เรื่องเด่น รวมหลวงพ่อตอบปัญหา/จากคำบอกเล่า

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 21 กรกฎาคม 2012.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,799
    กระทู้เรื่องเด่น:
    79
    ค่าพลัง:
    +225,513
    9-3.jpg

    บูชา ร. 5 มีลาภมาก

    มีคนหนึ่งมันเล่าให้ฟังว่าในโลกนี้ไม่นับถือใครเลย เราก็ตกใจ เอ้า แล้วมึงห้อยอะไรละนี่ มันก็บอกนี่รัชกาลที่ 5 พระเจ้าไม่เอาพระช่วยผมไม่ได้ ไม่ไวเท่ากับรัชกาลที่ 5

    ถามว่าช่วยได้ยังไง มีอยู่วันแกก็ไปไหว้ที่เขาไปไหว้กันน่ะ แกก็ไปอธิษฐาน เจ้าประคู๊ณขอให้รัชกาลที่ 5 โปรดสงเคราะห์ ไอ้ผมนี่เป็นลูกจ้างขับแท็กซี่จนกระทั่งเถ้าแก่รวยมามาก ขอให้ผมมีรถเป็นของตัวเองสักคันหนึ่งเถอะ

    พออธิษฐานเสร็จมาประมาณไม่ถึงปีน่ะ แกมีโอกาสผ่อนแล้วได้ 1 คัน แกก็นับถือ ยังไม่พอใจก็ยังกะลิ้มกะเหลี่ยไปอีก แหมถ้าเป็นไปได้เอาอีกซักคันหนึ่งนะครับ จะให้เขาเช่าจะได้มีรายได้ได้ครับ ได้ 2 คันแกก็เลยนับถือตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    "ปัญหาก็มีอยู่ว่าถ้าสมมติว่าองค์เดียวกันนะ ทำไมถึงได้เมตตาขนาดนั้น
    หลวงพ่อที่ไปนิพพานจะช่วยคนได้หรือไม่ เพราะไปนิพพานอยู่เย็นเป็นสุขแล้วนี่ จะเป็นไปได้หรือไม่"

    อ๋อ...หมายความว่ายังไง (หัวเราะ) หมายความว่าหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม เขาไปขอที่พระรูปทรงม้านั่น ทำไมถึงมีผล ใช่ไหม

    ก็จริงๆแล้วนี่ หลวงพ่อบอกว่า อย่างอ่านหนังสือของพลตรีมนูญแล้วมีหลักฐานเอาวัตถุกัน เห็นง่ายๆพลตรีมนูญอยู่ที่เมรุกับหลวงพ่อนี่ หลวงพ่อครับแขกมารอที่กุฏิ หลวงพ่อบอกมนูญแกไปก่อนไป ไปรับหน้าก่อนไป มนูญก็รับตาลีตาเหลือกมา หลวงพ่อยังอยู่ที่เมรุอยู่นี่ ก็รีบมารับแขก ไปถึงหลวงพ่อไปอยู่ที่นั่นเสียแล้ว
    ก็เรามาไวกว่าหลวงพ่อ ทำไมหลวงพ่ออยู่ที่กุฏิเสียแล้ว

    แต่จริงๆท่านบอกว่าเทวดาที่เป็นองค์แทน ก็เรียกว่าเทวดาที่รับหน้าที่ตรงนี้ที่คุมพระรูปอยู่นี่ อย่างกับพระพุทธรูปบางองค์ก็ศักดิ์สิทธิ์ ใช่ไหม หลวงพ่อโสธรนี่ อู้หู...คนไปปิดทองจนตัวนิ่มหมดแล้วนี่ จับอย่างกับจับผู้หญิงเลย เขาว่าอย่างนั้น ความหนาของทอง


    ทำไมท่านถึงศักดิ์สิทธิ์ เทวดาที่รักษาองค์พระนี่ ที่มีฤทธิ์ ใช่ไหม ที่หลวงพ่อบอกเทวดาที่มีฤทธิ์ก็มี ไม่มีฤทธิ์ก็มี ทีมีฝ่ามือแดงก็มีฤทธิ์อะไรอย่างนี้ เทวดารักษาพระ

    แต่พูดตามหลักพุทธศาสนาจริงๆแล้วนี่ การบูชาต้องได้รับการบูชาตอบ หลวงพ่อท่านปราถนาพุทธภูมิวิริยาธิกะ คือบูชา ร.5 ทำไมมีลาภ เขาว่าไวกว่าสมัยก่อนอีก ไวกว่าหนึ่งท่านวิริยาธิกะ สมบัติของประเทศไทยของท่านจะมีมากกว่าหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทองเป็นกี่ร้อยตัน นี่ท่านใช้มา 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่สร้างวัดสร้างวา เราทำบุญมานี่ใช้สมบัติไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์

    ที่เหลือก็ให้ไอ้ขวัญ สาธุ (หัวเราะ)

    ให้ทุกคนแหละ ให้ทุกคน

    มีอยู่จุดหนึ่ง เคยถามปัญหาที่ซอยสายลม หลวงพ่อครับ หลวงพ่อมีลูกมีหลานมีลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมือง ในขณะเวลาเดียวกัน คนนั้นก็จุดธูป คนนี้ก็จุดธูป แล้วก็เรียกแล้วหลวงพ่อจะทำยังไง จะไปช่วยใครก่อน

    หลวงพ่อก็ตอบว่า ในขณะเดียวกันท่านสามารถแบ่งได้ถึงจำนวนเป็นหมื่นเป็นแสน รู้เรื่องทุกอย่าง ได้ด้วยทุกอย่างแล้วก็บอกว่า ถ้ามันเกินไปกว่านั้นทำยังไง ฉันฝากเทวดาทุกเขตในประเทศไทย ทุกหนทุกแห่งว่าถ้าฉันไปไม่ทัน ฝากลูกฝากหลานฝากไอ้ขวัญ มันด้วย (หัวเราะ) เข้าล๊อกกันดี ท่านฝากจริง

    ท่านบอกความเป็นทิพย์ไปได้ ท่านว่าอย่างนั้น

    (คุณขวัญถามว่า "อยากจะให้เทวดาที่บ้านมีฤทธิ์มีเดช มีบุญญาธิการมากๆ จะทำอย่างไร")

    เฮี้ยนๆใช่ไหม คือตามหลักที่ว่าทำบุญแล้วมีอานุภาพยังไงบ้าง มีรัศมีบ้าง ถ้าอานุภาพมากก็ถวายพระพุทธรูป ให้เทวดาโมทนาใช่ไหม สร้างพระพุทธรูปมีเดชมีอำนาจมาก ที่บ้านอยู่ตรงไหนล่ะ จะไปสู้กับใครเขาล่ะ

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 163 เดือนตุลาคม 2537 หน้า 89-90)








     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2021
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,799
    กระทู้เรื่องเด่น:
    79
    ค่าพลัง:
    +225,513
    35481881_1636565289731799_983934427207827456_o.jpg
    เอาของไหว้เจ้ามาทำบุญ


    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา ขอถามปัญหานิดหนึ่งว่า ของที่ไหว้เจ้าแล้วมีมากเหลือเกิน ถ้าลูกจะนำไปถวายพระใส่บาตรพระ จะมีโทษมีบุญมีกุศลหรือไม่เจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : เดี๋ยวก่อน ! บูดหรือไม่บูด ถ้าไม่บูดได้นะ จริงๆนะ

    ผู้ถาม : ที่เขาว่าของเหลือเดนผี ของเหลือเดนเจ้า

    หลวงพ่อ : โอ๊ย ! เดนคนพระพุทธเจ้ายังไม่ถือเลย นี่เป็นความจริงนะ

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 311 หน้า 70)


    เรื่อง ต้นโพธ์ที่อินเดีย

    คือ ตันโพธิ์ที่ว่านั้น ถ้าจริงต้องต้นโพธิ์วันนั้น แล้วก็พระแท่น พระแท่นที่นั่งใครเขา
    ทำกันอย่างนั้นล่ะ ถ้าพระพุทธเจ้านั่งจริงๆละเจ็บตูดตายเลย ทำเป็นดอกทำเป็นดวง เป็นโลหะ (หัวเราะ) พระแท่นเวลานั้นใครไปหล่อให้พระพุทธเจ้าเล่า หญ้าคา ก็ทำโกหกทั้งนั้นแหละ แล้วยังไปเชื่อการโกหกกันอีก ไอ้เราไปก็เฉยๆ

    แต่ไอ้แขกมันโกหกเก่งนะโยมนะ ถ้าโกหกต้องยกให้แขกนะ วิธีหลอกลวงมันหนึ่ง
    ในตองอูนะ ไอ้ไทยบ้าๆบอๆ ก็ไปเชื่อส่งเดชนั่นละ ที่พระพุทธจ้าประสูติล่ะ ที่เนปาลน่ะ
    ขุดดินลงไปลึกเท่านั้นน่ะ พื้นแผ่นดินเวลานั้นลึกเท่านั้น อ้าวไอ้เราก็เชื่อ เออ..ก็ดีเหมือนกัน ถ้ามันโกหกได้ผล มันก็ต้องพยายามโกหก ใช่ไหมเล่า พวกมันได้สตางค์น่ะ

    "ผมยังนึก เอ้อ..ไอ้ไทยนี่ ที่สร้างวัดในประเทศไทยนี่ มันต้องสร้างวัดในเมืองแขก แขกไม่นับถือพระพุทธศาสนา ไอ้นี่ต้องถือเป็นโรคอุปาทาน ใช่ไหม"

    คือไปเมืองแขก ถ้าแขกมาไหว้พระพุทธรูป เราก็ต้องดูก่อน ต้องถามก่อนว่าเป็นแขก
    พุทธ หรือแขกฮินดู คือไอ้ศาสนาฮินดูมันพยายามทำลายพระพุทธศาสนา แต่มันทำลายไม่ลง มันก็ทำไง เอาลงหมดไม่ได้ มันต้องเอาสายอื่น ไอ้นักปราชญ์คนหนึ่งมันก็เขียนประวัติขึ้นมา บอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของพระนารายณ์ที่อวตารลงมา เขานับถือพระนารายณ์ มันมาไหว้พระพุทธรูป มันถือว่าไหว้พระนารายณ์ ต้องไปดูกันก่อน

    ถ้าไปเมืองแขกเห็นมีหนุมาน ไอ้พวกเขาละ ต่างคนต่างถือกันคนละศาสนา ถ้าพวก
    ธิเบตแน่นอน พวกธิเบตเคารพมาก แล้วเวลามันมาเจอะพระพุทธคยาละคืบมานะ ไม่เดินเรียกคืบ ลุกขึ้นนอนทาบ ตัวยืด เอาเท้าเลื่อนมาที่มือ ทาบเรื่อยมา เหมือนพวกทากน่ะ

    พวกเราไปถึงที่พุทธคยา เห็นเขามีกระดานอยู่แผ่นหนึ่ง ของเขาน่ะ เขานั่งคืบนอนคืบบนกระดาน เป็นมันเลื่อม แล้วอีกพวกก็เดินตามกำแพง คืบตลอด

    เราก็นึกในใจว่า ถ้ามันจะคืบแบบนี้น่ะ มานั่งทำวิปัสสนาสบายๆ ยังดีกว่าเลย แต่เป็นกำลังใจเขานึกว่าได้บุญ ถ้าบุญประเภทนั้นนะ มันจะไปแค่กามาวจรกับพรหม นี่แกไปได้ แกถือทางกายมากเกินไป คือไม่ถือทางใจ

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 164 เดือนพฤศจิกายน 2537 หน้า 26-27)


    พิจารณาเกิด-ดับ


    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกอยู่ประเทศออสเตรเลีย แต่ก็มีโอกาสได้อ่านหนังสือธัมมวิโมกข์เป็นประจำ ก็มีความสงสัยอยากจะใคร่เรียนถามข้ามทวีป มาดังต่อไปนี้

    ข้อที่ 1. การพิจารณาการเกิดดับนั้น เขาพิจารณากันแบบไหน ขอหลวงพ่อได้โปรดแนะนำด้วยเถิดเจ้าค่ะ ?

    หลวงพ่อ : เอ๊ะ นี่พูดไปเขาจะได้ยินหรือเปล่า นี่ฉันตอบไปนี้เขาคงไม่ได้ยินละมั้ง

    พิจารณาเกิดดับเหรอ พิจารณาแบบไหนดีล่ะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เราเกิดมาแล้วมันเหลือแต่เวลาดับ ให้ดูคนอื่น ดูคนอื่นดูสัตว์อื่นว่าเขาเกิดมาแล้วในที่สุดเขาก็ตาย เราก็มีสภาพเช่นเดียวกัน เมื่อเกิดมาแล้วไม่ช้าก็ตายเหมือนกัน ดูแค่นี้ก็แล้วกัน ไปดูตามตำราดูไม่เห็นหรอก ต้องดูแบบนี้นะ เวลาปฏิบัติจริงเขาดูกันแบบนี้ ไม่ใช่ตามตำรา

    ผู้ถาม : ข้อที่ 2. วิธีพิจารณาร่างกายให้เห็นว่าเป็นที่น่ารังเกียจปฏิกูลนั้น จะต้องใช้ปัญญาและอารมณ์แบบไหนเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : ไม่ต้องใช้ ไม่ต้องใช้มาก สังเกตข้าว อาหารที่กิน เลือกแล้วเลือกอีกใช่ไหม พอเป็นกากไหลออกมาดูไม่ได้ แล้วเป็นขี้ นี่อยู่ในร่างกาย ฉะนั้นของในร่างกายทั้งหมด มันเต็มไปด้วยของสกปรก ไม่ใช่ของดี

    อย่างเลือดที่เราต้องการให้มีเลือดมากๆ ใช่ไหม แต่ว่าพอเลือดไหลออกมาแล้วเราก็รังเกียจเลือด ใช่ไหม แล้วก็สำหรับในปากน้ำลายมีอยู่เราอมได้ พอบ้วนมาเราแตะต้องไม่ได้ แสดงว่าข้างในร่างกายไม่มีอะไรดี มีแต่สกปรกอย่างเดียว เท่านั้นไม่ยาก

    ผู้ถาม : อ๋อ แค่นี้เอง แต่ฝรั่งนี่แปลกจริงๆ มันดูดกันได้นะ ไม่ปฏิกูลน่าเกลียด

    หลวงพ่อ : คนไทยเขาก็มีดูดนะ หนังสือพิมพ์ลงบ่อยๆ (หัวเราะ)



    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 98 เดือนเมษายน 2532 หน้า 19-20)


    ขายเหล้าบาปไหม


    ผู้ถาม : อยากจะถามว่า คนที่ขายเหล้าแล้ว คนขายไม่ได้กิน อย่างนี้เป็นการค้า คนขายนี่บาปไหมครับหลวงพ่อ?

    หลวงพ่อ : คำว่าบาปแปลว่าอะไร?

