เรื่องเด่น สื่อเทศอึ้ง! นักวิจัยมะกันสรุป ผล DNA เป็นกะโหลกเอเลี่ยน

แต่ถึงอย่างไร ก็ยังมีสิ่งที่แปลกไปกว่านั้น
เศษสีแดง ซึ่งไม่รู้ว่ามันคืออะไร ซึ่งลักษณะนี้ไม่เคยได้เห็นในสปีชีย์อื่นๆ
ซึ่งมันไม่ใช่เลือด เพราะเลือดเวลาออกซิไดซ์แล้วจะกลายเป็นสีดำ
สิ่งพวกนี้มัน unknown ไม่เป็นที่รู้จัก
they mean nothing to mainstream science
และไม่เคยอยู่ในการศึกษาของกระแสหลัก

 

สุดยอดครับ คุณ StarChild
พวกที่ไปว่า นักวิทโกหก งั้นงี้ แต่เรื่องงั้นงี้ จะได้ สบายใจขึ้นบ้าง เนาะ.....

 

ส่วนนี้ออกจะชีวขั้นสูงหน่อยอาจแปลไม่สมบูรณ์นะครับ





การตรวจสอบ DNA เอาคร่าวๆว่ามี 2 ครั้ง
เมื่อปี 2003 ตรวจด้วยแบบ PCR (Polymerase Chain Reaction)
เทคนิคแบบเก่าข้อดี ใช้ปริมาณตัวอย่างน้อย แต่ผลที่ออกมาจะแคบกว่า
วัดได้ไม่ลึก และผลออกมาว่าเป็นมนุษย์ โดยการตรวจแบบเก่านี้


This result indicated that the female and the Starchild could not be maternally related because their mtDNA did not belong to the same haplogroup.

ผลดังกล่าวแปลความได้ว่า Starchild กับกะโหลกหญิงข้างๆนั้นไม่ได้เป็นแม่ลูกกัน เพราะ mtDNA เข้ากันไม่ได้กับ haplogroup (ตัวอย่างเทียบเคียงทางสายญาติแม่เดียวกัน)



Recovering mtDNA so easily from both samples meant they were well preserved during 900 years in a dry mine tunnel. The fact that the Starchild’s mtDNA apparently belonged to a normal human haplogroup indicated that its maternal line was entirely human.
การทดสอบ mtDNA ทำได้ง่ายเพราะกะโหลกทั้งคู่ถูกเก็บรักษาอย่างดีในอุโมงถ้ำที่แห้ง mtDNA นั้นเหมือนกับกลุ่มตัวอย่างของคนธรรมดามากกว่าจึงสรุปว่าเป็นมนุษย์

If the Starchild’s nuclear DNA responded positively to primers designed to recover human nuDNA, that would establish its nuDNA as also human, confirming it as an astoundingly bizarre deformity, but 100% human. However, if its nuclear DNA proved to be other than entirely human, the Starchild Skull would represent a new type of humanoid—period.
การตรวจ nuDNA ก็ให้ผลเหมือนมนุษย์เช่นกันแม้ว่าจะถูกทำลายไปบ้างแต่ก็ให้ผลได้ว่าเป็นมนุษย์ 100%

 

แต่ปี 2010 ใช้วิธีการตรวจที่ซับซ้อนมากกว่า ด้วยวิธีเช่น
genome amplifications หรือ classic shotgun sequencing
ซึ่งเทคนิคนี้ผู้วิจัยคนเดิมเมื่อปี 2003 อย่าง Dr. Malhi and Dr. Eshleman ทำไม่ได้
เพราะความไม่เชี่ยวชาญและผลเชิงการค้าของสถาบันตรวจสอบ DNA

วิธีดังกล่าวเป็นงานที่หนักมากเพราะต้องใช้การหาจีโนมทั้งหมด ซึ่งยาก ของมนุษย์เพิ่งสำเร็จไปไม่กี่ปีมานี้เอง แต่ถึงอย่างไรก็ใช้ความพยายามจนเห็น บางส่วนที่เป็น “missing” nuclear DNA ซึ่งจะช่วยชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของการตรวจแบบเดิม

คราวนี้พบ clearly fragments of the Starchild Skull’s nuclear DNA จริงๆแล้ว หลังจากความพยายามมา 11 ปี ที่คราวนี้ไปเทียบกับฐานข้อมูลของโลกที่คราวนี้ได้รับเงินวิจัยจากสถาบันดังกล่าวด้วย โดยนำไปเข้าโปBLAST program พบว่า คราวนี้มีความคล้ายคลึงกับแบคทีเรียอื่นๆอีก แต่ที่น่าสนใจคือส่วน(fragment)ของ ลำดับนิวคลีโอไทด์ 265 base pairs in length, and it was found to correlate with a segment on human chromosome #1 มีความคล้ายคลึงกับส่วนที่อยู่บนโครโมโซม 1 ซึ่งบอกได้ว่าเป็น genome ของ human or human-like. ซึ่งเหมือนกับปี 2003



แต่ส่วนที่เป็น 342 nucleotide fragment ให้ผลแตกต่างออกไปอย่างน่าตะลึง



It states that within the millions of DNA base pair strings catalogued in the NIH database, none were even “similar” to this section of the Starchild Skull’s DNA!
ฐานข้อมูลเป็นล้านๆคู่ของสถาบัน NIH ไม่ตรงกับของ Starchild เลย (เก็บตัวอย่างมาจากทุกๆสปีชีย์บนโลกแล้วไม่พบว่าตรงกัน)

ส่วนตรงนี้เองที่ Some of the Starchild’s nuDNA is different from anything previously found on Earth!
nuDNA แตกต่างไปจากทุกสิ่งที่พบได้ในโลกใบนี้ นี่แหละคงเป็นเครื่องยืนยันว่ามาจากนอกโลก (extraterrestrial)

ส่วนนี้มาจาก http://www.starchildproject.com/dna2011march.htm

 

แต่ปี 2010 ใช้วิธีการตรวจที่ซับซ้อนมากกว่า ด้วยวิธีเช่น
genome amplifications หรือ classic shotgun sequencing
ซึ่งเทคนิคนี้ผู้วิจัยคนเดิมเมื่อปี 2003 อย่าง Dr. Malhi and Dr. Eshleman ทำไม่ได้
เพราะความไม่เชี่ยวชาญและผลเชิงการค้าของสถาบันตรวจสอบ DNA

วิธีดังกล่าวเป็นงานที่หนักมากเพราะต้องใช้การหาจีโนมทั้งหมด ซึ่งยาก ของมนุษย์เพิ่งสำเร็จไปไม่กี่ปีมานี้เอง แต่ถึงอย่างไรก็ใช้ความพยายามจนเห็น บางส่วนที่เป็น “missing” nuclear DNA ซึ่งจะช่วยชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของการตรวจแบบเดิม

คราวนี้พบ clearly fragments of the Starchild Skull’s nuclear DNA จริงๆแล้ว หลังจากความพยายามมา 11 ปี ที่คราวนี้ไปเทียบกับฐานข้อมูลของโลกที่คราวนี้ได้รับเงินวิจัยจากสถาบันดังกล่าวด้วย โดยนำไปเข้าโปBLAST program พบว่า คราวนี้มีความคล้ายคลึงกับแบคทีเรียอื่นๆอีก แต่ที่น่าสนใจคือส่วน(fragment)ของ ลำดับนิวคลีโอไทด์ 265 base pairs in length, and it was found to correlate with a segment on human chromosome #1 มีความคล้ายคลึงกับส่วนที่อยู่บนโครโมโซม 1 ซึ่งบอกได้ว่าเป็น genome ของ human or human-like. ซึ่งเหมือนกับปี 2003



แต่ส่วนที่เป็น 342 nucleotide fragment ให้ผลแตกต่างออกไปอย่างน่าตะลึง



It states that within the millions of DNA base pair strings catalogued in the NIH database, none were even “similar” to this section of the Starchild Skull’s DNA!
ฐานข้อมูลเป็นล้านๆคู่ของสถาบัน NIH ไม่ตรงกับของ Starchild เลย (เก็บตัวอย่างมาจากทุกๆสปีชีย์บนโลกแล้วไม่พบว่าตรงกัน)

ส่วนตรงนี้เองที่ Some of the Starchild’s nuDNA is different from anything previously found on Earth!
nuDNA แตกต่างไปจากทุกสิ่งที่พบได้ในโลกใบนี้ นี่แหละคงเป็นเครื่องยืนยันว่ามาจากนอกโลก (extraterrestrial)

ส่วนนี้มาจาก 2011 Starchild Skull Preliminary DNA Report

 

สรุปคือ เด็กคนนี้มี DNA ที่มาจากต่างพิภพ หรือ เป็นมนุษย์ต่างดาวกันแน่ครับ?

