หลวงพ่อสำเร็จศักดิสิทธิ์ /รวมเรื่องหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 12 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    อาจารย์ยอด : อาถรรพ์ถ้ำเชียงดาว [ลึกลับ]

    อาจารย์ยอด
    149,368 views Feb 7, 2023
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ๒๖๖.ผีป่าแย่งร่าง ธุดงค์ป่ารัฐฉาน

    thamnu onprasert
    Feb 3, 2023
    หญิงสาวและสามี ไปนอนหลับอยู่กลางดง ระหว่างหลับไหล เธอถูกนางผีป่าเข้าสวมร่าง แย่งสามี ส่วนเธอกลายเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนอยู่กลางดงน่าเวทนา!
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    หลวงปู่ถวิล สุจิณโณ - อรหันต์สันโดษ

    หลวงตา
    247,860 views Dec 5, 2022
    หลวงปู่ถวิล สุจิณฺโณ วัดป่าสุจิณโณ อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น
    --> https://www.ariyaesan.com/shop/all/7655/

     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    บุญถวายน้ำนม มีพลังปราบยักษ์

    thamnu onprasert
    Jan 20, 2023
    ชายหนุ่มผู้หนึ่งได้ถวายนมสดแด่พระพุทธเจ้าและหมู่สงฆ์ด้วยจิตศรัทธาเลื่อมใส ด้วยอานิสงส์แห่งบุญทำให้เขามีกำลังมหาศาล สามารถต่อสู้กับยักษ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์! แก้คำอ่านผิดครับ "อะนันโท" ให้แก้เป็น "อันนะโท" นะครับ กราบขออภัยทุก ๆ ท่านครับ

     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    แม่ชีแสดงฤทธิ์ เหาะลอยอยู่เหนือวัด หลวงปู่จวนมองเห็น จึงเหาะไปไล่ให้ลงมา

    ปู่ดอน station
    Feb 8, 2023
    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้เมตตาเล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังว่า มีแม่ชีอยู่คนหนึ่ง อยู่อำเภอบ้านม่วง ชื่อแม่ชีโสดา แกไปภาวนากับหลวงปู่จวนที่ภูทอก ภาวนาดีจนเกิดมีฤทธิ์มีเดช ยามค่ำคืนดึกๆ แม่ชีได้แสดงฤทธิ์ เหาะลอยอยู่บนอากาศเหนือวัดภูทอก หลวงปู่จวนเดินจงกรมอยู่ มองเห็นเข้า ท่านเลยต้องเหาะไปไล่แม่ชีให้ลงมา..

    more :- > https://palungjit.org/threads/พระอร...ดา-โสสุด-ผู้ถอดกายทิพย์เหาะเหนือภูทอก.224993/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2023
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    27500333_1552038154832674_8098339147628974479_o.jpg
    ประวัติคุณยายชีโสดา โสสุด

    วันนี้วันที่ ๑ กุมภาพันธ์เป็นวันคล้ายวันละขันธ์ครบรอบ ๙ ปีของคุณยายชีโสดา โสสุด แห่งสำนักปฏิบัติธรรมทิพยสถานวิสุทธิมรรค ต.ดงหม้อทองใต้ อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร คุณยายชีโสดา โสสุด ท่านเป็นผู้รู้แจ้งแทงตลอดในพระธรรมจึงไม่มีความอาลัยอาวรณ์และไม่ยึดมั่นในเบญจขันธ์ อันเป็นเชื้อแห่งการเกิดในภพชาติอีก ท่านพากเพียรปฏิบัติธรรมอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ แห่งวัดภูทอก คุณยายชีปฏิบัติอย่างจริงจัง ทั้งเดินจงกรม นั่งภาวนาจากหัวค่ำจนรุ่งเช้าอีกวัน ครั้งนึงหลวงปู่จวนเรียกคุณยายชีไปอบรมว่า “ตู้จ่อย(ปกติหลวงปู่จวนเรียกคุณยายชีว่าตู้จ่อย เพราะคุณยายมีรูปร่างเล็ก) ตู้จ่อย ห้ามไม่ให้ถอดกายทิพย์ลอยเหนือภูทอก เพราะอยู่บนหัวพระเณร เดี๋ยวจะเป็นบาป” คุณยายชีโสดา โสสุด ท่านปฏิบัติเป็นแบบอย่างอันดีงาม เคารพครูบาอาจารย์และต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ ในเส้นทางอริยมรรคมาอย่างยาวนาน จนถึงการสิ้นสุดลงแล้วของวัฏสงสาร ทั้งชาติ คือความเกิด ชรา คือความแก่ พยาธิ คือความเจ็บ และสุดท้าย มรณา คือความตาย ขอน้อมนำประวัติคุณยายชีโสดา โสสุด มาเผยแพร่เพื่อน้อมบูชาคุณอริยสาวิกาแห่งภูทอก

    “สติอย่าได้หวั่นไหว สติเป็นรั้วรอบของจิต อย่าให้จิตเศร้าหมอง ให้จิตผ่องใส ให้จิตประภัสสร เหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งออกจากท้องแม่” ธรรมคำสอนของคุณยายชีโสดา โสสุด

    • ชาติภูมิ
    คุณยายชีโสดา โสสุด มีนามเดิมว่า นางโสดา เทพคำดี เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๖๓ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๒ ค่ำ เดือนอ้าย ปีวอก เป็นบุตรสาวคนโตของนายคำสิงห์ และนางเจือ เทพคำดี บ้านเดิมอยู่อำเภอคำชะอี ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่บ้านโพนไค ตำบลมาย อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร เป็นชนเผ่าภูไท จบการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ ชีวิตครองเรือน คุณยายโสดา อาชีพค้าขาย ได้ สมรสกับนายลี เคนยา มีลูกด้วยกัน ๑๒ คน เสียชีวิตในวัยเยาว์ ๑๐ คน เหลือชาย ๑ หญิง ๑

    • อุปนิสัย
    คุณยายชีมีอุปนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตน โอบอ้อมอารี มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๐ เป็นต้นมา ท่านไม่ยอมฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ฉันชอบทำบุญเข้าวัดรักษาศีลเรื่อยมา เมื่อถึงวันพระท่านจะปิดร้านค้าเข้าวัด เพื่อรักษาอุโบสถศีล บำเพ็ญภาวนา ถ้าไม่ห่วงเรื่องครอบครัว เพราะท่านมีฐานะดี ปานกลาง ซึ่งท่านคาดหวังว่าในบั้นปลายชีวิต จะออกบวชชีและจบชีวิตใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนาเหมือนกับคุณพ่อและคุณแม่ของท่าน

    • การออกบวชชี
    พ.ศ.๒๕๑๘ เมื่อลูกชายของฉันเรียนจบสอบบรรจุครูได้รับราชการแล้ว หลังจากนั้นหกเดือน ลูกชายได้รับเงินตกเบิกเป็นเงินหกพันกว่าบาทนำมามอบให้ท่าน และท่านก็ขออนุญาตนำเงินจำนวนนั้นไปใช้หนี้สินที่จ้างติดค้างอยู่ประมาณสองพันบาท และบอกกับลูกชายว่า ท่านอย่างบวช ฉันรอเวลานี้มานานแล้ว พ่อท่านไม่มีห่วงอะไรนอกจากลูกชาย เมื่อลูกชายมีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่งแล้ว เรื่องจริงขออนุญาตออกบวช ลูกชายขอร้องไว้ไม่ให้บวชในช่วงนั้น เพราะต้องการเลี้ยงดูท่านตามหน้าที่ของลูก แต่ท่านบอกว่าท่านสบายดี ขอให้ท่านบวชเถอะ แม้การบวชของท่านจะทุกข์ขนาดไหน สำหรับทุกข์กายท่านจะอดทน เพราะมีความสุขใจ ที่ท่านได้บวชตามใจที่ท่านปรารถนา เมื่อเห็นฉันพูดอย่างนั้น ลูกชายก็อนุโมทนา ไม่ขัดขวาง หลังจากท่านได้รับอนุญาตจากลูกชายแล้ว ท่านก็ปรึกษากับพ่อลีและลูกสาวของท่าน คุณยายว่า ท่านจะลองบวชดูซะ ๑ พรรษา ในช่วงที่ท่านบวชนี้ หากพ่อลี่คิดอยากมีเมียใหม่ ท่านก็จะจัดพิธีแต่งงานให้เป็นที่เรียบร้อยเสียก่อน ฮักบุญบวชท่านหมด สร้อยก็จะกลับมาอยู่กับลูก เมื่อทุกคนเห็นความตั้งใจจริงของท่านแล้ว จึงพากันอนุโมทนา

    ท่านบอกว่าจะไปบวชกับหลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ เจ้าอาวาสวัดภูทอก หลวงปู่จวนทำพิธีบวชให้ในวันที่ ๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๙ หลังจากท่านบวชเป็นแม่ชีแล้ว ท่านก็ขออนุญาตหลวงปู่จวน ขอแยกจากหมู่คณะแม่ชี ไปปลูกกุฏิอยู่ตามลำพังผู้เดียว ซึ่งห่างจากหมู่คณะประมาณ ๓๐๐ เมตร ขณะนั้นปกติมีแม่ชีอยู่เป็นหมู่คณะและมีแม่ชีอยู่ด้วยกัน ๒๔ รูป

    หลังจากหลวงปู่จวนอนุญาตให้ท่านแยกออกจากหมู่คณะแล้ว ท่านก็มีเวลาบำเพ็ญเพียรกรุณาอย่างเคร่งครัด โดยช่วงเช้าหลังจากฉันอาหารเสร็จ ท่านจะตั้งจิตอธิษฐาน เดินจงกรมเป็นเวลา ๒ ชั่วโมง ในเวลาบ่ายท่านเดินจงกรมเป็นเวลา ๓ ชั่วโมง ทุกวันท่านจะปฏิบัติเช่นนี้เป็นกิจวัตรประจำวัน เพราะช่วงกลางคืนหลังจากสวดมนต์ ฟังคำอบรมสั่งสอนจากหลวงปู่จวนเสร็จ คุณยายจะไปนั่งสมาธิเป็นเวลา ๔ ชั่วโมง บางราตรีก็สว่างจนตลอดทั้งพรรษา ถ้าปฏิบัติอย่างนั้นจนครบตลอดทั้งพรรษามิได้ขาด หลังจากออกพรรษาแล้ว หลวงปู่จวนท่านอนุญาตให้คุณยายชีเจริญภาวนาบำเพ็ญภาวนาอย่างเต็มที่ และให้ท่านมีอิสระส่วนตัวและปฏิบัติด้วยตนเองตลอดมา

    ในพรรษาที่สอง ลูกชายที่เป็นครู ได้ลาอุปสมบทที่ภูทอก ซึ่งขณะที่บวชเป็นพระ ได้บิณฑบาตเลี้ยงโยมแม่ตลอดพรรษา ในคืนสุดท้ายของพรรษา พระลูกชายขอลาสิกขา หลวงปู่จวนเลยถามว่า “ใครจะไม่สึก” คุณยายชีโสดา ตอบหลวงปู่ว่า “ข้าน้อยขอบวชจนตลอดชีวิตนี้ โสสุดแล้ว ขอตายในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์” หลวงปู่จวนเลยตั้งฉายาให้คุณยายชีโสดาว่า “คุณแม่ชีโสดา โสสุด” ตั้งแต่นั้นมา

    • ปฏิปทาจริยวัตร
    ปฏิปทาและจริยวัตรที่น่าเคารพเลื่อมใสของคุณยายชีโสดา โสสุด เป็นสิ่งที่ลูกศิษย์ทั้งหลายสมควรเอาเป็นแบบอย่างในคุณงามความดีที่คุณยายชีด้วยพากเพียรประพฤติปฏิบัติในสิ่งต่างๆเหล่านี้ คือ

    • เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ
    การปฏิบัติธรรมของคุณยายชีโสดา โสสุด ดำเนินตามแนวปฏิบัติธรรมของพระธุดงคกรรมฐานและพระอริยสงฆ์ผู้เป็นพระบุพพาจารย์ พี่หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ ดังนั้นท่านจึงมุ่งแต่ภาวนาตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์อย่างเคร่งครัดตลอดทั้งช่วงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่เข้าพรรษา และออกจากพรรษา ท่านปฏิบัติกิจอันควรในบวรพระพุทธศาสนาไม่เคยว่างเว้น

    • ความกล้าหาญ มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว ในอรรถในธรรม
    คุณยายชีโสดา โสสุด เคยได้ตั้งสัจจะปฏิบัติภาวนาอยู่ในทางจงกรมด้วย ๓ อิริยาบถ ได้แก่ การยืน เดิน นั่งภาวนา ไม่นอน เป็นเวลา ๙ เดือน เท่ากับระยะเวลาที่ได้อยู่ในท้องแม่ แสดงให้เห็นถึงปฏิปทาที่ตั้งมั่น ตามรอยทางของพ่อแม่ครูอาจารย์อย่างมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว คุณยายชีเคยพูดว่า เมื่อใดที่มีความเกียจคร้าน ง่วงเหงาหาวนอน ให้เตือนตนเองว่า “เรานอนอยู่ในท้องแม่ เป็นเวลาตั้ง ๙ เดือนแล้ว ...เรายังมีเวลาได้นอนอีกนาน ต่อแต่นี้เราจะลุกขึ้น ไม่นอนอีกแล้ว”

    • อุบายธรรมของหลวงปู่จวน ที่ทดสอบคุณยายชี
    ครั้งหนึ่งที่ภูทอก หลวงปู่จวน ได้มีอุบายทำให้แม่ชีออกไปจากภูทอก และมีหมอดูมาทำนายว่า พระแม่ชีไม่ออกไปจากภูทอกจะตายภายใน ๗ วัน ๗ คืน แต่คุณยายชี้ไม่ไปไหน ยังคงอยู่ที่ภูทอก และปฏิบัติกิจเช่นเดิม จนวันหนึ่งหลวงปู่จวนได้เรียกคุณยายไปซักถาม
    หลวงปู่จวน “ตู้จ่อย ไหนลองว่ามาซิ ไล่อย่างไรก็ไม่ไป”
    คุณแม่ชีโสดา “หลวงปู่จวน บ่ ได้ไล่ข้าน้อย หลวงปู่ไล่กิเลสข้าน้อยต่างหาก”
    หลวงปู่จวน “นี่แหละ เพชรน้ำหนึ่งของภูทอก เป็นหนึ่งแล้วจริงๆ”

    • ความเคารพนอบน้อมในพระสัทธรรม
    คุณยายชีก็เป็นผู้ที่เคารพพระธรรมมากและมีความนอบน้อมต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์ พระภิกษุและสามเณรทุกรูป ทุกนาม สังเกตจากจริยวัตรของท่านที่งดงามเรียบร้อย โดยเฉพาะเมื่อพ่อแม่ครูอาจารย์แสดงพระธรรมเทศนา ไม่ว่าต่อหน้าองค์ท่าน หรือในทีวี วิทยุ ท่านจะตั้งใจฟัง นั่งพับเพียบเรียบร้อย และมักจะไม่เปลี่ยนอิริยาบถ หากท่านยังแสดงพระธรรมไม่จบ คุณยายชีฟังพระธรรมเทศนาขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนเป็นประจำ และมักเขียนท่านยกมือขึ้นเหนือศีรษะด้วยความเคารพบูชาองค์หลวงตาอย่างสูงสุด

