หลังจากดับขันต์ไปแล้วพุทธเจ้ายังมีอยู่จริงหรือที่แดนนิพพาน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ตาแก่, 12 พฤศจิกายน 2008.

  1. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,082
    ค่าพลัง:
    +470
    ก็ทุกสิ่งเป็นแค่หนังไงครับ เรื่องจริงคือความคิดภายในใจ เมื่อคุณคิดอะไรคุณจะดึงดูดสิ่งนั้นออกมาทันทีตามกฏแห่งจักรวาล เมื่อคุณเข้าใจสิ่งนี้อย่างถ่องแท้สักวันคุณจะเข้าใจ แล้วคุณจะมองเห็น แล้วคุณจะเลิกยึดติดไปเอง ไม่ต้องมัวไปปลงหรอก
     
  2. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870

    นานอยู่เหมือนกันกว่า เพื่อนของพี่คนนี้ จะยอมพูด

    ได้เเต่ อนุโมทนา เพราะ ความกลัว

    เเต่เมื่อเขากล้าบิน เขาก็ไม่ยอมลดปีกลงอีกเลย ^ ^
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เป็นไปตามวาระ ของคนที่อยู่ในวังวนของความคิด

    ของความไม่จริง ของจินตนาการ

    พี่บอกได้แต่ว่า ความจริงคือสิ่ง ที่จับต้องได้

    ความคิด จินตนาการ คือ อวิชชา คือ ความไม่รู้

    จิตตน คือ สิ่งที่ควรเรียนรู้ เพื่อ รู้ความจริง ของตนเอง

    ถ้า จิตของตนคือ งูพิษ มันก็แว้งกัดตัวเอง

    ถ้า จิตของตน ไม่มีพิษแล้ว ก็คือ จิตบริสุทธิ์ คือพุทธะ ที่แท้จริง

    หาก ฝักใฝ่ในความคิด เป็นสรณะ ยึดเป็นความจริง

    สุดท้ายก็อยู่ที่เดิม แถมมีพิษมากขึ้น เพราะกำลังมากขึ้น

    เติมพิษให้ตนเองมากขึ้นทุกเวลา ที่เคลื่อนไป
     
  4. siratsapon

    siratsapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +641
    สาธุๆ กับคำถามของท่านตาแก่ คำถามนี้ผมเห็นว่าเป็นประโยชน์มาก หากเห็นถูกต้องจะทำให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างถูกที่ถูกทาง ผมได้อ่านหลายๆ ความเห็นที่ตอบๆ กันไปเห็นว่ามีผู้เข้าใจกันถูกบ้างผิดบ้าง อย่างไรผมขอตอบคำถามของท่านดังนี้ครับ

    ถาม : หลังจากนิพพานแล้ว ท่านยังมีอยู่หรือที่แดนนิพพาน

    ตอบ : จากคำถาม ผมจะตอบเป็นสองสภาวะด้วยกัน คือ ผู้ถึงนิพพานขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ กับผู้นิพพานหลังถึงการมรณะแล้ว

    ผู้ถึงนิพพานขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ได้แก่ผู้ที่สิ้นกิเลส สิ้นตันหา สิ้นอุปทานแล้ว เมื่อผู้นั้นบรรลุแล้วอย่างนี้ เขาย่อมถึงซึ่งพระนิพพานโดยอัตโนมัติ ที่ๆ เขาอยู่นี่ก็จะเป็นแดนนิพพานในปัจจุบันไปโดยปริยาย เวลาจะไปที่ไหน ที่นั่นก็เป็นแดนนิพพาน จะยืน เดิน นั่ง นอน ก็ในแดนนิพพาน

