วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. REdSHirt

    REdSHirt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +382
    เสาร์ที่แล้วแวะเข้าไปที่บ้านสายลม ถ้าจำไม่ผิดจะมีฝึกกัน เสาร์ ที่5 และ อาทิตย์ที่ 6 สิงหา น่ะครับ เท่าที่ทราบมา เสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้ 29-30 ก.ค. ไม่มีการสอนครับแต่เปิดตามปกติน่ะครับ ไปทำบุญ ซื้อหนังสือ เช่าพระ ได้ครับ ใครมีข้อมูล ที่แน่นอนแจ้งน่อยครับ

    ปล. 2-3 วันมานี้อธิฐานตามขั้นตอน ทำให้กำลังใจดี นั่งนานขึ้นกว่าปกติเกือบ 2 เท่า มีอาการวืบๆ แต่ดันกัวสะนี้ ไม่งั้นล่ะก้อ...อาจหลับกลางอากาศได้(ประมาณหลับใน) เอิ๊กๆ

    ไม่เคย เรย ไม่รู้ -- ไม่รู้ไม่ได้แปลว่าไม่จริง
     
  2. soonyata

    soonyata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,675
    จะขอถามคุณ kananun ดังนี้ค่ะ

    1. จิตจับลมสบายและก็จับภาพพระพุทธรูปใสได้แล้ว แต่จับได้เพียงใสเป็นแก้ว ไม่สามารถทำให้เป็นเพชร คือ มีประกายหรือฉัพพรรณรังสีออกมาจากพระพุทธรูปได้ ไม่แน่ใจว่าที่คุณ kananun พูดว่าใสเป็นเพชรนี่หมายถึงฉัพพรรณรังสีของพระพุทธองค์รึป่าว พยายามจินตนาการเท่าไร ก็คิดไม่ออกว่าฉัพพรรณรังสีของพระพุทธองค์จริง ๆ นั้นควรจะมีลักษณะอย่างไร

    2. พอนั่งจับลมสบายไปซักพัก รู้สึกเหมือนตัวเองนั่งอยู่ในลูกแก้วกลมใส (แต่ว่าดิฉันไม่เคยฝึกสายธรรมกาย) ไม่ทราบว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้นและควรจะทำอย่างไรต่อไปคะ
    **ลักษณะเป็นดังรูปที่เห็น (ไปขอยืมรูปอีกกระทู้มา ฮิ ๆ) แต่ว่าแทนที่จะเป็นพระพุทธรูปแต่กลับเป็นตัวดิฉันอยู่ในลูกแก้วใสนั้นแทน ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมจึงเห็นเช่นนั้น

    ขอบคุณและขออนุโมทนาสำหรับการถ่ายทอดความรู้ดี ๆ ค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2006
  3. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เท่าที่ทราบมา มีสอนวิชามโนมยิทธิ วันที่ 5-6 ส.ค. ครับสำหรับเดือนนี้ ผมจะเข้าไปทำบุญด้วยวันเสาร์ครับ ถ้าใครไปฝึกเราจะได้พบกันครับ ถ้ามีข้อติดขัด สงสัยประการใดในการปฏิบัติก็ขอเชิญได้เลยครับ ขอบคุณข้อมูลจากคุณRedshirt ครับ
    ส่วนการที่นั่งได้นานขึ้นเป็นสองเท่าผมขอโมทนาด้วยครับ ถือว่าก้าวหน้าในการปฏิบัติครับ เนื่องจากเมื่อวางกำลังใจถูกต้อง (จิตเบาสบาย)จะทำให้ มีความสงบสงัดสบายจาก สุขในสมาธิเพิ่มขึ้น จิตจับแต่อารมณ์สบาย ไม่มีการสนใจอาการทางกายใดๆ จิตเริ่มแยกออกจากกายเพิ่มขึ้น ส่วนอาการ วืบๆนั้น ถ้าเห็นแสงสว่าง จ้าเข้ามาด้วย ก็จะเป็นอาการการแยกหรือถอดกายทิพย์ครับ เมื่อแสงสว่างเข้ามาในจิตให้คิดว่าตายเป็นตาย(แต่ผมรับรองว่าไม่ตายครับ) เรายอมทำเพื่อความดี จากนั้นขอบารมีพระท่านคุ้มครองดวงจิตเราครับ ให้พาดวงจิตเราไปยัง สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นอันดับแรกก่อนครับ ส่วนการที่คุณเกิดกลัวตายขึ้นมา นั้นทำให้จิตดึงเกาะติดกับร่างครับ ลองพิจารณา ร่างกาย ขันธ์ห้า มรณานุสติ อสุภกรรมฐานเพิ่มเติมครับ จะทำให้การถอดกายทิพย์ง่ายขึ้น ครับ
    ส่วนถ้า มีอาการวูบๆลง พร้อมกับร่างกายวูบลงตามเหมือนตกจากที่สูง เป็นอาการของจิตตกจากฌานครัน คือจิตไม่สามารถทรงในอารมณ์ในฌานสมาธิต่อได้ เนื่องจากความง่วงในนิวรณ์ ห้าครับ วิธีแก้ให้เพิ่มสติและความตั้งมั่นในจิตเพิ่มครับ
    ส่วนคุณSoonyata ข้อหนึ่งนั้น ลองไปเที่ยวดูเพชรตามร้านเพชรดูครับ ลองดู ร้านที่ส่องไฟสว่างมากๆ เราไปดูและจำภาพเพชรที่เล่นแสงไฟส่องรัศมี สวยงามแพรวพราว เมื่อดูแล้วเรายิ่งเห็นความสวยสดงดงามเราก็ยิ่งมีความสุขใจ นี่คือสาเหตุที่คนทั่วโลกต่างหลงใหลในเพชร แต่เพชรนั้นเป็นสมบัติทางโลกเป็นสมมุติ เมื่อเราตายเราก็เอาไปไม่ได้ สู้มาทำจิตใจเราให้เป็นเพชรและติดเราเอาไปได้ทุกภพชาติ จนพระนิพพานดีกว่าครับ
    ลองไปดูแล้วมาลองทำใหม่อีกครั้งครับ ไม่ยากเกินวิสัยของคุณแน่นอนครับ
    2. ที่ปรากฏอยู่ในจิตของคุณเป็นสิ่งที่ดีครับ เป็นวิชาธรรมกายในกายมนุษย์หยาบครับ สิ่งนี้เป็นวาสนาบารมีในอดีตชาติของคุณกลับคืนมาครับ ถ้ามีโอกาสลองไปกราบหลวงพ่อสดท่านที่วัดปากน้ำดูครับ ถ้าสนใจที่จะเรียนวิชาธรรมกายเพิ่มขออนุญาตแนะนำที่ตึกขาว วัดปากน้ำครับ ลองไปต่อวิชชา สิบแปดกายครับ ถ้าสนใจฝึกพิเศษ ลองไปสอบถาม หา คุณแม่ชีรัมภา ที่โรงงานทำวิชชาครับ ท่านเป็นประธานคณะแม่ชีไทย และหัวหน้าโรงงานทำวิชชาครับ ลองไปขอเรียนกับท่านครับ แต่ก่อนจะไปก็อธิฐานก่อนครับ
     
  4. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    [​IMG]

    เป็นประโยชน์มากครับ คุณ kananun ทำให้เห็นชัดเลยครับว่า พลังแห่งพระพุทธคุณนี่ เป็นที่สุดในทุกๆด้าน โดยอยู่ที่เราจะนำไปใช้อย่างไร ด้านใดกันบ้าง? หากเรายิ่งศึกษาให้เข้าใจมากๆ และนำไปใช้ในทางที่ถูกที่ควร อาจได้ศาสตร์ใหม่ๆเพิ่มเติมอีกมาก (ใช้ร่วมกับพลังคลื่นเสียงหรือคลื่นแสง อาจใช้ยกหินหนักๆ หรือการเดินทางผ่านมิติได้ด้วย..อันนี้ยกตัวอย่างครับ )

