อาจารย์โจซี่ และ ทีมงาน ญาณเทพ.คอม

ในห้อง 'บริการรับดูดวง' ตั้งกระทู้โดย kararama, 27 มีนาคม 2013.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. kararama

    kararama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    963
    ค่าพลัง:
    +331
    สาธุครับ ขอบคุณสำหรับคำอวยพร ด้วยครับ[​IMG]
     
  2. ต้นพุทธ

    ต้นพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2012
    โพสต์:
    922
    ค่าพลัง:
    +3,612
    เอาหละค่ะ อ่านมาครบทั้งสองหน้าแล้ว ก็โดนใจที่สุดกับประโยคข้างบนนี้ ผมผิดแล้ว ก็ยอมรับผิดครับ [/QUOTE] ก็ขอให้ผิดเป็นครูนะค่ะ เรียนรู้แล้วแก้ไข เพราะมีแต่คนจัญ...เท่านั้นที่นอกจากไม่ได้แก้ไขแล้วเขาก็มักแก้ตัว หากใจคุณรู้ดีว่ามาเพื่ออะไร ก็ขอให้ได้รับสิ่งที่คุณคิดกลับไป100เท่าพันเท่า และเพือนๆในพลังจิตแห่งนี้ ต้นพุทธคิดว่า "การให้โอกาส" เป็นการให้ที่ทุกคนที่นี่มี เป็นที่ตั้้ง แต่มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ คุณพิสูจน์ให้พวกเรารับรู้ได้จริงๆว่า คุณมาเพื่อขอโอกาสไปสานต่อการทำความดี ขอให้คุณก้าวหน้าตามเจตนาทีวางไว้ค่ะ
    ปล.แล้วจะแวะไปเยี่ยมบ้านใหม่ของคุณนะค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2013
  3. kararama

    kararama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    963
    ค่าพลัง:
    +331
    ก็ขอให้ผิดเป็นครูนะค่ะ เรียนรู้แล้วแก้ไข เพราะมีแต่คนจัญ...เท่านั้นที่นอกจากไม่ได้แก้ไขแล้วเขาก็มักแก้ตัว หากใจคุณรู้ดีว่ามาเพื่ออะไร ก็ขอให้ได้รับสิ่งที่คุณคิดกลับไป100เท่าพันเท่า และเพือนๆในพลังจิตแห่งนี้ ต้นพุทธคิดว่า "การให้โอกาส" เป็นการให้ที่ทุกคนที่นี่มี เป็นที่ตั้้ง แต่มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ คุณพิสูจน์ให้พวกเรารับรู้ได้จริงๆว่า คุณมาเพื่อขอโอกาสไปสานต่อการทำความดี ขอให้คุณก้าวหน้าตามเจตนาทีวางไว้ค่ะ
    ปล.แล้วจะแวะไปเยี่ยมบ้านใหม่ของคุณนะค่ะ[/QUOTE]

    สาธุครับ และขอบคุณสำหรับ สำหรับคำสอนดีๆ อีกท่านนึง ครับ และขอบคุณที่เข้ามาทักทายและเยี่ยมชม ครับ
     
  4. kararama

    kararama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    963
    ค่าพลัง:
    +331
    เอาบุญจากการไปทัวร์บุญมาฝากทุกคนครับ
    อนุโมทนาสาธุครัย
     
  5. kararama

    kararama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    963
    ค่าพลัง:
    +331
    การจะบวชลูกบวชหลานเข้าไว้ในพุทธศาสนา ส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งใจจะเอาบุญ คือทำตามประเพณีเป็นสำคัญ พอเริ่มจัดงานก็มีการฆ่าไก่บ้าง ฆ่าปลาบ้าง ฆ่าหมูบ้าง ฆ่าวัวควายบ้าง เอาสุราเมรัยเข้ามาเลี้ยงกันบ้าง ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจัดการอุปสมบทกุลบุตรในพระพุทธศาสนา หรือว่าบำเพ็ญกุศลส่วนใดส่วนหนึ่งก็ดี ทำกันตามประเพณีแบบนี้ ก็จะได้ชื่อว่าไม่มีอานิสงส์อะไรเลย


    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเจตนาชั่ว คือเริ่มต้นก็ทำบาปก่อนแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า ถ้าจิตเป็นอกุศล กุศลใดๆ ที่ตนคิดว่าจะทำมันจะไม่ปรารฏ ฉะนั้น องค์สมเด็จพระบรมสุคตจึงได้แนะนำไว้ว่า

    ในการบำเพ็ญราศี ให้ปรากฏเป็นผลดี ก็ขอให้การนั้นเป็นการบำเพ็ญกุศลจริงๆ
    ขอท่านพุทธบริษัทชายหญิง จงเว้นกรรมที่อกุศลเสีย งดสิ่งที่เป็นกรรมชั่วทุกประการ อย่าให้มีปรากฏมี เวลาเริ่มงานขึ้นมาสักทีกรรมใดที่เป็นอกุศล เช่นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตก็ดี การเลี้ยงสุราก็ดีอย่างนี้จงงดไว้ ตั้งใจเฉพาะการบำเพ็ญกุศลราศีเท่านั้น

    ถ้าหากว่าท่านพุทธศาสนิกชนทุกทุกท่าน ได้นำบุตรของท่านเข้ามาอุปสมบทบรรพชาในพระพุทธศาสนาไม่มีสิ่งใดเป็นอกุศล คือการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตของเราไม่มี การจะเลี้ยงสุราเมรัยก็ไม่มี การบำเพ็ญกุศลอย่างนี้จึงเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง

    ทีนี้สมมุติว่า เมื่อลูกชายของท่านบวชเข้ามาแล้วในพุทธศาสนา ถ้าปฏิบัติเลว อันนี้บั่นทอนความดีของบิดามารดาด้วย เพราะอะไร เพราะว่าถ้าปฏิบัติเลวทรามผิดธรรมวินัย เป็นอันว่ากรรมใหญ่ที่เป็นอกุศลเกิดขึ้นแก่บุตรของตน ทีนี้ถ้าหากว่าบุตรของตนปฏิบัติไม่ดี ปฏิบัติไม่ชอบ ไม่ประกอบไปด้วยพระธรรมวินัย ความเดือนร้อนก็เกิดขึ้น นั่นคือต้องถูกบังคับบัญชาลงโทษ ปฏิบัติไม่ชอบ ไม่ประกอบด้วยธรรมวินัย ความเดือดร้อนก็เกิดขึ้น นั่นคือต้องถูกผู้บังคับบัญชาลงโทษ

