วัตถุมงคล หลวงพ่อฤาษีฯ- หลวงปู่ชื้น-เหล็กไหล หลวงพ่อหวล-ของทนสิทธ์ฯลฯ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย saipote, 19 สิงหาคม 2012.

  1. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    จัดส่ง

    - คุณธิวากรณ์ EV 8492 9455 9 TH
    - คุณอานนท์ EV 8492 9456 2 TH
     
  2. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    ** เหรียญวชิระมงกุฎ **
    (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ร่วมปลุกเสก)

    ข้อมูลนี้มาจากหนังสือประวัติของวัดมกุฏฯ นำมาให้ดูกัน ข้อมูลปี 19 หาได้ในเว็บทั่วไปเเต่ข้อมูลปี 22 ไปเอามาจากหนังสือของวัด

    นี่คือข้อมูลพิธีที่เหรียญได้เข้าพิธีปี 2519 เเละ อีกทีปี 2522 หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ล.ป ชา มาร่วมด้วย

    พิธีพุทธภิเษก

    เมื่อ สร้างเสร็จเป็นองค์พระแล้ว ได้ประกอบพิธีพุทธาภิเษกขึ้นอีก 7 วัน ณ พระอุโบสถคณะรังษี วัดบวรนิเวศวิหารฯ เมื่อวันที่ 5-11 ก.ค. 2519

    รายนามพระเกจิคณาจารย์ที่นั่งปรกปลุกเสกและเจริญพุทธมนต์พระสมเด็จพระอุณาโลมทรงจิตลดา - นางพญา สก. 2519

    1. วันจันทร์ 5 ก.ค. 2519 เวลา 17.00 น.
    พระเกจิคณาจารย์ที่นั่งปรกปลุกเสก
    1. สมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรฯ
    2. พระสังวรวิมลเถระ(หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี
    3. หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่
    4. หลวงพ่อเมตตาหลวง วัดเทพพิทักษ์ฯ นครราชสีมา
    5. พระเทพวราลังการ(หลวงปู่ศรีจันทร์) วัดศรีสุทธาวาส จ.เลย
    6. พระสุทธิสารโสภณ วัดศรีโพแท่น จ.เลย
    7. หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม จ.อุดรธานี
    พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ เจริญพุทธมนต์ ๑๐รูป
    1. สมเด็จพระวันรัต วัดสังเวชวิศยาราม
    2. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา
    3. สมเด็จพระพุทธิวงศมุนี วัดเบญจมบพิธ
    4. พระพรหมคุณากรณ์ วัดสระเกศ
    5. พระธรรมวราลังการ วัดบุปผาราม
    6. พระธรรมวิสุทธาจารย์ วัดพิชัยญาติการาม
    7. พระธรรมธีรราชมหามุนี วัดปากน้ำ
    8. พระราชสารมุนี วัดเขมาภิรตาราม
    9. พระปริยัติเมธี วัดมกุฎกษัตริย์
    10. พระอุดมศีลคุณ วัดบุรณศิริมาตยาราม

    2. วันอังคาร 6 ก.ค. 2519
    พระเกจิคณาจารย์ที่นั่งปรกปลุกเสก
    1. พระสังวรวิมลเถระ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี
    2. หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม จ.อุดรธานี
    3. พระอาจารย์วัน อุตตโม วัดอภัยดำรงธรรม สกลนคร
    4. หลวงพ่ออ่อนสี วัดพระงาม หนองคาย
    5. หลวงพ่อมา วัดวิเวกอาศรม ร้อยเอ็ด
    6. พระโพธิสังวรเถร (หลวงพ่อฑูรย์) วัดโพธินิมิต ธนบุรี
    7. พ่อหลวงเปลื้อง ปญญานโต วัดบางแก้วผดุงธรรม จ.พัทลุง
    3. วันพุธ 7 ก.ค. 2519
    พระเกจิคณาจารย์ที่นั่งปรกปลุกเสก
    1. พระสังวรวิมลเถระ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี
    2. พระอาจารย์วัน อุตตโม วัดอภัยดำรงธรรม สกลนคร
    3. พ่อหลวงเปลื้อง ปญญานโต วัดบางแก้วผดุงธรรม จ.พัทลุง
    4. หลวงพ่ออ่อนสี วัดพระงาม หนองคาย
    5. หลวงพ่ออ่อน วัดประชานิยม กาฬสินธุ์
    6. หลวงปู่สี มหาวีโร วัดประชาคมฯ ร้อยเอ็ด
    7. หลวงพ่อชา วัดศรีแก่งคร้อ ชัยภูมิ
    8. หลวงพ่อชม วัดป่าบ้านบัวค่อม อุดรธานี
    9. หลวงพ่อบุญมา วัดอุดมคงคาคีรีเขต
    10. หลวงพ่อมา วัดวิเวกฯ ร้อยเอ็ด

    4. วันพฤหัสบดี 8 ก.ค. 2519
    พระเกจิคณาจารย์ที่นั่งปรกปลุกเสก
    1. พระสังวรวิมลเถระ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี
    2. พ่อหลวงเปลื้อง ปญญานโต วัดบางแก้วผดุงธรรม จ.พัทลุง
    3. หลวงปู่สี มหาวีโร วัดประชาคมฯ ร้อยเอ็ด
    4. หลวงพ่อบุญมา วัดอุดมคงคาคีรีเขต
    5. พระอาจารย์สาม วัดป่าไตรวิเวก สุรินทร์
    6. หลวงพ่อจ้อย วัดสุวรรณประดิษฐ์ สุราษฎร์ธานี
    7. หลวงพ่อบุญรักษ์ วัดคงคาวดี สิชล นครศรีธรรมราช
    8. หลวงพ่อเหรียญ วัดป่าอรัญญบรรพต หนองคาย
    9. พระอาจารย์บัวพา วัดป่าพระสถิต หนองคาย

    5. วันศุกร์ 9 ก.ค. 2519
    พระเกจิคณาจารย์ที่นั่งปรกปลุกเสก
    1. พระสังวรวิมลเถระ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี
    2. พ่อหลวงเปลื้อง ปญญานโต วัดบางแก้วผดุงธรรม จ.พัทลุง
    3. หลวงพ่อพุธ วัดป่าสาละวัน นครราชสีมา
    4. หลวงพ่อโชติ วัดภูเขาแก้ว อุบลฯ
    5. หลวงพ่อพั่ว วัดบ้านนาเจริญ อุบลฯ
    6. พระอาจารย์สมชาย วัดเขาสุกิม จันทบุรี
    7. หลวงพ่อจันทร์(อายุ ๑๐๒ปี) วัดนามะตูม ชลบุรี

    6. วันเสาร์ 10 ก.ค. 2519
    พระเกจิคณาจารย์ที่นั่งปรกปลุกเสก
    1. สมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรฯ
    2. พระสังวรวิมลเถระ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี
    3. หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี สมุทรสงคราม
    4. หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย์ สุพรรณบุรี
    5. หลวงพ่อเก็บ วัดดอนเจดีย์ สุพรรณบุรี
    6. หลวงพ่อสนิท วัดศีลขันธาราม อ่างทอง
    7. หลวงพ่อซ้วน วัดลาดใต้ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา

    7. วันอาทิตย์ 11 ก.ค. 2519
    พระเกจิคณาจารย์ที่นั่งปรกปลุกเสก
    ตอนกลางวัน (เวลา 13.00 - 16.00 น.) หลวงปู่ธูป วัดสุทรธรรมทาน(วัดแค) กทม. นั่งปรกบริกรรมภาวนาเดี่ยว 4 ชั่วโมงเต็ม
    ตอนค่ำ 1. สมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรฯ
    2. พระสังวรวิมลเถระ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี
    3. หลวงพ่อซ้วน วัดลาดใต้ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา
    4. พระอาจารย์ผ่อง วัดสามปลื้ม กทม.
    5. หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาฯ ธนบุรี
    6. หลวงพ่อสา วัดราชนัดดา กทม.
    7. พระครูสงัด วัดพระเชตุพนฯ กท

    ใน วันที่ 12 ก.ค. 2519 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนิน ทรงเจิมและสุหร่าย สมเด็จนางพญา ส.ก.และพระสมเด็จอุณาโลม ในเวลา 16.00 น. ณ พระอุโบสถคณะรังษี วัดบวรฯ

    รายนามพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์เจริญชัยมงคลคาถา ๑๐ รูป

    1. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผติการาม
    2. พระสาสนโสภณ วัดเทพศิรินทราวาส
    3. พระพุทธพจน์วราภรณ์ วัดราชบพิธ
    4. พระญาณวโรดม วัดบวรราชนิเวศ
    5. พระธรรมปาโมกข์ วัดราชประดิษฐ์
    6. พระธรรมเสนานี วัดพระเชตุพนฯ
    7. พระธรรมวราภรณ์ วัดนรนาทสุนทริการาม
    8. พระเทพวราภรณ์ วัดบุรณศิริมาตยาราม
    9. พระเทพปัญญากวี วัดราชาธิวาส
    10 พระเทพกวี วัดบวรฯ

    นี่คือข้อมูล ปี 2522 ได้จากคุณลุงที่วัดมกุฏถ่ายจากต้นฉบับมาซึ่งคุณลุงบอกมีเล่มเดียว นี่คือข้อมูลจะเเจกให้อ่านพร้อมกับพระ
    กำหนดการ

    ประกอบพิธีพุทธภิเษกสมเด็จนางพญาณ พระอุโบสถ คณะรังษี วัดบวรนิเวศวิหารวันที่๙ - ๑๒ เมษายน พ.ศ ๒๕๒๒

    วันที่๙ เมษายน ๒๕๒๒

    เวลา ๑๘.๐๐ น สมเด็จพระญาณสังวร คณะกรรมการการจัดพิธีเเละเจ้าหน้าที่พร้อม ณพระอุโบสถ
    เวลา ๑๘.๓๐
    สมเด็จพระสังฆราช เสด็จเข้าสู่ พระอุโบสถทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธปฏิมาพระประธาน

    -ทรง เจิมเทียนชัย ทรงจุดเทียนชัย พระสงฆ์เจริญคาถาจุดเทียนชัยเจ้าหน้าที่อาราธนาศีลพระสงฆ์องค์ประธานให้ศีล สาธุชนรับศีลเจ้าหน้าที่อาราธนาพระปริต พระสงฆ์๑๐รูป เจริญพระพุทธมนต์จบเเล้วถวายจตุปัจจัยไทยธรรม พระสงฆ์อนุโมทนาสมเด็จพระสังฆราช ทรงจุดเทียนที่กระบะมุกข์พระสงฆ์สวดพุทธภิเษก พระอาจารย์๙รูป นั่งบริกรรมภาวนาจนกระทั่งเวลา ๒๒.๓๐ น .เเล้วประพรมน้ำพระพุทธมนต์

    วันที่๑๐ เมษายน พ.ศ ๒๕๒๒
    เวลา ๑๖.๐๐ น. พระสงฆ์ ๔ รูป สวดภารวารพระอาจารย์ ๑ รูป นั่งบริกรรมภาวนา
    เวลา ๑๙.๐๐ น พระสงฆ์ ๔ รูป สวดภารวารพระอาจารย์ ๙ รูป นั้งบริกรรมภาวนาจนกระทั่งเวลา ๒๒.๓๐ น.เเล้วประพรมน้ำพระพุทธมนต์

    วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๒๒
    เวลา ๑๖.๐๐ น พระสงฆ์ ๔ รูป สวดภารวาร
    เวลา ๑๙.๐๐ น พระอาจารย์ ๙ รูปนั่งบริกรรมภาวนาจนกระทั่งเวลา ๒๒.๓๐ น.สมเด็จพระญาณสังวร ดับเทียนชัยพระสงฆ์ทั้งนั้นเจริญคาถาดับเทียนชัยจบเเล้วประพรมน้ำพระพุทธ มนต์

    วันที่๑๒ เมษายน ๒๕๒๒
    เวลา ๑๕.๐๐ น คณะกรรมการเเละเจ้าหน้าที่พร้อมณ.ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย วัดบวร
    เวลา ๑๕ ๓๐ น สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่ห้องประชุมสภาการศึกษามหามกุฏราช วิทยาลัย ทรงจุดธูปเครื่องนมัสการพระรัตนตรัยประทับพระราชอาศน์สมเด็จพระราชาคณะทรง ศีล
    ประธานกรรมการจัดงานกราบบังคมทูลรายงานทรงพระสุหร่ายพระสมเด็จนางพญา(พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา)

    สมเด็จพระญาณสังวร ประธาน กรรมการมหาวชิราลงกรณ์ราชวิทยาลัยทูนเกล้า ถวาย พระสมเด็จนางพญา ๑๑๐๐๐๐ องค์ (๔๕ กล่อง )
    ทรงประเคนจตุปัยจัยไทยธรรม ทรงหลั่งทักษิโณทก
    (พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาอดิเรก)

    รอง ประธานกนนมการจัดงานเบิกผู้บริจาคทรัพย์โดยพระเสด็จพระราชกุศลสมทบทุนมูล นิธิมหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย มูลนิธิสิรินธรเเละโดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงมหาวชิราลงกรณ์ราชวิทยาลัยเข้า รับพระราชทานของที่ระลึกเสด็จไปทรงกราบหน้าเครื่องนมัสการ ทรงลาพระสงฆ์เเล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับ เป็นเสร็จพิธี

    ราย นามพระอาจารย์ที่อาราธนามานั่งบริกรรมภาวนาในพิธีพุทธภิเษกสมเด็จนางพญา ณ พระอุโบสถ คณะรังษีวัดบวรนิเวศวิหาร วันที่๙ - ๑๒ เมษายน ๒๕๒๒

    ๑ พระเทพวราลังการ (ศรีจันทร์) วัดศรีสุทธาวาส จ เลย
    ๒ พระราชสังวราภิมณท์ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี
    ๓ พระราชธรรมวิจารย๋ (หลวงปู่ธูป) วันสุนทรธรรมทาน
    ๔ พระราชสังสรวิสุทธิ์ (บุญเลิศ) วัดราชสิทธาราม
    ๕ พระภาวนาวิมลเถร (สิริ) วัดชนะสงครม
    ๖ พระวิสุทธิสารเถร (ถิร) วัดป่าเลไลย์ สุพรรณบุรี
    ๗ พระรัตนากรวิสทุธิ์ (หลวงปู่ดุลย์) วัดศรีบูรพาราม สุรินทร์
    ๘ พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา) วัดหนองป่าพง
    ๙ พระณาญโพธิ (หลวงพ่อเข็ม) วัดสุทัศนเทพวราราม
    ๑๐ พระชินวงศาจารย์ (พุธ) วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา
    ๑๑ พระโพธิสังวรเถร (ไพฑูรย์ ) วัดโพธินิมิตร ธนบุรี
    ๑๒ พระอุดมวิสุทธิเถร (อาจารย์วัน) วัดถ้าอภัยดำรง สกลนคร
    ๑๓ พระสุนทรธรรมภาณี (หลวงพ่อเเพ) วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี
    ๑๔ พระครูเกษมธรรมานันท์ (เเช่ม) วัดดอนยายหอม
    ๑๕ พระครูสมุทรธรรมสุนทร (หลวพ่อสุด) วัดกาหลง สมุทรสาคร
    ๑๖ พระครูโกวิทสมุทรคุณ (หลวงพ่อเนื่อง) วัดจุฬามณี สมุทรสงคราม
    ๑๗ พระครูธรรมกิจโกศล (นอง) วัดทรายขาว ปัตตานี
    ๑๘ พระครูสุจิตตานุรักษ์ (จวน) วัดหนองสุ่ม สิงห์บุรี
    ๑๙ พระครูสังวรธรรมมานุวัตร (หลวงพ่อพล) วัดหนองคณที สระบุรี
    ๒๐ พระครูถาวรวิทยาคม (เพิ่ม) วัดสรรเพชณ์ นครปฐม
    ๒๑ พระมหาวีระ (ฤษีลิงดำ ) วัดจันทาราม อุทัยธานี
    ๒๒ พระอาจารย์สี มหาวีโร วัดประชาคมวนาราม ร้อยเอ็ด
    ๒๓ พระอาจารย์เหรียญ มหาปุญโญ วัดมหาสมณกิจภาวนา
    ๒๔ พระอาจารย์พัฒน์ สุขกาโม วัดทับซ้าน สกลนคร
    ๒๕ พระอาจารย์เเบน ธนากโร วัดธรรมเดจีย์ สกลนคร
    ๒๖ พระอาจารย์จวน กุลเชฐโร วัดเจติยาคิรี สกลนคร
    ๒๗ พระอาจารย์ฟัก สนติธมโม วัดเขาสามผาน จันทบุรี
    ๒๘ พระอาจารย์สาม อกิญจโน วัดไตรวิเวก สุรินทร์
    ๒๙ พระครูปลัดไพบูลย์ สุมังคโล วัดรัตนาราม พะเยาว์