    ผู้ถาม : บาปนี่ชั่วครับ

    หลวงพ่อ : บาปนี่ชั่ว ขายได้สตังค์ชั่วไง รวย

    ความประพฤติเขายังไม่ชั่ว แค่ขายอย่างเดียว ความประพฤติก็ว่าอีกส่วนหนึ่งต่างหาก

    ผู้ถาม : แต่สิ่งที่ขายนี่ทำให้คนที่ซื้อไปเป็นโทษ

    หลวงพ่อ : ช่างมันปะไร รู้แล้วเสือกซื้อไปทำไม

    ผู้ถาม : ตกลงไม่บาปใช่ไหมครับ

    หลวงพ่อ : จะบาปยังไง คือพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าเป็น "มิจฉาวณิชชา" เป็นการค้าที่ไม่สมควร เราจะไปพูดเกินพระพุทธเจ้านี่ไม่ได้ ใช่ไหม

    อยากขายปืนนี่เราเป็นคนขายอาวุธ คนขายอาวุธไม่ได้บอกว่า เจ้าจงไปยิงคนนั้นนะ มันเรื่องเขาจะต้องมีการป้องกันตัวของเขาอย่างหนึ่งนะ

    การขายอาวุธอย่างหนึ่ง การขายสุราเมรัยอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าเป็น "มิจฉาวณิชชา" อุบาสกอุบาสิกาไม่ควรจะค้าขาย แค่แนะนำไม่ใช่บาป ยังปรับโทษเขาไม่ได้เลย มันต้องดูเหตุดูผลว่ามันเป็นโทษได้ยังไง การค้าเขาไม่ได้กิน คนค้าเหล้าไม่ได้เมาเหล้านี่ ใช่ไหม จะต้องดูจุดตรงไปตรงมา ธรรมะนี่ต้องตรงไปตรงมานะ

    ก็อย่างมีคนๆหนึ่ง เข้าไปกรุงเทพฯ ที่ซอยสายลม แกมาถามบอกว่า เชื้อโรคในร่างกายเป็นสัตว์มีชีวิตใช่ไหม และการที่เราจะกินยาฆ่าสัตว์มีชีวิตในร่างกายไม่บาปหรือ ฉันตอบว่าไงรู้ไหม ฉันก็ตอบว่า คุณลงนรกแต่ผู้เดียวเถอะ ฉันเชื่อพระพุทธเจ้าอย่างเดียวฉันไม่เชื่อคุณหรอก ใช่ไหมคุณ ให้เขาลงนรกแต่ผู้เดียว นี่ของเราไม่ได้ลงด้วยนะ

    เชื้อโรคมีในร่างกายรูปร่างมันอยู่ที่ไหน ช่าง เรื่องร่างกายของเรา เราทำให้ร่างกายของเราเป็นสุข ใช่ไหม ไม่ใช่ร่างกายเกิดมาเพื่อเป็นพื้นฐานที่อยู่ของเชื้อโรค ต้องดูคำสอนแค่พระพุทธเจ้าสอน อย่าให้มันเลยไป ถ้าเลยไปนิพพานมันก็ต้องลงอเวจีหรือลงอย่างดีก็ลงโลกันตร์ ก็เอากันแค่ที่ท่านสอน

    พระพุทธเจ้าทรงเป็นสัพพัญญูอยู่แล้ว อะไรทุกอย่างที่พระองค์ไม่รู้นะไม่มี ท่านบอกว่าวิชาความรู้ที่ตถาคตรู้ แต่ว่ามันไม่เป็นทางบรรลุมรรคผล ตถาคตไม่สอน อย่างวิชาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ พระพุทธเจ้ารู้ไหม

    ถ้าไม่แน่ใจให้ไปถาม ดร.อาจอง ดร.อาจองคนนี้ได้กรรมฐาน ได้ทิพพจักขุญาณ เคยสอนลูกศิษย์ได้ทิพยพจักขุญาณเยอะ ต่อมาฝรั่งก็จ้างไม่ทำจรวดอะไร มันพังเรื่อย ต่อมาแกเป็นหนึ่งในร้อยของนักวิทยาศาสตร์ที่เขาคัดไว้ คือเขาคัดไว้ 100 คน เธอเป็นคนไทยคนเดียวในหนึ่งในร้อยของเขา

    ทีนี้มาวันหนึ่ง เธอคิดว่าทำไงแก้ แก้กันยังไงมันก็ไม่หายมันก็พังเรื่อย และที่ข้างห้องที่แกพักมักก็มีเนินดิน ก็ไปนั่งอยู่ที่เนินดินจิตสบายๆ ก็ขอบารมีพระพุทธเจ้า ขอสูตร เอาเพียงแค่แก้ให้หาย ไม่ได้ทำทุกอย่าง ปรากฏสูตรขึ้นมาในอากาศ แกก็รีบเขียนตอนนั้นทันที และแก้ไขอยู่

    เห็นไหม เรื่องของจริงมันมีแต่ว่าเราทำให้มันถึง ความรู้พระพุทธเจ้ารู้ให้มันถึง รู้ให้มันจริง ความรู้มีกี่อย่าง 4 อย่าง

    1.สุกขวิปัสสโก 2.เตวิชโช 3.ฉฬภิญโญ 4.ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    ทั้ง 4 อย่างนี่ให้มันครบ ถึงแม้จะครบอย่างละไม่ถึง 100% ก็ตาม จะมีผลเยอะแยะ

    ทีนี้พวกเราไม่ได้รู้จริง รู้แต่ข่าวๆ เขาว่าๆ จะเอาอะไรกัน ตำราเล่มนั้นท่านว่า ตำราเล่มนี้ท่านว่า พระองค์นั้นท่านว่า พระองค์นี้ท่านว่า พระองค์นั้นท่านรู้จริงหรือเปล่า ใช่ไหม พระที่รู้จริงๆ มีองค์เดียวคือพระพุทธเจ้า พระอรหันต์มีรู้จริงแต่ไม่รอบรู้เท่าพระพุทธเจ้า ฉันยืนยันอรหันต์ทุกองค์น่ะ รอบรู้ไม่เท่าพระพุทธเจ้า เพราะคำว่าสัพพัญญูไม่มี จะมีสิ่งที่ไม่รู้ ที่พระอรหันต์รู้แน่นอนไม่แพ้ใครก็คือ การละกิเลส แต่ความรู้รอบตัวนั่นยังก่อน

    ถ้าถามว่า ถ้าอย่างนั้นพระอรหันต์ที่สอนๆ ไม่สอนผิดหรือ ก็ต้องตอบว่าอรหันต์สอนไม่ผิดหรอก เพราะท่านจะสอนแค่ท่านรู้ ถ้าเลยรู้ท่านไม่สอน แต่อรหันต์ขั้นสุกขวิปัสสโกท่านรู้แค่ไหน ท่านละกิเลสได้แน่ เป็นอรหันต์ได้แน่นอน

    อรหันต์ต้องเป็นอรหันต์เหมือนกัน แต่ว่าความรู้พิเศษท่านรู้แค่ไหนท่านจะสอนแค่นั้น ถ้าถามเกินไปท่านบอกสิ่งนี้เกินวิสัยของท่าน ถ้าไปถามเตวิชโชหรือวิชชาสาม องค์นี้จะรู้มากหน่อยสุกขวิปัสสโก ถามเทวดา ถึงนางฟ้า ถึงพรหม ถึงมนุษย์ ถึงอะไรก็ตาม นรก สวรรค์ ท่านรู้หมด องค์นี้ เห็นหมดทุกอย่าง คุยได้หมดทุกอย่าง แต่ไปบอกท่าน ขอชวนไปเที่ยว ท่านบอกฉันยังไปไม่ได้ ฉันเห็นแค่นี้ ใช่ไหม

    ถ้าไปถามฉฬภิญโญเข้า ฉฬภิญโญฉันเห็นได้ ฉันไปถึงได้ทุกจุด ฉันทำได้ใช่ไหม ไปถามความรู้ความฉลาดหนักๆ เกินไป ท่านบอกไม่ไหว ฉันมีความสามารถแค่นี้

    ถ้าไปถามปฏิสัมภิทาญาณ ท่านบอกทุกอย่างฉันพร้อม แต่ต้องไม่เกินวิสัยของฉัน คำว่าเกินวิสัย คือเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้านี่ท่านทำไม่ได้ ใช่ไหม

    ฉะนั้นความรู้ในพระพุทธศาสนามี 4 ขั้น ก็ทำให้มันจบ 4 ขั้น ยังไม่ได้สักขั้นหนึ่งจะมาเบ่งว่ารู้ มันจะรู้ได้ยังไง โง่เง่าเต่าตุ่นและแต่น เลยตุ่นอีก (หัวเราะ)



    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 117 เดือนพฤศจิกายน 2533 หน้า 21-22)


    ขอลูกกับพระ


    ผู้ถาม : เรื่องการเกิดนะคะ บางคู่แต่งงานมาหลายปีแล้ว คุมกำเนิดไว้ไม่ให้มีลูกแต่พออายุมากเกิดความเหงาจึงอยากจะมีลูกอยากจะเรียนถามหลวงพ่อจะอธิษฐานอย่างไรดีเจ้าค่ะ ?

    หลวงพ่อ : ฉันไม่เคยทำลูกกับเขา ไม่รู้เรื่องจริงๆเรื่องนี้ ความรู้นี้ยังไม่เคยเรียน ให้ลองดูนะ ถ้าไปเจอะต้นไม้ใหญ่ที่มีสาขาใหญ่งามดี หรือพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เราเคารพ

    ขอท่านว่า "ถ้าคนดีจะพึงมีมาเกิด ถ้าหากว่าเป็นการไม่เกินวิสัยขอโปรดสงเคราะห์ด้วย" อาจจะได้นะ ได้หรือไม่ได้ไม่รับรองนะ

    แต่เรื่องนี้เมื่อสมัยก่อนๆ เคยช่วยเขา แต่วิธีช่วยไม่ได้ไปช่วยในบ้านเขานะ อย่าเข้าใจผิด มีนายทหารคนหนึ่งแกมาบอกว่า ภรรยาแกมีลูก 2 คน พอคลอดออกมาไม่ช้าก็ตายหมด อยากจะมีใหม่ให้ได้สักคนหนึ่ง

    ตอนนั้นคิดๆดูว่าใครเขาจะสงเคราะห์มั่งนะ มองไปมองมาก็เจอะเทวดาที่อยู่ล้อมๆอยู่หลายองค์ ถามว่ารู้จักใครสักคนไหมที่เขาจะมาเกิด ก็มีนางเทพธิดาคนหนึ่งจะเกิดถามว่าจะเป็นลูกคนนี้ได้ เขาให้สัญญาบอกว่าถ้าหากคนที่เป็นพ่อเลิกสุราได้เขาจะมาเกิด ถ้าเลิกสุราไม่ได้เขาไม่มาเกิด และเมื่อเขาเข้าสู่ในครรภ์แล้วทั้งบ้านต้องทรงศีล 5 ให้หมดตลอดชีวิต เขาก็ดี 2 คนผัวเมียก็ยอมรับ มีเกิดจริงๆ ไอ้เด็กคนนี้ฉลาดมาก เดี่ยวนี้ เลิกติดต่อไปแล้วขี้เกียจ

    แต่ว่าเวลาไปขอลูกกับพระระวังให้ดีนะ ถ้าขอให้เป็นคนตรงเสร็จ เมื่อตอนฉันเด็กๆ มีอยู่คนแกออกมาแล้วแกตรงเด่หมดเลย ทั้งกระดิกไม่ได้ เขาไปขอลูกหลวงพ่อวัดป่าเลไลย์ ขอให้เป็นคนตรงพอออกมาแกก็ตรงจริงๆ บังเอิญไปคนที่อยู่ไม่ไกลกันนัก เขาพาไปดูตรงแน่ว หูตาไม่กะพริบตรงหมด แกเป็นอยู่ตั้งหลายวันนะ

    ก็มีคนหนึ่งแกเป็นคนธัมมะธัมโมหน่อย ไปดูๆ ก็ถามว่าเวลาขอลูกเอ็งไปถามใครมา เขาบอกหลวงพ่อวัดป่าเลไลย์ ถามว่าขอยังไง บอกว่าขอให้เป็นคนตรง แกบอกไปขอใหม่บอกขอให้เป็นคนซื่อ คนตรงกระดุกกระดิกได้

    พ่อกับแม่ก็ไป ทิ้งลูกไว้กับย่า พ่อแม่ยังไม่กลับมาแกพลิกนั่งสบาย ตรงจริงๆ แหมนี่ใช้ศัพท์ไม่ครบก่อนนะขอให้เป็นคนตรง ถ้ามันงอได้ก็ไม่ตรงใช่ไหม

    *****ใครจะขอลูกกับพระ ก็จงระวังให้ดีนะ เดี่ยวจะเป็นดังตัวอย่างนี้อีก*****



    (จาก ธัมมวิโมกข์ ปีที่ 4 ฉบับที่ 37 หน้า 228-230)


    คุยเรื่อง ผี


    ดร.ปริญญาถามว่า แดร็กคูล่ามีจริงหรือเปล่าครับ แล้วก็ถ้ามีมันกลัวพระหรือเปล่าครับ

    ท่านเจ้าคุณไม่ตอบตรงแต่ตอบว่า แดร็กคูล่านี่อันที่จริงนี่นะ ก่อนจะมานี่คุยกันกับคนบ้านฉันนะอยู่ชุมแสง มีอาฉันนี่ยังอยู่ เขาเรียกหนองบัว คนละอำเภอกัน อาเขาจะมาหาเรานี่ เขาจะเล่าเรื่องผีปอบให้ฟังกันจังเลย ทีนี้อาเขามาเล่าเราก็ไม่เชื่อใช่ไหม เพราะคนเก่าอะไรอย่างนี้ไม่ค่อยเชื่อ

    เมื่อ 2-3 วันจะมาวัดนี่ จะมาบ้านสายลมก็มีคนที่รู้จักกัน สามีเขาเป็นครูใหญ่อยู่ที่นั่นเขาก็มาทำบุญที่วัดก็รู้จักกันบอกว่าบ้านอยู่แถวนี้ บอก ใช่ นี่โยมลองถามหน่อยสิ คือว่าโยมแฟนสามีเขาเป็นครูคนสมัยใหม่หน่อย นี่ครูใหญ่ไม่ใช่ตาสีตาสา เอ๊ะ ไอ้ที่บ้านนั้นเขาว่ามีผีปอบจริงไหม

    แกก็บอก เอ จะว่าจริงก็จริงนะ โอ้โฮ คนมันตายกันบ้างอะไรกันบ้าง กลางวันนะไม่ใช่กลางคืนนะ ข้าวสารมันอยู่ในถัง โอ่งอยู่อย่างนี้ คนก็ไม่มี แต่ข้าวสารมัน ปิ๊ว วิ๊วๆ คือมันสาดเต็มบ้านเต็มเมืองหมด คนก็ไม่มี แต่ข้าวสารมันกระจายกระจายออกจากโอ่ง เหมือนคนเอามือจับ บ้านช่องมันกว้าง แต่หาคนไม่ได้

    โบราณเขาคลอดลูกตามบ้าน ใช่ไหม เข้ารูตามบ้านนี่ อาเขาเล่าให้ฟังบอกร่องมันมีร่องอย่างนี้ มองไปเห็นฟันมันแยกยิ้มเห็นฟันซี่เท่าจอบ โอ้ แล้วมันจริง มันเข้าเขาจริงๆนี่

    ตามหลวงพ่อพูดเขาเรียกว่าสัมภเวสี สัมภเวสีพวกนี้อย่างเขาเลี้ยงผีนี่ ทีนี้หลวงพ่อยังพูดถึงจริงๆนี่ก็มีผีเลี้ยงนี่มันมีจริง สัมภเวสีนี่เขาเลี้ยงจริง อย่างที่หลวงพ่อที่ว่าไปเทศน์ที่ไหนที่เคยเล่าให้ฟังใช่ไหมที่สุพรรณฯ เดินไปผ่านทุ่งไปนี่ เกิดวันนั้นฝนตก เขานิมนต์ขึ้นบ้าน เจ้าของบ้านก็บอกนอนเรือนนี้นะ อย่าไปนอนเรือนโน้นนอนเรือนนี้

    ตกกลางคืนหลวงพ่อท่านก็บอก อีเรือนนั้นมันว่างๆทำไมไม่ให้นอนวะ มันจะให้มานอนที่มันบอกนี่ ตกกลางคืนที่เขาห้ามนอนท่านก็แอบไปนอนอีเรือนนั้น พอนอนไปสักประเดี๋ยว ผีก็หลอกละลอยหน้าแวบๆ ท่านก็เอาผ้ายันต์เกราะเพชรของท่านนี่อธิษฐาน อาราธนาบารมีพระแล้วก็แกว่ง ผีก็วิ่งหนีไป

    ดร.ปริญญา : แดร็กคูล่าก็แล้ว ผีปอบก็แล้ว เอาอีกสักผีแล้วกัน ผีอำเกี่ยวกับระบบประสาทผิดปกติหรือเปล่าครับ

    ท่านเจ้าคุณฯ : จริงๆหลวงพ่อท่านก็ว่าผีอำท่านก็เคยเจอ

    ยกทรง : มีประสบการณ์หรือครับหลวงพ่อ

    ท่านเจ้าคุณฯ : มีๆ ท่านเคยมาเล่าให้ฟังบอกคนนี่นอนตอน 4 โมง ผีมันจะอำ ทำไปทำมา บอกทับเส้นตรงนั้นตรงนี้ อะไรอย่างนี้เราก็ไม่รู้จะจับอะไรแน่ เดี๋ยวของจริงเดี๋ยวของปลอมอยู่อย่างนี้

