.ตามเวลาท้องถิ่นในกรุงโตเกียว
    ธนาคาร กลางยุโรป ธนาคารกลางสหรัฐ ธนาคารกลางอังกฤษ ธนาคารกลางแคนาดา ธนาคารกลางญี่ปุ่น และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ร่วมมือกันบรรเทาภาวะตึงตัวในระบบการเงินโลก

    ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า ธนาคารทั้ง 6 แห่งเห็นพ้องต้องกันว่า จะลดอัตราดอกเบี้ยในการสวอปเงินดอลลาร์ลง 0.5% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 ธ.ค.นี้ และได้มีการตกลงกันว่าจะขยายระยะเวลาบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556

    <hr>
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ถ้ายุโรปเดี้ยง, ไทยที่ต้องซ่อมสร้าง จากมหาอุทกภัยจะโดนลูกหลงหนัก

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 1 ธันวาคม 2554 01:0

    กาแฟดำ



    ทั้งรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการแบงก์ชาติของไทย ได้เตือนไว้ล่วงหน้าว่า
    ปีใหม่ที่จะมาถึงนี้เศรษฐกิจโลกจะผันผวนวุ่นวายพอสมควร ดังนั้น, ประเทศไทยก็จะต้องเตรียมตั้งรับไว้ให้ดี เพราะหากพลาดพลั้ง, ยังไม่ฟื้นจากมหาอุทกภัย, มาเจอพายุบุแคมจากยุโรปกระหน่ำซ้ำเติมละก็, ไทยเรามีสิทธิจะโซซัดโซเซได้อย่างยิ่ง

    จีนเพิ่งประกาศครับว่าที่ยุโรปมาขอให้ช่วยอุ้มนั้น, เห็นทีจะลำบาก เพราะจีนเองก็มีปัญหาเศรษฐกิจของตัวเองที่ต้องแก้ไม่น้อย, ดังนั้น อย่าได้หวังว่าจีนจะสามารถเล่นบท “พระเอกขี่ม้าขาว” มาช่วยโลกตะวันตกเลย

    วันก่อน, เห็นนักวิเคราะห์จากฮ่องกงประกาศผ่านทาง CNBC อย่างฉาดฉานว่า
    “China cannot save Europe. Only Europe can save Europe.”
    หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ “จีนไม่สามารถช่วยยุโรปได้ ยุโรปเท่านั้นที่จะต้องช่วยยุโรป”
    ตัวใครตัวมัน, ว่างั้นเถอะ

    ครั้นยุโรปจะหันไปหาสหรัฐเพื่อนเก่าที่จะมาช่วยลากถูออกจากวิกฤติหนี้สินอันรุงรังก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมะกันเองก็เจอปัญหาหนักหน่วงของตัวเอง หากเอาตัวเองรอดได้ก็ต้องถือว่าเก่งกาจสามารถแล้ว

    และนี่เพิ่งมีคำเตือนจาก OECD (Organization for Economic Cooperation and Development) ซึ่งเป็นคล้ายๆ กับสโมสรประเทศรุ่มรวยทางอุตสาหกรรมซึ่งรวมถึงประเทศในยูโรโซนและสหรัฐ กับญี่ปุ่น ว่า น่ากลัวว่ายุโรปจะกำลังเดินเข้าสู่ “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” หรือ recession เพราะปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัวและอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงอย่างยิ่ง

    โออีซีดี บอกว่า เศรษฐกิจของประเทศในยูโรโซนทั้งหมดนั้นจะหดตัวในไตรมาสที่ 4 นี้ 1% และพอขึ้นปีหน้า, ไตรมาสแรกก็จะหดต่อเนื่องอีก 0.4%

    จะว่าไปแล้วยูโรโซนทั้ง 17 ประเทศนั้นก็ล้วนอยู่ในสถานภาพที่อ่อนแอทั้งนั้น ยกเว้นเยอรมันซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถต้านทานฤทธิ์ร้ายของวิกฤติหนี้ของประเทศในกลุ่มเดียวกันได้

    ใครต่อใครหันมาพึ่งเยอรมัน แต่เยอรมันก็กลัวว่าหากเข้ารับภาระหนักเกินเหตุ, ตัวเองก็จะพลอยพังพาบไปด้วย
    ที่กลัวกันขณะนี้ก็คือว่าหากอิตาลีหรือสเปนเกิด “เบี้ยวหนี้” ไม่จ่ายเจ้าหนี้ตามกำหนดการจ่ายที่ตกลงเอาไว้, ผลพวงที่จะตามมาจะกระเทือนไปทั่วโลกได้

    OECD เสนอว่าธนาคารกลางของยุโรปที่เรียกว่า European Central Bank (ECB) ควรจะลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพิ่มการซื้อพันธบัตรของรัฐบาลในยุโรปหลายประเทศที่กำลังมีปัญหาเรื่องที่อาจจะกลายเป็น “เอ็นพีแอล” หรือลูกหนี้ที่ต้องชักดาบเพราะไม่สามารถหาเงินมาจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยได้ตามกำหนด

    ถ้าธนาคารกลางยุโรปไม่ช่วยซื้อพันธบัตรของรัฐบาลเหล่านี้ และต้องอาศัยให้รัฐบาลอื่นหรือสถาบันการเงินทั่วโลกช่วยกันซื้อ ผลที่จะตามมาก็คือว่ารัฐบาลที่ออกพันธบัตรจะต้องเสียดอกเบี้ยเพื่อเอาใจลูกค้ามากขึ้น
    ยิ่งจนยิ่งต้องเสียดอกเบี้ยแพง...นี่คือสัจธรรมที่สร้างปัญหาเป็นวงจรอุบาทว์ไม่จบสิ้น

