รับสมัคร ผู้ร่วมบุญแจกพระ สมเด็จองค์ปฐม

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย เอกณัฐยศ, 13 สิงหาคม 2008.

  1. peephong99

    peephong99 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +82
    ลำดับที่ 19

    พีระพงษ์ สมส่งกุล
    65 ซอยอุดมสุข 51
    บางจาก พระโขนง
    กทม 10260

    ขออนุโมทนาบุญและขอบคุณมากครับ
    ขอให้ท่านและครอบครัวมีความสุข และเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป
     
  2. chodchoi

    chodchoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,288
    ค่าพลัง:
    +148
    ลำดับ 20 chodchoi
    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ
    ได้ส่งกล่องให้เป็นที่เรียบร้อยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2008
  3. เอกณัฐยศ

    เอกณัฐยศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,628
    ค่าพลัง:
    +9,666
  4. ถังไม้

    ถังไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +167
    เรียนถาม พระอาจารย์ท่านใดปลุกเสก หรือเข้าพิธีไหน
    เวลาแจกจะได้บอกถูกครับ
     
  5. nrngy

    nrngy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +659
    ส่งกล่องพร้อมพลาสติกกันกระแทกไปให้แล้วนะคะ (2 ชุด) ของลำดับที่ 3
    กับลำดับที่ 6 พอดีไปรษณีย์เหลือซองขยายข้างเพียงซองเดียวก็เลยส่งไปในซองเดียวกันพร้อมเงิน 100 บาท ขอบคุณค่ะ
     
  6. เอกณัฐยศ

    เอกณัฐยศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,628
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ผู้สร้างไม่ประสงค์จะออกนาม สำหรับผู้ปลุกเสก ได้อัญเชิญ สมเด็จองค์ปฐมมาปลุกเสก หลวงปู่ดู่ วัดสะแก รวมถึงครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ได้อันเชิญเทพพรหมมาสถิตย์รักษา


    มวลสารของพระสมเด็จองค์ปฐม

    1.ผงจักรพรรดิ์ ตามสูตรหลวงปู่ดู่
    2.ผงแป้งเสกพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร
    3.ผงแป้งเทพรัญจวน

    4.ทรายสุวรรณมงคล (ทรายทองคำ)
    5.ว่านสาวหลง 6.พระธาตุเขาสามร้อยยอด ฯลฯ


    เพียงแค่มีพระธาตุเขาสามร้อยยอดก็สุดยอดแล้ว เพราะมีเทวดารักษาพระธาตุอยู่

    คุณวิเศษแห่งหินพระธาตุ

    อำนาจของหินพระธาตุเขาสามร้อยยอดนั้นมีมากมายเหลือคณานับ
    แต่หากจะทำการสรุปอานุภาพแห่งหินพระธาตุเขาสามร้อยยอดแล้ว

    สามารถสรุปได้ ๙ ประการด้วยกัน คือ

    ๑.ดีทางร่มเย็นเป็นสุข บังเกิดความเย็นใจแก่ผู้ที่เป็นเจ้าของ
    หากใครได้สัมผัสหินเสมอๆ จะทำให้สงบในใจแก่ผู้นั้น

    ๒.ช่วยในการเจริญสมาธิภาวนา เรียกว่าเจริญในธรรม

    ๓.เป็นเมตตามหานิยมอย่างเอกอุ ทำให้ผู้ที่พบเห็นเราเกิดความรักใคร่อยากช่วยเหลือ
    แต่ไม่เด่นทางเสน่หา หรือเรื่องรักใคร่ทางชู้สาว

    ๔.ดีทางคุ้มครอง เป็นแคล้วคลาด
    คือผู้ที่พกพาผินพระธาตุเขาสามร้อบยอดจะไม่พานพบสิ่งเลวร้ายอุบัติเหตุ สามารถรอดตัวโดยไม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เลย และยังดีทางคงกระพัน คือแม้ว่าต้องผจญด้วยเหตุการณ์อันไม่อาจหลบเลี่ยงได้แล้วก็เป็นคงกระพันรอดตัวมาได้เสมอ

    ๕.ดีทางโชคลาภ
    หินพระธาตุเขาสามาร้อยยอด เป็นสื่อนำสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต เรียกว่า ในหินพระธาตุนั้น มีกายสิทธิ์ภาคผู้เลี้ยงรักษาอยู่ภายในผู้ที่หมั่นนำเอาหินนี้มาสวดมนต์ภาวนา นำมาพกติดตัวเสมอๆมักได้โชคได้ลาภไมขาดเลย

    ๖.ดีทางสมบูรณ์ด้วยสุขภาพพลานามัย เนื่องจากหินพระธาตินี้เป็นสิ่งที่สะสมปราณ ฟ้าดิน พระอาทิตย์ พระจันทร์ ขุนเขา ทะเล มานานนับร้อยปีพันปี นับเป็นระยะเวลาไม่ได้
    จึงทำให้มีพลังชีวิตแห่งจักรวาลอยู่ในตัวอย่างสูงส่ง ผู้ที่พกหินนี้หรือมีหินพระธาตุอยู่ใกล้ๆตัวย่อมเป็นผู้ได้รับกระแสพลังปราณอันลี้ลับ พลอยทำให้สุขภาพสมบูรณ์ห่งไกลจากโรคภัยไข้เจ็บมีอายุยืนนาน

    ๗.ดีทางเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานประสบความสำเร็จในชีวิต
    หินพระธาตุเขาสามร้อยยอด จะมีลักษณะเด่นคือ เมื่อนำหินมาเจียแล้วจะมีลักษณะคล้ายพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ทรงกลด อันเป็นมงคลลักษณะที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของลายหิน โดยลักษณะดังกล่าวนร้ เป็นลักษณะแห่งพลังธรรมชาติที่นำพาความรุ่งเรืองความสำเร็จมาสู่ผู้บูชา

    ดังนั้นพลังลี้ลับศักดิ์สิทธิ์จากหินเขาสามใร้อยยอดจึงเป็นแรงผลักดันอย่างลี้ลับในการนำพาชีวิตของผู้นั้นไปสู่ความเจริญในหน้าที่การงานและความสำเร็จในชีวิต

