เรื่องเด่น มนุษย์ต่างดาวติดต่อเราหรือยัง-ควรบอกว่า เมื่อไหร่จะไป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย chandayot, 18 เมษายน 2012.

  1. ฅนล้านนา

    ฅนล้านนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +1,000
    ...ยินดีจ๊าดนักเด้ออ้ายเด้อ
     
  2. Happy_Me

    Happy_Me เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +314
    ขอโพสต์ก่อนแล้วกันค่ะ ยังอ่านไม่หมดเลย เด๋วมาอ่านต่อ ขอบคุณที่เอามาแชร์ค่ะ

    เพิ่งฝันถึงมนุษย์ต่างดาวไปมะวานนี้เอง แล้วได้มาอ่านกระทู้คุณวันนี้ ขนลุกมากค่ะ ตรงเป๊ะ!

    เราไม่เคยฝันถึงมนุษย์ต่างดาวมาก่อนเลยในชีวิต

    ในฝันเราฝันว่า..

    แฟนได้นัดเราออกมาที่ถนนซอยหนึ่งกลางดึก

    พอเราไปพบแฟนเราสักพักเราเห็นน้ำกำลังจะท่วม แบบไหลทะลักมาเหมือนเขื่อนแตกเลย

    เรากับแฟนเลยวิ่งหนีน้ำกัน วิ่งไปๆ แล้วเจอมนุษย์ต่างดาวสวมชุดเกราะเหล็กสงครามมาช่วยเราไว้

    ตอนแรกที่เจอเรากลัวมาก เค้าก็เลยถอดหมวกออกให้รู้ว่าเค้าเป็นมิตร เค้าเป็นผู้หญิงค่ะ รูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์เรานี่แหละ

    แล้วเค้าก็พาเราขึ้นจานบินของเค้าไป ส่วนแฟนเค้าไม่ให้ไปด้วย เค้าบอกว่าแฟนเราขาดคุณสมบัติอะไรสักอย่างนี่แหละ (แต่สุดท้ายเค้าก็พาขึ้นไปด้วยนะคะ)

    เรามองไปบนท้องฟ้า เห็นเค้าทำสงครามกันอย่างกะหนังสตาร์วอร์ แล้วเราก็เห็นมังกรสีน้ำเงินอยู่บนท้องฟ้าด้วย

    จากนั้นเราก็สะดุ้งตื่นเลยค่ะ เป็นความฝันที่เหมือนจริงมาก แล้วเรากลับจำได้ทุกช๊อตทุกตอนเลย น่าขนลุกจริงๆ ค่ะ
     
  3. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ---สิ่งที่พวกคุณเรียกว่าโลกวัตถุ-This Material World สรรสร้างขึ้นด้วยการบดบังของมิติเวลาอย่างที่กล่าว

    ---นอกจากนั้น สิ่งที่เราเรียกว่าอะตอม หรืออนุภาค ก็ไม่ได้เป็นวัตถุแข็ง มันมีอีกสภาพหนึ่ง คือ การสั่น หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า บน"ความว่างเปล่า" จะหาตัวตน หรือสาระก็มิได้ แถมมันยังมีพฤติกรรมแปลกๆ อย่างเช่น เจอคู่ปฏิสสารแล้วก็หาย ไป หรือ "จะให้เป็นอนุภาค หรือคลื่นก็ได้" เหมือนว่ามันอ่านใจเรา หรือ"รู้ว่าทำการทดลองในแง่ไหน"

    --ที่ฮือฮา คือฟริตจ๊อบ คาปร้า นักอนุภาคฟิสิกส์ ได้เขียนหนังสือ"ศาสนาเต๋าแห่งฟิสิกส์" มีผู้อ่านอย่างกับไฟลามทุ่ง ต่อๆมานักฟิสิกส์คนอื่นๆก็เขียนเรื่องแบบนี้ออกมาเยอะ บางคนว่า "สิ่งที่เราเห็นในฝัน หรือตอนนั่งสมาธิ มัน"จริง"มากกว่าที่เราเห็นจริงด้วยตา" เสียอีก" เพราะโลกเราก็คือมายา สัจจธรรมหรือเหตุผลของโลกนั้นแฝงอยู่ รอ"ความเข้าใจ"จากจิตสำนึกของเรา เท่านั้นเอง

    --บางทีมันอาจเป็น"ข่าวสารข้อมูล"ที่ส่งมาและคุณก็"เปิดเครื่องรับ"ได้พอดีน่ะครับ คนโบราณบอกว่า"ฝันใกล้สว่าง" น่ะ แม่นราวตาเห็น เพราะเราอยู่ใน"สภาวะหลับลึก"
    ------------------------------
    ---ชาวต่างดาวที่นาซ่ารู้จัก มี 200กว่าเผ่าแล้ว ปัจจุบันมาร่วมสร้างยานอวกาศขนาดใหญ่เพื่อหนีน้ำท่วมโลก 2012 โดยคำบอกกล่าวของ ดร.สุมิตร

