รวมคำสอนจากท่านมีจิตศรัทธา รวบรวมไว้

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย mahaasia, 1 พฤศจิกายน 2007.

  1. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    การได้ปฐมฌาน

    ถ้าเราจะสังเกตลมหายใจเข้าออก พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้จับลมเป็น ๓ ฐาน
    หายใจเข้า กระทบจมูก กระทบหน้าอก กระทบศูนย์เหนือสะดือนิดหน่อย
    หายใจออก กระทบศูนย์เหนือสะดือ กระทบหน้าอก กระทบริมฝีปาก หรือว่า จมูก

    เวลาจิตของเราสามารถกำหนดได้

    จับได้เฉพาะลมหายใจเข้า หายใจออก กระทบแค่จมูกหรือแค่ริมฝีปาก เป็นศูนย์เดียว เป็นจุดเดียว อย่างอื่นจับไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่า ขณิกสมาธิ คือ สมาธิเล็กน้อย ถ้าทรงอารมณ์ได้อย่างนี้วันละเล็กละน้อย ไม่มากนัก ครั้งละ ๒-๓ นาที ๕ นาที อย่างมาก ทรงได้แบบนี้ทุกวันๆ องค์สมเด็จพระทรงธรรม กล่าวว่าตายแล้วไปสวรรค์ได้แน่นอน

    ถ้าจับลมได้ ๒ ฐาน คือฐานจมูกกับฐานหน้าอก เวลาลมกระทบมีความรู้สึกอย่างนี้ท่านเรียกว่า อุปจารสมาธิ ถ้าตายจากคนก็ไปเกิดเป็นเทวดาชั้น ยามา

    ถ้าจับลมได้ ๓ ฐาน คือลมหายใจกระทบจมูก กระทบอก กระทบศูนย์เหนือสะดือเล็กน้อย ทำได้แบบสบาย หูไม่รำคาญเสียงภายนอก อย่างนี้ท่านเรียกว่า ปฐมฌาน ถ้าตายแล้วไปเกิดเป็นพรหม




    ที่มา: คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่ม ๒ พิมพ์โดย: เยาวยุทธ
     
  2. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    การเจริญพระกรรมฐานในวันเดียว มีผล

    "จงคิดว่าร่างกายของคนทุกคนก็ดี สัตว์ก็ดี เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก ไม่มีอะไรเป็นของสะอาด ไม่มีอะไรที่น่ารัก จงตัดสินใจว่า ขึ้นชื่อว่าร่างกายเลวๆอย่างนี้ ที่เรามีทุกข์อยู่ทุกวัน เพราะร่างกายอย่างเดียว ถ้าเราไม่มีร่างกายเสียอย่างเดียว คำว่าทุกข์สักนิดหนึ่งก็ไม่มี นั่นคือ เราไปนิพพาน"

    ทุกคนจงพิจารณาไว้เสมอว่า "ร่างกายชาติปิทุกขัง เกิดมาเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะการทำมาหากิน ทุกข์เพราะการเหน็ดเหนื่อย ทุกข์เพราะการป่วยไข้ไม่สบาย ทุกข์จากอารมณ์ที่ไม่สมหวัง ทุกข์จากการทรุดโทรมของร่างกาย ทุกข์จากความตายที่จะเข้ามาถึงทุกวัน มันเต็มไปด้วยความทุกข์"

    เห็นทุกข์ตัวเดียวก็ไปนิพพาน

    "ในเมื่อมันทุกข์อย่างนี้ มันเลวอย่างนี้ เราก็จำเอาไว้ มีชาตินี้เพียงชาติสุดท้าย ที่จะมีร่างกายอย่างนี้ ชาตินี้ถึงแม้มี เราก็ไม่พอใจในมัน แต่อย่าไปฆ่ามันนะ เราก็ตัดสินใจในมันอีกว่า เมื่อขณะที่มันทรงตัว เราจะทำจิตให้บริสุทธิ์ ต้องอาศัยมันเป็นนายจ้าง"

    สรุปว่า ตายเมื่อไรไปนิพพานทันที ก็ต้องทำกรรมฐาน รักษาอารมณ์ใจนี้ให้จริง คือ
    นึกถึงความตายให้ทรงตัว
    เคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ให้มั่นคง
    มีศีลให้บริสุทธิ์
    มีจิตรักพระนิพพาน

    ถ้าทุกคนมีอารมณ์อย่างนี้ การเจริญพระกรรมฐานในวันเดียวมีผล

    ที่มา: คำสอนหลวงพ่อเล่ม ๒ พิมพ์โดย: เยาวยุทธ
     
  3. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    "การปฏิบัติกรรมฐาน พวกคุณนี่สามารถปฏิบัติกรรมฐาน จบกรรมฐาน ๔๐ มาแล้ว ๔ ชาติ (รู้ด้วยนะ) หลวงพ่อปาน อาจารย์คุณเป็นพระโพธิสัตว์คล่องในกรรมฐาน ๔๐ กรรมฐานทั้ง ๔๐ กองจบได้ยาก แต่ว่าพวกคุณจบหมด เมื่อจบแล้วก็ไล่เบี้ยกรรมฐาน ๔๐ อย่างนี้มันคล่องตัวดี แต่ว่ายังเข้าไปหาจุดจบไม่ได้