    นี่คือข้อมูลจากต้นฉบับซึ่งหาได้อยากขนาดคุณลุงที่อยู่วัดมกุฏยังบอกว่ามีเล่มเดียว

    (((ปิดรายการนี้ค่า)))
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN0826.jpg
      DSCN0826.jpg
      ขนาดไฟล์:
      44.6 KB
      เปิดดู:
      151
    • DSCN0825.jpg
      DSCN0825.jpg
      ขนาดไฟล์:
      52.3 KB
      เปิดดู:
      92
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2018
  3. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    ** สีผึ้งสายล่าง ครูบาคำเป็ง **

    สีผึ้งหลวงปู่แบ่งแยก เป็น ๒ สาย สายบนใช้ด้านโชคลาภ หนุนดวง เสริมดวง สายล่าง เสน่ห์ล้วนๆ ใช้ได้ผลดี แรงที่สุดมีความเข็มขลัง ท่านตั้งชื่อ สีผึ้ง ผูกจิต ดลใจ ท่านเขี้ยวมาชั้นดี สะอาดที่สุด หลวงปู่ใช้เวลาเสกตั้งแต่ สมัยอยู่ถ้ำ เป็นเวลาหลายปี ถ้าหากสีผึ้งนี้ไปตกอยู่กับหนุ่มคนไหน หนุ่มคนนั้นจะได้เมียสวย ได้เมียรวย เมียรัก เดินไปไหนผู้หญิงมารุมล้อม ขอไปอยู่ด้วย หลวงปู่หัวเราะฮึๆ สำหรับหญิงสาว ใช้สีผึ้งนี้ พอใกล้ชายคนไหน ชายคนนั้นจะถวิลหาทุกค่ำคืน สีผึ้งนี้ยังใช้ได้กับนักเรียน ครูบาอาจารย์ นักร้อง นักแสดง ให้ใช้กับคนที่ตัวเองปราถนา อยากให้เขารัก วิธีใช้ สีผึ้งสายล่าง ให้ป้าย ต้ังแต่เอวลงมา ทุกๆวัน หลวงปู่บอกสีผึ้งนี้ไม่มีผลอันตรายต่อตัวเอง และผู้อื่น ไม่เป็นพิษเป็นภัย หากว่าเราอยู่ในศิลในธรรม ห้ามใช้ผิดลูกเมียเขานะโยมไป​
    สำหรับ สายบน ให้ใช้ด้านโชคลาภ ค้าขาย เรียกเงินเรียกทอง เสริมดวง หนุนดวง เวลาจะไปทำมาหากิน ทำงาน สมัครงาน เข้าหาเจ้านาย เจรจาธุรกิจ ใช้สีผึ้งทาที่ปาก ฝามือ แขน และอธิฐานขอ สีผึ้งก็จะสำแดงฤทธ์ ดลบันดาลให้ผู้ที่เราไปติดต่อ พูดคุยได้เมตตาเอ็นดู ถูกชะตาสนใจเรา เจรจาราบรื่นตลอดไป ทั้งยังช่วยให้ดวงดีขึ้นเรื่อยๆ

    คุณวิเศษ ของสีผึ้ง ทั้ง ๒ สาย คือสามารถเสี่ยงทายได้ โดยท่อง คาถา"ฮัมฮำอำอะ อึอะอะอำ" ๓จบ วนที่หน้าขา อธิฐานจะบอกให้ยกขาแล้วเบาหรือหนักตามแต่ใจจะเสี่ยงทาย

    สีผึ้ง ครูบาคำเป็ง เป็นอะไรที่ลูกศิษย์ต่างแสวงหากันและรู้ถึงพลังอำนาจในสีผึ้ง โดยฉะเพราะสีผึ้งสายล่างของหลวงปู่สุดยอด......ขอบอกๆๆๆ

    (((ปิดรายการนี้ค่า)))
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2019
  4. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    ** กำไรเหล็กไหล วรรณเงินยวง **
    (หลวงพ่อหวล วัดพุทไธสวรรค์)

    ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6.5 ซม.

    อานุภาพของธาตุกายสิทธิ์ (พญาเหล็ก/เหล็กไหล)

    …"เหล็กไหล" เป็น โลหะธาตุแปลกประหลาดที่มีชีวิต เป็นวิบากของกฏแห่งกรรม บันดาลให้วิญญาณ อยู่ในสังสารวัฏ มาปฏิสนธิในสภาวะที่เป็นโลหะธาตุเหล็กไหล เคลื่อนไหวได้ เสพบริโภคผึ้งได้ ขับถ่ายได้ (เรียกว่าขี้เหล็กไหล)และสถานที่อยู่อาศัยนั้นชอบสถานที่สงบตามถ้ำ ดังนั้นจึง ถือได้ว่าเหล็กไหลเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกเทพ เป็นเทพที่มาใช้วิบากกรรมในโลก เหล็กไหลจึงมีทั้งเทพที่เป็นยักษ์ ที่เป็นคนธรรพ์คอยอารักขาอยู่ตลอดเวลา เหล็กไหลที่พบกันจึงมีหลากหลายชนิดที่ได้เห็นกัน เหล็กไหลเป็นธาตุที่ทรงอำนาจในการป้องกันตัว และ สิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ให้พ้นจากภัยอันตราย อันเกิดจาก "อาวุธปืน" หรือ "ของมีคม" และ "ศาสตราวุธ" ทุกชนิด "เหล็กไหล" เป็นสสารที่มีชีวิตเป็นอมตะ และ หาได้ยากยิ่ง ต้องมีพิธีกรรมมากมาย กว่าจะได้มา ฉะนั้น เหล็กไหลจึงเป็นวัตถุอาถรรพ์ที่มีราคาแพง เพราะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และ เป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เหล็กไหลมีอานุภาพยอดเยี่ยม สามารถคุ้มครองชีวิตผู้ที่มีเหล็กไหลไว้ในความครอบครองหรือพกพาติดตัว และจะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัยจาก "อุบัติภัยร้ายแรง" ต่างๆ รวมไปถึง "อาวุธร้ายแรง" นานาชนิด ได้อย่างอัศจรรย์นั่นเอง

    ผู้ที่จะทำพิธีตัดเหล็กไหลได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมชั้นสูง และต้องประพฤติปฏิบัติรักษาศีลได้อย่างมั่นคง ไม่มีจิตคิดละโมภ กล่าวคือ จะต้องขออนุญาตจาก "เทพยดา" ผู้ดูแลรักษาเสียก่อน เมื่อได้รับอนุญาตจึงค่อยทำพิธีตัดเอาได้ มิฉะนั้น หากเราขืนตัดเหล็กไหลด้วยกำลัง หมายแย่งชิงเอาโดยพละการ ถือดีในพระเวทย์ก็อาจมีเภทภัยถึงแก่ชีวิต หรือ เกิดความขัดแย้งในหมู่คณะจนถึงขั้นวิบัติเอาได้ ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเทพยดาผู้รักษาเหล็กไหลนั้นเอง

    หลวงพ่อหวลท่านได้เรียนวิชาอาคม สุดยอดวิชาอาคมที่เกือบจะเรียกว่าสาบสูญไปแล้ว ได้แก่วิชาอาคมเรียกและเชิญเหล็กไหล หรือพญาเหล็กไหลสุดยอดแห่งธาตุกายสิทธิ์ ที่ทุกคนต้องการได้มาครอบครอง วิชาอาคมเรียกหรือเชิญเหล็กไหลนั้นไม่ใช่จะเปิดเผยกันง่ายๆการเรียกหรือเชิญ เหล็กไหลก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ใครๆก็ทำได้ เหล็กไหลเป็นธาตุกายสิทธิ์…..ย่อมเป็นอันตรายต่อผู้ที่จิตไม่บริสุทธิ์ หากทำการเรียกหรืออัญเชิญเหล็กไหล อาจถึงตายได้ ซึ่งหลวงพ่อหวล แห่งวัดพุทไธสวรรค์ จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านได้เล่าเรียนศึกษาวิชา "การเรียกและตัดเหล็กไหล" จากศิษย์หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์ หลายท่านบอกว่าหลวงพ่อเดิมท่านชอบเล่นแร่แปรธาตุ บางคนตั้งให้หลวงพ่อเดิมท่านเป็นเทพเจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุเลยทีเดียว

    เหล็กไหลที่หลวงพ่อหวลได้ตัดไว้ มีด้วยกัน 3 วรรณะ ซึ่งแต่ละสีก็แบ่งแยกตามชั้นวรรณะของเหล่าบรรดา "เทพยดา หรือ ฤาษี" ที่ปกปักรักษา ได้แก่

    1.วรรณะเจ้าน้ำเงิน
    2.วรรณะท้องปลาไหล
    3.วรรณะเงินยวง

    และรูปแบบของเหล็กไหลที่ท่านตัดไว้มีหลายอย่าง อาทิเช่น แบบพิมพ์พระกริ่ง (นิยมสูงสุด และหายากมากที่สุด!!! ), พระพุทธ, แคปซูล, แหวน, กำไล, พระขรรค์ ,กรมหลวงชุมพร,หลวงปู่ทวด,รัชกาลที่ 5, พระสมเด็จ,พระนางพญา,พระผงสุพรรณ,พระซุ้มกอ,พระรอด,เจ้าแม่กวนอิม,พระ ขรรค์,ตรีสูญ,พระบูชา,พระสังกัจจายน์ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งเหล็กไหลแต่ละพิมพ์นั้น หลวงพ่อหวลจะต้องจัดสร้าง "หุ่นเทียน" ขึ้นมาไว้ก่อน จากนั้นหลวงพ่อท่านจึงนำเข้าไปในถ้ำกลางป่าลึก แล้วเมื่อท่านเจอ "เหล็กไหล" ท่านจึงทำ "พิธีอัญเชิญเหล็กไหล" ให้ "ไหลวิ่ง" ลงมาตามด้ายสายสิญจ์ โดยอัญเชิญให้เหล็กไหลวิ่งมาก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเอง เพื่อให้เราสามารถที่จะจับต้องเหล็กไหลเป็นรูปธรรมได้ ตามรูปแบบทรงพิมพ์ของหุ่นเทียนที่หลวงพ่อท่านได้ขออนุญาตจัดสร้างเตรียมขึ้น มา (หุ่นเทียน 1 อัน จะได้เหล็กไหล มาเพียงแค่ 1 ชิ้นเท่านั้น) ซึ่งพิธีในขั้นตอนนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "พิธีหุงเหล็กไหล" โดยเป็นวิธีการหุงแบบตามธรรมชาติ โดยให้เหล็กไหลวิ่งมาก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเอง ซึ่งในการทำพิธีแต่ละครั้ง ต้องใช้ "อำนาจพลังจิต" สูงมาก และเหล็กไหลที่ได้มาแต่ละชิ้นนั้น ต้องใช้ระยะเวลาในการหุงนานมาก จึงทำให้ในการทำพิธีแต่ละครั้งจะได้เหล็กไหลเพียงไม่กี่ชิ้น (โดยในแต่ละขั้นตอนในการทำพิธีนี้ ต้องเป็นผู้มีวิชาอาคมใน "การเรียกและตัดเหล็กไหล" โดยเฉพาะ) ไม่ได้มาทำกันเล่นๆๆ หรือ นำเหล็กมาปั๊ม หรือ นำมาหล่อ เหมือนอย่างพระเครื่องทั่วๆไป ซึ่งทำให้ "ของปลอม" ยากที่จะทำออกมาเลียนแบบได้ ซึ่งปัจจุบันเหล็กไหลของหลวงพ่อหวลนี้หายากมากๆๆ เดินตามสนามพระทั่วไปแล้ว ท่านจะไม่ได้พบเห็นเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เพราะเป็นที่หวงแหนของผู้ที่มีไว้ครอบครองเป็นอย่างยิ่ง ซึ่ง "เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ" นี้ เป็นเหล็กไหลที่หาได้ค่อนข้างยากมากๆๆๆ (เพราะมีระดับสภาวะ ขั้นสูงสุด 31 ภพภูมิ ทั้งยังมีเทพยดา และ ฤาษี ชั้น "มหาเทพ" และ "มหาฤาษี" ลงมาปกปักรักษามากที่สุดและจะพบ "เหล็กไหล 3 สี 3 วรรณะ" นี้ได้ ต้องเป็นถ้ำที่มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็นมาก และอยู่ในกลางป่าลึก บริเวณใจกลางหุบเขา "เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ" มีคุณวิเศษทางด้านเมตตาแรงมากๆๆ มหาเสน่ห์ขั้นสูง คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด เรียกโชคลาภขั้นสูง บันดาลทรัพย์สินเงินทอง ดลจิตดลใจ พลิกดวงชะตา จากตกต่ำให้เป็นสูงขึ้น (จากหน้ามือเป็นหลังมือ) เตือนภัยเมื่อมีเหตุคับขัน และสามารถล่องหนกำบังตัวหลบภัยได้ (ครบวงจร) ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม หรือ จะดลจิตดลใจของผู้ครอบครองเหล็กไหลนี้ ให้ตั้งมั่นอยู่แต่ในศีลในธรรม ในความดี มุ่งแต่สร้างบุญสร้างกุศล เพราะเกิดจากฤทธิ์ของมหาเทพและมหาฤาษีในขั้นระดับ “อรูปฌาณ” ที่มีบารมีธรรมสูงมาก ที่เป็นผู้ปกป้องครอบครองเหล็กไหลประเภทนี้ อยู่นั้นเอง