    --ชาวอาร์คทอเรี่ยน-Arcturian--บอกว่า พวกจิตวิญญาณชั้นสูง จะเรียกวิญญาณของพระเยซู-ตามชื่อในอดีตชาติว่า "สะนันด้า-Sananda"
    --------------------------------
    --ดาวทุกดวงจะมีเทพประจำอยู่ เป็นผู้หลุดพ้นกิเลส คือระดับพระอรหันต์ เทพของโลกชื่อ สนัต กุมาร --Sanat Kumara- ซึ่งฝรั่งเชื่อว่า เป็นจิตต้นเค้าของพระพุทธองค์ ปัจจุบันท่านเอากายทิพย์ห่อหุ้มโลกไว้ เพื่อกันพลังที่ไม่ดี และยังมีวิญญาณชาวอาร์คทอเรี่ยนอีกเป็นแสน ที่จับตัวกันเป็นตะแกรงหุ้มโลกไว้อีก-
    ------------------------
    --ผมเคยคุยกับเทพชื่อท้าวธรรมจักรอยู่บนดาวพฤหัส มีแปลกๆคือ ท่านจะมีน้ำเต้าที่เก็บของวิเศษ และมีกุมารองค์นึง ชื่อ"ห้าแกละ" นอนในน้ำเต้าด้วย พิเศษอีกคือพูดจาไพเราะ สุภาพ-- หายากนะนี่
    -------------------------------
    -ขอโทษที่ติดขัด ช้านิดนึง เพราะ2 วันนี้กำลังเปลี่ยนทีวี เคเบิ้ล จานดาวเทียม เปลี่ยนใหม่หมด---ทีวีใหม่ เกิดเสีย ปิดเครื่องไม่ได้ เปิดไม่ติด ต้องเปิดค้างไว้ พอดีมีตังเหลือพันนึงเลยขอผ่อนเค้า เจ้าของร้านสนิทกันก็โอเคมา
    ---ปิดคอมพ์แล้วเปิดไม่ติด พยายามแก้ระบบ--ไม่ได้--ลงใหม่ ไม่ได้--ตอนนี้ใช้ระบบปฏิบัติการลินุกซ์เข้ามาครับ ไม่ต้องลงไดร์เวอร์ ดูหนังฟังเพลงต่อเน็ตได้หมด ตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้ฮาร์ดดิสก์ด้วย ให้ว่าจากเครื่องซีดี แล้วมันจะวิ่งบนเม็มอีกทีน่ะครับ


    --พยายามคิดหาเหตุผล อาจเป็นเพราะความบังเอิญ หรือโพสเรื่องธรรมมะ ก็มีมารผจญ ก็เหลือจะเดา แต่มารตัวโตๆ ก็เป็นเทพระดับพรหม ก็ไม่ยากที่จะทำแบบนี้ จะมีเว้นก็แต่เซิร์ฟเว่อร์ของพลังจิตดอทคอมเท่านั้น ขอให้รอดปลอดภัยเถอะพ่อคู้น
    (ใช้เบราวเซอร์ของไฟร์ฟ็อกซ์ที่แถมมากะลินุกซ์ ตัวหนังสือเท่าหม้อแกง ก็ดีครับ จะไม่พิมพ์ผิดง่ายๆ)

    ต่อไปนี้เราจะไปกันอย่างเร็วอีกรอบนึงครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2012
  4. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    มีเรื่องของภูมิประเทศบนดาวลาร์ก้าอีกครับ แต่หาไม่เจอแล้ว บนนั้นเป็นหมอกหน่าตลอดปี การจะเหฌนวิวสวย ท้องฟ้าสวยใส อย่างบนโลก ไม่มีได้มีครับ

    ---จากทฤษฎีไกอา มาลองดู ทฤษฎีโกลาหล เคออส-- Chaos (ซื่อเมื่อก่อนผมอ่านว่า เชาส์) อันนี้มาจากพื้นฐานของฟิสิกส์ควอนตั้ม วึ่งมีของให้คิดเยอะ อย่างเช่น อนุภาคเป็นคลื่น หรือเป็นก้อนกันแน่ มันเป็นได้ทั้งสองอย่าง แต่เลือกเป็นทีละอย่าง กฏความไม่แน่นนอนของไฮเซนเบอร์ก อิเลกตรอนอยู่ตรงไหน ก็ไม่แน่ชัด มีแต่"ความน่าจะเป็น"เท่านั้น
    -- แม้กระทั่งในวิชา"อุณหพลศาสตร์"-เทอร์โมไดนามิกส์ บอกว่า กระบวนการทางความร้อน นั้นย้อนกลับไม่ได้ ก็เหมือนกับ "กรรมที่เราทำลงไปแล้ว เรียกคืนไม่ได้ " ในพุทธศาสนา กระบวนการต่างๆ ที่เราทำ หรือธรรมชาติ เริ่มทวีความซับซ้อน อย่างเช่นเรา สร้างเมืองจากที่ๆเป็นป่า ถ้าเราเรียกความซับซ้อนว่า "เอ็นโทรปี" วิชานี้จะบอกว่า "เอ็นโทรปีของจักรวาลนั้นเพิ่มขึ้นเสมอ" บางครั้งเราในฐานะผู้สังเกตการทดลอง แต่กลับมาพัวพันกับการทดลอง จนทำให้ผลมันเปลี่ยน และถือว่า "ระบบแยก(ไอโซเลท)นั้นไม่มี"

    -ทางเคออส ซึ่งได้นำแนวคิดหลายๆอย่างไปใช้ในทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์และสังคม แล้วมันก็ใช้ได้ดี จนมีนักวิทยาศาสตร์ยกตัวอย่างว่า "ผีเสื้อขยับปีกอยู่ซีกโลกนึง แต่อาจทำให้เกิดพายุเฮอริเคนขึ้นอีกซีกโลกหนึ่งก็ได้"--จนเป็นที่ฮือฮาว่า "เด็ดดอกไม้ อาจสะเทือนถึงดวงดาว" เหล่านี้แหละครับ เป็นแนวคิดตามทฤษฎีเคออส จนเรียกว่า "ปฏิกิริยาแห่งผีเสื้อ"-The Butterfy Effect มีผู้นำไปสร้างภาพยนตร์มาหลายภาค ตัวอย่างเช่นพระเอกพบว่า แฟนเก่าได้กลายเป็นหญิงขายตัว จึงย้อนเวลาไปแก้ไข มันก็แย่ลงกว่าเดิม ย้อนไปแก้สองสามครั้ง ก็ไม่ได้ดีขึ้น เหมือนกับว่า "กรรมลิขิต" (แต่พี่แก ไม่ใช่ชาวพุทธ เลยไม่ซื้งกับ "กฏแห่งกรรม"ไง