    เรื่องผีนะ วันนี้นะ คุยเรื่องผีกัน ฉันนี่นอนตึกเสริมศรี ตึกเสริมศรีเขาว่าใครไปวัดท่าซุงจะรู้ว่าตึกเสริมศรีอยู่ตรงไหน อยู่ชายน้ำนั่นนะ ตรงนั้นเป็นห้องเจริญพระกรรมฐานเก่า ทีนี้ห้องมุมนั้นน่ะเป็นห้องของหลวงพ่อท่าน ท่านนอนอยู่คืนหนึ่งหรือสองคืนเราก็นอนข้างๆท่านไม่ได้ห่าง กลางคืนเราก็ตื่นมาดึกๆ เสียงหลวงพ่อ อื้ออ้าๆงึมงำๆ เราก็หวังดี ตอนเช้า (ถาม) หลวงพ่อครับ เมื่อคืนหลวงพ่อละเมอครับ (หัวเราะ) แหม รู้ดีเสียงงึมงำๆคุยคนเดียวอย่างนี้

    (หลวงพ่อบอก) "ไอ้ระยำ ละเมออะไรเล่าเทวดาเขามาบอก ขโมยมันจะมาเข้าวัด ข้าบอกถ้ามันมาให้ไปห่างๆอย่ามาเข้าวัดได้" เราก็นึกว่าหลวงพ่อละเมอ คนเก่งมาก

    (ตึกเสริมศรี) หลวงพ่อท่านก็ไม่ได้มานอนแล้ว เลิก ไม่นอน ฉันก็นอนแทน ไม่ได้นอนเตียงท่านหรอกนะ ยกเตียงท่านออกไปแล้วก็ปูกับพื้นนอนอยู่อย่างนี้ มันเป็นห้องมิดชิด ห้องมุมเป็นห้องมีประตูรูดปิดได้ ไอ้นอนเราก็ขี้เกียจสวดมนต์ บอก เอาเถอะ พรุ่งนี้เช้าค่อยสวดเถอะ เช้ามืดค่อยสวด ง่วงแล้วนอนละ

    พอนอนไปสักพักหนึ่งได้ มันมีตัวดำใหญ่ๆยืนอยู่ที่หน้าต่าง มันก็จี้มือมาที่เรา มันเอามือชี้มาอย่างนี้ พอเอามือจี้มาที่เรานี้ตัวดำใหญ่คับหน้าต่างเลย เราก็ โอ้โฮ มันตัวใหญ่จัง บอกมึงอย่าเล่นเลยว้า มึงอย่าเล่นๆ กูกลัว เดี๋ยวก็ไฟช็อตอย่างนี้

    เราก็ลืมตาเห็น มันก็เอามือลดลง เอามือลดลงใจเราสบาย มึงอย่าวะมึงอย่า มึงอย่าเล่น เดี๋ยวมันจี้มาอีกละมือจี้มาอีกอย่างนี้ อย่างกับไฟช็อตสั่นซ่าไปหมด ทำอะไรไม่ได้ มึงอย่าเล่นว้า มึงอย่าเล่น มันก็เอามือออก

    (นึกขึ้นได้) ไอ้ห่ะกูว่าแล้ว กูไม่ได้สวดมนต์ก่อนนอน ก็ลุกมาสวดตอนนั้นเลย รีบลุกมาสวด เดี๋ยวมันจะเล่นใหญ่สิ แสดงว่าผีก็ยังสอนเรา เทวดาที่นั่น เพราะตรงนั้นหลวงพ่อเคยบอกว่า เคยไปเป็นยามเฝ้านี่ พี่ชายพี่เอี่ยมเคยเห็นมันเดินซ่วบๆ ควักปืนจะยิงง้างไกไม่ออก

    ดร.ปริญญา : ผีถ้ามีมันจะกลัวพระหรือเปล่าครับ

    ท่านเจ้าคุณฯ : ผีจริงๆนี่มันกลัวพระพุทธเจ้า กลัวพระ อย่างฉันคงไม่กลัวเท่าไหร่

    ดร.ปริญญา : แสดงว่าผีกลัวพระก็มี ไม่กลัวพระก็มี

    ท่านเจ้าคุณฯ : คงอย่างนั้นแหละ แต่กลัวพระพุทธเจ้า กลัวทุกคน ผีนะ เป็นผีนี่นะต้องกลัว ไอ้กลัวไม่กลัว เพราะว่าท้าวมหาราชเล่นงาน ท่านเล่นงานเกือบตาย กลัวกันอยู่ตรงนี้ ใช่ไหม

    ยกทรง : เรื่องนี้หลวงพ่อเราก็ยังเคยโดนอยู่บ่อยๆเหมือนกันหรือครับ

    ดร.ปริญญา : ใช่ สมัยบวชพรรษาแรก

    ท่านเจ้าคุณฯ : ตอนเป็นพระอรหันต์แล้วนี่ก็โดน แต่ว่าเป็นผีที่เขาปล่อย หลวงพ่อท่านก็เคยเล่าให้เราฟังเขาปล่อยผีมาอย่างนั้นอย่างนี้นะ มาเล่นงานท่าน คล้ายว่าถ้าปล่อยมาเอาตายกันเลย เพราะว่าเราไม่รู้เรื่องเลย ปล่อยมาอย่างไรไม่รู้

    ก็ฝากเทวดาผู้รักษาวัดด้วยนะ ฝากเนื้อฝากตัวกับท่าน บอกไม่มีปัญญาแล้ว



    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 477 เดือนธันวาคม 2563 หน้า 24-26)


    ข้อห้ามที่นอนสูงใหญ่


    ผู้ถาม : ข้อที่ห้ามนอนที่นอนสูงใหญ่ แต่ว่าพื้นที่นอนเป็นหินอ่อน เราเอาผ้าห่มรองตัว อย่างนี้ได้ไหมคะ ?

    หลวงพ่อ : ได้ ที่นอนสูง ที่นอนใหญ่ ยัดด้วยนุ่นและสำลี อันนี้เขาป้องกันความ
    ลุ่มหลง ความฟุ่มฟือย ถ้าจิตมันไม่คิดไปในด้านกิเลส ฉันว่าทำได้ ไม่เห็นแปลก

    (หลวงพ่อได้กรุณาอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า)

    หลวงพ่อ : ศีล 8 นี่เป็นตัวธรรมเสีย 4 ข้อ เป็นตัวศีลเสีย 4 ข้อ ถ้าผิดข้อ ปาณา...
    อทินนา... มุสา... สุรา... ลงนรกแน่

    แต่ตัวธรรม คือ... อพรหม... วิกาล....นัจจคีตะวา... มาลาคันธะ... อุจจาสยนะ... ถ้าพลาดมันไม่ลงนรกนะ

    ข้ออพรหมจริยาเวรมณี... ถ้าเราละเมิดเฉพาะสามีภรรยาของเรา
    ไม่ได้ประพฤติล่วงเกินสามีกรรยาผู้อื่นไม่ได้ขาดกาเม ตัวนี้เป็นธรรม

    ข้อวิกาลโภชนาเวรมณี ข้อนี้เราไม่ได้ฆ่าสัตว์ มันบาปที่ไหนล่ะ

    ข้ออุจจาสยนะ คือไม่นอนในที่นอนสูง ที่นอนใหญ่

    ข้อมาลาคันธะ คือไม่ทัดดอกไม้และของหอม อันนี้ไม่ได้ทำอะไรใคร

    ความจริงที่เรารักษาน่ะ มันเป็นศีล 9 นะ ข้อ 7 มันเหมาเป็น 2 อย่าง

    ถ้าเป็นศีล 10 ก็เพิ่มชาตรูปะ...อีกข้อหนึ่ง ศีลขัอนี้เขาห้ามจับเงินและทอง แต่ถ้าจิตมันติดอยู่ จิตมันผูกพัน ถือว่าเป็นลาภสักการะ อันนี้ผิด

    แต่ถ้าจิตไม่ติดอยู่ มันก็ไม่เป็นไร ทีนี้ถ้าจิดมันติด เขาเอาเงินมาให้ปั๊บ แหม... ดีใจ อย่างนี้ผิด"

    (ท่านคงมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นบ้างนะครับ เกี่ยวกับการรักษาศีล บางข้อเป็นธรรมะ เราประพฤติเพื่อพรหมจรรย์ เพื่อความบริสุทธิ์ของเราเอง ไม่ได้เบียดเบียนใครให้เดือดร้อน เมื่อผิดพลาดไปจึงไม่ถึงกับตกนรกเหมือนกับการผิดศีล)

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับรวมเล่มปีที่ 1 หน้า 556-557)


    เรื่อง..พระพุทธสิหิงค์


    พระพุทธสิหิงค์นี่ตามประวัติจริงๆ ท่านเป็นองค์จริง ท่านไม่ใช่องค์เทียม องค์ไหนองค์เทียมเราก็ไม่รู้ พระพุทธสิหิงค์ตามตำนานบอกว่าสร้างที่ลังกา แต่เวลาที่จะสร้างนี่ให้พระอรหันต์ ขอพระอรหันต์ขึ้นไปดูพระพุทธเจ้า ก็ไปขอดูพระรูปพระโฉมในสมัยที่เป็นมนุษย์ และก็ทำก็สวย องค์จริงๆสวยมาก แต่ว่าก็ไม่เหมือน ปั้นจะให้เหมือนกันไม่ได้ เพราะว่าคนปั้นไม่เห็นภาพ คนเห็นภาพเป็นคนบอก ก็ลำบากนะ ถึงยังงั้นก็ยังดี ก็ไปนั่ง นั่งดูจริงๆนะนั่งไม่เบื่อ องค์แท้นะ

    ทีนี้มีกี่องค์ก็ไม่ทราบ แต่เขาลือกันว่าแกหล่อเทียมไว้ก็มี ทางราชการเขาอาจจะเอาองค์จริงเก็บ เพราะว่าถ้าองค์จริง ราคาก็สูง ดีไม่ดีขโมยไปกินเสียอีก

    "อยู่ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ใช่ไหมครับ ?"

    องค์เมื่อก่อนนี้อยู่ที่นั่น

    "เดี๋ยวนี้ก็คงจะอยู่"

    ที่ยังอยู่นั่น สงสัยองค์ไหน องค์พี่หรือองค์น้อง แต่ว่าองค์ที่ยังอยู่นี้ก็สวย สวย เราก็ไม่รู้ นั่งดูๆ แล้วก็ไม่เบื่อนี่ อย่างพระพุทธชินราชก็ไม่เบื่อ ที่ดีเพราะว่าให้เขาทำกันได้ เขาไปดูเขามาเองดีสบายใจ นี่พวกนี้แกไม่ต้องคือว่า ย้งงั้นก็ดีเพื่อความมั่นใจ

    ถ้าสงสัยกันทีก็นั่งหลับตากันที เขียนๆ ไปเดี๋ยวแกก็นั่งหลับตา พอลืมตาเขียนต่อไป เเต่ความจริงถ้าแกคล่องดีไม่ต้องไปหลับตา กำลังทำอยู่นี่มันจะได้ภาพตลอด ใช่ไหม อันนี้ก็ต้องใช้เวลานิดหน่อย คือว่าต้องใช้เวลานิดหน่อย ต้องใช้เวลานิดหน่อยนี่หมายความว่าอารมณ์ แต่เมื่อก่อนลำบากเหมือนกัน

    อย่างพระออกธุดงค์ พระออกธุดงค์นี่ต้องใช้อารมณ์ตลอด รักษาอารมณ์อยู่ตลอดเวลา ขณะเดินกันอยู่ขณะคุยกันอยู่ อารมณ์ก็ต้องสัมผัสกันตลอด เวลาคุยไปคุยมานี่ ใครมาจะได้รู้ คำว่าใครมาไม่ไช่โจรมา ผีมา จะได้รู้ผีชั้นไหนมา บางทีคุยๆกันปั๊บ อ้าวต้องเปลี่ยนเรื่องกันทันที เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเรื่องที่คุยนี่ผิด คุยไปๆ เราตีความหมายคำสอนพระพุทธเจ้า ความจริงธุดงค์จะคุยจ๊อกแจ๊กอย่างนี้ไม่ได้ จิตมันต้องคุมอยู่ตลอดเวลาเพราะเราไม่รู้ว่าเสือจะมากินเมื่อไหร่ ใช่ไหม

    ทีนี้ทั้งๆที่เราใช้อารมณ์อยู่นี่ เรื่องธรรมะพระพุทธเจ้าเนี่ยลำบาก ถ้าทำตามขั้นตามลำดับที่ ถ้าหากว่าเราทำไม่ถึงนะผิดแหง ตีความหมายผิด ผิดจริงๆ อย่างทำถึงปฐมฌานแล้วอธิบายฌานที่ 2 ผิด ได้ฌานที่ 2 แล้วไปพูดฌานที่ 3 ผิด รับรองว่าผิดต้องผิดแน่ๆ เพราะถ้าอารมณ์ไม่ถึงมาว่าทำไมจึงผิด

    เพราะว่า ความรู้สึกของเรา กับ อารมณ์ที่ได้จากจิต มันไม่เหมือนกัน ตีความหมายเอาเอง

    ของที่ง่ายที่สุดก็คือ วิตก วิจาร

    ปฐมฌานมีองค์ 5 มี วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา

    ถ้าฌานที่ 2 มีองค์ 3 มี ปีติ สุข เอกัดคตา ตัดวิตก วิจาร แค่นี้ เวลาปฏิบัติจริงไม่รู้ พอจิตเข้าถึงฌานที่ 2 ปุ๊บจิตตัดภาวนา มีปีติเต็มที่ เหลือปีติ สุข เอกัคคตาปั๊บมันก็สบายดิ่งจิตสงัด พอสงัดพอจิตตก สมาธิมันเคลื่อนปั๊บถึงอุปจารสมาธิ มันต้องค้างแค่นั้น นึกว่าตายหลับไปหรือไงหว่าเมื่อกี้นี้ แค่พุทโธจับต้นชนปลายไม่ถูก และก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร

    แค่นี้เคยอ่านหนังสือมันคล่อง เวลาปฏิบัติจริงไอ้ตัวดิ่งสงัดไป เพราะเราเคยหยาบ รู้ตลอดใช่ไหม ปฐมฌานมันรู้ตลอด รู้ทั้งคำภาวนา พอเราตัดวิตก ไอ้ วิตก แปลว่า ตรึก วิจาร แปลว่าตรอง นี่เราก็จำได้แต่เป็นตรอง ตรึกตรองเราภาวนาอยู่

    ไอ้ตัวนึกว่าจะภาวนามัน ตรึก(วิตก)

    ภาวนาถูกหรือผิด ครบหรือไม่ครบนี่ ตรอง(วิจาร)

    อันนี้ไม่เข้าใจ พอมันตัดมันก็ตัดตัวนี้ เพราะมันตัดที่ วิตก วิจาร มันตัดเองแล้วดิ่งสบายสงัด มันก็รู้สึกว่ามันไม่หลับ แต่มันสบายสงัดมาก พอจิตตกฮวบมา ความรู้สึกตัวเต็มที่ อ้าว..ตายเมื่อกี้หลับหรือไง เราไม่ภาวนานี่ แย่ จับภาวนาจับไม่ถูก แค่พุทโธสองคำไม่รู้จะเอาอะไรดี นอนด๊อกแด๊กๆ เคยเห็นหรือเปล่า

    "เคยครับ"

    นี่แค่นี้ ฉะนั้นพระที่เราไปคุยอะไรกับท่าน หากว่าท่านเข้าใจคิดว่าเราจะหาเรื่องธรรมะ แต่ท่านเข้าใจเรานะ หากว่าท่านเข้าใจเรา หากว่าท่านรู้ว่าเราไม่เอาถ่าน ท่านก็คุยได้ทุกอย่าง ถ้าคุยเอาเรื่องจริงๆ ท่านจะไม่คุยในส่วนที่ก้าวไปไม่ถึง อย่างจะไปหาท่านที่ได้ปฐมฌาน แต่ว่าฌานที่ 2 ไม่ได้ ท่านก็ไม่พูดเรื่องฌานที่ 2 ก็จะพูดเฉพาะปฐมฌานเพราะท่านรู้ถ้าขืนพูดไปก็ผิดเรื่องฌานที่ 2 ท่านก็ไม่ยอมพูดเรื่องฌานที่ 3 เพราะอะไร เพราะไอ้จุดที่ได้มาแล้วกับเราเข้าใจตำรามันต่างกันเยอะ ผลนะ