    "เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ" นี้ มักจะตกได้อยู่แต่ในความครอบครองของ "พระภิกษุ" หรือ "นักบวชต่างๆ" (ที่มีฌาณขั้นอุกฤษณ์) คนธรรมดาอย่างเราๆ ยากนักที่จะได้เป็นผู้ครอบครอง เพราะใช่ว่ามีเงินเพียงอย่างเดียวจะหามาไว้ในความครอบครองได้ง่ายๆๆ จะต้องเป็น "ผู้มีบุญญาธิการบารมี" และต้องมี "กรรมเก่าเกี่ยวกัน" จริงๆๆ จึงจะได้เป็นผู้ครอบครอง พระพญาเหล็กไหลนี้ มีคุณ 108 ประการตามแต่อธิษฐาน ท่านบอกว่าใครได้ครอบครองไว้จะมีอำนาจ บารมี เหนือผู้อื่นพกพาติดตัวแคล้วคลาดปลอดภัย กิจการงานเจริญก้าวหน้า เดินทางไปที่ใด มีเทพยดา ปกปักรักษา มีโชคลาภ เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง และพระพญาเหล็กนี้ใช่ว่ามีเงินแล้วจะได้ครอบครอง ล.พ.หวลท่านบอกว่าต้องมีบุญวาสนาแต่ชาติปางก่อนจึงได้ครอบครอบครอง

    (((ปิดรายการนี้ค่า)))
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN0461.jpg
      DSCN0461.jpg
      ขนาดไฟล์:
      82.2 KB
      เปิดดู:
      169
    • DSCN0459.jpg
      DSCN0459.jpg
      ขนาดไฟล์:
      93.8 KB
      เปิดดู:
      111
    • DSCN0463.jpg
      DSCN0463.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.2 KB
      เปิดดู:
      177
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2018
  5. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    ** แหวนเหล็กไหล วรรณเงินยวง **
    (หลวงพ่อหวล วัดพุทไธสวรรค์)

    --ไซด์แหวนเบอร์ 52--

    อานุภาพของธาตุกายสิทธิ์ (พญาเหล็ก/เหล็กไหล)

    …"เหล็กไหล" เป็น โลหะธาตุแปลกประหลาดที่มีชีวิต เป็นวิบากของกฏแห่งกรรม บันดาลให้วิญญาณ อยู่ในสังสารวัฏ มาปฏิสนธิในสภาวะที่เป็นโลหะธาตุเหล็กไหล เคลื่อนไหวได้ เสพบริโภคผึ้งได้ ขับถ่ายได้ (เรียกว่าขี้เหล็กไหล)และสถานที่อยู่อาศัยนั้นชอบสถานที่สงบตามถ้ำ ดังนั้นจึง ถือได้ว่าเหล็กไหลเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกเทพ เป็นเทพที่มาใช้วิบากกรรมในโลก เหล็กไหลจึงมีทั้งเทพที่เป็นยักษ์ ที่เป็นคนธรรพ์คอยอารักขาอยู่ตลอดเวลา เหล็กไหลที่พบกันจึงมีหลากหลายชนิดที่ได้เห็นกัน เหล็กไหลเป็นธาตุที่ทรงอำนาจในการป้องกันตัว และ สิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ให้พ้นจากภัยอันตราย อันเกิดจาก "อาวุธปืน" หรือ "ของมีคม" และ "ศาสตราวุธ" ทุกชนิด "เหล็กไหล" เป็นสสารที่มีชีวิตเป็นอมตะ และ หาได้ยากยิ่ง ต้องมีพิธีกรรมมากมาย กว่าจะได้มา ฉะนั้น เหล็กไหลจึงเป็นวัตถุอาถรรพ์ที่มีราคาแพง เพราะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และ เป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เหล็กไหลมีอานุภาพยอดเยี่ยม สามารถคุ้มครองชีวิตผู้ที่มีเหล็กไหลไว้ในความครอบครองหรือพกพาติดตัว และจะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัยจาก "อุบัติภัยร้ายแรง" ต่างๆ รวมไปถึง "อาวุธร้ายแรง" นานาชนิด ได้อย่างอัศจรรย์นั่นเอง

    ผู้ที่จะทำพิธีตัดเหล็กไหลได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมชั้นสูง และต้องประพฤติปฏิบัติรักษาศีลได้อย่างมั่นคง ไม่มีจิตคิดละโมภ กล่าวคือ จะต้องขออนุญาตจาก "เทพยดา" ผู้ดูแลรักษาเสียก่อน เมื่อได้รับอนุญาตจึงค่อยทำพิธีตัดเอาได้ มิฉะนั้น หากเราขืนตัดเหล็กไหลด้วยกำลัง หมายแย่งชิงเอาโดยพละการ ถือดีในพระเวทย์ก็อาจมีเภทภัยถึงแก่ชีวิต หรือ เกิดความขัดแย้งในหมู่คณะจนถึงขั้นวิบัติเอาได้ ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเทพยดาผู้รักษาเหล็กไหลนั้นเอง

    หลวงพ่อหวลท่านได้เรียนวิชาอาคม สุดยอดวิชาอาคมที่เกือบจะเรียกว่าสาบสูญไปแล้ว ได้แก่วิชาอาคมเรียกและเชิญเหล็กไหล หรือพญาเหล็กไหลสุดยอดแห่งธาตุกายสิทธิ์ ที่ทุกคนต้องการได้มาครอบครอง วิชาอาคมเรียกหรือเชิญเหล็กไหลนั้นไม่ใช่จะเปิดเผยกันง่ายๆการเรียกหรือเชิญ เหล็กไหลก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ใครๆก็ทำได้ เหล็กไหลเป็นธาตุกายสิทธิ์…..ย่อมเป็นอันตรายต่อผู้ที่จิตไม่บริสุทธิ์ หากทำการเรียกหรืออัญเชิญเหล็กไหล อาจถึงตายได้ ซึ่งหลวงพ่อหวล แห่งวัดพุทไธสวรรค์ จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านได้เล่าเรียนศึกษาวิชา "การเรียกและตัดเหล็กไหล" จากศิษย์หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์ หลายท่านบอกว่าหลวงพ่อเดิมท่านชอบเล่นแร่แปรธาตุ บางคนตั้งให้หลวงพ่อเดิมท่านเป็นเทพเจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุเลยทีเดียว

    เหล็กไหลที่หลวงพ่อหวลได้ตัดไว้ มีด้วยกัน 3 วรรณะ ซึ่งแต่ละสีก็แบ่งแยกตามชั้นวรรณะของเหล่าบรรดา "เทพยดา หรือ ฤาษี" ที่ปกปักรักษา ได้แก่

    1.วรรณะเจ้าน้ำเงิน
    2.วรรณะท้องปลาไหล
    3.วรรณะเงินยวง

    และรูปแบบของเหล็กไหลที่ท่านตัดไว้มีหลายอย่าง อาทิเช่น แบบพิมพ์พระกริ่ง (นิยมสูงสุด และหายากมากที่สุด!!! ), พระพุทธ, แคปซูล, แหวน, กำไล, พระขรรค์ ,กรมหลวงชุมพร,หลวงปู่ทวด,รัชกาลที่ 5, พระสมเด็จ,พระนางพญา,พระผงสุพรรณ,พระซุ้มกอ,พระรอด,เจ้าแม่กวนอิม,พระ ขรรค์,ตรีสูญ,พระบูชา,พระสังกัจจายน์ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งเหล็กไหลแต่ละพิมพ์นั้น หลวงพ่อหวลจะต้องจัดสร้าง "หุ่นเทียน" ขึ้นมาไว้ก่อน จากนั้นหลวงพ่อท่านจึงนำเข้าไปในถ้ำกลางป่าลึก แล้วเมื่อท่านเจอ "เหล็กไหล" ท่านจึงทำ "พิธีอัญเชิญเหล็กไหล" ให้ "ไหลวิ่ง" ลงมาตามด้ายสายสิญจ์ โดยอัญเชิญให้เหล็กไหลวิ่งมาก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเอง เพื่อให้เราสามารถที่จะจับต้องเหล็กไหลเป็นรูปธรรมได้ ตามรูปแบบทรงพิมพ์ของหุ่นเทียนที่หลวงพ่อท่านได้ขออนุญาตจัดสร้างเตรียมขึ้น มา (หุ่นเทียน 1 อัน จะได้เหล็กไหล มาเพียงแค่ 1 ชิ้นเท่านั้น) ซึ่งพิธีในขั้นตอนนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "พิธีหุงเหล็กไหล" โดยเป็นวิธีการหุงแบบตามธรรมชาติ โดยให้เหล็กไหลวิ่งมาก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเอง ซึ่งในการทำพิธีแต่ละครั้ง ต้องใช้ "อำนาจพลังจิต" สูงมาก และเหล็กไหลที่ได้มาแต่ละชิ้นนั้น ต้องใช้ระยะเวลาในการหุงนานมาก จึงทำให้ในการทำพิธีแต่ละครั้งจะได้เหล็กไหลเพียงไม่กี่ชิ้น (โดยในแต่ละขั้นตอนในการทำพิธีนี้ ต้องเป็นผู้มีวิชาอาคมใน "การเรียกและตัดเหล็กไหล" โดยเฉพาะ) ไม่ได้มาทำกันเล่นๆๆ หรือ นำเหล็กมาปั๊ม หรือ นำมาหล่อ เหมือนอย่างพระเครื่องทั่วๆไป ซึ่งทำให้ "ของปลอม" ยากที่จะทำออกมาเลียนแบบได้ ซึ่งปัจจุบันเหล็กไหลของหลวงพ่อหวลนี้หายากมากๆๆ เดินตามสนามพระทั่วไปแล้ว ท่านจะไม่ได้พบเห็นเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เพราะเป็นที่หวงแหนของผู้ที่มีไว้ครอบครองเป็นอย่างยิ่ง ซึ่ง "เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ" นี้ เป็นเหล็กไหลที่หาได้ค่อนข้างยากมากๆๆๆ (เพราะมีระดับสภาวะ ขั้นสูงสุด 31 ภพภูมิ ทั้งยังมีเทพยดา และ ฤาษี ชั้น "มหาเทพ" และ "มหาฤาษี" ลงมาปกปักรักษามากที่สุดและจะพบ "เหล็กไหล 3 สี 3 วรรณะ" นี้ได้ ต้องเป็นถ้ำที่มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็นมาก และอยู่ในกลางป่าลึก บริเวณใจกลางหุบเขา "เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ" มีคุณวิเศษทางด้านเมตตาแรงมากๆๆ มหาเสน่ห์ขั้นสูง คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด เรียกโชคลาภขั้นสูง บันดาลทรัพย์สินเงินทอง ดลจิตดลใจ พลิกดวงชะตา จากตกต่ำให้เป็นสูงขึ้น (จากหน้ามือเป็นหลังมือ) เตือนภัยเมื่อมีเหตุคับขัน และสามารถล่องหนกำบังตัวหลบภัยได้ (ครบวงจร) ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม หรือ จะดลจิตดลใจของผู้ครอบครองเหล็กไหลนี้ ให้ตั้งมั่นอยู่แต่ในศีลในธรรม ในความดี มุ่งแต่สร้างบุญสร้างกุศล เพราะเกิดจากฤทธิ์ของมหาเทพและมหาฤาษีในขั้นระดับ “อรูปฌาณ” ที่มีบารมีธรรมสูงมาก ที่เป็นผู้ปกป้องครอบครองเหล็กไหลประเภทนี้ อยู่นั้นเอง

    "เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ" นี้ มักจะตกได้อยู่แต่ในความครอบครองของ "พระภิกษุ" หรือ "นักบวชต่างๆ" (ที่มีฌาณขั้นอุกฤษณ์) คนธรรมดาอย่างเราๆ ยากนักที่จะได้เป็นผู้ครอบครอง เพราะใช่ว่ามีเงินเพียงอย่างเดียวจะหามาไว้ในความครอบครองได้ง่ายๆๆ จะต้องเป็น "ผู้มีบุญญาธิการบารมี" และต้องมี "กรรมเก่าเกี่ยวกัน" จริงๆๆ จึงจะได้เป็นผู้ครอบครอง พระพญาเหล็กไหลนี้ มีคุณ 108 ประการตามแต่อธิษฐาน ท่านบอกว่าใครได้ครอบครองไว้จะมีอำนาจ บารมี เหนือผู้อื่นพกพาติดตัวแคล้วคลาดปลอดภัย กิจการงานเจริญก้าวหน้า เดินทางไปที่ใด มีเทพยดา ปกปักรักษา มีโชคลาภ เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง และพระพญาเหล็กนี้ใช่ว่ามีเงินแล้วจะได้ครอบครอง ล.พ.หวลท่านบอกว่าต้องมีบุญวาสนาแต่ชาติปางก่อนจึงได้ครอบครอบครอง

    (((ปิดรายการนี้ค่า)))
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN0253.jpg
      DSCN0253.jpg
      ขนาดไฟล์:
      25.8 KB
      เปิดดู:
      123
    • DSCN0252.jpg
      DSCN0252.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34.2 KB
      เปิดดู:
      202
    • DSCN0255.jpg
      DSCN0255.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.7 KB
      เปิดดู:
      179
    • DSCN0257.jpg
      DSCN0257.jpg
      ขนาดไฟล์:
      44.2 KB
      เปิดดู:
      185
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2018
  6. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    **เหรียญพระชัยหลังช้าง ภปร พิมพ์เล็ก**
    (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ร่วมปลุกเสก)

    เหรียญพระชัยหลังช้าง เหรียญดังพิธีดีอีกเหรียญหนึ่ง เป็นเหรียญที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ แห่งวัดสามพระยา กรุงเทพมหานคร ในนามคณะสงฆ์ได้ดำเนินการจัดสร้างขึ้น สืบเนื่องในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ 60 พรรษา ในปี พ.ศ.2530

    เป็นเหรียญปั๊มด้านหน้าเป็นรูปพระชัยวัฒน์ ที่เรียกกันว่า “พระชัยหลังช้าง” ด้านหลังเป็นพระปรมาภิไธยย่อ “ภปร.” มีอักษรปรากฏบนเหรียญว่า “5 ธันวาคม 2530” และ “คณะสงฆ์สร้างในมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ” มีเนื้อทองคำ, เนื้อเงิน, เนื้อนาค และเนื้อกะไหล่ทอง

    ชุดนี้เป็นเหรียญพิมพ์เล็ก จัดสร้างสำหรับแจกกรรมการ และพระเถระชั้นผู้ใหญ่

    ” เหรียญพระชัยหลังช้าง” เป็นเหรียญดีเพราะพิธีการจัดสร้างเปี่ยมด้วยความศักดิ์สิทธิ์ ทั้งเจตนาการจัดสร้างเพื่อนำรายได้จากการบริจาคบูชานั้น ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยได้ประกอบพิธีพุทธาภิเษกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2530 ณ พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร มีพระเกจิอาจารย์ดังปลุกเสกมากมาย ประการสำคัญยิ่ง เหรียญพระชัยหลังช้าง มีสมเด็จพระสังฆราชถึง 2 พระองค์ ปลุกเสก นั้นคือ สมเด็จพระสังฆราช (วาส) วัดราชบพิธฯ และสมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรนิเวศวิหาร ที่ต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช เมื่อปี พ.ศ.2532

    และ” เหรียญพระชัยหลังช้าง มีสมเด็จพระราชาคณะที่ร่วมปลุกเสกอีก คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา สมเด็จพระวันรัต วัดโสมนัสวิหาร สมเด็จพระธีรญาณมุนี วัดปทุมคงคา สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว) วัดสระเกศ เมื่อครั้งยังเป็นที่พระพรหมคุณาภรณ์