    เมื่อถูกผู้บังคับชาลงโทษแล้ว มักจะไปฟ้องบิดามารดาและญาติของตนว่า ถูกรุกรานจากผู้บังคับบัญชาของตน คราวนี้จะพาพ่อ แม่ พาญาติลงนรก คือตัวลงนรกคนเดียวไม่พอ ไปชวนพ่อ ชวนแม่ ชวนญาติพี่น้องลงนรกด้วย ก็ไปแจ้งกับบรรดาญาติพี่น้อง กับ บรรดาบิดามารดาของตนว่า เวลานี้บรรดาผู้บังคับบัญชาของตนรุกรานด้วยเหตุอย่างนั้น ด้วยเหตุอย่างนี้ ตอนนี้ทำอย่างไร
    จิตใจของพ่อแม่เกิดความไม่สบาย ดีไม่ดีโกรธผู้บังคับบัญชาหรือว่าพระผู้ใหญ่ที่ลงโทษ การโกรธ อารมณ์จิตเศร้าหมอง องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า

    จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคคติ ปาฏิกังขา

    ถ้ามีอารมณ์ของเราเกิดความเศร้าหมองขึ้นแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า ตายจากความเป็นมนุษย์ก็ไปทุคคติ

    ทีนี้สมมุติว่า กุลบุตรที่เข้ามาบวชในพุทธศาสนาปฏิบัติชอบด้วยธรรมวินัย
    ความผ่องใสของท่านผู้บวชก็มีขึ้นคือจิตผ่องใส ปราศจากอารมณ์ที่เป็นกิเลส แล้วต่อมาปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ คือเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน จนกระทั่งมีอารมณ์จิตชื่นบาน เข้าถึงปีติ


    คำว่าปีติ ในที่นี้ก็หมายถึงความว่า ยินดีในการปฏิบัติความดีในด้านพระธรรมวินัยอย่างหนึ่ง ยินดีในการเจริญสมถภาวนา วิปัสสนาภาวนา เกิดความชุ่มชื่นในการปฏิบัตินั้น อานิสงส์อันนี้ย่อมเกิดแก่กุลบุตรผู้อุปสมบทบรรชาในพุทธศาสนามากขึ้น เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบไว้ว่า

    ท่านผู้ใดก็ดี อุปสมบทบรรพชาเข้ามาแล้วในพระพุทธศาสนา วันหนึ่งทำจิตใจว่างจากกิเลสเพียงละหนึ่งชั่วขณะจิตเดียว

    นี่หมายความว่า วันหนึ่งมีเวลา 24 ชั่วโมง เวลานอกนั้นจิตฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ต่างๆ แต่ว่าตอนปฏิบัติพยายามคุมกำลังใจ ไม่พลั้งพลาดออกจากพระธรรมวินัย หรือเวลาใดเวลาหนึ่งก็ตามในวันนี้ทำสมาธิจิตให้เกิดขึ้น จะเป็นอารมณ์สมาธิก็ตาม หรือจิตผ่องใสทางด้านวิปัสสนาญาณก็ตาม วันหนึ่งเพียงชั่วขณะจิตเดียว จิตโปร่งจริงๆ ขณะนิดเดียว นาทีหนึ่งหรืองสองนาทีก็ตาม แต่ว่าทำได้ทุกวันไม่จำกัดเวลา อย่างนี้องค์สมเด็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า
    ติดตาม0
    แบ่งปัน0
    บุ๊คมาร์ก0
    ชอบ0
    เฉยๆ0
    ตอบกลับ รายงาน
    jeenus

    19
    กระทู้
    1
    ติดตาม
    315
    เครดิต
    Conqueror

    ติดตาม ส่งข้อความส่วนตัว
    แบนโพสต์
    คัดลอกลิงก์
    โพสต์เมื่อ 13-3-2013 10:08:05 |ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
    ท่านผู้นั้น บวชเข้าในพุทธศาสนาแม้แต่เพียง 1 วัน ก็ย่อมมีอานิสงส์ดีกว่าพระที่บวชเข้ามาในพุทธศาสนาตั้ง 100ปี มีศีลบริสุทธ์ไม่บกพร่อง แต่ก็ไม่ได้เลยเจริญสมาธิจิต

    ท่านบอกว่า อานิสงค์นี้คูณด้วยกำลังของแสน
    นี่ก็หมายความว่า เวลาที่เสวยทิพยสมบัติ เป็นเทวดาก็ดีเป็นพรหมก็ดี ตามกำหนดย่อมมีเสมอกัน คือ 60 กัป หรือบิดามารดาได้คนละ 30 กัป เป็นอันว่าความสุขที่จะพึงได้ และแสงสว่างที่พึงได้ รัศมีกายที่จะปรากฎความเป็นเทวดาย่อมมีผลต่างกัน ท่านผู้เจริญสมาธิคือทำจิตว่างจากกิเลสวันหนึ่งชั่วขณะจิตเดียว มีอานิสงส์แห่งความสุขดีกว่า มีรัศมีกายสว่างไสวกว่า




    ในเมื่อบุตรชายของท่านที่อุปสมบทบรรพชาเข้ามาพุทธศาสนาทำความประเภทนี้ ท่านจะไปพบผู้บังคับบัญชาหรือบุคคลใดก็ตามที ที่เขาเห็นบุตรชายของท่านทำความดีบวชเข้ามาแล้วปฏิบัติชอบในระบอบพระธรรมวินัย ทุกคนพรกันสรรเสริญ ทุกคนชื่นใจ ทุกคนมีศรัทธา สำหรับบิดาผู้เป็นญาติผู้ใหญ่ก็พลอยชื่นบานไปด้วย โมทนาความดี อันนี้องค์สมเด็จพระชินศรีบรมศาสดาตรัสว่า
    เพราะอาศัยความที่มีความชื่นบาน มีความผ่องใส มีความพอใจ มีธรรมปีติที่อาศัยลูกชายของตนประพฤติดีประพฤติชอบในระบอบพระธรรมวินัย
    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดากล่าวว่า
    จะมีอานิสงส์มาขึ้น

