ลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3 หน้า 149 ของข้าพเจ้า

สายวัดป่าพากันใช้พระคาถาโมรปริตร

โดยคาถานี้เป็นคาถาที่ปรากฏอยู่บนหลังเหรียญเกือบทุกรุ่นของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร โดยหัวใจของคาถาบทนี้คือ"นะโมวิมุตตานัง นะโมวิมุตติยา" อันมีความหมายว่า "ความนอบน้อมของข้าฯ จงมีแต่ผู้วิมุตแล้วทั้งหลาย ความนอบน้อมของข้าฯ จงมีแต่วิมุตตฺธรรม"

ข้อดีคือ จะไม่ฝันร้าย ที่เคยสวดก่อนนอนนะครับ

 

พระคาถาโมรปริตร มีข้อควรระวังในการใช้ตรงที่ ตอนเช้าถ้าจะสวดพระคาถานี้
ต้องสวดก่อนรับประทานอาหารครับ และพระคาถาจะคุ้มครองแค่พระอาทิตย์ขึ้น

ส่วนพระอาทิตย์ตกดินต้องสวดใหม่อีกรอบก่อนนอนครับ แต่ตัวผมสวดแค่ตอนเช้า ก่อนนอนสวดบทอื่นมากกว่าครับ

 

มีดหมอด้ามงา

 

เมื่อวานหลังไปสวดมนต์เย็นที่วัดแล้วเสร็จ เลยมารื้อหิ้งพระดู มีมีดหมอด้ามงาอยู่หนึ่งด้าม

เลยอาธนาดูว่า ใช้ได้ดีในทางใด (ปกติไม่ค่อยสนใจวัตถุมงคล)

มีดหมอด้ามงานั้น ถูกปลุกเสกด้วยวิชาป้องกันตัว แต่แปลกอย่างหนึ่ง มีดหมอด้ามงานั้น พระคาถาที่ใช้ แปลกดีคล้ายๆพวกคาถาประจำตัวของเหล่าเทพ เทวาในระดับต่างๆ

มีดหมอด้ามงานั้น น่าจะใช้ป้องกันคุณไสยได้ระดับหนึ่ง ด้วยพระคาถาที่ถูกประจุไว้ครับ

 

ทุกวันนี้ผมก็อารธนาท่านครับ วันไหนไม่อารธนา มีแต่เรื่องวุ่นวายครับ เพราะที่ทำงานมีแต่พวกพูดจาภาษามนุษย์รู้เรื่องกันได้น้อยมากครับ

 

สาธุ ครับท่าน

 

รูปแบบปฏิทินปี ๒๕๖๒ ทำบุญร่วมสร้าง
หลวงปู่เคลือบ วาจาสิทธิ์ องค์ใหญ่
ณ.วัดหนองกระดี่ใน อ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี
#มาแล้วจร้าาาาาาา

 

ผมประทับใจไม่มีวันลืม

ที่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสเข้ารับการศึกษา ที่ สถาบันพลังจิตตานุภาพ สาขาวัดแหลมทอง หลักสูตรครูสมาธิ รุ่นที่ 35 และได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานรุ่น ต่อมาก็ได้รับการคัดเลือก ให้เป็นอาจารย์สอนหลักสูตรครูสมาธิ ของทางสถาบันฯด้วย

เมื่อมีการเดินธุดงค์ ณ ดอยอินทนนท์ เพื่อให้จบหลักสูตร ผมได้เป็นตัวแทนของสาขา ได้มีโอกาส กล่าวแสดงความรู้สึก ต่อหน้าหลวงพ่อวิริยังค์ และคณะ ที่เดินธุดงค์จากไทย และต่างประเทศ ร่วม 6,000 คน
ความรู้สึกในครั้งนั้น ประทับใจอย่างสูงสุด ปิติทุกครั้งเมื่อนึกถึงวันดังกล่าว