    --ผ่านไปหลายอย่างแล้วครับ ไกอา เคออส --ทีนี้ท่านผู้อ่านสามรถตะลุยโลกลึกลับได้อย่างไม่อายใครแล้วครับ มิติอื่นก็รู้ ความหนาแน่นมิติก็รู้อีก
    (มีโอกาสก็หาการ์ตูนอ่านนะครับ โดเรม่อนยุดแรก--ปรากฏการณ์พลิกโลกMNR อ่านแล้วมันส์ เพราะมีเรื่องการเดินทางทะลุมิติ ข้ามเวลา การดัดแปลงพันธุกรรม--)
    --ถ้าถามนพ.ประสาน ต่างใจว่า"เดือน12 ปี 2012จะมีน้ำท่วมโลก หรือแผ่นดินไหว หรือจานบินลงจอด" ท่านจะตอบว่า
    ทุกอย่างเป็นไปได้ อาจจะมีจุดแยกไป ถ้าเป็นอย่างนั้น อย่างนี้จะไม่เกิด อนาคตมีหลายทางเลือก เป็นควอนตั้มหลายแบบ
    จริงๆแล้ว ท่านอ้างถึงควอนตั้ม แต่มันเป็นไปตามทฤษฎีเคออส

    <o:p> </o:p>
    [FONT=&quot]ทฤษฎีเคออส ([/FONT]chaos theory) [FONT=&quot]หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า บัตเตอร์ฟาย เอฟเฟ็ค[/FONT] (butterfly effect) [FONT=&quot]ถูกนำมาใช้อ้างอิงในภาษาไทยว่าทฤษฎีโกลาหล[/FONT] [FONT=&quot]และแนวคิดผีเสื้อขยับปีก[/FONT] [FONT=&quot]เปรียบเปรยเหตุการณ์บางอย่างเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลกระทบใหญ่หลวงได้[/FONT] [FONT=&quot]เช่น[/FONT] [FONT=&quot]ผีเสื้อขยับปีกที่ประเทศบราซิลเป็นผลให้บรรยากาศโลกเคลื่อนไหวในรูปแบบที่อาจทำให้เกิดพายุทอร์นาโดได้ในเทกซัส[/FONT]<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    [FONT=&quot]แนวคิดผีเสื้อขยับปีกถูกนำมาประยุกต์ใช้อธิบายปรากฏการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมอย่างรวดเร็วโดยกลุ่มนักอนุรักษ์ธรรมชาติ[/FONT] [FONT=&quot]หลายกรณียังถูกนำมาอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม[/FONT]<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2012
  5. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    <!-- nuffnang --> <script type="text/javascript"> nuffnang_bid = "77e4ccf4c2fd989f854c1c96f84e8dea"; </script> <script type="text/javascript" src="http://synad2.nuffnang.co.th/lmn.js"></script><script type="text/javascript" language="javascript" src="http://synad2.nuffnang.co.th/track/banner/skyscraper/77e4ccf4c2fd989f854c1c96f84e8dea/http%253A%252F%252Fobvious.exteen.com%252F20071222%252Fmean/ref/http%253A%252F%252Fwww.google.co.th%252Furl%253Fsa%253Dt%2526rct%253Dj%2526q%253D%2525E0%2525B9%252580%2525E0%2525B8%252584%2525E0%2525B8%2525AD%2525E0%2525B8%2525AD%2525E0%2525B8%2525AA%2526source%253Dweb%2526cd%253D3%2526ved%253D0CDgQFjAC%2526url%253Dhttp%25253A%25252F%25252Fobvious.exteen.com%25252F20071222%25252Fmean%2526ei%253DuseST-7kBIKIrAf43YihBQ%2526usg%253DAFQjCNELNBUZDoM7NKA_reR5H-IPlkidOw/visit/visit"></script><style type="text/css"> #nn_skyscraper_container{ width:160px; margin:0 auto !important; border:none !important; text-align:center !important; padding:0 !important; } #nn_skyscraper{ background-color:white !important; } #nn_skyscraper a, #nn_skyscraper a:visited{ border:none !important; color:black !important } #nn_skyscraper img{ border:none; padding:0; margin:0; background:none !important } #nn_skyscraper div.ad{ position:relative !important;top:0;left:0;margin:0 auto;padding:0;width:160px !important; } #nn_skyscraper div.ad{border:1px solid #ededed} #nn_skyscraper div.minimize{ border:none !important } #nn_skyscraper div.overlay{ position:absolute; left:0; bottom:0 ; z-index:100; margin:0; padding:0; background:none !important} #nn_skyscraper div.underlay{ position:absolute; margin:0; padding:0; z-index:1; bottom:0;left:0; height:300px }</style>ขอบคุณ ปิงกรู