    หมายความว่า ถ้าเป็นเทวดาหรือว่าพรหม ก็มีรัศมีกายผ่องใสขึ้น จะเพิ่มความสุขยิ่งขึ้น

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย การที่นำลูกชายของท่านบวชเณรก็ดี เข้ามาบวชเป็นพระก็ดีในพระพุทธศาสนา สำหรับท่านบิดามารดาผู้ให้กำเนิด ให้เขาเกิดมาเป็นคน

    องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ย่อมมีอานิสงส์คุ้มแก่ค่าที่ท่านเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งเติบใหญ่

    ถ้าบังเอิญท่านผู้นั้นมีลูกชายบวชหลายคน ก็จงทราบว่าคนหนึ่งบิดามารดาได้อานิสงส์แห่งการบวชลูกชายในพระพุทธศาสนาเป็นพระคนละ 30 กัป ท่านก็นับไปก็แล้วกัน ถ้าบวชลูกชายเป็นเณรคนหนึ่งในพุทธศาสนาก็มีอานิสงส์คนละ 15 กัป สำหรับบิดามารดา ทีนี้บังเอิญท่านคลอดบุตรมาแล้ว ต่างคนต่างแยกกันหรือตายไปเสียก่อน องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาตรัสว่า อานิสงส์แห่งการอุปสมบทบรรพชา ย่อมมีผลแก่บุคคลผู้ตายแล้ว ถึงแม้ว่าไม่ได้โมทนา


    โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ธรรมปฏิบัติ เล่ม 1 หน้า 35-40
     
  6. kararama

    kararama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    963
    ค่าพลัง:
    +331
    วันนี้ได้นำภาพความประทับใจ ในทัวร์บุญครั้งที่1 ของ ชาวญาณเทพ มาฝากครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  7. kararama

    kararama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    963
    ค่าพลัง:
    +331
    มา ชมกันต่อนะครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  8. kararama

    kararama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    963
    ค่าพลัง:
    +331
    ขอต่อ อีกสักหน่อย ครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  9. kararama

    kararama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    963
    ค่าพลัง:
    +331
  10. สีลสิกขา

    สีลสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    1,271
    ค่าพลัง:
    +7,137
    น่าสนุกดีเหมือนกันนะคะ...งานบุญ แล้วคุณ จขกท. คนไหนเหรอคะ อิอิ
     
  11. kararama

    kararama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    963
    ค่าพลัง:
    +331
    ถ้ามีโอกาส ขอเชิญ คุณ สิลขา นะครับ
    ผม คือ ผู้ชายที่ใส่เสื้อสีขาว หนะครับ ^^
     
  12. kararama

    kararama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    963
    ค่าพลัง:
    +331
    คำพูดเพ้อเจ้อ

    วันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ปีที่ ข่าวสดรายวัน

    คอลัมน์ ธรรมะวันหยุด

    พระราชสุธี (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร

    เจตนาซึ่งเป็นเหตุให้พูดถ้อยคำที่ไม่มีประโยชน์ คือ ขัดขวางทางแห่งประโยชน์สุข ที่คนดีทั่วไปจะพึงได้รับ ศัพท์ทางพระท่านเรียกว่า คำพูดเพ้อเจ้อ เหลวไหล

    ความแตกต่างระหว่าง คำโกหก กับ คำพูดเพ้อเจ้อ นั้น คำโกหก อยู่ที่เจตนาที่ไม่ดี เจตนาที่มุ่งจะหลอกลวงคนอื่น ส่วนคำพูดเพ้อเจ้อ อยู่ที่เจตนาเป็นเหตุเจรจาถ้อยคำที่ไม่มีเหตุและผล เพื่อให้เข้าใจถึงประโยชน์ในชาตินี้และชาติหน้า อีกทั้งแสดงสิ่งที่ไร้สาระ จนคนหลงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง

    การพูดคำเพ้อเจ้อนั้น จะต้องประกอบด้วยหลัก 2 ประการ คือ

    1. มีความคิดที่จะพูดเรื่องเพ้อเจ้อ

    2. พูดเรื่องเช่นนั้นออกไป

    การพูดคำเพ้อเจ้อ ท่านว่ามีโทษมากมายมหันต์ ด้วยเหตุ 3 ประการ คือ

    1. ผู้พูดมีความเคยชินมาก

    2. คนอื่นเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง

    3. ผู้พูดมีกิเลสแรงกล้า

    การพูดคำเพ้อเจ้อที่ตรงกันข้ามจากเหตุ 3 ประการนี้ ท่านว่ามีโทษน้อย

    โทษของการพูดคำเพ้อเจ้อนี้ มีเรื่องเล่าเป็นอุทาหรณ์ว่า

    มีเต่าช่างพูดตัวหนึ่ง ได้ผูกมิตรกับหงส์ 2 ตัว ที่มาหากินในหนองน้ำที่เต่าอาศัยอยู่เป็นประจำ เมื่อหงส์มาที่หนองน้ำนั้น ก็สนทนากับเต่าอย่างมีความสุข

    มาวันหนึ่ง เต่าได้พูดกับหงส์ว่า "สหายทั้งสองโชคดี มีปีกบินได้ จึงไปเที่ยวหากินตามถิ่นต่างๆ ได้ตามใจชอบ ส่วนข้าพเจ้าจะกี่ปีกี่ชาติ ก็อยู่แต่ที่หนองน้ำแห่งนี้ ไม่มีโอกาสได้ไปที่อื่น ที่สวยงามกับเขาบ้างเลย"

    หงส์ทั้งสองสงสารเพื่อน จึงบอกว่า "ถ้าสหายต้องการจะไปหากินยังหนองน้ำอื่น และเที่ยวชมสถานที่ที่สวยงามละก็ พวกข้าพเจ้าสามารถพาไปได้ แต่กลัวว่าสหายจะอดพูดไม่ได้"