ถ้ามีโอกาสก็ลองสละเวลา เรียนหลักสูตรครูสมาธิกันสิครับ ณ สาขาใกล้บ้านท่าน

ดูเพิ่มเติมที่ลิงค์นี้
http://www.samathi.com/2016/

 

ครูบาอาจารย์ ให้พรปีใหม่ และมอบของขวัญสำคัญ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม 2562

ขอตั้งสมญานามองค์นี้ ว่า
"องค์ประกายแก้ว"
เพราะมีพระธรรมธาตุ เป็นประกาย ยิย ยับ ทั่วทั้งองค์

 

นำมาให้เพื่อนๆ ได้รับรู้ "คาถาพระกาฬ."..ของหลวงพ่อกวย..มีความหมายแบบนี้ ครับ..เพื่อนๆ ค่อยๆอ่านแล้วจะรู้ ..นะครับ///.." สวดเพื่อป้องกันตัวเอง " นะครับ..สาธุๆๆ..

ขอยคุณ คุณแป๊ะ ปากช่อง ผู้เผยแพร่ครับ

 

บทสำคัญ หลวงพ่อกวย

 

ร่วมรำลึกครบรอบวันละสังขาร
๑๗ มกราคม ๒๕๓๓
นะโม พรหมปัญโญ
กราบหลวงปู่ครับ

....."ข้าจะไปแล้วนะ อย่าทิ้งการปฏิบัติ ให้เหมือนนักมวยขึ้นเวทีแล้วต้องชก อย่ามัวแต่ตั้งท่า ” หลวงปู่ดู่พูดสอนไว้ครั้งสุดท้ายก่อนละสังขาร

นับตั้งแต่ พ.ศ. 2527 เป็นต้นมาสุขภาพหลวงปู่ดู่เริ่มทรุดโทรม เนื่องการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ด้วยเหตุจากการที่ต้องต้อนรับแขก และบรรดาศิษย์ทั่วทุกสารทิศ ที่นับวันก็ยิ่งหลั่งไหลกันมานมัสการท่านมากขึ้นทุกวัน แม้บางครั้งจะมีโรคมาเบียดเบียนอย่างหนัก ท่านก็อุตส่าห์ออกโปรดญาติโยมเป็นปกติ พระที่อุปัฏฐากท่าน เล่าว่า บางครั้งถึงขนาดที่ท่านต้องพยุงตัวเองขึ้นด้วยอาการสั่น และมีน้ำตาคลอเบ้า ท่านก็ไม่เคยปริปากให้ใครต้องเป็นกังวลเลย ภายหลังตรวจพบว่า หลวงปู่ดู่ เป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว แม้ว่าทางคณะแพทย์ จะขอร้องท่านให้เข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่ท่านก็ไม่ยอมไป

ประมาณปลายปี พ.ศ.2532 หลวงปู่ดู่พูดบ่อยครั้ง เกี่ยวกับการที่ท่านจะละสังขาร ซึ่ง ในขณะนั้นหลวงปู่ดู่ท่านได้ใช้หลักธรรม ขันติ คือความอดทนอดกลั้นระงับ ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นจากโรคภัย จิตของท่านยังทรงความเป็นปรกติสงบเย็น จนทำให้คนที่แวดล้อมท่านไม่อาจสังเกตเห็นถึงปัญหาโรคภัยที่คุกคามท่านอย่างหนัก