    • จากบันทึกด้วยลายมือของคุณยาย
    “จิตขาวคือนวลฝ้าย แยงเบิ้งกายก็เป็นแก้วเป็นแว่น แม่นละน้อฮานี้ พระธรรมเจ้าเข้ารักษา”
    บันทึกเมื่อ เมษายน ๒๕๕๑

    “ข้าสิเอาตนข้าม หนองกระแสแสนยาน ข้ามพ้นแล้ว นางแก้วบ่ตาวคืน
    เทวดาอยู่ฟ้าโมทนาชมชื่น ปานว่าได้หมื่นแก้ว มาเข้าใส่ถุง
    สงสารนี้คือกันทั้งโลก ขั้นผู้ใดบ่ข้าม โคกกว้างซิเทียมไซ้อยู่เลิง”
    บันทึกเมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

    • การอาพาธ
    ปกติคุณยายชีโสดา โสสุด มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่ใคร่จะเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าท่านมีอาการเจ็บป่วย ในบางครั้งฉันจะภาวนารักษาอาการป่วยของท่านด้วยธรรมโอสถ ในเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๑ คุณยายได้ลื่นล้มในห้องน้ำ ทำให้ท่านเริ่มเจ็บป่วยมาโดยลำดับ จนถึงวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๒ อาการได้ทรุดหนัก ฉันอาหารไม่ได้ ฉันได้เฉพาะน้ำหวาน น้ำเปล่า น้ำอุ่น ครั้งละ ๒ ช้อนชา ตลอดเวลาที่ท่านป่วย ท่านได้รับความเมตตาจากท่านพระอาจารย์ตุ๊ หรือหลวงพ่อเติมศักดิ์ ยุตฺตธัมโม วัดป่าดงพระ จ.สกลนคร ผู้เป็นศิษย์หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐผู้หนึ่ง ปกติแล้วท่านได้ช่วยให้การอุปการะดูแลสำนักปฏิบัติธรรมของคุณยายชีโดยเสมอมา ท่านพระอาจารย์ตุ๊ มาเยี่ยมเยียนอาการป่วยของคุณยายชีทันที เมื่อได้ทราบข่าวอาการป่วย

    • ละวางธาตุขันธ์
    วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ หลวงปู่อุ่นหล้า ฐิตธัมโม วัดป่าแก้วชุมพล จ.สกลนคร ได้มาเยี่ยมอาการป่วยคุณยายชี เป็นชุดสุดท้าย เวลา ๒๑.๕๐ น. คุณยายนอนสงบอยู่บนเตียง ฉันขอดื่มน้ำแล้วบอกว่าคอแห้ง แม่ชีอุปัฏฐากถวายนักบุญให้ท่านดื่ม ๓ ช้อนชา ทุกคนที่เฝ้าไข้ดีใจที่คุณแม่จะหายป่วยแล้ว พระลูกชายถามคุณแม่ว่า “คุณแม่หายป่วยแล้วใช่ไหม” ถ้าไม่ตอบแต่พยักหน้ารับว่า “หายแล้ว” เพราะลูกชายจึงพูดกับคุณแม่ว่า “คุณแม่อยู่กับลูกหลานต่อไปอีกนานๆ นะ” คุณแม่ท่านนอนเฉยๆ ไม่ตอบรับเอาลูกชาย พระลูกชายจึงถามต่ออีกว่า “คุณแม่หมดหนี้สิน ไม่มีเวรมีกรรมต่อใครแล้วใช่ไหม” คุณแม่พยักหน้ารับว่า “หมดแล้ว” จากนั้นได้ก็จัดเสื้อผ้าที่ท่านสวมใส่อยู่ให้เรียบร้อย แล้วก็หลับตาลงอย่างสงบ ในเวลา ๒๒.๐๐ น. คุณยายชีโสดา โสสุด ได้ละขันธ์ด้วยอาการสงบเหมือนคนนอนหลับไป สิริอายุ ๘๙ ปี ๑ เดือน ๒๑ วัน รวม ๓๓ พรรษา เมื่อท่านละขันธ์ไปแล้ว อาทิตย์ของท่านได้กลายสภาพเป็น “พระธาตุ” อันงดงาม ซึ่งแสดงถึงความบริสุทธิ์ โดยปราศจากความสงสัย ดังที่พ่อแม่ครูอาจารย์ได้เคยกล่าวไว้ ตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่…

    คุณยายชีเคยบอกไว้ว่า… “ไม่มีสิ่งใดต้องสงสัยในยาย ยายไม่มีสิ่งใดต้องสงสัยอีกแล้ว”

    “จงทำตัวให้เป็นผ้าขี้ริ้ว ทำหัวใจให้หนักแน่นเหมือนแผ่นดิน” ธรรมคำสอนของคุณยายชีโสดา โสสุด
    :->
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ผีนางตะเคียนปราบโจร

    thamnu onprasert
    Feb 10, 2023
    เรื่องราวลึกลับของผีนางตะเคียนในป่าเขาใหญ่ ที่ปราบโจรร้ายหนังเหนียวยิงไม่เข้าจนสิ้นฤทธิ์
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ย่าชีนารี ศิษย์เอกหลวงปู่มั่น

    หลวงตา
    Feb 5, 2023
    ย่าชีนารี ศิษย์เอกหลวงปู่มั่น คุณแม่ชีพิมพา วงศาอุดม หรือ คุณแม่ชีน้อย แห่งวัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2023
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    หลวงพ่อสาย - ธุดงค์แขวงจำปาศักดิ์

    หลวงตา
    50,551 views Feb 13, 2023

    หลวงปู่สาย จารุวัณโณ วัดป่าหนองยาว อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    หลวงปู่สาย-จารุวณฺโณ.jpg
    ประวัติและปฏิปทา
    พระครูภาวนานุศาสน์ (หลวงปู่สาย จารุวณฺโณ)

    วัดป่าหนองยาว
    อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี

    พระครูภาวนานุศาสน์ หรือ หลวงปู่สาย จารุวณฺโณ มีนามเดิมว่า สาย ถิ่นขาม เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี เดือนอ้าย แรม ๘ ค่ำ ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ บ้านขามใหญ่ ตําบลขามใหญ่ อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี

    บิดาชื่อ ทา มารดาชื่อ สุข มีพี่น้อง ๑๐ คน ท่านเป็นคนที่ ๓
    บรรพชาเป็นสามเณร ปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ขณะอายุ ๑๔ ปี ณ วัดแจ้ง อ.เมือง จังหวัดนครพนม

    ุวณฺโณ-วัดป่าหนองยาว-จ.อุบลราชธานี.jpg
    พระครูภาวนานุศาสน์ (หลวงปู่สาย จารุวัณโณ) วัดป่าหนองยาว อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี
    อุปสมบท ขณะอายุ ๒๐ ปี เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๑ ณ วัดศรีคุณเมือง บ้านนาจาน ตำบลระเว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี พระพรหมมา จารุวัณโณ เป็นพระอุปัชฌาย์

    เมื่อครั้งที่หลวงปู่สายบวชใหม่ ท่านจําพรรษาอยู่ที่วัดสารพัดนึก อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ศึกษาปริยัติ ธรรมจนสอบได้นักธรรมตรี-โท และได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาส ขณะที่ท่านเรียนปริยัติอยู่ก็เกิดคําถามขึ้นในใจว่า…

    “เราเรียนหนังสือมา ๓-๔ ปี แล้วยังไม่ได้ดวงตาเห็นธรรม และยังไม่รู้เลยว่าพระไตรสรณคมน์ที่แท้จริงนั้นคืออย่างไร เรานี้กลัวจะเรียนหนังสือเสียเปล่า”

    พ.ศ.๒๔๘๖ ท่านจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ หยุดเรียนหนังสือ ลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาส ตั้งใจไปแสวงหาครูบาอาจารย์ ผู้รู้เรื่องวิชาวิปัสสนากัมมัฏฐาน อยู่ตามป่าตามเขา ท่านได้เดินทางไปนครจําปาสัก (ขณะนั้นนครจําปาศักดิ์ เป็นจังหวัดหนึ่งของไทย) หลวงปู่สายได้มาฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่บุญมาก ฐิตปุญฺโญ , หลวงปู่กิ ธัมมุตตโม และ หลวงปู่ทองรัตน์ กันตสีโล ท่านได้จําพรรษาและ สอนปริยัติอยู่ที่วัดป่าสาลวัน ตําบลหนองผำ นครจําปาสัก ได้ออกธุดงค์ไปกับหลวงปู่กิ โดยถือรุกขมูล (อยู่โคนต้นไม้) ตามป่าช้า บ่าเปลี่ยว เชิงเขาที่ห่างไกลจากผู้คน เป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าเช่น ช้าง เสือ เป็นวัตร
    ในช่วงแรกที่ท่านเริ่มธุดงค์ในป่าช้า เกิดความฟุ้งและความกลัวอย่างแรงกล้า แต่ท่านไม่ละความเพียร นั่งภาวนาต่อเนื่อง ๖-๗ ชั่วโมง จนจิตเริ่มคลายความกลัวลง ได้เกิดความสงบ แช่มชื่นเบิกบาน ปรากฎเห็นสัตว์โลกทั้งหลาย เหมือนเป็นพ่อแม่เดียวกัน เห็นนรก สวรรค์อยู่ที่จิตใจอย่างชัดเจน เป็นครั้งแรกที่ท่านได้ประสบกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับใจ จนท่านตั้งใจว่า

    “ต่อไปนี้จะถวายชีวิตไว้ในพุทธศาสนา เกิดชาติใหม่ก็จะขอบวชในพุทธศาสนาเป็นพระธุดงค์กรรมฐานตลอดไป”

    หลวงปู่สายได้บําเพ็ญเพียร ด้วยจิตใจที่กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว มีครั้งหนึ่งที่ท่านได้ธุดงค์ไปตามป่าทึบ เกิดตื่นขึ้นมากลางดึกพบว่ามีเสือยืนอยู่นอกกรดที่ปลายเท้า เมื่อท่านขยับแขนมันจึงวิ่งหนีไป รุ่งเช้าถามชาวบ้านจึงทราบว่า บริเวณนั้นเป็นทางสัญจรของเสือ มันมักจะเอาเหยื่อมากินตรงนี้เป็นประจํา เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ทําให้ท่านย่อท้อหรือเกรงกลัว ยังคงปักกรดภาวนาอยู่ที่เดิมต่อไป ท่านเคยกล่าวไว้ว่า

    “ด้วยจิตใจที่กล้าหาญ สละเลือดเนื้อยอมเป็นข้าพระรัตนตรัย ปฏิบัติ ตามพระวินัย ศัตรูจะกลับเป็นมิตร คําว่าแพ้จะไม่มีเลย เรามีธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ถ้าสิ่งร้ายจะมาทําลายเรา เรายอม ตายทุกขณะลมหายใจเข้าออก”

    -หลวงพ่อสาย-จารุวณฺโณ-1024x611.jpg
    หลวงปู่สายเคยไปอยู่ศึกษาปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล
    และช่วงเข้าพรรษาหลวงปู่ชามักจะให้พระเณร วัดหนองป่าพง เดินทางไปทำวัตร
    หลวงปู่สายที่วัดป่าหนองยาว อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี
    หลวงปู่สาย ปฏิบัติสมถวิปัสนากรรมฐานมาตลอดชีวิตสมณเพศ มีพุทธบริษัทและลูกศิษย์เลื่อมใสศรัทธามากมาย ก่อตั้งสํานักปฏิบัตินับได้ ๑๒ สํานัก

    พระครูภาวนานุศาสน์ (หลวงปู่สาย จารุวณฺโณ) ท่านมรณภาพวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๕ สิริอายุ ๖๔ ปี พรรษา ๔๔ พิธีบําเพ็ญกุศลจัดขึ้นที่วัดป่าบ้านหนองยาว อําเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี

    โอวาทธรรม หลวงปู่สาย จารุวณฺโณ วัดป่าหนองยาว
    “..ร่างกายสังขารของคนเราไม่นานก็จะกลายเป็นขี้เถ้า เป็นดินไปในที่สุด ก่อนที่มันจะเป็นเช่นนั้น ควรจะใช้มันให้เป็นประโยชน์ มากที่สุด..”
    :-->https://www.108prageji.com/หลวงปู่สาย-จารุวัณโณ/
    เหรียญรุ่นแรก หลวงปู่สาย วัดป่าหนองยาว อุบลราชธานี ปี2520 -->https://shopee.co.th/เหรียญรุ่นแรก-...ยาว-อุบลราชธานี-ปี2520-i.49083250.14162394728
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ๑๓๘.ป่าผีภูตมายา ผจญภัยบนดอยสูง

    thamnu onprasert
    Feb 13, 2023

    เรื่องราวในตำนานข้างกองไฟคนกองวัวต่างม้าต่าง ในป่าจะมีผีภูตมายา คอยล่อลวงให้ผู้คนหลงใหลแล้วจับไปกิน.
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    อภิญญาบารมี หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ

    หลวงตา
    Feb 15, 2023
    หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค จังหวัดนครสวรรค์
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    lpseechantasiri.jpg
    ประวัติหลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค อำเภอตาคลี
    หลวงปู่สีท่านเป็นชาวอำเภอรัตนะ จังหวัดสุรินทร์ ท่านเกิดเมื่อปีจอ พ.ศ.๒๓๙๒ตรงกับสมัยของรัชกาลที่๓(แต่หนังสือส่วนมากจะลงรัชกาลผิดจะลงเป็นรัชกาลที่ ๔ ทั้งที่ความเป็นจริงองค์รัชกาลที่ ๓ เสด็จสวรรคต ปี ๒๓๙๔ ซึ่งหลวงปู่ท่านเกิดก่อนรัชกาลที่๓ เสด็จสวรรคตถึง ๒ ปี พวกหนังสือที่ลงไม่ค่อยตรวจสอบนึกจะลงก็ลงทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องสำคัญแท้ ๆ น่าจะตรวจสอบก่อนลง)ส่วนเกิด วัน เดือน ใด ท่านไม่เคยบอก พ่อแม่ของหลวงปู่มีลูกทั้งหมด ๖ คน ท่านเป็นคนโต และแต่เดิมท่านไม่ได้ชื่อ สี ท่านชื่อ ลีเมื่อมีการใช้นามสกุลขึ้นตระกูลของท่านก็ใช้นามสกุลว่า “ดำริ”
    ชีวิตในวัยเด็ก ท่านได้เติบโตขึ้นท่ามกลางกลิ่นไอของป่า ได้ติดตามพ่อของท่านล่าสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหารและเก็บของป่าเพื่อไปขายนำเงินซื้อข้าวของ จนกระทั่งท่านได้อายุ ๑๑ ปี พ่อของท่านได้นำท่านไปฝากกับพระธุดงค์ซึ่งเคยเป็นสหายเก่าของพ่อท่าน ซึ่งเมื่อพระธุดงค์ได้เห็นหลวงปู่สีแล้วก็ถึงกับออกปากขอท่านไปดูแล ซึ่งพ่อของหลวงปู่สีก็ยกให้ ดังนั้นท่านถึงต้องตามพระธุดงค์ตระเวนธุดงค์ด้วยกัน เรียกว่าค่ำไหนนอนนั่น จากป่าดงดิบจังหวัดสุรินทร์จนกระทั่งมาถึงเมืองหลวง (กรุงเทพฯ) ท่านได้พาหลวงปู่สีมากราบสักการะ พระสหธรรรมิกของท่านคือ ขรัวโต (พระเทพกวี) ซึ่งท่านก็คือ สมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี ในปีพุทธศักราช ๒๔๐๓ ซึ่งพระอาจารย์อินกับสมเด็จโต เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน คือหลวงตาแสง จังหวัดลพบุรี จึงสนิทกันมาก เมื่อสมเด็จโตท่านได้เห็นรูปร่างลักษณะของหลวงปู่สี ก็ยินดีนักด้วยบุคลิก ลักษณะของท่านเป็นที่ถูกใจยิ่งนัก จึงได้รับหลวงปู่สีเป็นศิษย์ สมเด็จโตท่านก็ได้อบรมข้อธรรม ถ่ายทอดวิชาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอักขระขอมไทย และคาถาอาคมต่าง ๆ รวมทั้งการปฏิบัติสมาธิจิต จนแตกฉาน ที่ท่านเรียนรู้ง่ายเป็นเพราะว่าท่านมีพื้นฐานมากจากพระอาจารย์อินได้สอนนั่นเอง ซึ่งต่อมาสมเด็จฯโต ท่านได้เลื่อนลำดับจาก พระเทพกวี เป็น สมเด็จพุฒาจารย์ ทางวัดระฆังก็มีการบวชพระและเณรจำนวน ๑๐๘ รูป พร้อมด้วยบวชชีพราหณ์อีกมากมายเพื่อฉลองตำแหน่งโดยมีสมเด็จฯโตเป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งในการบวชเณรนั้นได้มีหลวงปู่สีรวมอยู่ด้วย ซึ่งได้บวชในพุทธศักราช ๒๔๐๗ ซึ่งตอนนั้นหลวงปู่สีมีอายุได้ ๑๕ ปีหลังจากที่ได้บวชเป็นเณรแล้วท่านก็ได้อยู่วัดระฆังเพื่อเรียนวิชากับสมเด็จโต ซึ่งรวมถึงการทำผงวิเศษทั้งห้าประการอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีอยู่ในพระเครื่องของสมเด็จฯ (มีมูลค่านับล้านบาท และถือเป็นจักรพรรดิ์พระเครื่อง) จนกระทั่ง ปี ๒๔๑๑ องค์รัชกาลที่ ๔ ได้เสด็จสวรรคต ทำให้สมเด็จฯโตจะเก็บตัวเงียบไม่ค่อยจะออกมาพบปะญาติโยมเท่าใดนัก ในช่วงนี้หลวงปู่สี จึงไม่ค่อยได้ติดตามรับใช้สมเด็จฯโต เท่าใดนัก ประกอบกับพระอาจารย์อินทร์กลับจากธุดงค์มาแวะเยี่ยมสมเด็จฯโต หลวงปู่สี จึงขออนุญาตสมเด็จฯ กลับไปเยี่ยมโยมพ่อโยมแม่ พร้อมกับพระอาจารย์อินทร์ ตอนนี้หลวงปู่สีหรือสามเณรลี ได้เริ่มโตเป็นหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ สง่างาม ผิวพรรณดี ผิดกับเด็กหนุ่มทั่วไป เมื่อกลับมาเห็นสภาพครอบครัวซึ่งมีความลำบาก ก็ขออนุญาตพระอาจารย์อินทร์ สึกออกมาเพื่อช่วยเหลือครอบครัว พระอาจารย์อินทร์ได้ตรวจดูชะตาของหลวงปู่สี ซึ่งขณะนั้นอายุย่าง ๑๙ ปี ว่าชะตาจะต้องเกี่ยวพันกับทางโลก เมื่อพ้นภาวะกรรม ก็จะบวชไม่สึกและสำเร็จในบั้นปลายชีวิต จึงให้สึกตามคำขอ ชีวิตตอนเป็นหนุ่มท่านเป็นคนจริงไม่เคยเกรงกลัวใครนอกจากทำไร่ทำนาแล้วท่านยังมีอาชีพรับจ้างคุมฝูงวัวไปขายข้ามจังหวัด ต่อมาปี ๒๕๑๖ หลวงปู่สีได้ถือโอกาสมาร่วมงานอุปสมบทเป็นพระขององค์รัชกาลที่ ๕ เลยได้มีโอกาสมาพักที่วัดระฆัง และทำให้ท่านได้ทราบว่าสมเด็จฯโตซึ่งเป็นองค์อาจารย์ของท่านได้มรณะภาพไปแล้ว เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน๒๔๑๕ หลังจากองค์รัชกาลที่ ๕ ขึ้นครองราชย์ได้ ๕ ปี
    ต่อมาเมื่อปี ๒๔๑๘ มีกบฏฮ่อเกิดขึ้น หลวงปู่สีก็ได้กาสาสมัครเป็นทหารเพื่อไปร่วมรบกับเขาด้วย ปรากฏว่าท่านได้รับเลือกให้อยู่ในหน่วยอาสากล้าตายระดับแนวหน้าซึ่งตอนนั้นเจ้าพระยาภูธราภัยเป็นแม่ทัพ ภายหลังสามารถปราบกบฏฮ่อลงได้ ท่านได้รับความดีความชอบอย่างมากได้ยศเป็นหัวหมู่ และได้เป็นคนสนิทกับเจ้าพระยาภูธราภัยอีกด้วย ซึ่งเจ้าพระยาได้เรียกหลวงปู่สีในตอนนั้นว่า “ไอ้เสือหาญ” เพราะศึกปราบฮ่อเจ้าพระยาได้เห็นประจักษ์ตาว่า ทหารลี หนังดีเหนียว ใจกล้า ตอนหลังได้รับเลื่อนให้เป็นตำรวจหลวงคอยติดตามขบวนเสด็จ ฯ
    หลวงปู่สีท่านใช้ชีวิตความเป็นหนุ่มอยู่นานหลายปี จนกระทั่งบังเกิดความเบื่อหน่ายทางโลกจึงได้อุปสมบท โดยท่านบอกว่า ท่านบวชที่วัดบ้านเส้า อำเภอบ้านเส้า (อำเภอบ้านหมี่ในปัจจุบัน) โดยมีพระครูธรรมขันธ์สุนทร เป็นพระอุปัชฌาย์ส่วนคู่สวดท่านไม่ได้บอกว่ามีพระอาจารย์รูปใดบ้างเมื่อบวชได้ระยะหนึ่งท่านได้เดินทางมาจำพรรษาอยู่ที่ ถ้ำเขาเสียบ เขตตำบลช่องแคอำเภอตาคลี เพราะว่าก่อนบวชท่านเคยอยู่ในเขตนี้มาก่อน หลวงปู่สีท่านถือปฏิบัติในการออกธุดงค์ ตลอดเวลาที่ท่านยังมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงหลวงปู่สีท่านบอกว่าท่านธุดงค์ไปทั่วประเทศไทย จากเหนือถึงใต้ตะวันออกถึงตะวันตก ท่านไปมาทั้งหมดเคยธุดงค์ไปฝั่งประเทศลาวจำพรรษาอยู่ในประเทศลาวหลายปี ธุดงค์เข้าประเทศพม่าเลยไปประเทศอินเดียไปนมัสการสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา ท่านยังเล่าว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งท่านธุดงค์ไปภาคเหนือ เพื่อจะไปนมัสการพระบาทสี่รอย เมืองเชียงตุง ประเทศพม่าท่านเดินหลงป่าไม่ได้ฉันอะไรเลยเป็นเวลา ๗ วัน จนรุ่งเช้าของวันที่ ๘มีช้างป่านำหัวบัว และอ้อยมาถวายท่าน (ไม่ทราบว่าเป็นเทวดาหรือว่าเทวานุภาพดลใจให้ช้างนำมาถวาย ?) ท่านจึงนำหัวบัวต้มกับน้ำอ้อยฉันและช้างยังเดินนำทางท่านไปจนพบกับบ้านของชาวบ้านป่า ท่านเล่าว่าท่านเดินธุดงค์อยู่ในป่าแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ พบชายหญิงกำลังกินอะไรกันอยู่ท่านจึงเดินไปถามว่า ทำอะไรกันอยู่หรือทั้งสองก็ตอบหลวงปู่สีว่ากำลังกินยาอายุวัฒนะกันอยู่แต่ หลวงพ่อมาช้าไปยาหมดเสียแล้วจะมีเหลืออยู่ก็ตามใบไม้เท่านั้นเองและทั้งสองคนก็เก็บยาที่ติดอยู่ตามใบไม้ให้ท่านฉัน ซึ่งมีอยู่เล็กน้อยเท่านั้นท่านบอกว่าที่ท่านมีอายุยืนก็เพราะยานี้แหละ และยานี้ยังทำให้ท่านมีร่างกายแข็งแรงไม่หลงลืมเหมือนคนแก่ทั่วๆไปในการธุดงค์ของท่านนั้นต้องเรียกว่า ยอมตายในผ้าเหลืองเลยทีเดียว หลวงปู่เองได้พบกับอาถรรพ์ในป่ามากมายยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้าย ผีป่า แม้กระทั่งเทวดามาขอฟังธรรมจากท่านเสมอ และระหว่างที่ธุดงค์นั้นหลวงปู่สีเองได้พบกับพระเกจิที่มีชื่อเสียงต่อมาในอนาคตมากมาย และได้พบปะสนทนาธรรมจนเป็นพระสหธรรมิกที่สนิทกันมากได้แก่ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท หลวงปู่กลั่น วัดพระญาติการามจ.พระนครศรีอยุธยา และที่สำคัญท่านยังเคยได้ร่วมเดินธุดงค์กับ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่สายกรรมฐานที่มีลูกศิษย์มากมายทั่วประเทศ และตัวท่านยังเป็นสหธรรมิกกับหลวงพ่อ ปาน วัดคลองด่านผู้ที่สร้างเขี้ยวเสือจนโด่งดังและมีราคาแพงอันดับหนึ่งด้วย และท่านเองก็ได้พบกับพระที่มาขอเป็นศิษย์ ในช่วงระหว่างธุดงค์ ซึ่งต่อมามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ ได้แก่ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ (ท่านได้พบกับหลวงปู่สีก่อนที่จะพบกับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต) หลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรีเจริญสุข จ.ชัยนาท หลวงปู่เย็น วัดสระเปรียญ จ.ชัยนาท เมื่อท่านอายุมากขึ้นท่านก็ไม่ได้ธุดงค์อีก
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (cont.)
    เนื่องจากพระอาจารย์สมบูรณ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดเขาถ้ำบุญนาค ต้องการจะสร้างวัดให้รุ่งเรือง ซึ่งตอนนั้นแทบจะไม่มีอะไรเลย ว่ากันว่า พระอาจารย์สมบูรณ์ได้ไปปรึกษา ปู่โทน หลำแพร(ท่านเป็นลูกศิษย์ของพระครูเทพโลกอุดร) ฆราวาสผู้มีอาคมสูง ซึ่งปู่โทนหลำแพร ได้แนะนำให้ไปนิมนต์หลวงปู่สี ซึ่งตอนนั้น ท่านอยู่ที่บ้านหนองพุก ตำบลหนองเรือ อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี (ปัจจุบันเป็นจังหวัดหนองบัวลำภู) ตอนที่ยกขบวนไปรับหลวงปู่สีนั้น หลวงปู่ท่านรู้ล่วงหน้าว่าจะมีผู้มารับไปสร้างวัดท่านจึงเตรียมตัวคอยอยู่แล้ว ทำให้ทุกคนที่ไปนิมนต์หลวงปู่ต่างแปลกใจไปตาม ๆ กัน หลวงปู่ท่านมาอยู่ที่วัดเมื่อปี ๒๕๑๒ ท่านอยู่ที่วัดนี้จนกระทั่งท่านได้มรณภาพเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ รวมท่านอยู่วัดถ้ำเขาบุญนาค เป็นเวลา ๘ ปี

    ขอกล่าวถึงลูกศิษย์องค์สำคัญ ๆ ของหลวงปู่สีก่อน ซึ่งมีอยู่หลายองค์เช่น หลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง หลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรี หลวงปู่เย็น วัดสระเปรียญ เป็นต้น


    พบหลวงปู่แหวนที่จังหวัดเลย ปี๒๔๕๓
    จากคำบันทึกบอกเล่าของหลวงปู่แหวน ท่านได้กล่าวว่า เมื่อปี๒๔๕๒ ตอนที่ท่านอายุได้๒๒ ปี ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดสร้างถ่อ จังหวัดอุบลราชธานี หลังจากนั้นท่านได้ออกธุดงค์ไปแต่ลำพังผู้เดียวด้วยใจเด็ดเดี่ยว ท่านได้จาริกไปเรื่อย ๆ หยุดพักตามถ้ำบ้างป่าบ้าง โคนต้นไม้ตามชายทุ่งบ้าง ช่วงนั้นท่านได้ธุดงค์แถบถิ่นอุบลราชธานีเข้าสู่จังหวัดเลย เรื่อย ๆมา แต่แล้ววันหนึ่งท่านได้พบกับพระธุดงค์องค์หนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ เป็นพระภิกษุที่อยู่ในวัย ๖๒ ปี ลักษณะเป็นผู้ที่มีเมตตาเต็มเปี่ยม มีปฏิปทาสูง นั่งปฏิบัติธรรมอยู่บนหน้าผาในหุบเขาจังหวัดเลย ในเย็นวันนั้นท่านได้มีโอกาสเข้าไปกราบพระภิกษุองค์นั้นเพราะตลอดระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร ท่านนั่งปฏิบัติอยู่ หลวงปู่แหวนมิได้เข้าไปรบกวนเลย จนเมื่อมีโอกาสจึงได้เข้าไปกราบ หลวงปู่สีเพ่งมองหลวงปู่แหวนอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงเอ่ยถามพระภิกษุแหวนว่า “ ท่านมาจากไหน” หลวงปู่แหวนได้ตอบว่า“มาจากจังหวัดเลยครับ ผมเข้าป่ามาตั้งใจจะแสวงหาที่ปฏิบัติธรรมครับ” หลวงปู่สีได้พูดว่า “ตั้งใจดี หมั่นภาวนานะ” ในวันต่อมาหลวงปู่สีท่านได้สอนกรรมฐานให้กับหลวงปู่แหวน ทำให้การปฏิบัติของหลวงปู่แหวนก้าวหน้าอย่างมาก ทั้งสององค์ได้ร่วมธุดงค์ร่วมกันถึงสองปี ก่อนที่หลวงปู่แหวนจะแยกย้ายไปหาพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตต่อไป

    พบหลวงปู่บุดดา ที่หนองคาย ปี๒๔๖๗
    จากคำบอกเล่าของหลวงปู่บุดดา ท่านได้กล่าวว่าหลังจากท่านได้บวชในพรรษาที่ ๓ ซึ่งตรงกับปี ๒๔๖๗ ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านทุ่ง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย พอออกพรรษาท่านก็ออกธุดงค์เข้าป่าแถบป่าเมืองหนองคาย และหลวงพบกันหลวงปู่สี และได้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์ ซึ่งขณะนั้นหลวงปู่สีมีอายุได้ ๗๕ ปี ในเรื่องการเคารพต่อหลวงปู่สีของหลวงปู่บุดดานับว่ามากมายยิ่งนัก จะเห็นได้ว่าบางครั้งท่านเจ็บป่วยอย่างไร เมื่อถึงวาระท่านจะต้องไปกราบหลวงปู่สีทุกปี บางครั้งอาพาธจนลงจากรถไม่ได้ ก็ให้คนขับรถพาท่านไปที่เขาถ้ำบุญนาค แล้วท่านก็กราบนมันการหลวงปู่สีจากในรถตู้ที่เป็นพาหนะ นี่เป็นตัวอย่างบางเรื่องเท่านั้นจากหลวงปู่บุดดา ถาวโร แห่งวัดกลางชูศรีเจริญสุขพระอรหันต์ ที่มรณภาพแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อย