    (จากธัมมวิโมกข์ เล่มที่ 159 เดือนพฤษภาคม 2537 หน้า 15-17)



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2024
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,799
    กระทู้เรื่องเด่น:
    79
    ค่าพลัง:
    +225,513
    30624366_1571218686266460_1964200875011517987_n.jpg
    ความแค้นเกิดขึ้นเมื่อจิตสงัด


    ผู้ถาม : เวลาปฏิบัติพระกรรมฐาน พอจิตเริ่มสงบสงัดความแค้นก็เกิดขึ้นทันที แล้วก็แก้ไม่ตกสักที ขอหลวงพ่อแก้แค้นให้หน่อยเจ้าค่ะ

    หลวงพ่อ : อ้อ...นี่ไปแค้นใคร เอาชื่อมาให้ฉัน ฉันจะฝังดินให้

    ผู้ถาม : (หัวเราะ) พอจิตไม่สงบก็ไม่แค้น พอสมาธิสงบ แหม...มันก็แค้น

    หลวงพ่อ : เรื่องนี้ดีมาก ที่ญาติโยมและที่ถาม ถามดีการเจริญพระกรรมฐานนี่ต้องพิจารณาถึง "มาร 4 อย่าง" ให้มาก

    ผู้ถาม : เป็นไงครับหลวงพ่อ มาร 4 อย่าง

    หลวงพ่อ : มาร แปลว่า ผู้ฆ่า ใช่ไหม มาร 4 อย่างคือ 1. กิเลสมาร 2. มัจจุมาร 3. เทวปุตตมาร 4. ขันธมาร

    มารแปลว่า ผู้ฆ่าความดี พระพุทธเจ้าท่านบอกมี 4 อย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีความสำคัญๆก็คือ กิเลสมาร กับ ขันธมาร รบกวนเราเรื่อย

    ขันธมาร หมายความว่าเวลาจะทำความดี ปฏิบัติกรรมฐานทำสมาธิจิตหรือทำบุญทำทาน ไอ้ความป่วยไข้ไม่สบายมันเข้ามาขวาง อย่างนี้เรียกว่า "ขันธมาร"

    อย่างที่โยมถามมาเมื่อกี้นี้เป็น "กิเลสมาร" ตัวนี้สำคัญ ต้องถือว่าคนนี้เป็นคนที่น่าชมมาก คนดีนะคนนี้เพราะอะไร เพราะยามปรกติไม่โกรธใช่ไหม แสดงว่าอารมณ์หยาบหมดไป ไอ้กิเลสหยาบที่โกรธหมดไป

    ทีนี้เวลาที่จะทำจิตละเอียดเกิดความแค้นขึ้นมา กระตุ้นขึ้นมา ตัวนี้ไอ้กิเลสที่เป็น "อนุสัย" ตัวละเอียด อย่างนี้ถือว่าเขาชนะมากแล้วนะคนนี้นะ อย่างนี้ถือว่าชนะหยาบต่อสู้กันละเอียดแล้ว ถ้าต่อสู้กับละเอียดชนะก็จะชนะเด็ดขาดเลย วิธีทำแบบนี้ก็เคยมีมาด้วยกันทุกคนนะ ฉันก็เคยเจอมา

    ผู้ถาม : หลวงพ่อก็เคยมีเหมือนกันเหรอครับ

    หลวงพ่อ : มี ทุกอย่างที่ถามมามีทุกอย่าง

    ผู้ถาม : อ้อ มีครบเลยนะ

    หลวงพ่อ : มีครบถ้วน เพราะเลวมีครบถ้วน

    ผู้ถาม : เอ้อ...เป็นพระมีเลวเหมือนกันหรือครับ ?

    หลวงพ่อ : เลว...ถ้าพระไม่เลว บวชอยู่ไม่ได้

    ผู้ถาม : เอ๊ะ....เป็นยังไงครับหลวงพ่อ

    หลวงพ่อ : ถ้าพระดีเขาไม่ต้องบวช ไปนิพพานเลย

    ผู้ถาม : อ้อ !

    หลวงพ่อ : อรหันต์ใช่ไหม

    ผู้ถาม : ครับ

    หลวงพ่อ : ฉันมันเป็นกังหันนี่ หมุนดะ แต่ว่าเมื่อกี้ถามว่ายังไงนะ วิธีแก้ใช่ไหม ?

    ผู้ถาม : ครับวิธีแก้

    หลวงพ่อ : ถ้ารู้สึกตัวมา ถ้าอารมณ์ระงับ ก็ถอยหลังคิดว่า อารมณ์จิตอย่างนี้ไม่น่าจะมีกับเรา เพราะว่าตามปรกติเราก็ให้อภัยอยู่แล้ว ทำไมเวลาจิตสงบสงัดจะต้องมาคิดอย่างนี้ ให้คิดว่าอันนี้ไม่ควร อารมณ์อย่างนี้ ให้คิดแค่นี้ว่าอันนี้ไม่ควร อารมณ์อย่างนี้มันจะมีไม่นานนัก ถ้าเวลาเลิกจิตสบายแล้วก็คิดว่า อันนี้มันผิดไปแล้วไม่ควรจะทำให้เศร้าหมองแบบนี้ ความดีที่มีอยู่จะคุ้มครองไม่ได้เมื่อเวลาตาย ถ้าเวลาตายจิตเศร้าหมองแบบนี้เราต้องลงอบายภูมิ

    2-3 ครั้งมันจะหายค่อยๆเรื่อยๆ ไปไม่ช้ามันจะหาย

    อันนี้ดีมากต้องขอชม คนนี้กิเลสหยาบเฉพาะ โทสะ ผ่านไปแล้ว อันนี้ต้องน่าคิด

    ผู้ถาม : ควรแก่การอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง

    หลวงพ่อ : ใช่ ควรแก่การรับ "ทาน"

    ผู้ถาม : เอ๊ะ

    หลวงพ่อ : อ้าว....พระ "ให้" ไม่มี มีแต่ "ขอ" อย่างเดียว

    ผู้ถาม : อ๋อ.....

    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 45 หน้า 87-89)
     
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,799
    กระทู้เรื่องเด่น:
    79
    ค่าพลัง:
    +225,513
    1_original3.jpg
    ฝึกมโนฯ ไม่ให้สลายตัว

    ผู้ถาม : มโนมยิทธิที่ฝึกได้แล้ว ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้หนีคะ ?

    หลวงพ่อ : ก็ใช้ไปเรื่อยๆซิลูก อย่าทิ้งถ้าไม่ให้หนี ทุกวันต้องขึ้นนิพพานทุกวันตอนเช้ามืด อย่างนี้ไม่มีทางหนี พระนิพพานต้องใช้อารมณ์สูงสุดอยู่แล้ว และจิตละเอียดที่สุดจึงถึงนิพพานได้

    เช้าตื่นมาปั๊ปรวมรวมกำลังใจไปนิพพานทันที ถ้าทางที่ดีก่อนหลับ หัวถึงหมอนไม่ต้องนั่งหรอก ขึ้นไปนิพพานก่อนซัก 2-3 นาที แค่นั้นแหละ จะไม่สลายตัว

    แต่ว่าจงอย่าไปคิดอยากเห็นภาพชัดอย่างนี้ไม่ได้นะ เอาความรู้สึกเป็นสำคัญลูก เรื่องภาพชัดนี่ไม่แน่ เดี๋ยวชัดเดี๋ยวไม่ชัด มันเกี่ยวกับร่างกาย ให้ถือความรู้สึกเป็นสำคัญ

    ผู้ถาม : ถ้ามีอารมณ์เป็นมิจฉาทิฏฐิบ่อยๆ จะแก้อย่างไรคะ ?

    หลวงพ่อ : ก็แก้เป็นสัมมาทิฏฐิซิ ก็ต้องคอยระวัง ใช้ปัญญาเอาเหตุเอาผล มันต้องมีลูก มีแน่ ถ้ามีบ่อยเราก็ต้องตั้งท่าสู้ ตื่นเช้าปั๊ปอารมณ์อย่างนี้มันต้องไม่มีกับเรา แต่อดเผลอไม่ได้ ถ้าเผลออะไรบ้าง คิดว่าเราจะไม่ยอมให้มีอีก ก็นั่งไล่เบี้ยบารมี 10 เสียซิ

    นี่พระพุทธเจ้าท่านบอกหลวงพ่อมาให้เขียนไว้ข้างที่นอน อย่าไปทะนงว่าเราจำได้ เขียนตัวโตๆให้ตาเรามองเห็นสะดุด นั่งไล่เบี้ยว่าบารมี 10 มีอะไรบ้าง วันนี้เราจะไม่พร่องในบารมี 10 ต้องไล่ทุกวัน อย่านึกว่ามันไม่พร่อง อดพร่องไม่ได้ ถ้าทำจนชินนี่มันไม่พร่อง

    (จากธัมมวิโมกข์ เมษายน 2536 หน้า 95)

    ชอบเจริญพุทธบุพพวัตร

    ผู้ถาม : กระผมเป็นฆราวาสแต่มีใจชอบเจริญพุทธบุพพวัตรในหัวข้อที่ว่า เอ๊ะ ฆราวาสต้องกินชีนะ กินอาหารมื้อเดียว ทำมาอย่างนี้โดยตลอด ไม่ทราบว่าจะมีอานิสงส์เป็นไปข้างหน้าอย่างไรครับ ?

    หลวงพ่อ : อานิสงส์ปัจจุบันคือ 1. เปลืองอาหารน้อย (หัวเราะ) กินเวลาเดียว 2. มีเวลาทำงานมากขึ้น ข้างหน้าต่อไปอานิสงส์ใหญ่คือตาย

    ก็แค่กินเวลาเดียวยังวัดสถานอะไรไม่ได้เลย อย่าไปนึกว่ามันดีมันเด่นกับใครเขานะ กินเวลาเดียว กิน 2 เวลา กิน 3 เวลา มีความหมายเสมอกัน สำคัญว่าใจตัดกิเลสได้หรือเปล่า เขาเอากันตรงนั้น ถ้าถือแค่กินนี่มันเป็นมานะทิฏฐิเป็นกิเลสหยาบอีกอย่างหนึ่งตายเร็วมาก อย่าไปนึกว่าดีนะ และถ้านั่งคุยว่านี่ฉันกินเวลาเดียว เสร็จเลย โอ้อวด นี่เป็นมานะกิเลส พังเลย

    ผู้ถาม : อย่างนี้แทนที่จะไปดี ก็เลยไป......

    หลวงพ่อ : ก็ไปดี หมายความว่าก่อนจะไปเปลืองน้อย เวลาตายก็เห็นจะแบกเบาหน่อย แต่ก็ไม่แน่ขึ้นอืดนี่ก็หนัก เพราะฉะนั้นอย่าถือเป็นเรื่องสำคัญนะ ไอ้กินเวลาเดียว 2 เวลา กินเนื้อสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์นี่อย่านะ อย่าถือเป็นเรื่องสำคัญ

    ถ้าคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ต้องตอบอย่างหลวงปู่แหวน เคยมีคนมาเล่ามีคนหนึ่งแกบอกหลวงปู่แหวนว่า "เวลานี้ผมถือมังสวิรัติครับ ไม่กินเนื้อสัตว์" หลวงปู่แหวนท่านบอก "ไอ้วัวควายกินหญ้าตั้งนานไม่เห็นเรียกพระอรหันต์ซักตัว" ตอบนำสมัย ไม่ใช่ทันสมัย ถ้าเรื่องเป็นความจริงตามนั้น แต่การกินไม่มีความหมายในการปฏิบัติ แต่ปฏิบัติจริงๆมันอยู่กับ

    1. เข้าถึงสะเก็ดพระศาสนาแล้วหรือยัง ?

    2. เข้าถึงเปลือก เข้าถึงกระพี้ เข้าถึงแก่นแล้วหรือยัง

    เข้าถึงแก่นนี่ยังใช้ไม่ได้นะ ยังเป็นเหยื่อของอบายภูมิ จะต้องเข้าถึงพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ เขาวัดกันตรงนี้ อย่าไปวัดแค่กิน

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 146 เดือนเมษายน 2536 หน้า 93)


    ขายพระ


    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา คือว่าลูกมีพระสมเด็จพระระฆัง ก็จะให้เขาเช่าไปแล้วก็จะเอาเงินไว้รับประทานบ้าง แบ่งทำบุญกับวัดท่าซุงบ้าง อย่างนี้จะบาปจะมีกรรมจะมีเวรหรือเปล่าเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : ความจริงก็ไม่เห็นจะเป็นไรนี่นะ จะถือว่าปรามาสก็ไม่ถูก ใช่ไหม เพราะเขาให้ราคาแพง แต่ความจริงสมเด็จวัดระฆังนี่ฉันทำได้นะ ใครจะซื้อแพงๆ ฉันทำขาย (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : หลวงพ่อมีสูตรหรือครับ ?

    หลวงพ่อ : มี เอาไหม สูตรขี้ยานะ ที่นี่เขาจะฟังกันหรือเปล่านี่ก็พูดไถลเถลือกไป

    1. มีข้าวสุก
    2. มีกล้วยน้ำว้าสุกงอมๆ
    3. มีปูนขาว
    4. ถ้าต้องการให้แตกลายงามากหรือน้อย ใช้น้ำตาลสีดำน้ำตาลทรายแดงนั่นแหละนะ ต้องการให้แตกลายงามากใช้น้ำตาลทรายแดงมาก ต้องการแตกลายงาน้อยใช้น้ำตาลสีดำน้อยน้ำตาลทรายแดงแหละนะแค่นี้ แล้วก็น้ำมันตั้งอิ้ว น้ำมันตั้งอิ้วทำให้แข็ง เท่านี้แหละเรื่องกล้วยๆ

    แต่สูตรนี้เมื่อปีพ.ศ. 2500 เห็นคนขี้ยาแกทำขาย แกขายที่แผงวัดมหาธาตุ แกมีแผงตั้ง 3 แผงนะ แผงตัวแก แผงเมียแล้วก็แผงลูกชาย อาทิตย์แกวางไว้ที่แผงแก 1 องค์ ขายอาทิตย์ละองค์ ใครไปถามแกแกก็บอกก็แลกกันไปแลกกันมา แกตีราคาตามคน แพงนะ อาทิตย์ที่ 2 วางแผงเมีย อาทิตย์ที่ 3 ไปวางแผงลูกชาย แกขายอาทิตย์ละองค์เท่านั้นแหละ แกขายได้ทุกอาทิตย์ แกก็ไม่ได้โกหกบอกว่าถ้าชอบใจก็เอาไปซิ ไม่ชอบใจก็แล้วไป

    ต่อมาไปขอเรียนสูตรแกเข้า แกเอา 500 ฉันก็เลยไม่เรียน ให้เณรย่องดู (หัวเราะ) ไม่ใช่ขโมย ให้เณรไปเจริญพระกรรมฐานเป็นพุทธานุสสติ เพราะรูปพระนั่นเป็นรูปพระพุทธเจ้านะ เณรก็กะเหลี่ยมๆไปแอบมองฝาดูจำสูตรได้ ฉันก็มาทำเป็นองค์ที่ 3

    องค์ที่หนึ่งนักเลงเล่นพระไปเขารู้เลยปลอม

    องค์ที่สองชักดูกันนานหน่อย เราไม่รู้สูตรแน่นอน ใช่ไหม

    องค์ที่สามเอาได้เลยเรียบร้อยดีแล้ว แต่ว่าพอทำเสร็จนะให้แช่น้ำหมากหรือว่าน้ำชาแก่ๆ ใช่ไหม แล้วก็มาขัด ขัดแล้วก็เอาใบกล้วยใบตองขัดอีกที แกขึ้นเป็นเงามันปู ใช่ไหม