    [Mean] ทฤษฎีเคออส : ความต่างของความแตกต่าง

    posted on 22 Dec 2007 21:05 by obvious in Mean
    .
    - ทฤษฎีเคออส (Chaos Theory) นี้ ผมถือว่าเป็นทฤษฎีใหญ่ทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจเลยครับ ที่หยิบเอาเรื่องทั่วๆ ไปที่คนไม่ค่อยสนใจ มาตั้งเป็นทฤษฎีได้เป็นเรื่องเป็นราว
    - ซึ่งถ้าในเมืองไทย เมื่อเราพูดถึงทฤษฎีนี้อาจจะงงกันได้ เพราะจะมีชื่อเรียกอย่างมากมายหลากหลาย ฟังแล้วปลื้มใจแทน ว่าทฤษฎีโกลาหลบ้างหล่ะ ทฤษฎีอลวนบ้างหล่ะ ทฤษฎีไร้ระเบียบบ้างหล่ะ ทฤษฎีปั่นป่วนบ้างหล่ะ เอาเข้าไป [​IMG]
    - ไม่รู้ว่าคนไทยมันจะเป็นตัวของตัวเองไปไหน แหม...ทำเป็นแนว ไม่อยากเรียกซ้ำคนอื่น ก็เลยคิดคำมาใช้แทนซะมากมาย
    - เอาเป็นว่า เราเรียกมันว่าทฤษฎีเคออสตามพวกฝรั่งละกันนะครับ จะได้ไม่ต้องสับสน
    - ซึ่งคำว่าเคออสเนี่ย ถูกบัญญัติขึ้นโดย นักคณิตศาตร์ประยุกต์คนหนึ่งคืออีตาลุง เจมส์ เอ ยอร์ค ครับ
    - ถ้าจะบอกว่า ทฤษฎีเคออสเนี่ย เป็นยำรวมมิตรคงไม่ผิดนักนะครับ เพราะมันเป็นทฤษฎีที่อยู่ในทุกๆ สาขาวิชา และล้วนดำรงอยู่รอบตัวเราทุกผู้ทุกคน
    - ไม่ว่าจะเป็นฟิสิกส์ เคมี คณิตศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์ ดาราศาสตร์ อุตุนิยมวิทยา เศรษฐศาสตร์ ฯลฯ อาจกล่าวได้ว่าในระบบทุกๆ ประเภทเลยก็ได้ครับ ที่จะมีบางภาวะเหมาะๆ จะทำให้เกิดเคออสขึ้นมา
    - ซึ่งทฤษฎีเคออสนี้ จะอธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในระบบอะไรสักอย่างที่ซับซ้อนครับ ที่มีชื่อเรียกอย่างกระแดะว่าระบบพลวัตร
    - โอ๊ะๆ ระวังนะครับ พลวัตรนี่เป็นถึงตำรวจชั้นผู้ใหญ่เชียวนะ
    - เฮ้ยยย!! ไม่ใช่! นั่นมันสารวัตร!
    - ตึงโป๊ะ~! (ขอโทษครับ ไม่เล่นแล้วครับ เอาเป็นว่ากลับมาเรื่องพลวัตรกันต่อ)
    - ตัวอย่างของระบบพลวัตรก็เช่น เออ...สมมุติว่าเราเป็นคนพายเรือหาหอย
    - พอมืดปุ๊บ เราจะเอาเรือออกทะเลไปหาหอยปั๊บ แล้วจะกลับมาตอนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
    - เมื่อกลับมาจากหาหอยแล้ว เราก็นอนยาวจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน แล้วจึงเอาเรือออกไปหาหอยอีกครั้ง ทำอย่างนี้ทุกวัน
    - จากพฤติกรรมที่เราออกหาหอยในตอนกลางคืน ซึ่งเป็นช่วงที่หอยมักจะทำการผสมพันธุ์กัน ก็เลยเป็นสาเหตุให้หอยมีการเพิ่มจำนวนประชากรลดลง
    - ส่งผลให้หอยน้อยลง น้อยลง จนหมดไป คราวนี้...ปลาก็หาอาหารได้ยากขึ้น เพราะไม่มีหอยกิน หมดไปด้วยอีกราย อืมม..จากนั้นปลาฉลามก็หมดไปอีก
    - ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนท้ายสุดแล้ว...อาจทำให้สัตว์สูญพันธ์หมดโลก! เพียงเพราะเราดันทะลึ่งไปหาหอยตอนกลางคืน
    - อาา..ใช่แล้วครับ ถ้าเราไปต่างจังหวัดหลายวัน เราก็ต้องไปกลางคืนที่โรงแรม
    - เฮ้ยยยย!! ไม่ใช่!! นั่นมันค้างคืนที่โรงแรม!
    - ตึงโป๊ะ~! (ขอโทษจริงๆ ครับ มันอดไม่ไหวจริงๆ สาบานว่าครั้งนี้เล่นครั้งสุดท้ายแล้วครับ)
    - ถ้าให้พูดแบบรวบรัดหล่ะก็ ระบบพลวัตรคือระบบที่มีปัจจัยต่างๆ ซับซ้อนและส่งผลต่อเนื่องยืดยาวกันไปครับ
    - เออหว่ะ อธิบายแค่นี้ก็เข้าใจแล้วใช่มั้ยครับ? แล้วตูจะยกตัวอย่างเรื่องการหาหอยไปไยกันหนอ? [​IMG]
    .
     
  6. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ----ขอบคุณ คห.บน มีอีกตรงนี้ [Mean] ทฤษฎีเคออส : ความต่างของความแตกต่าง | !!Bang Bang, Mystery Rain!!

    และนี่จาก"วิกิ"ครับ

    ทฤษฎีความอลวน<sup id="cite_ref-0" class="reference">[1]</sup> (อังกฤษ: Chaos theory) เป็นทฤษฎีที่อธิบายถึงลักษณะพฤติกรรมของระบบพลวัต (คือ ระบบที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น เปลี่ยนแปลงตามเวลาที่เปลี่ยนไป) โดยลักษณะการเปลี่ยนแปลงของระบบที่เรียกว่าเคออสนี้ จะมีลักษณะที่ปั่นป่วนจนดูคล้ายว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นแบบสุ่มหรือไร้ระเบียบ (random/stochastic) แต่จริง ๆ แล้ว ระบบเคออสนี้เป็นระบบแบบไม่สุ่ม หรือระบบที่มีระเบียบ (deterministic)
    ในทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ คำจำกัดความของระบบเคออส คือ ระบบไม่เชิงเส้น (nonlinear system) ประเภทหนึ่ง ที่มีความไวต่อสภาวะเริ่มต้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าระบบ 2 ระบบนั้นเริ่มต้นจากสภาวะที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย คือเกือบจะเหมือนกันทุกประการ เมื่อระบบได้มีการเปลี่ยนไปสักระยะหนึ่ง สภาวะของระบบทั้งสองที่เราสังเกตได้เมื่อเวลาผ่านไปจะแตกต่างกันอย่างสังเกต เห็นได้ชัด
    เรามักจะได้ยินคำพูดที่นิยมพูดกันอย่างกว้างขวางที่ว่า "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว" หรือ "ผีเสื้อขยับปีกทำให้เกิดพายุ" (จาก "butterfly effect") ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่ตีความคำพูดนี้ในลักษณะของขนาดความรุนแรงของผลลัพธ์ เท่านั้น ระบบเคออสนั้นไม่จำเป็นจะต้องแตกต่างกันในแง่ของ ขนาด ของผลลัพธ์เสมอไป แต่อาจแตกต่างกันในแง่ของ พฤติกรรม การเปลี่ยนแปลงก็ได้ จากตัวอย่างข้างต้น การเปลี่ยนแปลงของระบบทั้งสองนั้นจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันมากในขณะ เริ่มต้น เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงนั้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย

    อ่านต่อตรงนี้ครับ
    ทฤษฎีความอลวน - วิกิพีเดีย

    ลอเร้ยซ์ เอ็ฟฟ็กท์ ---ผมได้ติดตามวง บาร์เคลย์เจมส์ ฮาร์เว็สท์ มานานครับ
    พบว่าปกอัลบั้มของเขาทั้งหมดจะมีรูปผี้เสื้อครับ ครั้งแสดงสด รูปนั้นเป็นเส้นๆแปลกๆ พอไปดูซีดี เอ็นไซโคลปีเดีย พบว่า คือ"ความน่าจะเป็นทางคณิตศาสตร์" คงจะเป็นรูปของลอเร้นซ์นี่เองครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2012
  7. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234

    [​IMG] [​IMG] ดาวน์โหลด (148.62 KB)
    7-3-2012 01:19

    [​IMG] [​IMG] ดาวน์โหลด (1.1 MB)
    7-3-2012 01:17


    สตาร์แอปเปิ้ล 3 ลูก 10บาท


    หุ่นยนต์ ..เอ๊ย เป็นคอมพ์สำรองที่เพิ่งทำเสร็จ ชอบเปลือยๆ ใครจะทำไม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2012
  8. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    <table id="pid615002" summary="pid615002" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="postcontent"><table cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="t_msgfont" id="postmessage_615002">[ame=http://www.youtube.com/watch?v=PuaaNhgaAWs&feature=related]2012 - Giant Alien Cruiser - Surrounding Earth - YouTube[/ame]

    พวกเค้ามาดีหรือร้าย รับปี2012 -----------ยานขนาดยักษ์มาแล้ว

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=scNNrTubd0s&feature=related]UFO Sightings Massive Super Sonic UFO Incredible Footage! 12/11/11 - YouTube[/ame]

    ยานขนาดใหญ่ รูปร่างแตกต่างจากเครื่องบินทั่วไป

    UFO Sighting Unverified 2 - YouTube

    มาแปลกๆ



    http://www.youtube.com/watch?NR=1&feature=endscreen&v=sPEmkELZKRE



    ที่จีน ไม่น่าปลอม มีเสียงคนโวยวายตลอด

    http://www.youtube.com/watch?v=N7lCn3Yl0eo&feature=fvwrel

    มัน ใหญ่ มาก อริโซน่า เสียงคนโวยวายแตกตื่น ข่าวจากทางการ ....เงียบ



    http://www.youtube.com/watch?NR=1&feature=endscreen&v=wf9SYrmEHMg

    ภาพนี้คือของปลอม ตัดต่อจากหนังเรื่อง เขต9--ดิสทริก9


    http://www.youtube.com/watch?v=8KMg3DmB6pg&feature=endscreen&NR=1

    2ลำ ที่สโลวาเกีย รูปแบบเหมือนที่กรุงเวียนนา

    http://www.youtube.com/watch?v=QS0cU_QL4Y4&feature=related

    น่ากลัว



    http://www.youtube.com/watch?v=SJZgGZD7rOk&feature=related

    ลำนี้รูปร่างคล้ายปิรามิด ไปที่จีนและไต้หวัน ไม่กลัวฟ้าผ่า---- รุ่นนี้แล้ว
    </td></tr></tbody></table>


    </td></tr> <tr><td class="postcontent" valign="bottom">
    </td> </tr> <tr> <td class="postauthor">
    </td> <td class="postcontent">
    </td> </tr> <tr class="threadad"> <td class="postauthor">
    </td> <td class="adcontent">
    </td> </tr> </tbody></table> <style type="text/css"> .haor {background:url(images/show/haor.gif) no-repeat left;width:45px;height:35px;text-align:center;float:left;margin-right:4px;cursor: default} .haor span { font-size:12px; font-weight:normal;height:24px; line-height:24px;} .tuid {background:url(images/show/tuid.gif) no-repeat left;width:45px;height:35px;text-align:center;float:left;cursor: default} .tuid span { font-size:12px; font-weight:normal;height:24px; line-height:24px;} .ziz {background:url(images/show/ziz.gif) no-repeat left;width:45px;height:35px;text-align:center;float:left;margin-right:4px;cursor: default} .ziz span { font-size:12px; font-weight:normal;height:24px; line-height:24px;} #zg11{border-bottom:1px solid #DCD9C9;} .zla {background: url(images/show/zl1.png) no-repeat top left;} .zlb {background: url(images/show/zl2.png) no-repeat bottom left;} .zlc { margin-left:5px; padding-bottom:10px;overflow:hidden;position:relative; width:170px} .yuyan { position:absolute; background: url(images/show/yuyan.gif) no-repeat; width:11px; height:18px; margin-left:170px; margin-top:20px;} .user-pic {background: url(images/show/qc.gif) no-repeat; width:160px; height:162px;} .STYLE3 {color: #0099FF} .STYLE8 {font-size: 11px} </style> <table id="pid617504" summary="pid617504" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="postauthor" rowspan="2">

    jesdath ออนไลน์
    <dl class="s_clear"><dt>UID</dt><dd>16999 </dd><dt>โพสต์แล้ว</dt><dd>1317 </dd><dt>ตั้งกระทู้</dt><dd>1 </dd><dt>เครดิต</dt><dd>1295 </dd><dt>แต้ม</dt><dd>1295 </dd><dt>ความนิยม</dt><dd>1280 </dd><dt>เพศ</dt><dd>ชาย </dd><dt>สมัครสมาชิกเมื่อ</dt><dd>21-8-2011 </dd><dt>เข้าระบบล่าสุด</dt><dd>21-4-2012 </dd></dl> [​IMG] [​IMG]



    [​IMG]
    [​IMG]


    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] ระดับ credit: [​IMG][​IMG]
    <!-- ัซีย --> <!-- ัซียend --> [​IMG]