    ๘.หินพระธาตุเขาสามร้อยยอด เป็นหินแห่งญาณทัศนะ
    ข้อดีในความหมายนี้คือ ผู้ที่พกพาหินพระธาตุเป็นประจำ จะบังเกิดญาณหยั่งรู้ที่พิเศษกว่าปุถุชน สามารถรู้เหตุดีร้อยล่วงหน้า เนื่องจากกระแสญาณบารมีจากเทพเซียนที่รักษาหินนั้นจะคอยสอดญาณหยั่งรู้หรือบันดาลเทพสังหรณ์ให้แก่ผู้นั้น นับเป็นคุณวิเศษอันลี้ลับของหินพระธาตุเขาสามร้อยยอด

    ๙.ค้ำคูณดวงชะตาไม่ให้ตกต่ำ
    คนที่รู้ว่าดวงชะตาตนเองไม่ดีหรือชงกับปีนั้นๆหากได้หินพระธาตุเขาสามร้อยยอดมาบูชา อำนาจจากอริยะธาตุแห่งหินเขาสามร้อยยอดจะทำการเกื้อหนุนดวงชะตาของท่านไม่ให้ตกต่ำลงไป ผ่อนหนักเป็นเบาสามารถรอดพ้นจากอำนาจ จากดวงดาวหรือผ่อนปรนภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นกับตัวท่านได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 สิงหาคม 2008
  7. เอกณัฐยศ

    เอกณัฐยศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,628
    ค่าพลัง:
    +9,666
    คาถาบูชาสมเด็จองค์ปฐม

    นะโม กาเยนะ วาจายะ เจตะสา วา วะชิรัง นามะ ปะฏิมัง อิทธิธรรมะปาฏิหาริยะกะรังสมเด็จพ่อองค์ปฐมต้นพุทธะรูปัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา อะหัง วันทามิ สัพพะโส สะทา โสตถี ภะวันตุ เม


    คาถาแผ่เมตตาขอบารมีสมเด็จองค์ปฐม
    สวดอย่างน้อย 9 จบ อย่างมากตลอดเวลา

    นะโมพระพุทธสิกขีพระพุทธเจ้า ขอได้โปรดดลบันตาลให้สรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก ได้หลุดพ้น
    จากภัยพิบัติวัฏฏสงสารโดยสิ้นเชิงด้วยพระบารมีมิอาจประมาณ
    ลูกขอนอบน้อมนมัสการด้วยจิตใจ ขอให้ลูกมีจิตสะอาดสว่างใส
    หลุดพ้นไซร้สู่บ้านนิพพานเทอญ สัมปะจิตฉามิ

    ที่มา http://lovetaro.blogspot.com/
     
  8. เอกณัฐยศ

    เอกณัฐยศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,628
    ค่าพลัง:
    +9,666
    แจ้งการส่งพระสมเด็จองค์ปฐมฝังพระธาตุเขาสามร้อยยอด
    ครั้งที่ 1 วันที่ 19/8/51

    1 วิภาวี ณรงค์ใย<O:p</O:p
    2 สาคร สินบำรุง<O:p</O:p
    3 อนุภาพ ไชยอินปั๋น<O:p</O:p
    4 ฐิติพลทัต ชดช้อย<O:p</O:p
    5 พีระพงษ์ สมส่งกุล<O:p</O:p
    6 สิริญชา แก้วศรี<O:p</O:p
     
  9. banjerdw

    banjerdw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2008
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +1,110
    วันนี้ได้จัดส่งกล่องพร้อมเงินแล้ว คาดว่าอีกวันมะรืนคงถึงนะครับ
     
  10. เอกณัฐยศ

    เอกณัฐยศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,628
    ค่าพลัง:
    +9,666
    คำสอนของสมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ปฐมโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    "ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านที่มาประชุมทั้งหมด จะเป็น เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ขอทุกท่าน จงอย่าลืมความตาย นั่นหมายถึงว่า การจุติ ลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง จงดูภาพมนุษย์ว่า มนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ เมืองมนุษย์มีแต่ความทุกข์ ต้องประกอบกิจการงานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวังทุกอย่าง ต้องใช้แรงงาน แต่ว่ามาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า ทุกอย่างหมดสิ้น นั่นหมายความ ไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด ร่างกายอิ่มเป็นปกติ ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่นไม่ต้องห่มผ้าและมีความปรารถนาสมหวัง ก็หมายความถ้าจะไปทางไหน ก็สามารถลอยไปถึงที่นั่นได้ทันทีทันใด ความป่วยไม่มี ความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นทิพย์อย่างนี้ท่านทั้ง หลายจงอย่ามัวเมา จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่า เราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาล ตลอดสมัย

    ทั้งนี้เพราะอะไรเพราะอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีอายุจำกัดตามบุญวาสนาบารมี ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้อง จุติ คือ ตาย แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงอย่าลืมว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมด ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด แม้แต่จะเป็นพระอริยเจ้าที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มาก จงอย่าลืมว่าทุกท่านยังมีบาปติดตัวอยู่ และการสะสมบาปมาเป็นชาติๆ ยังมีมากมาย "

    (พอพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาก็ใช้กำลังใจ ดูร่างกายเทวดา นางฟ้ากับพรหม เห็นเงาบาปอยู่ในหนามาก เป็นอันว่า ทุกองค์ ต่างองค์ ต่างมีบาป แต่ก็มา เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ แล้วก็ดูตัวเอง เวลานั้น ร่างกายของตัวเอง ก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกัน ต่อไปองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงตรัสว่า)

    " ภิกขุเว..ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย (เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์) และท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด จงอย่าลืมว่า ทุกท่าน มีบาป ติดตัวมามากมาย อาศัยบุญเล็กน้อย ก่อนจะตาย จิตใจนึกถึงบุญก่อน จึงได้มาเกิด บนสวรรค์บ้าง มาเกิดบนพรหมบ้าง ถ้าหากว่า ท่านจุติเมื่อไร โน่น..นรก (ท่านชี้มือลงเห็นนรกไฟสว่างจ้า แดงฉานไปหมด) ท่านทั้งหลาย จะต้องพุ่งหลาว ลงนรก เพราะใช้กฎของกรรมคือบาป ชำระหนี้บาป กว่าจะมาเกิดเป็นคนก็นานหนักหนา และมาเป็นคนแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะ ได้กลับมาเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหมใหม่ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่า เป็นคนอาจจะทำบาปใหม่ อาจลงนรกไปใหม่ก็ ได้ฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ มาอยู่สวรรค์ก็ดีพรหมก็ดี เป็นทางครึ่งหนึ่งของนิพพาน ระหว่างมนุษย์กับนิพพานเป็น อันว่า ท่านทั้งหลายได้ครึ่งทาง การมาได้ครึ่งทางของท่าน ท่านทั้งหลายจงดูนั่น นิพพาน "
    (ท่านยกมือชี้ขึ้น ให้ดูพระนิพพาน เวลานั้นเทวดา นางฟ้า กับพรหมทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกันเห็นพระนิพพาน ไสวสว่างจ้า มีวิมานสีเดียวกันคือ สีแก้ว แพรวพราว เป็นระยับ เป็นแก้วสีขาว พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่อยู่ที่นั่น มีความสุขขนาดไหนมี ความเข้าใจหมด รู้หมดเห็นหมดแล้วองค์สมเด็จพระบรมสุคต ก็ทรงกลับมาพูดกับเทวดากับนางฟ้าใหม่ว่า)