    ต่อไปผู้ถึงนิพพานหลังถึงการมรณะแล้ว ได้แก่ผู้ที่ตัดขาดวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด หรือเรียกตามศัพท์ว่าวงจรแห่งปฏิจสมุปบาท ชีวิตของเราโดยย่อ คือ ขันธ์ห้า หากวงจรเต็มเราจะเรียกว่า ปฏิจสมุปบาท คือ หลักการว่าเมื่อสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ ผู้ที่นิพพานแล้วเมื่อถึงการมรณะ คือ ตายไป เขาก็มิได้มีอวิชชาอีก เมื่อไม่มีอวิชชา ก็ไม่มีสังขาร เมื่อไม่มีสังขาร ก็ไม่มีวิญญาณ(จิต) เมื่อไม่มีวิญญาณ(จิต) ก็ไม่ได้มีนามรูป เมื่อไม่มีนามรูป ก็ไม่มีสฬายตนะ(อายตนะ) เมื่อไม่มีอายตนะ ก็ไม่มีผัสสะ เมื่อไม่มีผัสสะ ก็ไม่มีเวทนา เมื่อไม่มีเวทนา ก็ไม่มีตัณหา เมื่อไม่มีตัณหา ก็ไม่มีอุปทาน เมื่อไม่มีอุปทาน ก็ไม่มีภพ เมื่อไม่มีภพ ก็ไม่มีชาติ เมื่อไม่มีชาติ ก็ไม่มีชรา มรณะ เมื่อไม่มีมรณะ...ตรงนี้แหละที่เป็นแดนนิพพานของผู้ที่ดับขันธ์แล้ว

    คำว่า "ท่านยังมีอยุ่หรือที่แดนนิพพาน" ตามปรมัตถ์จริงๆ แล้ว "ท่าน" นั้นก็ไม่ได้มีอย่างที่กล่าวไป ผู้ที่ยังไม่ได้สดับธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมจะมีความยึดติดถึงมั่นว่าสิ่งนี้เป็นของเรา เป็นเรา เป็นอัตตาตัวตนของเรา ย่อมมีความสำคัญว่ามีเรา มีท่านอยู่ ซึ่งจริงๆ ท่านก็มิได้มี เพราะจริงๆ ท่านประกอบขึ้นมาจากรูปนามเท่านั้น มีเพียงสมมุติที่เรียกว่า "เรา" ว่า "ท่าน" เท่านั้น ดังนั้น จะเอาท่านไปอยู่ที่ไหนได้อย่างไร อย่างที่บอกไปในหัวก่อนว่าทุกอย่างล้วนเกิดจากปัจจัยสัมพันธ์ซึ่งกันและกันจึงเกิดขึ้น หากไม่มีปัจจัยอันทำให้เกิดแล้ว ตัดรากขาดแล้ว หมดเชื้อแล้ว หรือไฟ หรือผล หรือบางสิ่งบางอย่างที่จะมีต่อไปย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ นี่เรียกว่า เมื่อหมดเชื้อไฟ ไฟก็มิได้มี ผู้นิพพานแล้วรูปธรรม คือ ร่างกายก็คืนกลับสู่ธรรมชาติย่อยสลายกลายธาตุต่างๆ ไปตามกาลเวลา ส่วนนามธรรมก็มิได้ปรุงแต่งสืบต่อไปอีก ดับไปเป็นนิโรธ ดับสนิท


    ถาม : นิพพานมีอยู่จริงไหม?

    ตอบ : นิพพานนั้นมีอยู่จริง อย่างที่บอกไป เมื่อไรก็ตามที่เราสามารถหมดสิ้นกิเลส ตัณหา อุปทานได้ เมื่อนั้นแหละเรียกว่านิพพานเกิด ดังนั้นนิพพานจึงมีอยู่จริงอย่างนี้ เมื่อผู้นิพพานถึงกาลมรณะไปการไม่เวียนว่ายตายเกิดต่อไปอีกนั่นแหละที่เรียกว่านิพพาน หรือแดนนิพพาน แต่หากบอกว่านิพพานในความหมายถึงดินแดนต่างๆ คล้ายกับภพภูมิพิเศษอะไรอย่างนี้ ไม่มีอยู่จริงหรอกนะ

    ถาม : คนที่ยังไม่สำเร็จอรหันต์หรือถึงเป็นอรหันต์แล้วแต่ยังไม่ดับขันธ์จะไปเที่ยวแดนนิพพานได้หรือไม่ครับ