    ที่ผมกลัวก็คือว่าหากโรคร้ายนี้ระบาดไปในหมู่ประเทศยูโรโซนมากเข้า ท้ายที่สุดแม้ชาติแข็งแกร่งที่สุดในแถบนั้นอย่างเยอรมันก็เอาตัวไม่รอด

    และที่นายกฯ เยอรมันแองเกลา แมร์เคิล กับประธานาธิบดีซาร์โกซี พยายามจะจับมือกันเพื่อที่จะไม่ให้โรคร้ายนี้ระบาดไปทั่วก็จะพังพาบลงมา

    นั่นย่อมหมายถึงการถดถอยของเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    ข่าวอย่างนี้ทำให้หวาดเสียวสำหรับประเทศไทยเราเอง เพราะเราเพิ่งจะฟื้นจากภัยพิบัติธรรมชาติอันใหญ่หลวงและต้องหาเงินหาทองหลายแสนล้านบาทเพื่อฟื้นฟูและซ่อมแซม

    หากเศรษฐกิจโลกเกิดเดี้ยงขึ้นมาเพราะวิกฤติหนี้ยุโรป, เราก็จะเหนื่อยขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า
    “เอาอยู่” ไหมครับท่าน?
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ตลาดหุ้นคือมายา
    วิกฤติศรัทธาคือของจริง

    นโยบายช่วยเหลือต่างๆที่ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงก็ได้แค่ซื้อเวลาออกไป

    ปัญหาวิกฤติยูโรโซน เกิดจากโกลด์แมนแซกส์และธนาคารอื่น ๆ จัดการธุรกรรมเพื่อปกปิดระดับการกู้ยืมที่แท้จริง(ได้เงินจากรัฐบาลกรี๊ซ) เพื่อให้รัฐบาลกรี๊ซสามารถใช้จ่ายเงินได้เกินกว่ารายได้ แล้วเรื่องมันแดงขึ้นมาตอนปี53
    แก้ไขยังไงก็ไม่จบเพราะต้นตอของการทุจริตขาดธรรมาภิบาล มันยังอยู่
    แล้วถ้าไม่ใช่ที่รัฐบาลกรี๊ซที่เดียวล่ะ ถ้ามันเป็นไปอีกหลายๆที่ ที่ยังไม่ปูด
    ออกมา มาดูที่ระดับบุคคล ธนาคารหากินกับค่าธรรมเนียมโดยไม่ดูแลสุขภาพ
    การเงินของลูกค้า ปล่อยให้ลูกค้าใช้เงินเกินตัว ก่อหนี้ได้มากกว่ารายได้ 5เท่า
    เอารายได้ในอนาคตมาคำนวณ พอในอนาคตมันไม่ได้เป็นจริงขึ้นมาก็เน่า
    ธนาคารได้ดอกเบี้ยกับค่าธรรมเนียมอ้วนกันไป ก็ไม่ต่างกัน ถ้าลูกค้าโดนสูบ
    จนเสียสมดุลย์หาเงินไปจ่ายต้นกับดอกเบี้ยไม่ทัน ก็อาการเดียวกับรัฐบาลกรี๊ซ

    ถ้าธนาคารทุจริตทางนโยบาย ซะแล้ว แต่ไม่แก้ที่ต้นตอ ไปแก้ที่ลูกค้า
    ต่อไปลูกค้าก็จะเน่าลุกลามไปเรื่อยๆ เพราะลูกค้าที่มีกำลังให้สูบจะลดลง

    ถ้าใช้วิธีเบี้ยวหนี้ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย
    เจ้าหนี้และพวกธนาคารก็จะเป็นคนขาดทุนแทน

    ได้ยินมาว่า ที่อเมริกา ฝากเงินไม่ได้ดอกเบี้ยมา4ปีแล้ว
    แต่ที่ยุโรป ธนาคารกลางของชาติที่เครดิตไม่ดีจ่ายดอกเบี้ยกันแพงๆ ถึง 15%
    ไม่รู้ใครได้ดอกเบี้ยงามๆไป ถ้าถึงตอนที่ชักดาบก็คงถือว่าถัวกับที่รับทรัพย์ไปแล้ว
    นี่ก็จากการประเมินจากข่าวที่หาอ่านได้นะ ของจริงที่ปิดๆนี่ไม่รู้จะขนาดไหน
    อาการอาจจะหนักว่าวิกฤติต้มยำกุ้งปี40 ของเราอีกนะนี่
    เพราะมันเป็นวิกฤติภาคการเงินการธนาคารที่ทุจริตแล้วพยายามผลักภาระ
    ให้ภาคประชาชนชดใช้ ซึ่งมันก็เกิดจากผิดทั้งคู่แต่ภาคประชาชนรับกรรมอยู่
    ภาคธนาคารลอยตัว ธนาคารที่ล้มก็ล้มไป ที่ยังอยู่ก็ยังทำตัวแบบเดิมๆ

    ไม่รู้คิดถูกรึป่าวนะ ต้องรอดูความจริงกันต่อไป คงยื้อกันยาวไปถึงปีหน้า 2555
    วิกฤติยูโรโซนคงไม่ถึงจุดจบง่ายๆ เพราะยังยื้อกันได้อีกหลายยก ประชุมกันไป
    เรื่อยๆ จนกว่าจะหาเงินมาโปะไม่ไหวสุดท้าย สุดท้ายยุโรปอาจต้องพิมพ์แบงค์
    กงเต็กแข่งกับอังกฤษและอเมริกา
     