    พบหลวงปู่เย็น วัดสระเปรียญพระผู้เป็นสหธรรมิกของหลวงปู่บุดดา
    จากคำบอกเล่าของหลวงปู่เย็น ท่านได้กล่าวว่า ท่านได้พบกับหลวงปู่สี ในป่าแถบจังหวัดลพบุรี หลวงปู่สีท่านเป็นพระดี พระเก่ง พูดน้อย ปฏิบัติมาก เวลาไปไหน ถ้าหลวงปู่สีพบต้นไม้ใหญ่ ๆ ท่านจะยืนคุยกับรุกขเทวดา สักพัก ท่านจึงเดินต่อไป เวลาที่หลวงปู่เย็นพักตามถ้ำ จะได้ยินหลวงปู่สีคุยกับเทวดา บางครั้งหลวงปู่สีก็แสดงธรรมแผ่เมตตา หลวงปู่สีเป็นพระที่เมตตามาก เป็นพระแท้ เป็นพระทองคำ หลวงปู่เย็น ทานรโต เทพเจ้าแห่งตัว “ พ “ กล่าวถึงหลวงปู่สีด้วยความเคารพ ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใน ด้วยจิตใจที่ยกย่องบูชา

    ปาฏิหารย์แยกกายโปรดโยม
    เมื่อราวต้นปี ๒๕๑๙ ทางวัดเขาถ้ำบุญนาค ได้มีการจัดให้มีงานประจำปีขึ้น ซึ่งไปตรงกับงานอีกวัดหนึ่งในจังหวัดชลบุรี ซึ่งทางวัดก็ได้นิมนต์หลวงปู่สี ไปโปรดญาติโยมชาวจังหวัดชลบุรี ในงานที่วัด หลวงปู่สีก็รับปากว่าจะไป ในวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๑๙ ต่อมาวันงานที่ชลบุรีหลวงปู่ท่านก็ไปประพรมน้ำมนต์ให้ญาติโยมในงานด้วยตามคำนิมนต์ วันถัดมาชาวจังหวัดชลบุรีก็ได้เหมารถมาเที่ยวที่วัดเขาถ้ำบุญนาค ตั้งใจมากราบหลวงปู่สี เพราะติดใจหลวงปู่สี ที่ได้กราบรับพรจากท่านเมื่อวานนี้ที่จังหวัดชลบุรี ข่าวที่หลวงปู่เดินทางไปจังหวัดชลบุรี ในเมื่อวานนี้ แพร่ออกไป เหล่าลูกศิษย์หลวงปู่ที่วัดเขาถ้ำบุญนาค ต่างก็แปลกใจและงงไปตาม ๆ กัน เพราะว่าเมื่อวานนี้หลวงปู่ท่านไม่ได้ไปไหน ท่านอยู่ที่วัดเขาบุญนาคตลอดเวลา เพราะว่าทางวัดมีงาน มีคนกราบไหว้หลวงปู่อยู่ตลอดเวลา พระและลูกศิษย์ที่วัดเขาถ้ำบุญนาค จึงไปกราบถามหลวงปู่ว่า “ หลวงปู่ครับ เมื่อวานนี้หลวงปู่ไปเมืองชลบุรีมาหรือครับ “ หลวงปู่ท่านไม่ตอบ พอมีคนถามนัก ท่านก็เลยล้มตัวลงนอน เลยไม่มีใครกล้าถามอะไรท่านอีก

    ตามคนมาทอดกฐินที่วัด
    หลังจากเมื่อหลวงปู่มรณะภาพไปแล้วเมื่อต้นปี ๒๕๒๐ ปรากฏว่าปีนั้นทางวัดเงียบเหงา ไม่มีใครมาแม้แต่กฐินก็ไม่มีใครนำมาทอด ซึ่งทางวัดก็คิดว่าคงจะไม่มีใครมาแล้วเพราะใกล้จะหมดกำหนดเวลาในการรับผ้ากฐิน จู่ ๆ ก็มีลูกศิษย์หลวงปู่สี ได้นำกองกฐินมาทอดที่วัดเขาถ้ำบุญนาค และเมื่อมาแล้วไม่เห็นหลวงปู่สี ลูกศิษย์หลวงปู่ผู้นั้นก็ถามขึ้นว่า “พระอาจารย์ครับหลวงปู่ท่านไปไหนครับ ไม่เห็นท่านเลยครับ” พระที่อยู่ดูแลท่านก็ได้บอกว่า “ โยม หลวงปู่สีท่านมรณะภาพแล้ว ตั้งแต่ วันที่๒๓ กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา คุณโยมไม่ทราบหรือ” ศิษย์หลวงปู่สีผู้นำกฐินมาทอดทำสีหน้าฉงนออย่างงง ๆ แล้วก็พูดขึ้นว่า “อาจารย์ครับ เมื่อราวสองสัปดาห์นี้เอง หลวงปู่ท่านไปหาผม หลวงปู่ท่านบอกว่าให้ช่วยจัดกฐิน มาทอดที่วัดเขาถ้ำบุญนาคด้วยเพราะไม่มีใครมาทอดในปีนี้ พอกระผมทราบเรื่องจากหลวงปู่เช่นนั้น กระผมก็รีบรวบรวมจัดกฐินมาอดนี้แหละครับ “ พระเณรที่วัดต่างมองหน้ากัน แม้แต่ท่านจะละสังขารไปแล้ว ท่านก็ยังเป็นห่วงพระเณรที่วัด ต่อจากนั้นทางวัดก็นำศิษย์หลวงปู่ไปกราบศพหลวงปู่สี ทำให้ศิษย์ผู้นั้นได้ทราบว่าหลวงปู่สีละสังขารไปแล้วจริง ๆ ส่วนที่ไปพบกับตนเมื่อเร็ว ๆนี้นั้น เป็นกายทิพย์ของหลวงปู่

    ไม่ยอมอยู่กุฏิหลังใหม่
    เป็นที่รู้จักกันว่าหลวงปู่สี ท่านเป็นพระที่ปฏบัติที่ไม่ติดในวัตถุ ไม่สะสม และไม่ติดยึดในสิ่งใด ๆ แม้แต่ความสะดวกสบายต่าง ๆ ที่ ลูกสิษย์ทุกคนพร้อมที่จะถวายให้ท่าน แต่ท่านไม่เอา ดังนั้นกุฏิของท่านที่อยู่จึงเป็นกุฏิหลังไม้เก่า ๆ หลังเล็ก ๆ หรือไม่ก็ในถ้ำที่ท่านชอบเข้าไปปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ในวันหนึ่งท่านพระอาจารย์สมบูรณ์เจ้าอาวาสวัดเขาถ้ำบุญนาค ดำริทีจะสร้างกุฏิหลังใหม่ให้หลวงปู่สี คณะกรรมการทุกคนก็พร้อมใจกันจึงได้เรียกช่างปูนมาทำการก่อสร้าง โดยสร้างเป็นกุฏิปูนชั้นเดียว พอท่านทราบเรื่องว่าจะสร้างให้ท่าน ท่านก็บอกว่าจะไม่ยอมไปอยู่ที่กุฏิหลังใหม่ เป็นที่น่ามหัศจรรย์หลังจากที่หลวงปู่สี ท่านพูดเช่นนั้น ช่างปูนที่รับคำสั่งจากท่านเจ้าอาวาสได้ลงมือก่อสร้างกุฏิหลังใหม่ วันนั้นปรากฏว่าช่างปูนไม่สามารถฉาบปูนได้เลย เพราะฉาบปูนเท่าใดก็ไม่ติดจนกระทั่งช่างปูนนึกท้อใจ เพราะไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิตที่รับงานก่อสร้างมานับไม่ถ้วน ในที่สุดก็ตัดสินใจเลิกทำ ความทราบถึงท่านเจ้าอาวาส และพระอาจารย์รักษ์ เตชธัมโม ซึ่งเป็นพระอุปัฏฐากของหลวงปู่ ได้ไปนมัสการหลวงปู่สีและได้ถามท่านว่า “หลวงปู่ครับทำไมไปแกล้งช่างปูนอย่างนั้นครับหากหลวงปู่ไม่อยากอยู่ก็ไม่เป็นไรครับ ให้ช่างปูนเขาสร้างให้เสร็จก่อน” หลวงปู่สีท่านจึงกล่าวว่าก็ให้เขามาทำใหม่สิต่อจากนั้นอีก๒วันพระอาจารย์สมบรูณ์ ท่านเจ้าอาวาสก็เรียกช่างมาทำใหม่ ซึ่งคราวนี้ช่างปูนสามารถฉาบปูนได้เป็นผลสำเร็จอย่างไม่มีปัญหา เพียงวันเดียวก็สามารถฉาบปูนสำเร็จเสร็จ หมดทั้งกุฎิ ทีมงานก่อสร้างในครั้งนั้นต่างเลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่ทุกคน กุฎิหลังดังกล่าว ในสมัยที่หลวงปู่ท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านไม่เคยได้ไปใช้สอยเลย เเต่หลังจากที่ท่านมรณะแล้ว บรรดาศิษยานุศิษย์จึงได้อัญเชิญศพของท่านบรรจุในโลงแก้ว แล้วประดิษฐานไว้ที่กุฎิหลังใหม่ ซึ่งเป็นการสะดวกที่จะให้ลูกศิษย์ของหลวงปู่ไปกราบไหว้บูชาหลวงปู่


    ย่นระยะทางไปพบสหายธรรม
    ในสมัยที่หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ยังดำรงขันธ์อยู่ หลวงปู่สีมักจะเดินทางไปสนทนาธรรมกันอยู่บ่อยครั้ง ในบางครั้งหลวงปู่ศุข ก็เดินทางไปพบหลวงปู่สี และบางครั้งก็ไปพบหลวงปู่สี และบางครั้งก็ไปพบกับหลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ ทั้งสามท่านมีความผูกพันกันมาก มักจะผลัดเปลี่ยนเวียนกันไปพบซึ่งกันและกัน และในบางครั้งก็ออกธุดงค์ไปตามป่าดงพงเขาด้วยกันในบางครั้งบางคราว พระสหธรรมทั้งสาม หลวงปู่กลั่น หลวงปู่ศุข หลวงปู่สี ทั้งสามเกิดปี ใกล้เคียงกัน หลวงปู่กลั่นวัดพระญาติ เกิดปี ๒๓๙๐ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า พระอาจารย์ของกรมหลวงชุมพรฯ เกิดปี ๒๓๙๐ ส่วนหลวงปู่สี เกิดปี ๒๓๙๒ ซึ่งอ่อนกว่าทั้งสองท่านเพียง ๒ ปี แต่พระอาจารย์ทั้งสามท่านก็มีความผูกพันกัน ธุดงค์และศึกษาปฏิบัติธรรมด้วยกัน มีอะไรก็แลกเปลี่ยนกัน ในครั้งที่หลวงปู่ศุข เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่สีได้เดินทางไปเยี่ยมและอยู่สนทนาธรรมกัน หลังจากที่ออกพรรษาแล้วหลายวันก็คิดว่าจะออกธุดงค์ไป แต่หลวงปู่ศุขก็ขอร้องให้หลวงปู่สี รออยู่ที่วัดก่อนเช้าวันนั้นหลวงปู่ศุขท่านก็ออกบิณฑบาตร ฝ่ายหลวงปู่สี พอเห็นหลวงปู่ศุขไปแล้วท่านก็เก็บของ ๆ ท่านที่จำเป็นแล้วออกเดินทางไป เมื่อหลวงปู่ศุข กลับจากบิณฑบาตร ทราบจากพระในวัดว่าหลวงปู่สีท่านไปแล้ว หลวงปู่ศุขจึงให้พระเณรฉันข้าวก่อน เดี๋ยวจะกลับมาฉันด้วย ต่อจากนั้นท่านก็เข้ากุฏินำพระคัมภีร์ ๓ เล่ม ตามไปให้หลวงปู่สี ปรากฏว่าพระอาจารย์ทั้งสองรูปมาพบกันที่ตาคลีจากนั้นหลวงปู่ศุข ท่านก็เดินทางกลับวัดที่ชัยนาท ไปฉันอาหารร่วมกับพระเณรจนเสร็จ พระอาจารย์ทั้งสามรูปนี้ท่านสำเร็จอภิญญาชั้นสูง จึงสามารถย่นระยะทางไปไหนมาไหนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งระยะทางจากชัยนาทมาถึงตาคลี ระยะทางประมาณ ๔๐-๕๐ กิโลเมตร ถ้านั่งรถก็ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงเห็นจะได้ ในเรื่องฤทธิ์เดชต่าง ๆ นี้เวลาที่ลูกศิษย์ถามหลวงปู่ท่านจะแกล้งล้มตัวนอนไม่ตอบคำถามของลูกศิษย์ แต่หากจะถามเรื่องธรรมะต่าง ๆ ท่านก็จะอธิบายขยายข้อธรรมให้อย่างชัดเจน เพราะท่านไม่ต้องการให้ลูกศิษย์ โดยเฉพาะพระภิกษุไปติดในเรื่องเดชฤทธิ์อำนาจ ท่านต้องการให้ใผ่ใจในเรื่องการปฏิบัติธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2023
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (cont.)
    หลวงปู่สีใบ้หวย
    ตามที่ได้กล่าวไว้ตอนต้นว่าข้าพเจ้ามาหาหลวงปู่สี เพราะได้ทราบจากเพื่อนว่าหลวงปปู่ให้หวยแม่น และให้ง่าย ๆ ไม่ยาก จึงลองมาดู ในวันแรกที่มาหาหลังจากที่คุยกับหลวงปู่อยู่สักพักหนึ่ง หลวงปู่สีท่านก็ได้หยิบกล้วยน้ำว้าจำนวน 3 ลูกห่อกระดาษส่งมาให้ พร้อมทั้งบอกว่า เอ้าเอาไปข้างล่าง ซึ่งข้าพเจ้าก็ทราบแล้วว่าท่านให้หวย แต่ก็แกล้งบอกหลวงปู่สีไปว่า ทำไมหรือครับผมไม่รู้ หลวงปู่ท่านคงรำคาญ เลยบอกว่า " หวยข้างล่าง 35 " ข้าพเจ้ารู้ท้นทีว่าเลขท้ายสองตัว 35 และงวดนั้นก็ออกตามที่หลวงปู่บอกตรง ๆ เลย พองวดที่สองข้าพเจ้าไปหาหลวงปู่ท่านก็พูดดว่า "ส้วมกลม ๆ สองส้วมอยู่ข้างล่าง" ซึ่งข้าพเจ้าก็คิดออกทันทีว่า 00 หรือ 20 และหวยงวดนั้นก็ออก 00 ตรงตามที่คิด หลวงปู่ท่านจะบอกปัญหา ๆ ให้ฟังง่าย ๆ ไม่ต้องคิดมากให้ลึกซึ้ง อย่างเช่น งวดสุดท้ายก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ท่านบอกว่าข้างล่าง " ควายสามตัวต้อนเข้าคอก" ซึ่งใคร ๆ ที่ไปหาก็คิดได้ว่า 34 หรือ 43 และหวยก็ออก 34 ปรากฏว่างวดนั้นถูกกันมากมาย และเป็นการให้หวยครั้งสุดท้ายของหลวงปู่ การไปขอหวยหลวงปู่ ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรเลย ขึ้นไปกราบท่านเสร็จก็ถามท่านได้เลยว่า "หลวงปู่ปัญหางวดนี้มาหรือยัง" ท่านก็จะบอกให้ทันที และแยกให้รู้ด้วยว่าเป็นข้างล่างหรือข้างบน ท่านมักจะบอกอยู่เสมอ ๆ ว่าไม่ใช่ปัญหาของท่านหรอก "ผีมันทำให้ดู" แต่มีสิ่งที่เรา ๆ จะถามและคำพูดที่หลวงปู่ท่านไม่ชอบอยู่หลายอย่าง คนที่ขึ้นไปหาท่านจะโดนดุทันที เมื่อถามท่านดังนี้
    1 อย่าไปถามว่าหลวงปู่มียุงกัดไหม ท่านจะบอกว่าไม่มียุงมันก็มาถามให้มียุงแล้วท่านก็จะทำท่านั่งตบยุงให้ดู ทันทีทั้งที่ก่อนหน้านั้นท่านไปเคยตบยุงเลยสักนิดเดียว
    2 ห้ามพูดคำว่าฝันดี ฝันว่าอย่างนั้นฝันว่าอย่างนี้ ให้หลวงปู่ท่านฟัง เพราะหากไปพูดแล้วหลวงปู่จะดุ แล้วพูดว่า "มึงฝันดี แล้วมาหากูทำไม" นอกจากทั้งสองเรื่องนี้ที่ท่านไม่ชอบแล้ว เวลาที่หลวงปู่ท่านฉันอาหารอยู่ ท่านไม่ชอบให้ใครไปสูบบุหรี่บริเวณใกล้เคียง ท่านจะบอกว่าเหม็น หากใครสูบท่านจะเลิกฉันทันที อาหารที่หลวงปู่ชอบฉันคือ "บะหมี่เหลืองแห้งหมู" กับงบน้ำอ้อย พอคนรู้ว่าหลวงปู่ชอบ ก็นำมาถวายให้ท่านฉันเป็นประจำ มีอยู่วันหนึ่ง หลวงปู่ท่านจะฉันเพล ท่านเปิดปิ่นโตอาหารออกมาดู ปรากฏว่ามีแต่บะหมี่เหลืองแห้งทั้งนั้น ท่านเกาหัวแล้วหันมาบอกข้าพเจ้าพร้อมทั้งพูดว่า " อีกหยัง อีหยังก็บะหมี่ทั้งนั้น" ท่านคงจะเบื่อ เพราะต้องฉันทุกวันทุกมื้อเลย