    “พระเกจิอาจารย์ที่ร่วมพุทธาภิเษกหมู่ เจริญพระพุทธมนต์ เกือบ 80 รูป อาทิเช่น”…

    1.สมเด็จพระสังฆราช(วาส) วัดราชบพิตรฯ

    2.สมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรนิเวศวิหาร

    3.สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา

    4.สมเด็จพระวันรัด วัดโสมนัสวิหาร

    5.สมเด็จพระธีรญาณมุนี วัดปทุมคงคา

    6.พระพรหมคุณาภรณ์ (สมเด็จพุฒาจารย์เกี่ยว)วัดสระเกศ

    7.พระมหาวีระ ถาวะโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)

    8.พระอาจารย์ ชื้น พุทธสาโร วัดญาณเสน

    9.หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง

    10.พระครูสันติวรญาณ (สิม) วัดถ้ำผาปล่อง

    11.พระอุดมสังวรเถร (ล.พ.อุตตะมะ) วัดวังค์วิเวการาม

    12.พระครูฐาปนกิจสุนทร (ล.พ.เปิ่น) วัดบางพระ

    13.พระครูปริมานุรักษ์ (ล.พ.พูล) วัดไผ่ล้อม

    14.หลวงปู่ม่น วัดเนินตามาก

    15.พระครูเกษมธรรมนันท์ (ล.พ.แช่ม) วัดดอนยายหอม

    16.หลวงพ่อ ไสว วัดปรีดาราม ฯลฯ

    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น) อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรุงเทพฯ ได้ลิขิตไว้ว่า “เหรียญพระชัยหลังช้าง หากอยู่กับบ้านก็คุ้มบ้าน หากอยู่กับตัวก็คุ้มตัว” และเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดดังกล่าว ท่านจึงได้จัดพิมพ์หนังสือเรื่อง “ปรากฏการณ์อันน่าพิศวงเกี่ยวด้วยเหรียญพระชัย (หลังช้าง)” ขึ้น โดยรวบรวมเรื่องราวจากผู้ที่ได้รับประสบการณ์จากเหรียญนี้มากมายหลายท่าน

    ที่สำคัญ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง ท่านเคยกล่าวไว้กับลูกศิษย์ของท่านว่า เหรียญพระชัยหลังช้างนี้เป็นเหรียญที่มีพุทธานุภาพดีมาก เพราะมีอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์เต็มเปี่ยม และได้เล่าประวัติพระชัยหลังช้างไว้ว่า เป็นพระที่ ร.๑ ท่านบูชาประจำพระองค์ มาตั้งแต่สมัยชื่อด้วงแล้ว ต่อมาก็เป็นแม่ทัพ เวลาจะรบกับข้าศึกก็เอาไปด้วย บูชาประจำพระองค์เลย ออกรบแต่ละครั้ง ร.๑ ท่านไม่เคยแพ้ใคร ฉนั้นเวลาจะบูชา หลวงพ่อท่านให้อธิฐานว่า “ร.๑ ไม่เคยแพ้ใครฉันใด ขอเราเป็นผู้ชนะแบบ ร.๑” อธิฐานอย่างนี้ยิ่งดีใหญ่เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อย่าให้แพ้ความยากจน” เราจะได้รวยๆๆ

    (((ปิดรายการนี้ค่า)))
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2019
  7. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    จัดส่ง
    - คุณกฤษณ์ ED 5747 9492 0 TH
    - คุณภาวัช ED 5747 9493 3 TH
     
  8. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    จัดส่ง

    - คุณชญาดา ED 5882 1879 4 TH
     
  9. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    จัดส่ง

    - คุณกนกพร EV 8500 6844 4 TH
     
  10. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    ** ตะกุดเหล็กไหล วรรณะเจ้าน้ำเงิน **1
    (หลวงพ่อหวล วัดพุทไธสวรรค์)

    อานุภาพของธาตุกายสิทธิ์ (พญาเหล็ก/เหล็กไหล)

    …"เหล็กไหล" เป็น โลหะธาตุแปลกประหลาดที่มีชีวิต เป็นวิบากของกฏแห่งกรรม บันดาลให้วิญญาณ อยู่ในสังสารวัฏ มาปฏิสนธิในสภาวะที่เป็นโลหะธาตุเหล็กไหล เคลื่อนไหวได้ เสพบริโภคผึ้งได้ ขับถ่ายได้ (เรียกว่าขี้เหล็กไหล)และสถานที่อยู่อาศัยนั้นชอบสถานที่สงบตามถ้ำ ดังนั้นจึง ถือได้ว่าเหล็กไหลเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกเทพ เป็นเทพที่มาใช้วิบากกรรมในโลก เหล็กไหลจึงมีทั้งเทพที่เป็นยักษ์ ที่เป็นคนธรรพ์คอยอารักขาอยู่ตลอดเวลา เหล็กไหลที่พบกันจึงมีหลากหลายชนิดที่ได้เห็นกัน เหล็กไหลเป็นธาตุที่ทรงอำนาจในการป้องกันตัว และ สิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ให้พ้นจากภัยอันตราย อันเกิดจาก "อาวุธปืน" หรือ "ของมีคม" และ "ศาสตราวุธ" ทุกชนิด "เหล็กไหล" เป็นสสารที่มีชีวิตเป็นอมตะ และ หาได้ยากยิ่ง ต้องมีพิธีกรรมมากมาย กว่าจะได้มา ฉะนั้น เหล็กไหลจึงเป็นวัตถุอาถรรพ์ที่มีราคาแพง เพราะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และ เป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เหล็กไหลมีอานุภาพยอดเยี่ยม สามารถคุ้มครองชีวิตผู้ที่มีเหล็กไหลไว้ในความครอบครองหรือพกพาติดตัว และจะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัยจาก "อุบัติภัยร้ายแรง" ต่างๆ รวมไปถึง "อาวุธร้ายแรง" นานาชนิด ได้อย่างอัศจรรย์นั่นเอง

    ผู้ที่จะทำพิธีตัดเหล็กไหลได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมชั้นสูง และต้องประพฤติปฏิบัติรักษาศีลได้อย่างมั่นคง ไม่มีจิตคิดละโมภ กล่าวคือ จะต้องขออนุญาตจาก "เทพยดา" ผู้ดูแลรักษาเสียก่อน เมื่อได้รับอนุญาตจึงค่อยทำพิธีตัดเอาได้ มิฉะนั้น หากเราขืนตัดเหล็กไหลด้วยกำลัง หมายแย่งชิงเอาโดยพละการ ถือดีในพระเวทย์ก็อาจมีเภทภัยถึงแก่ชีวิต หรือ เกิดความขัดแย้งในหมู่คณะจนถึงขั้นวิบัติเอาได้ ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเทพยดาผู้รักษาเหล็กไหลนั้นเอง

    หลวงพ่อหวลท่านได้เรียนวิชาอาคม สุดยอดวิชาอาคมที่เกือบจะเรียกว่าสาบสูญไปแล้ว ได้แก่วิชาอาคมเรียกและเชิญเหล็กไหล หรือพญาเหล็กไหลสุดยอดแห่งธาตุกายสิทธิ์ ที่ทุกคนต้องการได้มาครอบครอง วิชาอาคมเรียกหรือเชิญเหล็กไหลนั้นไม่ใช่จะเปิดเผยกันง่ายๆการเรียกหรือเชิญ เหล็กไหลก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ใครๆก็ทำได้ เหล็กไหลเป็นธาตุกายสิทธิ์…..ย่อมเป็นอันตรายต่อผู้ที่จิตไม่บริสุทธิ์ หากทำการเรียกหรืออัญเชิญเหล็กไหล อาจถึงตายได้ ซึ่งหลวงพ่อหวล แห่งวัดพุทไธสวรรค์ จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านได้เล่าเรียนศึกษาวิชา "การเรียกและตัดเหล็กไหล" จากศิษย์หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์ หลายท่านบอกว่าหลวงพ่อเดิมท่านชอบเล่นแร่แปรธาตุ บางคนตั้งให้หลวงพ่อเดิมท่านเป็นเทพเจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุเลยทีเดียว

    เหล็กไหลที่หลวงพ่อหวลได้ตัดไว้ มีด้วยกัน 3 วรรณะ ซึ่งแต่ละสีก็แบ่งแยกตามชั้นวรรณะของเหล่าบรรดา "เทพยดา หรือ ฤาษี" ที่ปกปักรักษา ได้แก่

    1.วรรณะเจ้าน้ำเงิน
    2.วรรณะท้องปลาไหล
    3.วรรณะเงินยวง

    และรูปแบบของเหล็กไหลที่ท่านตัดไว้มีหลายอย่าง อาทิเช่น แบบพิมพ์พระกริ่ง (นิยมสูงสุด และหายากมากที่สุด!!! ), พระพุทธ, แคปซูล, แหวน, กำไล, พระขรรค์ ,กรมหลวงชุมพร,หลวงปู่ทวด,รัชกาลที่ 5, พระสมเด็จ,พระนางพญา,พระผงสุพรรณ,พระซุ้มกอ,พระรอด,เจ้าแม่กวนอิม,พระ ขรรค์,ตรีสูญ,พระบูชา,พระสังกัจจายน์ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งเหล็กไหลแต่ละพิมพ์นั้น หลวงพ่อหวลจะต้องจัดสร้าง "หุ่นเทียน" ขึ้นมาไว้ก่อน จากนั้นหลวงพ่อท่านจึงนำเข้าไปในถ้ำกลางป่าลึก แล้วเมื่อท่านเจอ "เหล็กไหล" ท่านจึงทำ "พิธีอัญเชิญเหล็กไหล" ให้ "ไหลวิ่ง" ลงมาตามด้ายสายสิญจ์ โดยอัญเชิญให้เหล็กไหลวิ่งมาก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเอง เพื่อให้เราสามารถที่จะจับต้องเหล็กไหลเป็นรูปธรรมได้ ตามรูปแบบทรงพิมพ์ของหุ่นเทียนที่หลวงพ่อท่านได้ขออนุญาตจัดสร้างเตรียมขึ้น มา (หุ่นเทียน 1 อัน จะได้เหล็กไหล มาเพียงแค่ 1 ชิ้นเท่านั้น) ซึ่งพิธีในขั้นตอนนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "พิธีหุงเหล็กไหล" โดยเป็นวิธีการหุงแบบตามธรรมชาติ โดยให้เหล็กไหลวิ่งมาก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเอง ซึ่งในการทำพิธีแต่ละครั้ง ต้องใช้ "อำนาจพลังจิต" สูงมาก และเหล็กไหลที่ได้มาแต่ละชิ้นนั้น ต้องใช้ระยะเวลาในการหุงนานมาก จึงทำให้ในการทำพิธีแต่ละครั้งจะได้เหล็กไหลเพียงไม่กี่ชิ้น (โดยในแต่ละขั้นตอนในการทำพิธีนี้ ต้องเป็นผู้มีวิชาอาคมใน "การเรียกและตัดเหล็กไหล" โดยเฉพาะ) ไม่ได้มาทำกันเล่นๆๆ หรือ นำเหล็กมาปั๊ม หรือ นำมาหล่อ เหมือนอย่างพระเครื่องทั่วๆไป ซึ่งทำให้ "ของปลอม" ยากที่จะทำออกมาเลียนแบบได้ ซึ่งปัจจุบันเหล็กไหลของหลวงพ่อหวลนี้หายากมากๆๆ เดินตามสนามพระทั่วไปแล้ว ท่านจะไม่ได้พบเห็นเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เพราะเป็นที่หวงแหนของผู้ที่มีไว้ครอบครองเป็นอย่างยิ่ง ซึ่ง "เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ" นี้ เป็นเหล็กไหลที่หาได้ค่อนข้างยากมากๆๆๆ (เพราะมีระดับสภาวะ ขั้นสูงสุด 31 ภพภูมิ ทั้งยังมีเทพยดา และ ฤาษี ชั้น "มหาเทพ" และ "มหาฤาษี" ลงมาปกปักรักษามากที่สุดและจะพบ "เหล็กไหล 3 สี 3 วรรณะ" นี้ได้ ต้องเป็นถ้ำที่มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็นมาก และอยู่ในกลางป่าลึก บริเวณใจกลางหุบเขา "เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ" มีคุณวิเศษทางด้านเมตตาแรงมากๆๆ มหาเสน่ห์ขั้นสูง คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด เรียกโชคลาภขั้นสูง บันดาลทรัพย์สินเงินทอง ดลจิตดลใจ พลิกดวงชะตา จากตกต่ำให้เป็นสูงขึ้น (จากหน้ามือเป็นหลังมือ) เตือนภัยเมื่อมีเหตุคับขัน และสามารถล่องหนกำบังตัวหลบภัยได้ (ครบวงจร) ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม หรือ จะดลจิตดลใจของผู้ครอบครองเหล็กไหลนี้ ให้ตั้งมั่นอยู่แต่ในศีลในธรรม ในความดี มุ่งแต่สร้างบุญสร้างกุศล เพราะเกิดจากฤทธิ์ของมหาเทพและมหาฤาษีในขั้นระดับ “อรูปฌาณ” ที่มีบารมีธรรมสูงมาก ที่เป็นผู้ปกป้องครอบครองเหล็กไหลประเภทนี้ อยู่นั้นเอง

    "เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ" นี้ มักจะตกได้อยู่แต่ในความครอบครองของ "พระภิกษุ" หรือ "นักบวชต่างๆ" (ที่มีฌาณขั้นอุกฤษณ์) คนธรรมดาอย่างเราๆ ยากนักที่จะได้เป็นผู้ครอบครอง เพราะใช่ว่ามีเงินเพียงอย่างเดียวจะหามาไว้ในความครอบครองได้ง่ายๆๆ จะต้องเป็น "ผู้มีบุญญาธิการบารมี" และต้องมี "กรรมเก่าเกี่ยวกัน" จริงๆๆ จึงจะได้เป็นผู้ครอบครอง พระพญาเหล็กไหลนี้ มีคุณ 108 ประการตามแต่อธิษฐาน ท่านบอกว่าใครได้ครอบครองไว้จะมีอำนาจ บารมี เหนือผู้อื่นพกพาติดตัวแคล้วคลาดปลอดภัย กิจการงานเจริญก้าวหน้า เดินทางไปที่ใด มีเทพยดา ปกปักรักษา มีโชคลาภ เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง และพระพญาเหล็กนี้ใช่ว่ามีเงินแล้วจะได้ครอบครอง ล.พ.หวลท่านบอกว่าต้องมีบุญวาสนาแต่ชาติปางก่อนจึงได้ครอบครอบครอง

    (((ปิดรายการนี้ค่า)))
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2019
  11. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    ** ตะกุดเหล็กไหล วรรณะเจ้าน้ำเงิน **
    (หลวงพ่อหวล วัดพุทไธสวรรค์)
    อานุภาพของธาตุกายสิทธิ์ (พญาเหล็ก/เหล็กไหล)