    "ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้าการจุติมีคราวนี้ถ้าบุญวาสนาบารมี ของเรานี้ สิ้นสุดลงเราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์เรา จะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่ไปเกิดเป็นพรหม เราต้องการไปพระนิพพานจุดเดียว และ การไป นิพพานนี่ ท่านทั้งหลายต้องยึด อารมณ์พระนิพพาน เป็นสำคัญ สำหรับพรหมก็ดี เทวดานางฟ้าเก่าๆ ก็ดี อาตมาไม่หนักใจ ทั้งนี้เพราะมีความเข้าใจแล้ว ก็แสดงว่า พรหม เทวดา นางฟ้าเก่าๆ เป็นพระอริยเจ้ามาก ที่มีความเป็นห่วง ก็เป็นห่วง เทวดา นางฟ้าใหม่ๆ ที่มาเกิดใหม่ๆ จะหลงความเป็นทิพย์ นั่นหมายความจะมีความเพลิดเพลิน ในความเป็นทิพย์ ยังมี ความรู้สึกว่าเราจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไป จะไม่มีการจุติ จะไม่มีการเคลื่อนอันนี้เป็นความเห็นที่ผิด จงคิดตามนี้ เพื่อพระนิพพาน นั่นคือ จงมีความรู้สึกว่า เราจะต้องจุติวันนี้ ไว้เสมอ และอาการของชีวิตนี่ เป็นของที่ไม่แน่นอน เราจะ ตายเมื่อไหร่ก็ ได้ ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่ เป็นของไม่เที่ยง

    เมื่อคิดอย่างนี้แล้วทุกท่านจงอย่าประมาท จงใช้ปัญญาพิจารณาความดี ของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่าท่าน ทั้งหลายควรจะเคารพไหม ถ้าจิตใจของท่าน มีความศรัทธา มีความเคารพ ในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ก็เป็นอาการ ขั้นที่สอง ที่ท่านจะไปนิพพานได้ หลังจากนั้น ขอท่านทั้งหลาย จงทรงศีลให้บริสุทธิ์ จะเป็น ศีล 5 ก็ตาม ศีล 8 ก็ตาม กรรมบถ ศีล 10 ก็ตาม ศีล 227 ก็ตาม

    (พอท่านพูดถึงศีล 227 ก็คิดในใจว่า เทวดาจะไปบวช ที่ไหนองค์สมเด็จพระจอมไตรก็หันหน้ามาตรัสว่า)

    " ฤาษี.. เทวดา เขาไม่ต้องบวช อย่างเทวดา ชั้นยามาก็ดี ชั้นดุสิตก็ดี อย่างนี้ เขามีศีลครบถ้วน บริบูรณ์ทั้ง 227 เหมือนกับ ความเป็นพระ พรหมก็ตามก็เช่นเดียวกัน ทุกท่านอยู่ด้วย ธรรมปีติ ทุกท่านอยู่ด้วยความสุขเขาไม่อาบัติ สิ่งที่จะเป็นอาบัติไม่มี สิ่งที่จะเป็นบาปไม่มี "

    (แล้วท่านก็กลับ หันหน้าไปหาเทวดา นางฟ้า กับพรหมว่า)
    " ขอทุกท่านจงอย่าลืมคิดว่า เราจะเป็นผู้มีศีล ให้ตั้งเฉพาะศีล 5 ก็ดี ศีล 8 ก็ได้ ศีล 10 ก็ได้ กรรมบถ 10 ก็ได้ ศีล 227 ก็ ได้ตั้งใจไว้ว่า เราจะไม่ละเมิดศีล หลังจากนั้นจึงมีจิตใช้ปัญญาคิดว่า การเกิดเป็นเทวดาก็ดีเป็นนางฟ้าก็ดีมีสภาพไม่เที่ยง จะต้องมีการจุติเป็นวาระสุดท้ายในเมื่อการจุติเกิดขึ้น อารมณ์จะทุกข์ จงคิดไว้เสมอว่า เราจะต้องจุติ ในเมื่อเราจะต้องจุติ เราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เราจะไม่เกิดเป็นมนุษย์

    ท่านทั้งหลายจงดูภาพของมนุษย์ (แล้วพระองค์ก็ชี้มาที่เมืองมนุษย์) มนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวายมนุษย์เต็มไปด้วยความ โสโครก มนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์เต็มไปด้วย การงานต่างๆ มนุษย์ มีความหิว มีความกระหาย มีความอยาก มีความต้องการไม่สิ้นสุด สิ่งทั้งหลายที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้วจะเป็นทรัพย์สินยังไงก็ตามในเมื่อเราตายจากความเป็นมนุษย์เรา ก็หมดสิทธิ์ อย่างบางท่านเป็น พระมหากษัตริย์ อยู่ในพระราชฐานดีๆ สร้างไว้เป็นเป็นที่หวงแหนคนภายนอกเข้าไม่ได้เข้า ได้แต่คนภายใน แต่ว่าท่านทั้งหลาย เมื่อตายมาแล้ว กลับไปเกิดเป็นคน หากว่า ท่านไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ ตามเดิม ท่านเป็นประชาชนคนภายนอก ท่านจะไม่มีสิทธิ์ เข้าเขตนั้นเลย ทั้งๆ ที่เป็นของที่ท่าน สร้างเอาไว้ ท่านทำเอาไว้ทุกอย่าง แล้วท่านจะไม่มีสิทธิ นี่ความไม่แน่นอนของความเป็นมนุษย์ มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นคนก็ต้องหยุด ต้องเดินไปเดินมาทำกิจการงานทั้งวัน เพื่อผลประโยชน์หน่อยเดียว คือ เงิน ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ เพราะมีความจำเป็นต้องหาเงิน (ในเมื่อท่านตรัสอย่างนี้แล้วก็บอกว่า)