  9. highmask

    highmask สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +8
    ขอพูดเพิ่มเติมฮะ

    รัฐบาล อเมริกา กำลังเตรียมตัวทำให้ประเทศตัวเองเป็น police state ครับ

    หรือพูดง่ายๆ จาก Republic กลายเป็น Empire (เเบบ star wars) เหอะๆ ก็คล้ายๆอ่ะนะ

    รัฐบาลเป็นเเค่หุ่นเชิด ส่วนคนที่ควบคุมอยู่ก็คือ พวกกุล่มนายทุนใหญ่ๆ ที่วางระบบทั้งหมดไว้ ครับ




    ผมขอเเนะนำ Alex jones เเทน Glenn Beck เพราะเค้ามีไอเดียมาก่อน ทำเรื่องพวกนี้มานานกว่้า เเละ มีข้อมูลลึก กว่า Glenn beck พูดให้ดูอะไรง่ายๆเเละปนกับการโกหกเล็กๆน้อยๆเข้าไป
    ว่ากันว่า Glenn beck ก็อบปี้ Alex jones ด้วยซ้ำ

    Glenn beck มีผู้สนับสนุนรายใหญ่หลายรายอยู่
    เเต่ Alex jones ไม่มีครับเค้าได้รับการสนับสนุนจาก คนธรรมดาทั่วไปมากกว่า ครับ

    เเต่ก็ฟัง glenn beck ได้ครับเเเต่เค้าจะพยายามเป่าหูให้เราโยนความผิดไปที่ พวกหุ่นเชิด หรือ เเพะรับบาป สะมากกว่า

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=_KUvXp1tgNA"]Glenn Beck repackages Alex Jones' ideas - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=6OXKhbk4iJ4"]The Glenn Beck Secret - YouTube[/ame]



    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=S6MaDznrCqY"]Alex Jones - Webster Tarpley - Economic Crisis - August 8 2011 - part 1/2 - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=WSRDJzwhYWM"]Gerald Celente & Alex Jones: The House of Presstitution 1/2 - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2011
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ไทยแย่ลง!รั้งอันดับ 80ดัชนีความโปร่งใสโลก

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    วันที่ 1 ธันวาคม 2554 07:20


    [​IMG]



    ไทยติดอันดับ 80 ดัชนีความโปร่งใสโลกแย่ลงจากอันดับ 63เมื่อปีที่แล้ว นิวซีแลนด์ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ สวีเดน สิงคโปร์ ปลอดคอร์รัปชั่นมากสุด



    ทรานส์พาเรนท์ซี อินเตอร์เนชั่นแนล (ทีไอ) กลุ่มเฝ้าระวังต่อต้านการคอร์รัปชั่น ซึ่งมีฐานอยู่ในเบอร์ลิน ระบุว่า คอร์รัปชั่นจะบั่นทอนความพยายามต่างๆที่จะรับมือกับวิกฤติหนี้ในกลุ่มยูโรโซน ขณะที่ กรีซ และอิตาลี มีคะแนนติดกลุ่มประเทศที่มีการฉ้อฉลด้วยกลวิธีต่างๆมากที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของทีไอ

    "ความวุ่นวายทางเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซนที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลล้มเหลวในการแก้ปัญหาการจ่ายเงินใต้โต๊ะ และการหลีกเลี่ยงภาษี ที่เป็นตัวแปรหลักในการเกิดวิกฤติหนี้สาธารณะ"แถลงการณ์จากทีไอ ระบุ

    ทั้งนี้ การจัดอันดับ ซึ่งไล่ตั้งแต่ 0-10 (โดยคะแนน0 หมายถึงการคอร์รัปชั่นสูงมาก ขณะที่หากประเทศใดได้คะแนน 10 หมายถึงมีการคอร์รัปชั่นเพียงเล็กน้อย) อิตาลีได้คะแนน 3.9 และกรีซ ได้คะแนน 3.4 อยู่ในอันดับ 69 และ 80 ตามลำดับในการจัดอันดับครั้งนี้ซึ่งมีประเทศทั้งหมด 182 ประเทศ

    นางโรบิน โฮเดสส์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของทีไอ กล่าวว่า วิกฤติหนี้ในยูโรโซนสะท้อนถึง การบริหารจัดการทางการเงินที่ย่ำแย่ การขาดความโปร่งใส และการบริหารจัดการกองทุนสาธารณะที่ผิดพลาด

    "เมื่อปัญหาการคอร์รัปชั่นแพร่ระบาดไปทั่ว ผู้คนทุกระดับชั้นจะรู้สึกถึงผลกระทบแง่ลบต่อปัญหานี้อย่างทั่วโลก ซึ่งอิตาลีและกรีซ ต้องดำเนินการมากกว่านี้ในการต่อสู้กับปัญหาการคอร์รัปชั่น" นางโฮเดสส์ กล่าว

    นอกจากนี้ โซมาเลีย ที่บอบช้ำจากภัยสงคราม และเกาหลีเหนือก็ติดกลุ่มประเทศที่มีการคอร์รัปชั่นมากที่สุดของโลกด้วยคะแนนด้วยเช่นกัน 1.0 ส่วนอิรัก มีการปรับปรุงปัญหานี้ดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังติดกลุ่มมีคอร์รัปชั่นสูงโดยรั้งอันดับที่ 175 และอัฟกานิสถาน ที่ยังคงรั้งอันดับ 180 แม้มีความพยายามต่างๆที่จะสกัดกั้นการจ่ายเงินใต้โต๊ะและการคอร์รัปชั่นก็ตาม และลิเบีย อยู่ในอันดับ 168