    …"เหล็กไหล" เป็น โลหะธาตุแปลกประหลาดที่มีชีวิต เป็นวิบากของกฏแห่งกรรม บันดาลให้วิญญาณ อยู่ในสังสารวัฏ มาปฏิสนธิในสภาวะที่เป็นโลหะธาตุเหล็กไหล เคลื่อนไหวได้ เสพบริโภคผึ้งได้ ขับถ่ายได้ (เรียกว่าขี้เหล็กไหล)และสถานที่อยู่อาศัยนั้นชอบสถานที่สงบตามถ้ำ ดังนั้นจึง ถือได้ว่าเหล็กไหลเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกเทพ เป็นเทพที่มาใช้วิบากกรรมในโลก เหล็กไหลจึงมีทั้งเทพที่เป็นยักษ์ ที่เป็นคนธรรพ์คอยอารักขาอยู่ตลอดเวลา เหล็กไหลที่พบกันจึงมีหลากหลายชนิดที่ได้เห็นกัน เหล็กไหลเป็นธาตุที่ทรงอำนาจในการป้องกันตัว และ สิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ให้พ้นจากภัยอันตราย อันเกิดจาก "อาวุธปืน" หรือ "ของมีคม" และ "ศาสตราวุธ" ทุกชนิด "เหล็กไหล" เป็นสสารที่มีชีวิตเป็นอมตะ และ หาได้ยากยิ่ง ต้องมีพิธีกรรมมากมาย กว่าจะได้มา ฉะนั้น เหล็กไหลจึงเป็นวัตถุอาถรรพ์ที่มีราคาแพง เพราะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และ เป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เหล็กไหลมีอานุภาพยอดเยี่ยม สามารถคุ้มครองชีวิตผู้ที่มีเหล็กไหลไว้ในความครอบครองหรือพกพาติดตัว และจะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัยจาก "อุบัติภัยร้ายแรง" ต่างๆ รวมไปถึง "อาวุธร้ายแรง" นานาชนิด ได้อย่างอัศจรรย์นั่นเอง

    ผู้ที่จะทำพิธีตัดเหล็กไหลได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมชั้นสูง และต้องประพฤติปฏิบัติรักษาศีลได้อย่างมั่นคง ไม่มีจิตคิดละโมภ กล่าวคือ จะต้องขออนุญาตจาก "เทพยดา" ผู้ดูแลรักษาเสียก่อน เมื่อได้รับอนุญาตจึงค่อยทำพิธีตัดเอาได้ มิฉะนั้น หากเราขืนตัดเหล็กไหลด้วยกำลัง หมายแย่งชิงเอาโดยพละการ ถือดีในพระเวทย์ก็อาจมีเภทภัยถึงแก่ชีวิต หรือ เกิดความขัดแย้งในหมู่คณะจนถึงขั้นวิบัติเอาได้ ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเทพยดาผู้รักษาเหล็กไหลนั้นเอง

    หลวงพ่อหวลท่านได้เรียนวิชาอาคม สุดยอดวิชาอาคมที่เกือบจะเรียกว่าสาบสูญไปแล้ว ได้แก่วิชาอาคมเรียกและเชิญเหล็กไหล หรือพญาเหล็กไหลสุดยอดแห่งธาตุกายสิทธิ์ ที่ทุกคนต้องการได้มาครอบครอง วิชาอาคมเรียกหรือเชิญเหล็กไหลนั้นไม่ใช่จะเปิดเผยกันง่ายๆการเรียกหรือเชิญ เหล็กไหลก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ใครๆก็ทำได้ เหล็กไหลเป็นธาตุกายสิทธิ์…..ย่อมเป็นอันตรายต่อผู้ที่จิตไม่บริสุทธิ์ หากทำการเรียกหรืออัญเชิญเหล็กไหล อาจถึงตายได้ ซึ่งหลวงพ่อหวล แห่งวัดพุทไธสวรรค์ จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านได้เล่าเรียนศึกษาวิชา "การเรียกและตัดเหล็กไหล" จากศิษย์หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์ หลายท่านบอกว่าหลวงพ่อเดิมท่านชอบเล่นแร่แปรธาตุ บางคนตั้งให้หลวงพ่อเดิมท่านเป็นเทพเจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุเลยทีเดียว

    เหล็กไหลที่หลวงพ่อหวลได้ตัดไว้ มีด้วยกัน 3 วรรณะ ซึ่งแต่ละสีก็แบ่งแยกตามชั้นวรรณะของเหล่าบรรดา "เทพยดา หรือ ฤาษี" ที่ปกปักรักษา ได้แก่

    1.วรรณะเจ้าน้ำเงิน
    2.วรรณะท้องปลาไหล
    3.วรรณะเงินยวง

    และรูปแบบของเหล็กไหลที่ท่านตัดไว้มีหลายอย่าง อาทิเช่น แบบพิมพ์พระกริ่ง (นิยมสูงสุด และหายากมากที่สุด!!! ), พระพุทธ, แคปซูล, แหวน, กำไล, พระขรรค์ ,กรมหลวงชุมพร,หลวงปู่ทวด,รัชกาลที่ 5, พระสมเด็จ,พระนางพญา,พระผงสุพรรณ,พระซุ้มกอ,พระรอด,เจ้าแม่กวนอิม,พระ ขรรค์,ตรีสูญ,พระบูชา,พระสังกัจจายน์ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งเหล็กไหลแต่ละพิมพ์นั้น หลวงพ่อหวลจะต้องจัดสร้าง "หุ่นเทียน" ขึ้นมาไว้ก่อน จากนั้นหลวงพ่อท่านจึงนำเข้าไปในถ้ำกลางป่าลึก แล้วเมื่อท่านเจอ "เหล็กไหล" ท่านจึงทำ "พิธีอัญเชิญเหล็กไหล" ให้ "ไหลวิ่ง" ลงมาตามด้ายสายสิญจ์ โดยอัญเชิญให้เหล็กไหลวิ่งมาก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเอง เพื่อให้เราสามารถที่จะจับต้องเหล็กไหลเป็นรูปธรรมได้ ตามรูปแบบทรงพิมพ์ของหุ่นเทียนที่หลวงพ่อท่านได้ขออนุญาตจัดสร้างเตรียมขึ้น มา (หุ่นเทียน 1 อัน จะได้เหล็กไหล มาเพียงแค่ 1 ชิ้นเท่านั้น) ซึ่งพิธีในขั้นตอนนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "พิธีหุงเหล็กไหล" โดยเป็นวิธีการหุงแบบตามธรรมชาติ โดยให้เหล็กไหลวิ่งมาก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเอง ซึ่งในการทำพิธีแต่ละครั้ง ต้องใช้ "อำนาจพลังจิต" สูงมาก และเหล็กไหลที่ได้มาแต่ละชิ้นนั้น ต้องใช้ระยะเวลาในการหุงนานมาก จึงทำให้ในการทำพิธีแต่ละครั้งจะได้เหล็กไหลเพียงไม่กี่ชิ้น (โดยในแต่ละขั้นตอนในการทำพิธีนี้ ต้องเป็นผู้มีวิชาอาคมใน "การเรียกและตัดเหล็กไหล" โดยเฉพาะ) ไม่ได้มาทำกันเล่นๆๆ หรือ นำเหล็กมาปั๊ม หรือ นำมาหล่อ เหมือนอย่างพระเครื่องทั่วๆไป ซึ่งทำให้ "ของปลอม" ยากที่จะทำออกมาเลียนแบบได้ ซึ่งปัจจุบันเหล็กไหลของหลวงพ่อหวลนี้หายากมากๆๆ เดินตามสนามพระทั่วไปแล้ว ท่านจะไม่ได้พบเห็นเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เพราะเป็นที่หวงแหนของผู้ที่มีไว้ครอบครองเป็นอย่างยิ่ง ซึ่ง "เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ" นี้ เป็นเหล็กไหลที่หาได้ค่อนข้างยากมากๆๆๆ (เพราะมีระดับสภาวะ ขั้นสูงสุด 31 ภพภูมิ ทั้งยังมีเทพยดา และ ฤาษี ชั้น "มหาเทพ" และ "มหาฤาษี" ลงมาปกปักรักษามากที่สุดและจะพบ "เหล็กไหล 3 สี 3 วรรณะ" นี้ได้ ต้องเป็นถ้ำที่มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็นมาก และอยู่ในกลางป่าลึก บริเวณใจกลางหุบเขา "เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ" มีคุณวิเศษทางด้านเมตตาแรงมากๆๆ มหาเสน่ห์ขั้นสูง คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด เรียกโชคลาภขั้นสูง บันดาลทรัพย์สินเงินทอง ดลจิตดลใจ พลิกดวงชะตา จากตกต่ำให้เป็นสูงขึ้น (จากหน้ามือเป็นหลังมือ) เตือนภัยเมื่อมีเหตุคับขัน และสามารถล่องหนกำบังตัวหลบภัยได้ (ครบวงจร) ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม หรือ จะดลจิตดลใจของผู้ครอบครองเหล็กไหลนี้ ให้ตั้งมั่นอยู่แต่ในศีลในธรรม ในความดี มุ่งแต่สร้างบุญสร้างกุศล เพราะเกิดจากฤทธิ์ของมหาเทพและมหาฤาษีในขั้นระดับ “อรูปฌาณ” ที่มีบารมีธรรมสูงมาก ที่เป็นผู้ปกป้องครอบครองเหล็กไหลประเภทนี้ อยู่นั้นเอง

    "เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ" นี้ มักจะตกได้อยู่แต่ในความครอบครองของ "พระภิกษุ" หรือ "นักบวชต่างๆ" (ที่มีฌาณขั้นอุกฤษณ์) คนธรรมดาอย่างเราๆ ยากนักที่จะได้เป็นผู้ครอบครอง เพราะใช่ว่ามีเงินเพียงอย่างเดียวจะหามาไว้ในความครอบครองได้ง่ายๆๆ จะต้องเป็น "ผู้มีบุญญาธิการบารมี" และต้องมี "กรรมเก่าเกี่ยวกัน" จริงๆๆ จึงจะได้เป็นผู้ครอบครอง พระพญาเหล็กไหลนี้ มีคุณ 108 ประการตามแต่อธิษฐาน ท่านบอกว่าใครได้ครอบครองไว้จะมีอำนาจ บารมี เหนือผู้อื่นพกพาติดตัวแคล้วคลาดปลอดภัย กิจการงานเจริญก้าวหน้า เดินทางไปที่ใด มีเทพยดา ปกปักรักษา มีโชคลาภ เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง และพระพญาเหล็กนี้ใช่ว่ามีเงินแล้วจะได้ครอบครอง ล.พ.หวลท่านบอกว่าต้องมีบุญวาสนาแต่ชาติปางก่อนจึงได้ครอบครอบครอง

    (((ปิดรายการนี้ค่า)))
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2019
  12. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    ** ตะกุดเหล็กไหล วรรณะเจ้าน้ำเงิน **3
    (หลวงพ่อหวล วัดพุทไธสวรรค์)

    อานุภาพของธาตุกายสิทธิ์ (พญาเหล็ก/เหล็กไหล)

    …"เหล็กไหล" เป็น โลหะธาตุแปลกประหลาดที่มีชีวิต เป็นวิบากของกฏแห่งกรรม บันดาลให้วิญญาณ อยู่ในสังสารวัฏ มาปฏิสนธิในสภาวะที่เป็นโลหะธาตุเหล็กไหล เคลื่อนไหวได้ เสพบริโภคผึ้งได้ ขับถ่ายได้ (เรียกว่าขี้เหล็กไหล)และสถานที่อยู่อาศัยนั้นชอบสถานที่สงบตามถ้ำ ดังนั้นจึง ถือได้ว่าเหล็กไหลเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกเทพ เป็นเทพที่มาใช้วิบากกรรมในโลก เหล็กไหลจึงมีทั้งเทพที่เป็นยักษ์ ที่เป็นคนธรรพ์คอยอารักขาอยู่ตลอดเวลา เหล็กไหลที่พบกันจึงมีหลากหลายชนิดที่ได้เห็นกัน เหล็กไหลเป็นธาตุที่ทรงอำนาจในการป้องกันตัว และ สิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ให้พ้นจากภัยอันตราย อันเกิดจาก "อาวุธปืน" หรือ "ของมีคม" และ "ศาสตราวุธ" ทุกชนิด "เหล็กไหล" เป็นสสารที่มีชีวิตเป็นอมตะ และ หาได้ยากยิ่ง ต้องมีพิธีกรรมมากมาย กว่าจะได้มา ฉะนั้น เหล็กไหลจึงเป็นวัตถุอาถรรพ์ที่มีราคาแพง เพราะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และ เป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เหล็กไหลมีอานุภาพยอดเยี่ยม สามารถคุ้มครองชีวิตผู้ที่มีเหล็กไหลไว้ในความครอบครองหรือพกพาติดตัว และจะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัยจาก "อุบัติภัยร้ายแรง" ต่างๆ รวมไปถึง "อาวุธร้ายแรง" นานาชนิด ได้อย่างอัศจรรย์นั่นเอง

    ผู้ที่จะทำพิธีตัดเหล็กไหลได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมชั้นสูง และต้องประพฤติปฏิบัติรักษาศีลได้อย่างมั่นคง ไม่มีจิตคิดละโมภ กล่าวคือ จะต้องขออนุญาตจาก "เทพยดา" ผู้ดูแลรักษาเสียก่อน เมื่อได้รับอนุญาตจึงค่อยทำพิธีตัดเอาได้ มิฉะนั้น หากเราขืนตัดเหล็กไหลด้วยกำลัง หมายแย่งชิงเอาโดยพละการ ถือดีในพระเวทย์ก็อาจมีเภทภัยถึงแก่ชีวิต หรือ เกิดความขัดแย้งในหมู่คณะจนถึงขั้นวิบัติเอาได้ ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเทพยดาผู้รักษาเหล็กไหลนั้นเอง

    หลวงพ่อหวลท่านได้เรียนวิชาอาคม สุดยอดวิชาอาคมที่เกือบจะเรียกว่าสาบสูญไปแล้ว ได้แก่วิชาอาคมเรียกและเชิญเหล็กไหล หรือพญาเหล็กไหลสุดยอดแห่งธาตุกายสิทธิ์ ที่ทุกคนต้องการได้มาครอบครอง วิชาอาคมเรียกหรือเชิญเหล็กไหลนั้นไม่ใช่จะเปิดเผยกันง่ายๆการเรียกหรือเชิญ เหล็กไหลก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ใครๆก็ทำได้ เหล็กไหลเป็นธาตุกายสิทธิ์…..ย่อมเป็นอันตรายต่อผู้ที่จิตไม่บริสุทธิ์ หากทำการเรียกหรืออัญเชิญเหล็กไหล อาจถึงตายได้ ซึ่งหลวงพ่อหวล แห่งวัดพุทไธสวรรค์ จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านได้เล่าเรียนศึกษาวิชา "การเรียกและตัดเหล็กไหล" จากศิษย์หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์ หลายท่านบอกว่าหลวงพ่อเดิมท่านชอบเล่นแร่แปรธาตุ บางคนตั้งให้หลวงพ่อเดิมท่านเป็นเทพเจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุเลยทีเดียว

    เหล็กไหลที่หลวงพ่อหวลได้ตัดไว้ มีด้วยกัน 3 วรรณะ ซึ่งแต่ละสีก็แบ่งแยกตามชั้นวรรณะของเหล่าบรรดา "เทพยดา หรือ ฤาษี" ที่ปกปักรักษา ได้แก่