    เรื่องของพระคาถาต่างๆ หรือ ตัวอักษรและอักขระต่างๆ ล้วนมีพลังงานแฝงครับ...(มีพลังความศักดิ์สิทธิ์)

    "เสียง" ก็เป็นคลื่นพลังงานหนึ่ง ที่พอเปล่งออกมาจะเกิดคลื่นพลังงานสั่นสะเทือนเกิดเป็นความถี่ต่างๆกัน "พระคาถา"เป็นคลื่นความรักเมตตา เป็นหนึ่งเดียวกันสรรพสิ่ง สนามแม่เหล็กรอบๆตัวเรา จะปรับสภาพตามแรงสั่นสะเทือนนี้ทันทีที่เราเปล่งเสียงออกมา คล้ายเป็นเกราะป้องกันภัยอย่างดี จะแข็งแกร่งมากน้อยขึ้นอยู่กับบุคคลผู้นั้นว่าความมีสติและมีสมาธิ มากน้อยเพียงใด (จะสวดอยู่ในใจก็ย่อมได้ เพราะจิตเราก็สั่นสะเทือนเป็นพลังงานได้เช่นกัน)

    ส่วนอักขระอักษร ทุกๆตัวก็ล้วนมีพลังงาน สังเกตง่ายๆ เมื่อเราอ่านหรือเห็นข้อความใดๆ ภาษาอะไรก็ตาม จิตเราจะสั่นสะเทือนหรือคล้อยตาม ไปตามข้อความนั้นได้ทันที.. หรือการทดลองนึงที่เอาตัวอักษรไปแปะข้างขวดแก้วใสๆ ใส่น้ำเอาไว้ ให้น้ำอ่านตัวอักษรนั้นๆ ทิ้งไว้สักเดือนน้ำจะมีอาการการเปลี่ยนแปลงโมเลกุลหรือผลึกของมัน ไปตามข้อความนั้นได้จริงๆครับ ทดลองดูได้ครับ..
    "พระคาถา" ก็เป็นอักขระอักษร ที่มีพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าคำว่า"พลังงาน"หลายเท่านัก...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2006
  5. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ถูกต้องแล้วคร้าบ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมจากคุณ Mead พลังจิตอยู่ในรูปของพลังงานครับ การอธิบายในแบบอ้างอิงวิทยาศาสตร์จะช่วยให้คนสมัยใหม่เข้าถึงธรรมมะและสนใจการปฏิบัติได้ง่ายขึ้นครับ สมัยผมเรียนมัธยมอาจารย์ฟิสิกส์ ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ไอนสไตร์ เคยกล่าวไว้ว่า ศาสนา พุทธเป็นศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่สุด (จากเรื่อง กรรม และผลของกรรม Action Reaction ซึ่งนำไปอธิบายปรากฏการณ์ ที่เกิดขึ้นได้ทั้งเอกภพ) ถ้าแกเลือกนับถือศาสนาใหม่ได้แกจะนับถือศาสนาพุทธครับ ถ้าได้เจอพุทธศาสนาเร็วกว่านี้
     
  6. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    โชคดีที่เรามาเกิดบนแผ่นดินไทยมาอยู่ใน "ร่มโพธิ์แห่งพุทธศาสนา" นะครับ..
     
  7. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ต่อไปเรามาฝึกเพิ่มเติมเรื่องการจับภาพพระหรือเรียกในภาษาการปฏิบัติว่า "การทรงอารมณ์ฌานในพุทานุสติกรรมฐาน" ครับ
    เริ่มต้นเราเริ่มต้นจากลมสบายในการปฏิบัติทุกครั้งเป็นพื้นฐานครับ
    จากนั้น เราใช้ใจเรานึกถึงภาพพระพุทธรูปที่เราพอใจ หรือพระพุทธรูปที่เรารักเราเคารพ จากนั้นนึกให้พระท่านใสสว่างขึ้นเปร่งรัศมีระยิบระยับเป็นเพชรแพรวพราว เราเห็นความสวยงามจิตเราก็ยิ่งปิติชุ่มฉ่ำใจ
    ฝึกย่อขยายองค์พระท่านให้ เล็ก ใหญ่ เลื่อน ซ้าย ขวา บน ล่าง ได้ดั่งใจนึก โดยที่พระท่านก็ยังทรงรัศมีสว่างอยู่ตลอดเวลา
    ในขั้นแรก เราจะอธิฐานให้องค์พระท่านมาประดิษฐ์ฐานอยู่เหนือศีรษะของเรา ให้ท่านคุ้มครอง ให้รัศมีของพระพุทธองค์ท่านแผ่ปกคลุมคุ้มกายใจเราไว้ ไม่ให้มีสิ่งใดมาทำอันตรายเราได้ กำหนดจิตทรงฌานในพุทธนิมิตรนี้ไว้ตลอดเวลาเท่าที่จะทำได้
    ขั้นที่สอง อธิฐานขอให้พระท่านแยกองค์เพิ่มเป็น สององค์ องค์หนึ่งยังอยู่บนศีรษะเรา ส่วนอีกองค์เคลื่อนตัวลงมา อยู่ภายในศีรษะของเรา ตลอดเวลานั้นทั้งสององค์ท่านยังคงความสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา
    ขั้นที่สาม อธิฐานขอให้พระท่านแยกองค์เพิ่มเป็น สามองค์ องค์หนึ่งบนศีรษะ องค์ที่สองอยู่ในศีรษะ องค์ที่สาม เคลื่อนลงมาอยู่ในอกของเรา
    ทำได้ถึงขั้นที่สาม หลวงพ่อท่านเรียกว่า จับภาพพระสามฐาน เป็นการทรงอารมณ์ในพุทธานุสติกรรมฐาน บวกกับ กสิณ และได้อารมณ์ฌานสี่ใช้งาน และมีอารมณ์ตั้งมั่นแนบแน่นเป็นพิเศษเนื่องจาก ผูกจิตไว้กับพุทธนิมิตร ถึง สามชั้น (สามพระองค์) ส่วนที่บอกว่าได้ถึงฌานสี่ใช้งานนั้น ให้ลองพิสูจน์ดูได้ด้วยการทรงอารมณ์สูงสุดตามที่ได้แนะนำมา จากนั้นใช้จิตกลับมามองกาย โดยสังเกตุลมหายใจของตัวเองดู จะพบว่าในขณะที่จิตปรากฏภาพพระเปร่งรัศมีอยู่นั้นร่างกายเราหายใจน้อยมากๆ บางคนไม่หายใจเลย แต่ไม่ต้องตกใจหรือไปบังคับให้หายใจอีก เพราะเลยขั้นตอนนั้นมาแล้ว ให้ปล่อยลมหายใจเป็นไปตามสภาวะไม่ต้องสนใจอีก กลับมาทรงภาพพระสามฐานไว้ด้วยอารมณ์ใจสบายๆ
    ขั้นต่อมาให้ลองขยับเปลี่ยนอิริยาบท ดูว่ายังทรงภาพพระทั้งสามานได้หรือไม่ ลองทำให้ได้ในทุกเวลาทุกอิริยาบท ได้ทั้งวันได้ยิ่งดี และยังถือว่าทรง มหาสติปัฐฐานสี่ด้วยพร้อมกันครับ
    จุดสำคัญที่ต้องเตือนคือการทรงภาพพระนี้ จิตจะยิ่งมีความชุ่มชื่นมีความสุข ทำให้ยิ่งอยากปฏิบัติ แต่ถ้าทำแล้วเกิดอาการหนัก เครียด ปวดหัว ให้เลิก หยุดพักในวันนั้น แล้ววันอื่นค่อยตั้งอารมณ์ใหม่ให้ใจสบายลมสบายเป็นหลัก
    อานิสงค์ในการปฏิบัตินี้จะใช้เป็นพื้นฐาน ในการฝึกมโนมยิทธิ ทิพย์จักษุญาณ และอภิญญาในอนาคต
    ส่วนเทคนิคสำหรับท่านที่ยังรู้สึกว่ายังทรงภาพพระไม่ได้นานหรือลืมทำให้ใช้เทคนิคนี้คือ การกำหนดเวลา
    ครั้งที่หนึ่งคือในตอนเช้าเมื่อตื่นขึ้นยังไม่ต้องลุกจากที่นอนให้ทรงภาพพระสามฐานให้ใจสบายก่อนแล้วอธิฐานให้ท่านคุ้มครองชีวิตร่างกาย หรือขอเรื่องการค้า การขาย การติดต่ออาชีพการงานตามต้องการ ถ้าใช้ประกอบคาถาเงินล้านจะได้ผลเป็นพิเศษ แล้วจึงค่อยลุกจากที่นอน จะสังเกตุว่าวันนั้น จะเจอแต่สิ่งที่ดี ชีวิตและการงานราบรื่นกว่าเดิม
    ครั้งที่สองคือตลอดเวลาที่สวดมนต์ทำวัตร เช้า เย็น
    ครั้งที่สามคือช่วงก่อนนอนครับ
    ส่วนภาคปฏิบัติจริงๆนั้น ครูบาอาจารย์ โบราณท่านหาอุบายไว้ ให้ศิษย์ท่านเข้าถึงความดีในการปฏิบัติพุทธานุสติกรรมฐานไว้ดังนี้ครับ
    เช้าตื่นขึ้นเสกน้ำลาย สามอึกด้วยพุทธโธ
    เสกนำมนต์ล้างหน้า หรืออาบน้ำ ตอนเช้า
    ทำวัตรเช้า
    อธิฐานบูชาข้าวพระที่ใส่บาตร
    อธิฐานเสกข้าวที่ตัวเองกิน
    จับลม สุริยกลา จันทรกลา ก่อนก้าวเท้าออกจากบ้าน
    ว่าคาถาคุ้มครอง รถ หรือพาหนะก่อนเดินทาง
    ฯลฯ
    จะเห็นว่าแทบในทุก อิริยาบทและกิจกรรมในชีวิตของชาวพุทธแต่ดั้งเดิมนั้น จะมีอุบายให้จิตยึดติดอยู่กับพระพุทธคุณเสมอมา แต่คนเราในยุคใหม่มีสติปัญญาไม่ลึกซึ้งและเข้าใจในอุบายของครูบาอาจารย์ได้ดีพอแถมยังตำหนิว่าเป็นความเชื่องมงายไร้สาระให้เกิดโทษกับตัวเองอีก ดังที่ผมได้ทราบมาว่ากรรมฐานโบราณของวัดพลับที่ได้สืบทอดตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มาและได้มีการสังคายนาพระกรรมฐานในต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นั้นปัจจุบันแทบหาผู้เรียนไม่ได้ แต่ มีชาวฝรั่งเศสแอบย่องมาทำวิจัยเรียบร้อยไปแล้ว ดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องขยายสิ่งที่แฝงไว้ในวิชาในพระพุทธศาสนาให้กลับมาปรากฏชัดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เข้าใจและสนใจที่จะฝึกครับ
    สรุป หลักการเรียนการจับภาพพระสามฐาน คือ ใช้อารมณ์สบาย จับภาพพระให้ได้ทั้ง สามฐานให้ได้ทุกอิริยาบท ให้ได้นานที่สุด
    ถ้ากำลัง ไม่พอให้จับ พระท่านองค์เดียวเหนือศีรษะ
    ถ้าทรงไม่ได้นาน ให้ทรงบ่อยๆหรือกำหนดเวลา อย่างน้อยที่สุดช่วงตลอดเวลาที่เราสวดมนต์ ก่อนลุกจากที่นอน และก่อนนอน
    ถ้าทำได้ อารมณ์ความเป็นทิพย์ของจิตจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นครับ
    หวังว่าไม่ยากเกินไป และทำได้ทุกคนนะครับ ส่วนใครที่ประยุกต์วิชานี้ได้ลองมาเล่าให้เพื่อนๆฟังกันบ้างครับ
     