 

ลอยด์ พาย ให้สมมุติฐานว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ความเป็นไปได้ที่มีคือ การตัดต่อพันธุวิศวกรรมของเอเลี่ยน
Starchild นี้เป็นเอเลี่ยนเกิดจากแม่ทีเป็นมนุษย์ (ลูกผสมไฮบริด)
pure alien born to human mother >>> เอเลี่ยนที่เกิดจากแม่ที่เป็นมนุษย์อุ้มท้อง
ปัจจุบันนี้ทำได้ ถ้าเกิดกรณีที่ไมโตคอนแเดียอ่อนแอจะมีลูกไม่ได้

แต่เธออยากจะมีลูก สามารถมีได้โดยเอาไข่ของแม่ ผสมกับสเปริมพ่อ ได้ไซโกตซึ่งได้โครโมโซมจากพ่อแม่
แล้วไปเอาไข่จากคนที่สาม แล้วดึงโครโมโซมของคนที่สามทิ้ง ให้เหลือแต่ mtDNA

แล้วเอาไซโกตใส่เข้าไปแทนในไข่ที่มีไมโตตครอนเดียแข็งแรงจากบุคคลที่สามนั้นก็โอเค ให้ไข่นั้นฝังตัวในครรภ์ก็ท้องได้
วิธีนี้ทำให้มีลูกได้ซึ่งมียีนของพ่อแม่เด็กคนแรกอยู่ แต่มีไมโตคอนเดรียของบุคคลที่สาม


กรณีนี้ก็อธิบายเหมือนข้างตนกันคือ มีเอเลี่ยนสองตัวพ่อแม่ สร้างไซโกตขึ้นมา และด้วยเหตุผลบางอย่าง
เอาไข่ของผู้หญิง(มนุษย์)มาดึงเอาพันธุกรรมออกให้เหลือไมโตครอนเดียไว้ เอาไซโกตเอเลี่ยนไส่ลงไป
จนได้เอเลี่ยนที่มีไมโตคอนเดรียของมนุษย์ นั่นคือ ที่มาของ Starchild
สิ่งนี้ยากที่จะเป็นที่ยอมรับ (ตั้งแต่เรื่องของเอเลี่ยนแล้ว) จะยอมรับว่ามี พันธุวิศวกรรม ระหว่างเอเลี่ยนกับมนุษย์
เมื่อเก้าร้อยปีก่อน ยากที่จะยอมรับมากๆ มันต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งที่ยิ่งใหญ่มากในวงการวิทยาศาสตร์
แต่มันคือ fact จากการศึกษาด้วยกระบวนการวิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่เห็นครับ

 

ผมเชื่อตามทฤษฎี ancient astronaut theory หรือ ทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศ
สิ่งเหล่านี้ไม่แปลกใจเลยครับ มนุษย์ปัจจุบันจริงๆไม่ได้วิวัฒนาการขึ้นมา แต่เกิดจาก
intelligence design การกำหนดอย่างจงใจจากผู้ทรงภูมิปัญญา
สมองมนุษย์โตเร็วขึ้นสามเท่าในเวลาไม่กี่แสนปี เป็นปริศนาชิ้นใหญ่มาก สำหรับมนุษยวิทยา สิ่งเหล่านี้นั้นมันเกิดจากการ เข้าแทรกแซงของบางอย่างอยู่แล้วครับ
เพราะแผนการ(agenda)ของพวก เอเลี่ยน เทคโนโลยีชั้นสูง ไม่ได้บินมาหาแล้ว จ๊ะเอ๋ แล้วกลับดาว แต่เป็นผู้สร้าง star seed สร้างชีวิตในจักรวาลแห่งนี้มากกว่าครับ พวกนี้ถึงไม่อยากแทรกแซงมาก ถึงไม่เปิดเผยตรงๆ อาจจะมีส่วนชักนอยู่เบื้องหลัง จับคนไปทดลองต่างๆ คอยดูอยู่ห่างๆมากกว่าครับ

 

กรณีดังกล่าวยังเกิดขึ้นได้กับเอเลี่ยนลักพาตัวในยุคปัจจุบัน
อย่างเคสของหญิงชาวอิตาเลี่ยนผู้นี้
หลักฐานมากมาย
รวมทั้ง alien fetus ตัวอ่อนเอเลี่ยนที่ไม่สมบูรณ์ในครรภ์ของผู้หญิงคนนี้
เคสนี้น่าสนใจอย่างมากครับ...