    แล้วต่อมานักเลงพระเยอะแยะเลยไปดูกัน ฉันไม่ออกชื่อนะกลัวแกจะเสียชื่อ แกก็เอาแว่นไปส่อง ส่องไปส่องมา รุ่งขึ้นแกก็พาพวกไป 5-6 คน ไปๆมาๆแกตีราคาให้ 4,000 บาท ก็บอกนี่คุณ ถ้าฉันไม่นุ่งผ้าเหลืองนะ ฉันเอาแหงๆเลย ถามทำไม ไอ้นั่นของคุณน่ะทุบทิ้งได้ ฉันทำเองจ๊ะ หงายท้องผึ่งเลย แกยังหาว่าโกหกอีก ก็ฉันเสียดาย ถ้านุ่งกางเกงนะ อาจารย์ฉันรวยแหงๆเลย

    แต่ว่าแกขาดความสังเกตุ ถ้าพระเก่าจริงๆ เนื้อจะเบาเพราะส่วนที่เป็นน้ำแห้ง ใหม่จะมีความชุ่มตัวอยู่ หนัก นี่ขาดความสังเกตุจุดนี้นะ เอาแว่นขยายมากเกินไป

    ก็เป็นอันว่าขายแล้วทำบุญบ้างกินบ้าง ไม่เป็นไรนะ ไม่ใช่เป็นปรามาส

    เพราะ "ไม่ได้ทำเป็นการค้า" นี่ แต่ว่าเขามีความจำเป็น ฐานะก็ไม่สู้จะดี


    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 6 ฉบับที่ 55 หน้า 30-31)


    ผู้ที่ลืมแก้บน

    เนื่องในวันวิสาขบูชาที่ผ่านมานี้ (8 พ.ค. 2533) หลวงพ่อได้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ท่านได้เตือนผู้ที่เคยบนไว้แต่ลืมแก้บน และจำไม่ได้ว่าบนอะไรไว้บ้าง

    ต่อมามีผู้มาถามกันมากว่าควรปฏิบัติอย่างไร หลวงพ่อท่านได้แนะนำไว้ว่า ให้จัดของแก้บนดังนี้

    1. บายศรีปากชาม 7 ชั้น
    2. ข้าวปากหม้อ
    3. ไก่ต้ม 1 ตัว
    4. หัวหมู 1 หัว

    ท่านให้ปูผ้าขาวตั้งเครื่องสังเวยเหล่านี้บนโต๊ะกลางแจ้ง จุดธูปเทียนอธิษฐาน

    "ขอให้ท่านผู้มีพระคุณได้โปรดรับเครื่องสังเวยที่ข้าพเจ้าได้เคยบนไว้ และขอให้อดโทษแก่ข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเถิด"

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 207 เดือนมิถุนายน 2541 หน้า 88)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2021
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,799
    กระทู้เรื่องเด่น:
    79
    ค่าพลัง:
    +225,513
    คำอาราธนาพระ
    คำอาราธนาพระ.jpg

    แก้ผ้าสะเดาะเคราะห์


    ผู้ถาม : ดิฉันหลงผิดไปหาหมอเทศน์ 108 ฝั่งธนฯ ให้สะเดาะเคราะห์ โดยให้ดิฉันแก้ผ้า แล้วแกก็เอาเทียนมาจี้ตามจุดต่างๆในร่างกาย โดยเสียด่าครูไปครั้งละ 3,500 บาท เขาบอกให้ดิฉันไปถึง 5 ครั้งจึงจะหมดเคราะห์ ถ้าไม่ไปมันจะเสกให้เดือดร้อนใหญ่ จึงบากหน้ามาพึ่งบารมีหลวงพ่อให้ช่วยแก้หน่อยเถิดเจ้าค่ะ

    หลวงพ่อ : แก้ผ้าเฉยๆไม่เสียสตางค์นั้นไม่เป็นไรนะ นี่ครั้งละ 3,500 ไม่ใช่ 3,500 แล้วจบเกมส์นะ นี่ให้ไปถึง 5 ครั้ง

    โอ้โฮ ตายแล้ว อย่างนี้ดีกว่า ไม่ไปดีกว่า ถ้าไม่ไปก็เดือดร้อนเท่านั้น ถ้าขืนไปก็เดือดร้อนมากกว่านั้น เดือดร้อนมากกว่าเดิม เอ๊ะ เทวดาตั้ง 108 องค์ก็แบ่งกันได้ไม่เท่าไหร่นะ (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : เอ...แปลกนะแบบนี้ก็มีคนหลงเชื่อเหมือนกันนะ

    หลวงพ่อ: ไม่ใช่หลงเชื่อ ตั้งใจเชื่อเลย จ้างเชื่ออีกด้วย ขนาดจ้างเขานะ 3,500 เป็นค่าจ้างนะ

    นี่คุณจงคิดว่า ถ้ากฎของกรรม กฎของอทินนาทานเดิมเข้ามาสนองใจ ก็ต้องเห็นผิดเป็นชอบยอมเสียตาม นี่แหละเป็นเรื่องของธรรมดา ใครๆก็เหมือนกันละนะ

    ผู้ถาม : นี่มาหาหลวงพ่อเสียตั้งแต่แรกก็ดี

    หลวงพ่อ : ก็จ่ายเสียรวดเร็ว 50,000 ก็หมดเรื่องไป รับรองว่าหายแน่

    ผู้ถาม : อะไรหายครับหลวงพ่อ?

    หลวงพ่อ : คนหายไปเลย ไม่มาอีกเลย เข็ด คนสะเดาะเคราะห์หาย เข็ด

    ทีหลังไม่ต้องไปอีกนะ บอกเขาด้วยนะ...ไม่จำเป็น

    ผู้ถาม: เรื่องพระเข้าพระแทรกนี่ ก็คิดว่าเราทำบุญทำกุศลกันมากอะไรต่ออะไร มันจะให้ผลส่งกลับไปสะเดาะเคราะห์อะไรหรือเปล่าครับ?

    หลวงพ่อ : ความจริงมันเป็นกฎของกรรม ตามที่เขาเรียกว่า พระราหูเข้าพระเสาร์แทรก เนื้อแท้จริงๆแล้วเขาเป็นกฏของกรรมเดิม

    อันนี้ถ้าหากเรามีจิตเป็นกุศลเป็นกำลังสูง มันก็บรรเทา หายเลยมันไม่ได้นะ มันบรรเทาลง


    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 6 ฉบับที่ 53 หน้า 42-43)


    1417652_550740488333614_406970392_o-jpg.jpg
    Cr. ภาพจากเพจ วัดบุปผาราม

    พระราหูเสวยอายุ

    ผู้ถาม : มีคนเขาบอกกับดิฉันว่าตอนนี้ราหูกำลังเสวยอายุ ให้มาทำรับเสียกับพระ อยากจะเรียนถามกับหลวงพ่อว่าที่วัดมีราหูหรือเปล่าเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : ที่วัดมีทั้งราหูราตานะ ราหูหมายถึงพูดให้ได้ยิน ราตาหมายถึงตอนมองเห็นไง

    นี่พระราหูเขาให้แก้กับพระ นั่นหมายความว่าคนแนะนำนะให้ไปแก้กับพระ นั่นมันเสียสตางค์ไม่มาก ถ้าหากไปสะเดาะเคราะห์รับพระแบบนี้นะ

    ถ้ามีสตางค์หน่อย 7-8 หมื่นสบายๆ อย่างกล้วยๆก็ 10,000 สมัยนี้ราคาจริงๆ เดี๋ยวนี้เงินมันตกลงไปนะ ความจริงไม่น่าจะถึง 100 บาท

    มีอะไรล่ะ ดอกไม้สีเขียว 12 กระทง เทียน 12 เล่มธูป 12 ดอก ข้าวตอก 12 กระทง ธงสีดำ
    12 อัน อันนี้แหละจุดศูนย์กลางใหญ่

    ถ้าจะแถมนะ ไปวัดเทพฯแถมเงิน 12 พัน ถ้าไปวัดท่าซุงแถมเงิน 12 หมื่น ไม่จำเป็นนะ ความจริงเขาทำกันแค่นี้

    ดอกไม้สีดำมันหายาก ก็ใช้ดอกไม้สีเขียวๆนะ ไม่แดง ไม่ฉูดฉาดก็แล้วกันก็ 12 กระทง ข้าวตอก 12 กระทง ธูป 12 ดอก เทียน 12 เล่ม

    ถ้าจะเป็นสตางค์ ก็ไส่ไปกระทงละ 1 ก็เป็น 12 เหมือนกันจะเป็น 12 บาท 12 สลึงก็ได้ 12 สตางค์ก็ได้

    เท่านี้แหละไม่มีอะไรมาก


    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 6 ฉบับที่ 53 หน้า 42)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2024
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,231
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    LpRuesriAnger.jpg
     
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,799
    กระทู้เรื่องเด่น:
    79
    ค่าพลัง:
    +225,513
    หลวงพ่อบอกว่า ปีใหม่นี้ขอให้อธิษฐานไว้เสมอๆว่า "ขอคำว่าไม่มี จงอย่าได้มีแก่ข้าพเจ้า" แล้วจะมีผลจริงๆ

    ก่อนวันขึ้นปีใหม่ หลวงพ่อยังแนะนำให้อธิษฐานอย่างนี้เลยว่า "ขอความซวยจงหายไปกับปีเก่า และความรวย ความโชคดี จงมากับปีใหม่"

    ที่มาของคำอธิษฐานเป็นอย่างนี้.....


    คำอธิษฐานปีใหม่


    ผู้ถาม : ที่หลวงพ่อบอกว่า ให้นั่งหน้าพระพุทธรูปแล้วอธิษฐานว่า ความรวยจงปรากฏ มันเป็นอย่างไรครับ ?

    หลวงพ่อ : ล้อ "เจ้าขวัญ" มันว่า ถ้าอยากรวยก็เอาแบบนี้ซิ 5 ทุ่ม 45 นาทีใกล้ๆจะ 6 ทุ่มใช่ไหมเล่า ก็ไปนั่งหน้าพระพุทธรูป บูชาพระ นึกถึงพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ เทวดา และพรหมทั้งหมด ครูบาอาจารย์ ผู้มีคุณทั้งหมด บูชาท่านขอลาภ

    ''ขอให้ความซวยทั้งหมด ความยากจน จงไปกับปีเก่า
    แล้วความรวย ความดี ความโชคดี จงมากับปีใหม่''

    หลังจากนั้นก็ภาวนา "คาถาเงินล้าน" เรื่อยๆไป พอนาฬิกาตีเป๊งขึ้นปีใหม่

    "ขอให้ความซวย จงหายไปพร้อมกับปีเก่า ฉันต้องการความรวย จากปีใหม่"

    ผู้ถาม : อ๋อ....หลวงพ่อพูดกับ "ขวัญ" เหรอ ?

    หลวงพ่อ : ใช่

    ผู้ถาม : แล้ว ลูกๆหลานๆที่ไม่ใช่ขวัญ จะได้ไหมครับ ?

    หลวงพ่อ : ก็มีขวัญนี่ ลองก้มหัวดู คนไหนไม่มีขวัญทำไม่ได้ ความจริงไม่ต้องรอดึกก็ได้ ถึงวัด ถึงบ้าน อาบน้ำ สวดมนต์ไหว้พระ ก็อธิษฐานก่อนนอนเลยก็ได้ ไม่ต้องรอถึงเวลานั้น



    ************************************************************************************************************************



    คำอธิษฐานได้ผล

    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เมื่อคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2531 นี้ ลูกได้ทำตามคำแนะนำของหลวงพ่อที่อธิษฐานว่า

    "ความซวยจงหมดไป พร้อมกับปีเก่า และขอความร่ำรวย จงมาพร้อมกับปีใหม่ 2532 นี้"


    ปรากฏว่าวันนี้การค้าของลูกคล่องตัว ลูกอยู่ในโอวาท

    (แหม..นี่แกคงจะดีใจว่า ลูกอยู่ในโอวาทนะ)

    หากลูกจะอธิษฐานอย่างนี้ทุกคืนๆไป จะผิดกฏที่เทวดาเขาสงเคราะห์อยู่ในเวลานี้หรือเปล่าเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : ดีมาก ถ้าทำตามนั้นนะ จะดีมากเลย จะมีการทรงตัว เงินจะเหลือใช้ เอาทุกวันดีกว่า ไม่ใช่ทำวันเดียว

    ผู้ถาม : อ๋อ..ยิ่งว่าบ่อยๆ ยิ่งดีหรือครับ

    หลวงพ่อ : ใช่ ทำเป็นสมาธิแบบนั้น ก็ไม่ต้องใช้เวลาใกล้ 2 ยาม เวลาไหนก็ได้ที่เราเห็นสมควร

    ที่ว่าใกล้ 2 ยาม เพราะปีเก่าจะไป ปีใหม่จะมา เวลานี้เป็นเวลาของปีใหม่ ก็ใช้ได้ทุกเวลาตามที่ชอบใจ นั่นดีมากนะ ต่อไปจะรวยใหญ่ เมื่อทุกคนรวยใหญ่ ฉันก็สบายใจ สร้างวัดอีก 10 วัด (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : นี่ก็เป็นผลดีแก่แม่บ้านนะ มีผัวอยู่ในโอวาท เอ..ถ้าผู้ชายว่าบ้าง ลูกเมียจะอยู่ในโอวาท หรือเปล่าครับ ?

    หลวงพ่อ : เราอยู่ในโอวาทเขา เขาก็อยู่ในโอวาทเรา

    "วันทโก ปฏิวันทนัง" ผู้ไหว้ย่อมได้รับการไหว้ตอบ

    "ปูชา ลภเตปูชัง" ผู้บูชาย่อมได้รับการบูชาตอบ ในเมื่อเราอยู่ในโอวาทเขา เขาก็อยู่ในโอวาทเรา

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 96 เดือนกุมภาพันธ์ 2532 หน้า 6-7)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2023
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,799
    กระทู้เรื่องเด่น:
    79
    ค่าพลัง:
    +225,513
    ถูกต้อง.jpg
     
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,799
    กระทู้เรื่องเด่น:
    79
    ค่าพลัง:
    +225,513




     
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,799
    กระทู้เรื่องเด่น:
    79
    ค่าพลัง:
    +225,513
    0001.jpg
    จะรู้ได้อย่างไรว่าพระองค์นั้นเป็นพระอริยะ


    ผู้ถาม : มีคนเขาถามผมมาอย่างนี้ครับหลวงพ่อ แต่ผมไม่รู้จะตอบเขาว่าอย่างไร เขาถามว่าท่าน (ขอสงวนนาม) เป็นพระอริยะหรือเปล่าครับ ?

    หลวงพ่อ : ก็ตอบไม่ยากนี่คุณ ให้ไปถามท่านเองซิ คนอื่นจะไปรู้เรื่องของตัวเองได้อย่างไรล่ะ มันเป็น ปัจจัตตัง แล้วพระอริยะองค์ไหนท่านจะบอกเป็นพระอริยะ

    ไม่มีพระอริยะองค์ไหนบอกตนเองว่าเป็นพระอริยะ และก็ไม่มีพระที่ไม่ใช่พระอริยะองค์ไหนที่ไม่บอกตัวเองว่าเป็นพระอริยะ ใช่ไหม

    ไอ้คนมีสตางค์มากๆทำจ๋อง ไอ้คนไม่ค่อยจะพอค่าก๋วยเตี๋ยวละเบ่ง อันนี้ไปพยากรณ์ไม่ได้หรอก เราจะพยากรณ์เขาได้ยังไง เราไม่รู้จิตใจเขานี่ ใช่ไหม พระอริยะน่ะเขาดูจริยาไม่ได้ พระอริยะนี่ถ้าดูที่จริยาภายนอกผิดหมด เพราะพระอริยะนี่เป็นคนใจเปิด

    ถ้าเป็นพระอรหันต์เมื่อใดก็ดูเหมือนเด็กๆ ตอนเด็กๆหรือก่อนบวชเป็นยังไงท่านจะใช้จริยานั้น เพราะเป็นพระไม่มีการผูกต่อไป จึงไม่มีมายา นิสัยเดิมๆเป็นยังไง พระอริยะก็ใช้นิสัยนั้น ท่านปล่อยตามสบาย เพราะจิตท่านไม่มีอะไร

    อย่าง พระสารีบุตร ท่านไปกับพระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์ พอถึงลำราง พระองค์อื่นๆค่อยๆ ย่องไป พระสารีบุตรขัดเขมรโดดแพล๊บ นั่นพระอัครสาวกเบื้องขวานะ ภายหลังมีพระถามพระพุทธเจ้าว่า "ทำไมพระอัครสาวกเบื้องขวาจึงขัดเขมรโดด"

    พระพุทธเจ้าบอก "อย่าไปว่าท่านเลย ลูกตถาคตไม่มีอะไรหรอก ก็มาจากลิง..."