  8. sindea

    sindea เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +754
    เมื่อคืนไม่รู้ว่าฝันหรือเปล่า แต่เหมือนจริงมากๆ คือว่าเห็นพระพุทธรูป เพิ่มมาองค์หนึ่ง เราก็ตกใจมากๆ บวกกับงงสุดๆ ขนลุก สักพักแล้วก็นั่งไหว้ท่านแล้วนอนต่อ นอนไปนอนมาคิดว่าที่เห็นนั้นจริงรึเปล่าเนี่ย และอีกสักพักก็มีนิมิตพระ องค์ที่พยายามฝึก(องค์ที่ไหว้ประจำ) ลอยขึ้นมา แปลกดีเนอะ...
     
  9. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ยินดีและโมทนากับความก้าวหน้าในการปฏิบัติของคุณ Sindea ด้วยครับที่เห็นพระพุทธรูปท่านมาปรากฏเพิ่มนั้น ไม่ต้องมีความสงสัยใดๆครับ ให้ประคองรักษาพุทธนิมิตรและอารมณ์ใจที่เบาสบายนี้ไว้ครับ ขออนุญาติเล่า ประสบการณ์ช่วงการฝึกแรกๆของผมให้ฟังครับ ก่อนที่ผมจะไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง เป็นครั้งแรกนั้น ก่อนหน้านั้นสามวัน อยู่ๆผมก็ปรากฏว่ามีนิมิตรภาพของหลวงพ่อปานวัดบางนมโค อยู่ในอกติดตราตรึงใจอยู่ตลอด ทุกเวลา อาบน้ำก็เห็น กินข้าวก็เห็น ผมจึงเกิดกำลังใจว่าพระท่านเมตตาเรา มาโปรดเราแล้ว เราต้องรักษาอารมณ์ใจที่ดีไว้ให้ได้ตลอด สำหรับคุณ Sindea คุณควรรักษาอารมณ์ใจที่สบายไว้ ทรงภาพพระท่านให้เป็นปกติ และลองมาพิจารณา ร่างกาย ขันธ์ห้า และความตายให้เพิ่มขึ้น จิตจะยิ่งมีความบริสุทธ์และแจ่มใสยิ่งขึ้นครับ สำหรับท่านอื่นๆที่มีผลของการปฏิบัติก็โพสมาเล่าให้ฟังนะครับ เพื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆท่านอื่นครับ
     