<iframe width="560" height="345" src="http://www.youtube.com/embed/yRPV-NlNUdU" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

 

ยังตามอ่านอยู่ค่ะ ข้อมูลภาษาไทยของคุณละเอียดกว่าที่ดิฉันเคยได้อ่าน
แต่ขอขัดจังหวะคุณ StarChild สักเล็กน้อย

ซะงั้นเลยนะ คุณเป็ด!!!

 

ขอช่วยอธิบายกับขอลองช่วยแปลหน่อย ไมโตคอนเดรียนั้นเป็นตัวสร้างพลังงานให้กับร่างกายมนุษย์ ทำให้ร่ายกายคนเราอบอุ่นจากการเผาผลาญพลังงาน ไมโตคอนเดรียในตัวคนเราจะสืบเชื้อสายมาจากแม่เพราะว่าแม่เป็นผู้ผลิตไข่ ด้วยเหตุนี้ทำไมถึงได้บอกว่าไมโตคอนเดรีย หรือ mtDNA ที่ใช้ในบทความนี้ถึงมาจากแม่ และด้วยเหตุนี้ถ้าเราเอาไมโตคอนเดรียในร่างกายคนเรามาเปรียบเทียบกัน เราก็จะหาได้ว่าแต่ละคนนั้นมาจากบรรพบุรุษคนเดียวกันหรือเปล่าโดยเปรียบเทียบจาก DNA ของไมโตคอนเดรีย

ส่วน nuclear DNA นั้นจะเป็นส่วนที่เกิดจาก DNA ในไข่ของแม่กับ DNA ในสเปริ์มของพ่อมารวมกัน ดังนั้น nuclear DNA จะมี DNA ของพ่อครึ่งนึง และ DNA ของแม่ครึ่งนึง nuclear DNA นี่แหล่ะที่เอามาพิสุจน์กันว่าเป็นพ่อแม่ลูกกันหรือเปล่าอย่างที่เห็นกันในข่าว

This result indicated that the female and the Starchild could not be maternally related because their mtDNA did not belong to the same haplogroup.

ผลดังกล่าวแปลความได้ว่า Starchild กับกะโหลกหญิงข้างๆนั้นไม่ได้เป็นแม่ลูกกัน เพราะ mtDNA เข้ากันไม่ได้กับ haplogroup (ตัวอย่างเทียบเคียงทางสายญาติแม่เดียวกัน)

^
|
|
ส่วนนี้ผมก็ว่าแปลประมาณนี้แหละ



Recovering mtDNA so easily from both samples meant they were well preserved during 900 years in a dry mine tunnel. The fact that the Starchild’s mtDNA apparently belonged to a normal human haplogroup indicated that its maternal line was entirely human.

ส่วนนี้น่าจะแปลว่า "การค้นหา mtDNA นั้นทำได้ง่ายจากเพราะว่ามันถูกเก็บรักษาอย่างดีเป็นระยะเวลา 900 ปี ในอุโมงค์ถ้ำที่แห้ง ผลทดสอบระบุว่า mtDNA ของ Starchild เป็นของมนุษย์ปกติ ทำให้ระบุได้ว่าสายเลือดทางแม่เป็นมนุษย์"

If the Starchild’s nuclear DNA responded positively to primers designed to recover human nuDNA, that would establish its nuDNA as also human, confirming it as an astoundingly bizarre deformity, but 100% human. However, if its nuclear DNA proved to be other than entirely human, the Starchild Skull would represent a new type of humanoid—period.

ตรงประโยคนี้ก็น่าจะเป็น "ถ้า nuclear DNA ของ Starchild พบว่าเป็น nuDNA ของมนุษย์ ก็จะสรุปได้ว่าเป็นมนุษย์ 100% แต่เป็นมนุษย์ที่มีร่างกายผิดปกติ แต่ถ้าพิสูจน์ได้ว่า nuclear DNA เป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ หัวกะโหลกของ Starchild ก็น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่คล้ายมนุษย์พันธุ์ใหม่"

 

ขอบคุณคุณPelagiaที่ช่วยให้สมบูรณ์ขึ้นครับ

 

คลิปนี้ผมพึ่งเคยดูน่าสนใจมากครับกับลูกผสม

 

ขอบคุณแทนทุกคนที่สนใจนะครับคุณStarChild<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_5009488", true); </SCRIPT> กระจ่างขึ้นเยอะเลย