    ทีนี้ที่คุณถามว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพระองค์นั้นองค์นี้เป็นพระอริยะ ถามคนอื่นมันจะถูกรึ ถ้าหากว่าคุณกินแกงแล้วถามคนอื่นว่า เค็มไหม ? เขาจะรู้ไหม ?

    เรื่องของความเป็นอริยะ เรื่องของฌานสมาบัติก็เหมือนกัน มันเป็นเรื่องของจิตใจ ในเมื่อท่านไม่บอก เราก็รู้ไม่ได้ ไอ้เรื่องที่จะรู้ได้ต้องเป็นเรื่องของ "สัพพัญญู" แปลว่ารู้ทั้งหมด รู้ทุกอย่าง ก็มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว พระสาวกไม่มีสิทธิ์จะตอบ

    ผู้ถาม : แล้วอย่างมีคนเขาถามว่า ควรจะไปไหว้พระองค์ไหนดี เราควรจะแนะนำเขาว่าอย่างไรครับ ?

    หลวงพ่อ : ก็ต้องเป็นไปตามศรัทธา เขาศรัทธาที่ไหนไปที่นั่น ปล่อยให้เป็นเรื่องจิตใจของเขา ถ้าคุณไปขัดคอเขา ดีไม่ดีปากคอเยิน

    ผู้ถาม : ถ้าเขาถามถึงสำนักปฏิบัติ แล้วให้เลือกเล่าครับ ?

    หลวงพ่อ : เราก็เล่าเรื่องประวัติต่างๆเท่าที่เราพอใจให้เลือกเอา จะเอาวัดไหน การปฏิบัตินี่ต้องเป็นไปตามภูมิเดิมหรือภูมิเก่า คือต้องเป็นไปตามสาย สายของใครของมัน และต้องบำเพ็ญบารมีร่วมกันมานับเป็นอสงไขยกัปนะ เขาถึงจะพอใจกัน

    ถ้าไม่งั้นมีอารมณ์สะกิดหน่อยเดียว เดี๋ยวก็สะดุด เพราะฉะนั้นให้เขาย่องๆไปดูก่อน เขาชอบที่ไหนก็เลือกที่นั่น อันนี้เป็นความจริงนะ

    อย่างคุณพอใจสำนักใด คุณไปชวนคนอื่น ถ้าคนอื่นเขาไม่มา คุณไปว่าเขาไม่ดีไม่ได้ เพราะพูดให้เขาฟังรู้เรื่องไม่ได้ คุณฟังอย่างนี้รู้เรื่องแต่เขาไม่รู้ แต่ถ้าเขาไปหาอีกองค์หนึ่งเขาจะพอใจมาก เพราะว่าเป็นสายเดียวกัน อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา

    บางครั้งเราอาจคิดว่า แหม..ไอ้หมอนี่ เดี๋ยวไปที่นี่เดี๋ยวไปที่โน่น เดี๋ยวไปที่นั่น ที่เขายังต้องไปหลายจุด เพราะยังหาพวกไม่พบ

    ถ้าเขาหาพวกของเขาพบเมื่อไรก็จอด ดีไม่ดีบางคนไปหาพระไม่สบายใจไม่สนุก ไปเจอะเจ้าของเหล้า ร้องฮ้อ ! ใช้ได้


    (จากหนังสืออริยบุคคล หน้า 87-89)

    https://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน.538477/page-595
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2021
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,799
    กระทู้เรื่องเด่น:
    79
    ค่าพลัง:
    +225,513
    0.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2020
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,799
    กระทู้เรื่องเด่น:
    79
    ค่าพลัง:
    +225,513
    WP_20140428_077.jpg IMG_20 (1).jpg WP_20140428_070.jpg
    13-3.jpg 15-2.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2021
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,799
    กระทู้เรื่องเด่น:
    79
    ค่าพลัง:
    +225,513
    พระในประเทศอื่นๆ

    เออ...พูดถึงพม่าข้าก็ดีใจนะ พระพม่านี่กอดผู้หญิงก็ได้

    "พระพม่าน่ะหรือคะ"

    อ้าว..กินข้าวได้ตลอดเวลา ทีนี้มันมีปัญหาว่า สู้พระญี่ปุ่นไม่ได้ พระญี่ปุ่นมีเมียได้ (หัวเราะ) คือเดี๋ยวนี้พระพม่าน่ะเขามีสองนิกาย สองนิกายก็หมายความว่า สอง
    พวก พวกหนึ่งอยู่ในเกณฑ์เคร่งครัด อีกพวกหนึ่งอังกฤษมันคงไปปล่อยน่ะ มันทำให้เสื่อม

    วันนั้นเห็นเดินควงแขนกับผู้หญิง ควงแขนกับผู้หญิงได้ เราก็แปลกใจนั่งดู ทีนี้พระพวกนั้น เณรพวกนั้นน่ะ ถ้าจะเข้าดูหนังดูละครโรงไหน ต้องให้เข้าฟรีนะ ถ้าใครไม่ให้เข้าชาวบ้านแอนตี้เลย นี่เขามีพวกหนึ่ง แต่อีกพวกหนึ่งเขาเคร่ง เขามีสองพวก

    สมัยอังกฤษมันครองมันก็ปล่อยให้เสื่อม ถ้าทำแบบนี้จะได้เสื่อม เขาก็เลยไม่เสื่อม ชาวบ้านเห็นควรไปด้วย อ้าว..ชาวบ้านเห็นทำได้ ก็เลยไปกันใหญ พระกินข้าวต้มตี 4 ตี 4 ตีระฆังกินข้าวต้ม พอกินข้าวต้มเสร็จก็ประมาณตี 5 แหละ ก็ทำวัตร พอสว่างดีก็เรียนอภิธรรม 4 โมงเช้าก็บิณฑบาต ความจริงมันบิณฑบาตเวลาไหนก็ได้ กินข้าวต้มตี 4 แล้ว

    ตอนเย็นไปบ้านกะเขา ญาติโยมเขาชงน้ำชามาให้หรือไอ้ปลาชะโดเค็มน่ะ เคล้าให้ดี คลุกๆให้ดี ก่อนจะเอามาให้ พระพม่าก็กินสบาย พระไทยนั่งน้ำลายไหล กินไม่ได้ (หัวเราะ) เสียท่า หลวงพ่อไปตอนนั้นนึกเสียดาย แหม..เรามาบวชที่พม่าดีกว่า (หัวเราะ)

    ไปเห็นพระโกนหัวให้ชี นั่งกอดคอกันบ้าง ล้อกันบ้างเล่นกันบ้าง เอ๊ะ..มันยังไงกันแน่หว่า นึกเอ๊เรามาบวชพม่าก็ดีเหมือนกันนะ เราบวชผิดที่นะ (หัวเราะ) บวชผิดที่นี่หว่า อุปัชชาย์ก็สอนผิดไปอีก

    ตามหลักน่ะเขามุ่งจะทำให้เสื่อม อังกฤษมันจะปล่อยให้เสื่อม บังเอิญไอ้คนมันยังเกาะติด ก็เลยไม่เสื่อม เขาถือว่าไม่เป็นไร ก็คนของเขาเคารพเสียก็หมดเรื่อง ถ้าถามว่าความเป็นพระมีไหม ก็ต้องตอบว่าไม่มี ก็ถือว่าเป็นนักบวชประเภทหนึ่ง จะจัดว่าเป็นภิกษุน่ะไม่ได้ พระเราทำอย่างนั้นไม่ได้

    จะถือว่าประเทศไหนเขานิยมแบบไหนน่ะมันไม่ได้ นิยมประเพณีไม่ได้ วินัยต้องเป็นวินัย

    แต่ทำไมเขาจึงไม่ว่ากัน พอเขาบวชเข้ามาแล้วแทนที่จะเรียนวินัย เขาเรียนอภิธรรมเลย ก็เลยไม่ต้องรู้เรื่องกันสิ วินัยไม่เรียนไปเรียนอภิธรรมเลย วินัยก็เลยไม่ต้องรู้เรื่อง ทำยังไงก็ได้

    ชาวบ้านก็เรียนมาอย่างนั้นเหมือนกัน คือข้อห้ามต่างๆก็ไม่มี ขี่เกวียนแต่เสือกมุ่งนิพพาน อะไรๆเป็นอนัตตาหมด เขาบอกนี่น่ะหลุด (หัวเราะ) ดีไหม (หัวเราะ)

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 164 เดือนพฤศจิกายน 2537 หน้า 27-28)

    https://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน.538477/page-602
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2021
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,799
    กระทู้เรื่องเด่น:
    79
    ค่าพลัง:
    +225,513
    DSC_0052_5.jpg
     
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,799
    กระทู้เรื่องเด่น:
    79
    ค่าพลัง:
    +225,513
    0001.jpg

    ตรุษจีนถวายสังฆทาน

    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ตรุษจีนปีนี้ลูกเป็นคนอกตัญญูเสียแล้วเจ้าค่ะ คือตรุษจีนทุกปี ลูกจะต้องซื้อหมู เห็ด เป็ด ไก่ ไหว้ศาลเจ้าด้วย

    มาปีนี้ขออกตัญญูสักครั้งหนึ่งเปลี่ยนมาเป็นถวายสังฆทานแทน แล้วเชิญเจ้าที่ เชิญศาลเจ้าต่างๆมาโมทนา
    ไม่ทราบว่าท่านจะยินดีด้วยหรือว่าโมโหเพราะไม่ได้กินเป็ดไก่เจ้าคะ

    หลวงพ่อ : เดี๋ยวฉันขอพูดต่อจากลุงนะ (ลุงพุฒิ) ลุงท่านบอกว่าอย่างนี้ เขาเรียก มหากตัญญู
    กตัญญูอย่างใหญ่ คือ ให้บุญ ไงล่ะ

    เทวดาทั้งหมดเขาต้องการบุญ ไอ้หมูเห็ดเป็ดไก่เขาไม่ได้กิน

    แต่ว่าที่ทำไปแล้วก็ไม่ผิดเพราะเป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณ
    แต่ว่าที่ทำโดยถวายสังฆทาน ตัวเองก็มีอานิสงส์มาก น่าจะรวย
    และคนที่ตายไปแล้ว เทวดาหรือเจ้าเขาโมทนาเข้า ทิพยสมบัติก็ดีขึ้นสูงขึ้น ต่างคนต่างดี

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 97 มีนาคม 2532 หน้า 10)


    Chinese-New-Year-China-China-Red-ACM.jpg
     
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,799
    กระทู้เรื่องเด่น:
    79
    ค่าพลัง:
    +225,513
    เจ้ากรรมนายเวร


    โยมขวัญ : เจ้ากรรมนายเวรนะเจ้าคะ มีตัวตนไหมเจ้าคะ สามารถจะกำหนดเราอย่างนั้นอย่างนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ

    ท่านเจ้าคุณฯ : ยกทรง ด็อกเตอร์ ตอบบ้าง

    ยกทรง : เจ้ากรรมนายเวรมีตัวมีตนไหม จะกำหนดโทษเราได้หรือไม่

    โยมขวัญ : หรือว่าจะต้อง...อย่างเดียว

    ดร. ปริญญา : ไม่ใช่ๆ เจ้ากรรมนายเวรมีจริง เจ้ากรรมกับนายเวรไม่เหมือนกัน

    ยกทรง : แยกศัพท์กันนะ เจ้ากรรมเป็นยังไง นายเวรเป็นยังไง ตามที่หลวงพ่อเคยแนะนำ

    ดร.ปริญญา : คนที่เกิดมาในพระพุทธศาสนาจะต้องเชื่อเรื่องกรรมเสียก่อน ความเชื่อในพุทธศาสนา 4 อย่าง

    1. เชื่อเรื่องกรรม
    2 เชื่อเรื่องกฎของกรรม
    3. เชื่อว่าทำกรรมอันใดต้องรับผลแห่งกรรมอันนั้น
    4. แล้วก็เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นเรื่องกรรมมีจริง ทำอะไรต้องได้ผลอย่างนั้น ไปทำอะไรใครเขาไว้คนนั้น เขาก็เป็นเจ้ากรรมของเรา

    ส่วนนายเวรนั้นจอง เจ้ากรรมนี้ไม่ได้จอง

    แต่นายเวรนี้จอง ชาตินี้มึงฆ่ากู ชาติหน้ากูจะฆ่ามึงอย่างนี้ไม่ตกนรก แต่ว่าจะจองเวรกัน

    แต่ถ้าเจ้ากรรมนี่ตบยุงเพี้ยะ นั่นกรรมเกิดละ

    ท่านเจ้าคุณฯ : จดละ จด (ลงบัญชี)

    โยม : เจ้ากรรมนายเวรอุทิศด้วยใจมีความสุข เมื่อไหร่เขาถึงจะเลิกจองเวรเรา

    ดร.ปริญญา : ไม่เลิกหรอกนะ ถ้านายเวรไม่อโหสิกรรม ไม่เลิก

    ท่านเจ้าคุณฯ : คนที่แม้จะเข้านิพพานแล้วก็ไม่หมดเวรหมดกรรมกัน

    โยม : ...เมื่อไหร่คะ

    ดร.ปริญญา : ก็คุยกับเขาได้ไง เราคุยกับเขาได้

    โยม : แล้วการคุยต้องคุยอย่างไรคะ

    ดร.ปริญญา : ที่บอกเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เราอุทิศส่วนกุศลและขออโหสิกรรมนี่เพราะเหตุนี้

    โยม : แล้วที่ว่าคุยคือคุยอย่างไรคะอาจารย์

    ดร.ปริญญา : ก็...ถ้าเราคุยได้ก็เรียกเขามาคุย ถ้าเราคุยไม่ได้ก็ให้หลวงพี่ช่วยเรียกให้ (หัวเราะ)

    ท่านเจ้าคุณฯ : มีเพื่อนฉันอยู่องค์หนึ่ง ไม่ได้โฆษณานะ คือท่านก็ทำงานเกี่ยวกับสาธารณประโยชน์ คือว่ารักษาพวกผู้ป่วยโรคโน้นโรคนี้ โรคเอดส์บ้างอะไรบ้าง คือเสียสละเหมือนกัน คือพี่น้องก็อย่าไปเข้าหาท่านนะ เดี๋ยวจะติดท่านน่ะ อย่างนั้นอย่างนี้ พี่น้องพ่อแม่อะไรก็ไม่สนับสนุนอย่างนี้ กลัวจะติดเอดส์

    ท่านบอก เฮ้อ พระพุทธเจ้าบอกให้เชื่อกฎของกรรมไง มึงไม่เชื่อกูก็เชื่อ พี่น้องไม่เชื่อกูก็เชื่อ ต้องทำ ทำก็มีการให้น้ำเกลือ ฉีดยา คือ พระเดชะ อยู่ที่อยู่ที่สุพรรณบุรีหรือยังไงนี่ อยู่วัดขุยโพธิ์

    ทีนี้ก็มีเกิดคนมาหาท่าน สะง่องสะแง่งมา อะไรอย่างนี้ คุยกันในกุฏิ เราก็บอก เฮ้ยเป็นอย่างไรวะ รักษาอย่างไรให้หาย มันถึงรักษาคนหาย

    ไม่รักษาอะไรหรอก หลวงปู่โต ท่านคุมอยู่ พอคุยกับหลวงปู่โต ท่านบอก เฮ้ย แกจะรักษามันหรือเปล่า หลวงปู่ ช่วยมันด้วยเถอะครับ ช่วยมันด้วย ไอ้คนนี้มันมาหาผมอะไรอย่างนี้

    ท่านก็ยิ้มๆ หลวงปู่โตท่านก็ แกเอาแน่หรือ เอาครับ ผมจะเป็นอะไรก็ช่างครับ ผมยอมครับ ขอให้ไอ้นี่มันหาย
    ท่านเดชะติดต่อกับเจ้ากรรมนายเวร คือมันไม่ยอมยังไงล่ะ คือมันไม่ยอม ทำมันมามากมันไม่ยอม

