หลวงปู่มั่นแนะนำวิธีการถอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถือผี เข้าทรง การนับถือเทพเจ้าต่างๆ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 3 มิถุนายน 2013.

  1. กานโถม

    กานโถม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +115
    นั่นสินะแม้แต่พระอริยเจ้าท่านยังอนุโลมเลย ท่านยังไม่ขัดศรัทธา แล้วเทพเจ้าสัมมาทิฐิในขอบเขตพระพุทธศาสนา ซึ่งเดิมสมัยเป็นมนุษย์ก็ดำรงสมณเพศบ้าง ดำรงเพศฆราวาสบ้าง จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์บ้างก็ยังถูกตำหนิอย่างนั้นหรือ
     
  2. กานโถม

    กานโถม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +115
    พระพุทธเจ้าสอนอย่างไรก็เอาแนวทางที่พระองค์ทำเถอะ อย่าเอาคำสอนหรือแนวปฏิบัติที่พระสาวกคิดเองมาสอนกัน มันจะเลอะเถทอะ
     
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    หลักการที่ ๒ คืออะไร ในยุคพุทธกาลนั้น คนเขาเชื่อว่า พระอรหันต์คือผู้วิเศษ ผู้วิเศษคือผู้มีฤทธิ์ มีปาฏิหาริย์ ดลบันดาลทำอะไรต่างๆ ได้แปลกๆ เหาะเหินเดินอากาศได้ มีหูทิพย์ตาทิพย์ เพราะฉะนั้น เขาจะวัดกันว่า ใครเป็นพระอรหันต์ก็ต้องมีฤทธิ์จำพวกนี้ จะเห็นได้ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ เสด็จออกประกาศพระศาสนา จะเข้าไปประดิษฐานพระพุทธศาสนาในเมืองราชคฤห์ ก็ทรงพิจารณาว่าจะต้องไปโปรดชฏิล ๓ พี่น้องก่อน เพราะว่าชฏิล ๓ พี่น้องนั้นเป็นที่เคารพนับถือของชาวเมืองราชคฤห์ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไป ชฏิลที่พบก่อนก็คือ อุรุเวลกัสสปะ ซึ่งถือเอาอิทธิปาฏิหาริย์เป็นเครื่องวัดว่า ถ้าพระพุทธเจ้าไม่มีอิทธิปาฏิหาริย์ ก็ไม่เป็นพระอรหันต์ ตอนแรกท่านอุรุเวลกัสสปะจึงคิดว่า พระพุทธเจ้าที่เสด็จมานี่ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา เพราะเรามีฤทธิ์ จนกระทั่งเมื่อพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงให้เห็นว่า พระองค์มีฤทธิ์ มีอิทธิปาฏิหาริย์เหนือว่าชฏิลเหล่านั้น ชฏิลจึงยอมรับแล้วก็ยอมฟังธรรม ตลอดมายาวนาน เราจะเห็นเหตุการณ์ปรากฏอยู่เสมอว่าคนอินเดียนั้นถือเอาอิทธิปาฏิหาริย์เป็นเกณฑ์ตัดสินความเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าประการพระศาสนา พระองค์จึงต้องทรงใช้อิทธิปาฏิหาริย์เพื่อปราบอิทธิปาฏิหาริย์บ่อยๆ

    พระองค์ได้ตรัสหลักการในเรื่องนี้ว่า ปาฏิหาริย์มี ๓ อย่าง คือ
    ๑. อิทธิปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์คือการแสดงฤทธิ์ได้
    ๒. อาเทศนาปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์คือการดักใจ การทายใจ รู้ความคิดของผู้อื่นได้
    ๓. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์คือคำสอนที่ให้เกิดปัญญารู้เห็นความจริง