คงแล้วแต่ละท่านจะตัดสินใจกันเอาเองแล้วล่ะครับ ว่าสรุปแล้วเป็นเอเลี่ยนรึเป่า ส่วนชื่อกระทู้ผมก็ตั้งตามกูเกิลแปลให้แหล่ะครับ 55
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Pelagia<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_5009430", true); </SCRIPT> ก็มาร่วมแปลแจม เอ้า...ขอบคุณด้วยอีกคน ว่าแต่ท่านทั้งสองมีอะไรเพิ่มเติมก็งัดมาแฉนะครับ คงมีหลายคนชอบๆ

 

อยากให้คะแนนทั้งสองคนก็ไม่ได้ เพราะดันเป็นกระทู้น้าเป็ดไปเสียนี่ 555+

 

ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกไซไฟ หรือว่าที่จริงไซไฟนั่นแหละเขียนขึ้นมาจากความทรงจำในห้วงลึกของมนุษย์?

ไม่ปฏิเสธว่าชอบเรื่องนี้ แต่การที่คนชอบอย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่า ในอดีตอันไกลโพ้นเราเคยมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น
เช่น ชอบป่าสีเขียว ทุ่งหญ้าโล่งกว้าง ชายหาดสีขาวสวย พร้อมด้วยทะเลและฟ้าสีคราม ฯลฯ ก็เพราะเราเคยมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นมาก่อนมิใช่หรือ?

 

ผ้มม..ว่า มนุษย์ตดเหม็นอย่างเราๆเนี่ย อาจมาจากโลกอื่นก่อนก็ได่นา..บักหำน่อย
เห็นผู้รู้บ่อกว่า ในจักวาลมีตั้ง ๑๖ โลกนา อั๋นนี่ข้อยกะฟังมาาาา...(กรุณาออกเสียงโคราชบ้านเอ๋งน่ะ)

 

คุณStarChild คุณรู้ไหมคุณเป็นคนที่กำลังสร้างแรงกำลังใจแก่กลุ่มคนที่ค้นหาสิ่งเร้นลับรอบตัวเพิ่มมากขึ้นอีกครั้งจุดไฟที่กำลังจะมอดให้ลุกโชนอีกครั้ง รวมถึงคนที่กำลังเริ่มสนใจและเกิดการลังเลสงสัยด้วยข้อมูลบิดเบือนที่มีเยอะแยะไปหมดอีกด้วย หากมีข้อมูลอื่นๆที่เกียวกับปรากฏการณ์เช่นนี้คุณกรุณาตามไปช่วยเหลือเหล่าพี่น้อง Star Seed ที่อยู่ห้องอื่นๆต่อไปด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ

 

กระจ่างเยอะเลยครับ เรื่องที่น่าวนใจเพิ่มมาคือ เรื่องลูกผสมนี่แหละ เดวว่างๆต้องหาข้อมูลหน่อย


"ว่าแต่พี่เป็ดสนใจ เล่นผีผ้าห่มกับเอเลี่ยนสาวไหม เพื่อได้ลูกผสมพันธ์สมบูรณ์ "555

 

จริงเรื่องราวแบบนี้เขียนบอกตรงๆไว้ในบันทึกของชาวสุเมเรียนเลยครับ แต่ไม่เคยถูกเอามาศึกษาจริงจัง ทฤษฎีนีเป็นลูกเมียน้อยทั้งๆที่จริงมีความเป็นไปได้สูงมาก และอธิบายปริศนาอารยธรรมและประวัติศาสตร์ของมนุษย์ได้สมบูรณ์ที่สุด

สำหรับผมเรื่องพวกนี้พิสูจน์ว่ามันเป็นจริงกระจ่างแล้ว ก็ยอมรับได้ครับ
ไม่ได้เกี่ยวกับคุณค่าความเป็นมนุษย์ตกต่ำตรงไหน
ทุกอย่างมีความสัมพันธ์กันเชื่อมโยงกัน ความเป็นหนึ่งเดียวบางๆ
เผลอๆเราจะเกิดจากเอเลี่ยนหรือไม่ยังไม่รู้แน่ชัด
แต่สิ่งเหล่านี้ทำให้เราตระหนักตัวมนุษย์ให้มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆอย่างเหมาะสม
เราไม่ได้เก่งที่สุดในจักรวาล ไม่ใช่ตัวเองเป็นใหญ่แล้วกำลังทำลายธรรมชาติ ทำลายโลกอันแสนงดงามดวงนี้