    ตอบ : ผู้ที่สำเร็จสภาวะจิตของอริยบุคคล มีโสดาปัตติผล เป็นต้นขึ้นไปนั้น ย่อมจะชิมลางนิพพาน หรือจะใช้คำของท่านตาแก่ก็ได้ว่าไปเที่ยวแดนนิพพานได้ แต่ได้แป๊บเดียวก็หลุดออกมาจากแดนนิพพานอีก ตรงนี้กล่าวแบบอุปมานะ กล่าวโดยการปฏิบัติก็คือ การที่เราหยุดปรุงแต่งเป็นสังโยชน์หยาบๆ ได้หมดสิ้น แต่เรายังไม่สามารถทำการหยุดปรุงแต่งสังโยชน์ละเอียดๆ ได้ หยุดได้บางครั้ง เป็นเพียงหยุดแบบละกิเลสนั่นแหละลงไปเพียงชั่วขณะ ซึ่งสภาวะที่เราหยุดละกิเลสได้ชั่วคราวนี้แหละ เราจะเรียกว่า นิพพาน หรือแดนนิพพานก็ได้ เรียกว่าหากเราคงสภาวะนี้ได้นานเท่าใด ย่อมหมายถึงเราคงสภาวะนิพพานเป็นอารมณ์ได้นานเท่านั้นนะ

    ผมตอบเพียงย่อๆ เท่านี้หวังว่าท่านตาแก่คงจะเข้าใจมากขึ้นนะครับ หากต้องการจะทราบอะไรเพิ่มเติมเชิญถามได้ครับ

    ขอให้เจริญในธรรม
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    กล่าวเสริม เคขวัญ

    การอยู่กับคิด เห็นคิดเป็นสัจจ จะเกิดอะไรขึ้น

    เช่น

    เรายึดความคิดว่า พ่อแม่รักกัน แต่วันหนึ่งเห็นพ่อทำผิด แม่กลับต่อว่า ดูเหมือน
    ไม่รักกัน นานวันยิ่งทำให้ครอบครัววุ่นวาย แทนที่แม่จะยอมพ่อ เพราะพ่อเป็น
    ฝ่ายชาย แม่เป็นเพียงผู้หญิง

    ยึดความคิดเป็นจริงที่ว่า พ่อเป็นฝ่ายชาย แม่เป็นเพียงผู้หญิง

    เมื่อทำบ่อยๆ คิดบ่อยๆ จิตใจเราจะต่ำทรามลงเรื่อยๆ ทั้งที่
    มันดูเหมือนเป็นความจริง ทั้งนี้เราปฏิเสธความเป็นจริงที่
    ปรากฏ ไปยึดเอาความคิดเป็นหลัก

    คนที่ยึดความคิดเป็นหลัก ถ้าอย่างกรณีที่ยกตัวอย่างมานั้น
    ส่วนใหญ่โตขึ้นมาจะขาดคุณธรรม แถมยึดคิดไว้เหนียวแน่น
    เป็นสรณะ

    จริงๆ ง่ายนิดเดียว ให้เห็นว่า ไอ้ที่คิดนะ มันไม่ใช่ความจริง
    เป็นเพียงอะไรที่ลั่นมาเป็นสัญญาหมายมั่นให้รู้

    ความรู้ชนิดนี้ รู้แล้วก็ละวางไม่ได้จริง มันมีแต่ยิ่งรู้ยิ่งแย่
    ยิ่งร้อน ยิ่งพลาด พล่าน

    จะเห็นว่า การนัวเนียอยู่กับการยึดว่าความคิดคือความจริง

    แล้วพยายามคิดเพื่อแก้ตัวคิด มันก็ยิ่งคิดยิ่งไม่จริง แก้ปัญหา
    ไม่ได้

    แต่สิ่งที่อยู่เหนือความคิด อยู่ก่อนคือ ลองตรองดูว่า ใช่ความ
    รู้สึกไหมที่มันอยู่ก่อนหน้า