  10. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    สำหรับวันนี้พระท่านให้แนะนำในวิปัสนาญาณใน กรรมฐานห้า ที่พระอุปปัชฌาย์ท่านใช้บอกกรมมฐานพระบวชใหม่ครับ
    เริ่มต้นให้ท่าน จับลมสบาย ใช้อารมณ์สบายเป็นพื้นฐาน
    จากนั้นตั้งจิตระลึกถึง ศีลว่าขณะที่เราทำความดีอยู่นี้ ศีลห้าของเราบริสุทธ์ จิตเราเต็มไปด้วยความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย เรามีความเคารพในพระรัตนไตย และขอให้ท่านเป็นที่พึ่งอาศัยตลอดจนถึงพระนิพพาน
    อธิฐานขออาราธนาบารมีพระพุทธคุณท่านมาคุ้มครอง ใช้จิตจับภาพพระท่านทั้งสามฐานให้สว่างไสวแพรวพราวเป็นเพชร จนจิตใจเราชุ่มเย็นเป็นสุขสงบ
    อธิฐานขอขึ้นกรรมฐานห้า กับพระพุทธองค์ท่าน ภาวนา "เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ "และย้อนกลับ ( อนุโลม ปฏิโลม ) "ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา"
    จากนั้นนึกให้เห็นภาพตัวเราเอง กำลังนั่งสมาธิ อยู่ มีองค์พระท่านเปร่งรัศมีเป็นเพชร อยู่ทั้งสามฐาน คือบนศีรษะ ในศีรษะ และในอก
    ภาวนาว่า "เกสา" กำหนดให้เห็นว่า ผมบนศีรษะของเราหลุดร่วงจนหมด แล้วใช้อารมณ์ใจสบายๆพิจารณาว่าเมื่อร่างกายของเราได้ปราศจากผมอันดำสลวยมีรูปทรงที่งามตาแล้ว ร่างกายยังดูงดงามอยู่หรือไม่
    ภาวนาว่า"โลมา" กำหนดให้เห็นว่า ขนทั่วทั้งร่างกายของเรา อันมีคิ้ว ขนตา ไรขน ขน แขน ขนขาหลุดร่วงจนหมด แล้วพิจารณาว่าใบหน้าอันว่างเปล่าของเรายังมีความงดงามอยู่หรือไม่
    ภาวนาว่า"นะขา"กำหนดให้เห็นว่า เล็บมือ เล็บเท้า ของเราหลุดร่อนออกจากมือและเท้า แล้วพิจารณาว่าเมื่อ มือ เท้า เราปราศจาก เล็บที่ฉาบทาด้วยสีสรรที่ดูสวยงามแล้ว มีเพียงปลายเนื้อแดงๆ ยังดูสวยงามหรือไม่
    ภาวนาว่า"ทันตา" กำหนดให้เห็นว่า ฟันทั้งปากของเราหลุดร่วงลงจากปากจนหมด แล้วพิจารณาว่า ใบหน้า และริมฝีปากของเราที่งองุ้มปราศจากฟันฟางยังมีความสวยงามน่าลุ่มหลงหรือไม่
    ภาวนาว่า"ตะโจ" กำหนดให้เห็นว่า ผิวหนังที่ห่อหุ้มร่างกายทั่วร่างของเราหลุดลอกออกทั่วทั้งร่าง แล้วพิจารณาดูว่า ร่างกายที่ปราศจากผิวหนังห่อหุ้มเหลือเพียงเลือดเนื้อแดงๆทั่วทั้งร่างนั้น ยังน่ารักน่าหลงไหลในผิวพรรณวรรณะที่ว่ากันว่าสวยงามอยู่หรือไม่
    พิจารณารวมต่อไปว่าร่างกายนี้ถูกห่อหุ้มไปด้วย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง และความโง่ ความหลงพาให้เข้าใจผิดว่า ร่างกายของเราเป็นสิ่งที่สวยงาม แท้ที่จริงมีสภาพเป็นก้อนเนื้อชุ่มไปด้วยเลือดและน้ำหนองนำเหลือง
    จากนั้นกำหนดนึกให้ร่างกายชุ่มเลือดนี้ค่อยๆเน่าเปื่อย ขึ้นเขียว มีน้ำเหลืองน้ำหนองฉุอืดขึ้น จนเนื้อและอวัยวะเน่าเปื่อยหลุดร่อนออกจากร่าง พิจารณาว่านี่คือสภาพความเป็นจริงในร่างกายนี้ ซักวันหนึ่งเมื่อเราตาย ร่างกายของเราก็จะมีสภาวะเช่นนี้เช่นกัน เราจะมีปัญญาฉลาดในร่างกายขันธ์ห้านี้ว่าเป็นสิ่งไม่สวยงาม เป็นของสกปรก มีความเสื่อมสลาย และถึงแก่ความตายในที่สุด จิต เราจะคลายจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย ขันธ์ห้านี้ เราคือจิต หรืออาทิสมานกายที่มาอาศัยร่างกายนี้อยู่ชั่วคราวในชาติภพนี้เท่านั้น เมื่อตายแล้วเราก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นในร่างกายนี้อีกต่อไป
    พิจารณาต่อไปจนเห็นเนื้อเน่าเปื่อยแห้งเกรอะกรังเหลือแต่โครงกระดูก จากนั้นโครงกระดูกค่อยๆแห้ง ผุพัง เมื่อมีกระแสลมพัดมา กระดูกก็ผุสลายเป็นผุยผง หายไปกับสายลม พิจารณาว่า ร่างกายนี้ไร้แก่นสารใดๆ ทรัพย์สมบัติในโลกนี้ก็ล้วนแต่สิ่งสมมติ ทั้งสิ้น แท้จริงเราคือจิต สิ่งที่ติดตัวเราไปได้จริงๆก็มีเพียง บุญ กุศลบารมี สัมมาทิษฐิ เท่านั้น ส่วนที่พึ่งอาศัยอื่นไม่ว่าทรัพย์สิน เงินทอง หรือวิชาความรู้ก็ไม่อาจช่วยเราได้ มีเพียง บารมีพระรัตนไตยท่านเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งที่อาศัยให้เราได้ตลอดทุกชาติภพจนถึงพระนิพพาน
     
  11. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    จากนั้นกำหนดให้เราเหลือเพียงดวงจิตเป็นแก้วใสระยิบระแพรวพราว อธิฐานว่าเราคือจิตดวงนี้ มาอาศัยในร่างกายปัจจุบันตามแรงของกฏแห่งกรรมก็ดี ด้วยแรงอธิฐานก็ดี เพื่อการลงมาสร้างบารมีก็ดี ณ บัดนี้จิตของเราได้ตื่นขึ้นจากการยึดติดในร่างกายขั้นห้าแล้วขอให้วิชชา และสัมมาทิษฐิในอดีตชาติของข้าพเจ้ากลับคืนมาด้วยเทอญ
    จากนั้นจับภาพพระ สามฐานอีกครั้ง และกำหนดให้เห็นดวงจิตแก้วใสของเราอยู่ในท้องของเราตลอดเวลา ระลึกรู้ว่าเรานี้คือจิต เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา จากนั้น กำหนดจิตแผ่เมตตาในอัปปัณนาณฌานโดยมีแผ่จากจุดศูนย์กลางคือจากดวงจิตของเรา เมื่อสำเร็จแล้ว จิตใจเต็มไปด้วยความปิติ ชุ่มเย็นหัวใจ ด้วยความสุขจากการให้ การเสียสละแล้ว จากนั้น ค่อยๆ ถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆพร้อมกับหายใจเข้าลึกๆช้าๆ ว่า "พุทธโธ ธรรมโม สังฆโฆ" ตามลำดับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2006
  12. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ที่แนะนำไปนี้เป็นการพิจารณา วิปัสนาญาณเรื่องร่างกาย ขันธ์ห้า ในฌานสี่ใช้งานครับ ถ้าลองสังเกตุอารมณ์จิตของตนเองดู จะสังเกตุว่าอารมณ์ใจของเราจะมีความเข้าใจความจริงของร่างกายและเบื่อหน่ายในขันธ์ห้าเพิ่มขึ้น มากกว่าการอ่านหรือการพิจารณาในอารมณ์ ปกติครับ และถ้ายิ่งอารมณ์วิปัสนาญาณยิ่งสูงก็จะเกิดสังขารุเบกขาญาณเพิ่มขึ้น (ญาณความรู้ความเป็นจริงในร่างกาย จนทำให้เกิดความวางเฉย หรืออุเบกขา ในสังขารร่างกายทั้งของตนเองและของบุคคลอื่น ) นั่นคือจิตของเราก็จะยิ่งบริสุทธ์เพิ่มขึ้น สภาวะดวงจิตของเรามีความใสสะอาดสว่างไสวยิ่งขึ้นครับ จิตดีขึ้น สมาธิดีขึ้นตั้งขึ้นขึ้นเนื่องจากกิเลสและนิวรณ์ห้าลดลง เป็นไปโดยความสัมพันธ์กันขององค์สมถะและวิปัสสนาร่วมกัน พยายามปฏิบัติให้บ่อยเป็นปกติครับ อย่าลืมว่าในทุกอารมณ์ในการปฏิบัติล้วนแต่ทรงอยู่ในอารมณ์สบายเหมือนกันหมดครับ
     