    จนหลวงปู่โตมาต้องเทศน์ (โปรด) การจองเวรกันนี่มันไม่มีความสุขหรอก มีความสุขไหม เทศน์โปรดจนมันยอม แต่ก่อนจะยอมมันบอก ต้องบวชพระให้มัน 3 องค์ บวชพระให้ 3 องค์ หมายความว่า ไอ้คนป่วยมีลูก 2 คนที่พามาหามมานี่ต้องบวชพระ

    ทีนี้ก็ตกลง บอกเอายาอะไรให้กินล่ะ ก็เอายาอะไรต่ออะไรให้มันกิน ฉันก็ต้มยาหม้อ จริงๆกินน้ำเปล่าก็หาย มันยอมแล้ว เจ้ากรรมนายเวรมันยอมแล้วนี่ แต่เอายาให้มันกินซะหน่อย

    กลับไปก็ไอ้ 2 คนบวช ไอ้คนป่วยนี่มันจะบวชเหมือนกัน เมียบอก พี่ยังไม่แข็งแรงจะบวชทำไมเล่า ก็หายไป เงียบไปเลย

    อยู่ทางนี้พวก (ท่านเดชะ) ก็ป่วยสิเป็นปีแล้ว ป่วยหมอบอกว่าจะผ่าตัดไขสันหลังแบบมันไปไม่ไหวแล้ว เส้นประสาทอะไรมันทับตรงไหน หมอป่วยแล้ว

    หมอป่วยแล้วคนก็มาเยี่ยม คนมาเยี่ยมก็ถาม เฮ้ย ไอ้คนที่กูรักษาไปมันเป็นไง มันหายหรือเปล่าวะ หลวงพ่อ หายแล้ว แล้วมันบวชให้กูหรือเปล่าวะ ที่มันตกลงไว้

    ไอ้ลูกมันบวช แต่คนป่วยมันไม่บวช เมียมันไม่ให้บวช ท่านก็บอกว่า เนี่ย ถ้ามึงจะหายมึงจะตายก็มาหากู รับปากกูว่าจะบวช หายแล้วมึงก็ไม่บวชให้กูเนี่ย ไม่บวชนี่กูก็จะตายอยู่เนี่ย กูจะต้องเข้าโรงพยาบาลจะผ่าตัด หมอเขาว่าอะไรไม่รู้ทับเส้นประสาท

    ****เรื่องนี้ตรงกับสุภาษิตว่า ช่วยเขาเอ็นเราขาดเลย ตอนนี้คงเลิกรักษาแล้วกระมัง****


    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณสนทนาที่บ้านสายลมฯ" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 492 เดือนมีนาคม 2565 หน้า 29-30)

     
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,799
    กระทู้เรื่องเด่น:
    79
    ค่าพลัง:
    +225,513
    681406.jpg 681404.jpg 681403.jpg

     
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,799
    กระทู้เรื่องเด่น:
    79
    ค่าพลัง:
    +225,513
    160573181_186075376.jpg

    คนต้องการพระนิพพานจะมีความรู้สึกอย่างไร


    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า

    "ต้องใช้อากิญจัญญายตนะฌาณเป็นประจำใจ"

    คำว่า อากิญจัญญายตนะฌาณ ฟังแล้วหนักใจ แต่ความจริงถ้าคนฉลาดก็ไม่หนัก ถ้าคนโง่ก็หนัก เพราะอากิญจัญญายตนะฌานเป็นอารมณ์ของคนฉลาด คือมีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า โลกนี้ไม่มีอะไรเหลือ คนเกิดมากี่คนตายหมดเท่านั้น สัตว์เกิดมาเท่าไหร่ตายหมดเท่านั้น สภาพของวัตถุทั้งหลายไม่มีการทรงตัว เสื่อมไปแล้วพังหมดเท่านั้น วันนี้ไม่พังวันหน้ามันก็พัง คนวันนี้ไม่ตายวันหน้าก็ตาย สัตว์วันนี้ไม่ตายวันหน้าก็ตาย ฉะนั้นโลกทั้งหลายไม่เป็นที่น่าอยู่สำหรับเรา เราไม่ต้องการ

    ถ้าบุคคลทั้งหลาย ใช้อารมณ์ของอากิญจัญญายตนะฌาณเป็นปกติ บุคคลประเภทนี้จะเป็นคนที่มีจิตสบาย คือจิตยอมรับความเป็นจริงว่าร่างกายของเราสักวันหนึ่งมันต้องตาย กฏแน่นอนของมันก็คือเดินเข้าไปหาความตายทุกวัน เรื่องความตายนี่ไม่ต้องไปคำนึง ไม่ต้องคิดถึงว่ามันจะตายเมื่อไหร่ก็เชิญฉันพร้อมแล้ว คำว่า พร้อม ก็คือ ยึดเอาพระธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วไปปฏิบัติ ได้แก่ สักกายทิฏฐิ มีความรู้สึกว่าชีวิตนี่มันต้องตาย จะตายเมื่อไรก็เชิญฉันมีความดีพร้อม ความดีของเราคือ ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ และทรงกำลังใจไว้ไม่เสื่อมคลาย ยึดมั่นในศีล จะเป็นจะตายอย่างไรก็ตามไม่ยอมละเมิดศีล 5 สำหรับฆราวาสอารมณ์ของพระโสดาบัน ถ้าคนที่เขาทรงอารมณ์ของศีล 8 เป็นอารมณ์ของพระอนาคามี พระเณรก็เช่นเดียวกัน ต้องรักษาศีลของตน นี่แหละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน การเดินเข้ามาหานิพพานเป็นของไม่ยาก

    หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พิจารณาว่า โลกมันไม่ดี มนุษยโลกก็ไม่ดี เทวโลกก็ไม่ดี พรหมโลกก็ไม่ดี เทวโลกกับพรหมโลกนั้นดีเหมือนกัน แต่ดีชั่วคราว ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องหล่นมาใหม่ หล่นมาค้างที่บนไม่เป็นไร ส่วนใหญ่ลงมาจากเทวโลกและพรหมโลกก็พุ่งลงนรกไป เพราะบาปเก่ายังไม่ชำระหนี้เขา

    ถ้ามีกำลังใจทรงอารมณ์พระโสดาบันไว้มันก็ไม่ไป อย่างเลวที่สุดมันก็มาค้างที่มนุษย์ แต่ก็ไม่ดีกลับมาค้างในดินแดนที่เราต้องมีทุกข์จะดีอะไร เราก็เป็นคนโง่ถ้าจะเป็นเทวดาหรือพรหม นานเท่าไรมันก็เป็นไม่ได้ หมดบุญวาสนาต้องมา กำลังใจที่ดีที่สุดก็ตัดสินใจว่า

    "ถ้าชีวิตร่างกายมันพังเมื่อไหร่ ขึ้นชื่อว่าความเป็นคนก็ดี เป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี จะไม่มีสำหรับเรา เราต้องการจุดเดียว คือ นิพพาน"

    อันนี้พูดกันสำหรับคนที่เจริญทางด้านสุกขวิปัสสโก

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 173 เดือนสิงหาคม 2538 หน้า 37-38)
     
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,799
    กระทู้เรื่องเด่น:
    79
    ค่าพลัง:
    +225,513
    page0001 (5).jpeg



    ใช้สมาธิเล็กน้อยก็ขอหวยได้ (เรื่องจากสมาชิกฯ)


    ในภาวะเศรษฐกิจอย่างทุกวันนี้หลายคนคงทราบดีว่าค่อนข้างเงียบเหงา การค้าตกต่ำ โดยเฉพาะการค้าของข้าพเจ้าต้องอาศัยนักท่องเที่ยวเป็นหลัก จึงตัดสินใจว่าไหนๆทางโลก เราจะเอาเป็นที่พึ่งแน่นอนอะไรไม่ได้ เราจะขอพึ่งพระดังคำสวดที่

    "พุทธัง สรณัง คัจฉามิ"
    "ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ"
    "สังฆัง สรณัง คัจฉามิ"

    จึงตั้งใจเจริญภาวนา โดยจดจำภาพพระพุทธรูปแก้ว จำได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามทำ ทั้งไม่เป็นเวลาคือนึกขึ้นมาได้ก็สำรวมจิต นึกถึงภาพพระ แต่ถ้าลืมก็ปล่อยไปตามเรื่องตามราว และก็มีเวลาปฏิบัติที่แน่นอน พอสวดมนต์เสร็จก็ภาวนาต่อ โดยจำภาพพระพุทธรูปแก้ว ตั้งไว้ตรงไหนก็ได้ แล้วแต่กำลังใจจะเห็นได้ชัด บางครั้งข้าพเจ้าก็เทินไว้บนศีรษะ บางทีก็บนไหล่ บางทีก็กลางอก ฯลฯ


    คำภาวนาก็มีหลายบท แล้วแต่วันไหนจิตพอใจบทไหนทำตามกำลัง ภาวนาไปพอเริ่มหายใจเบาขึ้นสม่ำเสมอขึ้น ใจเริ่มเบา สมองเริ่มโปร่ง ก็ถวายกุศลต่อองค์หลวงพ่อ และถ้ายังไม่ง่วงก็จะภาวนาต่อ แต่ส่วนมากแล้วจะง่วง และเริ่มขี้เกียจ ภาวนาตั้งนานไม่เคยได้ฌานอะไรเลย


    แต่อาศัยว่าเคยได้ฟังหลวงพ่อท่านสอนให้ได้ยินอยู่เสมอว่า การภาวนา ถ้าภาวนาแล้ว
    หลับไปตอนหลับนี้ต้องถึงฌานจึงจะตัดหลับได้ ข้าพเจ้าก็เลยเข้าฌานแบบครอกฟื้ๆๆทุกวัน และจำได้ว่า


    "หลวงพ่อสอนถึงวิธีใช้อภิญญาโดยการอธิษฐานจิต เมื่อเข้าถึงฌาน แล้วถอยมาอุปจารสมาธิ เริ่มอธิษฐานจิต แล้วเข้าฌาน 4 ใหม่ แล้วถอยออกมาจะสำเร็จผลตามต้องการ"


    ข้าพเจ้าก็เลยใช้วิธีภาวนาจนใจสบาย แล้วเริ่มอธิษฐานจิต ขอหวย เสียเลย แต่ขอหนึ่งตัวต่อเทวาหนึ่งองค์ อาจเป็นคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยายที่ล่วงลับไปแล้ว


    หลวงพ่อเคยพูดว่า การให้หวยถ้าให้ตัวเดียวไม่ปรับโทษ


    เมื่ออธิษฐานเสร็จก็ภาวนาจนหลับไป พอประมาณตี 3 ตี 4 ท่านก็จะมาบอกเลขให้และยังคอยเตือนให้ด้วยว่ามีโชคมากหรือน้อยและก็จะเป็นจริงตามนั้นทุกอย่าง ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจที่จะปฏิบัติเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะพ่วงกิเลสทางโลกไว้บ้าง ก็พอกล้อมแกล้มทำไป และมีกำลังใจปฏิบัติมากขึ้น


    จะเห็นว่าหลวงพ่อท่านสอน ท่านเล่าอะไร ล้วนแล้วแต่มีคุณประโยชน์ ทั้งทางโลกและทางธรรม สามารถทำได้ทุกคน แม้คนที่แสนจะขี้เกียจอย่างข้าพเจ้าก็ยังมีผลถึงเพียงนี้ และไม่เฉพาะรู้หวยเท่านั้น อยากรู้อะไรไม่ต้องไปหาหมอดู สามารถรู้ได้เช่นกัน


    การใช้มโนมยิทธิของข้าพเจ้าก็ปฏิบัติแบบขี้เกียจ อ่อนหัด แต่ก็พอได้ผล ไม่ถึงกับควบคุมกำลังใจได้อย่างท่านที่ฝึกชำนาญแล้วที่สามารถถามปั๊บตอบปุ๊บ ของข้าพเจ้าต้องอาศัยการอธิษฐานสิ่งที่อยากรู้ก่อนหลับ และพอตื่นนอนใหม่ๆก็จะเริ่มภาวนา นะมะพะธะ จะสามารถเห็น และทราบตามต้องการ เป็นการเห็นเหมือนฝัน ทั้งที่รู้ตัวว่าตื่นอยู่ แต่จะทรงอยู่ไม่นานก็จะหลับไปจริงๆอีก เพราะกำลังใจยังอ่อนอยู่มาก


    หลวงพ่อท่านเมตตาต่อลูกหลานจริงๆ ท่านสอนได้ทุกอุปนิสัย แม้คนไม่เอาถ่านอย่างข้าพเจ้าก็ยังได้ผลถึงเพียงนี้ ไม่มีตรงจุดไหนในคำสอนของหลวงพ่อที่เอาไปปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล ท่านมีวิธีการสอนที่ชาญฉลาด สั้น ง่าย แต่ได้ผลมหาศาล


    ใครที่คิดว่าเบื่อโลก เบื่อร่างกาย ลองฝึกมโนมยิทธิแล้วออกแบบเต็มกำลังดู ถ้าท่าน
    สามารถทิ้งร่างกายหยาบนี้ได้โดยไม่กลัว ไม่ตื่นเต้น ไม่ห่วง แสดงว่าท่านจะต้องพบ
    ดีแน่ เป็นการพิสูจน์ และฝึกกำลังใจไม่ให้ติดขันธ์ 5 หรือร่างกายได้อย่างชาญฉลาด
    ที่สุด และเป็นทางไปพระนิพพานได้ง่ายที่สุดอีกด้วย


    ส่วนข้าพเจ้าตามปกติก็รู้สึกเบื่อโลกเบื่อตัวเองนี้มาก แต่ถ้าได้หลุดออกไปทีไร ก็ตกใจแทบตายทุกทีสิน่า


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 138 สิงหาคม 2535 หน้า 89-90)


    dFQRO.jpg
     
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,799
    กระทู้เรื่องเด่น:
    79
    ค่าพลัง:
    +225,513
    15895325_10154944667189329_2619281276395395195_n.jpg
    บนพระคำข้าว


    ท่านเจ้าคุณฯ : อันที่จริงที่แก้บน เมื่อตะกี้นี้ด็อกเตอร์ถาม หลวงพ่อท่านให้บนพระคำข้าวนี่แหละ

    พระมหาลาภนี่ที่เขาใช้ได้ผลก็มีอยู่ ตามกำลังที่ท่านจะช่วยได้นะ เพราะว่าพระมหาลาภนี่พระที่เกี่ยวกับค้าขายทำมาหากินโดยเฉพาะเลยนี่

    ยกทรง : มหาลาภรุ่นแรกหรือรุ่นปัจจุบันครับ

    ท่านเจ้าคุณฯ : รุ่นแรก รุ่น 1 รุ่น 2 ใช้ได้ทั้งนั้น ที่หลวงพ่อทำน่ะนะ

    ยกทรง : แล้วรุ่นปัจจุบันล่าสุดนี่ก็...