    ส่วนกลุ่มประเทศ ที่มีการคอร์รัปชั่นน้อยที่สุด คือ นิวซีแลนด์ ได้คะแนน 9.5 ตามมาด้วย เดนมาร์ค ฟินแลนด์ สวีเดน และสิงคโปร์ ส่วนไทย ติดอันดับที่ 80ของโลก เทียบกับปีที่แล้ว ที่อยู่ในอันดับ 63 และอยู่ที่อันดับ 10 จาก 26 ประเทศในเอเชีย

    สำหรับประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้รับการจัดอันดับดัชนีความโปร่งใสในปี2554 มี พม่า (อันดับ180) กัมพูชา (164) ลาว (154) ฟิลิปปินส์ (129) เวียดนาม (112) อินโดนีเซีย (100) อินเดีย (95) จีน (75 ) มาเลเซีย (60) บรูไน (44) เกาหลีใต้ (43) ภูฎาน (38) และญี่ปุ่น (14)

     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ไม่ว่าจะเป็นใคร รัฐบาล ธนาคาร เอกชน บุคคลทั่วไป ถ้าจนตรอกและถูกบีบมากๆ
    ถูกกดดันมากๆ ถ้าทนต่อไปไม่ไหว มันก็ BOOM!!!
    ยิ่งถูกกดดันไว้เยอะ แรงสะท้อนกลับก็มาก
    น้ำหนักยิ่งมาก ผลสะเทือนก็ยิ่งมากตามไปด้วย

    ยอมรับความจริงกันแต่เนิ่นๆ ยังมีสิทธิ์รอด ดีกว่ายื้อไปแล้วไม่รอดไปตายตอนจบ
     
  12. highmask

    highmask สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +8
    คอรัปชั่น เเบบ ไม่รู้เเละโผนจากการตัดสิน ก็มีนะครับ

    เเล้วรู้ป่าวว่า Fedderal reserve bank (FED)อ่ะ จริงๆเเล้วเป็น Private Bank ไม่ใช้ Public Bank หรือ Bank ของ รัฐบาล


    บ้างคนอาจสงสัยว่า จะพูดถึงประเทศอื่นทำไหมนักหนา... เเต่เพราะไปประเทศมหาอำนาจนี้เเเลหะที่กำหนดชะตาโลก เราเป็นเเค่ประเทศโลกที่สาม ที่ค่อยบริการ, ทางผ่านการค้า เเละ เป็นที่ลงทุน ของประเทศอื่น



    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=OhZFYGFbTPA"]Economic Crisis 9 TRILLION Dollars Missing Federal Reserve - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=_rRqeJcuK-A"]2.3 TRillion Dollars Missing from DOD Day before 911 2001 Rumsfeld LIES - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2011
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันที่ 1 ธันวาคม 2554 00:10
    6 แบงก์ชาติโลกร่วมมือหนุนระบบการเงิน

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    [​IMG]

    แบงก์ชาติ 6 รายใหญ่สุดของโลก ผนึกกำลังจัดหาเงินทุนให้ภาคธนาคาร และหนุนระบบการเงินโลก ในความพยายามอย่างแรงกล้าแก้ปัญหาวิกฤติหนี้ยูโร

    ธนาคารกลางกลุ่มประเทศที่ใช้เงินยูโร แคนาดา อังกฤษ ญี่ปุ่น สหรัฐ และสวิตเซอร์แลนด์ ออกแถลงการณ์ร่วมเมื่อวันพุธ (30 พ.ย.) ว่า จะลดต้นทุนในการจัดหาเงินดอลลาร์ให้กับภาคธนาคาร การเคลื่อนไหวที่หนุนให้ดัชนีหุ้นทั่วโลกพุ่งแรง

    แถลงการณ์ระบุว่า ธนาคารกลางเหล่านี้ เห็นพ้องที่จะดำเนินมาตรการร่วมกัน เพื่อยกระดับความสามารถในการจัดหาสภาพคล่อง เพื่อสนับสนุนระบบการเงินโลก

    "เป้าหมายของการเคลื่อนไหวเหล่านี้ คือผ่อนคลายความตึงเครียดในตลาดการเงิน และกำจัดผลกระทบที่เกิดจากความตึงเครียดดังกล่าว ที่มีต่อการจัดหาสินเชื่อสำหรับครัวเรือน และภาคธุรกิจ และเพื่อช่วยเหลือกิจกรรมทางเศรษฐกิจ"

    มาตรการที่อยู่ภายใต้ข้อตกลง รวมถึง การเปิดทางให้ธนาคารกลางชาติต่างๆ ปล่อยกู้เงินดอลลาร์ให้กับธนาคารพาณิชย์ ที่อาจเจอความลำบากในการกู้ยืมโดยตรงจากธนาคารรายอื่นๆ และยังเป็นการเคลื่อนไหวที่มีเป้าหมายเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดอย่างหนักในตลาดอินเตอร์แบงก์ด้วย

    ธนาคารกลางทั้ง 6 ราย กล่าวด้วยว่า จะไม่เพียงแต่ลดดอกเบี้ยดำเนินงานลง 0.5% ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค.นี้เท่านั้น แต่จะขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 1 ก.พ. 2556