    เอกซ์เรย์หลวงปู่สีไม่ติด
    ในคราวที่หลวงปู่สีท่านล้มป่วย คณะศิษย์ได้นำท่านไปรักษายังโรงพยาบาลกองบิน 4 แพทย์ได้นำหลวงปู่สี เข้าเครื่องเอกซ์เรย์ แต่เมื่อล้างฟิล์มเอกซ์เรย์ออกมาแล้ว ปรากฏว่าฉายร่างหลวงปู่สีไม่ติด สร้างความประหลาดใจให้แกแพทย์ที่ทำการรักษาท่านเป็นอย่างมาก ท่านพระครูนิวิฐปริยัติคุณ(หลวงพ่อสมบูรณ์) ต้องเดินมาบอกหลวงปู่สีว่า หมอเขาจะรักษาหลวงปู่ให้หาย หลวงปู่สีไปแกล้งเขาทำไม หลวงปู่ตอบว่า ท่านไม่ใช่คนธรรมดานี่จะได้ถ่ายติด แล้วก็บอกให้นำ ท่านไปเข้าฉายใหม่ ปรากฏว่าครั้งหลังถ่ายติด และในการฉีดยาทุก ๆ ครั้ง หมอต้องขออนุญาตหลวงปู่ทุกครั้ง หากไม่ขออนุญาตก็จะฉีดยาไม่เข้า หมอที่โรงพยาบาลกองบิน 4 และโรงพยาบาลจังหวัดชัยนาท เจอเหตุการณ์เช่นนี้บ่อย ๆ ครั้ง

    ยังไม่ไปจนกว่าโบสถ์จะเสร็จ

    คนที่ใกล้ชิดหลวงปู่ มักจะได้ยินท่านพูดคนเดียวเสมอ ๆ ว่า "ยังไม่ไป ให้โบสถ์เสร็จเรียบร้อยก่อนถึงจะไป" ท่านพูดแบบนี้บ่อย ๆ ครั้ง เคยถามท่าน ท่านตอบว่า "เขาจะรับไปอยู่ด้วย(หมายถึงตาย)แต่ท่านขอผลัดให้โบสถ์เสียก่อน" ซึ่งเมื่อสร้างโบสถ์วัดเขาถ้ำบุญนาคเสร็จและทำการปิดทองฝังลูกนิมิตได้ไม่ นาน หลวงปู่สีท่านก็มรณภาพ ตามที่ท่านได้พูดไว้

    หลวงปู่สีย่นระยะทางได้ (ภาคสอง)
    ในการออกธุดงค์ของหลวงปู่นั้น หลายชายของท่านคนหนึ่ง เคยติดตามไปด้วย ได้เล่าให้ฟังว่า ขณะนั้นยังเป็นสามเณรได้ติดตามหลวงปู่ไปนมัสการพระพุทธบาทจังหวัดสระบุรี โดยค้างคืนที่พระพุทธบาท รุ่งเช้าพอฉันอาหารเช้าเสร็จเรียนร้อยแล้ว ปรากฏว่ามาถึงตาคลีเป็นเวลาฉันอาหารเพลพอดี ซึ่งระยะทางจากพระพุทธบาทมาถึงตาคลีให้เดินเก่งอย่างไร ก็ไม่สามารถที่จะเดินถึงได้ ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน แต่หลวงปู่ท่านพาเดินได้

    อุจจาระหลวงปู่สีเป็นขี้ผึ้ง
    ในช่วงปลายปี 2519 หลวงปู่สีท่านป่วย คณะศิษย์ได้พาท่านไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจังหวัดชัยนาทระหว่างที่ท่านรักษา ตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ท่านไดด้พูดกับลูกศิษย์ว่า " กูจะให้ของดีมึงเอาไว้ใช้ " แต่ก็ไม่มีใครรู้ได้ว่าท่านจะให้ของสิ่งใด ในวันต่อมาหลวงปู่สีท่านมีอาการท้องผูกอย่างแรง ท่านจึงบอกให้พระรักษ์สวนทวารท่าน เพื่ออุจจาระออกมา พระรักษ์จึงทำการสวนตามที่ท่านบอก เมื่ออุจจาระออกมาแล้วปรากฏว่าแทนที่จะมีกลิ่นเหม็นเหมือนของคนทั่วไป แต่กลับมีกลิ่นคล้ายกับสีผึ้ง พระรักษ์ได้ลองใช้มือบี้ดูต่อหน้าคนหลาย ๆ คน ปรากฏว่าเป็นสีผึ้ง ทางวัดจึงได้นำมาเก็บรักษาไว้ เมื่อท่านพระครูนิวิฐปริยัติคุณ( หลวงพ่อสมบูรณ์) ท่านจะทำสีผึ้งครั้งใด ท่านก็จะเอาสีผึ้งส่วนนี้มาผสมด้วยทุกครั้ง ผลปรากฏว่ามีอานุภาพมากมาย จึงเป็นที่ต้องการกันมาก ปัจจุบันทางวัดหมดไปนานแล้ว คงเหลืออยู่ไว้เพียงที่ผสมไว้เท่านั้น

    คำบอกเล่าจาก นาย เพชร ปล้องทอง(ลุงแตง) อายุ 73 ปี บ้านอยู่แถววัดเขาถ้ำบุญนาค มีศักดิ์เป็นเหลนหลวงปู่สี ถ่ายทอดประสบการณ์ในสมัยที่หลวงปู่สีท่านยังอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2023
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (cont.)
    พญานาคในถ้ำหน้าวัดเขาถ้ำบุญนาค

    ในสมัยแรกที่พระมหาสมบูรณ์ท่านนิมนต์หลวงปู่สีมาอยู่ที่วัดเขาถ้ำบุญนาค ก่อนที่จะมีกุฏิหลังเล็กที่หน้าปากถ้ำหน้าวัด หลวงปู่สีท่านจะจำวัดอยู่บนก้อนหินที่ในถ้ำ มีอยู่คราหนึ่งหลวงปู่สีท่านไม่สบาย ลุงแตงเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นมีอยู่ 3คน ที่มานอนเฝ้าหลวงปู่คือ ลุงแตง ทิดสว่าง และลุงขุ่ย นอนกับหลวงปู่ในถ้ำ ช่วงพลบค่ำหลวงปู่ท่านมาสะกิดให้ลุงทั้ง 3 คน ขึ้นมานอนบนก้อนหิน หลวงปู่บอกว่า " เดี๋ยวเขาจะมาคุยกับหลวงปู่" ในถ้ำแห่งนี้จะมีถ้ำเล็ก ๆ ซอยย่อยออกไปอยู่มากมายหลังจากที่หลวงปู่สีท่านบอกได้ซักพักก็มีตัวอะไรไม่ แน่ใจ เลื้อยออกมาจากถ้ำเล็กที่ปิดไว้ ลำตัวขนาดเท่าลำต้นตาลสีดำ บริเวณหัวมีหงอนสีแดง ยาวเท่าไหร่ไม่รุ้เพราะมืด เลื้อยมาชูคอตรงหน้าหลวงปู่สี และหลวงปู่ท่านก็พูดด้วยแต่พูดอะไรกันไม่รู้ สักพักก็เลื้อยออกไปจากถ้ำ ทั้ง ๆ ที่ถ้ำนั้นทำการปิดไว้อยู่ พอสอบถามหลวงปู่ ท่านก็บอกว่า"เขาเป็นผู้รักษาถ้ำนี้และมาขอให้ช่วยรักษาถ้ำนี้ไว้อย่าให้ใคร มาทำลาย" และก็มักจะมีปรากฏการณ์แปลกเกิดขึ้นคือ บริเวณถ้ำหน้าวัดนี้เป็นส่วนหนึ่งของกองภูเขาเล็กที่โรงปูนฯตาคลี จะต้องทำการระเบิดเป็นเศษหิน ไว้สำหรับบดทำปูนซีเมนต์ และเป็นที่ทราบกันดีว่าก่อนจะทำการระเบิดหิน จะต้องมีการเปิดหวอเตือนภัยให้ชาวบ้านละแวกนั้นให้ทราบ เพื่อที่จะไม่เข้ามาเพราะอาจทำให้เกิดลูกหลงจากแรงระเบิดได้ และนับเป็นเรื่องอัศจรรย์ ที่ทุกครั้งจะทำการระเบิดบริเวณใกล้ ๆ ปากถ้ำ คนวางแนวระเบิดแล้วและกำลังจะกดสัญญาณหวอเตือนให้ดัง ระเบิดจะติดก่อนหรือไม่ก็ด้านไปในทุกที

    มีพระพุทธรูปในสระน้ำ
    หลังจากที่หลวงปู่สีท่านย้ายจากในถ้ำมาอยู่ที่กุฏิหลังเล็กหน้าปากถ้ำ ตรงบริเวณด้านหน้ากุฏิหลังนี้จะมีสระน้ำลึกอยู่ มีอยู่วันหนึ่งหลวงปู่สี ท่านมองไปที่สระน้ำและบอกกับพระอาจารย์สมบูรณ์ว่า ใต้สระน้ำนี้มีพระพุทธรูปเก่าอยู่สององค์ ปีหน้าน้ำในสระจะแห้งให้เด็กในวัดไปงมขึ้นมานะ หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งปี น้ำในสระก็แห้งจริงตามที่หลวงปู่สีท่านได้กล่าวไว้ พระอาจารย์สมบูรณ์ท่านจึงให้เด็กวัดลงไปงมหาพระตามที่หลวงปู่ได้เคยบอกไว้ และปรากฏว่าพบพระพุทธรูปโบราณจริง ๆ ตามที่หลวงปู่สีท่านบอกไว้ทุกประการ

    แสนครั้งยังไม่เท่าหนึ่ง(เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคณะชลบุรีกับหลวงปู่สี)

    สืบเนื่องจากคณะชาวชลบุรีเกิดความ ศรัทธาหลวงปู่ที่หลวงปู่ได้ไปโปรดที่จังหวัดชลบุรี(อ่านได้ตอน ปาฏิหารย์แยกกายโปรดโยม) จึงตามมาหาหลวงปู่ถึงวัด ครั้นพอถึงเวลาฉันเพลแล้ว ชาวชลบุรีก็นำอาหารที่เตรียมมาถวายเพล ท่านก็ลุกขึ้นมานั่งยอง ๆ ฉันอาหาร โดยมีแมวและสุนัขนั่งล้อมหน้าล้อมหลัง ชาวจังหวัดชลบุรีกลุ่มนั้น เมื่อได้เห็นอากัปกิริยาของหลวงปู่เช่นนั้น คือนั่งไม่สำรวม ก็ไม่ศรัทธา จึงได้พากันเดินทางต่อไปยังวัดท่าซุง เพื่อกราบนมัสการหลวงพ่อฤาษีลิงดำ พวกเขาได้เล่าให้หลวงพ่อฤาษีลิงดำฟังถึงหลวงปู่สีว่า “เป็นพระที่ไม่น่านับถือ” แต่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านกลับตอบไปว่า “กราบฉันแสนครั้งยังไม่เท่าได้กราบหลวงปู่สีครั้งเดียว” ต่อมาภายหลังชาวชลบุรีกลุ่มนี้ก็กลับกลายมาเป็นศิษย์ที่นับถือหลวงปู่สีมาก ที่สุดกลุ่มหนึ่งอย่างไม่น่าเชื่อ และได้สร้างพระถวายหลวงปู่สีอยู่หลายรุ่นครับ

    ถอดข้อความส่วนหนึ่งมาจากหนังสือ สู่แสงธรรม โดย พล.อ.ต. มนูญ ชมภูทีป (อยากอ่านเต็ม ๆ ซื้อได้ที่วัดท่าซุงและซอยสายลมครับ)

    เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ข้าพเจ้าได้เข้าเรียนเสนาธิการทหารอากาศ แต่ในวันหยุดก็ได้เดินทางกลับบ้านที่กองบิน ๔ ตาคลี นครสวรรค์ ทุกครั้งและก็ได้ไปแวะเยี่ยมหลวงปู่สี ที่กำลังอาพาธหนักอยู่เสมอ ๆ ในบางครั้งที่เจอคุณหมอโอ๊ต ซึ่งเป็นนายแพทย์ของกองบิน ๔ (ชื่อจริงข้าพเจ้าต้องขออภัยที่จำไม่ได้เพราะเรียกกันแต่หมอโอ๊ตจนติดปาก) มาคอยให้การเยียวยารักษาอยู่ และด้วยเหตุนี้จึงได้รู้และเห็นกับตาว่า คราวใดก็ตามหากหลวงปู่สีไม่ยอมให้หมอฉีดยาแต่หมอจะฉีดให้ได้ เข็มฉีดยาก็จะต้องหักทุกครั้งไปเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง หมอโอ๊ตเองก็หนักใจเพราะไม่สามารถรักษาได้ตามกระบวนการแพทย์ และครั้งเมื่อหลวงปู่สีมีอาการหนักมาก ท่านเจ้าอาวาสก็คลานเข้าไปสอบถามว่า “ หากหลวงปู่สีมรณภาพ จะให้ทางวัดจัดพิธีศพของหลวงปู่สีอย่างไร” ซึ่งหลวงปู่สีก็ได้ตอบให้ทุกคนในที่นั้นได้ยินกันอย่างทั่วถึงว่า”หากข้ามรณ ภาพเมื่อใด ท่านฤๅษีลิงดำจะมาเป็นผู้จัดการศพของข้าเอง ขอทุกคนอย่าได้เป็นห่วง”
    ต่อ จากนั้นมาอีกไม่กี่วัน ข้าพเจ้าก็ได้รับทราบจาก พ.อ.อ. สัมฤทธิ์ กลั่นดี ว่าหลวงปู่สีได้มรณภาพ เมื่อเวลาประมาณตีสามและหลวงพ่อก็ได้มาถึงวัดเมื่อเวลาประมาณตีห้า โดยมิได้รับการติดต่อจากผู้ใดทั้งสิ้น (ข้าพเจ้าต้องขออภัยอีกครั้ง ที่จำวันมรณภาพของหลวงปู่สีไม่ได้) และเมื่อหลวงพ่อมาถึงวัด ก็ได้สั่งการและอำนวยการให้เก็บศพหลวงปู่สีไว้ในโลงแก้ว ในสภาพเสมือนหนึ่งหลวงปู่สีนอนหลับสนิทมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ และที่น่าอัศจรรย์ยิ่งคือร่างของหลวงปู่สีไม่เน่าเปื่อย อีกทั้งเล็บมือเล็บเท้าและผมก็งอกยาวออกมาเช่นบุคคลธรรมดาที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งทางวัดก็จะต้องเปิดโลงแก้วทุก ๆ ๑๕ วันเพื่อปลงผมและตัดเล็บมือและเท้าให้หลวงปู่สีตลอดมา
    เรื่อง ที่ข้าพเจ้าได้เล่ามานี้จะเห็นได้ว่าทั้งหลวงปู่สีและหลวงพ่อจะต้องได้ญาณ และติดต่อกันได้ทางจิตมาโดยตลอด ซึ่งในทันทีที่หลวงปู่สีสิ้นลม หลวงพ่อก็รับทราบและเดินทางมาจัดการได้ในทันที

    หลวงพ่อนัดพบหลวงปู่สีทางจิต
    ถอดข้อความส่วนหนึ่งมาจากหนังสือ สู่แสงธรรม โดย พล.อ.ต. มนูญ ชมภูทีป (อยากอ่านเต็ม ๆ ซื้อได้ที่วัดท่าซุงและซอยสายลมครับ)
    เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๔ ในวันหนึ่งหลวงพ่อได้มาแสดงธรรมะออกอากาศที่สถานีวิทยุกระจายเสียง ๐๔ ตาคลี จ.นครสวรรค์ เหมือนเช่นเคย และหลังจากที่หลวงพ่อได้แสดงธรรมะออกอากาศเสร็จก็ได้มานั่งพักผ่อนสนทนากับ ข้าพเจ้าและพ.อ.อ. กริช บำรุงพงษ์ ที่ห้องรับแขก ข้าพเจ้าจึงได้ฉวยโอกาสเล่าถึงอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่สีให้ หลวงพ่อฟัง พอสรุปใจความสั้น ๆ ได้ดังนี้
    “ มีพ่อค้าชาวตาคลี กลุ่มหนึ่งได้ไปกราบนมัสการหลวงปู่แหวนที่ วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ และเมื่อหลวงปู่แหวนทราบว่าเป็นพ่อค้ามาจากตาคลี ก็หัวเราะพูดว่า” ท่านมีอาจารย์อยู่องค์หนึ่งอายุมากแล้วชื่อหลวงปู่สี ขณะนี้อยู่ที่ตาคลีค้นหาให้ดี เพราะท่านเก่งมากดังนั้นเมื่อผู้คนนั้นกลับมา ก็พยายามติดตามค้นหาในที่สุดก็ได้พบว่าหลวงปู่สี พำนักอยู่ที่วัดเขาถ้ำบุญนาค มีอายุชราภาพมากแล้วถึง ๑๒๑ ปี อภินิหารหลวงปู่สี ขณะนั้นเป็นที่ร่ำลือกันมากคือ ไม่มีใครถ่ายรูปหลวงปู่สีติด หากไม่ขออนุญาตท่านเสียก่อน และชานหมากของหลวงปู่สีหากผู้ใดได้ไว้แล้วพกติดตัวไปก็จะเป็นสิริมงคล และป้องกันอันตรายต่าง ๆ ได้
    ข้าพเจ้าได้เล่าให้หลวงพ่อฟังต่อไปว่า “ กิตติศัพท์ของหลวงปู่สีดังกล่าว เมื่อได้รับฟังมาผมก็มิได้สนใจนักจนกระทั่งวันหนึ่งผมได้ยินเสียงปืนดังขึ้น ที่ป่าหลังกองร้อยทหารสารวัตร(ในขณะนั้นข้าพเจ้าเป็นผู้บังคับกองร้อยทหาร สารวัตร และเป็นนายทหารรักษาความปลอดภัยกองบิน ๔ ด้วย) ผมจึงชวนเรือโทสังวร สมหวัง รองผู้บังคับกองร้อย และเรืออากาศ ครรชิต บัวอำไพ นายทหารสารวัตรซึ่งได้นั่งปรึกษางานอยู่กับผมลงไปดู ก็เป็นจ่าอากาศสารวัตร ๒ คน คนหนึ่งกำลังถือปืนตั้งท่าจะยิงไก่นัดต่อไป อีกคนหนึ่งยืนดู จึงตะโกนสั่งให้หยุดยิงและสอบถามว่าทำไมจึงขัดคำสั่งผู้บังคับกองร้อยฯ (ข้าพเจ้าได้เคยสั่งให้ยิงปืนได้เฉพาะในสถานที่ที่จัดไว้ให้ยิง และยิงได้เฉพาะวัน, เวลาที่ทางกองร้อยฯกำหนด) ซึ่งทั้งสองคนก็ยอมรับผิด และอธิบายสาเหตุให้ฟังว่าจ่าประสิทธิ์ไปได้ชานหมากจากหลวงปู่สีมาเล่าให้จ่า ชิตฟังถึงอภินิหารต่าง ๆ จ่าชิตได้ฟังก็ไม่เชื่อก็เกิดการพนันกันขึ้น โดยจ่าประสิทธิ์ไปขอซื้อไก่ในกองบิน๔ มาแล้วให้จ่าชิตยิง หากจ่าชิตยิงไก่ตาย จ่าชิตก็ได้ไก่ไปแต่ถ้าหากจ่าชิตยิงไก่ไม่ตายก็ต้องจ่ายเงินให้จ่าประสิทธิ์ แล้วให้จ่าประสิทธิ์เอาไก่ไป การยิงสัญญากันไว้ว่าจะยิง ๖ นัด ขณะนี้จ่าชิตยิงไปแล้ว ๓ นัด ยังไม่ถูกไก่ และยังมีสิทธิ์ยิงได้อีก ๓ นัด ผมจึงให้เรืออากาศโท สังวร และเรืออากาศตรีครรชิต ซึ่งเป็นมือปืน P.P.C.เหรียญเงินทั้งสองคน ยิงไก่คนละนัดก็ไม่ถูกอีก ผมจึงให้คนโทรศัพท์ไปเรียกพ.อ.อ. ชลอ ผาสุกมือปืนP.P.C. เหรียญทองมายิงในนัดสุดท้ายซึ่งก็ไม่ถูกไก่อีก (ในตอนนั้น พ.อ.อ. ชลอ ผาสุก โมโหมากขอให้เอาเหรียญบาทไปตั้งที่ตอไม้ทั้ง ๓ เหรียญ ก็ยิงถูกเหรียญกระเด็นไปทั้ง ๓ เหรียญแต่ยิงไก่ตัวใหญ่โต ซึ่งมัดติดกับต้นไม้ไม่ถูก) ผมจึงให้จ่าประสิทธิ์พาไปหาหลวงปู่สีในวันนั้น และพอไปกราบหลวงปู่สี หลวงปู่ก็กล่าวตำหนิว่าพวกผมทำให้ท่านเจ็บปากไปหมด เพราะชานหมากไปผูกติดกับคอไก่ท่านก็จะต้องคุ้มครองให้ไก่และเมื่อเอาปืนไป ยิงไก่ ลูกปืนมันไม่ถูกไก่แต่วันมาถูกปากท่านทุกนัด ผมและพรรคพวกที่ไปจึงต้องกราบขอขมาหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ท่านก็เมตตา มอบชานหมากมาให้แต่ขอสัจจะว่า อย่าได้นำชานหมากของท่านไปทดลองที่ไหนอีก”
    หลวงพ่อได้นั่งฟังข้าพเจ้า เล่าถึงหลวงปู่สีด้วยความสงบ พอข้าพเจ้าเล่าจบหลวงพ่อก็พูดว่า “คุณมนูญ ฉันบอกหลวงปู่สีเมื่อตะกี้นี้แล้วว่า ฉันจะไปหาหลวงปู่ดีใจมาก จะคอยต้อนรับอยู่ที่กุฏิ ไปเราไปกันได้เลย”
    ข้าพเจ้าและพ.อ.อ. กริช ได้ฟังก็งงมาก เพราะหลวงพ่อก็นั่งอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ลุกไปโทรศัพท์ และโทรศัพท์ที่กุฏิหลวงปู่สีก็ไม่มี หลวงพ่อจะบอกกับหลวงปู่สีได้อย่างไร แต่เมื่อเป็นเจตจำนงของหลวงพ่อเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็จำต้องขับรถพาหลวงพ่อไป
    เมื่อไปถึงกุฏิหลวงปู่สี(ตั้งอยู่หน้าถ้ำวัดเขาบุญนาค) ข้าพเจ้าก็ยิ่งฉงนสนเท่ห์ใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะหลวงปู่สีซึ่งตามปกติท่าจะนุ่งสบงอยู่ตัวเดียว บัดนี้ท่านแต่งชุดใหญ่ครบเยี่ยงพระภิกษุสงฆ์ที่พร้อมจะเข้าพิธีในโบสถ์ มีเสื่ออย่างดีปูได้เรียบร้อยพร้อมด้วยชุดน้ำชา และ หมากพลู อีกทั้งมีพระภิกษุสงฆ์ในวัดอีก ๒-๓ รูป รวมทั้งเจ้าอาวาสมานั่งคอยต้อนรับหลวงพ่ออยู่กันพร้อมหน้า
    ในขณะที่หลวงพ่อนั่งคุยกับหลวงปู่สี ข้าพเจ้าก็ได้แอบไปสอบถามท่านมหาองค์หนึ่ง ซึ่งใกล้ชิดกับหลวงปู่สีว่า “หลวง ปู่สีทราบได้อย่างไรว่า หลวงพ่อจะมา” ท่านมหาองค์นั้นก็ตอบว่า “อาตมาก็ไม่ทราบเห็นหลวงปู่นอนจำวัดอยู่ตามปกติ จู่ ๆ ก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาแล้วสั่งให้อาตมาคุมกวาดลานวัดและเช็ดกุฏิแล้วให้เตรียม น้ำชา หมากพลูโดยเร่งด่วน ท่านบอกว่า ประเดี๋ยวจะมีพระผู้ใหญ่ระดับสูงมากมาหา พร้อมกันนั้นหลวงปู่ก็เข้าไปนุ่งห่มจีวรใหม่เอี่ยม รอหลวงพ่อดังที่โยมเห็นนี้แหละ
    เรื่อง ที่ข้าพเจ้าและพรรคพวกได้ประสบในครั้งนี้ไม่มีผู้ใดจะพิสูจน์หรือหาเหตุผลใด ๆ ได้เลย นอกจากจะคิดกันไปว่า หลวงพ่อได้นัดพบกับหลวงปู่สีทางจิตเท่านั้น หรือท่านผู้อ่านจะเข้าใจว่าอย่างไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2023
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (cont.)
    อานุภาพวัตถุมงคล ของหลวงปู่สี
    เวลาที่มีคนขอวัตถุมงคล หรือ ขอให้ท่านเสกของอะไรให้ ท่านมักจะตอบว่า "ของขลังไม่มี หนังสือไม่เคยเรียน เสกไม่เป็น บ่รู้จักหรอก" อยู่เป็นประจำ มีอยู่คราหนึ่ง นายเรียน นุ่มดี ผู้บัญชาการเรือนจำประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต้องการมากราบหลวงปปู่สี และขอให้ท่านเสกของให้ เพื่อที่จะนำไปสร้างพระ ได้มาหาข้าพเจ้า เพื่อให้ช่วยพามาวัดเขาถ้ำบุญนาค เมื่อข้าพเจ้าาพามาพบหลวงปู่สีแล้ว หลังจากท่กราบท่านเรียนร้อย นายเรียน นุ่มดี ก็แจ้งวัตถุประสงค์ให้หลวงปู่สีท่านทราบทันที หลวงปู่ตอบว่า "เสกไม่เป็น ของขลังไม่รู้จัก ไม่เคยเรียนหนังสือ" และนั่งเฉยไม่ยอมเสกให้ ข้าพเจ้าและพระรักษ์(พระที่คอยรับใช้หลวงปู่) ต้องช่วยกันขอร้องเป็นเวลานาน โดยบอกว่าหลวงปู่เสกให้เขาหน่อยเถอะ เขาอุตส่าห์มากันไกล ๆ หลวงปู่จึงบอกว่า "ส่งลังมาใกล้ ๆ จะเสกให้ พอยื่นลังมาอยู่ข้าง ๆ ท่าน ท่านก็ก้มลงเป่าทันทีโดยไม่ต้องมีการบริกรรมคาถาใด ๆ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แล้วบอกว่าเสร็จแล้วรับกลับไปได้ นายเรียน นุ่มดีและผู้ติดตามมาด้วยถึงกับหน้าเสีย แต่จำเป็นต้องรับกล่องนั้นกลับไปแบบเสียมิได้ ภายหลังจากนายเรียน นุ่มดี กลับไปอยุธยาไปได้ 2-3 วัน นายเรียน นุ่มดีก็กลับมาหา หลวงปู่สีใหม่อีกครั้ง แต่ในคราวนี้ นายเรียน นุ่มดี ได้มาขออนุญาตหลวงปู่สร้าง เหรียญรุ่น"จตุรพิธพรชัย" และเหรียญรุ่น"พรหมวิหารธรรม"
    นายเรียน นุ่มดี ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เมื่อคราที่แล้วเห็นหลวงปู่เสกของในกล่องให้แบบไม่ค่อยจะเต็มใจ เล่นเป่าให้แค่ครั้งเดียว จึงไม่ค่อยศรัทธา ครั้นเมื่อถึงอยุธยาแล้วก็ให้ลูกน้องจัดการยิงทันที แต่ยิงยังไงก็ยิงไม่ถูกลังกระดาษ(หมายเหตุ ผงพุทธคุณในกล่องกระดาษนี้ ได้นำมาสร้างชุดพระเนื้อผงพิธีจตุรพิธพรชัย) จึงได้มีความนับถือหลวงปู่สีเป็นอย่างยิ่ง พร้อมกับได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้หลวงปู่ดู่ แห่งวัดสะแก จ.อยุธยา ท่านฟัง หลวงปู่ดู่ท่านจึงให้นายเรียน นุ่มดี มาขออนุญาตหลวงปู่สี สร้างเหรียญขึ้นอีก 2 รุ่น เหตุการณ์แบบนี้ก็คล้าย ๆ เฉกเช่นกับเมื่อครั้งที่ นายแพทย์ วิเชยร ตระกูลสิน และจอ. นริศ ไชยมงคล ครั้งที่สร้างเหรียญขวัญถุงรุ่นแรกขึ้น ได้นำเหรียญขวัญถุงทั้งหมดใส่ถาด เพื่อให้หลวงปู่ทำการเสกให้ นั่งรอกันอยู่ตั้งนานหลวงปู่สีท่านก็ไม่ยอมเสกให้สักที จนผู้สร้างได้ขอร้องให้ท่านเสกให้เพราะจะได้นำลงไปจำหน่ายให้บูชา หลวงปู่สีท่านจึงใช้มือลงไปคน ๆ เหรียญในถาด 3 รอบ แล้วก้ม ลงเป่า 3 ครั้ง แล้วบอกกับผู้สร้างว่าเสร็จแล้วเอาไปได้ ผู้จัดสร้างถึงกับนิ่งอึ้งกันหมด แต่ปรากฏว่า เหรียญขวัญถุงรุ่นนี้กับปรากฏอภินิหารมากมาย คนถูกยิงด้วยลูกซองเต็มอกแต่ไม่เข้า รถชนกระเด็นไปเป็นวาไม่ปรากฏว่ามีอาการแต่อย่างใดให้ระคายผิว