  13. kumpeang

    kumpeang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    546
    ค่าพลัง:
    +1,984
    จากนั้นตั้งจิตอธิฐานต่อไปว่า
    " ข้าพเจ้าขอตั้งจิตเรียนวิชานี้เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ และบำเพ็ญบารมี ด้วยความจริงใจ หากแม้นข้าพเจ้ามีจิตคิดร้ายนำวิชาไปใช้ในทางที่ผิดต่อ ชาติ ศาสนา พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ ผู้ประสิทธิประสาทวิชาแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าอย่าได้เรียนวิชานี้สำเร็จ ถึงสำเร็จก็ขอให้วิชาที่ได้มาถูกส่งกลับคืนไปจนหมดสิ้นเมื่อข้าพเจ้าผิดสัจจะ แต่หากข้าพเจ้าใช้วิชาในทางที่ถูกที่ควรขอให้ข้าพเจ้าจงเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยเทอญ "

    .......... ต้องทำทุกครั้งก่อนเริ่มทำสมาธิไหมครับ
     
  14. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    วันนี้ได้เห็นข่าวเรื่องไข้หวัดนก ได้ดูสีหน้าท่านรัฐมนตรีสาธารณสุข และการประกาศลงโทษจำคุก ผู้เคลื่อนย้ายสัตว์ปีกโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว ก็รู้สึกได้ว่า ไข้หวัดนกของจริงมาแล้วครับเที่ยวนี้ การกวาดล้างระลอกแรกด้วยโรคระบาดที่ติดต่อกันได้ง่ายที่สุด ทางอากาศด้วยการหายใจ ถ้าเชื้อรุนแรงเต็มที่มีตายกันเป็นแสนครับ
    จึงขอนำความรู้เรื่องสุขภาพในการป้องกันตัวเราจากไข้หวัดนก โดยอิงการผสมผสานแพทย์ทางเลือกในแนวทางวิชาแพทย์สามแผน(แผนปัจจุบัน แผนโบราณสมุนไพร และการใช้พลังจิตพลังพุทธคุณประกอบกัน)ของอ.ชม ครับ
    ก่อนอื่นขอให้เข้าใจไว้ก่อนว่า ในปัจจุบันยังไม่มียารักษาไข้หวัดได้นะครับ มีเพียงยาบรรเทาอาการของไข้หวัดเท่านั้น ดังนั้นเชื้อไข้หวัดนกที่มีการกลายพันธ์นั้นจึงหน้ากลัวอย่างยิ่ง และนอกจากนั้นยาปฏิชีวนะในปัจจุบันก็เจอเชื้อดื้อยาใช้ไม่ได้ผลแล้วครับ รวมทั้งยาทามิฟลูด้วย
    ดังนั้นการปฏิบัติตนจริงๆคงมีแค่ การป้องกันและลดปัจจัยเสี่ยงในการติดเชื้อไม่ให้เป็นครับ อีกประการก็คือ การเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายให้มีระดับของทีเซลล์สูงสุดเสมอ ผมขอเริ่มจากการป้องกันครับ
    การป้องกันและการลดปัจจัยเสี่ยงในการติดเชื้อ
    1.หลีกเลี่ยงการสัมผัสทั้งทางตรงและทางอ้อม กับสัตว์ปีก สัตว์เลี้ยงที่ป่วย ผู้ป่วย ในช่วงเวลานี้ ถ้าไม่จำเป็น
    2.งดการกินอาหารเนื้อสัตว์ทุกชนิดที่ปรุงไม่สุกเด็ดขาด
    3.งดการสูบบุหรี่เพราะจะทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง
    4.หลีกเลี่ยงการสูดดมควันบุหรี่ และผู้ที่ไอจาม เพราะทำให้เราป่วยได้ง่ายขึ้น และในละอองควันบุหรี่ยังเป็นที่ยึดเกาะในการกระจายตัวของเชื้อแบคทีเรียและไวรัสด้วย
    5.ล้างมือฟอกสบู่ให้เป็นนิสัย ทั้งเมื่ออยู่นอกบ้านที่ทำงานและก่อนกินอาหาร จะช่วยลดการติดเชื้อได้มาก
    6.ล้างตาและโพรงจมูกด้วยน้ำสะอาดเสมอทุกครั้งที่อาบน้ำจะช่วยลดการหมักหมมของเชื้อโรคได้
    7.เมื่อเข้าไปในเขตที่เรามีความรู้สึกว่ามีเชื้อโรค หรือรู้สึกสกปรก ให้เข้าลมละเอียดทันที ตามที่เคยฝึกมา จะช่วยลดการรับเชื้อและเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกายโดยอัตโนมัติ แต่ห้ามอัดลมปราณแบบแรงๆลึกๆหรือใช้กำลังเด็ดขาดเพราะเชื้อจะเร่งกระจายทั่วร่างอย่างรวดเร็ว ถ้ามีผ้าปิดจมูก ปากก็ให้ใส่ อย่ามัวอาย
    8.ถ้า เข้าภาวะที่ระบาดร้ายแรง จงอย่าออกไปนอกบ้านโดยไม่จำเป็น ใช้เครื่องฟอกอากาศ พลาสม่า หรือโอโซนอย่างอ่อน ทำความสะอาดอากาศในบ้าน ถ้าต้องออกไปใส่แว่น ปิดปาก จมูก
    9.ใช้จิตที่เป็นสมาธิเต็มกำลังของเรา อธิฐานขอบารมีพุทธคุณให้เป็นแสงลงมาคลุมคุ้มครอง ตัวเรา ทุกคนในครอบครัว อาณาบริเวณที่เราอธิฐานเขตป้องกันไว้ด้วยพลังจิต แล้วใช้จิตฟอกธาตุและมวลอากาศให้สะอาดบริสุทธ์ ปราศจากเชื้อโรค
    10.หมั่นทำความสะอาดบ้าน ประตู หน้าต่าง ไส้กรองอากาศ หน้ากากแอร์ อาจจะใช้นำสบู่อ่อนๆ แต่ที่ดีที่สุดก็คือ ยาฆ่าเชื้อเดทตอลผสมน้ำ ช่วยฆ่าเชื้อได้มาก
    ต่อไป เป็นการป้องกันโดยการเพิ่มและรักษาระดับภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สูงอยู่เสมอครับ
    1.ไปฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายฝึกสร้างภูมิคุ้มกันขึ้น ลองติดต่อถามที่โรงพยาบาลเอกชน ขอเป็นเวอร์ชั่นใหม่ที่สุดเท่าที่จะใหม่ได้ เพราะปัจจุบันวัคซีนมีการอัพเดทใหม่ทุกปีครับ แต่ราคาค่าวัคซีนค่อนข้างสูงนะครับ ประมาณพันกว่าบาทต่อเข็ม บางรพ.ก็ไม่มี ต้องสั่งเท่านั้น อีกเทคนิคหนึ่งให้ไปบริจาคพลาสม่าที่กาชาด จะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายเร่งสร้างเกล็ดเลือดและเม็ดเลือดขาวทดแทนทำให้ร่างกายมี ภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น และระหว่างที่ถ่ายพลาสม่า ให้ภาวนาทำสมาธิ บอกกับร่างกายให้มีการสร้างเม็ดเลือดขาวให้มากขึ้น มีภูมิคุ้มกันในร่างกายสูงขึ้นๆ
    2.ทานวิตามิน และสมุนไพรเพื่อการป้องกันและรักษาสุขภาพ โดยมี
    วิตามิน ซี 500-2000 mg. ต่อวันโดยแบ่งเป็นเช้าและเย็น
    สมุนไพรฟ้าทะลายโจร กินทุกวันเพื่อป้องกัน วันละ 1แคปซูล 500มก.
    สมุนไพรผงกระเทียมสะกัด กินวันละ 1 แคปซูล 500 มก. ดีกว่าอย่างสดคือมีความเข้มข้นสูงกว่าและดูดซึมง่ายกว่า เนื่องจากเป็นผงสกัดครับ ลองดูของเวชพงษ์ครับ
    ถ้าหาได้ใช้สมุนไพร อิชินาเชีย เป็นสมุนไพร ตปท. แต่ปัจจุบันมีปลูกที่เชียงใหม่ มีงานวิจัยว่าช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันอย่างมีนัยสำคัญ ใช้ได้ผลดีมากๆครับ ผมยืนยันด้วยการใช้ด้วยตัวเองครับ
    3.รักษาระดับโปรตีนในร่างกายอย่าให้ลดลงต่ำ เพราะเมื่อร่างกายก่อนเพลียและขาดโปรตีน ร่างกายจะดึง โปรตีนจากระบบภูมิคุ้มกันมาใช้ทำให้มีอาการน้ำมูกไหล ตะครั่นตะคลอตัว ภูมิคุ้มกันลดลงและติดเชื้อ ไม่สบายในที่สุด
    4.การนั่งสมาธิช่วยเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันได้ โดยเฉพาะการกระตุ้นจักรที่บริเวณลำคอ อันเป็นที่ตั้งของต่อมไทรอยย์ซึ่งมีผลในการสร้างภูมิคุ้มกัน
    5.การใช้พลังจิตอธิฐานเสกยาก่อนกินจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยาให้เพิ่มขึ้นได้ทั้งยาไทย ยาฝรั่ง และลดอาการผลข้างเคียงของยาที่อาจจะเกิดขึ้นให้ลดลงหรือไม่มี
    6.ถ้ารู้สึกเริ่มจะไม่สบายอย่านอนพักโดยไม่กินยาก่อน เพราะจะยิ่งซมไข้ และเป็นมากขึ้น ให้ทานอาหารเล็กน้อย ดื่มน้ำเยอะๆ ทานยาแก้ไข้ ฟ้าทะลายโจร วิตามินซี ทายาหม่อง ฟ้าทะลายโจร ที่ใต้จมูก คอ และอก แล้วจึงนอนหลับพัก เมื่อตื่นขึ้น ส่วนใหญ่จะหายไม่เป็นอะไรครับ
    7. มีสารอาหารชื่อ L-Glutamine ช่วยเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันและรักษามวลกล้ามเนื้อ ทานก่อนนอนวันละหนึ่งช้อนชา ไม่เป็นอันตรายอะไรครับทานเป็นประจำได้ทุกวัน หาข้อมูลได้จากหนังสืออาหารและสุขภาพ ของ อ.ศรีนวล เจียจันทร์พงศ์ ครับ ส่วนกลูตามีนหาได้ทีร้าน จีเอ็นซี
    ถ้าเริ่มป่วยหรือติดเชื้อให้ใช้การรักษาของแพทย์แผนปัจจุบันตามปกติ เสริมด้วยการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจร และวิตามินซีร่วมด้วย ทำสมาธิ ฟังเทศน์โพชชงค์ปริตร อธิฐานขอพลังพุทธคุณลงมารักษาและเสกยาทุกครั้ง ที่กิน จะทำให้หายป่วยและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น เจริญวิปัสนามรณานุสติไว้เพื่อเป็น ธรรมโอสถ ถ้าอาการทรุดหนัก และเชื่อพระพุทธเจ้าให้ใช้ยาดองน้ำมูถเน่า ดูถ้าไม่มีทางเลือกอื่น
    ส่วนท่านที่เริ่มรู้สึกเช่นกันว่าการกวาดล้างรอบใหญ่ใกล้เข้ามาก็ขอให้ไปทำบุญปล่อยปลา ปล่อยสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่าเพื่อเป็นการทำบุญต่ออายุ ไว้ล่วงหน้าก่อนครับเพื่อความไม่ประมาท ขอให้ทุกคนปลอดภัยสุขภาพดีทุกคนนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2006
  15. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ตอบคุณKumpeang ครับ คำอธิฐานชุดนี้ใช้ตอนไหว้ครู ขึ้นพานครูครั้งแรกครับ ส่วนวิชาที่เหลือจะเป็นไปโดยอัตโนมัติครับ ถ้านำวิชาไปใช้ในทางมิจฉาทิษฐิเมื่อไหร่ เราจะเสื่อมจากวิชชา และอภิญญาครับ ครูบาอาจารย์ท่านกำหนดไว้ป้องกันศิษย์ท่านครับ คนมีอภิญญาเวลาพลาดตกนรก ลงลึกกว่าชาวบ้านครับ และในทางกลับกัน เวลาสร้างบารมีก็มีกำลังและทำได้มากกว่าชาวบ้านเขา วิชชาทุกสิ่งจะเกิดประโยชน์สูงสุดก็ต่อเมื่อ มีสัมมาทิษฐิและคุณธรรมกำกับครับ
     