    1.วรรณะเจ้าน้ำเงิน
    2.วรรณะท้องปลาไหล
    3.วรรณะเงินยวง

    และรูปแบบของเหล็กไหลที่ท่านตัดไว้มีหลายอย่าง อาทิเช่น แบบพิมพ์พระกริ่ง (นิยมสูงสุด และหายากมากที่สุด!!! ), พระพุทธ, แคปซูล, แหวน, กำไล, พระขรรค์ ,กรมหลวงชุมพร,หลวงปู่ทวด,รัชกาลที่ 5, พระสมเด็จ,พระนางพญา,พระผงสุพรรณ,พระซุ้มกอ,พระรอด,เจ้าแม่กวนอิม,พระ ขรรค์,ตรีสูญ,พระบูชา,พระสังกัจจายน์ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งเหล็กไหลแต่ละพิมพ์นั้น หลวงพ่อหวลจะต้องจัดสร้าง "หุ่นเทียน" ขึ้นมาไว้ก่อน จากนั้นหลวงพ่อท่านจึงนำเข้าไปในถ้ำกลางป่าลึก แล้วเมื่อท่านเจอ "เหล็กไหล" ท่านจึงทำ "พิธีอัญเชิญเหล็กไหล" ให้ "ไหลวิ่ง" ลงมาตามด้ายสายสิญจ์ โดยอัญเชิญให้เหล็กไหลวิ่งมาก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเอง เพื่อให้เราสามารถที่จะจับต้องเหล็กไหลเป็นรูปธรรมได้ ตามรูปแบบทรงพิมพ์ของหุ่นเทียนที่หลวงพ่อท่านได้ขออนุญาตจัดสร้างเตรียมขึ้น มา (หุ่นเทียน 1 อัน จะได้เหล็กไหล มาเพียงแค่ 1 ชิ้นเท่านั้น) ซึ่งพิธีในขั้นตอนนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "พิธีหุงเหล็กไหล" โดยเป็นวิธีการหุงแบบตามธรรมชาติ โดยให้เหล็กไหลวิ่งมาก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเอง ซึ่งในการทำพิธีแต่ละครั้ง ต้องใช้ "อำนาจพลังจิต" สูงมาก และเหล็กไหลที่ได้มาแต่ละชิ้นนั้น ต้องใช้ระยะเวลาในการหุงนานมาก จึงทำให้ในการทำพิธีแต่ละครั้งจะได้เหล็กไหลเพียงไม่กี่ชิ้น (โดยในแต่ละขั้นตอนในการทำพิธีนี้ ต้องเป็นผู้มีวิชาอาคมใน "การเรียกและตัดเหล็กไหล" โดยเฉพาะ) ไม่ได้มาทำกันเล่นๆๆ หรือ นำเหล็กมาปั๊ม หรือ นำมาหล่อ เหมือนอย่างพระเครื่องทั่วๆไป ซึ่งทำให้ "ของปลอม" ยากที่จะทำออกมาเลียนแบบได้ ซึ่งปัจจุบันเหล็กไหลของหลวงพ่อหวลนี้หายากมากๆๆ เดินตามสนามพระทั่วไปแล้ว ท่านจะไม่ได้พบเห็นเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เพราะเป็นที่หวงแหนของผู้ที่มีไว้ครอบครองเป็นอย่างยิ่ง ซึ่ง "เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ" นี้ เป็นเหล็กไหลที่หาได้ค่อนข้างยากมากๆๆๆ (เพราะมีระดับสภาวะ ขั้นสูงสุด 31 ภพภูมิ ทั้งยังมีเทพยดา และ ฤาษี ชั้น "มหาเทพ" และ "มหาฤาษี" ลงมาปกปักรักษามากที่สุดและจะพบ "เหล็กไหล 3 สี 3 วรรณะ" นี้ได้ ต้องเป็นถ้ำที่มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็นมาก และอยู่ในกลางป่าลึก บริเวณใจกลางหุบเขา "เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ" มีคุณวิเศษทางด้านเมตตาแรงมากๆๆ มหาเสน่ห์ขั้นสูง คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด เรียกโชคลาภขั้นสูง บันดาลทรัพย์สินเงินทอง ดลจิตดลใจ พลิกดวงชะตา จากตกต่ำให้เป็นสูงขึ้น (จากหน้ามือเป็นหลังมือ) เตือนภัยเมื่อมีเหตุคับขัน และสามารถล่องหนกำบังตัวหลบภัยได้ (ครบวงจร) ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม หรือ จะดลจิตดลใจของผู้ครอบครองเหล็กไหลนี้ ให้ตั้งมั่นอยู่แต่ในศีลในธรรม ในความดี มุ่งแต่สร้างบุญสร้างกุศล เพราะเกิดจากฤทธิ์ของมหาเทพและมหาฤาษีในขั้นระดับ “อรูปฌาณ” ที่มีบารมีธรรมสูงมาก ที่เป็นผู้ปกป้องครอบครองเหล็กไหลประเภทนี้ อยู่นั้นเอง

    "เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ" นี้ มักจะตกได้อยู่แต่ในความครอบครองของ "พระภิกษุ" หรือ "นักบวชต่างๆ" (ที่มีฌาณขั้นอุกฤษณ์) คนธรรมดาอย่างเราๆ ยากนักที่จะได้เป็นผู้ครอบครอง เพราะใช่ว่ามีเงินเพียงอย่างเดียวจะหามาไว้ในความครอบครองได้ง่ายๆๆ จะต้องเป็น "ผู้มีบุญญาธิการบารมี" และต้องมี "กรรมเก่าเกี่ยวกัน" จริงๆๆ จึงจะได้เป็นผู้ครอบครอง พระพญาเหล็กไหลนี้ มีคุณ 108 ประการตามแต่อธิษฐาน ท่านบอกว่าใครได้ครอบครองไว้จะมีอำนาจ บารมี เหนือผู้อื่นพกพาติดตัวแคล้วคลาดปลอดภัย กิจการงานเจริญก้าวหน้า เดินทางไปที่ใด มีเทพยดา ปกปักรักษา มีโชคลาภ เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง และพระพญาเหล็กนี้ใช่ว่ามีเงินแล้วจะได้ครอบครอง ล.พ.หวลท่านบอกว่าต้องมีบุญวาสนาแต่ชาติปางก่อนจึงได้ครอบครอบครอง

    (((ปิดรายการนี้ค่า)))
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2019
  13. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    **เหรียญเจ้าสัว งานกฐิน ๓ พ.ย.ปี ๔๕**
    (หลวงปู่ชื้น วัดญานเสน อยุธยา)

    ประวัติหลวงปู่ชื้น พุทธสโร วัดญาณเสน จ.อยุธยา
    เมื่อก่อนปี พ.ศ. 2500 ที่วัดญาณเสน ต. ท่าวาสุกรี อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา มีพระอาจารย์ผู้เรืองวิชารูปหนึ่ง ชื่อ หลวงพ่อชื้น พุทธสโร ช่วยเหลือชาวบ้าน รักษาโรคภัยไข้เจ็บ ด้วยน้ำพระพุทธมนต์ มีชื่อเสียงมากในทางแก้คุณไสย ป้องกันภูตผีปีศาจ ถูกกระทำ โรคกรรมเก่า โรคจิตวิปริต จิตฟุ้งซ่าน คลอดลูกไม่ออก พ่นตาแดง รักษาฝี ฯลฯ
    เมื่อหลวงพ่อชื้นเสกน้ำมนต์ ให้ดื่มกินก็ปรากฏว่าหายวัน หายคืน เป็นไปอย่างน่าประหลาด เหล่าภูตผี เจ้าที่หรือวิญญาณที่มีสิงสู่ในตัวตน เมื่อรู้ว่ามีผู้นำน้ำพุทธมนต์เสกของ หลวงพ่อชื้น มา ก็รีบหนีไปผุดไปเกิดทันที จนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วตลาดหัวรอ ตลาดเจ้าพรหม
    ผู้ที่ชอบทางค้าขายหลวงพ่อก็จะเสกธะนางกวักเรียกคนเข้าร้านให้
    ผู้ที่ชอบทางโลดโผน ผจญภัย เป็นรั้วของชาติ ท่านก็สร้างตะกรุดโทนแจกให้
    เล่นแร่แปรธาตุ
    ในสมัยนั้นบรรดาเกจิอาจารย์นิยมเล่นแร่แปรธาตุ โดยนำโลหะต่างชนิดกันมาผสมกัน เพื่อให้เป็นทองคำให้เป็นแร่ธาตุกายสิทธิ์ผสมโลหะ 5 อย่าง 7 อย่าง 9 อย่าง ออกมาเป็นสัตตโลหะ นวโลหะ อย่างเช่น หอกของหลายชุมพล ปลายหอกทำด้วยสัตตโลหะ ใครที่ว่าเหนียว เมื่อเจอโลหะผสมก็เปื่อยเป็นเนื้อต้มทีเดียว หลวงพ่อชื้น ท่านก็ลองวิชาของท่านเหมือนกัน นำโลหะมาผสมได้เนื้อเหลืองทางทองคำก็มี เนื้อเหลือบใสแดงขาวก็มี ท่านเรียกโลหะของท่านว่า เนื้อลูกแก้ว ท่านผสมไว้มากมายใต้ถุนกุฏิ เมื่อใครมาขอท่านก็หลอมเป็นลูกอมเล็ก ๆ ให้พกติดตัว ผู้ที่ได้ไปก็แคล้วคลาดภัยอันตรายต่าง ๆ ถ้าวันใดว่าง ๆ ท่านก็จะให้ศิษย์ไปหาตะปูสังฆวานรตามเจดีย์ร้างเก่า ๆ มาหลอมรีดเป็นตะกรุด ผู้ได้ไปก็มีความคงกระพันชาตรี มหาอุด หยุดลูกปืน จนท่านทำให้แทบไม่หวาดไหว
    พระธุดงค์มาสอนธรรมะเพื่อความหลุดพ้น
    ต้นปี พ.ศ. 2500 มีพระธุดงค์รูปหนึ่งได้ธุดงค์ผ่านมาที่วัดญาณเสน พบกับ หลวงพ่อชื้นเข้าโดยบังเอิญ ท่านอาจารย์ทั้งสองเกิดถูกอัธยาศัยกัน จึงได้สนทนาธรรมกับผู้ศึกษาธรรมย่อมรู้ญาณซึ่งกันและกัน เพียงสนทนากันไม่กี่ประโยคก็ทราบได้ว่ามีความรู้เพียงใด บำเพ็ญเพียร มามากเพียงใด
    อาจารย์ต้องการศิษย์….ศิษย์ต้องการอาจารย์
    พระธุดงค์เปรยขึ้นมาว่า ที่ท่านชื้นได้ร่ำเรียนวิชามานั้น ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ในวัตถุ ต้องปล่อยปละละวาง ละความโลภ โกรธ หลง ทั้งปวง พร้อมทั้งแนะนำธรรมะ และข้อปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นอีกหลายข้อ ตามแนวทางของพระพุทธองค์หลวงพ่อชื้น จึงได้กราบขอเป็นศิษย์ พระธุดงค์รูปนั้นก็มิได้ปฏิเสธ และพูดว่า “นับเป็นกุศลของอาตมาที่จะได้ช่วยให้ผู้มีบุญวาสนาอยู่แล้วได้สำเร็จมรรคผล” นับแต่วันนั้นมาพระภิกษุทั้ง 2 รูป ก็ได้ทบทวนศีล 227 ข้อ พระธรรมวินัยต่าง ๆ ภายในพระอุโบสถ ครั้นยามค่ำคืนก็พากันนั่งสมาธิอยู่โคนต้นโพธิ์ ภายในวัดญาณเสน โดยที่หลวงพ่อชื้นจะภาวนาพระคาถาต่าง ๆ ไปด้วย และลงท้ายด้วยภาวนา นัตถิเม มีพระธุดงค์รูปนั้น ได้นั่งสมาธิคุมไปด้วย
    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.อยุธยา ยังบอกว่า "ถ้าข้าไม่อยู่แล้ว ให้ไปกราบพี่ชื้น วัดญาณเสน"
    หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา ยังได้บอกศิษย์ว่า ให้ไปทำบุญกับหลวงปู่ชื้น จ.อยุธยา
    หลวงปู่พรหมา เขมจาโร ยังให้ลูกศิษย์ที่เป็นฤาษี มาเก็บพระหลวงปู่ชื้น
    หลวงปู่แหวน วัดดอกแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ ยังเคยเอ็ดเอากับชาวอยุธยาว่า "ใกล้เกลือกินด่าง" หมายความว่า ชาวอยุธยาผู้นั้นเดินผ่านวัดหลวงปู่ชื้นกลับไม่รู้ว่ามีเพชรแท้อยู่หน้าบ้าน ตัวเอง แต่กลับไปกราบหลวงปู่แหวน ซึ่งห่างไปตั้งหลายร้อยกิโล
    ความสำเร็จ
    จนกระทั่งเวลาได้ผ่านไป 2 เดือน กับอีก 27 วัน หลวงพ่อชื้น ท่านก็ยังไม่ได้อะไร เพียงแต่ว่าจิตใจสบายและสงบขึ้น และในคืนวันที่ 27 นั้นตอนใกล้รุ่งที่โคนต้นโพธิ์ หลวงพ่อชื้น ท่านได้ยินเสียงเหมือนคนหว่านทรายมารอบ ๆ ตัวท่าน จึงลืมตาถาม พระธุดงค์ พี่เลี้ยงว่า “นั่นเสียงอะไร” พระธุดงค์ จึงตอบว่า “ผีประจำต้นโพธิ์มันจะเข้าต้นไม้ มันไล่ท่านแล้ว” คืนต่อมาหลวงพ่อชื้น จึงขอเข้ามานั่งสมาธิอยู่ในโบสถ์ จะได้ไม่ไปรบกวนเจ้าที่เจ้าทาง หลังจากนั่งในพระอุโบสถคืนที่ 3 ใกล้รุ่ง หลวงพ่อชื้น ก็นิมิตเห็น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งสมาธิลอยมา ถึง 3 พระองค์ และพระธรรมจักร เปล่งรัศมีโชติช่วง หมุนอยู่ระหว่างกลาง องค์พระทั้ง 3 พระองค์ เมื่อหลวงพ่อชื้นถอนสมาธิก็บังเกิดความสว่างขึ้นภายในดวงใจ เต็มไปด้วยความปิติ จะนึกสิ่งใดต้องการรู้สิ่งใดก็มีคำตอบขึ้นมาเสร็จ ท่านจึงได้เล่านิมิตให้พระธุดงค์ฟัง พระธุดงค์รูปนั้นท่านก็บอก ว่า “อาตมาหมดหน้าที่แล้ว อาตมาจะกลับไปที่บ้านเกิดของอาตมา ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดโบสถ์ อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา”
    พระอาจารย์มรณภาพ
    หลังจากวันนั้นแล้วพระธุดงค์องค์นั้นก็ธุดงค์กลับ แม้หลวงพ่อชื้นจะอ้อนวอนให้อยู่ต่อ เพื่อจะได้สนองคุณดูแลเมื่อยามแก่เฒ่า หลวงพ่อชื้น เล่าว่า พระธุดงค์องค์นี้ ชื่อ หลวงพ่อเสน เตชะธัมโม เป็นชาวโคราช อำเภอสูงเนิน มาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เล็ก ๆ กับพระยาท่านหนึ่ง ต่อมาได้อุปสมบทที่วัดบรมนิวาส ได้เล่าเรียนพระปริยัตธรรม วิปัสสนากรรมฐานอยู่กับ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) จนกระทั่งมีความคงแก่เรียน จึงได้ออกรุกขมูลธุดงค์หาความวิเวกไปตามสถานที่ต่าง ๆ จนกระทั่งบำเพ็ญเพียรถึงขั้นสูงสุดหลวงพ่อชื้น เล่าว่า ท่านได้ส่งกระแสจิตถึงกันอยู่เสมอ เพียงแต่นึกถึงกัน ก็สนทนากันได้แล้ว และหลังจากนั้นอีก 5 ปี พระอาจารย์เสน เตชะธัมโม ก็มรณภาพ ในท่านั่งสมาธิอยู่บนภูเขาแห่งหนึ่ง ในอำเภอสูงเนิน เมื่อหลวงพ่อชื้นทราบข่าว ก็ขึ้นไปทันที กว่าจะหาศพพบ ก็เป็นเวลา 7 วัน ปรากฏว่านั่งมรณภาพในขณะสมาธบำเพ็ญเพียรอยู่ในซอกหิน ศพไม่เน่าเปื่อยเหมือนคนหลับธรรมดา สัตว์ป่า หรือ มด แมลง ก็มิได้มาไต่ตอมหลวงพ่อชื้น ท่านก็ได้ช่วยทำการฌาปนกิจอย่างสมเกียรติ แล้วจึงเดินทางกลับ
    ผมเคยถามท่านด้วยตัวเองว่า พระของหลวงปู่กันนิวเคลียร์ได้ใช่ไหมครับ ท่านตอบว่า "ได้" และบอกว่า นิวเคลียร์เป็นพลังทางโลกจะสู้พลังทางธรรมไม่ได้!
    ********************
    คำอาราธนาพระเครื่อง
    ข้าพเจ้าขอพระบารมีคุณ
    พระพุทโธ พระธัมโม พระสังโฆ เป็นที่พึ่ง......... หรือ
    พุทธัง ฤทธิ ธัมมัง ฤทธิ สังฆัง ฤทธิ ชัยยะมังคะลัง
    เอหิ พุทธัง เอหิ ธัมมัง เอหิ สังฆัง เอหิ จิตตัง มะมะ เอหิ