    แต่บอกก่อนนะว่า ความรู้สึกที่อยู่หน้าอาการคิดก็ยังไม่ใช่ส่วน
    ที่จะทำให้เห็นทางแก้ที่แท้จริง
     
  6. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,082
    ค่าพลัง:
    +470
    เอางี้ดีกว่า ถ้าคุณพิจารณาแล้วคุณเห็นว่าผมพูดไม่จริงก็คิดซะว่าเป็นเรื่องแต่งสนุกๆ เพื่อความบันเทิงกันไปละกัน จะได้ไม่ต้องมาแก้ตัวทีหลัง +ฮ่าๆๆ
     
  7. pmicrobes

    pmicrobes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    623
    ค่าพลัง:
    +112
    การปฏิบัติธรรมไม่มีอะไรที่น่าสงสัย ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่จิต ได้ไม่ได้อยู่ที่ตัวเราเป็นผู้กำหนด ถ้าอยากโน่นอยากนี่จิตไม่สงบมันจะสำเร็จได้ไง สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  8. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,082
    ค่าพลัง:
    +470
    อย่าละทิ้งความปรารถนาของตัวเองนะครับ ความปรารถนาที่พวกคุณต้องการก็ดี ที่ซ่อนอยู่ก็ดี ที่ทำเป็นลืมก็ดี มันไม่สามารถเป็นจริงได้หรอกถ้าคุณหันหลังให้กับมันแล้วทำแค่ปลงไปวันๆน่ะครับ จริงๆแล้วโลกมนุษย์มันก็แค่เรื่องง่ายๆ
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ก็ อย่างว่า แหละ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

    จะถูก จะผิด เรียนรู้ได้ด้วยตนเองเท่านั้น

    เวลา จะเป็นเครื่องตัดสิน ว่าที่ผ่านมา ทำถูก หรือ ผิด

    เพราะ สุดท้าย คนที่รับผล ก็คือ ตัวเอง ตัวตน ของตัวเอง

    โลก ก็ หมุนไม่เคยหยุด จะให้จิตที่หมุนแล้ว ยอมหยุดเอง

    ก็ต้องให้จิตนั้น เรียนรู้ ทุกข์ เรียนรู้ ความผิดพลาด ของตนเอง

    คนที่สร้างเหตุ ก็ร่วมเหตุอยู่ในนั้น เป็น กงกรรม กงเกวียน วนเวียนใช้กรรม กันไป

    จนกว่า จะยอม อโหสิกรรม ด้วยความจริงใจต่อกัน ถึงจะหลุดพ้นไปได้
     
  10. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,082
    ค่าพลัง:
    +470
    ถ้าหากท่านมองเห็นความปรารถนา แล้วท่านจะเข้าใจความสุขที่แท้จริง และท่านจะไม่สามารถอธิบายมันออกมาได้นั่นเอง
     
  11. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    อนุโมทนา ครับ ^-^
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    มีแต่ตน ที่ช่วยตนเอง ให้พ้นทุกข์