    เมื่อเต่าถามถึงวิธี จึงบอกว่า "พวกข้าพเจ้าจะคาบที่ปลายไม้ทั้งสองด้าน ให้สหายคาบตรงกลาง เพียงเท่านี้ ก็สามารถพาสหายไปที่ไหนก็ได้ แต่ในระหว่างเดินทาง สหายต้องไม่พูดเด็ดขาด ถ้าพูดจะทำให้ตกลงมาถึงแก่ความตาย" เต่ารับคำของหงส์ว่าจะทำตามนั้น

    หงส์ทั้งสองพาเต่าบินไป ผ่านทุ่งนาแห่งหนึ่ง ซึ่งมีเด็กเลี้ยงวัวหลายคนกำลังจับกลุ่มเล่นกันอยู่ เด็กคนหนึ่งเห็นเช่นนั้น จึงบอกเพื่อนว่า "ดูนั่นสิ หงส์ 2 ตัว คาบปลายไม้พาเต่าบินไป เดี๋ยวก็ตกลงมาตาย พวกเราติดตามไปเพื่อเก็บเต่าตายมาแกงกินกันเถอะ" แล้วก็พากันวิ่งตามไป

    เต่าได้ยินดังนั้น คิดอยากจะพูดกับพวกเด็กให้สะใจว่า "เจ้าเด็กโง่เอ๋ย พวกเจ้าไม่มีวันจะได้กินเนื้อของข้าหรอก" พออ้าปากจะพูดเท่านั้น จึงหลุดจากไม้ที่คาบไว้ ตกลงมาที่แผ่นดิน จนกระดองแตกกระจาย ถึงแก่ความตาย

    เรื่องนี้จึงเป็นตัวอย่างให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่า การพูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ไม่รู้จักกาลเวลาอย่างนี้ เป็นสาเหตุให้เกิดทุกข์โทษแก่ตนอย่างมากมาย

    ๗. สัมผัปปลาปะ (การพูดเพ้อเจ้อ ไม่เป็นสาระ)

    สัมผัปปลาปะ คือการพูดเพ้อเจ้อ เหลวไหล ไม่เป็นสาระ เมื่อแยกบทแล้วได้ ๒ บทคือ

    สมฺผ แปลความว่า ทำลายประโยชน์ และความสุข

    ปลาป แปลความว่า การกล่าววาจา

    เมื่อรวมกันแล้วเป็น สมฺผปฺปลาป แปลความว่า การกล่าววาจา ทีทำลายประโยชน์ และความสุข ดังมีวจนัตถะว่า

    สํหิตสุขํ ผลติ วินาเสตีติ - สมฺผํ

    "วาจาอันใด ย่อมทำลายประโยชน์ และความสุขต่างๆ วาจานั้นชื่อว่า สัมผะ"

    สผฺผํ ปลปนฺติ เอเตนาติ - สมฺผปฺปลาโป

    "การกล่าววาจาที่ทำลายประโยชน์ และความสุขต่างๆด้วยเจตนานั้น ฉะนั้น เจตนาที่เป็นเหตุแห่งการกล่าววาจานั้น ชื่อว่า สัมผัปปลาปะ"

    การกล่าววาจาที่เป็น สัมผัปปลาปะ จึงหมายถึง การกล่าวเรื่องราวต่างๆอันหาสาระประโยชน์ไม่ได้ เช่น การเรื่องภาพยนต์ โขน ละคร หรือพูดจาตลก คะนอง ตลอดจนนักเขียนนวนิยาย จินตกวี เหล่านี้ จิตเป็นสัมผัปปลาปะทั้งสิ้น เพราะผู้ฟังก็ดี ผู้อ่านก็ดี มิได้รับประโยชน์ให้เกิดปัญญา แก้ทุกข์ในชีวิตลงได้ เพียงแต่ให้จิตใจเพลิดเพลินไปชั่วครั้งชั่วคราว เท่าที่ฟังหรืออ่านอยู่เท่านั้น

    องค์ประกอบของ สัมผัปปลาปะ มี ๒ ประการ

    ๑.นรตฺถกถาปุรกฺขาโร เจตนากล่าววาจาที่ไม่เป็นประโยชน์

    ๒. กถนํ กล่าววาจาที่ไม่เป็นประโยชน์นั้น

    องค์ธรรมของ สัมผัปปลาปะนี้ จึงสำคัญที่อกุศลเจตนา ที่เป็นเหตุแห่งการกล่าว สัมผัปปลาปะ ส่วนถ้อยคำที่กล่าวขึ้นเป็นผลของสัมผัปปลาปะเจตนานั่นเอง มีวจนัตถะเกี่ยวกับสัมผัปปลาปะ แสดงไว้ว่า

    สมฺผสฺส นิรตฺกถา ปุรตา กถนํ ทุเว

    ปเรน คหิเตเยว โหติ กมฺมปโถ น โน

    แปลความว่า องค์ทั้ง ๒ ของสัมผัปปลาปะนั้น คือเจตนากล่าววาจา ที่ไม่มีประโยชน์อย่างหนึ่ง กล่าววาจานั้นขึ้นอีกอย่างหนึ่ง เมื่อผู้ฟัง หรือผู้อ่าน เชื่อคำกล่าวนั้น ก็สำเร็จเป็นกรรมบท แต่ถ้าผู้อ่าน หรือผู้ฟังไม่เชื่อตาม ก็ไม่สำเร็จเป็นกรรมบท เพียงเป็นแต่เป็นสัมผัปปลาปะเท่านั้น


    (คัดจาก หนังสือพระอภิธรรมมัตถสังคหะ)