    </td> <td class="postcontent"> <table cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="t_msgfont" id="postmessage_617504">หนาว จังเลย ขอนอนก่อนครับ ทำกับข้าวหลายอย่าง ของหวานด้วย พรุ่งนี้จะไปทำบุญกันครับ สามชีวิตเหน็ดเหนื่อยกันทั่วหน้า วิญญาณคนพิการก็มาเข้าฝันภรรยา มีบ้านหลังสีขาวใหญ่โต ยังมีรถโยกเหมือนตอนที่มีชีวิตอยู่ (ความพิการนี้ ทางโลกทิพย์จะค่อยๆรักษาไป)
    กับข้าวที่ขายๆกัน เดี๋ยวนี้ราคาแพง35-50 บาท และพัฒนามา ใส่น้ำตาลเข้าไปทุกอย่าง
    ของหวานขึ้นราคามาจาก 5บาทเป็น 15 บาท แต่ไม่ค่อยใส่น้ำตาล บางครั้งต้องเอาทิ้งไป กะทิเขาไม่ใช้ แต่ใช้น้ำแป้งใส่เกลือ ทั้งๆที่น้ำตาลก็ไม่ได้แพงมาก เนื้อหมูลดราคาลงมาที่120 บาทแล้ว แต่กับข้าวไม่เคยลดราคา--ถ้าค่าแรงวันละ300 เริ่มบังคับใช้ จะกระทบถึงผู้บริโภคทุกคนครับ
    </td></tr></tbody></table>


    </td></tr></tbody></table>
     
  9. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=MlVE3Qs0Vsk&feature=relmfu"]OVNI Top Secret 1 - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=xsZVgRo26fY&feature=player_embedded"]OVNI Top Secret 2 - YouTube[/ame]

    Une femme enlevée par des aliens : preuves irréfutables ? - YouTube

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=2IAtz8AcHzE&feature=related"]Dossiers OVNI - 03 : Le Crash de Roswell (FR) - YouTube[/ame]

    ovni abatu par des avion de chasse filmé par des pécheur galicien - YouTube

    เครื่องบินรบยิงจานบินตก มันเร็วมากเลย

    [ame="Les]Les 10 Plus Grands Mystères Inexpliqués - YouTube 10 Plus Grands Myst
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2012
  10. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ลงวินโดวส์ใหม่แล้วครับ แต่ไม่มีไออี เข้าเน็ตไม่ได้ครับ ต้องพึ่ง
    ลินุกซ์อย่างเดิมครับ มาแปลกๆนะนี่
     
  11. Andromeda Galaxy

    Andromeda Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2011
    โพสต์:
    277
    ค่าพลัง:
    +314
    เข้ามาดันกระทู้ เพราะกลัวกระทู้จะตกไปหน้า 2
    ชอบค่ะ ชอบมาก
    เพราะเป็นคนเชื่อว่ามีนุษย์ต่างดาวจริงๆนะ
    เลยเข้ามาให้กำลังใจ จขกท.ด้วย
    ขอให้นำข้อมูลที่มีอยู่มาโพสอีกเรื่อยๆ
    เพราะยังรออ่านทุกวันค่ะ
     
  12. TomKaizer

    TomKaizer Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +28
    ขอบคุณที่นำบทความดีๆมาให้อ่านครับ

    มีเขียนไว้ที่อื่นหรือเปล่าครับ

    จะได้ตามไปอ่านงานเก่าๆของคุณด้วย
     
  13. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    รายงาน--ค้นพบผู้มีญาณทิพย์ - ห้องญาณทิพย์ - หน้าแรก รวมพลคนญาณทิพย์ - Powered by Discuz!

    ต้องสมัครสมาชิกจึงจะเห็นภาพครับ

    Bloggang.com : jesdath :

    ใช้การค้นหาคำเช่น อาร์คทอเรี่ยน ร่วมกับคำว่า bloggang หรือ jesdath
    จะเร็วกว่าครับ

    --พบ ยารักษาโรคเอดส์ และรักษามะเร็ง ควรเปิดกระทู้ใหม่ดีไหมครับ

    --ขณะเดียวกัน ก็พบเอกสารการสร้างจานบินอย่างละเอียด เคยบอกหรือยังว่า ใช้ร่างทรงสามคน รับภาพจากดาวที่ห่างออกไป64 ปีแสง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2012
  14. อำนวยกรณ์

    อำนวยกรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    515
    ค่าพลัง:
    +1,931
    เข้ามาอ่านเพิ่มความรู้ค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  15. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    สิ่งที่ทำให้กระทู้ช้า คือตรงข้อความสุดท้ายจะขึ้นช้ามากครับ
    ---2 ชั่วโมงแล้วยังไม่ขึ้นครับ บางทีก็หายไปเฉยๆ ผมก็เห็นท่านผู้อ่านเข้ามาดูอยู่ แต่ไม่สามารถจะป้อนข้อมูลได้ครับ
    ---------------------------------------------
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_691195 class=t_msgfont>ANDROMEDA-</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_691195 class=t_msgfont>
    by gg
    g
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_691195 class=t_msgfont>ANDROMEDA-GERÄT
    (ANDROMEDA DEVICE)
    (1943-1945)

    by Rob Arndt

    บังเอิญไปเจอบทความการสร้างจานบินของนาซีเยอรมันอย่างละเอียดมาก จึงขอแปลสักหน่อยครับ
    --บางข่าวว่ามีเศรษฐีชาวเยอรมันสร้างขึ้นในโรงนา โดยผ่านคนทรงที่จะแปลภาษาและมโนภาพจากชาวอัลเดอบารัน และตอนหลังเพิ่มร่างทรงไปอีกสองคน
    เริ่มสร้างต้นแบบของเครื่องที่จะบินทะลุมิติได้--เคยได้ยินเรื่องหลุมดำมั้ย เครื่องนี้สร้าง"หลุมขาว"ได้ด้วย
    --พวกเด็กๆเข้าประจำหน้าจอกันเร้ว อ้าว..นั่นหนูจิตตา..ถือชามข้าวมาด้วยกะมานอนกินหน้าจอเลยเหรอ



    --------------------------------------------------------------------------------


    The ultimate dream and driving purpose of the Vril Gesellschaft originated by psychic mediums Maria Orsic, Sigrun, and Traute (known as the Vril Chefin, or bosses) was to achieve space flight by any means possible to reach the Aldebaran system in the Taurus Constellation- 64 light years from earth.
    อุปกรณ์ของชาวอันโดรเมด้า

    ---ความผันอันสูงสุด และแรงผลักดันจูลใจของ วริล จีเซลชาฟ Vril Gesellschaft กำเนิดจากผู้เป็นร่างทรงสามคน คือ มาเรีย ออร์ซิค ,ซิกรัน และทราอู๊ท ที่รู้จักกันในนาม"หัวหน้าวริล"เพื่อหา
    ทางบินผ่านอวกาศไปยัง กลุ่มดาว "อัลเดอบารัน" ในระบบดาว"เทารัส" ห่างจากโลก 64ปีแสง


    To accomplish this required two things; first, to translate a series of psychic images of a flight machine received by Maria Orsic since 1919 and secondly, to collaborate with other occult groups that could finance such an endeavor once the images were deciphered.