    จุดจบต้องเข้าไปหาสังโยชน์ พวกคุณอ่านสังโยชน์ แต่ไม่สนใจกับสังโยชน์ เห็นไหม กรรมฐาน ๔๐ ก็ได้แต่เจริญถึงฌาน ๔ จากฌาน ๔ ไปอรูปฌาน ก็ฌาน ๘ มันก็แค่นั้น"

    "สังโยชน์ ๓ ประการ เป็นของไม่หนัก ถ้าเราไม่บกพร่องในสิกขาบทต่างๆ ที่เรียกว่า ศีล เราก็ทรงความเป็นพระโสดาบันได้ เพราะความรู้สึกว่า ชีวิตเราต้องตายมีอยู่แล้ว การยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ เรามีอยู่แล้ว

    ส่วนการตัดสังโยชน์ ๕ สังโยชน์ ๑๐ ถ้าสามารถตัดสังโยชน์ ๓ ได้แล้ว ก็ไม่ต้องไล่สังโยชน์ ๔ , ๕, ๖, ๗, ๘, ๙ ให้จับสังโยชน์ตัวสุดท้ายทันที คือ อวิชชา"

    "สำหรับสังโยชน์ ๓ คุณจะทิ้ง สักกายทิฏฐิ ไม่ได้ กิเลสที่จะตัดจริงๆ มันตัดตัวเดียว ไม่ใช่ตัดทั้ง ๑๐ ตัว ตัดที่สักกายทิฏฐิตัวเดียว ถ้ามีอารมณ์เห็นว่า ร่างกายจะต้องตายมีความมั่นคงอย่างนี้แล้ว ก็ระวังศีล ถ้าศีลบริสุทธิ์ผุดผ่อง เราก็ไม่ลงอบายภูมิ นี่เป็นที่พอใจของเรา มีสังโยชน์แค่นี้ เป็นพระอริยเจ้าเบื้องต้น
    ต่อไปเมื่อทำลายสังโยชน์ ๓ ได้แล้ว เราก็อย่ามัวไปว่า สั
     
  4. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    และเมื่อบรรดาท่านทั้งหลาย กำหนดรู้ลมหายใจเข้า หายใจออกอย่างนี้เป็นปกติ อะไรที่ไหนมันจะเกิดขึ้น สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นก็คือ
    ฌานสมาบัติ
    เมื่อตั้งใจ กำหนดรู้ลมหายใจเข้า หายใจออกไว้เสมอ นั่งอยู่ ยืนอยู่ เดินอยู่ นอนอยู่ ทำงานอยู่ พูดอยู่หรือว่ากินอยู่ ก็ไม่ยอมละ กำหนดรู้ลมหายใจ ถ้าพอใจในคำภาวนา ก็ภาวนาไปด้วย อย่างนี้ฌานโลกีย์ ที่จะบังเกิดกับท่านในอันดับของฌาน ๔ อย่างเลวที่สุดระยะ ๑ เดือนทุกท่านจะทรงฌาน ๔ หมด
    ถ้าจะถามว่าผมรู้ได้อย่างไร ผมขอพูดให้ชัดๆว่า ผมทำมาแล้ว และก็ผมก็ทำมาอย่างนี้ เพียงแค่วันที่ ๓ ของการอุปสมบท ในพระพุทธศาสนา ผมเองนี่แหละกับเพื่อนอีก ๒ คน เข้าถึงฌาน ๔ ด้วยกันทั้งหมด แล้วพวกท่านจะมาเถียงว่ามันเป็นไปไม่ได้นะ ได้หรือไม่ได้ ผมทำมาแล้ว"

    ที่มา: คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่ม ๒ พิมพ์โดย: เยาวยุทธ
     
  5. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ลูกรักทั้งหลาย ธรรมส่วนใดที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วสอน ที่พ่อจะปกปิดไว้ไม่มี พ่อสอนหมดทุกอย่าง เมื่อพ่อตายแล้ว ขอลูกแก้วของพ่อ จงประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยส่วนนี้ทั้งหมด ในเมื่อขันธ์ 5 มันทรงไม่ไหว พ่อก็อยู่ไม่ได้ พ่อสอนลูกอยู่เสมอว่า ขันธ์5เป็นของธรรมดา มัน เกิด แก่ เจ็บ และตายเหมือนกันหมด ลูกจะเกาะขันธ์ 5 ของพ่ออยู่อย่างนี้ตลอดกาลตลอดสมัยไม่ได้ ความดีที่จะเกิดมีขึ้นนั้นไซร้คือการปฏิบัติตนเอง ฟังแล้วก็จำ จำแล้วก็คิด คิดแล้วก็ปฏิบัติตาม ถ้าสามารถทำได้ ในที่สุดในไม่ช้าก็จะบรรลุมรรคผลเป็นพระอริยบุคคล