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นอีกแล้วครับ วันก่อน หลวงพ่อวิชญ์ ที่ท่านสร้างบารมีซ่อมพระพุทธรูปชำรุด ทั่วประเทศที่ออกรายการคนค้นคน ท่านได้โทรมาหาผม และได้พูดคุยกันเรื่องโครงการที่ท่านทำอยู่ และได้ซ่อมพระพุทธรูปไปแล้วกว่า 500 องค์ วันนี้บังเอิญท่านเข้ามากรุงเทพพอดี ผมจึงได้นัดไปกราบสนทนากับท่าน และได้ข้อสรุปว่าผมจะช่วยท่านเขียนโครงการซ่อมพระพุทธรูปทั่วประเทศของท่านให้ขอบข่ายงานให้กว้างขึ้น และเราได้ตกลงว่าจะถวายโครงการเพื่อเฉลิมพระเกียรติองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของพวกเราครับ หากท่านใดสะดวก และศรัทธามีกำลังทางด้านใด ก็ขอเชิญร่วมสร้างบารมีด้วยได้นะครับ จุดสำคัญที่สุด คือกำลังใจ และความบริสุทธ์ใจครับ ไม่สำคัญที่ต้องสร้างบารมีด้วยเงินเพียงอย่างเดียวไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นตัวเราสร้างข้อจำกัดให้ตัวเองว่า ต้องมีเงินถึงจะทำบุญ ไว้มีเงินก่อนค่อยสร้างบารมี ไม่ถูกครับ ผมเคยผิดมาแล้วครับ งานนี้ผมตั้งใจจะใช้ ปัญญาบารมีครับ ที่สำคัญเพราะงานนี้เป็นงานที่เกี่ยวเนื่องถึงอนาคต ในช่วงเวลาฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ในช่วงหลังภัยพิบัติครับ พระท่านจัดให้ต้องได้พบกัน กับหลวงพ่อวิชญ์ตั้งแต่ตอนนี้ครับ
    ช่วงนี้ผมคงต้องเจียดเวลา เพื่อช่วยท่านเขียนโครงการ ด้วย แต่จะพยายาม ถ่ายทอดความรู้ วิชชาที่พระท่านเมตตาให้พวกเราทุกคนได้ศึกษาเพื่อเตรียมไว้ใช้ช่วยเพื่อนมนุษย์ ให้มากที่สุดครับ พระท่านเร่งงานให้เร็วขึ้นครับ ขอให้ทุกท่านอย่าประมาท เร่งการปฏิบัติทั้งสมถะและวิปัสนาครับ แล้วก็อย่าลืมไปฝึกมโนมยิทธิ ที่บ้านสายลม วัน เสาร์ อาทิตย์นี้นะครับ จะได้ต่อวิชาขั้นสูงๆต่อไปได้ และก็อย่าลืมทบทวนของเก่าให้คล่องตลอด จับหลักการที่สำคัญให้ได้ ผมเน้นไว้ให้ชัดเจนแล้วครับ ไม่ยากเกินกำลังใจของท่านทุกคนครับ
     