    แล้วก็ตรัสว่า พระองค์ทรงรังเกียจอิทธิปาฏิหาริย์ ทรงรังเกียจอาเทศนาปาฏิหาริย์ ทรงสรรเสริญแต่อนุสาสนีปาฏิหาริย์เท่านั้น นี่คือหลัการของพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้า แม้จะทรงมีอิทธิปาฏิหาริย์ ก็จะทรงใช้ฤทธิ์เมื่อทรงปราบฤทธิ์ เรียกง่ายๆ ว่าใช้ฤทธิ์ปราฤทธิ์ เมื่อใช้ฤทธิ์ปราบฤทธิ์เสร็จแล้ว พระองค์ก็ไม่ใช้ฤทธิ์อีกเลย ขยายความว่า พระพุทธเจ้าทรงใช้ฤทธิ์เพื่อให้เขายอมฟังธรรม เมื่อเขายอมแล้ว ต่อจากนั้นพระองค์ก็จะทรงแสดงแต่ธรรมต่อๆ ไป เช่นทรงใช้ฤทธิ์ปราบชฏิล ๓ พี่น้อง พอปราบเสร็จแล้ว เขายอมฟัง พระองค์ก็เลิกใช้ฤทธิ์ ต่อจากนั้นก็ทรงแสดงธรรม สอนให้ชฏิลเกิดปัญญารู้ความจริง จนบรรลุธรรมสูงสุดด้วยตนเอง ขอให้สังเกตว่า พระพุทธเจ้าทรงทั้งที่ทรงมีอิทธิปาฏิหาริย์มากเก่งกว่าผู้วิเศษทั้งหลาย ทรงปราบชฏิลและเทพพรหมยักษ์ที่ฤทธิ์กล้าได้หมด แต่พระองค์ไม่เคยยอมให้ชาวพุทธคนไหนไปหวังพึ่งฤทธิ์ของพระองค์ ไม่ทรงดลบันดาลสิ่งปรารถนาให้แก่สาวกคนใด ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น จะต้องมีเหตุผลในเรื่องนี้ เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงทรงรังเกียจอิทธิปาฏิหาริย์ และทรงรังเกียจอาเทศนาปาฏิหาริย์ คิดดูง่ายๆ ถ้าพระพุทธเจ้าทรงใช้อิทธิปาฏิหาริย์ คนทั้งหลายก็จะชื่นชมความเก่งกล้าสามารถของพระองค์ ซึ่งเขาเองทำอย่างนั้นไม่ได้ เมื่อเขาทำไม่ได้ เขาก็ต้องพึ่งพาอาศัยขึ้นต่อพระองค์เรื่อยไป เมื่อเขาคอยรอพึ่งพาอาศัย เขาก็ปล่อยเวลาเสียไป ไม่ได้ทำสิ่งที่ควรทำ และโดยเฉพาะที่สำคัญคือ ไม่ได้พัฒนาตนเอง เวลาผ่านไป เคยเป็นอย่างไร ก็เป็นอยู่อย่างนั้น นอกจากนั้นเขาไม่สามารถรู้ว่าฤทธิ์นั้นเกิดได้อย่างไร ท่านผู้นั้นทำฤทธิ์ได้อย่างไร เขาก็อยู่กับความหลงเรื่อยไป และจึงเป็นทางของการหลอกลวง คนอื่นที่เป็นนักเล่นกลก็ใช้ช่องตรงนี้ ควรสังเกตด้วยว่า คนจำนวนมากที่เข้ามาทางนี้ จะมีสติฉุกใจฉุกคิดน้อยลงๆ เมื่อเพลินหมกมุ่นไปก็ยิ่งไม่ใช้ปัญญา เห็นแปลกๆ แผลงๆ ดูน่าอัศจรรย์ ก็เชื่อ ก็นับถือ ก็ตื่นกันไป พร้อมกันนั้นก็ยิ่งโน้มไปในทางที่จะสร้างนิสัยเห็นแก่ง่าย ไม่ใช้ปัญญาแก้ปัญหา ขาดความคิดวิจัย ถูกหลอกลวง และลุ่มหลงได้ง่าย เมื่อเป็นกันอย่างนี้ ทั้งบุคคลและสังคมก็ยิ่งหมกจมไม่พัฒนา พระพุทธเจ้าสอนคนให้พึ่งตนได้ ให้เขาพัฒนาตนเองจนเป็นอิสระไม่ต้องขึ้นต่อพระองค์ คนที่ชอบอิทธิปาฏิหาริย์จะต้องมาขึ้นกับผู้แสดงฤทธิ์เรื่อยไป ไม่รู้จักพึ่งตนเอง ไม่พัฒนา ไม่เป็นอิสระ แต่ถ้าใช้อนสาสนีปาฏิหาริย์ ก็ทำให้เขาเกิดปัญญารู้เห็นความจริงด้วยตนเอง และทำสิ่งนั้นๆ ได้ด้วยตัวเขาเอง แล้วเขาก็เป็นอิสระ เขาพึ่งตนเองได้ แม้แต่ถ้าใครชอบอิทธิปาฏิหาริย์ พระพุทธศาสนาก็สอนให้เขาทำอิทธิปาฏิหาริย์นั้นให้ได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่ไปหวังพึ่งอิทธิปาฏิหาริย์ของคนอื่น อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้าทรงต้องการให้คนมีปัญญาเห็นความจริง อิทธิปาฏิหาริย์ไม่เป็นเครื่องที่จะวัดความเป็นพระอรหันต์ คนที่มีอิทธิปาฏิหาริย์ เรียกได้แค่ว่าเป็น “ผู้วิเศษ” ความเป็นผู้วิเศษไม่ทำให้เกิดปัญญารู้ธรรม ไม่ทำให้หมดกิเลสหรือหมดความทุกข์ได้ หันมาดูสภาพในเมืองไทยปัจจุบันนี้ เรากำลังจะเอาเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ หรือความเป็นผู้วิเศษมาเป็นเครื่องวัดความเป็นพระอริยะไปแล้ว เพราะฉะนั้นจึงเป็นสภาพที่จะต้องตรวจสอบทบทวนกันตามหลักการที่ ๒

    สถานการณ์พระพุทธศาสนา: ทวนกระแสไสยศาสตร์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโต)
     
  4. iamprateep

    iamprateep เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    448
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,685
    รู้อยู่ที่จิต คิดอยู่ที่หัว
     

แชร์หน้านี้

Loading...