    จงอย่าคิดเป็นมนุษย์ต่อไป ตัดความเป็นมนุษย์เสียเลิกความหมาย ความเป็นมนุษย์ เห็นว่าโลกมนุษย์ เป็นทุกข์ มนุษย์มี สภาพไม่เที่ยง ไม่มีการทรงตัว มีความเกิดขึ้นและมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย ในการพลัดพรากจากของ รักของชอบใจ มีความตายในที่สุด และจงอย่าอยากเป็นเทวดาอยาก เป็นนางฟ้า เป็นพรหมต่อไป เพราะเทวดา นางฟ้ากับ พรหม ก็มีสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน

    เมื่อมีความเกิดขึ้นไนเบื้องต้น ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปธรรมดา ก็มีความจุติไปในที่สุด ทุกคนหวังนิพพานเป็นที่ไปตั้งใจ ไว้เสมอว่า
    เราจะเป็นผู้มีศีล เราจะนับถือ พระไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วก็เราจะต้องจุติในวัน ข้างหน้า ตถาคตมีความรู้สึกว่า ท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดานางฟ้าพรหมเก่าๆ มีความเข้าใจดีแล้ว คำว่าเข้าใจบรรดาท่านพุทธ บริษัทหมายถึงว่าเขาปฏิบัติได้นี่คือ อารมณ์พระโสดาบัน กับ อารมณ์พระอรหันต์ สำหรับเทวดานางฟ้าและพรหมใหม่ๆ จงตั้งใจไว้เสมอว่า จงลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง ตั้งใจคิดว่า ความสุขที่ได้มานี่ เราได้มาจากบุญเล็กน้อยเท่านั้น และบาปใหญ่ที่ขังอยู่ที่ตัวเรายังมีอยู่ ถ้าเราเผลอไม่สร้างความดีใน เมื่อจุติความเป็นเทวดา หรือพรหมในภพนี้แล้ว ทุกคนจะต้องลงอบายภูมิ จงดูภาพนรกว่า ขุมไหนบ้างที่น่าอยู่น่ารักมัน ไม่น่าอยู่ไม่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงานเราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ และก็ดูเทวดานางฟ้ากับพรหม มนุษย์ที่เดินเกลื่อนกล่นทุกคน อยู่ในเมืองมนุษย์ เคยเป็นเทวดาเคย เป็นนางฟ้า เคยเป็นพรหมมาแล้ว แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงตั้งใจไว้เฉพาะนิพพาน

    จงดูภาพพระนิพพาน ให้ชัดเจนแจ่มใสว่า ดินแดนพระนิพพาน ไม่มีที่สิ้นสุด... (เมื่อพระองค์ตรัสเพียงเท่านี้พระองค์ก็จบ)

    คัดย่อจาก หนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 139 เดือนกันยายน 2535
     
  11. เอกณัฐยศ

    เอกณัฐยศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,628
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ประวัติการสร้างสมเด็จองค์ปฐม
    (คัดลอกจากหนังสือ ประวัติการสร้างสมเด็จองค์ปฐม โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)

    ท่านสาธุชนทั้งหลาย ตอนนี้ก็มาพูดกันถึงเรื่อง สมเด็จองค์ปฐม สำหรับคำว่า “สมเด็จองค์ปฐม” ก็คือ พระพุทธเจ้าองค์แรก องค์แรก หรือองค์ที่หนึ่ง เรียกว่า “องค์ปฐม” การที่จะหล่อรูปสมเด็จองค์ปฐมก็มีอยู่ว่า.. นายแพทย์จรูญ ปิรยะวราภรณ์ เคยปรารภว่า หลวงพ่อเคยปรารภเรื่องสมเด็จองค์ปฐมเสมอ ทำไมจึงไม่หล่อรูป จึงคิดตั้งใจจะหล่อรูปท่านขึ้นมา

    ขอเล่าย้อนตอนหลังสักนิดหนึ่ง คือเมื่อประมาณ พ.ศ.2511 ตอนนั้นอาตมามาอยู่วัดท่าซุงแล้ว และ พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต เวลานั้นเป็นนาวาอากาศเอก เป็นผู้บังคับกองฝึกโรงเรียนการบิน ที่นครราชสีมา ทราบว่าอาตมาป่วย จึงนิมนต์ไปพักที่นั่น

    ตอนกลางคืน สามีภรรยา ก็นั่งเจริญพระกรรมฐาน อาตมาเป็นคนแนะนำ ขณะที่แนะนำเขาอยู่ เมื่อเสร็จแล้วก็ทำสมาธิ

    ขณะที่ทำสมาธิ บรรดาท่านพุทธบริษัท สิ่งที่คาดไม่ถึงก็ปรากฏขึ้นนั่นคือเห็นเป็นพระพุทธเจ้าในปางนิพพาน ยืนสองแถวยาวเหยียดไปข้างหน้า แล้วก็พนมมือ

    จึงมีความรู้สึกในใจว่า บ่างทีอาจจะเป็นอุปาทานของเรา เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศีรษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็ก ๆ ที่หลังคาต่ำ ๆ ที่พระพุทธเจ้าเข้าไป หลังคาก็สูงขึ้น แต่เวลานี้เราเห็นพระพุทธเจ้า ยืนพนมมือ อุปาทาน คือกิเลสคงกินใจมาก

    เมื่อนึกเพียงเท่านี้ ก็เห็นภาพ หลวงพ่อปาน ปรากฏขึ้นข้าง ๆ ท่านบอกว่า “คุณ.. ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา”

    อีกประมาณสัก 5 นาที ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งรูปร่างใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูปของปางนิพพาน เดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุก ๆ องค์ก้มศีรษะแสดงความเคารพเพราะพนมมืออยู่แล้ว พอท่านเดินมาถึงอาตมาท่านก็พูดว่า.. “ข้าจะไปนั่งที่ไหนหว่า…ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าก็เอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน” ก็เลยนั่งบนหัว แล้วท่านก็บอกว่า..