  17. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ผ่านมาหลายวิชาแล้ว เราลองมาทบทวนหลักของการฝึกใช้พลังจิตและอภิญญา กันอีกครับเผื่อท่านที่เพิ่งมาอ่านทีหลังหรือท่านที่อ่านข้ามไปครับ
    1. จงมีสัจจะ คุณธรรม และความกตัญญู ต่อพระรัตนไตย พ่อแม่ ครูบาอาจารย์และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลายไม่ว่าจะมีกายเนื้อหรือท่านที่มีกายทิพย์ ผู้มีคุณธรรมและความกตัญญู สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านย่อมเมตตาคุ้มครองและสงเคราะห์ครับ
    2. อธิฐานให้วิถีชีวิตของเราทั้งในทางโลกและทางธรรมตั้งมั่นอยู่ใน สัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา เมื่อจิตใจเราตั้งมั่นอยู่ในทางที่ชอบ ถูกแนวตรงแนวแล้ว โอกาศที่จะผิดเพี้ยน ปฏิบัติผิดแนวเพี้ยนเป็นมิจฉาทิษฐิย่อมไม่มี
    3. มีศีลเป็นปกติ เป็นธรรมชาติ มีความเคารพในพระรัตนไตยยิ่งชีวิต
    4. หมั่นเจริญวิปัสนาญาณสม่ำเสมอ มองเห็น การเกิด การแก่ การเจ็บป่วย และความตาย เป็นธรรมดา จนจิตใจเรานิ่งไม่กลัวความตาย แต่มองความตายว่าเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่งไม่ว่าเราหรือผู้อื่นก็ไม่อาจหลีกหนีความตายไปได้ สิ่งสำคัญก็คือเราตั้งใจอธิฐานว่าเมื่อเราตายแล้วเราจะไปไหน แล้วถ้าเราต้องตายไปในนาทีนี้ เรามีความดี และบุญกุศลเพียงพอที่จะไปที่นั้นได้แล้วหรือไม่ ถ้ายังเราจะเร่งสร้างบารมีอย่างไร ปฏิบัติตนอย่างไร อบรมใจเราอย่างไร
    5. ฝึกสมถะสมาธิในอานาปานสติเสมอ จำลมสบาย ที่จิตใจมีความสบายไว้เสมอ ต้องทำให้ได้ระดับที่เข้าได้ตลอดเวลาทุกครั้งที่ต้องการ ทุกอิริยาบท ไม่ว่าลืมตาหลับตา ภายนอกเงียบหรือเสียงดัง อากาศร้อนหรือหนาว ไม่ใช่ข้ออ้างต้องทำให้ได้ทุกครั้งเสมอ
    6.อารมณ์จิตที่ต้องการในการปฏิบัติคือ จิตสบาย มีความสุข มีความปิติ มีความเมตตา เต็มหัวจิตหัวใจ มีความเบา มีความสะอาด มีความสว่าง มีความสงบ จงรู้จักความสุขจากความสงบ ความสุขที่เราไม่ต้องแก่งแย่ง ไขว่คว้า ความสุขที่ไม่เจืออามิส คือไม่อิงด้วยวัตถุ เราสามารถมีความสุขได้ในทุกที่ทุกเวลา ทุกขณะจิต ส่วนอารมณ์ที่ไม่ต้องการในการปฏิบัติคือ อารมณ์หนัก อารมณ์เพ่ง อารมณ์บีบ อารมณ์กดทับกดดัน เพราะอารมณ์เหล่านี้จะทำให้จิตวิปปราส
    7. การเจริญและแผ่เมตตา เราต้องทำให้ความสุข ความรักความเมตตาของเราเต็มล้นในหัวใจของท่านก่อนแล้วจึงกำหนดจิตแผ่อารมณ์ใจที่ดีนั้นออกไปทั่วอนันตจักรวาล ท่านจะได้รู้จักความสุขจากการให้ ความสุขที่เป็นวิสัยที่แท้จริงของพระโพธิสัตว์ครับ
    8. การจับภาพพระพุทธรูปนั้น ต้องพยายามจับให้องค์พระท่านใสเป็นแก้วประกายพรึก คือเป็นเพชรระยิบระยับแพรวพราวจนใจของเรามีความสุขความสบายใจ จากนั้นจงอธิฐานและเชื่อมั่น ไม่ลังเลสังสัยว่า บารมีของพระพุทธเจ้าท่านเมตตาลงมาสถิตอยู่เป็นหนึ่งเดียวกับพุทธนิมิตรในจิตของเราครับ และถ้าผมใช้คำว่าจับภาพพระ เราหมายถึงการทำจิตถึงอารมณ์นี้ครับ
    9. การจะทำการใดๆ เราอธิฐานขอบารมีพระท่านให้มาเมตตาสงเคราะห์ทุกครั้งครับ อย่าใช้กำลังใจเราเองอย่างเดียว เพราะไม่ว่าอย่างไรเราไม่เก่งกว่าพระพุทธเจ้าท่านหรอกครับ และอีกอย่างจะเป็นเครื่องป้องกันจิตเราไม่ให้หลงผิดคิดว่า เราดี เราเก่ง เพราะถ้าคิดอย่างนั้น ไม่ช้าอภิญญาจะเสื่อมครับ ต้องกลับไปแก้จิตให้เป็นสัมมาทิษฐิ และขอขมาพระรัตนไตยครับ
    10.หมั่นศึกษาทบทวน การอธิฐาน การใช้กำลังใจ การวางอารมณ์ใจ ให้สม่ำเสมอครับ

    การปฏิบัติในทุกสิ่งที่แนะนำไปมีผลทั้งสิ้นครับ หวังว่าทุกท่านจะเจริญรุ่งเรืองในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2006
  18. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาต โหวตหน่อยครับ ท่านใดที่ได้มโนมยิทธิแล้วให้ช่วยโมทนากันหน่อยครับ เคยได้ก็ได้ครับ
     