    แหล่งที่มา : พ่อรักลูก ๒
     
  6. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    การถือตัวถือตนว่า เราเสมอเขาก็ดี เราดีกว่าเขาก็ดี เราเลวกว่าเขาก็ดี เป็นปัจจัยของความทุกข์

    อย่ามองคน ด้วยฐานะ อย่ามองคน ด้วยศักดิ์ศรี อย่ามองคน ด้วยความรู้ความสามารถ มองคนแต่เพียงว่าสภาพของเขา เป็นวัตถุเหมือนสภาพของเรา จิตใจของเราพร้อมในการเมตตาปรานีไม่ถือตน เขาจะมาในฐานะเช่นใดก็ช่าง ถือว่าเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันหมด การกำหนดอารมณ์ อย่างนี้ เราก็สามารถจะกำจัดตัวมานะ การถือตัวถือตนเสียได้ อย่างนี้เรียกว่า อรหัตมรรค
     
  7. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    คนที่เข้าถึงพระโสดาบันน่ะ มีอารมณ์เป็นสุขปกติ ไม่ถือมงคลตื่นข่าว คำว่า ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ก็คือ เขาเฮที่ไหนไปที่นั่น เขาลือที่โน่นดีไปที่โน่น เขาลือที่นี้ดีมาที่นี่ ผลที่สุด หาดีอะไรไม่ได้ จับไม่ถูก มีอารมณ์ไม่แน่นอนมี สติไม่ตรง อย่างนี้ไม่ใช่พระโสดาบัน

    สำหรับพระโสดาบันน่ะอยู่ที่ไหนก็อยู่ที่นั่น ที่ไหนไม่สำคัญ คำสอนของอาจารย์องค์ไหน พระองค์ไหน องค์ไหนๆ ก็ไม่สำคัญ ถ้าตรงต่อคำสอนของ องค์สมเด็จพระบรมสุคต พระโสดาบันยอมรับ ย่อมไม่ถือว่าอาจารย์เป็นสำคัญ ถือพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ ไม่ใช่ไปนั่งนับถือตัวบุคคลว่า พระองค์นั้นสอนดี พระองค์นี้สอนไม่ดี อาจารย์องค์นั้นสอนดี อาจารย์องค์นี้สอนไม่ดี เขาไม่ถืออาจารย์เป็นตัวสำคัญ เพราะท่านถือว่าเป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรส


    ที่มา: ทางสายสู่พระนิพพาน พิมพ์โดย: สส.
     
  8. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ...............ความประสงค์ที่เจริญสมาธิก็คือ ต้องการให้อารมณ์สงัด และเยือกเย็น ไม่มีความวุ่นวายต่ออารมณ์ที่ไม่ต้องการ และความประสงค์ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ อยากให้พ้นอบายภูมิ คือไม่เกิดเป็นสัตว์นรก เปตร อสุรกาย สัตย์เดียรฉาน อย่างต่ำถ้าเกิดใหม่ขอเกิดเป็นมนุษย์และต้องเป็นมนุษย์ชั้นดีคือ
    ๑. เป็นมนุษย์ที่มีรูปสวย ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ไม่มีอายุสั้นพลันตาย
    ๒. เป็นมนุษย์ที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์ ทรัพย์สินไม่เสียหายด้วย ไฟไหม้ โจรเบียดเบียน น้ำท่วม หรือลมพัดทำลายเสียหาย
    ๓. เป็นมนุษย์ที่มีคนในปกครองอยู่ในโอวาท ไม่ดื้อด้านดันทุรังให้มีทุกข์ เสียทรัพย์สินและเสียชื่อเสียง
    ๔. เป็นมนุษย์ที่มีวาจาไพเราะ เมื่อพูดออกไปเป็นที่พอใจของผู้รับฟัง
    ๕. เป็นมนุษย์ที่ไม่มีอาการปวดประสาท คือปวดศรีษะมากเกินไป ไม่เป็นโรคประสาทไม่เป็นบ้าคลั่งเสียสติ
    ..............รวมความว่าโดยย่อก็คือ ต้องการเป็นมนุษย์ที่มีความสงบสุขทุกประการ เป็นมนุษย์ที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินทุกประการ ทรัพย์สินไม่เสียหายจากภัย ๔ ประการคือ ไฟไหม้ ลมพัด โจรรบกวน น้ำท่วม และเป็นมนุษย์ที่มีความสงบสุข ไม่เดือดร้อนด้วยเหตุทุกประการ