    (((ปิดรายการนี้ค่า)))
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2019
  14. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    จัดส่ง

    - คุณจิรโรจน์ ED 5882 1448 5 TH
     
  15. KerNeLz

    KerNeLz สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +24
    จอง แหวนเหล็กไหล วรรณเงินยวง เบอร์ 52 ครับ
     
  16. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    รับทราบการจองค่า
     
  17. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    ** กำไรเหล็กไหล วรรณเงินยวง **
    (หลวงพ่อหวล วัดพุทไธสวรรค์)
    ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6.5 ซม.
    อานุภาพของธาตุกายสิทธิ์ (พญาเหล็ก/เหล็กไหล)

    …"เหล็กไหล" เป็น โลหะธาตุแปลกประหลาดที่มีชีวิต เป็นวิบากของกฏแห่งกรรม บันดาลให้วิญญาณ อยู่ในสังสารวัฏ มาปฏิสนธิในสภาวะที่เป็นโลหะธาตุเหล็กไหล เคลื่อนไหวได้ เสพบริโภคผึ้งได้ ขับถ่ายได้ (เรียกว่าขี้เหล็กไหล)และสถานที่อยู่อาศัยนั้นชอบสถานที่สงบตามถ้ำ ดังนั้นจึง ถือได้ว่าเหล็กไหลเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกเทพ เป็นเทพที่มาใช้วิบากกรรมในโลก เหล็กไหลจึงมีทั้งเทพที่เป็นยักษ์ ที่เป็นคนธรรพ์คอยอารักขาอยู่ตลอดเวลา เหล็กไหลที่พบกันจึงมีหลากหลายชนิดที่ได้เห็นกัน เหล็กไหลเป็นธาตุที่ทรงอำนาจในการป้องกันตัว และ สิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ให้พ้นจากภัยอันตราย อันเกิดจาก "อาวุธปืน" หรือ "ของมีคม" และ "ศาสตราวุธ" ทุกชนิด "เหล็กไหล" เป็นสสารที่มีชีวิตเป็นอมตะ และ หาได้ยากยิ่ง ต้องมีพิธีกรรมมากมาย กว่าจะได้มา ฉะนั้น เหล็กไหลจึงเป็นวัตถุอาถรรพ์ที่มีราคาแพง เพราะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และ เป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เหล็กไหลมีอานุภาพยอดเยี่ยม สามารถคุ้มครองชีวิตผู้ที่มีเหล็กไหลไว้ในความครอบครองหรือพกพาติดตัว และจะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัยจาก "อุบัติภัยร้ายแรง" ต่างๆ รวมไปถึง "อาวุธร้ายแรง" นานาชนิด ได้อย่างอัศจรรย์นั่นเอง

    ผู้ที่จะทำพิธีตัดเหล็กไหลได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมชั้นสูง และต้องประพฤติปฏิบัติรักษาศีลได้อย่างมั่นคง ไม่มีจิตคิดละโมภ กล่าวคือ จะต้องขออนุญาตจาก "เทพยดา" ผู้ดูแลรักษาเสียก่อน เมื่อได้รับอนุญาตจึงค่อยทำพิธีตัดเอาได้ มิฉะนั้น หากเราขืนตัดเหล็กไหลด้วยกำลัง หมายแย่งชิงเอาโดยพละการ ถือดีในพระเวทย์ก็อาจมีเภทภัยถึงแก่ชีวิต หรือ เกิดความขัดแย้งในหมู่คณะจนถึงขั้นวิบัติเอาได้ ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเทพยดาผู้รักษาเหล็กไหลนั้นเอง

    หลวงพ่อหวลท่านได้เรียนวิชาอาคม สุดยอดวิชาอาคมที่เกือบจะเรียกว่าสาบสูญไปแล้ว ได้แก่วิชาอาคมเรียกและเชิญเหล็กไหล หรือพญาเหล็กไหลสุดยอดแห่งธาตุกายสิทธิ์ ที่ทุกคนต้องการได้มาครอบครอง วิชาอาคมเรียกหรือเชิญเหล็กไหลนั้นไม่ใช่จะเปิดเผยกันง่ายๆการเรียกหรือเชิญ เหล็กไหลก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ใครๆก็ทำได้ เหล็กไหลเป็นธาตุกายสิทธิ์…..ย่อมเป็นอันตรายต่อผู้ที่จิตไม่บริสุทธิ์ หากทำการเรียกหรืออัญเชิญเหล็กไหล อาจถึงตายได้ ซึ่งหลวงพ่อหวล แห่งวัดพุทไธสวรรค์ จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านได้เล่าเรียนศึกษาวิชา "การเรียกและตัดเหล็กไหล" จากศิษย์หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์ หลายท่านบอกว่าหลวงพ่อเดิมท่านชอบเล่นแร่แปรธาตุ บางคนตั้งให้หลวงพ่อเดิมท่านเป็นเทพเจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุเลยทีเดียว

    เหล็กไหลที่หลวงพ่อหวลได้ตัดไว้ มีด้วยกัน 3 วรรณะ ซึ่งแต่ละสีก็แบ่งแยกตามชั้นวรรณะของเหล่าบรรดา "เทพยดา หรือ ฤาษี" ที่ปกปักรักษา ได้แก่

    1.วรรณะเจ้าน้ำเงิน
    2.วรรณะท้องปลาไหล
    3.วรรณะเงินยวง

    และรูปแบบของเหล็กไหลที่ท่านตัดไว้มีหลายอย่าง อาทิเช่น แบบพิมพ์พระกริ่ง (นิยมสูงสุด และหายากมากที่สุด!!! ), พระพุทธ, แคปซูล, แหวน, กำไล, พระขรรค์ ,กรมหลวงชุมพร,หลวงปู่ทวด,รัชกาลที่ 5, พระสมเด็จ,พระนางพญา,พระผงสุพรรณ,พระซุ้มกอ,พระรอด,เจ้าแม่กวนอิม,พระ ขรรค์,ตรีสูญ,พระบูชา,พระสังกัจจายน์ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งเหล็กไหลแต่ละพิมพ์นั้น หลวงพ่อหวลจะต้องจัดสร้าง "หุ่นเทียน" ขึ้นมาไว้ก่อน จากนั้นหลวงพ่อท่านจึงนำเข้าไปในถ้ำกลางป่าลึก แล้วเมื่อท่านเจอ "เหล็กไหล" ท่านจึงทำ "พิธีอัญเชิญเหล็กไหล" ให้ "ไหลวิ่ง" ลงมาตามด้ายสายสิญจ์ โดยอัญเชิญให้เหล็กไหลวิ่งมาก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเอง เพื่อให้เราสามารถที่จะจับต้องเหล็กไหลเป็นรูปธรรมได้ ตามรูปแบบทรงพิมพ์ของหุ่นเทียนที่หลวงพ่อท่านได้ขออนุญาตจัดสร้างเตรียมขึ้น มา (หุ่นเทียน 1 อัน จะได้เหล็กไหล มาเพียงแค่ 1 ชิ้นเท่านั้น) ซึ่งพิธีในขั้นตอนนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "พิธีหุงเหล็กไหล" โดยเป็นวิธีการหุงแบบตามธรรมชาติ โดยให้เหล็กไหลวิ่งมาก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเอง ซึ่งในการทำพิธีแต่ละครั้ง ต้องใช้ "อำนาจพลังจิต" สูงมาก และเหล็กไหลที่ได้มาแต่ละชิ้นนั้น ต้องใช้ระยะเวลาในการหุงนานมาก จึงทำให้ในการทำพิธีแต่ละครั้งจะได้เหล็กไหลเพียงไม่กี่ชิ้น (โดยในแต่ละขั้นตอนในการทำพิธีนี้ ต้องเป็นผู้มีวิชาอาคมใน "การเรียกและตัดเหล็กไหล" โดยเฉพาะ) ไม่ได้มาทำกันเล่นๆๆ หรือ นำเหล็กมาปั๊ม หรือ นำมาหล่อ เหมือนอย่างพระเครื่องทั่วๆไป ซึ่งทำให้ "ของปลอม" ยากที่จะทำออกมาเลียนแบบได้ ซึ่งปัจจุบันเหล็กไหลของหลวงพ่อหวลนี้หายากมากๆๆ เดินตามสนามพระทั่วไปแล้ว ท่านจะไม่ได้พบเห็นเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เพราะเป็นที่หวงแหนของผู้ที่มีไว้ครอบครองเป็นอย่างยิ่ง ซึ่ง "เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ" นี้ เป็นเหล็กไหลที่หาได้ค่อนข้างยากมากๆๆๆ (เพราะมีระดับสภาวะ ขั้นสูงสุด 31 ภพภูมิ ทั้งยังมีเทพยดา และ ฤาษี ชั้น "มหาเทพ" และ "มหาฤาษี" ลงมาปกปักรักษามากที่สุดและจะพบ "เหล็กไหล 3 สี 3 วรรณะ" นี้ได้ ต้องเป็นถ้ำที่มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็นมาก และอยู่ในกลางป่าลึก บริเวณใจกลางหุบเขา "เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ" มีคุณวิเศษทางด้านเมตตาแรงมากๆๆ มหาเสน่ห์ขั้นสูง คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด เรียกโชคลาภขั้นสูง บันดาลทรัพย์สินเงินทอง ดลจิตดลใจ พลิกดวงชะตา จากตกต่ำให้เป็นสูงขึ้น (จากหน้ามือเป็นหลังมือ) เตือนภัยเมื่อมีเหตุคับขัน และสามารถล่องหนกำบังตัวหลบภัยได้ (ครบวงจร) ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม หรือ จะดลจิตดลใจของผู้ครอบครองเหล็กไหลนี้ ให้ตั้งมั่นอยู่แต่ในศีลในธรรม ในความดี มุ่งแต่สร้างบุญสร้างกุศล เพราะเกิดจากฤทธิ์ของมหาเทพและมหาฤาษีในขั้นระดับ “อรูปฌาณ” ที่มีบารมีธรรมสูงมาก ที่เป็นผู้ปกป้องครอบครองเหล็กไหลประเภทนี้ อยู่นั้นเอง

    "เหล็กไหล ทั้ง 3 สี 3 วรรณะ" นี้ มักจะตกได้อยู่แต่ในความครอบครองของ "พระภิกษุ" หรือ "นักบวชต่างๆ" (ที่มีฌาณขั้นอุกฤษณ์) คนธรรมดาอย่างเราๆ ยากนักที่จะได้เป็นผู้ครอบครอง เพราะใช่ว่ามีเงินเพียงอย่างเดียวจะหามาไว้ในความครอบครองได้ง่ายๆๆ จะต้องเป็น "ผู้มีบุญญาธิการบารมี" และต้องมี "กรรมเก่าเกี่ยวกัน" จริงๆๆ จึงจะได้เป็นผู้ครอบครอง พระพญาเหล็กไหลนี้ มีคุณ 108 ประการตามแต่อธิษฐาน ท่านบอกว่าใครได้ครอบครองไว้จะมีอำนาจ บารมี เหนือผู้อื่นพกพาติดตัวแคล้วคลาดปลอดภัย กิจการงานเจริญก้าวหน้า เดินทางไปที่ใด มีเทพยดา ปกปักรักษา มีโชคลาภ เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง และพระพญาเหล็กนี้ใช่ว่ามีเงินแล้วจะได้ครอบครอง ล.พ.หวลท่านบอกว่าต้องมีบุญวาสนาแต่ชาติปางก่อนจึงได้ครอบครอบครอง
    (((ปิดรายการนี้ค่า)))
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN0459.jpg
      DSCN0459.jpg
      ขนาดไฟล์:
      93.8 KB
      เปิดดู:
      154
    • DSCN0458.jpg
      DSCN0458.jpg
      ขนาดไฟล์:
      89.7 KB
      เปิดดู:
      148
    • DSCN0463.jpg
      DSCN0463.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.2 KB
      เปิดดู:
      150
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2019
  18. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    **แก้วมณีรัตนะ&ลูกแก้วสารพัดนึก รุ่น ๒**
    (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงปลุกเสก)
    ปลุกเสกโดยพระราชพหรมยาน วัดท่าซุง เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๒๔

    เรื่องประวัติลูกแก้วมณีรัตนะ
    (คัดลอกจากหนังสือสมบัติพ่อให้ หน้า ๑๒๒-๑๒๔)

    ...ลูก แก้ว นี้มีประวัติมาจากไหน คือแก้วอาตมา มีอยู่ลูกหนึ่ง ไม่ทราบว่ามาจากไหน ทราบแต่ว่าเป็นของต้นตระกูลสืบต่อกันมาหลายชาติ ก็ขึ้นไปหาโยมท่านที่ดาวดึงส์ ไปถามโยมผู้ชายว่าโยมทราบประวัติของลูกแก้วนี้ไหม ท่านบอกว่า ท่านทราบประวัติแต่ไม่เคยใช้มาก่อน คนที่เคยใช้จริงๆ คือโยมผู้หญิง โยม ผู้หญิงท่านบอกว่า ท่านใช้มาแล้วหลายสิบชาติ และก็สมัยครองราชย์ ท่านบอกว่า เรามีแก้วลูกเล็กลูกเดียวประชากรในประเทศของเรายังไม่มีใครจนเลย ท่านเลี้ยงพอ ก็เลยถามประวัติความเป็นมา ท่านบอกว่า เดิมทีเป็นลูกแก้วลูกยอดของพระเจ้าจักรพรรดิ์ เลยถามท่านว่า เวลานี้แก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ์อยู่ที่ไหน ท่านบอกว่า อยู่ที่พระจุฬามณี จึงพาไปดู ความจริงสมัยของพระเจ้าจักรพรรดิ์ที่มีแก้วมณี มีพระขรรค์แก้ว มีเกือกแก้ว มีจักรแก้ว แต่ว่าทั้ง ๔ อย่างนี้อยู่คนละที่ มีเทวดารักษาอยู่ ถ้าใครจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ เทวดาก็จะนำทั้ง ๔ อย่างมามอบให้ แต่ว่าพระเจ้าจักรพรรดิ์คนนั้นตาย คนอื่นจะรับมรดกแทนไม่ได้ ...เทวดาต้องเอาของเขากลับคืนไป เทวดาท่านต้องหวงแหน เพราะว่าของ ๔ อย่างนี้ ต้องเป็นของคนที่มีบุญพอจึงจะครองไว้ได้