    ถ้าจะพูดถึงวัตถุมงคลของหลวงปู่สี อันดับต้นที่คนนึกถึงคือ ชานหมาก ของหลวงปู่สี นั่นเป็นเพราะยุคแรกที่ท่านมาอยู่วัดเขาถ้ำบุญนาคนั้น ตอนนั้นท่านไม่อนุญาตให้สร้างวัตถุมงคลใด ๆ ใครมาขอของดีท่านก็จะให้แต่ชานหมาก ดังนั้นชานหมากถือเป็นวัตถุมงคลอันดับต้น ๆ ที่มีคนอยากได้มากที่สุด และก็ดูยากที่สุดด้วยครับ

    เรื่องอานุภาพชานหมาก (มีอยู่หลายเรื่องเลยครับ)

    เรื่องมีอยู่ว่า มีชาวไร่ทำอาชีพปลูกข้าวโพดอยู่ท่านหนึ่ง ได้รับแจกชานหมากจากหลวงปู่สี ต่อมมาชาวไร่ผู้นั้นเกิดทำชานหมากของหลวงปู่สีหายในขณะที่ทำการเก็บหักข้าวโพดกับพวกอยู่ในไร่ พอทราบว่าชานหมากที่พกประจำติดตัวหาย ก็ออกค้นหาเท่าไหร่ก็ไม่พบเพราะดงข้าวโพดนั้นกว้างใหญ่ไพศาล แต่เนื่องด้วยจิตที่มีศรัทธามั่นคงต่อหลวงปู่สีด้วยความจริงใจ พอตกกลางคืนก็ฝันว่าหลวงปู่สีมาเข้าฝันบอกว่า หากอยากได้ชานหมากคืนก็ให้เผาไร่ข้าวโพดที่หักเก็บฝักแล้วเสีย แล้วเจ้าก็จะพบชานหมากของข้าที่เจ้าทำหายในไร่ พอตอนรุ่งเช้า ชาวไร่คนนั้นก็ทำการจุดไฟเผาไร่ข้าวโพดที่ตนได้ทำการหักฝักหมดแล้วทันที ไฟได้ลุกไหม้ต้นข้าวโพดในไร่อย่างรวดเร็ว และเมื่อต้นข้าวโพดถูกไฟไหม้หมดราบเรียบ มองในไร่จึงเห็นได้ชัดว่ายังมีต้นข้าวโพดอีก ๒-๓ ต้นยังยืนอยู่ตามปกติ ไฟไม่ไหม้เป็นที่น่าอัศจรรย์ในยิ่งนัก เพราะ ข้าวโพดสองสามต้นยังยืนอยู่ได้อย่างไร ใบและกิ่งก้านที่แห้งไฟไม่สามารถเผาผลาญได้ จึงเดินตรงเข้าดู ก็พบชานหมากขอหลวงปู่สีที่ตนทำตกหายอยู่ที่พื้นดินในระหว่างต้นข้าวโพด ที่ไม่ยอมไหม้ไฟสองสามต้นนั้น ก็ดีใจมากทรุดตัวลงกับพื้นเก็บชานหมากขึ้นมาแล้วยกมือไหว้ระลึกนึกถึงหลวงปู่ที่มาเข้าฝันตนทำให้ได้ของรักของหวงกลับคืนมาได้ ต่อจากนั้นก็นำไปเลี่ยมแขวนไว้กับคอตราบเท่าทุกวันนี้


    ส่วนอีกราย เป็นสตรีวัยกลางคนอยู่ที่สมุทรปราการ ได้ชานหมากของหลวงปู่สี เก็บใส่กระเป๋าสตางค์ไว้ อยู่มาวันหนึ่งระหว่างเดินทางกลับบ้านตอนพลบค่ำ ในระหว่างที่เดินอยู่ในซอยเปลี่ยว ตนมีความรู้สึกว่ามีคนเดินตามหลังมา ๓ คน ตนจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อหนีให้ห่างจากชายสามคนที่เดินตามมานั้น แต่ก็ได้ยินเสียงเท้าของผู้ตามมานั้นอย่างกระชั้นชิด ตนจึงได้วิ่งหนีด้วยความกลัว แต่คนทั้งสามก็ยังวิ่งตามมาอีกอย่างไม่ลดละจนในที่สุดตนรู้สึกเหนื่อยจึงหยุดวิ่งทันทีแล้วหันหน้าไปดูชายทั้งสามที่วิ่งตามมานั้นหยุดชะงักเช่นกัน เมื่อเห็นหน้าตนหันมาดูด้วยอาการหวาดกลัวและร้องเสียงดังพร้อมกันแล้วคนร้ายทั้งสามต่างวิ่งโกยกลับหลังหนีไปอย่างอัศจรรย์ ทั้งที่ความจริงแล้วใบหน้าของสตรีวัยกลางคนผู้นั้นจัดว่าเป็นหญิงที่มีความงามเลยทีเดียว เป็นไปไม่ได้ที่คนร้ายทั้งสามจะตื่นกลัวตกใจจนวิ่งหนีจากไปเช่นนี้
    ในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของชานหมากของหวงปู่สีนั้นยังมีอีกมาก ลูกศิษย์ใกล้ชิดของหลวงปู่ล้วนมีไว้ประจำติดตัวทุกคน ท่านจะห่อด้วยเศษจีวรของท่านและสั่งห้ามไม่ให้แกะออกเป็นอันขาด และห้ามลองด้วย

    ผ้าจีวรศักดิ์สิทธิ์
    ชาวตาคลีศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “ แม้แต่เศษจีวรเก่า ๆ ของหลวงปู่สียังช่วยให้ข้ารอดตาย “ ครับคนที่กล่าวคำนี้เป็นชาวบ้านในอำเภอตาคลี ได้ไปทำงานที่เสี่ยงอันตราย คือ อาชีพเก็บเศษทองแดงปลอกกระสุนปืน ในสนามซ้อมรบที่จังหวัดสระบุรี ในวันที่จะเกิดเหตุ ได้เข้าไปหาเศษทองเหลืองทองแดงเพลิน ไม่ได้ยินเสียงประกาศให้รีบออกจากเขตซ้อมยิง ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของสนาม ได้ให้สัญญาซ้อมยิงได้ ก่อนหน้านั้นเพียงเสี้ยววินาทีเดียวที่จะได้ยินเสียงกระสุนปืนดังขึ้นน เขามีความรู้สึกว่าเหมือนมีใครมาผลักให้เขาล้มตัวลงนอนกับพื้นอย่างแรง ขณะที่ร่างของเขาล้มลงก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นจนแสบแก้วหู จนเสียงปืนสงบลง เขาจึงทราบว่าหากเขาไม่ล้มลงตัวเขาเองจะต้องเป็นเป้ากระสุนอย่างแน่นอน พอเหตุการณ์อันน่าขนพองสยองเกล้าผ่านพ้นไป เขาจึงหันไปดูรอบ ๆ บริเวณนั้นก็ไม่ปรากฏผู้ใดที่มาผลักเขาให้ล้มลงในบริเวณ ณ ที่แห่งนั้น ในขณะนั้นมีเขาอยู่เพียงคนเดียว ทำให้เขานึกถึงหลวงปู่สีที่เคยเข้าไปกราบและขอเศษผ้าจีวรเก่า ๆ ที่วางอยู่ข้างตัวท่านมา ๑ ชิ้น ขนาดเท่าครึ่งฝ่ามือ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็นำพกติดตัวไว้เป็นประจำ เวลาจะไปไหนมาไหนเขาจะหยิบขึ้นมายกบูชาขึ้นเหนือหัวก่อนที่จะใส่กระเป๋าติดตัวออกจากบ้าน สุดท้ายก่อนจากกันวันนั้นชาวบ้านตาคลีผู้นั้นยังกล่าวส่งท้ายว่า “ ผมรอดตายหลายครั้งแล้วครับก็ด้วยอานุภาพของเศษจีวรเก่า ๆ ของหลวงปู่สี”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2023
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (cont.)
    รถทับไก่
    ปกติหลวงปู่นั้นท่านเป็นผู้มีเมตตาต่อสัตว์มาก ท่านมักจะให้ข้าวให้น้ำแก่สัตว์ทั้งหลายกินอยู่เสมอ บางคราวท่านเห็นว่ามันจะไปได้รับอันตราย ท่านคว้าเอาผ้าเช็ดน้ำหมากของท่านมาผูกคอ สวมคอมันบ้าง ทั้งสุนัข แมว ไก่ ซึ่งสัตว์เลี้ยงของท่านนั้น ได้ถูกผู้ใจบาปหยาบช้าคิดทำร้ายนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เคยมีตัวใดได้รับอันตราย ไม่ว่าจากอาวุธชนิดใด มีดปืน ระเบิด ยิงออกบ้าง ไม่ออกบ้าง สุดแต่วิบากของสัตว์เหล่านั้นในเวลานั้น ซึ่งมีอยู่วันหนึ่ง มีนายทหารท่านหนึ่งขับรถของตนเดินทางไปเพื่อกราบหลวงปู่ท่านครั้นเมื่อไปถึง ได้เห็นหลวงปู่นั่งยอง ๆ อยู่ในกุฏิ เปลือยกายท่อนบน กุฏิของท่านมีแต่สุนัข แมว แถมเป็นโรคเรื้อนด้วย ก็เกิดความรังเกียจ ไม่เลื่อมใส ก็เลยไม่ยอมเข้าไปกราบ เดินมาขึ้นรถกลับแต่ในขณะนั้นมีไก่ซึ่งหลวงปู่เลี้ยงไว้ได้เดินเข้าไปอยู่ใต้ท้องรถพอดี นายทหารผู้นั้นไม่เห็นจึงขับรถออกไปทำให้ล้อรถทับไก่เต็มที่ ผู้คนที่อยู่ในวัดต่างร้องขึ้นด้วยความตกใจ ทำให้นายทหารผู้นั้นต้องหยุดรถลงมาดูคิดว่าคงเละแน่ แต่ผลกลับปรากฏว่าไก่ตัวนั้นไม่เป็นอะไรเลย หลังจากถูกทับแล้วมันขยับปีกมาสักชั่วอึดใจแล้วก็เดินจากไป คุ้ยเขี่ยหาอาหารกินของมันตามปกติ เท่านั้นแหละนายทหารผู้นั้นถึงกับตะลึงงัน รีบถอยรถกลับไปกราบนัสการหลวงปู่ทันที พร้อมทั้งขอของดีไว้ใช้ติดตัว ทราบว่าได้ไปหลายอย่างทีเดียว

    ไก่กับระเบิด
    ภายหลังนายทหารผู้นั้นกลับไป ได้มีผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนเดินทางมากรายหลวงปู่อีก เพื่อขอเครื่องมงคล ในระยะนั้นหลวงปู่ยังไม่อนุญาตให้สร้างเครื่องมงคล ท่านจึงคายชานหมากให้ไปกันทุกคน มีทหารผู้หนึ่งซึ่งได้ชานหมากไปด้วย ก็คิดลองดีว่าจะแน่สักแค่ไหน เลยเอาไปแขวนคอไก่ พอไก่เดินออกไปได้ระยะพอสมควร ก็สั่งเพื่อน ๆ หมอบ พร้อมทั้งโยนระเบิดสังหารเข้าใส่ไก่ตัวนั้นทันที ตูม! เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ไก่มันตกใจก็บินขึ้นและตัวมันก็เจอระเบิดเข้าเต็มที่ ขนหลุดปลิวว่อนไปหมด แต่พอมันหล่นลงพื้นก็มีอาการซวนเซเล็กน้อย ชั่วครู่ก็ออกหากินได้ต่อไป ไม่เป็นอะไรเลย ไม่มีแม้แต่บาดแผล นายทหารผู้เป็นนายได้ทราบเรื่องก็มีความเชื่อมั่นในองค์หลวงปู่ยิ่งขึ้น แต่ก็โกรธมากเช่นกันที่ผู้ใต้บังคับบัญชาไปทำการทดลองในลักษณะนั้นน ผลที่สุดก็สั่งกักบริเวณทหารผู้นั้นไปเสีย 15 วัน

    อานุภาพผ้าเช็ดน้ำหมาก
    หลวงปู่นั้นไม่ว่าท่านจะหยิบจะจับอะไรล้วนแล้วแต่กลับกลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ไปทั้งสิ้น แม้แต่ผ้าที่ท่านใช้เช็ดปาก เช็ดน้ำหมากก็ตามที ท่านมักฉีกเอาไปผูกคอสุนัขบ้าง แมวบ้าง ด้วยความเมตตาที่มันถูกรังแกบ่อย ๆ
    ครั้งหนึ่งมีสุนัขบ้านใกล้ ๆ วัดหลงเข้ามาคลุกคลีกับท่าน ท่านจึงเอาผ้าเช็ดน้ำหมากฉีกผูกคอมันไปต่อมาสุนัขตัวนั้นไปรบกวนสัตว์อื่นเช่น เป็ด ไก่ จนกระทั่งเจ้าของสัตว์ปีกเหล่านั้นเหลือจะทน จึงได้ใช้ปืนลูกซองยิงมัน แต่ปรากฏว่าด้วยอานุภาพผ้าเช็ดน้ำหมากยิงถูกแต่ไม่เข้า สุนัขตัวนั้นวิ่งกลับไปยังบ้านเจ้าของ ของมัน ผู้เห็นเหตุการณ์นำเรื่องนี้ไปบอกเล่าให้เจ้าของบ้านฟัง ก็เลยเกิดการถอดผ้าผืนนั้นเก็บไว้บูชาเสียเอง
    ภายหลังเมื่อสุนัขตัวนั้นเข้าไปในวัดอีก หลวงปู่ท่านก็ได้เมตตาผูกให้มันใหม่ และจากเหตุนี้เองทำให้ผ้าเช็ดน้ำหมากของหลวงปู่เป็นที่ต้องการของชาวบ้านหลาย ๆ คน จึงมีเหตุให้ผ้าเช็ดน้ำหมากของท่านอันตรธานไปบ่อย ๆ แต่ใช่ว่าหลวงปู่จะหลงลืม เปล่าเลย ท่านจำของท่านได้ว่าท่านมีของท่านกี่ผืน จนกระทั่งท่านบ่นว่า เอาไปทำไมกัน แต่ก็ห้ามศรัทธาของชาวบ้านไม่ได้ หลวงปุ่ท่านเป็นผู้มีเมตตาธรรมมสูงอยู่แล้ว ท่านก็เลยปล่อยเลยตามเลย ต่อมาอย่าว่าแต่ผ้าเช็ดน้ำหมากหลวงปู่ แม้แต่ผ้าเช็ดกุฏิหลวงปู่ ก็มีผู้ศรัทธาหลวงปู่นำเก็บไปไว้บูชา และต่างถือว่าล้วนเป็นของศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น