    คนที่ทุกข์ ก็คือ คนที่ยึดมั่น ถือมั่น ไม่ปล่อยวาง

    คนที่ไม่ทุกข์ แล้ว ก็ รอดตัวไป อยู่แบบ ไม่ต้อง ทน ทุกข์ ก็ ยังดี

    คนที่ทำร้ายตัวเอง ก็มีแต่ตัวเองที่รับทุกข์นั้น
     
  13. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,082
    ค่าพลัง:
    +470
    โลกนี้คือละครนะครับ ถ้าอยากออกจากฉากละครก็ต้องมองให้ออกว่าละครเรื่องนี้ดำเนินไปอย่างไร ตัวละครต้องการอะไรระหว่างเรื่อง และละครบทนี้ตัวเอกต้องการจบเรื่องแบบไหน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2008
  14. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,082
    ค่าพลัง:
    +470
    ต่อให้คุณจะมาเถียงคำให้การของผมขนาดไหนนะครับ คุณก็ไม่สามารถเปลี่ยนสัจธรรมที่แท้จริงได้ แต่ถ้าคุณหมดความลังเลสงสัยในความสามารถของตัวเองและเชื่อตัวเองอย่างหมดใจว่าจะเข้าถึงสัจธรรมที่แท้จริงได้ละก็ คุณก็จะมองเห็นพระพุทธพระเจ้าได้เมื่อนั้น แล้วจะได้รู้ซะทีว่าโลกมนุษย์คืออะไร นรก สวรรค์คืออะไร ความสุขคืออะไร ความทุกข์คืออะไร ความสุขที่แท้จริงนั้นคืออะไร ผมหมดความยึดติดในแต่ละศาสนาแล้ว ผมเชื่อแค่เพียงหลักธรรมของแต่ละศาสนาที่แท้จริงเท่านั้น
    อิๆๆ
     
  15. yindee1917

    yindee1917 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +211
    ถ้ารู้ว่าเปลวเทียนดับแล้วไปไหนก็จะรู้คําตอบเอง
     
  16. Add-on

    Add-on Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2008
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +64
    อยากรู้ก็ต้องลองด้วยตัวเอง
     
  17. TaeyoLySiS

    TaeyoLySiS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +278
    เป็นคำถามที่ใคร ใคร ก้ออยากรู้
    ทางแสวงหาคำตอบที่น่าจะได้รับคำตอบที่ถูกต้องตามความเป็นจริงภายใต้กฏไตรลักษณ์
    ก็มีอยู่แ่น่นอนคือ เป็นพระอรหันต์ ส่วนหนทางเพื่อเป็น ก็มีบอกไว้แล้ว
    หรืออยากจะค้นพบหนทางเดียวกันนี้ด้วยตนเองก็ไม่ว่ากัน

    ส่วนข้าพเจ้าก็ยังเสมือนคนตาบอดที่เพียงได้รับคำบอกเล่าถึงสภาวะอย่างนี้
    และเข้าใจถึงมันด้วยปัญญาที่มีอยู่เท่าหางอึ่ง แต่เพียงว่า

    มีกลไกอย่างหนึ่งทำงานอยู่บนหลัก cause&effect

    เหตุเกิดขึ้นตามปัจจัยต่างๆ
    (ขอลบคำว่า บังเอิญ ออกไปจากพจนานุกรม เนื่องจากอยู่ภายใต้หลัก cause&effect
    คำว่า 'บังเอิญ' เกิดจาก 'เหตุ'ที่เราไม่รู้ที่มาของ'ปัจจัย' เราจึงมักจะใส่ชื่อเรียกมันว่า 'ความบังเอิญ')


    ขอเน้นที่ สิ่งเจ้าปัญหาเลยละกัน
    {สุข, ทุก, เฉย} คือ ผลสุดท้าย และแน่นอนมันอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์

    กฏไตรลักษณ์แสดงบทบาทบนสเกลเวลา นั่นคือ มิติของเวลาเป็นเ้ส้นตรง
    หรือที่เวลาเรานึกถึงเส้นเวลา มักจะนึกถึง อดีต ปัจจุบัน อนาคต
    เมื่อเวลาเป็นเ้ส้นตรง จะได้ความจริงว่า
    "อดีตแก้ไขไม่ได้ และอนาคตก็ยังมาไม่ถึง"

    ผล=ผลสุดท้าย={สุข, ทุก, เฉย}

    เหตุ ->
    ผล --- (* )
    ผล=(เกิดผล-> ผลตั้งอยู่-> ผลดับไป) --- (**)

    มีวิธีที่จะทำให้กลไก (**) กลายเป็น

    ผล=[เกิดผล-> ผลดับไป] --- (***)

    ผลตั้งอยู่ หายไป จาก (**) นั้นคือ ปริมาณเวลาของเหตุการณ์บนกลไกนี้เป็น 0

    เหลือเพียง ผลเกิดและดับไปลงทันทีภายในเสี้ยวๆๆๆๆๆๆๆๆๆวินาที

    ดังนั้น เหตุ -> ผล --- (* ) กลายเป็น
    เหตุ -> [] --- (****)