    นายมาซาอากิ ชิรากาวะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ชี้ว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่อให้ตลาดรู้สึกผ่อนคลาย แต่ก็เตือนว่า ยังไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาวิกฤติการเงินยุโรปได้ เป็นเพียงแค่การซื้อเวลาให้กับประเทศในยุโรป ในการปฏิรูปเศรษฐกิจ และการเงินของตัวเองเท่านั้น

    6 ầ
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันที่ 30 พฤศจิกายน 2554 19:
    อังกฤษป่วนหลังแรงงาน3ล้านประท้วงใหญ่


    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


    [​IMG]





    อังกฤษป่วนหลังแรงงาน3ล้านประท้วงใหญ่ครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี เพิ่มแรงกดดันรัฐบาลแดนผู้ดี
    สถานที่ให้บริการต่างๆทั่วประเทศอังกฤษปั่นป่วน หลังจากครู เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พร้อมใจกันนัดหยุดงานประท้วง รวมถึงพนักงานที่ทำงานแถวพรมแดนของอังกฤษ ถือเป็นครั้งแรกในอังกฤษในรอบกว่า 30 ปี และเป็นการเพิ่มแรงกดดันให้แก่รัฐบาลอังกฤษที่กำลังหาทางแก้ไขภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ

    ทั้งนี้ พนักงานในภาครัฐราว 3 ล้านคนกำลังประท้วงนโยบายปฏิรูปของรัฐบาลอังกฤษ โดยสหภาพแรงงานระบุว่า นโยบายดังกล่าวส่งผลให้พนักงานต้องจ่ายเงินมากยิ่งขึ้นสำหรับเงินบำนาญ และต้องทำงานเป็นเวลานานยิ่งขึ้น ก่อนที่จะสามารถเกษียณอายุได้

    ด้านรัฐบาลอังกฤษ ระบุว่า การปฏิรูประบบบำนาญ เป็นสิ่งจำเป็น ขณะที่ประชาชนมีอายุยืนยาวขึ้น และรัฐบาลไม่มีความสามารถเพียงพอในการจ่ายเงินบำนาญ

    การผละงานครั้งนี้ ถือเป็นการผละงานครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เหตุการณ์วินเทอร์ ออฟ ดิสคอนเทนท์ ในปี 2522ซึ่งมีส่วนช่วยให้นางมาร์กาเร็ต แธทเชอร์ ผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมได้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษในเวลาต่อมา

    สหภาพแรงงานได้จัดการชุมนุมประท้วงราว 1,000 แห่งทั่วอังกฤษโดยจะมีการตั้งขบวนประท้วงรอบอาคารรัฐบาลและโรงพยาบาลด้วย

    นอกจากนี้ การผละงานยังส่งผลกระทบต่อการให้บริการต่างๆ ซึ่งรวมถึงบริการทางการแพทย์ การเก็บขยะ และการจัดเก็บภาษี และจะส่งผลให้มีการปิดโรงเรียน อีกทั้งการผละงานของเจ้าหน้าที่ควบคุมพรมแดน จะก่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายตามชายฝั่งและท่าอากาศยาน

     
  15. highmask

    highmask สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +8
    ก็พวก เเบงค์ รายใหญ่ต่างๆ มันเป็นเหมือน แวมไพร์ นี้เเลหะ
    ให้กู้เงิน ที่ไม่สามารถ จ่ายกลับได้ง่ายๆ
    เหตุเกิดก็เพราะพวก เเบงค์ คนที่จะมาช่วยก็ คือ พวกเเบงค์

    the fact that the United States as well as other countries across the globe have been deliberately maneuvered into the current economic crisis we are all in by the 6 international mega banks and the globalist, eugenicist monopoly men who own them by manipulating governments to sign us all onto the $1.5 quadrillion in derivatives they have fraudulently created that we don't even owe. The $1.5 quadrillion is more than all the money that actually exists on the planet and therefore can never be repaid. It is an ingenious planned design of collapse to permanently hold us captive with a debt that is impossible to ever payoff to banks and corporations which are too big to fail.
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    กูเกิลแปล...
    ความจริงที่ว่าประเทศสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกที่ได้รับการ maneuvered จงใจสู่วิกฤติเศรษฐกิจในปัจจุบันที่เรามีทั้งหมดในวันที่ 6 โดยธนาคารเมกะสากลและ globalist ที่ผู้ชาย eugenicist ผูกขาดที่พวกเขาเองโดยจัดการกับรัฐบาลในการลงชื่อเข้าใช้เราทุกคน เข้าสู่ quadrillion $ 1.5 ในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่พวกเขาได้สร้างฉ้อฉลที่เราไม่ได้เป็นหนี้ quadrillion $ 1.5 เป็นมากกว่าเงินทั้งหมดที่มีอยู่จริงในโลกและดังนั้นจึงไม่สามารถชำระคืน มันคือการออกแบบวางแผนแยบยลของการล่มสลายอย่างถาวรถือเป็นเชลยเรากับหนี้ที่เป็นไปไม่ได้ที่เคยจ่ายให้แก่ธนาคารและ บริษัท ที่มีขนาดใหญ่เกินไปที่จะล้มเหลว