วันอังคารที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2533 ช่วงเวลาบ่ายนั้น มีนายทหารอากาศผู้หนึ่งมากราบท่านเป็นครั้งแรก หลวงปู่ดู่ท่านได้ลุกขึ้นนั่งตอนรับ ด้วยใบหน้าที่สดใส ราศีเปล่งปลั่งเป็นพิเศษ จนบรรดาศิษย์ เห็นผิดสังเกต หลวงปู่ยินดีที่ได้พบกับศิษย์ผู้นี้ ท่านว่า “ต่อไปนี้ ข้าจะได้หายเจ็บไข้เสียที ” คืนนั้นมีคณะศิษย์มากราบท่าน ท่านได้พูดว่า “ ไม่มีส่วนใดในร่างกายที่ไม่เจ็บปวดเลย ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้าห้อง ICU ไปนานแล้ว ” พร้อมทั้งพูดหนักแน่นว่า “ข้าจะไปแล้วนะ” และกล่าวปัจฉิมโอวาทย้ำให้ทุกคนตั้งอยู่ในความไม่ประมาท “ถึงอย่างไรก็ขอให้อย่าได้ละทิ้งการปฏิบัติ ได้ชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติ ก็เหมือนนักมวย ขึ้นเวทีแล้วต้องชก อย่ามัวแต่ตั้งท่า เงอะๆ งะๆ” หลังจากคืนนั้นหลวงปู่ดู่ก็กลับเข้ากุฏิ และละสังขารไปด้วยอาการสงบด้วยโรคหัวใจ ในกุฏิท่านเมื่อเวลาประมาณ 5 นาฬิกา ของ วันพุธที่ 17 มกราคมพ.ศ. 2533 รวมสิริอายุได้ 85 ปี 8 เดือน 65 พรรษา ยังความเศร้าโศกและอาลัยแก่ ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างยิ่ง อุปมาดั่งดวงประทีปที่เคยให้ความสว่าง ดับไป แต่เมตตาธรรมและคำสั่งสอนของท่านยังปรากฏ อยู่ในดวงใจของ ศิษยานุศิษย์ตลอดไปการบำเพ็ญกุศลสวดสังขารธรรมของท่านตลอดเวลา 459 วันมิได้ขาดเจ้าภาพแม้แต่วันเดียว และได้รัพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษจากในหลวงรัชกาลที่ ๙ ในวันเสาร์ที่ 20 เมษายน 2534

ที่มาจาก หนังสือ”ตามรอยธรรมย้ำรอยครู หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ”

 

ท่านเป็นผู้ให้ และมีเมตตาอย่างสูงส่งต่อศิษย์อย่างยิ่ง
สาธุ สาธุ สาธุ

 

"นะโมวิมุตตานัง นะโมวิมุตติยา"
๑๔๙ปี ชาตกาล หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

 

สาธุ สาธุ สาธุ

 

สัจจะธรรม#(นักข่าวถามว่า) หลวงพ่อไม่รู้เหรอว่า...
การทำรูปเหรียญวัตถุมงคล
เป็นการทำให้คนหลงติดในวัตถุ

#หลวงพ่อคูณ...(ตอบ)
รู้... กูรู้ก่อนมึงโน่น แต่กูก็ทำ
เพราะกูทำแล้วกูได้เงินมาสร้างโรงพยาบาล
สร้างโรงเรียน ให้คนยากคนจนมัน
ถ้ากูไม่ทำแล้วใครจะทำ...
หรือมึงจะทำ ถ้ามึงจะทำแล้วกูจะเลิก

#หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ

 

สมเด็จองค์ปฐม รุ่น1 (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

สมเด็จองค์ปฐม รุ่นแรก (จักรพรรดิ์พระเครื่องวัดท่าซุง) ถือว่าเป็นวัตถุมงคลอันดับหนึ่งของวัดท่าซุงที่ลูกหลานหลวงพ่อต้องการบูชา สร้างด้วยเนื้อทองเหลืองชุบทอง จำนวนการสร้างประมาณ 3,000องค์ ขนาดฐานกว้าง 1.75ซม. ขนาดความสูง 3.3ซม. ใต้ฐานบรรจุเม็ดกริ่ง ฝากริ่งเป็นตัวอักษรอ่านว่า “นะ” เขียนเป็นภาษาขอม ทำมาจากเนื้อทองแดงเพียงอย่างเดียว ลักษณะฝาปิดกริ่งจะมี 3แบบ คือ