    ที่มา: โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๑ พิมพ์โดย: สมชาย
     
  9. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ..........การเทียบบารมีจะเทียบให้ฟัง บารมีเขาจัดเป็น ๓ ชั้น บารมีต้น ท่านเรียกบารมีเฉย ๆ บารมีตอนกลางท่านเรียก อุปบารมี บารมีสูงสุงท่านเรียก ปรมัตถบารมี ถ้าคนที่มีบารมีต้นในขั้นเต็มท่านผู้นี้จะเก่งเฉพาะทานกับศีล เขาจะทำสะดวกเฉพาะการให้ทานกับการรักษาศีล แต่การรักษาศีลของบารมีขั้นต้นจะไม่ถึงศีล ๘ อย่างเก่งก็มีกันแค่ศีล ๕ ท่านผู้นี้จะไม่พร้อมในการเจริญพระกรรมฐานถ้าชวนในการเจริญสมาธิทำกรรมฐานท่านบอกทำไม่ได้ กำลังใจไม่พอ หรือจะพูดให้ดีอีกนิดท่านบอกว่าไม่ว่างพอ เวลาไม่มี นี้สำหรับคนที่มีบุญบารมีขั้นต้นจะอยู่กันแค่นี้
    ..........ถ้ามีบารมีเป็น อุปบารมี เขาเรียกว่า บารมีขั้นกลาง อุปบารมี บารมีนี่พร้อมที่จะทรงฌานโลกีย์ บารมีนี้พร้อมเรื่องฌานโลกีย์ที่ทรงได้แน่ ท่านพวกนี้จะพอใจในการเจริญพระกรรมฐานแล้วก็พอใจในการทรงฌาน แต่ว่าถ้าจะชวนในขั้นบุกบั่นในวิปัสสนาญาณท่านจะบอกว่าไม่ไหวโดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาธิ วิปัสสนาญาณอาจจะมีบ้างแต่ก็ไม่เข้มแข็งนัก เพราะว่าสมถะกับวิปัสสนานี่แยกกันไม่ได้ต้องอยู่คู่กัน แต่กำลังด้านวิปัสสนาญาณจะต่ำจะเข้มแข็งเฉพาะสมถภาวนา แล้วท่านพวกนี้ถึงแม้ว่าจะพอใจในการเจริญกรรมฐาน ถ้าเราบอกว่าหวังนิพพานกันเถอะท่านพวกนี้ก็บอกว่าไม่ไหวกำลังใจไม่พอจะชวนไปนิพพานขนาดไหนก็ตามเขาจะไม่พร้อมจะไป และก็ไม่พร้อมจะยินดีเรื่องพระนิพพาน พร้อมอยู่แค่ฌานสมาบัติ อันนี้เป็นอุปบารมีนะ
    ...........ถ้าเป็นปรมัตถบารมีเราจะเห็นว่าอันดับแรกอาจจะยังไม่มีความเข้าใจเรื่องนิพพาน พอสัมผัสวิปัสสนาญาณขั้นเล็กน้อยพอสมควร อาศัยบารมีเก่าเพิ่มพูนหนุนขึ้นมาก็มีความต้องการเรื่องพระนิพพาน พวกที่มีจิตหวังนิพพานนี่จะไปชาตินี้ได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ เพราะการหวังนิพพานกันจริง ๆ ต้องหวังกันหลายชาติจนกว่าบารมีที่เป็นปรมัตถบารมีจะสมบูรณ์แบบ คือต้องหวังหลาย ๆ ชาติถ้าจิตหวังพระนิพพานจริง ๆ พวกนี้ก็มีหวัง ที่เรียกว่ามีบารมีเป็น ปรมัตถบารมี


    ที่มา: ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๙๕ มกราคม ๒๕๓๒ พิมพ์โดย: keroa
     
  10. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    สำคัญที่ใจ

    ต่อแต่นี้ไปโอกาสแห่งการเจริญพระกรรมฐาน การเจริญพระกรรมฐานที่บรรดาท่านพุทธบริษัทปฏิบัติในอันดับแรกเราสมาทานศีลกันก่อน แล้วต่อไปก็สมาทานพระกรรมฐาน เพื่อปฏิบัติในด้านสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา นี่การเจริญพระกรรมฐานนี้เราปฏิบัติเพื่อเอาดีทางใจ เพราะว่าองคสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า

    "ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุดสำเร็จได้ด้วยใจ" เป็นอันว่าคนเราจะดีหรือชั่วก็อยู่ที่ใจตัวเดีย ถ้าใจดีเสียอย่างเดียว อารมณ์ใจดี กายและวาจาใจก็ดีไปด้วย

    กายก็ดี วาจาก็ดี จะทำดี จะพูดดี จะพูดชั่วขึ้นอยู่กับอารมณ์ของใจ หรือใจเป็นผู้สั่ง ฉะนั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงแนะนำท่านพุทธบริษัททั้งหลายเพื่อหวังประโยชน์สุขแห่งตน คือพยายามฝึกใจให้เข้าถึงความดี

    ทีนี้การเจริญพระกรรมฐานก็ชื่อว่าเราต้องการความดี ต้องการความสุขในทางใจ อารมณ์ใจมีความสุขเสียอย่างเดียวกายและวาจามันก็สุขด้วย เพราะว่าความสุขหรือความทุกข์มันอยู่ที่อารมณ์ของใจ นี่การเจริญพระกรรมฐานอันดับแรก