    :'(
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    หลายคน คงเคยมีประสบการณ์ ถูกโทร.ตามตื๊อขอให้ช่วยรับกู้เงินหน่อย!!!
    เป็นมาหลายปีแล้ว ใครใจอ่อนก็ทำงานจ่ายดอกเบี้ยเลี้ยงธนาคารและบริษัทให้กู้ อ่วมกันไป
    มีทั้งให้กู้ไปท่องเที่ยวต่างประเทศ กู้ไปเล่นหุ้นซื้อทอง กู้ไปช้อปปิ้ง กู้ๆๆๆๆๆ
    จำเป็นหรือไม่จำเป็นก็กู้ได้ :'(
    กู้แล้วได้ของขวัญล่อใจ กู้แล้วจ่ายดอกเบี้ยกันอานไป
    กลายเป็นผู้เลี้ยงดูธนาคารและพนักงานแบบไม่ได้ตั้งใจ
    ไม่รู้ใครเป็นคนต้นคิดการปล่อยกู้รูปแบบนี้นะ จำได้ว่าสมัยก่อนกู้แบงค์ยากจะตาย
    แต่เดี๋ยวนี้ อาชีพอะไรๆก็กู้ได้ทั้งนั้น ไม่ต้องมีหลักประกันอีกตะหาก เดี๋ยวนี้ไม่ต้องมีสลิปเงินเดือนก็กู้ได้
    เรียกว่า จงใจและเจตนาพากันไปลงหลุมวิกฤติการเงินเลยนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2011
  18. highmask

    highmask สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +8
    คือผมอยากจะสรุปว่า

    เงินเเละอำนาจ จะไปอยู่กับ กลุ่มคนส่วนน้อย เเละ เอาไปลงทุน กับ รัฐบาลหุ่นเชิด

    เเละก็กลายเป็น มหาการควมคุมครั้งใหม่ ของ คนกลุ่มน้อยกลุ่มนี้....


    ต่อมา .. พวกเค้าต้องการ การควบคุมโดยสิ้นเชิงโดย ค่อยๆตั้ง police state ไปที่ละนิดๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2011
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อาศัยการปล่อยกู้ ปล่อยเครดิตให้
    เพื่อเข้าไปครอบงำและยึดครองทรัพย์สิน ยึดประเทศ ในภายหลัง
    คนที่เป็นเจ้าของธนาคารคือเอกชนกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่รัฐบาลหรือประชาชนทั่วไป
    เจ้าของ FED ธนาคารกลางของอเมริกา ก็คือ เอกชนกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่รัฐบาล
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553


    หลายวันก่อนมีโอกาสได้คลิกเข้าไปดูเวบที่มีการโพสต์เกี่ยวกับวิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐบ้างครับ มีเรื่องนึงที่น่าสนใจมาก แต่คนรู้กลับมีน้อย นั่นก็คือ "ทองคำสำรอง 8,000 ตัน" ของสหรัฐ ผมจะเขียนเรื่องนี้ในอีกมุมมองหนึ่งซึ่งคุณอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่สิ่งนี้อาจจะทำให้คุณเกิดมุมมองใหม่ แล้วเห็นอะไรชัดเจนขึ้นครับ ผมอ่านบทความของนักวิชาการหลายๆท่านที่เขียนถึง fundamental หรือจะเรียกว่าโครงสร้างพื้นฐาน แต่ผมจะเรียกง่ายๆ ว่า "ใส้ใน" ของสหรัฐก็เแล้วกันครับ

    หนึ่งในความเชื่อมั่นที่โลกใบนี้มีต่อสหรัฐก็คือ ทองคำสำรอง 8,000 ตัน ที่สหรัฐ "ไม่เคย" อ้างว่าถือครองอยู่ แต่ทั่วโลกกลับยึดถือตัวเลขนี้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลกครับ แต่.......


    ถ้าลองศึกษาประวัติศาสตร์การกำเนิดของ Federal Reserve หรือ ธนาคารกลางสหรัฐ ในปี 1912-1913 และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นมาจนถึง ปี 1928-1932 คือช่วงปีที่เกิด The Great Depression เลยไปจนถึงอีกช่วงหนึ่งคือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939-1945 ในด้านเศรษฐกิจของสหรัฐ ทำให้เข้าถึงข้อมูลบางอย่างซึ่งทั้งหมดคือเรื่องเดียวกันและต่อเนื่องกันครับคือ

    ทองคำจำนวน 8,000 ตันนี้ "อาจจะ" ยังอยู่ในสหรัฐ แต่ความจริงคือ เจ้าของ "ไม่ใช่" รัฐบาลสหรัฐหรือประเทศอเมริกาครับ

    หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ความเป็นมหาอำนาจของโลกถูกเคลื่อนมายังประเทศสหรัฐ โดยกลุ่มทุนเดิมคือกลุ่มนายธนาคารสากล หรือ International Banker ที่มีฐานอยู่ในประเทศอังกฤษและยุโรปเกือบทั้งหมดครับ จนกระทั่งในช่วงคริสมาสของปี 1913 สหรัฐผ่านกฏหมาย Federal Reserve Act ก็คือการจัดตั้ง Federal Reserve, CIA และ IRS ในคราเดียว องค์กรทั้ง 3 นี้ถูกจัดตั้งขึ้นมา โดยการยัดเยียดจากกลุ่มนายธนาคารสัญชาติยุโรปเหล่านั้น ประวัติศาสตร์ในช่วงนี้คงพอจะทราบกันดีครับจากที่ผมเขียนไปแล้วครั้งหนึ่ง นานพอสมควรครับ

    หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สหรัฐอเมริกา เข้มแข็ง และยิ่งใหญ่ในทุกๆ ด้านครับ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การคลัง และเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก แต่หลังจากการจัดตั้ง Federal Reserve ขึ้นมาเป็น "กาฝาก" ในระบบการเงินและเศรษฐกิจแล้ว "หายนะ" ทั้งหลายก็เริ่มก่อตัวขึ้นครับ เพราะจุดประสงค์จริงๆ ของนายธนาคารสัญชาติยุโรปเหล่านั้นก็คือ การเข้ายึดครองระบบเศรษฐกิจ การเงิน และประเทศสหรัฐอเมริกาในที่สุด