    โดย [] คือ ผลที่เกิดดับลงภายในเสี้ยวๆๆๆๆๆๆๆๆๆวินาที
    เมื่อเทียบกับสเกลเวลาหยาบๆเป็นวินาที

    [] ตัวนี้ บางทีเราก็พูดถึงมันว่า เกิดแล้วตายลงบัดนั้น รู้แล้ววาง ฯลฯ

    สรุป
    หนึ่ง ถ้าเราเข้าใจหลักการของกลไก และกฏที่เกี่ยวข้อง
    สอง เข้าใจกลไกการทำงานของมัน

    สุดท้ายที่ยากสุดๆๆๆๆ
    สาม เข้าใจและสามารถทำให้ (* )->(****)
    ซึ่งจะเปลี่ยนสมการของกลไกนี้ไปตลอดเป็น (****)

    เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนที่พึงยอมรับและเข้าใจ กฏที่ว่า
    กลไกจิตคนธรรมดากลายเป็นกลไกจิตพระอริยะแล้ว
    ไม่มีทางกลายกลับเป็นกลไกจิตคนธรรมดา


    นี่หมายความว่า กลไก (จริงๆน่าจะเป็นรูป network ที่ซับซ้อน โยงไปมา)
    ..->cause(1)->effect(1)->cause(2)->effect(2)->cause(3)->effect(3)->...
    ^interrupt
    โดย interrupt ก็คือ กลไกแทรก เมื่อถึงเวลาแสดงผลของเหตุเนื่องแต่ในอดีต หรือ กรรมเก่ามาแสดง นั่นแหละ
    ..->cause(a)->effect(a)->cause(b)->effect(b)->cause(c)->effect(c)->...
    นั่นเแปลว่า cause(2) ที่เกิดจาก effect(1)
    ยังจะไม่แสดงผล แต่จะแสดงผลแน่นอนในรูปแบบ interupt เมื่อถึงเวลา

    แล้วกลไกจะกลายเป็น แบบนี้ รึป่าว เมื่อnetworkที่ซับซ้อนถูกทำลายซะแล้ว
    ..->cause(n )->[]->
    ->cause(o )->[]->
    ->cause(p)->[]
    ...
    หลักอย่างหนึ่งบนกฏ cause&effect ก็คือ
    effect จะกลายเป็น cause ต่อไปในกาลข้างหน้า

    cause(n ),cause(o ),cause(p) มาจากกลไก interupt
    เพราะมันไม่มี effect ปัจจุบัน
    กลไกแห่งวงล้อตายเกิดของcause&effect
    กำลังไม่มีเชื้อเพลิงเพื่อดำเนินตัวมันเองต่อไปซะแล้ว
    และท่อน กลไก
    ->cause->[] แบบนี้
    มันก็ไม่มีผลต่อตัวกลไกเองด้วยซ้ำ




    เหอ เหอ เข้าใจตามประสาคนตาบอด อ่ะนะ
    กลไกก็เป็นของมันอย่างนั้น
    กฏก็มีอยู่อย่างนั้น
    วิธีหยุดการดำเนินต่อไปของกฏก็มีอยู่เหมือนกัน

    คิดจะหยุดกลไก หรือ ปล่อยให้กลไกมันวิ่งต่อไป ก็แล้วแต่กลไกนั้นๆ
     
  18. Orora416

    Orora416 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +112
    คำตอบนี้ใกล้เคียงกับความเข้าใจของเรา
    ฟังได้ อ่านได้ แล้วก้อวิปัสสนึกกันไป

    พอไปถามผู้รู้ ก็ได้รับคำตอบสั้นๆ ว่า

    "นิพพานที่เขา่ปรารถนามานานนั้น ไม่ได้เป็นดินแดนอะไรอย่างที่เขาว่ากัน มันอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก ตรงหน้าเรานี่เอง"
    ผู้ถามก้ออึ้งกิมกี่