    ที่มา http://topicstock.pantip.com/rel ... 86016/Y7886016.html
     
  13. kararama

    kararama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    963
    ค่าพลัง:
    +331
    อายตนะ 12
    อายตนะ หมายถึง สิ่งที่เชื่อมต่อกันให้เกิดความรู้ ทำให้จิตและเจตสิก 2 ประกอบด้วย
    อายตนะภายในมี 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    อายตนะภายนอกมี 6 คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธรรมารมณ์
    อายตนะ 12 อย่างนี้ ถ้าจัดเป็นรูปและนามมีดังนี้คือ
    1. ตา หู จมูก ลิ้น กาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จัดเป็นรูปธรรม
    2. ใจจัดเป็นนามธรรม
    3. ธรรมารมณ์ คือ ประสาทรูป 5, สุขุมรูป 16, จิต 89, เจตสิก 52, นิพพาน 1 บัญญัติเหล่านี้เป็นไปได้ทางรูปและนามโดยแท้
    ขันธ์ 5 และรูปนามเป็นปัจจุบันที่อายตนะ 12 มีดังนี้
    1. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบัน ในขณะที่ตาได้เห็นรูปอยู่นี้
    2. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบัน ในขณะที่หูได้ยินเสียงอยู่นี้
    3. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบัน ในขณะที่จมูกได้กลิ่นอยู่นี้
    4. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบัน ในขณะที่ลิ้นได้รสอยู่นี้
    5. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบัน ในขณะที่เราสัมผัสอยู่นี้เป็นปัจจุบันทั้งหมด
    6. ขันธ์ 5 หรือรูปนามเป็นปัจจุบันที่ใจกำลังนึกคิดอยู่ ก็เพราะมันเป็นผู้ปรุงแต่งให้ขันธ์ อื่น ๆ เกิดขึ้น ซึ่งอยู่ในกิริยาอาการ อันแตกดับ เวทนา สุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ อยากได้อยากดี ไม่อยากเลว อยากโกรธ อยากโลภ อยากหลง อยากนินทาคนอื่น อยากฉลาด ไม่อยากเป็นคนโง่ ล้วนแล้วแต่สังขาร เป็นผู้แต่งขึ้นมาทั้งนั้น
    อายตนะเป็นรูปนามคือ
    1. ตากับรูปมากระทบกันเป็นรูป เห็นเป็นนาม รู้ว่าได้เห็นเป็นสติ
    2. หูกับเสียงมากระทบกันเป็นรูป ได้ยินเป็นนาม รู้ว่าได้ยินเป็นสติ
    3. จมูกกับกลิ่นมากระทบกันเป็นรูป ได้กลิ่นเป็นนาม รู้ว่าได้กลิ่นเป็นสติ
    4. ลิ้นกับรสมากระทบเป็นรูป ได้รสเป็นนาม รู้ว่าได้รสเป็นสติ
    5. กายกับโผฏฐัพพะ มากระทบเป็นรูป รู้การมากระทบเป็นนาม เข้าใจละเอียดในการกระทบเป็นสติ
    การเกิดดับของรูปนามคือ
    1. ตากับรูปมากระทบกัน รูปธรรมเกิด รู้นามธรรมเกิด รูปจางหายไป รูปธรรมดับ ไม่ได้เห็น นามธรรมก็ดับตาม
    2. หูกับเสียงมากระทบกัน รูปธรรมเกิด รู้ว่าได้ยิน นามธรรมก็เกิด เสียงหายไป รูปธรรมก็ดับ ไม่ได้ยิน นามธรรมก็ดับ
    3. จมูกได้กลิ่นมากระทบ รูปธรรมก็เกิด รู้ว่าได้กลิ่น นามธรรมก็เกิด กลิ่นหายไป รูปธรรมก็ดับ ไม่ได้กลิ่น นามธรรมก็ดับ
    4. ลิ้นได้รสมากระทบกัน รูปธรรมเกิด รู้ว่ารส นามธรรมก็เกิด รสจางหายไป นามธรรมก็ดับ ไม่รู้รส นามธรรมก็ดับ
    5. กายกับโผฏฐัพพะมากระทบ รูปธรรมเกิด รู้การกระทบ นามธรรมก็เกิด การกระทบหายไป รูปธรรมก็ดับ
    6. ใจกับธรรมารมณ์มากระทบ รูปธรรมเกิด รู้การกระทบ นามธรรมเกิด การกระทบหายไป รูปธรรมก็ดับ ใจก็สั่งให้นามธรรมดับไป
    กาลทั้ง 3 คือ
    1. อดีต - สิ่งที่ล่วงเลยไปแล้ว
    2. อนาคต - สิ่งที่ยังมาไม่ถึง
    3. ปัจจุบัน - สิ่งที่กำลังอยู่ต่อหน้า
    การกำหนดอารมณ์ในกาลทั้ง 3 อย่างมีดังนี้คือ
    1. ตากำลังเห็นรูปอยู่นี้เป็นปัจจุบันแท้จริง รูปกำลังเห็นดับไปแล้วนั่นละเป็นอดีตไปแล้ว รูปกับเห็นยังไม่เกิด นั้นคือ อนาคตยังมาไม่ถึง
    2. หูกำลังได้ยินเสียงอยู่นี้เป็นปัจจุบัน เสียงกับได้ยินดับไปนั้นคืออดีตผ่านไปแล้ว เสียงที่ยังไม่ได้ยินยังไม่เกิดขึ้นนั้นคือ อนาคตยังไม่มาถึง
    3. จมูกกำลังได้กลิ่นอยู่นั้นคือปัจจุบันแน่นอน จมูกกับการได้กลิ่นดับไปนั้นเป็นอดีตไปแล้ว จมูกกับการรู้กลิ่นยังไม่ได้กลิ่น ยังไม่เกิดคือ อนาคต ยังไม่มาถึง
    4. ลิ้นกำลังได้รสอยู่นี้เป็นปัจจุบัน ลิ้นกับการรู้รสหายไปเป็นอดีตไปแล้ว ลิ้นกับการรู้รสยังไม่เกิดขึ้นคือ อนาคตยังไม่มาถึง
    5. กายกำลังรู้การสัมผัสอยู่นี้เป็นปัจจุบัน กายกับการสัมผัสรู้ว่าดับไปนั้นเป็นอดีตไปแล้ว กายกับการรู้สัมผัสยังไม่เกิดขึ้นนี้ คืออนาคตยังมาไม่ถึง
    6. ใจกำลังรู้อารมณ์อยู่นี้เป็นปัจจุบันแท้จริง อารมณ์กับความรู้สึกดับไปนั้น คือ อดีต อารมณ์กับความรู้สึกยังไม่ได้เกิดขึ้น คืออนาคตยังมาไม่ถึง