    วันนี้จะขอพูดแบบเจริญกรรมฐานแบบง่ายๆ เพื่อหวังผลตั้งแต่เล็กถึงใหญ่ ในอันดับแรกขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายขอให้ทำตนให้เข้าถึงความเป็นมนุษย์เสียก่อน เพราะว่าคนส่วนใหญ่เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ตายแล้วมักไม่ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

    การที่เราจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ต้องมีศีล ๕ เป็นที่พึ่ง ทั้งนี้ก็หมายความว่าเราเป็นผู้มีใจรักษาศีล ๕ และรักษาศีล ๕ ไว้เป็นปกติ ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทนึกถึงศีล ๕ เป็นปกติ และระมัดระวังไม่ให้ศีล ๕ บกพร่อง

    ความจริงในระดับเบื้องต้น เราเกิดเป็นมนุษย์ก็จริงแหล่ แต่สติสัมปชัญญะมันก็ฟั่นเฝือไปบ้างตามอำนาจของอกุศลกรรม มันจะบันดาลให้จิตใจของเราเห็นผิดเป็นชอบ



    ที่มา: ธรรมปฏิบัติเล่ม 10 พิมพ์โดย: ธรรมบาล
     
  11. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    จงคบแต่บัณฑิต คบคนพาลมีแต่ทุกข์

    จงคบแต่บัณฑิต
    ท่านทั้งหลาย วันนี้มีโอกาสมาพบกับบรรดาท่านทั้งหลายอีก หวังว่าท่านคงไม่รำคาญที่จะรู้เรื่องของคนพาลต่อไป ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่าพระพุทธศาสนาช่วยโลก โดยทรงแนะนำว่า จงอย่าคบคนพาล เมื่อพูดถึงคนพาลในลักษณะที่ ๑ คือมีความโหดร้าย เราก็ต้องพูดกันต่อไปอีกสักนิดดีไหม นี่คุยกันในฐานะที่เราเป็นเพื่อนร่วมประเทศกัน หรือว่าเป็นเพื่อนร่วมโลก ในฐานะที่เรามีความรู้สึกเสมอกัน เพราะว่า คนทุกคนรักความสุขเกลียดความทุกข์เหมือนกัน

    แม้ว่าท่านทั้งหลายที่เข้ามานับถือพระพุทธศาสนาก็ดี ยังไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนาก็ดี ก็ลองมาช่วยกันคิด อย่าเพิ่งเชื่อบุคคลผู้พูด เพราะผู้พูดนี้ความจริงไม่ได้เป็นผู้วิเศษวิโสอะไร ไม่ใช่ว่าจะเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตในพระพุทธศาสนา เป็นแต่เพียงเห็นเขาปฏิบัติกัน ฟังพระท่านเทศน์กัน อ่านหนังสือที่อ้างว่าเป็นคำสอนของสมเด็จพระบรมครูเป็นสิ่งที่ควรจะนำมาคิด เพราะว่าเป็นคำสอนที่พระศาสดาองค์เดียว

    พระศาสดา เขาแปลว่า ครู องค์เดียวนี่ไม่มีการบังคับ คำสอนนี้ใครจะปฏิบัติก็ได้การบังคับถือว่าเป็นการลิดรอนปัญญา หรือลิดรอนศรัทธาของผู้ปฎิบัติ อย่างสมัยทางกฎหมายเขาถือว่าทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพทางด้านจิตใจ กฎหมายเขาเอากันทางร่างกาย แต่จิตใจเขาว่ากันเขาลงโทษกันหรือเปล่าไม่ทราบ แต่ว่าพระพุทธเจ้าทรงมีความเห็นว่าไม่ควรจะลิดรอนกันในด้านจิตใจ

    ในเมื่อว่ากันถึงลักษณะของคนพาลในคราวที่แล้วว่า คนพาลมีใจโหดร้าย เมื่อเขามีความโหดร้ายเขาก็ต้องมีความทุกข์ เพราะว่าความโหดร้ายเป็นอารมณ์ที่เผาผลาญจิตใจไม่ให้มีความสุข ในเมื่อท่านผู้นั้นเป็นผู้ร้าย ใจของท่านไม่มีความสุข เราไปคบกับท่านไปปฏิบัติกับท่านใจเราก็ไม่มีความสุข

    พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า "จงคบบัณฑิต เป็นคนที่มีอารมณ์ประกอบไปด้วยความเมตตาปราณี"

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งโทษของคนร้ายคือคนพาลที่เป็นคนใจร้าย ทำลายเศรษฐกิจของประเทศชาติให้พินาศไป ไม่ใช่แต่เป็นการทำลายความสุขของบรรดาปวงชนเท่านั้น ทำลายความสุขของบุคคลอื่นตนเองด้วย

    ก็เหมือนกับที่ท่านคงจะคิดได้ว่า เมื่อวันก่อนผู้พูดได้มากล่าวว่าในเมื่อคนที่มีจิตคิดชั่วมีอารมณ์ร้าย ทำร้ายร่างกายของคนอื่น เขาก็ต้องถูกหารประหัตประหาร ถูกการแก้มือใครเขาจะนอนนิ่ง เมื่อเราร้ายได้เขาก็ร้ายได้เหมือนกัน ในเมื่อเขามาร้ายกับเราได้ เราก็ร้ายกับเขาได้เหมือนกัน อันนี้เป็นอารมณ์ธรรมดาของบุคคลทั่วไป