    เปรียบได้กับนิทานที่เล่าว่า
    ยกตัวอย่างเช่น เต่ากับปลา เต่าอยู่ได้สองโลกคือ โลกบนบกกับโลกในน้ำ ส่วนปลาอยู่ได้โลกเดียวคือในน้ำ ขืนมาบนบกก็ตายหมดฯ

    วันหนึ่งเต่าลงไปในน้ำ แล้วก็พรรณนาความสุขสบายบนบกให้ปลาฟัง ว่ามันมีแต่ความสุขสบาย แสงสีสวยงาม ไม่ต้องลำบากเหมือนอยู่ในน้ำฯ

    ปลาพากันฟังด้วยความสนใจ และอยากเห็นบก จึงถามเต่าว่าบนบกนั้นลึกมากไหม เต่าว่ามันจะลึกอะไร ก็มันบกฯ

    เอ บนบกนั้นมีคลื่นมากไหม มันจะคลื่นอะไร ก็มันบกฯ

    เอ บนบกนั้นมีเปือกตมมากไหม มันจะมีเปือกตมอะไร ก็มันบกฯ

    ให้สังเกตดูคำที่ปลาถาม เอาแต่ความรู้ที่มีอยู่ในน้ำมาถามเต่า เต่าก็ได้แต่ปฏิเสธ
     
  19. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    **********
    การจะรู้ว่านิพพานคืออะไรนั้นจะต้องรู้ความหมายของคำว่านิพพานให้ถูกต้องเสียก่อน
    คำว่านิพพานมาจากอักขระบาลีที่ใช้บัญญัติกฎแห่งกรรมคือ [นิปน] อ่านว่า นิปะนะ แปลว่า คนดีที่สั่งสมความดี
    มาจากคำว่า [นิวน] อ่านว่า นิวะนะ แปลว่า คนดีที่รู้จริงว่าการทำความดีคืออย่างไร เฉกเช่นพระพุทธเจ้า

    [ว] อ่านว่า วะ แปลว่าตัวชี้วัดตามกฎแห่งกรรม
    [วน] อ่านว่า วะนะ แปลว่าตัวชี้วัดความดี
    [วย] อ่านว่า วะยะ แปลว่าตัวชี้วัดความชั่ว
    [ย] อ่านว่า ยะ แปลว่าความชั่ว
    [น] อ่านว่านะ แปลว่าความดี

    นิพพานจึงแปลว่าคนดีที่สั่งสมความดี คนดีที่รู้ว่าความดีต้องทำอย่างไร

    แดนนิพพานเป็นอย่างไร
    นิพพานเป็นดีที่สั่งสมความดี แดนนิพพานคือแดนที่คนดีต้องได้รับผลของการทำความดี คือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สำหรับสตรีที่ทำความดี คือสวรรค์ชั้นดุสิตสำหรับบุรุษที่ทำความดี เป็นสวรรค์ชั้นสิขาวดีหรือพุทธภูมิสำหรับพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระอรหันต์ พระอนาคามี เทพเซียนจากเต๋า รวมทั้งพระผู้สร้างเท่านั้น

    หากทำความชั่ว [นิรยม] อ่านว่า นิระยะมะ แปลว่า คนดีที่ความดีลดลงเพราะการทำความชั่ว แดนสำหรับคนชั่วคือนรกภูมิ นั่นคือข้อเท็จจริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2008
  20. เทพอัสนี

    เทพอัสนี สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +2
    ท่านสีอานปล่อยไก่ออกมาตัวเบ่อเร่อเลยรู้หรือเปล่า
    ท่านสีอานรู้ความหมายของนิพพาน แปลว่าท่านรู้จักนิพพานแล้วหรือ
    แดนนิพพานคือ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และ สวรรค์ชั้นดุสิต และ สวรรค์ชั้นสุขาวดี อย่างนั้นหรือ
    ท่านเป็นนักภาษาศาสตร์กระนั้นหรือ
    คิดไปได้เนอะ หุๆๆๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...