    พวกเค้าทำสำเร็จครับ โดยการควบคุมระบบการเงินการธนาคารซึ่งเปรียบได้กับเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงประเทศอเมริกาโดยรวม โดยมีการควบคุมปริมาณเงินและดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือ และด้วยสิ่งนี้เองที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของสหรัฐและของโลกนั่นก็คือ "The Great Depression" ซึ่งทำให้สหรัฐอยู่ในสภาวะล้มละลายทางงบประมาณและการคลัง ในสภาพเดียวกับที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ครับ (แต่ทองคำสำรองยังมีอยู่ในมือ ณ ขณะนั้น) เช่นเดียวกัน การที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศได้ต้องกู้ยืมเงินจำนวนมหาศาลเพื่ออัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ หรือที่ถูกเรียกว่า " The New Deal " คำถามคือเงินจำนวนมหาศาลเหล่านั้นมากจากไหน ในขณะที่สหรัฐเองเป็นมหาอำนาจใหม่ และถือครองทองคำมากที่สุดในโลก

    คำตอบก็ Federal Reserve นั่นเองครับ การจัดตั้ง Federal Reserve ในทางกฏหมายแล้วไม่ได้มีสถานะเป็นรัฐ หรือเป็นหน่วยงานของรัฐ เพียงแต่ให้ "บริษัทเอกชน" แห่งนี้มีหน้าที่ควบคุมดูแลการจัดพิมพ์ธนบัตร กระแสเงินสด และดอกเบี้ย ซึ่งจริงๆแล้วทั้งหมดนี้รัฐบาลสหรัฐสามารถที่จะทำเองได้ทั้งหมดเหมือนนาๆ ประเทศ เช่นประเทศไทยเป็นต้น แต่การผ่าน Federal Reserve Act ในครั้งนั้นอย่างที่บอกครับว่าเป็นการ "ยัดเยียด" โดยสิ้นเชิง โดยความร่วมมือระหว่างนายธนาคารข้ามชาติและนักการเมืองที่ถูกกว้านซื้อในสภาคองเกรส

    หลังจากการที่ใช้เงินกู้จาก FED แล้ว ก็ต้องใช้คืนเค้าสิครับ ก็คือทองคำทั้งหมดที่สหรัฐนั่นแหละครับ ที่ราคา 35 ดอลล่าต่อออนซ์ และขั้นตอนทั้งหมดก็ถูกควบคุมโดย FED, นักการเมือง และประธานาธิบดีในสมัยนั้น ก็คือ "ทองหมด" ครับ เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ที่ไปเอาตัวเลขเหล่านี้มา ยกมาได้ครับ แต่ในความเป็นจริง ทองคำเหล่านี้ ซึ่ง "อุปโลก" ว่ายังมีอยู่ และเก็บอยู่ที่ฟอร์ทน๊อก ไม่ได้มีการ Audit หรือตรวจสอบจากหน่วยงานใดๆ แม้แต่หน่วยงานเดียวของโลกตั้งแต่ ทศวรรษที่ 50 เป็นต้นมา แต่กลับมีทองคำสำรองเก็บไว้จำนวนมหาศาลที่ สำนักงานของ FED สาขานิวยอร์ค ซึ่งก็คงมีคนจำนวนมากที่สงสัยแต่ใครล่ะจะไปถาม นั่นคือประเด็นมากกว่าครับ

    [​IMG]
    หลังจากที่หมดตัวแล้วสหรัฐก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดครับ เพราะครั้งที่แล้วที่ร่ำรวยมาได้ก็เพราะสงครามโลกครั้งที่ 1 เพราะฉะนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็คือ "คำตอบ" ของปัญหาครับ เป็นแบบ Win Win Solution คือทุกฝ่ายได้ประโยชน์ คือสหรัฐก็ได้ทำมาหากินฟื้นฟูเศรษฐกิจจากสงคราม ฮิตเล่อร์ก็ได้ลุ้นทวงตำแหน่งคืน พวกไซออนนิสแบงค์เกอร์เหล่านี้ก็ได้ปล่อยกู้ทั้ง 2 ฝ่าย โดยที่กลุ่มธนาคารกลางยุโรปก็คือกลุ่มเดียวกันที่เป็นเจ้าของ FED สนับสนุนเงินทุนให้ฮิตเล่อร์ทั้งหมดในการเคลื่อนไหวในยุโรป เพื่อช่วยฮิตเล่อร์ทวงสิ่งที่พวกเค้าสูญเสียไปในสงครามโลกครั้งที่ 1 คืนมา และนี่ก็คือจุดกำเนิดของสงครามโลกครั้งที่ 2 ครับ แต่จะให้เป็นสงครามโลกได้อย่างไหร่ถ้าแค่พรรคนาซีเยอรมันรบกับสหรัฐอเมริกา

    ในอีกฟากโลกหนึ่งคือเอเซียแปซิฟิก ญี่ปุ่นบุกโจมตีสหรัฐ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงครับ แต่อะไรที่ทำให้ให้ญี่ปุ่นตัดสินใจบุกสหรัฐ ซึ่งน้อยคนที่จะทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไม "ตัวหมัดถึงกล้าลุกไปต่อยกับช้าง" ก็เพราะสหรัฐเจ้าเก่าแทรกซึมและบ่อนทำลายเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอย่างย่อยยับก่อนนั่นเองครับ ซึ่งทั้งหมดก็คือแผนการที่ถูกวางไว้ก่อนแล้ว จนปัจจัยต่างๆเหล่านี้ผลักดันให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในที่สุด

    ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวหรือประวัติศาสตร์ ที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือเล่มต่างๆ และเก็บอยู่ในห้องสมุดที่หาอ่านได้ทั่วไป หรือแม้ในกระทั่งอินเตอร์เน็ตครับ.......