    ท่านเจ้าคุณฯ : ก็มีเชื้อบ้าง มีเชื้อ บางคนก็ถามว่า เอ๊ะ จะต้องสวดบทไหน

    มีคนจีนที่อุทัยฯ แต่เช้ามาก็จับพระคำข้าว หลวงพ่อช่วยขายให้ขายดีๆ เขาก็พูดแค่นั้น เขาก็ขายก๋วยเตี๋ยวโล๊ะไปหมด ไม่เห็นพูดอะไรมาก จับพระมาก็เรียกหลวงพ่อ

    ยกทรง : คำถามที่ว่าขายของไม่ดีบนบานศาลกล่าวไม่ประสบความสำเร็จน่ะนะ พอฟังท่านพระครูฯบอกแล้ว

    คือว่า ให้อธิษฐานพระคำข้าว ตามที่จะมีประโยชน์เหรอครับ


    ท่านเจ้าคุณฯ : ใช่ เพราะว่าก่อนจะทำพระคำข้าวนี่ ไม่ใช่เหมือนเอาผงอื่นๆมาทำธรรมดา ก็ต้องชิมอาหารที่มีรสอร่อย (ถ้าอร่อยเอาแยกออก) แล้วตากเป็นผง อย่างนี้ 3 เดือน พอตากเป็นผงแล้วก็ทำพิธีอีก

    สมัยหลวงปู่ปานยังมีชีวิตอยู่ท่านเคยทำอยู่ หลวงพ่อท่านก็ไม่เชื่อ อยากจะลองว่า เอ๊ะ ท่านบอกถ้ามีความทุกข์ยากอดอยาก ก็ให้ไปจุดธูปบอกพระมหาลาภองค์นี้

    พอจะอดบ้างเล็กน้อยหลวงพ่อก็ไปลองเลย ไปลองขอท่าน ก็มีเจ้าภาพทางบ้านแพนทำอาหารมาให้หม้อใหญ่เลย

    หลวงพ่อก็บอก เออ เป็นของที่จริง หลวงปู่ปานก็มาตำหนิ ท่านบอกว่า ถ้าไม่จำเป็นจริงๆอย่าไปทำอย่างนี้ ต้องให้มันอดซะก่อน นี่แกลองนี่ แสดงว่าปรามาสพระรัตนตรัย

    ปกติหลวงพ่อก็ให้ไว้ทุกอย่างแล้ว คาถาก็ให้ไว้แล้ว พระคำข้าวก็ให้ไว้แล้ว บาตรวิระทะโยเป็นทานบารมีก็ให้ไว้แล้ว

    ท่องคาถาที่จะท่องมีผลจริงๆต้องมีฌาน เป็นฌานนี่ ท่องแค่จบ 2 จบแล้วก็หายไป 20-30 วันจะมาท่องอีกสักทีหนึ่ง อย่างนี้จะหวังจะรวยยาก

    ท่องจนจิตมันขึ้นมาเองในจิต นี่สังเกตดูเขาท่องมีผล ลองคุยกับเขาดูสิ มันจะผุดขึ้นมาในใจเลย ไม่ต้องเตือนภาวนา มันจะนึกอยากภาวนาของมันเองตลอด ตรงนี้ผลจะเกิดเลย รับรองได้ด้วย ถามหลายคนแล้วจะเป็นอย่างนี้

    อย่างจ่าปัญญา (เล่าให้ฟัง) ว่า ภาวนาจบมันก็อยากจะรวยเท่านั้น อีก 7 วัน 8 วันเจออีกสักจบ มันก็ โอ้โฮ ไม่เห็นขลังสักที

    มันต้องเป็นฌานถึงจะมีผล ท่องจนขึ้นใจอย่างนี้ ต้องขึ้นใจ สังเกตดูที่เขาทำมีผลลองไปคุยกับเขาดู เขาบอก โอ้โฮ (ภาวนา) มันขึ้นมาเอง ใจมันภาวนาขึ้นมาเองเลย ไม่ต้องเตือน

    ยกทรง : อย่างนี้ถึงจะมีผล

    ท่านเจ้าคุณฯ : ใช่


    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 479 เดือนกุมภาพันธ์ 2564 หน้า 29-30)

    _paragraph__11_220.jpg
    รักหลวงพ่อมากกว่ารักพระพุทธเจ้า


    ท่านเจ้าคุณบอกว่า มีคนเขาบอกว่าเขารักหลวงพ่อมากกว่าพระพุทธเจ้า อย่างนี้จะว่าอย่างไร

    เราก็บอกว่า ที่เป็นอย่างนี้เราไม่ได้เสแสร้งรักนี่ เราพูดด้วยความจริงใจ เพราะว่าเราติดตามหลวงพ่อมามากกว่า ความผูกพันด้านจิตใจมันมาก มันห้ามใจไม่ได้ ติดตามกันมานาน อธิษฐานกันมานาน

    ท่านเจ้าคุณฯบอกว่า ด็อกเตอร์มีอะไรคุยบ้าง

    ดร.ปริญญาบอกว่า มีครั้งหนึ่งหลวงพ่อก็ชวน หลวงพ่อสิม (วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่) ไปเยี่ยมทหารที่เมืองน่าน เมืองเชียงรายโน่น ก็นั่งรถไปด้วยกัน แล้วผมก็นั่งอยู่ฝั่งขวามือ

    หลวงพ่อสิมถามหลวงพ่อก่อน หลวงพ่อสิมถามหลวงพ่อว่า ทำอย่างไรถึงจะให้เห็นชัดๆ ล่ะครับ

    หลวงพ่อบอก ก็ปล่อยวางให้มันหมดสิ หลวงพ่อว่าอย่างนั้น

    ผมก็เลยถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับหลวงพ่อสิมน่ะเป็นใคร

    หลวงพ่อบอกว่า ก็ขุนวังพระอินทร์น่ะสิ

    ท่านเจ้าคุณฯถามว่า แล้ววงศ์เดียวกันหรือเปล่า

    ดร.ปริญญาบอกว่า วงศ์เดียวกัน นี่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังนะนี่

    ท่านเจ้าคุณฯบอกว่า หลวงพ่อจะพาไปหาพระที่ไหนก็ตาม ต้องเกี่ยวเนื่องกัน ถึงจะพาไปแล้วคุยกันรู้เรื่อง ท่านจะไม่พาไปที่พูดกันไม่รู้เรื่องจะทำให้เป็นมิจฉาทิฏฐิ

    มีอยู่คราวหนึ่ง ยังอยู่ที่เชียงราย ไม่รู้องค์ไหนนะ ยังหนุ่มอยู่ว่างั้น บอกเมื่อคืนนี้ สมเด็จพระพุทธเจ้ามาบอกว่า ให้ไปให้ไปดูพระองค์นี้อายุ 26, 27 อะไรนี่ ยังหนุ่มอยู่นี่ บอกว่าเป็นพวกเป็นสายเดียวกัน ว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว สายเดียวกัน ซึ่งไม่รู้อยู่ตรงไหน

    ดร.ปริญญาบอกว่า หลวงพ่อได้พบแล้วนี่ครับ พบกันข้างใน

    ท่านเจ้าคุณฯบอกว่า สายเดียวกัน หมายความว่าพวกวิชชาสามก็ดี พูดเรื่องมโนมยิทธิ
    ก็จะไปกันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย

    อย่างหลวงพ่อดาบสนี่คุยกันได้ เรื่องมโนมยิทธิหรือเรื่องอะไรต่ออะไรคุยกันได้ทุกอย่าง แต่เขาหาว่าเป็นพระอะไรนี่ จะให้ท่านทำอย่างนั้นอย่างนี้ ท่านเลยแยกออกมา

    แต่ท่านพูดถึงหลวงพ่อ ยกย่องมาก "ไม่มีที่ไหนแล้ว"

    หลวงพ่อก็บอกว่า "จบมาตั้ง 20 ปีแล้ว"

    ไม่เจอตัวกันนะ แต่คุยกันเหมือนกับทางเดียวกันหมด แต่หลวงปู่สิมคุยวิชชาสาม คุยอะไรๆกันได้ทุกอย่าง เทวดายืนยันมีจริง มีอย่างนั้นอย่างนี้ ไปคุยกับพวกประโยค 9 บางทีก็ไม่ได้เหมือนกัน

    ท่านเจ้าคุณฯถามว่า แล้วหลวงพ่อสิมมีอะไรอีกล่ะ

    ดร.ปริญญาบอกว่า หลวงพ่อสิมสนิทกันเป็นการภายใน แต่ว่าพอถึงภายนอกเข้าแล้วนี่ เนื่องจากว่าหลวงพ่อสิมลูกศิษย์ท่านก็มาก แล้วก็เป็นสายธรรมยุติ ซึ่งค่อนข้างว่า จะหาว่าอย่างนู้นอย่างนี้ เรื่องบางเรื่องหลวงพ่อเข้าไปชิดเชื้อมากไม่ได้ แต่ที่จริงแล้วท่านนั่นกันหลายเรื่องเหมือนกัน

    ยกทรงถามว่า แย้มสักเรื่องได้ไหม

    ดร.ปริญญาบอกว่า ผมเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อสิมมาก่อนตอนแรก ตอนหลวงพ่อไปหาที่เชียงใหม่ ก็กราบเรียนหลวงพ่อบอกว่า อยากเห็นหลวงพ่อคุยกับหลวงพ่อสิม

    คำแรกที่ท่านพูดออกมาบอกว่า ฉันไม่อยากไปแค่นเขา คนอ้วนขาวๆ ใช่ไหม

    ก็บอกท่านว่า ใช่

    ทีนี้ต่อมาเพื่อนของผมคนหนึ่ง ดร.วันชัย โพธิวิจิตร เขาก็มาบวชที่บ้านที่กรุงเทพฯ แถวฝั่งธน ทางปากคลองสาน วัดอย่าบอกชื่อวัดเลย เสร็จแล้วเขาก็อยากไปกราบหลวงพ่อ เขาก็ไปให้ผมพาไป ผมก็พาไป ผมพาไปทิ้งไว้ที่วัดท่าซุงแล้วก็หนีขึ้นเชียงใหม่

    พอไปถึงปั๊บหลวงพ่อบอก "ปริญญาแกเอาพระไปส่งหลวงพ่อสิม" สั่งเลย

    ท่านเจ้าคุณฯบอกว่า พอไปฝากหลวงพ่อสิม ติดเลย

    ดร.ปริญญาบอกว่า จัดงาน พิมพ์หนังสือแจกงานศพหลวงพ่อสิมด้วย

    ท่านเจ้าคุณฯบอกว่า ทำงานอะไรๆก็ไปช่วยหลวงพ่อสิมอยู่แล้ว

    ดร.ปริญญาบอกว่า ดร.วันชัยก็อยากจะมาอยู่กับหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อบอกเลย บอกคุณการบวชเป็นของยาก บวชแล้วก็ควรจะได้กำไร ไปบวชวัดที่เขาคุยกันแต่เรื่องยศเรื่องศักดิ์จะไปได้ประโยชน์อะไร นู่นขึ้นไปอยู่กับพ่อสิม สั่งเลย

    แล้วหลวงพ่อก็บอก ปริญญา แกไปบอกหลวงพ่อสิมด้วยว่า ฉันฝาก ไม่ได้รู้จักกันนะสมัยนั้น

    แล้วฝากไปบอกด้วยว่า "ฉันชอบหลวงพ่อสิมอยู่ 2 อย่าง" บอกว่า "หลวงพ่อสิมมีกตัญญูสูง เเละ เคารพพระพุทธเจ้ามาก"

    ขึ้นไปก็ฝากหลวงพ่อสิมก็รีบเล่าให้หลวงพ่อสิมฟัง ท่านปรารภว่าบอกว่า "ท่านไม่ได้รู้จักเรา ท่านยังสามารถรู้เข้าไปในจิตในใจของเราได้" พูดอย่างนี้

    ดร.ปริญญาเล่าต่อว่า มีครั้งหนึ่งผมก็ลงมาหาหลวงพ่อ มานั่งกรรมฐานกับท่าน พอออกจากกรรมฐาน หลวงพ่อบอก คุณปริญญา ท่านเรียก คุณ นะตอนนั้น ฉันเจออาจารย์คุณบนดาวดึงส์ บนจุฬามณี

    พอขึ้นเชียงใหม่ผมก็ไปถามหลวงพ่อสิม หลวงพ่อขึ้นไปดาวดึงส์หรือเปล่า

    หลวงพ่อสิมถามว่า ใครบอก บอกหลวงพ่อมหาวีระบอก

    ตอนนี้ขอดูรูป ผมก็รีบควักรูปถวายให้ท่านเลย ท่านเอาขึ้นที่บูชาเลยนะ

    ดร.ปริญญาบอกว่า ขึ้นไปได้แต่กำลังสู้กันไม่ได้ องค์หนึ่งใครไปใครมาเห็นหมด องค์นี้ขึ้นไปเฝ้าพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ขึ้นไปฟังเทศน์อย่างเดียว

    ท่านเจ้าคุณฯบอกว่า ก็เหมือนฝึกมโนมยิทธิแบบครึ่งกำลังนี่แหละ ลุยลูกเดียว หัวใครอยู่ไหนกูไม่สน ฝึกเต็มกำลังเห็นนู่นหลบนู่นหลบนี่ ครึ่งกำลังลุยลูกเดียว ใหญ่หรือเล็กกูไม่สน


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 457 เดือนเมษายน 2562 หน้า 17-19)

    _02perfect.jpg

    เรื่อง ภาพถ่ายพุทธานุภาพบนรูปหลวงพ่อ

    ยกทรง : มีโยมเขาถาม 2 ข้อ

    ข้อที่ 1 ถามว่าภาพถ่ายหลวงพ่อรูปสุดท้ายในชุดรวมคำสอนเล่ม 3 เป็นที่น่าอัศจรรย์
    มาก อยากอาราธนาให้ท่านเจ้าอาวาสเล่าเรื่องภาพนี้สักหน่อยเถอะครับ

    ท่านเจ้าคุณฯ : อ๋อ ที่มีรูปแสงน่ะนะ

    ยกทรง : คล้ายๆ มีรูปพระพุทธรูปคลุมองค์หลวงพ่อ อะไรนี่

    ท่านเจ้าคุณฯ : รูปพระพุทธอยู่ในอกอะไรนี่นะ

    ยกทรง : รูปพระพุทธปะหน้าหลวงพ่อ เป็นภาพสุดท้ายในเล่มนั้นน่ะ แสดงว่าเจ้าอาวาสเคยดูแล้ว

    ท่านเจ้าคุณฯ : ดูแล้ว แต่ว่าคนถ่ายเขาก็พูดเหมือนกัน ของพรรค์นี้นี่เคยมีคนมาถาม ภาพมหัศจรรย์แปลกๆอะไรอย่างนี้

    หลวงพ่อก็บอก พุทธานุภาพ เราจะวิเคราะห์วิจารณ์อะไรไปไม่ได้ มันเกี่ยวกับพุทธานุภาพ บารมีของพระพุทธเจ้านี่ เราจะว่าเท่านั้นเท่านี้ก็ไม่ได้ แล้วแต่ท่านจะเมตตานี่

    ถ้าเราไปคุย...คุยกับพวกเราคุยกันได้นะ แต่ถ้าไปคุยนอกวง (เขาก็จะบอก) เฮ้ย.. ภาพอย่างนี้ใครก็ทำได้ อยากจะนั่นนี่ อยากจะมีชื่อเสียงไปอย่างนั้นไปซะ เราก็ เออ..อย่าไปคุยเลย เราก็รู้ ก็รู้เฉพาะพวกเรา นี่พุทธานุภาพนี่

    ยกทรง : ดีไม่ดีปรามาสไปเลยนะ

    ท่านเจ้าคุณฯ : ปรามาสไป ใครก็ทำได้อยากจะมาให้กราบ ใครนะถาม ศพหลวง
    พ่อเป็นอย่างไร ถ้าไม่เต็มที่เราก็จะไม่บอกหรอก ก็จะปล่อย เดี๋ยวจะหาว่า มันอยู่เฉยๆ ไม่ชอบ มันอยากจะดัง เจ้าอาวาสมันอยากจะดังคุยโม้ไปเรื่อย

    เออ เสียเวลา ก็ปล่อยให้เป็นเองไปตามธรรมชาติก็แล้วกัน แต่มีอะไรก็ค่อยว่าทีหลัง คือจะไม่พูดนำไปก่อน จะเป็นอย่างนั้นเอง ให้เป็นซะก่อน เป็นมากหรืออะไรสามารถจะให้คนดูได้ อะไรอย่างนี้ จะไปส่องดูไปเจอแล้วมาคุยมาก อย่างนี้เขาจะหาว่าเราโฆษณา คนที่อยากตกนรกมีอยู่ เราก็ไม่อยากจะส่งเสริมเขา

    ยกทรง : ตกลงภาพนี้ก็เรื่องของพุทธานุภาพ

    ท่านเจ้าคุณฯ : พุทธานุภาพ สมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ก็ถามนี่ มีภาพอะไรพิเศษอะไร
    อย่างนี้ (หลวงพ่อ) บอกพุทธานุภาพ ประมาณอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ หาประมาณไม่ได้อยู่แล้ว แล้วแต่ท่านจะสงเคราะห์อะไรอย่างนี้

    เรานี่เราเห็นว่าเกิดอย่างนี้ คนถ่ายเองปีติยิ่งกว่าเราอีก โอ้โฮ เราไม่ได้แต่ง มาได้ยังไง อะไรอย่างนี้ กำลังใจของคนที่ทำนี่มีอยู่

    (จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 479 เดือนกุมภาพันธ์ 2564 หน้า 27-28)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2024

แชร์หน้านี้

Loading...