    แล้วก็ส่วนใหญ่บุคคลที่เข้าไปแก้แค้นประหัตประหาร ถ้าท่านบุคคลเดิมมาทำร้ายก่อน ทำร้ายเพียงร่างกาย ท่านผู้แก้มือฆ่าคนนั้นตาย ท่านก็กลายเป็นผู้ร้ายอีกด้วย ถูกลงโทษหนัก เป็นอันว่าการคบหาสมาคมกับคนที่มีจิตชั่วคือมีอารมณ์ร้าย ไม่มีประโยชน์ ไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ ไม่มีความดี มีแต่โทษ


    คบคนพาลมีแต่ความทุกข์
    ต่อนี้ไปขอพูดเรื่องอารมณ์ร้ายอีกสักนิดหนึ่ง ก่อนที่จะพูดถึงโทษหนัก การคบคนชั่วแบบนั้นเขาบังคับให้เราคบ หรือว่าพอใจในการคบ ขอบรรดาท่านทั้งหลายจงอย่าโทษคนอื่น พระพุทธเจ้าตรัสว่า อัตตนา โจทยัตตานัง "จงเตือนตนด้วยตนเอง"

    ใจเราเป็นเรื่องสำคัญ การที่จะคบหาสมาคมกับท่านพวกนั้น คนที่มีใจร้าย เราพอจะหลีกเลี่ยงได้ ถ้าหากจะบังคับให้เราคบกับเขา โลกทั้งโลกเรามีสิทธิ์ที่จะเลี่ยงไปอยู่ที่หนึ่งที่ใดก็ได้ให้พ้นไป แต่ความจริงการจะคบนั้นมันอยู่ที่ใจ ใจเราพอใจเท่านั้นมันจึงจะคบ ถ้าเราไม่พอใจใครเราไม่คบก็ได้

    แต่เรื่องคนอื่นที่มาชวนเรานี่ ความจริงผู้พูดเห็นว่าไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือใจของเราอย่าไปคบกับอารมณ์ร้ายเข้า ถ้าใจของเราคบกับอารมณ์ร้าย เห็นว่าการประหัตประหารบุคคลอื่นเป็นคนดี การทำร้ายร่างกายบุคคลอื่นเป็นของดี การเบียดเบียนกลั่นแกล้งให้บุคคลอื่นมีความทุกข์เป็นของดี ถ้าใจมีอารมณ์คิดอย่างนี้ เราไม่มีทางหลีกเลี่ยง

    พาลภายนอก คือ คนพาล เขาจะมีสันดานชั่วยังไง จะมีอำนาจมากยังไงก็ตามที เราพอหลีกพอหนีเขาได้ แต่ถ้าว่าใจของเราเป็นพาลนี่มันหนีไม่พ้น ฉะนั้นองค์สมเด็จพระทศพลจึงทรงแนะนำให้ควบคุมกำลังใจว่า จงอย่าทำใจของเราให้เป็นใจพาล

    คิดอยากจะประหัตประหารทำร้ายบุคคลอื่น ถ้าใจของเราเป็นใจพาลแล้วเราจะหาความสุขอะไรไม่ได้เลย แล้วเราก็จะหลีกจะหนี จะไปให้พ้นอารมณ์พาลนั้นไปไม่ได้ ร่างกายจะไปถึงไหนใจมันก็ไปถึงนั่น ฉะนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์จึงได้ให้ควบคุมกำลังใจเป็นสำคัญ สำหรับกำลังใจของเรานี้จะหลีกเลี่ยงจากความเป็นใจพาลได้ คือจะเป็นใจของบัณฑิต

    คือว่า บัณฑิต แปลว่า ผู้รู้ หรือแปลว่า ผู้ดี บัณฑิตนี่เขาแปลว่าผู้ดี คือมีอารมณ์ใจดี ไม่มีความโหดร้าย ไม่มือไว ไม่ใจไว ไม่พูดปด ไม่หมดสติ มีอารมณ์แช่มชื่นเป็นที่น่ารัก...



    ที่มา: คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๑๓ พิมพ์โดย: ธรรมบาล
     
  12. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    การปฏิบัติให้เป็นพระอริยะคือ ตั้งแต่พระโสดาบันถึงพระอรหันต์นี่นะ ถ้าเข้าถึงพระโสดาบัน ถ้าถึงพระอรหันต์ก็ ยาว ๑๐ กิโลเมตร เอ๊ะ..แย่ไหม คุณถามเครื่องวัดนี่ แต่ว่าเครื่องวัดในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าจะเอาเชือกไปวัด หรือว่าเอาอะไรเข้าไปวัด ต้องวัดด้วยคุณธรรมที่ละ
    เครื่องวัดมีอย่างนี้ คือว่า พระโสดาบัน กับ พระสกิทาคามีตะต้องละความชั่ว ๓ อย่าง คือสักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
    สำหรับสักกายทิฐิ พระโสดาบันกับพระสกิทาคามี จะมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอว่า เราเกิดมาเพื่อตายจะไม่มีความประมาทในชีวิต จะคิดทำความดีอยู่เสมอ

    วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า โดยใช้ปัญญาพิจารณา

    และประการที่ ๓ มีศีล ๕ บริสุทธิ์ นี่เขาเรียกว่า พระโสดาบัน และ พระสกิทาคามี

    สำหรับพระอรหันต์ ต้องละกิเลส ๑๐ ข้อ คือต่อไปอีก ๗ ข้อ ได้แก่
    ละกามราคะ คือ ไม่ยินดีใน รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ
    ละปฏิฆะ คือไม่มีความโกรธ ไม่มีความพยาบาท
    ละอรูปราคะ ไม่ติดอยู่ในอรูปฌาณ
    ละมานะ ไม่ถือตัวถือตน
    ละอุทธัจจะ ไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน
    ละอวิชชา ตัดความโง่ทิ้งไปให้หมด
    รวมเป็น ๑๐ อย่าง ถ้าตัดได้ทั้ง ๑๐ อย่างนี้ เป็น พระอรหันต์ นี่เป็นเครื่องวัด
    ที่มา: หลวงพ่อตอบปัญหา พิมพ์โดย: ธรรมบาล
     
  13. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ประเภทสุกขวิปัสสโกนี่ ไม่รู้อะไรหรอกคุณได้แต่สมาธิเฉย ๆ มีจิตเป็นสุข จิตมีกำลังตัดกิเลสได้ สำหรับวิชชาสาม หรือ เตวิชโช สามารถรู้ได้ เพราะว่าการปฏิบัติขั้นวิชชาสามมี ญาณ ๘ อย่าง คือ
    ๑. ทิพจักขุญาณ สามารถเห็นผี เห็นนรก เห็นสวรรค์ได้
    ๒. จุตูปปาตญาณ เราจะรู้ว่า คนที่เกิดมานี่ ก่อนจะเกิดนั้นมาจากไหน และเวลาตายแล้วไปไหน

    ๓. เจโตปริยญาณ สามารถจะเห็นจิตของคนได้ คนไหนจิตดี คนไหนจิตเลว

    ๔. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เราสามารถระลึกชาติได้โดยไม่จำกัด

    ๕. อตีตังสญาณ เราจะรู้เรื่องราวในอดีตได้

    ๖. อนาคตังสญาณ รู้เรื่องราวในอนาคตได้

    ๗. ปัจจุปันนังสญาณ ปัจจุบันนี้ใครทำอะไรที่ไหน เรารู้ได้

    ๘. ยถากรรมมุตาญาณ คนที่เขามีความสุขความทุกข์ เขาอาศัยกรรมอะไรเป็นปัจจัยนี่ในด้านวิชาสาม รู้ได้ ๘ อย่างเท่านี้

    สำหรับฉฬภิญโญ (อภิญญาหก) แสดงฤทธิ์ได้ มีหูเป็นทิพย์ มีตาเป็นทิพย์ ฯลฯ

    ปฏิสัมภิทัปปัตโต มีความสามารถคลุมวิชชาสาม และอภิญญาหก มีความฉลาดกว่า

    หมวดที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ไม่เหมือนกัน แต่วิธีปฏิบัติคล้ายคลึงกัน เอาใน กรรมฐานทั้ง ๔๐ มาแยกปฏิบัติเป็นหมวดหมู่

    ทีนี้สำหรับการปฏิบัติ ถ้าจะถามว่าอย่างไหนเข้าถึงมรรคผลง่ายกว่ากัน ก็ต้องเป็นไปตามอัธยาศัยของคน

    สำหรับสุกขวิปัสสโก พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับผู้ที่ต้องการเรียบ ๆ ไม่ต้องการฤทธิ์เดช ทำแบบสบาย ๆ จิตใจไม่ชอบจุกจิก

    สำหรับเตวิชโช นั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับคนที่อยากรู้อยากเห็น ถ้ามีสิ่งปิดบังลี้ลับอยู่ ทนไม่ไหว ต้องหาให้พบ ค้นให้เห็น

    สำหรับฉฬภิญโญ นั้น สำหรับคนที่ต้องการมีฤทธิ์เดช พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนไว้

    สำหรับปฏิสัมภิทาญาณ หรือปฏิสัมภิทัปปัตโต ท่านมีทั้งฤทธิ์ด้วย มีทั้งความเป็นทิพย์ของจิตด้วยมีความฉลาดด้วย สอนไว้เพื่อให้คนที่ต้องการรอบรู้ทุกอย่าง