    “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมะก็ดี จะเทศน์ก็ดี บอกฉันก่อน ฉันให้พูดตอนไหน จะให้เทศน์ตอนไหน ให้ว่าตามนั้น”

    ก็เป็นความจริง บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาสอนกรรมฐานก็ดี เทศน์ก็ดี บางทีคิดว่า วันนี้จะพูดเรื่องอย่างนี้ แต่พอพูดเข้าจริง ๆ เรื่องนั้นไม่ได้พูด ไปพูดอีกจุดหนึ่ง อันนี้เป็นลีลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ การเทศน์ของพระพุทธเจ้ามุ่งเฉพาะบุคคลสำคัญคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้หวังคนทั่วไป คนจะนั่งสักหนึ่งพัน สองพัน ห้าพันก็ตาม ท่านจะดูจิตใจว่า บุคคลใดจะรับคำเทศนาของท่านได้ จะสามารถบรรลุมรรคผลได้ ท่านจะจี้จุดเฉพาะคนนั้น เอาจุดเด่น แต่ว่าคนที่มีความดีใกล้เคียงกันก็พลอยบรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน

    อันนี้ก็เช่นเดียวกัน อาตมาเวลาเทศน์ หรือสอนกรรมฐาน ก็ไม่เคยได้พูดตามที่คิดไว้สักที อาจจะเป็นเพราะท่านดลใจ ถ้าจะถามว่า เป็นที่ชอบใจของคนทุกคนไหม ก็ขอตอบว่า ไม่แน่นัก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าท่านอาจจะจี้จุดเฉพาะคนใดคนหนึ่ง แต่คนบางคนอาจจะไม่ถูกใจก็ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา ก็จึงมาคิดว่าในเมื่อท่านมีพระคุณอย่างนี้ และก็เห็นเป็นปกติ จึงคิดจะหล่อรูปท่านขึ้นมา
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  12. เอกณัฐยศ

    เอกณัฐยศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,628
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ทรงแสดงพระพุทธลักษณะ

    วันหนึ่งจึงอาราธนา เมื่อเจริญพระกรรมฐานเสร็จแล้ว ท่องเที่ยวไปที่ต่าง ๆ ตามความพอใจ เมื่อกลับมาถึงที่ก็คิดว่าสมเด็จองค์ปฐมจริง ๆ รูปร่างสมัยที่เป็นมนุษย์ ท่านเป็นอย่างไร ก็ขออาราธนา ขอต้องการพบท่าน ท่านก็มาปรากฏพระองค์ให้เห็น ทรวดทรงสวยมาก หน้าของท่านอิ่มเหมือนรูปไข่ แก้มอิ่ม ยิ้มน้อย ๆ ริมผีฝากไม่บุ๋ม ไม่เหมือนพระพุทธรูปที่เขาปั้นกัน พระพุทธรูปที่เขาปั้นกัน แก้มตอนปากบุ๋มลงไป ท่านบอกว่า..

    “รูปร่างของฉันจริง ๆ เป็นอย่างนี้ ในสมัยที่เป็นมนุษย์” และต่อมาก็เปลี่ยนรูป “รูปร่างของฉันสมัยนิพพานแล้ว เป็นอย่างนี้” ท่านก็เปลี่ยนให้ดู

    ก็ถามว่า ถ้าจะปั้นรูปของท่านจะให้ปั่นแบบไหน จะให้ปั้นแบบปางนิพพาน หรือแบบมนุษย์

    ท่านบอกว่า.. ปั้นอย่างนี้ก็แล้วกัน แล้วท่านก็นั่งทำภาพให้ดู เป็นเหมือนพระพุทธรูปปั้น แล้วก็มีเรือนแก้วเป็นพระพุทธชินราช รูปจริง ๆ ที่ให้ปั้นไม่เหมือนกับรูปจริง คือไม่เหมือนกับรูปที่เป็นมนุษย์ และก็ไม่เหมือนกับรูปที่นิพพาน แต่ว่าเป็นรูปที่ท่านต้องการ ท่านมาแสดงแบบนั้นอยู่ถึง 3 วันติด ๆ กัน มานั่งให้เห็น วันหนึ่งประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ดูจนละเอียด

    ก็คิดในใจว่าเราเป็นคนเห็น แต่ช่างเขาไม่ได้เห็น เขาอาจจะปั้นได้ไม่เหมือนก็ได้

    จึงขอบารมีของท่านบอกว่า เวลาที่ช่างเขาปั้นขอได้โปรดดลใจให้เป็นไปตามพระพุทธประสงค์ ท่านก็ยอมรับ

    จึงได้สั่งให้ นายประเสริฐ แก้วมณี ปั้นรูปขี้ผึ้งขึ้น บอกลักษณะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ในที่สุดเมื่อเขาปั้นเสร็จ เขาเอามาให้ดูเหมือนกับรูปที่ท่านแสดงจริง ๆ นี่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์

    และนายประเสริฐคนนี้ ก็เจริญกรรมฐานมโนมยิทธิได้ แกก็ทำอะไรตามกำลังใจที่แกได้มา อาตมาก็บอกว่า ก่อนจะปั้นให้จุดธูป จุดเทียน ก่อน อาราธนาบารมีของท่านก่อน ขอให้ท่านดลใจให้มือทำตามไปที่ท่านต้องการ ความจริงก็เป็นเช่นนั้น

    พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปฐม
    ทีนี้ก็มานั่งนึกอีกทีว่า เรามีพระพุทธรูปทุกองค์ในสถานที่สำคัญ เราก็บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แต่พระบรมสารีริกธาตุโดยมากเป็นขององค์ปัจจุบัน สำหรับพระบรมสารีริกธาตุขององค์ปฐม จะหาได้ที่ไหน กำลังใจก็นั่งนึก คิดว่าเราจะทำอย่างไรจึงจะได้พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปฐม

    ก็คิดว่าเวลากาลนานมาแล้ว พระบรมสารีริกธาตุย่อมหาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าหาไม่ได้ก็เอาขององค์ปัจจุบันบรรจุ เพราะถือว่าเป็นคนละขั้นตอน เป็นคนละองค์

    ต่อมาเมื่อขณะที่ท่องเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ จบ ก่อนจะนอนก็ไป……ไอ้การไปนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท การทัศนาจรไปเมืองสวรรค์ก็ดี เมืองนรกก็ดี พรหมก็ดี มันเบื่อเต็มทีแล้ว… จืด! เวลานี้ ไม่ไปไหน ที่ไปจุดแรกคือ เทวสภา ไปที่ตรงนั้น ก็ไปไหว้ท่านผู้มีคุณตั้งแต่ชาติก่อนโน้นมาถึงชาติปัจจุบัน ที่ท่านเป็นครูบาอาจารย์บ้าง เป็นผู้มีคุณบ้าง เป็นบิดามารดาบ้าง เป็นต้น ไหว้ท่านแล้ว ท่านก็แนะนำบางอย่างที่ทำถูกบ้างผิดบ้าง ที่ไหนถูกท่านก็บอกว่าถูก ที่ผิดท่านก็บอกให้แก้ไข