    ธูปศักดิ์สิทธิ์
    อิทธิปาฏิหารย์ และความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่สีเป็นที่เลื่องลือไม่เฉพาะแต่เมื่อครั้งที่หลวงปู่ท่านยังไม่มรณภาพเท่านั้น แม้แต่ท่านจะมรณภาพไปแล้วก็ตาม แต่ความศักดิ์สิทธิ์ ฤทธิ์อาจความมหัศจรรย์ต่าง ๆ ของท่านก็ยังเป็นที่เลื่องลือกล่าวขานไม่สิ้นสุดแม้ว่าท่านจะมรณภาพไปนานแล้วก็ตาม ลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่ก็ยังไปกราบไหว้ร่างของหลวงปู่ ที่ทางวัดได้ลงไว้ในโลงแก้วตลอดมาอย่างไม่ขาด ความศรัทธาขงลูกศิษย์หลวงปู่ เมื่อกราบแล้วก็เอาตลับมาบรรจุขี้ธูปในกระถางธูปหน้าแท่นบูชานำกลับบ้านไปด้วย อยู่มาวันหนึ่งลูกศิษย์หลวงปู่ได้นำขี้ธูปไปใส่ตลับเลี่ยมสวมคอไว้ด้วยความมั่นคงต่อหลวงปู่ ปรากฏ่าขี้ธูปของหลวงปู่เกิดปาฏิหารย์มีอานุภาพในเรื่องโชคลาภ เมตตามหานิยม และแคล้วคลาดจากอันตรายเป็นเยี่ยม
    ในหมู่ลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่ ต่างกล่าวกันเป็นเสียงเดียวกันว่า ของทุกอย่างของหลวงปู่ ไม่ว่าจะเป็นอะไรเช่น น้ำล้างเท้า ผ้าเช็ดพื้น ผ้าเช็ดปาก น้ำหมาก ชานหมาก ล้วนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น แม้กระทั่งอุจจาระ ปัสสาวะของหลวงปู่ล้วนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น
    สมดังวาจา
    เมื่อปี 2519 ทางวัดโพธิ์ทอง อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งตั้งอยู่ข้างโรงปูนซีเมนต์ของบริษัทชลประทานซีเมนต์ ต้องการหารายได้จำนวนหนึ่งเพื่อก่อสร้างถาวรวัตถุภายในวัด จึงพร้อมใจกันมาขอบารมีหลวงปู่เพื่อขออนุญาตหล่อรูปเหมือนขนาด 3 นิ้วของท่านขึ้นจะได้เป็นกราบไหว้บูชาของญาติโยมต่อไป ขณะที่บรรดาลูกศิษย์พากันมาถึงวัดของท่าน ก็ปรากฏว่าหลวงปู่อาพาธอยู่ที่โรงพยาบาล พวกเขาจึงได้พากันขออนุญาตกับทางเจ้าอาวาสคือ ท่านพระครูนิวัฐปริยัติคุณ และคณะกรรมการวัด ต่อมาข่าววิทยุท้องถิ่นก็ได้เสนอข่าวว่าวัดโพธิ์ทองจะทำการหล่อรูปเหมือนหลวงปู่สีขนาด 3 นิ้วเพื่อออกให้ประชาชนบูชา พระภิกษุรักษ์ ซึ่งเป็นพระอุปัฏฐากหลวงปู่ที่โรงพยาบาลเล่าว่า “ หลวงปู่ท่านถึงกับลุกขึ้นจากเตียงทันทีเมื่อท่านได้ยินข่าวจากวิทยุ” แล้วถามขึ้นว่า “ใครเอารูปข้าไปหล่อ” พระภิกษุรักษ์ก็ตอบท่านไปว่า “วัดโพธิ์ทองครับหลวงปู่ มาขอกับเจ้าอาวาสแล้ว” หลวงปู่บอกไปว่า “ มันไม่เคารพข้า หล่อรูปข้าไปถ้าไม่เอามาให้ข้าก็จำหน่ายไม่ออก” การหล่อรูปหลวงปู่คราวนั้นทั้งหมดประมาณ 1000 องค์ ทางวัดโพธิ์ทองนำไปออกให้บูชา ปรากฏว่าไม่มีใครเช่าบูชากันเลย มีเพียงแจกให้ผู้ที่มาช่วยเหลือในงานวัดไปเพียง 8 องค์เท่านั้น ในที่สุดทางวัดโพธิ์ทองต้องนำมามมอบให้หลวงปู่ 800 องค์ เก็บไว้ที่วัดโพธิ์ทอง 192 องค์ ปรากฏว่าส่วนที่มาถวายหลวงปู่สีมีญาติโยมมาเช่าบูชากันไปเกือบหมดแล้ว แต่ที่วัดโพธิ์ทองกลับไม่มีคนไปบูชา นับว่าวาจาของท่านศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ

    ประสบการณ์อันเลื่องลือของเหรียญพญานาคปี 18

    เหรียญรุ่นนี้ได้สร้างประสบการณ์มามากมายแม้แต่ระเบิดที่ใช้ในการระเบิดภูเขาก็ทำอันตรายไม่ได้ เรื่องมีอยู่ว่า ปี 18 ทางโรงปูนซีเมนต์ตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ได้ขออนุญาตหลวงปู่สีจัดสร้างเหรียญหลังพญานาค ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโรงปูนซีเมนต์ เหรียญรุ่นนี้สร้างขึ้นมาจำนวนไม่มากนัก แจกเฉพาะเจ้าหน้าที่และพนักงานที่ร่วมทำบุญสมทบทุนในการสร้างถนนเข้าวัด สร้างศาลา พนักงานโรงปูนซีเมนต์ตาคลีทุกคน เมื่อได้รับเหรียญจากหลวงปู่ต่างก็นำมาแขวนคอติดตัวกันไว้ด้วยความศรัทธา รัก หวงแหนอย่างสุดชีวิต ต่อมาพนักงานโรงปูน กลุ่มหนึ่งเกิดเผลอเข้าไปในเขตระเบิดหินซึ่งเป็นอันตราย ฉับพลันนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิดขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหว เศษหิน ก้อนหิน ปลิวกระจาย พร้อมกับร่างของกลุ่มพนักงานที่เผลอล่วงเข้าเขตระเบิด พอสิ้นเสียงระเบิดก็ปรากฏว่า หลายคนมีลักษณะเหมือนกันคือ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดกระรุ่งกะริ่ง เนื้อตัวมอมแมม แต่ทุกคนที่ถูกระเบิดต่างก็แปลกใจที่นอกจากร่างกายถลอกเขียวช้ำ เสื้อผ้าขาดวิ่น ตามตัวไม่ปรากฏบาดแผลใด ๆ เลย ปกติดแล้วถ้าเกิดเหตุการณ์ดังนี้จะต้องได้ยินเสียงร้องครวญคราง บางรายก็ถึงกับพิการ หรือไม่ก็ตาย แต่ปรากฏการณ์ในครั้งนี้ไม่มีใครเป็นอะไรมาก ด้วยทุกคนมีเหรียญรุ่นพญานาค ปี 18 ที่ได้รับมาจากหลวงปู่สี ห้อยคอไว้ทุกคน นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์อันน่ามหัศจรรย์เกิดขึ้นอีกมากมายจากปืน มีด รถมอเตอร์ไซค์คว่ำ รถยนต์ชนกัน ล้วนแคล้วคลาดปลอดภัย
    เผาไม่ไหม้
    ที่อำเภอตาคลี ได้มีเด็กคนหนึ่งที่พ่อแม่นับถือ หลวงปู่สี มากเป็นพิเศษ จึงได้นำเหรียญรูปหล่อเหมือนของท่านมาให้ห้อยคอ ซึ่งต่อมาเด็กคนนี้เป็นหัดแล้วเกิดตายลง พ่อแม่จึงจัดการเผาศพเด็ก ปรากฏว่าหมดถ่านไป สองกระสอบ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าศพจะไหม้ จึงได้ลองเขี่ยดูตามตัวพบเหรียญรูปเหมือนหลวงปู่ผูกเชือกร่มห้อยคอเด็กอยู่ จึงได้แกะออกดูด้วยความแปลกใจ เพราะแม้แต่เชือกร่มที่ห้อยเหรียญยังไม่ละลาย พอเอาเหรียญออก เติมถ่านใส่ไปอีกเพียงสองกระสอบ ศพเด็กก็มอดไหม้เป็นจุณไป

    ประสบการณ์อภินิหารเหรียญปี 19(หน้าแก่)
    ในเรื่องความศรัทธาในหลวงปู่สี พนักงานและเจ้าหน้าที่รุ่นเก่าของบริษัทไทยอเมริกันเท็กซ์ไทล์จำกัด ที่ตั้งอยู่ในอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เกิดขึ้นมากมายหลายเรื่องด้วยกัน เช่น คนงานแผนกโรงซ่อม ชื่อ นายวิง ไวยสุนีย์ ในช่วงที่บริษัทหยุดงานนายวิงได้เดินทางกลับบ้านที่สระบุรี ต่อมามีเรื่องกับพวกวัยรุ่นในหมู่บ้านเกิดการต่อสู้กันขึ้นสักพักก็เลิกลา กันไป ต่างคนต่างแยกกันไป
    ส่วนนายวิง ได้เดินทางจะไปขึ้นรถ หนึ่งในกลุ่มที่มีเรื่องทะเลาะวิวาทกันนั้น ได้สะกดตามนายวิงที่ท่ารถ และได้ชักปืนขึ้นมาหมายจะยิงนายวิง ในขณะที่ทุกคนตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและอย่างที่ไม่มีใครคาดว่าอะไร จะเกิดขึ้น ก็ได้ยินเสียงปืนสับไกดังขึ้น “ แชะ แชะ แชะ “ เสียงปืนดังขึ้นถึง 3 ครั้ง แต่ปรากฏว่ากระสุนด้านทั้งสามนัด เสียงคนในที่เกิดเหตุ เห็นเหตุการณ์ร้องดังขึ้น นายวิงจึงหันไปตามเสียงปืนดัง
    เมื่อเห็นเป็นคู่อริของตนยืนถือปืนจ้องมายังตน ในฉับพลันนั้นนายวิงจึงชักมีดสั้นออกจากเอวแทงสวนไปที่ราวนมของวัยรุ่นที่ สะกดตามมายิงตน พอชักมีดออกจากใต้ราวนมของวัยรุ่นร่างสูงใหญ่คนนั้น สักอึดใจร่างอันสูงใหญ่ของวัยรุ่นมือปืนก็ค่อยทรุดลงขาดใจตายทันที ปรากฏว่ามีดที่นายวิงแทงสวนออกนั้นเผอิญแม่นยำอย่างจับวาง ตรงเข้าตัดขั้วหัวใจของวัยรุ่นผู้นั้น
    ต่อจากนั้นพอหายตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นายวิงก็เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทำการต่อสู้คดีที่ฆ่าวัยรุ่นมือปืนตายต่อมาคดีที่นายวิงต่อสู้ได้รับความ เป็นธรรมจากผู้พิพากษา และเจ้าหน้าที่ที่นายวิงทำไปเพราะเป็นการป้องกันตัว ด้วยถูกคนร้ายลอบทำร้ายตนด้วยอาวุธปืนก่อนแต่ด้วยอำนาจบารมี ฤทธิ์อำนาจของหลวงปู่สี ที่ทำให้ปืนคนร้ายด้านไม่สามารถ กระทำตามความปราถนาของคนร้ายนั้น
    พระเครื่องที่ติดตัวนายวิงนั้นมีแต่เหรียญหน้าแก่ปี 19 เท่านั้นที่ติดตัวเพียงเหรียญเดียว ซึ่งได้บูชามาจากวัดเขาถ้ำบุญนาคเท่านั้น

    ประสบการณ์อภินิหารเหรียญสองอาจารย์ปี 19
    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นปี 49 ซึ่งลงในหนังสือพิมพ์เดือนเมษายน(ไม่แน่ใจลงในหนังสือพิมพ์ไหน ระหว่าง ไทยรัฐ กับ บ้านเมือง ซึ่งผมจะหาหลักฐานมายืนยันอีกครั้งนึง) เรื่องมีอยู่ว่า มีวัยรุ่นซึ่งเป็นคนนครสวรรค์ได้ขี่มอเตอร์ไซค์แล้วถูกคู่อริขี่รถมอเตอร์ ไซค์ใช้ปืนไล่ยิง ซึ่งเจ้าตัวได้ถูกลูกกระสุนเจาะเข้าที่ลำตัวสองนัดแต่ไม่เข้า ซึ่งเจ้าตัวได้ห้อยเหรียญสองอาจารย์ ปี19 ของหลวงปู่สีเพียงเหรียญเดียวเท่านั้น

    ปล. ข่าวที่ลงจะเป็นคอลัมเล็กด้านหลังไม่ใช่ลงหน้าหนึ่งครับ

    ประสบการณ์อภินิหารเหรียญอายุยืนครึ่งองค์ปี 17

    ตะลึง..! เหรียญหลวงปู่สีก่ออภินิหารปืน 11 มม. ยิงไม่เข้า

    เรื่องนี้ต้องขอขอบคุณ คุณ เด็กบางแค มากครับ ที่แจ้งข่าว และต้องขอบคุณ คุณ พรหลวงปู่สี แห่งเว็บ ยูอะมูเล็ต และเจ้าของเรื่องครับ
    (เพื่อความเป็นจริงของเนื้อหาผมจะก็อปข้อความพร้อมภาพมาทั้งหมดครับ)

    ปีเสือดุจริง..ศิษย์หลวงปู่สีโดนยิง 6 นัด 11 มม. ไม่เป็นไร.อายุยืนสมชื่อ..หยุดกระสุนอีกครั้ง เกิดเหตุการณ์ ประมาณ ตี 1 กว่าๆ วันที่ 3 มกราคม 2553 นายประเดิม ฅรุทหอมและแฟนสาว ได้ถูกวัยรุ่นเขม่นและก็ตามยิง ด้วยปืน 11 มม.นายประเดิม เล่าว่าถูกไล่ยิง ประมาณ 5- 6 นัด แต่โดนรถแค่นัดเดียว แคล้วคลาดสุดๆ เพราะในรถนั้นมีกันถึง 3 คน แฟนสาวเป็นผู้ขับรถ(เสื้อตัวที่โดนยิง รูโบ๋เลย ลูกกระสุนฝังไม่มิดหัวหมอเขี่ยออก)คดี นี้อยู่ที่ สถานีตำรวจ อำเภอ ตาคลี และตามจับผู้ยิงอยู่ และเหรียญรุ่นนี้ ตำรวจตาคลีตามเก็บอยู่ ประสบการณ์ประจักษ์นัก เหรียญหลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค รุ่นอายุยืนครึ่งองค์ ช่วยรอดตายปีเสือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2023

แชร์หน้านี้

Loading...