    ฉะนั้นการที่พระพุทธเจ้าทรงสอน จึงเป็นไปตามอัธยาศัยของคน




    ที่มา: หลวงพ่อตอบปัญหา พิมพ์โดย: ธรรมบาล
     
  14. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    จะเริ่มเป็นพุทธภูมิทันทีเมื่อตัดสินใจ คือว่าเรื่องปรารถนาพุทธภูมินี่นะ คนที่ถามนี่ใครนะ เข้มแข็งมากนี่ คือว่าเรื่องความปรารถนาพุทธภูมินี่ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ ถ้าตั้งใจที่จะปรารถนาพุทธภูมิเป็นพระโพธิสัตว์เดี๋ยวนั้นนะ แล้วก็ถ้าตั้งใจแบบนี้นะ ถ้าคิดว่าจะไปนิพพานชาตินี้ต้องลาพุทธภูมิ ความจริงปรารถนาพุทธภูมิดี...ดีมาก จะเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่งเอาไหม แต่เคยเล่าทีไรมันได้แสนบาทนี่...(หัวเราะ)
    คือว่ามีพระอรหันต์องค์หนึ่ง เป็นปฏิสัมภิทาญาณในสมัยพระพุทธเจ้า ฉันก็จำชื่อไม่ได้เสียแล้ว ท่านมีสามเณรองค์เล็ก ๆ อายุ ๗ ขวบอยู่องค์หนึ่ง เวลาไปเฝ้าพระพุทธเจ้าท่านก็เอาสามเณรไปด้วย เวลาไปหาพระพุทธเจ้าท่านก็กราบพระพุทธเจ้าหลายครั้ง"
    ต่อมาเวลาขากลับเณรน้อยก็เดินตามหลัง เณรน้อยก็คิดว่าอาจารย์ของเราเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ เป็นอรหันต์อันดับสูงสุด ในด้านของความสามารถอรหันต์อีก ๓ เหล่าสู้ไม่ได้ แต่ทว่าอาจารย์ของเรายังต่ำกว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั่งสูงกว่า...สู้ไม่ได้ ต่อไปนี้เราปรารถนาพุทธภูมิดีกว่า เราคิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าต่อไป พอแกคิดเสร็จอาจารย์ก็หยุด บอก..."เณร! เดินข้างหน้า"

    เณรก็เดินไปเดินมาแล้วก็นึก เอ...เป็นพระพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญบารมีมาก เป็นอรหันต์ปกติสาวกบำเพ็ญบารมีแค่ ๑ อสงไขยกับแสนกัปถึงจะเป็นอรหันต์ได้ พระพุทธเจ้าขั้น ปัญญาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขย กับแสนกัป ศรัทธาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมี ๘ อสงไขยกับแสนกัป วิริยาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป จึงเข้านิพพาน เราเป็นอรหันต์ธรรมดาดีกว่า อาจารย์บอก..."เณร! เดินหลัง" อาจารย์ทำแบบนี้ ๓ เที่ยว เณรก็ถามว่า

    "อาจารย์ครับ ประเดี๋ยวให้ผมเดินหน้า ประเดี๋ยวให้ผมเดินหลัง มันเรื่องอะไรกันครับ?"

    อาจารย์ก็ถามว่า "ขณะที่ฉันให้เธอเดินหน้า เธอคิดอะไร?"

    เณรบอก "ผมคิดอยากเป็นพระพุทธเจ้าครับ"

    อาจารย์บอก "นั่นแหละ...มันเป็นกันตั้งแต่ตอนนี้ เริ่มเป็นเมื่อคิด" ไป ๆ มา ๆ ไม่เอาดีกว่า เป็นสาวกดีกว่า

    ก็รวมความว่า...ถ้ามีความตั้งใจปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า เริ่มเป็นพระโพธิสัตว์ตั้งแต่เริ่มตัดสินใจ อย่าไปคิดว่ายังไม่เป็นนะ

    พิมพ์โดย: ธรรมบาล
     
  15. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ถ้าลาพระพุทธเจ้าละเจอะหน้าเทวทัตแหง ๆ ลาพุทธภูมิก็ไม่ยาก ก็ไปที่หน้าพระพุทธรูปก็แล้วกัน จุดธูปบูชา ตั้ง นะโม ๓ จบ ว่า พุทธัง...ธัมมัง...สังฆัง...สรณัง คัจฉามิ ว่า อิติปิโส อีกจบหนึ่ง แล้วก็ขอขมาโทษท่านเสร็จแล้วกล่าวคำปฏิญาณ "ข้าพระพุทธเจ้าขอลาพระพุทธภูมิ ขอเป็นสาวกภูมิตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป" เท่านั้นไม่มีอะไรมาก
    ถ้าได้มโนมยิทธิให้ไปพระนิพพาน ขอลาพระพุทธเจ้าตรง ถ้าถามว่าปฏิบัติแบบไหนให้เร็วท่านจะบอกให้ดีกว่า ปฏิบัติให้ตรงกับที่เราพร่อง ขอจุดให้ตรงกับที่เราพร่องแล้วไม่ยาก

    พิมพ์โดย: ธรรมบาล
     
  16. อิงธรรม

    อิงธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +1,454
    อ่านกระทู้เดียวจบกระบวนความ นำไปปฏิบัติตามถึงพระนิพพานในชาตินี้แน่นอน
    ขออนุโมทนาค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...