    การที่จะสำเร็จได้ ต้องมีสองสิ่ง หนึ่ง คือ การแปลอย่างต่อเนื่องของชุดภาพของ"เครื่องยานบิน" ซึ่งรับมาโดยมาเรีย ออร์ซิค ตั้งต่ปี 1919 และอย่างที่สองคือ ร่วมมือกันกับกลุ่มผู้สนใจสิ่งลึกลับ
    ซึ่งสามารถให้ทุนสนับสนุน ในการสร้างสิ่งที่ได้แปลรูปภาพออกมา




    For Vril, a Society formed by women based on metaphysics, the thought and act of joining with other powerful male occult groups was almost unthinkable. Yet in 1919 Vril met with Thule and DHvSS members in an effort to obtain funding for their vision by 1921.

    สำหรับวริล ซึ่งเป็นชมรมซึ่งก่อตัวโดยผู้หญิง มีพื้นฐานจากปรจิตวิทยา ---ความคิด และการกระทำเพื่อรวมกลุ่มกับกลุ่มศึกษาเรื่องลึกลับของพวกผู้ชายนั้นแทบจะไม่กล้าคิดกันเลยด้วยซ้ำ แต่ในปี 1919 วริลก็พบกับกลุ่ม ธูเล่ และ ดีเอชวีเอสเอส เพื่อพยายามให้ทุนกับการเห็นภาพของพวกเธอ ตั้งแต่ปี 1921

    Thule had the most industrial influence and financial resources to fund such a project so an agreement was reached to join Societies in an effort to build the strange machine which became known as the “Jenseitsflugmaschine”, or Otherworld flight machine.


    ธูเล่เป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลในอุตสาหกรรม และการเงินการธนาคารอย่างมาก จึงสามรถให้ทุนสนับสนุน สำหรับโครงงานนี้ และสามรถรวมสมาคมต่างๆเข้ามาเพื่อสร้างเครืองยนต์ประหลาดที่เรียกว่า "เครื่องบินของโลกอื่น"


    Under the code letters J-F-M the machine was constructed in secret in Munich. It was constructed in 1922 in a barn and rolled out into a field for channeled flight testing. Despite two years at attempting to achieve channeled flight through high powered frequency field oscillations produced by strong electromagnetic forces within the craft, the occultists could not open what they termed a “white hole” in space/time and pass through, reaching the Aldebaran system and the Aryan Sumeran aliens that had contacted them.

    --ภายใต้รหัส เจ-เอฟ-เอ็ม เครื่องยนต์ของยานได้ถูกสร้างขึ้นอย่างลับๆ ในมิวนิค ในปี 1922 ในยุ้งฉางเก็บพืชผล และเข็นออกมากลางทุ่งเพื่อทดสอบการบินทะลุมิติ แม้ว่าใช้เวลาตั้ง2 ปี เพื่อทดสอบการบินแบบจิตบังคับ โดยใช้เครื่องสร้างสนามไฟฟ้าความถี่สูง และสนามแม่เหล็กไฟฟ้าแรงสูงในยาน พวกนักลึกลับศาสตร์ ก็ยังไม่สามารถเปิดสิ่งที่เขาเรียกว่า"หลุมขาว" ในกาล-อวกาศ และทะลุผ่านมัน เพื่อไปยังระบบดาวอัลเดอบารัน และ ชาวอารยัน-สุเมเรี่ยนที่ได้ติดต่อมา
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ANDROMEDA-GERÄT
    (ANDROMEDA DEVICE)
    (1943-1945)
    by Rob Arndt
    บังเอิญไปเจอบทความการสร้างจานบินของนาซีเยอรมันอย่างละเอียดมาก จึงขอแปลสักหน่อยครับ
    --บางข่าวว่ามีเศรษฐีชาวเยอรมันสร้างขึ้นในโรงนา โดยผ่านคนทรงที่จะแปลภาษาและมโนภาพจากชาวอัลเดอบารัน และตอนหลังเพิ่มร่างทรงไปอีกสองคน
    เริ่มสร้างต้นแบบของเครื่องที่จะบินทะลุมิติได้--เคยได้ยินเรื่องหลุมดำมั้ย เครื่องนี้สร้าง"หลุมขาว"ได้ด้วย
    --พวกเด็กๆเข้าประจำหน้าจอกันเร้ว อ้าว..นั่นหนูจิตตา..ถือชามข้าวมาด้วยกะมานอนกินหน้าจอเลยเหรอ

    --------------------------------------------------------------------------------

    The ultimate dream and driving purpose of the Vril Gesellschaft originated by psychic mediums Maria Orsic, Sigrun, and Traute (known as the Vril Chefin, or bosses) was to achieve space flight by any means possible to reach the Aldebaran system in the Taurus Constellation- 64 light years from earth.
    อุปกรณ์ของชาวอันโดรเมด้า
    ---ความผันอันสูงสุด และแรงผลักดันจูลใจของ วริล จีเซลชาฟ Vril Gesellschaft กำเนิดจากผู้เป็นร่างทรงสามคน คือ มาเรีย ออร์ซิค ,ซิกรัน และทราอู๊ท ที่รู้จักกันในนาม"หัวหน้าวริล"เพื่อหา
    ทางบินผ่านอวกาศไปยัง กลุ่มดาว "อัลเดอบารัน" ในระบบดาว"เทารัส" ห่างจากโลก 64ปีแสง