  19. ballza

    ballza Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +26
    คนดีน้อยลง เด็กวัยรุ่นจิตใจต่ำลงเห็นธรรมะเป็นเรื่องตลก ไม่รู้จักสิ่งผิดชอบชั่วดี พูดจาไม่มีสัมมาคารวะ เพราะผู้ใหญ่มิได้ขัดเกลาจิตใจให้สะอาด
    กลับสอนให้บุตรของตนลุ่มหลงทรัพย์สินเงินทอง หลงชื่อเสียง แข่งขันกันเพื่อความอยู่รอดในสังคม คิดว่าเงินทองจะทำให้คนที่ตนรักสุขสบาย
    ซื้อทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่มิได้สั่งสอนให้รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักการให้ การเสียสละ ทำให้บุคคลอันเป็นที่รัก หลงผิดคิดเอาแต่ชนะ เอาแต่ได้
    ถ้าไม่ได้ก็โกรธ ทำร้าย ใส่ร้าย ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา โดนมิได้คิดว่าตนทำถูกหรือไม่ กลับคิดว่าตนต้องได้ ตนถูกเสมอ
    เพราะคนสอน สอนให้เป็นเช่นนั้น จะมีสักกี่คนที่คิดดี ปฎิบัติดี
    ปัจจุบันผมก็พยายามบอกกับบุคคลใกล้ชิด บอกในสิ่งที่ถูกที่ควร แต่เขาเหล่านั้นกลับหัวเราะ พูดจาลบหลู่ในสิ่งที่ผมสอน
    น่าเห็นใจบิดามารดาของเขาเหล่านั่นเสียจริงๆ เห็นใจที่เขามิได้รับในสิ่งที่ดี แต่กลับรับในสิ่งที่มิชอบ ชื่นชมในสิ่งร้าย ลุ่มหลงในกาม
    ข้าพเจ้าจะทำเช่นไรดีให้เขาเหล่านั้นกลับตัวกลับใจได้
    เพราะตัวข้าพเจ้าเองเมื่อก่อนก็คิดเช่นนั้น ทำความไม่ดีมาเยอะ ทำให้บิดามารดาเสียใจ เพราะมั่วลุ่มหลงอบายมุข ไม่เคารพบุพการี
    ไม่เชื่อในสิ่งที่ท่านสอน จนเสียอนาคตไปนั่งคิดเสียใจในสิ่งที่ทำอยู่หลายอาทิตย์ จนกระทั่งบิดามารดาทราบข่าว เป็นครั้งแรกที่ผมทำผิดแล้วท่านไม่ว่าผม
    มันทำให้ผมรู้เลยว่า คนที่รักเราอย่างแท้จริง มิใช่คนอื่นไกล นั่นก็คือบิดามารดาของเรานี่เอง นั่นทำให้คิดได้ว่า เพื่อนพ้องที่กิน เล่น เที่ยว สนุกสนานด้วยกันนั้น
    ไม่ได้รักเราจริงอย่างที่เราคิดไป จากนั้นผมก็ถูกส่งไปยังสถานที่ๆผมไม่รู้จักใคร เจอผู้คนหน้าใหม่ๆ แล้วก็เจอคนคนนึงที่ได้ทำให้ ความคิดของผมเปลื่ยนไป
    ได้ให้ข้อคิดหลายๆอย่างในการดำเนินชีวิต และได้แนะนำให้ผมอ่านเอกสารบางอย่าง นั่นก็คือ วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ มันทำให้ผม
    คิดได้ว่า เกิดมาเพื่ออะไร และได้หันไปมองผู้คนรอบข้างที่คิดเหมือนผมในอดีต เลยทำให้ผมคิดว่าผมอาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้ เพราะได้ทำความไม่ดีมาเยอะ
    ตอนนี้เวลาทำสมาธิ ทำได้ไม่ถึง1นาทีเลยครับ รู้สึกกลัว ในสิ่งที่ผมไม่เคยเห็น กลัวผมกรรมที่ได้ก่อไว้ ทำให้จิตใจไม่นิ่งเลยครับ ไม่รู้ว่าขั้นแรกจะทำได้หรือป่าว
    บางทีรู้สึกเหมือนมีสองคนในร่างเดียว เวลาใครทำอะไรให้ไม่พอใจเหมือนมี ธรรมมะบอกให้ปลงเอาไว้คิดเสียว่ามันเป็นกรรม แต่อีกใจก็คิดไปว่าทำไมเราไม่ไป
    ทำให้เขาไม่พอใจคืนไป ทำให้ข้าพเจ้าสับสน ทำสมาธิก็ได้ไม่นานเลยครับ แต่ก็ยังดีที่ใจส่วนใหญ่คิดดีทำให้ไม่ได้ปฎิบัติในสิ่งร้ายเหมือนแต่ก่อน
    แล้วข้าพเจ้าจะสามารถเข้าถึงธรรมมะได้หรือไม่ แต่ก็พยายามทำความดี ไม่คิดร้ายคนอื่นๆ และหวังว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย พระอรหันต์ พระองค์อื่นๆ
    ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้าให้คิดแต่สิ่งดีๆ ทำแต่ความดีด้วยเถิด
    ขออภัยที่ทำให้รกกระทู้ครับ
     
  20. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอตอบคุณ ballza ครับ "การทำความดีไม่มีคำว่าสายครับ" การเปลี่ยนความคิดเป็นสัมมาทิษฐิของคุณนั้น เป็นการพลิกจิตและเปลี่ยนแปลงตัวเองเหมือนเกิดใหม่ครับ ทุกคนเคยผิดทุกคนเคยพลาดครับ ผมเองก็เคยทำผิดพลาดครับ หลายสิ่งที่ผมนำมาแนะนำบางอย่างก็เป็นการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดในอดีตมาเป็นครูสอนเราครับว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้อง สิ่งสำคัญอยู่ที่เราต้อง จดจำ เรียนรู้และใช้ประโยชน์จากมันครับ ผมขอยกตัวอย่าง พระองคุลีมาลท่าน ถึงแม้เคยทำบาปมหันต์มาในอดีต เมื่อได้ฟังธรรม ก็ได้พลิกจิตเป็นสัมมาทิษฐิ เปลี่ยนจากโจรจนบรรลุอรหันต์ได้ครับ ผมขอโมทนาในการกลับตัวกลับใจของคุณครับ
    -----ไม่ต้องกลัวการทำสมาธิครับเพราะผมทราบดีว่าเวลาคุณนั่งจะมีนิมิตรหลอน เป็นภาพ คนที่เคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรของคุณมาชี้หน้าบ้าง มาให้เห็นภาพความผิดในอดีตบ้าง ผมขอแนะนำดังนี้ครับ จับภาพพุทธนิมิตรเป็นหลักชัยในจิตของเราไว้ และทำใจเราให้สบาย จากนั้น แผ่เมตตาอัปปัณนาณฌาน ไปในทิศทั้งปวงตามกำลังของคุณ จากนั้น อธิฐานขอขมาพระรัตนไตย ท่านเจ้ากรรมนายเวร และขออโหสิกรรมต่อสรรพสัตว์ ตามที่ผมเคยแนะนำไว้ในตอนต้นๆของการปฏิบัติ จากนั้นคุณอธิฐานต่อพระท่านว่า "ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะ คิดแต่สิ่งที่ดี พูดแต่สิ่งที่ดี ทำแต่สิ่งที่ดี ขอพระพุทธองค์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยคุ้มครองกาย วาจา ใจ ของข้าพเจ้าให้มุ่งตรงต่อสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา"
    --- ส่วนบุพพกรรมที่คุณได้ทำให้พ่อแม่เสียใจนั้น เป็นกรรมสายอนันตริยกรรมทางด้านลบ ทางแก้และผ่อนหนักให้เป็นเบาคือ นำพานดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาต่อท่านให้ท่านอโหสิกรรมให้และสัญญาว่าจะกลับตนเป็นคนดี กราบที่เท้าท่าน และนำเท้าของท่านทั้งสองมาวางเหนือเศียรเกล้าของเรา ถ้าคุณทำได้ชีวิตคุณจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดครับ นี่เป็นในเบื้องต้น ขั้นต่อไป คุณต้องตั้งใจแก้อนันตริยกรรมทางฝ่ายลบให้เป็นฝ่ายบวกครับ นั่นคือกรรมหนักทางกุศลครับ คุณได้ทำไปอย่างหนึ่งแล้วคือ เปลี่ยนตนเองให้เป็นสัมมาทิษฐิครับ ต่อไปคือค่อยๆชักจูงพ่อแม่ ให้โน้มเข้าสู่ทางธรรม ทางกุศล จนทำให้พ่อแม่ได้สัมมาทิษฐิครับ เพราะนับเป็นความกตัญญูยิ่งกว่าปรนเปรอท่านด้วยเงินทองข้าวของใดๆ ครับ ท่านอื่นจะนำไปใช้ก็ได้นะครับ ขึ้นชื่อว่าความดีไม่มีข้อจำกัดใดๆครับ
    ---กระทู้ของคุณไม่รก หรอกครับ มิหนำซ้ำยังช่วยเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคนอื่นๆด้วยครับ ผมถือว่ากระทู้ของคุณเป็นของขวัญที่วิเศษที่สุดสำหรับผมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...