    ก็เป็นอันว่า ไปอย่างนี้ทุกคืน หลังจากนั้นก็เข้า พระจุฬามณีเจดียสถาน ไปนมัสการพระพุทธเจ้าที่นั่น พระอรหันต์มีเยอะก็ไหว้ท่าน ออกจากระจุฬามณีเจดียสถานแล้วก็ไปนิพพาน ไปวิมานของสมเด็จองค์ปัจจุบันก่อน พระสมณโคดม ไปนมัสการท่านเสร็จ ถ้ามีอะไรที่ท่านจะบอก ท่านก็บอก ถ้าไม่มีอะไรที่ท่านจะบอก ท่านก็เฉย ก็นั่งสบาย ๆ ด้วยความชื่นใจ

    หลังจากนั้น ท่านก็สั่งให้ไปวิมานของเธอ ในเมื่อไปวิมานของอาตมาเอง ในที่นั้นจะพบพระอรหันต์มาก จะมีพระพุทธเจ้าหลาย ๆ พระองค์ มีองค์ปฐมเป็นประธาน ทรงให้โอวาทอยู่ทุกวัน เตือนทุกวัน มีอะไรผิด มีอะไรถูก มีอะไรควรทำ มีอะไรควรพูด ท่านจะแนะนำ

    เมื่อกลับมาแล้วก็นอน คิดว่าเราจะนอนให้หลับ พอกำลังจิตจะเริ่มเคลิ้ม ก็ได้ยินเสียงว่า..
    “พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปฐม เอามาให้แล้วนะ ว่างไว้ที่ตลับบนเตียงข้าง ๆ หัวนอน” ได้ยินเสียงชัดเจนแจ่มใสมาก เหมือนเสียงขององค์ปัจจุบัน

    จึงลุกขึ้นมาเปิดไฟฟ้า ปรากฏว่าที่ตรงนั้นไม่เคยวางตลับ มีแต่วางหนังสือสำหรับดูก่อนหลับ ก็มีตลับพลาสติก แบบปัจจุบันอยู่ลูกหนึ่ง ไปเปิดดูเห็น พระบรมสารีริกธาตุองค์โต 2 องค์ ก็ดีใจว่าเป็นขององค์ปฐม แน่ เพราะเราไม่เคยวางไว้ ก็เก็บไว้ในที่สักการบูชาเอาไว้บรรจุท่าน ต้นเหตุเป็นอย่างนี้นะ

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  13. เอกณัฐยศ

    เอกณัฐยศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,628
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เกิดอัศจรรย์ตรงสถานที่สร้างมณฑป

    ต่อมาท่านก็บอกว่า จะทำมณฑปฉันที่ไหน ก็ถามท่านว่าสถานที่ไม่มีแล้ว ด้านหน้าวัดเต็มไปหมด ที่มองเห็นได้ไม่มี มีแต่หลังวัด หลังวัดก็ไม่สมควร ท่านก็บอกว่า.. มีที่สำคัญอยู่ที่หนึ่ง เวลานั้นกำลังป่วยมาก ก็พยายามให้พระขับรถไป ไปดูสถานที่ ค่อย ๆ ลงจากรถ เดินมันก็จะล้ม

    แต่ญาติโยมพุทธบริษัทไม่มีใครเข้าใจ เพราะเวลารับแขกเห็นท่าทางพูด ท่าทางแข็งแรง ความจริงไม่ใช่ เป็นกำลังพระท่านช่วย หลังจากรับแขกแล้วก็ป่วย อาเจียน ลุกไม่ขึ้น เดินไม่ไหว นี่เป็นอำนาจพุทธานุภาพ

    และสถานที่ตรงนั้น ท่านบอกว่าเอาตรงนี้ สถานที่ตรงนั้นมีความสำคัญ ท่านบอกว่ามีพระบรมสารีริกธาตุสำคัญมาก แต่ความจริงก็เป็นความจริง มีคนเห็นอยู่เสมอว่า มีดาวดวงใหญ่ขึ้นจากที่ตรงนั้น มีแสงสว่างมาก ลอยไปเหนือยอดไม้น้อย ๆ วนไปวนมาในวัด แล้วก็กลับที่เดิม

    มีคราวหนึ่ง มี พ.ต.พงษ์เทพฯ เธอมาอยู่เป็นเพื่อน เธอเห็นเข้า เธอก็นั่งรถกวดว่า ดาวดวงนี้จะลอยไปไหน เธอก็วิ่งตามไป วนไปวนมาอยู่พักก็กลับที่เดิม เธอก็มาบอกว่า เมื่อคืนนี้แปลกเห็นดวงดาวขึ้นจากแผ่นดิน ก็เลยบอกเธอว่า นั้นไม่ใช่ดวงดาว เป็นพระบรมสารีริกธาตุ ท่านให้สร้างมณฑปตรงนั้น จึงสั่ง ลุงชิด แก้วแดง เป็นนายช่างทำการก่อสร้าง

    วัสดุที่จะใช้สร้าง
    โดยเฉพาะเรือนแก้ว บรรดาทานพุทธบริษัท องค์ปฐมสร้างหน้าตัก 4 ศอก เป็นพระหล่อด้วยโลหะ แล้วก็ผสมทองคำ เฉพาะ “เพชร” ที่ประดับเรือนแก้ว หรือว่าผ้าทิพย์ เท่าที่เราเห็นมีราคา 770,000 บาทเศษ แต่ความจริงไม่ใช่เพชรจริง ๆ อย่าขโมยไปนะ ถ้าแกะมาหนึ่งเม็ด ราคาเต็มของเขาจะประมาณ 12-13 บาทเท่านั้นเอง

    ทีนี้ซื้อมาก เพื่อประดับเรือนแก้วให้สวย เพราะว่าคนใกล้จะตาย คืออาตมาเองใกล้จะตาย อายุครบอายุขัยแล้ว ครบอายุขัยก็เป็นอายุที่ควรตาย ก็ทำทิ้งทวน และก็มีคนช่วยมาก มีใครบ้างจะไปขอบัญชีเขามาดู ถ้าเขาคัดไว้ก็จะมาพิมพ์ท้ายหนังสือ มี พล.ต.ท.นายแพทย์สมศักดิ์ฯ กับคณะ ช่วยมา 1 ล้านบาท เท่าที่จำได้นะ นอกนั้นมีใครบ้างก็ไม่ทราบ องค์ปฐมนี้ช่วยกันมามาก