    สร้าง วัดท่าซุงในตอนแรก หลวงปู่ชุ่มท่านเอามาให้ เมื่อวันที่ท่านจะกลับท่านขึ้นไปหาบนห้อง ท่านบอกว่า "น้อง ไม่ช้าพี่ก็ตาย อยู่ไม่ได้ แต่ว่าน้องจะต้องอยู่อีกนาน" ประวัติเดิม เคยเกิดเป็นพี่น้องกันมา ท่านก็เลยนำแก้วออกมา บอกว่า "แก้วลูกนี้เป็นของต้นตระกูล สืบต่อกันมาหลายชาติ น้องจงรักษาไว้ เมื่อมีลูกแก้วนี้แล้ว จะทำอะไรก็สำเร็จทุกอย่าง"


    ลักษณะ: ลูกแก้ว กลมเกลี้ยง ใส มีสีเขียวอ่อน เส้นผ่านศูนย์กลาง ๑.๔ ซ.ม. ปลุกเสกโดยมีลูกแก้วจักรพรรดิ์ของหลวงพ่อฤาษีเป็นองค์ประธาน มีอานุภาพถึงร้อยละ ๙๙ ของลูกแก้วจักณพรรดิ์องค์ประธาน เพราะพระพุทธเจ้าทรงช่วยสงเคราะห์ด้วยบารมีของพระองค์ เท่ากับว่ามี "ลูกแก้วจักพรรดิ์" ไว้ในครอบครองเลยทีเดียว

    อานุภาพ: มีอานุภาพครอบจักรวาล แล้วแต่จะอธิฐาน เช่น มหาลาภ แคล้วคลาด กันภัย รักษาโรค สามารถนำไปเลี่ยมอาธนาห้อยคอ ทำเป็นเข็มกลัด หรือเครื่องประดับอื่นๆ ได้ ตามความต้องการ

    "ผู้ที่ได้ไปก็ประสพผลในด้านต่าง ๆ ทั้งลาภผล แคล้วคลาด คงกระพัน เป็นสารพัดนึกจริง ๆ หลวงพ่อจึงเรียกว่า“แก้วมณีรัตนะ” คือ เหมือนกับมีแก้วจักรพรรดิไว้ในครอบครองนั่นเอง..." พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ ๒๘ มีนาคม ๒๕๓๓

    วิธีการใช้ลูกแก้ว
    (คัดลอกบางตอนจากหนังสือสมบัติพ่อให้ หน้า ๑๒๑ )

    ..."ก่อน ที่จะภาวนาคาถาให้มองดูลูกแก้วเสียก่อน จำภาพแก้วได้ ก็หลับตานึกถึงภาพแก้วนั้นแล้วก็ภาวนา นี่ทำเป็นกรรมฐาน จะภาวนา พุทโธ หรือ นะมะพะทะ ว่าได้ทุกอย่างเพราะว่าแก้วเป็นอาโลกกสิณ สำหรับอาโลกสิณนี่เป็นกสิณพื้นฐานของทิพจักขุญาณ หากว่าขณะที่หลับตาภาวนา ภาพลูกแก้วเลือนไปจากใจ ให้ลืมตาดูใหม่ จำภาพลูกแก้วแล้วภาวนาต่อไป จนกระทั่งภาพลูกแก้วติดตาติดใจ คราวหลังเราไม่ต้องมองดูลูกแก้ว แต่นึกภาพลูกแก้วได้เป็นปกติอย่างนี้ท่านเรียกว่า อุคหนิมิต อุคหนิมิตนี่เป็น อุปจารสมาธิ เป็นผลของทิพจักขุณาณ เมื่อทำอย่างนี้เรื่อยๆ ไปจนกระทั่งภาพลูกแก้วติดตาติดใจอยู่เสมอ ต่อมาก็อธิฐานให้ลูกแก้วโตขึ้น ก็จะเห็นภาพลูกแก้วโตขึ้น อธิฐานให้เล็กลงก็จะเล็กลง ให้อยู่สูงก็อยู่สูง ให้อยู่ต่ำก็อยู่ต่ำ อยู่หน้าก็ได้ อยู่หลังก็โด้ตามชอบใจ อย่างนี้เป็น ปฏิภาคนิมิต ถือว่าเป็นนิมิตสูงสุดส่วนหนึ่ง..."

    "ใน เมื่อเห็นลูกแก้วชัดเจนแจ่มใสดีเท่าไหร่ ความเป็นทิพจักขุญาณของท่านพุทธบริษัทที่จะเห็นภาพอื่นก็จะเห็นชัดเจนเท่า นั้น แต่ว่าถ้าเห็นลูกแก้วชัดเจนดีแล้ว ต่อไปก็อธิฐานขอให้ภาพลูกแก้วหายไป ขอภาพของพระพุทธเจ้าจงปรากฏ ในเมื่อเห็นภาพของพระพุทธเจ้าปรากฏแทน ขอให้อธิฐานให้พระองค์โตขึ้น ภาพของพระพุทธเจ้าโตขึ้น ขอให้พระองค์ทรงเล็กลง ก็เล็กลง ให้สูงให้ต่ำได้ตามความต้องการ อย่างนี้ถือว่าถึง ที่สุด ของ มโนมยิทธิ

    ถ้า ทำมโนมยิทธิได้ตามนี้แล้วจึงเคลื่อนออก ถ้าเคลื่อนไปไหนจิตกับกายจะตัดกันเด็ดขาด คือว่าไป สุดตัว ถ้าไปสุดตัวก็จะได้พบทุกอย่าง จะพบเทวดา จะพบพรหมก็ดี พบพระอรหันต์ก็ดี เราก็จะมีสภาพไปนั่งคุยกันอย่างสบาย เหมือนนั่งคุยกันอยู่นี่ ถือว่าเป็นการเต็มมโนมยิทธิที่ศึกษา เพราะมโนมยิทธิที่ศึกษากันอยู่เวลานี้ เราใช้กำลังครึ่งเดียว..."

    "แต่ว่าเพื่อผลประโยชน์ของบรรดาท่านพุทธบริษัทว่า

    "ทุก คนยังต้องกินต้องใช้ พระพุทธเจ้าก็ทรงห่วงเหมือนกัน ท่านถือว่าถ้าทุกคนยากจนเสียจริงๆ ไม่มีกินมีใช้ การเจริญสมาธิก็ไม่มีผล เพราะมีความเดือดร้อน"

    ฉนั้น ท่านจึงแนะนำว่า ถ้า ทำสมาธิในด้านของกรรมฐานครบถ้วนพอใจแล้ว หลังจากนั้นให้ต่อด้วย คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า (คาถาเงินล้านปัจจุบัน) และเวลาที่เจริญพระกรรมฐานทรงฌาณเท่าไร คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าก็จะทรงฌาณเท่านั้น เมื่อคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าทรงเป็นฌาณ การเงินของท่านพุทธบริษัทจะมีการคล่องตัวดีมาก ถ้าปฏิบัติได้เป็นฌาณจริงๆ คือ เห็นภาพชัดจริงให้สังเกตุดูว่า หลังจากทำไป ๓ เดือน ผลการปฏิบัติลาภสักการะจะเกิด การเงินไม่ฝืดเคือง ยิ่งทำนานมากเงินก็จะยิ่งขังตัว..."

    "เงิน เดือนที่ไม่ค่อยพอเดือน มันก็จะเริ่มพอเดือน เดือนหน้ากับเดือนหลัง มันสวัสดีกันได้ก็พอตัวแล้ว ต่อมาเจ้าเดือนหน้ามันไม่ยอมไป เดือนใหม่ก็ยังมีมาอีก มันเริ่มขังตัว มันเริ่มขังตัวแน่นะ รวมความว่า มันนอนคุยกันในกระเป๋าได้ ทำตามนี้มีผลจริงๆ นะ และวิธีที่ใช้เงินในคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีแบบหนึ่ง ซึ่งเคยได้กล่าวไว้แล้ว.."

    แก้ว มณีรัตนะรุ่น ๑ หลวงพ่อได้เมตตาทำแก้วมณีรัตนะให้ลูกหลานครั้งแรก เมื่อปี ๒๕๑๗ โดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านไปหาซื้อเองจากตลาดจังหวัดชัยนาท ลูกแก้วท่านได้มาเป็นลูกแก้วใสที่มีแก้วสีรูปเกลียวมะเฟืองด้านใน

    แก้ว มณีรัตนะรุ่น ๒ เป็นแก้วกลมใสและสีเขียวอ่อน ปลุกเสกเมื่อ วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ แก้ว มณีรัตนะมีอีกหลายรุ่นหลายแบบ มีทั้งทำด้วยแก้ว แก้วเจียระไน และเพชรรัสเซีย และมีประกอบเป็นเครื่องประดับต่างๆ เช่น จี้ห้อยคอ ต่างหู แหวน เข็มกลัดติดเสื้อ

    (((ปิดรายการนี้ค่า)))
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2019
  19. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    ** น้ำมันชาตรี **
    (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ปลุกเสก)
    ผลของน้ำมันมนต์

    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง น้องชายของลูกชื่อ "นายสมนึก แดงสี" เป็นคนรับจ้างขับมอเตอร์ไซด์ในซอย ปรากฏว่าเมื่อไม่นานมานี้ ขับไปสวัสดีกับปิกอัพ ผลปรากฏว่าสลบไสล ตื่นมาก็กลายเป็นคนอัมพาตทั้งเนื้อทั้งตัว บังเอิญลูกมีโอกาสไป วัดท่าซุง คราวงานเป่ายันต์เกราะเพชร เช่าน้ำมันมนต์ หลวงปู่ปาน ที่วัดมาขวดหนึ่ง พอทาปุ๊บปรากฏได้ผลคือ ขณะนี้แกนั่งได้แล้ว พูดจาเป็นปกติ ทีนี้ต่อไปลูกจะเอาอีกขวดหนึ่ง แต่จะเอาจริง ๆ

    หลวงพ่อ : จริง ๆ เบาไป ต้องเเกล้ง ไอ้เเกล้งมันหนักกว่าจริง ๆ เกล้งให้เดินได้ทำงานได้อยู่เป็นปกติ แล้วต่อไปเอาอีกขวดหนึ่งเกล้งให้รวย อีกขวดหนึ่งแกล้งให้ถูกหวยทุกงวด ( หัวเราะ) ต้องแกล้งมันแรงกว่าธรรมดา ๆ จริง ๆ มันเบา ท่านอนุโลมนะ เกรงจะชอกช้ำ ถ้าแกล้งไม่กลัวช้ำ มีความเข้มแข็ง

    ผู้ถาม : นี่เขาเล่าให้ฟังนะ หมดกันเป็นหมื่น ๆ แหม....แค่น้ำมันขวดเดียว สิบบาท ยี่สิบบาทไม่ได้ ไม่เป็นที่พอใจ หลวงพ่อ : ความจริงจ่ายไม่ครบนะ น้ำมันเขาแพงกว่านั้น (หัวเราะ) ใช่ถ้าหวยก็ราคาแพง ถ้าไม่หายก็เฉย ๆ ไว้ เดี๋ยวเขาจะด่าเอา (หัวเราะ) _________________________________________
    ผลของน้ำมันชาตรี

    ผู้ถาม : กราบเท้านมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่ามันที่ ๒๖ ต.ค . ๒๕๓๔ เดือนที่ผ่านมานี้ ผมได้มีโอกาสขี่จักยานยนต์ไปด้วยความรวดเร็ว เพราะว่าจะซื้อยามาให้คนป่วยที่บ้าน ด้วยความเร็วปรากฏว่า รถจิ๊ปคันหนึ่งก็มาด้วยความเร็ว มันหับผมสวัสดีกันกลางทาง ปรากฏว่าล้อรถของผมน่ะ ข้างหน้าข้างหลังอยู่กันคนละทางเลย คนมาดูนึกว่า เละตุ้มเป๊ะแล้ว! ปรากฏว่าผมลุกขึ้นมาปัดแข้งปัดขา เดินด้วยความสบายใจไม่เป็นอะไรเลย ตำรวจมาถามว่า " คุณ! ไอ้คนที่ตายตรงนี้ไปอยู่ที่ไหน?" ผมก็ตอบว่า "ไม่รู้ครับ แต่ไอ้คนที่ขี่รถคันนี้คือผมเอง" ตำรวจถามผมว่า "เอ๊งเป็นลูกศิษย์ใครมีดีอะไร ?" ผมตอบว่า "ผมเป็นลูกศิษย์ น้ำมันชาตรี" ถามว่า "พระองค์นี้อยู่วัดไหน ?" ผมนึกไม่ถูกเลยไปบอกเขาว่า "วัดท่าบุง"

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ) ใช่ได้ ๆ ๆ ดีเขาไม่บอกวัดขวดเอานะ ผู้ถาม : แล้วบอกว่าอยู่จังหวัดนครสวรรค์

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ) ได้เรื่อง! วัดท่าบุง นครสวรรค์ ใช้ได้

    ผู้ถาม : ถ้าหากว่าตำรวจคนนั้นไปเอา น้ำมันชาตรี คงไปหาทั้งจังหวัด แล้วก็ ตำรวจเขาเลยบอกว่า จะขอจดที่อยู่วัดไว้ ผมก็นึกได้ตอนหลังว่าอ่านหนังสือแล้วไม่ใช่ ผมก็นึกวิตกว่า ตำรวจคนนั้นคงไปหาที่นครสวรรค์แล้วก็สุดท้ายขอกราบขอบพระคุณ น้ำมันชาตรี ของหลวงพ่อด้วย ผมมีเทคนิคในการใช้ดังต่อไปนี้ครับ ตืนเช้าขึ้นมารีบกินก่อน มันจะชนเมื่อไหร่ผมไม่กลัวแล้ว แปลกจริง ๆ นะครับ ที่หลวงพ่อเคยพูดอะไร เบา อะไรนะ ?

    หลวงพ่อ : ชาตรีนี่เขาเรียก "ลูกเบา" อันเดียวกัน เวลาถูกแล้วมันรู้สึกเบา ไม่หนัก รู้จักลูกเบาไหม ? " ..ถ้าบุคคลใดกำลังใจไม่เข้มแข็ง ก็ให้นึกถึงน้ำมันมนต์แล้วว่า อิติปิ โส ตามนั้น แล้วก็สวด นะมะพะธะ เหมือนกัน เอาน้ำมนต์มาทาที่ศีรษะเล็กน้อยอย่างนี้ทุกวัน ทำทุกวัน กฏของฏรรมจะคลายตัว.."

    (((ปิดรายการนี้ค่า)))
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN0591.jpg
      DSCN0591.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.4 KB
      เปิดดู:
      159
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2019
  20. สกล06

    สกล06 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +76
    จอง ** น้ำมันชาตรี **
    (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ปลุกเสก)
     

แชร์หน้านี้

Loading...