1. ฝากริ่งแบบตัว นะ ตัวใหญ่
2. ฝากริ่งแบบตัว นะ กลาง
3. ฝากริ่งแบบตัว นะ ตัวเล็ก

ส่วนฐานด้านหลังเขียนคำว่า “สมเด็จองค์ปฐม วัดท่าซุง”

หลวงพ่อได้ประกอบพิธีพุทธาภิเษกที่วิหารแก้ว 100 เมตร เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ.2535 ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา (ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ) และตรงกับวันที่ได้อัญเชิญพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ขนาดหน้าตัก ๔ ศอก ขึ้นประดิษฐ์สถาน ณ วิหารสมเด็จองค์ปฐม วัดท่าซุง ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ทำพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2535 โดยการณ์นี้ได้นิมนต์ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น) วัดสามพระยา มาร่วมเป็นประธานจับสายสิจน์ และอธิษฐานจิตในงานหล่อพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม และท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ท่านยังกล่าวว่า “พระองค์นี้บูชาให้ดี จะมีลาภมาก” ……..

หลวงพ่อปรารภหลังจากพิธีพุทธาภิเษกระหว่างเจริญศรัทธาที่ตึกรับแขกว่า…..พระรุ่นนี้ สมเด็จองค์ปฐมท่านเสด็จลงมาจากพระนิพพานด้วยพระองค์เอง และพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ เสด็จลงมาจากพระนิพพานทั้งหมด พรหมและเทวดาทั่วจักรวาลก็มากันหมด ถึงเวลาพุทธาภิเษกด้านลาภ พระพุทธเจ้าด้านลาภมากที่สุดคือพระพุทธกัสสป พระพุทธทีปังกรท่านมาด้านหน้า หลวงพ่อท่านเปรียบเทียบให้ฟังว่า พระสีวลีพระอรหันต์ที่มีลาภมากยังนั่งไปไกลมากมองไม่เห็น และรุกขเทวดาที่อยู่ในวัดตามต้นไม้ออกไปไกลมากเลยตลาดอุทัยธานีไปอีก วัดตามกำลังบารมีและความสว่าง หมายถึงท่านใดมีลาภมากก็จะอยู่ด้านหน้า ซึ่งวัดท่าซุงกับตลาดอุทัยห่างกันประมาณ 10กิโลเมตร ….พุทธคุณเต็มเปี่ยม จะหาวัตถุมงคลใดๆในพื้นพิภพนี้จะเทียบเท่าได้

สมเด็จองค์ปฐมท่านสร้างบารมี 40อสงไขยกำไรแสนกัลป์ มากที่สุด เป็นบรมครูองค์แรกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด ภายหลังจากพิธีพุทธาภิเษกเสร็จ หลวงพ่อยังกล่าวให้ลูกหลานฟังอีกว่า….

“ผู้มีสมเด็จองค์ปฐมไว้บูชา หากใครก็ตามไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ก็ดี อมนุษย์ก็ดี หรือสัตว์ร้ายก็ดี มีจิตคิดร้ายกับเราจะร้อนรุ่มจนทนไม่ได้ ต้องถอยไปในที่สุด”

******************************************************

คำสอนสมเด็จองค์ปฐมบรมครู (สมเด็จพระพุทธสิขีทศพล ที่ 1)

หลวงพ่อได้เมตตา สรุปใจความสั้นๆ ตามที่ท่านเทศน์ไว้ดังนี้…..

“ท่านทั้งหลาย การหลบหลีก ไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น เป็นของไม่ยาก
1. ขอทุกท่าน จงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้(ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหมในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพานแล้ว ตั้งใจไปพระนิพพานโดยเฉพาะ เท่านี้ทุกท่านจะหนีอบายภูมิพ้น และไปพระนิพพานได้ในที่สุด”

หมายเหตุ : เทศน์ที่ ”เทวสภา” วันที่ 8 สิงหาคม 2535 เวลา 8.00 น. พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน เมตตาเล่าให้ลูกหลานฟัง เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2535 เวลา 21.00 น.