    สำหรับพื้น ทีแรกคิดว่าจะใช้แกรนิต หรืออะไรไม่ทราบมันสวย ๆ แต่ว่าพระท่านบอกว่า มันแข็งมาก ต้องสั่งให้เขาตัดให้พอดี ก็เลยล้มความตั้งใจ ก็พอพี พ.ท.นายแพทย์นพพร กลั่นสุภา พร้อมด้วย คณะชาวจังหวัดกาญจนบุรี

    พ.ท.นายแพทย์นพพรฯนี่ เป็นผู้บังคับกองพันเสนารักษ์ กองพลที่ 9 สนใจเรื่องบุญกุศลมาก ได้ทำตาดำตาขาวของพระพุทธรูปหน้าตัก 4 ศอกมาถวาย ประมาณ 600 คู่เศษ และนำนิลก้อนเล็ก ๆ นำมาให้ทำพื้น ก็เลยตัดสิตใจว่า ในเมื่อมีผู้ศรัทธานำนิลมาให้ตั้ง 1 ตันกว่า เราก็ไม่ควรใช้อย่างอื่น ใช้ตัดพื้นด้วยนิล แทนที่จะเป็นหินขัด หรือว่าจะเป็นหินอ่อน จะเป็นแกรนิต ไม่เป็นแล้ว ใช้นิลเป็นพื้นขัด ถ้านิลไม่พอจริง ๆ ก็เอาอย่างอื่นผสม

    ก็รวมความว่า ความสำคัญเนื่องในการสร้างองค์ปฐม คือว่าคนไม่เคยคิด หรือว่าอาจจะคิดบ้างก็ไม่ทราบว่า พระพุทธเจ้าจริง ๆ ที่มีความลำบากมาก คือ “องค์ต้น” เพราะไม่เคยมีพระพุทธเจ้าเป็นครูมาก่อน ต้องลำบากบุกมาทั้ง ๆ ที่ไม่มีแบบ เป็นเหตุดลใจให้ตั้งใจคิดจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องใช้เวลาถึง 40 อสงไขยกัปเศษจึงจะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ

    ถ้าถามว่า รู้ได้อย่างไร ก็ต้องขอตอบว่า ถามท่านซิ คนฟังหรือคนอ่านจะคิดไหมว่า พูดอย่างนี้เป็นคนบ้าหรือคนดี บางท่านจะบอกว่า พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว มีสภาพสูญ จะไปคุยกันได้อย่างไร ก็ขอตอบว่า ก็ต้องเป็นคนสูญเหมือนกัน ก็ท่านสูญไปแล้ว เราก็สูญบ้าง ถ้าสูญ กับสูญพบกัน ก็ต้องสองสูญ สองสูญ ก็มีสภาพกลมเหมือนกัน แต่โตเล็กกว่ากันเท่านั้น เมื่อสูญต่อสูญคุยกัน ก็รู้เรื่องกัน ถ้าท่านสูญ เรายังไม่สูญ เราก็คุยกับท่านไม่ได้

    ก็รวมความว่า อาตมาก็เป็นคนสูญ เพราะ
    1. สูญจากความเป็นหนุ่ม
    2. สูญจากความเป็นคนปกติ มีอาการป่วยไข้ไม่สบายเป็นปกติ
    3. สูญจากความเป็นคนที่คิดว่าไม่สูญ นั่นคือความหวังมีอย่างเดียว คิดว่าเราจะต้องตาย

    เวลานี้อายุ 75 ปีตามใบสุทธิเป็นอายุขัย ควรตายแล้ว ไหน ๆ จะตายก็ทำทิ้งทวนเฉพาะสมเด็จองค์ปฐม ราคาเท่าไรไม่ทราบ เฉพาะเพชรที่ประดับราคา 770,000 บาทเศษ แล้วก็มณฑปทั้งหมดก็จะบุแก้ว ปิดแก้วทั้งข้างนอกและข้างใน ให้คล้าย ๆ กับวิมานของท่าน ทำแบบคล้ายคลึงกันแต่ไม่เหมือน เพราะวิมานของท่านสวยมาก

    เดี๋ยวจะถามว่า รู้ได้ยังไง ก็ตอบตามเดิมว่า คนสูญ ก็รู้อย่างคนสูญ ที่เขาบอกว่า นิพพานมีสภาพสูญ อาตมาขอย้อนว่า นิพพานมีสภาพไม่สูญ นิพพานจะสูญไปจากความชั่ว จะทรงไว้แต่ความดี ถ้าหากจะมีคนคัดค้านว่า ตายแล้วมีสภาพสูญ ก็ต้องตอบว่า เป็นเรื่องของท่าน ต่างคนต่างรู้ ต่างคนค่างมีความเห็นจะให้เหมือนกันไม่ได้

    ถ้าหากว่านิพพานมีสภาพสูญจริง ๆ
    ทำไมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงกล่าวอ้างอิงถึงพระพุทธเจ้าองค์นั้น พระพุทธเจ้าองค์นี้อย่างคำว่า สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง ท่านทั้งหลายจงอย่าทำความชั่วทุกอย่าง
    กุสะลัสสูปะสัมปะทา จงทำแต่ความดี
    สะจิตตะปริโยทะปะนัง จงทำใจให้ผ่องใสจากกิเลส
    เอตัง พุทธานะสาสะนัง พระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด

    พระพุทธเจ้าท่านรู้ได้ยังไง ถ้านิพพานมีสภาพสูญ ทำไมจึงจะรู้ว่า พระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด ก็แสดงว่า นิพพานมีสภาพไม่สูญ เฉพาะของคนไม่สูญ นิพพานมีสภาพสูญเฉพาะของคนที่สูญจากนิพพาน

    รวมความว่า บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย การหล่อรูปองค์ปฐมนี้ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท นำทองมาถวายกันมากเป็นกรณีพิเศษ และการหล่อรูปนี้จะหล่อ วันที่ 15 มีนาคม 2535 มี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นประธานจับสายสิญจน์ในการหล่อ

    ความจริงหลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์นี่ บางท่านอาจจะไม่รู้
    “ท่านเป็นพระสูญเหมือนกัน” คือสูญจากการยึดตัว ยึดยศฐาบรรดาศักดิ์
    ท่านเป็นสมเด็จฯ ท่านไม่เคยแสดงองค์เป็นสมเด็จฯ เลย
    ไม่เคยถือเนื้อถือตัว ถือเป็นกันเองทุกอย่างกับทุกคนที่ไปหา ไม่มีมานะทิฐิ และมีความเข้าใจเรื่องของคน มีความเข้าใจในเรื่องของใจคน