    สำหรับผู้ปฏิบัติให้กำหนดรู้ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธรรมารมณ์ อันเป็นปัจจุบันเท่านั้น
    ธรรมบัญญัติกับปรมัตถ์
    1. สีขาว สีเหลือง สีแดง = สีเป็นปรมัตถ์ ขาว, เหลือง, แดง เป็นบัญญัติ
    2. เสียงหญิง เสียงชาย เสียงเพลง = เสียงเป็นปรมัตถ์ หญิง,ชาย,เพลง เป็นบัญญัติ
    3. กลิ่นหอม กลิ่นเหม็น = กลิ่นเป็นปรมัตถ์ หอม เหม็น เป็นบัญญัติ
    4. รสหวาน รสเปรี้ยว รสขม = รสเป็นปรมัตถ์ หวาน ขม เปรี้ยว เป็นบัญญัติ
    5. เย็น ร้อน อ่อน นิ่ม แข็ง เป็นปรมัตถ์ ไฟ ดิน ลม เป็นบัญญัติ
    ปรมัตถ์เป็น ของมีจริง บัญญัติเป็นสิ่งที่ตั้งขึ้นด้วยอาศัยเสียง และรูปร่าง สัณฐาน กิริยา อาการ วัตถุ เหล่านั้น นั่นเป็นหลักตัวอย่าง เช่น มะนาว เปรี้ยว อาศัยรสของมันเปรี้ยว คนจึงได้ตั้งชื่อว่ามะนาว หรือ ไฟร้อน คนจึงได้ตั้งชื่อว่าไฟ ก็เช่นเดียวกับสีดำ อาศัยมันดำ คนจึงตั้งชื่อว่า สีดำ
    อาตมาจึงได้เอาปรมัตถ์มาแสดงเป็นคู่กัน เพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้เข้าใจ และรับรู้ความเป็นจริงว่าในโลกนี้มีความจริงอยู่ 2 อย่าง คือ
    1. จริงด้วยปรมัตถ์ = ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
    2. จริงด้วยสมมุติขึ้นมา = ได้แก่ ขาว,ดำ,หญิง,ชาย,ไฟ,หวาน,หอม,เหม็น เหล่านี้เป็นต้น
    ฉะนั้นขันธ์ 5 และอายตนะ 12 เมื่อได้ศึกษาให้เข้าใจแล้วก็จะมีแต่ปรมัตถ์ธรรม 2 อย่าง เท่านั้น ดังในพระสังคินีว่า ทุกขมะติกา มีอยู่ 2 อย่าง คือ
    1. รูปิโนธัมมา = ได้แก่รูปธรรม
    2. อรูปิโนธัมมา = ได้แก่นามธรรม
    นอกจากรูปนามนี้แล้วก็จะเป็นธรรมะสมมุติขึ้นมาเป็นของจริง ตามความสมมุติ ตัวอย่างคนเป็นต้น ส่วนกฎปฏิบัติ ให้ถือปรมัตถ์เป็นอารมณ์ เอาสติมากำหนดรู้ รูป = นามตามนั้น ๆ
    รูปมีลักษณะเกิด ดับ เปลี่ยนแปลง ผันแปร และธรรมชาติของมันเหมือนกับท่อนไม้เหล่านั้น เป็นต้น
    นาม มีลักษณะเกิด ดับ เปลี่ยนแปลง ผันแปร และธรรมชาติที่รู้น้อมไปสู่อารมณ์ เหมือนกับน้ำ ปกติแล้วจะไหลไปสู่ที่ต่ำ สรุปแล้วโลก คือสังขาร ร่างกายของคนเรา และสัตว์มีของจริงอยู่ 2 อย่าง คือ
    สภาพแสดงให้รู้คือ = รูปธรรม
    สภาพเข้าใจทำให้รู้คือ = นามธรรม
    ทางสายกลางและผู้เดินทาง
    รูปนามเป็นสายกลาง สติเป็นผู้เดินทางสายกลาง
    รูปนามเป็นองค์วิปัสสนา สติเป็นผู้ทำวิปัสสนา
    สติกับโมหะ
    สติ มีความระลึกได้ ก่อนทำ ก่อนพูด ก่อนคิด จิตเป็นกุศล เป็นแม่ทัพของกุศลธรรม เมื่อสติดี ธรรมะก็เกิดมีอยู่กับตัว ศีล, สมาธิ, ปัญญา, วิมุตติ ก็เกิด ถ้าขาดสติ กุศลธรรมอื่น ๆ ก็เกิดขึ้นมาไม่ได้ อาตมาจึงขอให้ผู้ปฏิบัติธรรมเข้าใจตามนี้
    โมหะ ความหลงเป็นอยู่ กายและใจทำบาป เป็นแม่ทัพของอกุศล เมื่อมีโมหะเกิดขึ้นแล้ว โลภะมันก็จะตามมา โทสะก็เกิดขึ้น มานะทิฐิก็ประจักษ์ ให้เห็น นี่คือบริวารของมัน โลภะ โมหะ โทสะ กิเลส
    ถ้ามีโมหะเป็นอกุศล กุศลอื่นก็เกิดขึ้นมาไม่ได้ สติเป็นผู้กำจัด โลภะ, โมหะ , โทสะ ให้หมดไป เหมือนแสงสว่าง กำจัดความมืดให้หมดไปในอากาศ สติเป็นหางเสือของเรือ เรือก็คือร่างกายของคนเรา มีใจเป็นนายคิดแหวกว่าย วัฏสงสารนี่แหละ ใจคิดดีมีสติเป็นคู่ทวาร จะเสียการถ้าสติไม่อยู่กับใจ ตา หู ไวใช้สติตามมันให้ทัน ใจนั้นมีสติเป็นที่พึ่งอาศัย สติเป็นเพื่อนพาจิตก้าวไป ระวังไว้ทุกทวารให้ดี
    อันตรายของวิปัสสนาเบื้องต้น
    1. กัมรามาตะ ได้แก่การชื่นชมในกรรมใหม่ ตัวอย่าง คือยินดีต่อเจตนาการปฏิบัติใหม่ๆ ว่าควรทำอย่างนั้นดี อย่างนี้ดีเป็นต้น
    2. ภัทมาลามาตะ ได้แก่การชื่นชมต่อสังคม ตัวอย่าง มีความยินดี อยากพบเพื่อนฝูง พี่น้อง อยากเทศนาธรรมให้ฟัง
    3. สังคิการามาตะ ได้แก่การชื่นชมต่อสังคมอยากแสดงอย่างนั้นอย่างนี้ให้คนอื่นฟัง
    4. นิฐฐารมณ์ ได้แก่ การชื่นชมต่อความรู้ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่นการเห็นแก่ได้
    5. อคุตทวารมตะ ได้แก่ การไม่สำรวมในทวาร ทั้ง6
    6. โภชเนมัตตัญญุตา ได้แก่ การไม่สำรวม ในการบริโภคอาหาร
    ให้เฝ้าดูแต่รูปนามในปัจจุบันอย่างเดียว นักปฏิบัติพึงระลึกถึงอันตราย 6 อย่างถ้าครอบงำ หรือละเว้นกฎระเบียบ 6 ข้อ ข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้ ก็ไม่สามารถรู้รูปนามได้ ฉะนั้นจึงให้กำหนดเอาแต่เฉพาะในปัจจุบัน อาตมาของให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจตามนี้
     