    และยังมีโศกนาฏกรรมอีกมากมายที่ก่อขึ้นโดยคนกลุ่มนี้หรือ International Banker ตั้งแต่ปี 1913 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็น สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม การลอบสังหารบุคคลสำคัญต่างๆ การล้มอเมริกาในรอบแรกด้วย "หนี้" โครงการสตาวอร์ โครงการอวกาศต่างๆ ทั้งหมดถูกจัดฉากขึ้นเพื่อให้สหรัฐ "กู้เงิน" ให้มากที่สุดครับ แล้วสุดท้ายก็จบลงด้วยการจ่ายหนี้คืนด้วย "ความเป็นเอกราช" ของสหรัฐทั้งหมด ลองเอาเรื่องราวเหล่านี้มาเปรียบเทียบหรือเรียงต่อกับสิ่งที่สหรัฐกำลังประสบอยู่ในขณะนี้ คุณก็จะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นครับ โดยเฉพาะประเด็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของ FED ที่จะทำให้ถึงทางตันในอนาคต

    แล้วคุณจะเห็นครับว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาและคนอเมริกัน ไม่ได้มีความหมายหรือมีคุณค่าใดๆ เลย สำหรับกลุ่มทุนระดับโลกเหล่านี้ (ซึ่งเคลมตัวเองว่าเป็น "ยิว" (ปลอม)จากทวีปยุโรป หรือที่เรารู้จักในชื่อ "ไซออนนิส") สำหรับคนอเมริกันนอกจากการมีชีวิตอยู่ หาเงินเพื่อจ่ายภาษี และประสบชะตากรรมในสิ่งที่กำลังจะมาถึง ถ้าคุณเข้าใจในเรื่องราวเหล่านี้แล้วคุณคงจะมองเห็นแล้วนะครับว่า ทำไมผมถึงกล้า "ฟันธง" ว่าประเทศสหรัฐอเมริกาต้อง "ล้ม" ชะตากรรมคนอเมริกันจะเป็นอย่างไร แล้วอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง คงไม่ต้องถามผมนะครับ เพราะคุณก็คงตอบคำถามเหล่านี้ได้ด้วยตัวคุณเองแล้ว[/FONT]

    แต่ปัญหาก็คือมันไม่ได้จบอยู่แค่ในอเมริกาครับ เพราะผลกระทบจะเปรียบเสมือนคลื่นยักษ์ซึนะมิ ที่จะกระแทกใส่ทุกประเทศทั่วโลกอย่างรุนแรง และร้ายแรงกว่าครั้งไหนๆ ในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจการเงินโลก และทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่อย่างไร คุณคงจะต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้กับตัวคุณเองครับ

    ในขณะที่คุณรับรู้เรื่องราวเหล่านี้แล้ว ยังมีคนอีกหลายพันล้านคนครับ ที่ยังคิดว่า อเมริกา "ล้มไม่ได้" เพราะมีทองคำตั้ง 8,000 ตัน คุณลองเอาตัวเลข 8,000 ตันตั้งแล้วคูณด้วยราคาทองคำ ณ ปัจจุบันที่ $1,400 ก็คือ 8,000ตัน x 1,000กิโล x 32.15 ออนซ์ = 257,200,000 ออนซ์ x $1400 = $360,080,000,000 หรือ 360.08 Billion

    ในขณะที่หนี้สาธารณะของสหรัฐอยู่ที่ 14 Trillion ณ ปัจจุบัน ซึ่งไม่รวมกับหนี้ผูกพันธ์ในอนาคตที่คาดว่าจะต้องจ่ายแน่นอน หรือที่เรียกกันว่า Unfunded Liability ซึ่งถ้ารวมเข้าไปแล้วก็จะอยู่ 75 Trillion เข้าไปแล้วครับ ซึ่งจะทำให้ตัวเลข 360.08 Billion แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลยครับ

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ FED เลือกวิธีปั๊มเงินมาจ่ายหนี้ต่างๆ ซึ่งก็คงเป็นความตั้งใจที่จะทำอย่างนั้น และถ้ามองกลับไปตอน The Great Depression ซึ่งสหรัฐก็อยู่ในสภาพไม่ต่างจากตอนนี้ แต่ ณ วันนี้หนักหนาสาหัสกว่ามากๆ ครับ และถ้าตอนนั้นเค้าหมดตัวแล้วก็เลือกทางออกด้วยการ "ก่อสงคราม" โลกครั้งที่ 2

    ในครั้งนี้เค้าจะใช้วิธีไหนแล้วกลุ่มมือที่มองไม่เห็นหรือคือพวกพวกไซออนนิสแบงค์เกอร์ หวังจะใช้ให้สหรัฐทำอะไร คำตอบง่ายๆก็คือตัวอักษรภาษาอังกฤษ 3 ตัวเท่านั้นครับก็คือ " NWO " นั่นเองครับ

    The Gold War Phase II.<WBR>.<WBR>.<WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR>6326805&ap=1


    โพสต์โดย WHAT'S GOING ON IN AMERICA



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...