    อย่าง พล.ต.ท.สมศักดิ์ สืบสงวน เคยไปกับ หมอลัดดาฯ ไปหาท่าน ท่านจำวัดอยู่บนกุฏิ ทั้งสองคนก็ไปคอย พอถึงเวลาท่านยังไม่ลงมา ทั้งสองคนก็บอกว่า ในเมื่อท่านจำวัดเราก็กลับเถอะ พูดเบา ๆ เท่านั้นแหละ เสียงกระแอมเปิดประตูหน้าต่าง แล้วท่านก็ลงมา
    อาตมาเคยปรึกษากับ มหาวิจิตร เรื่องที่จะทำบุญวันเกิดของท่าน ปรึกษากันที่ซอยสายลมว่า เราคิดจะทำอย่างนี้ และไปกราบเรียนให้ท่านทราบ ถ้าหากว่าอันไหนท่านตัด เราก็ตัดตามท่าน อันไหนท่านให้เติม เราก็เติมตามท่าน เสร็จแล้วก็ไปหาท่าน ท่านนั่งรอรับอยู่ ท่านยังไม่ขึ้นกุฏิ เมื่อกราบพอเงยหน้าขึ้นมา ท่านก็บอกว่า ปีหน้าจะให้ทำอะไรก็บอกนะ ทำตามทุกอย่างแหละ นั่งคุยกันที่ซอยสายลม ท่านอยู่ที่วัดสามพระยา ทำไมท่านจึงรู้

    ก็เป็นอันว่า สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์องค์นี้ มีความสำคัญมาก เป็นประธานการหล่อพระคราวไร ไม่เคยเสีย คราวหนึ่งลมแรงจัด ช่างบอกว่า ถ้าลมแรงแบบนี้ การเททองลำบาก ยังไง ๆ พระต้องเสียแน่ ต้องมีเว้า มีโหว่ มีแหว่ง แต่เธอก็พยายามทำไปด้วยความลำบากจนเสร็จ นี่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์จับสายสิญจน์นะ ช่างรีบไปทุบหุ่นไม่อยากให้คนอื่นเห็น คิดว่าถ้าเสียจะรีบเก็บ แต่ที่ไหนได้บรรดาท่านพุทธบริษัท พระทุกองค์เรียบร้อยเกือบไม่ต้องแต่ง ช่างดีใจจนน้ำตาไหล

    นี่ขอให้ท่านทั้งหลายจงมีความเข้าใจว่า สมเด็จพระพุทธโฆษาจาย์ วัดสามพระยา เป็นพระที่มีสภาพสูญเช่นเดียวกัน

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ก็เล่าสู่กันฟังก็แค่นี้ ขอจบเพราะเวลาหมด เหลือเวลาประมาณครึ่งนาที ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังก็ตาม ผู้อ่านก็ตาม จงมีแต่ความสุข ปรารถนาสมหวัง รวยตลอดชาติ ทั้งชาตินี้และชาติหน้า

    ถ้าใครต้องการหวังนิพพาน ขอให้ได้นิพพานสมความปรารถนา

    ใครไม่อยากไปนิพพาน ก็ขอให้รวยตลอดทุกชาติ…สวัสดี
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  14. เอกณัฐยศ

    เอกณัฐยศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,628
    ค่าพลัง:
    +9,666
    สนทนาที่สายสม (เดือนกันยาย 2533)

    ผู้ถาม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 สิงหาคม 2008
  15. เอกณัฐยศ

    เอกณัฐยศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,628
    ค่าพลัง:
    +9,666
    แจ้งการส่งพระสมเด็จองค์ปฐมฝังพระธาตุเขาสามร้อยยอด
    ครั้งที่ 2 วันที่ 22/8/51

    </ST1:d1 ประเสริฐ ธีรกิจไพศาล<O:p</O:p
    2 บรรเจิด วัฒนกุลจรัส<O:p</O:p
    3 นวภพ อินศร<O:p</O:p
    4 ทวีชัย แสนยงค์<O:p</O:p
    5 อมรกุล ศรีงามผ่อง<O:p</O:p
    6 โกศล ธรรมปรีชา<O:p</O:p
     
  16. nrngy

    nrngy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +659
    ได้รับพระแล้วค่ะ ของ
    วิภาวี ณรงค์ใย
    และ พี่สาคร สินบำรุง
    กำลังดำเนินการแจกค่ะ
    ขอบคุณมากค่ะ
     
  17. นาคเสน55

    นาคเสน55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +682
    ได้รับพระจากพี่เอกแล้ว

    เเละกำลังเเจกแก่ผู้ศรัทธา เพื่อประโยชน์สูงสุด


    ขออนุโมทนา


    แจกฟรี CD พระธรรมเทศนา โดย ..(( หลวงปู่เณรคำ ))..วัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ

    http://palungjit.org/showthread.php?t=140960
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2008
  18. banjerdw

    banjerdw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2008
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +1,110
    ได้รับพระเรียบร้อยแล้วครับ ขออนุโมทนาบุญทั้งหลายทั้งปวงด้วยครับ ไม่ทราบองค์พระมีผงจักรพรรดิ์หลวงปู่ดู่ผสมด้วยหรือเปล่าครับ เพราะดูจากลักษณะจะคล้ายที่ทางวัถ้ำเมืองนะแจก
     
  19. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    ขอด้วยครับ

    นาย สุริยะ วิเลปนันท์

    38/4 ม2 ซ จอมทอง 3 ถจอมทอง แขวง จอมทอง เขต จอมทอง กทม 10150
     
  20. เอกณัฐยศ

    เอกณัฐยศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,628
    ค่าพลัง:
    +9,666
    มีครับ รายละเอียดตามนี้เลย

    พระสมเด็จองค์ปฐมบรมมหาจักรพรรดิ์
    ฝังพระธาตุจากเขาสามร้อยยอด

    [​IMG]


    มวลสารของพระสมเด็จองค์ปฐม


    1.ผงจักรพรรดิ์ ตามสูตรหลวงปู่ดู่
    2.ผงแป้งเสกพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร



    3.ผงแป้งเทพรัญจวน
    4.ทรายสุวรรณมงคล (ทรายทองคำ)


    5.ว่านสาวหลง
    6.พระธาตุเขาสามร้อยยอด ฯลฯ
     

แชร์หน้านี้

Loading...