  14. kararama

    kararama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    963
    ค่าพลัง:
    +331
    การจะบวชลูกบวชหลานเข้าไว้ในพุทธศาสนา ส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งใจจะเอาบุญ คือทำตามประเพณีเป็นสำคัญ พอเริ่มจัดงานก็มีการฆ่าไก่บ้าง ฆ่าปลาบ้าง ฆ่าหมูบ้าง ฆ่าวัวควายบ้าง เอาสุราเมรัยเข้ามาเลี้ยงกันบ้าง ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจัดการอุปสมบทกุลบุตรในพระพุทธศาสนา หรือว่าบำเพ็ญกุศลส่วนใดส่วนหนึ่งก็ดี ทำกันตามประเพณีแบบนี้ ก็จะได้ชื่อว่าไม่มีอานิสงส์อะไรเลย


    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเจตนาชั่ว คือเริ่มต้นก็ทำบาปก่อนแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า ถ้าจิตเป็นอกุศล กุศลใดๆ ที่ตนคิดว่าจะทำมันจะไม่ปรารฏ ฉะนั้น องค์สมเด็จพระบรมสุคตจึงได้แนะนำไว้ว่า

    ในการบำเพ็ญราศี ให้ปรากฏเป็นผลดี ก็ขอให้การนั้นเป็นการบำเพ็ญกุศลจริงๆ
    ขอท่านพุทธบริษัทชายหญิง จงเว้นกรรมที่อกุศลเสีย งดสิ่งที่เป็นกรรมชั่วทุกประการ อย่าให้มีปรากฏมี เวลาเริ่มงานขึ้นมาสักทีกรรมใดที่เป็นอกุศล เช่นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตก็ดี การเลี้ยงสุราก็ดีอย่างนี้จงงดไว้ ตั้งใจเฉพาะการบำเพ็ญกุศลราศีเท่านั้น

    ถ้าหากว่าท่านพุทธศาสนิกชนทุกทุกท่าน ได้นำบุตรของท่านเข้ามาอุปสมบทบรรพชาในพระพุทธศาสนาไม่มีสิ่งใดเป็นอกุศล คือการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตของเราไม่มี การจะเลี้ยงสุราเมรัยก็ไม่มี การบำเพ็ญกุศลอย่างนี้จึงเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง

    ทีนี้สมมุติว่า เมื่อลูกชายของท่านบวชเข้ามาแล้วในพุทธศาสนา ถ้าปฏิบัติเลว อันนี้บั่นทอนความดีของบิดามารดาด้วย เพราะอะไร เพราะว่าถ้าปฏิบัติเลวทรามผิดธรรมวินัย เป็นอันว่ากรรมใหญ่ที่เป็นอกุศลเกิดขึ้นแก่บุตรของตน ทีนี้ถ้าหากว่าบุตรของตนปฏิบัติไม่ดี ปฏิบัติไม่ชอบ ไม่ประกอบไปด้วยพระธรรมวินัย ความเดือนร้อนก็เกิดขึ้น นั่นคือต้องถูกบังคับบัญชาลงโทษ ปฏิบัติไม่ชอบ ไม่ประกอบด้วยธรรมวินัย ความเดือดร้อนก็เกิดขึ้น นั่นคือต้องถูกผู้บังคับบัญชาลงโทษ

    เมื่อถูกผู้บังคับชาลงโทษแล้ว มักจะไปฟ้องบิดามารดาและญาติของตนว่า ถูกรุกรานจากผู้บังคับบัญชาของตน คราวนี้จะพาพ่อ แม่ พาญาติลงนรก คือตัวลงนรกคนเดียวไม่พอ ไปชวนพ่อ ชวนแม่ ชวนญาติพี่น้องลงนรกด้วย ก็ไปแจ้งกับบรรดาญาติพี่น้อง กับ บรรดาบิดามารดาของตนว่า เวลานี้บรรดาผู้บังคับบัญชาของตนรุกรานด้วยเหตุอย่างนั้น ด้วยเหตุอย่างนี้ ตอนนี้ทำอย่างไร
    จิตใจของพ่อแม่เกิดความไม่สบาย ดีไม่ดีโกรธผู้บังคับบัญชาหรือว่าพระผู้ใหญ่ที่ลงโทษ การโกรธ อารมณ์จิตเศร้าหมอง องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า

    จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคคติ ปาฏิกังขา

    ถ้ามีอารมณ์ของเราเกิดความเศร้าหมองขึ้นแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า ตายจากความเป็นมนุษย์ก็ไปทุคคติ

    ทีนี้สมมุติว่า กุลบุตรที่เข้ามาบวชในพุทธศาสนาปฏิบัติชอบด้วยธรรมวินัย
    ความผ่องใสของท่านผู้บวชก็มีขึ้นคือจิตผ่องใส ปราศจากอารมณ์ที่เป็นกิเลส แล้วต่อมาปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ คือเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน จนกระทั่งมีอารมณ์จิตชื่นบาน เข้าถึงปีติ


    คำว่าปีติ ในที่นี้ก็หมายถึงความว่า ยินดีในการปฏิบัติความดีในด้านพระธรรมวินัยอย่างหนึ่ง ยินดีในการเจริญสมถภาวนา วิปัสสนาภาวนา เกิดความชุ่มชื่นในการปฏิบัตินั้น อานิสงส์อันนี้ย่อมเกิดแก่กุลบุตรผู้อุปสมบทบรรชาในพุทธศาสนามากขึ้น เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบไว้ว่า