**************************************

 

หลังหลวงพ่อฤษีลิงดำ ท่านนิพพาน หรือมรณภาพ ผมเป็นหนึ่งในศิษย์ ที่ได้มีโอกาศอุปสมบทหมู่ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ทานด้วย

หลังพิธีลาสิกขา ผมและเพื่อนๆ พากันไปกราบอำลา หลวงพ่ออนันต์ พอดีกับท่านได้นำเอาพระสมเด็จองค์ปฐมรุ่นนี้ ออกมาให้กับผู่ที่ทราบข่าว เขณะขั้นยังไม่มีใครทราบเท่าใดนัก รู้ในวงจำกัด เพราะมีจำนวนน้อย

ผมจึงขอแบ่งบูชามา 5 องค์

องค์ที่จัดแสดงนี้ ดี 1 ใน 5 องค์ ซึงเคยเป็นของผมเอง ซึ่งในเวลาต่อมาไม่นาน ผมได้มอบให้กับอาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์ ที่บ้านพักข้าราชการจงของท่านที่ จ.อยุธยา

เมื่อไม่กี่วัน น้องแพท ซึ่งเป็นหลานแท้ๆของอาจารย์ ได้นำมาลงในเฟส และได้ระบุว่า พระองค์นี้ คฝที่คุณอามนตรี ใหักับลุงงัย คุณลุงฝากถามด้วยว่า คุณอา เจอภาพถ่าย พิธีวันเปิดโลกรึยัง

ผมรู้สึกปลี้มปิติ ขนลุกทันที ที่ ครูบาอาจารย์ที่ผมนับถือมากท่สนหนึ่ง ยังเก็บรักษาไว้ และยังระลึกถึงผมอยู่เสมอ

จึงขอบันทึกไว้ณ ที่นี้

 

อาจารย์ศุภรัตน์ หรือ ชื่อปัจจุบันคือ อาจารย์ศุภกฤษณชัยวงศ์ แสงจันทร์ เป็นใคร
ท่านคงสามารถค้นหาอ่านในกูเกิ้ลได้ไม่ยาก

แต่ที่ผมทราบ
(โปรดใช้วิจารณญาน)
อาจารย์เป็นรุ่นพี่ มหาวิทยสลัยเชียงใหม่ของผม
ท่านก็เป็นศิษย์รุ่นแรกๆของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ก่อนท่านมาพบหลวงปู่ดู่
ท่านฝึกมโนมยิทธิ โดยตรงจากหลวงพ่อ
ในอดีตชาติ
ท่านเคยเกี่ยวพันกับ ทั้งหลวงพ่อฤๅษี และหลวงปู่ดู่อย่างแน่นแฟ้น
ท่านเคยเป็นลูกชายคนหนึ่งของขุนแผน มีบทบาทมากท่านหนึ่ง
ท่านเคยช่วยประเทศไทยกู้ชาติมาแล้ว

ท่านเป็นศิษ์ผู้ใกล้ชิดท่านหนึ่งของหลวงปู่ดู่ ที่ท่านไว้วางใจอย่างมาก และช่วยหลวงปู่เป็นพยานในความศักดิ์สิทธิ ในพิธีการปลุกเสกวัตถุมงคลเกือบทุกครั้ง
ท่านเป็นคนสร้างพระเนื่อปูนแบบถอดพิมพ์ที่โด่งดัง และนิยมหลายรุ่น โดยเฉพาะ พระเหนือพรหม ปี 2517 รวมถึงลูกอมรุ่นต่างๆ
ท่านเป็นผู้จารเหรียญเปิดโลก ปี 2532 ทุกเหรียญ

อีกมากมายที่ยังบันทึกไม่หมดครับ
สามารถ ติดตาม ร่วมบุญ ตามปฎิปทาของท่านได้ โดย แทกติดตาม แฟนเพจ ที่ชื่อ

#บ้านพุทธฉัตร
#ม่อนแก้วจอมมณี

สาธุ สาธุ สาธุ