    ท่านผู้ใดก็ดี อุปสมบทบรรพชาเข้ามาแล้วในพระพุทธศาสนา วันหนึ่งทำจิตใจว่างจากกิเลสเพียงละหนึ่งชั่วขณะจิตเดียว

    นี่หมายความว่า วันหนึ่งมีเวลา 24 ชั่วโมง เวลานอกนั้นจิตฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ต่างๆ แต่ว่าตอนปฏิบัติพยายามคุมกำลังใจ ไม่พลั้งพลาดออกจากพระธรรมวินัย หรือเวลาใดเวลาหนึ่งก็ตามในวันนี้ทำสมาธิจิตให้เกิดขึ้น จะเป็นอารมณ์สมาธิก็ตาม หรือจิตผ่องใสทางด้านวิปัสสนาญาณก็ตาม วันหนึ่งเพียงชั่วขณะจิตเดียว จิตโปร่งจริงๆ ขณะนิดเดียว นาทีหนึ่งหรืองสองนาทีก็ตาม แต่ว่าทำได้ทุกวันไม่จำกัดเวลา อย่างนี้องค์สมเด็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า


    ท่านผู้นั้น บวชเข้าในพุทธศาสนาแม้แต่เพียง 1 วัน ก็ย่อมมีอานิสงส์ดีกว่าพระที่บวชเข้ามาในพุทธศาสนาตั้ง 100ปี มีศีลบริสุทธ์ไม่บกพร่อง แต่ก็ไม่ได้เลยเจริญสมาธิจิต

    ท่านบอกว่า อานิสงค์นี้คูณด้วยกำลังของแสน
    นี่ก็หมายความว่า เวลาที่เสวยทิพยสมบัติ เป็นเทวดาก็ดีเป็นพรหมก็ดี ตามกำหนดย่อมมีเสมอกัน คือ 60 กัป หรือบิดามารดาได้คนละ 30 กัป เป็นอันว่าความสุขที่จะพึงได้ และแสงสว่างที่พึงได้ รัศมีกายที่จะปรากฎความเป็นเทวดาย่อมมีผลต่างกัน ท่านผู้เจริญสมาธิคือทำจิตว่างจากกิเลสวันหนึ่งชั่วขณะจิตเดียว มีอานิสงส์แห่งความสุขดีกว่า มีรัศมีกายสว่างไสวกว่า




    ในเมื่อบุตรชายของท่านที่อุปสมบทบรรพชาเข้ามาพุทธศาสนาทำความประเภทนี้ ท่านจะไปพบผู้บังคับบัญชาหรือบุคคลใดก็ตามที ที่เขาเห็นบุตรชายของท่านทำความดีบวชเข้ามาแล้วปฏิบัติชอบในระบอบพระธรรมวินัย ทุกคนพรกันสรรเสริญ ทุกคนชื่นใจ ทุกคนมีศรัทธา สำหรับบิดาผู้เป็นญาติผู้ใหญ่ก็พลอยชื่นบานไปด้วย โมทนาความดี อันนี้องค์สมเด็จพระชินศรีบรมศาสดาตรัสว่า
    เพราะอาศัยความที่มีความชื่นบาน มีความผ่องใส มีความพอใจ มีธรรมปีติที่อาศัยลูกชายของตนประพฤติดีประพฤติชอบในระบอบพระธรรมวินัย
    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดากล่าวว่า
    จะมีอานิสงส์มาขึ้น

    หมายความว่า ถ้าเป็นเทวดาหรือว่าพรหม ก็มีรัศมีกายผ่องใสขึ้น จะเพิ่มความสุขยิ่งขึ้น

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย การที่นำลูกชายของท่านบวชเณรก็ดี เข้ามาบวชเป็นพระก็ดีในพระพุทธศาสนา สำหรับท่านบิดามารดาผู้ให้กำเนิด ให้เขาเกิดมาเป็นคน

    องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ย่อมมีอานิสงส์คุ้มแก่ค่าที่ท่านเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งเติบใหญ่

    ถ้าบังเอิญท่านผู้นั้นมีลูกชายบวชหลายคน ก็จงทราบว่าคนหนึ่งบิดามารดาได้อานิสงส์แห่งการบวชลูกชายในพระพุทธศาสนาเป็นพระคนละ 30 กัป ท่านก็นับไปก็แล้วกัน ถ้าบวชลูกชายเป็นเณรคนหนึ่งในพุทธศาสนาก็มีอานิสงส์คนละ 15 กัป สำหรับบิดามารดา ทีนี้บังเอิญท่านคลอดบุตรมาแล้ว ต่างคนต่างแยกกันหรือตายไปเสียก่อน องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาตรัสว่า อานิสงส์แห่งการอุปสมบทบรรพชา ย่อมมีผลแก่บุคคลผู้ตายแล้ว ถึงแม้ว่าไม่ได้โมทนา


    โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ธรรมปฏิบัติ เล่ม 1 หน้า 35-40
     
  15. kararama

    kararama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    963
    ค่าพลัง:
    +331
  16. kararama

    kararama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    963
    ค่าพลัง:
    +331
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Kzo9BGRzplQ"]http://www.youtube.com/watch?v=Kzo9BGRzplQ[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2013
  17. kararama

    kararama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    963
    ค่าพลัง:
    +331
    [​IMG]
     
  18. สีลสิกขา

    สีลสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    1,271
    ค่าพลัง:
    +7,137
    อ้าว...เอ๊ะ..อุ๊ย ทำไมหน้าตาคุณ kararama เหมือนนักร้องเลยล่ะ อ๋อ..มิใจ่
    เพราะมะด้ายใส่เสื้อขาวนี่นา อิอิ.. catt3
     
  19. kararama

    kararama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    963
    ค่าพลัง:
    +331
    555+ ผมหน้าดี สู้ พี่แสตมป์ ไม่ได้ หรอกครับ
     
  20. kararama

    kararama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2013
    โพสต์:
    963
    ค่าพลัง:
    +331
    [​IMG]
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...