    To accomplish this required two things; first, to translate a series of psychic images of a flight machine received by Maria Orsic since 1919 and secondly, to collaborate with other occult groups that could finance such an endeavor once the images were deciphered.
    การที่จะสำเร็จได้ ต้องมีสองสิ่ง หนึ่ง คือ การแปลอย่างต่อเนื่องของชุดภาพของ"เครื่องยานบิน" ซึ่งรับมาโดยมาเรีย ออร์ซิค ตั้งต่ปี 1919 และอย่างที่สองคือ ร่วมมือกันกับกลุ่มผู้สนใจสิ่งลึกลับ
    ซึ่งสามารถให้ทุนสนับสนุน ในการสร้างสิ่งที่ได้แปลรูปภาพออกมา


    For Vril, a Society formed by women based on metaphysics, the thought and act of joining with other powerful male occult groups was almost unthinkable. Yet in 1919 Vril met with Thule and DHvSS members in an effort to obtain funding for their vision by 1921.
    สำหรับวริล ซึ่งเป็นชมรมซึ่งก่อตัวโดยผู้หญิง มีพื้นฐานจากปรจิตวิทยา ---ความคิด และการกระทำเพื่อรวมกลุ่มกับกลุ่มศึกษาเรื่องลึกลับของพวกผู้ชายนั้นแทบจะไม่กล้าคิดกันเลยด้วยซ้ำ แต่ในปี 1919 วริลก็พบกับกลุ่ม ธูเล่ และ ดีเอชวีเอสเอส เพื่อพยายามให้ทุนกับการเห็นภาพของพวกเธอ ตั้งแต่ปี 1921
    Thule had the most industrial influence and financial resources to fund such a project so an agreement was reached to join Societies in an effort to build the strange machine which became known as the “Jenseitsflugmaschine”, or Otherworld flight machine.

    ธูเล่เป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลในอุตสาหกรรม และการเงินการธนาคารอย่างมาก จึงสามรถให้ทุนสนับสนุน สำหรับโครงงานนี้ และสามรถรวมสมาคมต่างๆเข้ามาเพื่อสร้างเครืองยนต์ประหลาดที่เรียกว่า "เครื่องบินของโลกอื่น"

    Under the code letters J-F-M the machine was constructed in secret in Munich. It was constructed in 1922 in a barn and rolled out into a field for channeled flight testing. Despite two years at attempting to achieve channeled flight through high powered frequency field oscillations produced by strong electromagnetic forces within the craft, the occultists could not open what they termed a “white hole” in space/time and pass through, reaching the Aldebaran system and the Aryan Sumeran aliens that had contacted them.
    --ภายใต้รหัส เจ-เอฟ-เอ็ม เครื่องยนต์ของยานได้ถูกสร้างขึ้นอย่างลับๆ ในมิวนิค ในปี 1922 ในยุ้งฉางเก็บพืชผล และเข็นออกมากลางทุ่งเพื่อทดสอบการบินทะลุมิติ แม้ว่าใช้เวลาตั้ง2 ปี เพื่อทดสอบการบินแบบจิตบังคับ โดยใช้เครื่องสร้างสนามไฟฟ้าความถี่สูง และสนามแม่เหล็กไฟฟ้าแรงสูงในยาน พวกนักลึกลับศาสตร์ ก็ยังไม่สามารถเปิดสิ่งที่เขาเรียกว่า"หลุมขาว" ในกาล-อวกาศ และทะลุผ่านมัน เพื่อไปยังระบบดาวอัลเดอบารัน และ ชาวอารยัน-สุเมเรี่ยนที่ได้ติดต่อมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2012
  16. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    THE DEVELOPMENT OF THE GERMAN UFOs FROM BEFORE WW2<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    THE VRIL-GESELLSCHAFT OR "NOT ALL GOOD COMES FROM ABOVE"

    ~ Extract from the book SECRET SOCIETIES of Jan van Hilsing (pseudonym)




    The VRIL-GESELLSCHAFT (VRIL Society) is one of the most interesting secret societies that ever existed. In Germany there is not a single book, or indeed any material, to be found that would show up an organization of this name, the Allies successfully removed it all. But, not all the material has actually disappeared.


    <HR><o:p></o:p>

    <TABLE cellPadding=10 width=360 bgColor=#ffecd9 align=right><TBODY><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=left>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    In 1919 Karl Haushofer founded a second order, the "BRÜDER DES LICHTS" (Brothers of the Light) that later was renamed "VRIL-GESELLSCHAFT". In this united the new Templar order "DIE HERREN VOM SCHWARZEN STEIN" (DHvSS, The Lords of the Black Stone) that emerged in 1917 from the Teutonic Order, and the "SCHWARZE RITTER" (Black Knights) of the Thule and SS elite "SCHWARZE SONNE" (Black Sun).<o:p></o:p>


    To compare the THULE and the VRIL-GESELLSCHAFTEN, it is easiest said the Thule-Gesellschaft dealt with material and political interests, while the Vril-Gesellschaft was more oriented towards the OTHER SIDE. But many concepts they shared, like Atlantis, Thule, the basic connection between the Teutons and Mesopotamia, but also the old sacred places like the "Externsteine" (external stones) or the Hausberg at Stronegg were areas of common research.<o:p></o:p>

    Cosmic communication through mediums
    <o:p></o:p>

    In December 1919 a small circle of persons from the Thule, the Vril and the DHvSS met in a specially rented forester's lodge near Berchtesgaden (Germany). They were accompanied by the medium Maria Orsic and another medium only known as Sigrun. Maria had mediumistically received transmissions in a secret Templar script - a language unknown to her - with the technical data for the construction of a flying machine. According to Vril documents these telepathic messages came from the solar system Aldebaran which is sixty-eight light-years away in the constellation Taurus.

    Here is a short summary of the messages the Vril mediums had received over the years and which formed the basis for all further actions by the Vril-Gesellschaft:<o:p></o:p>

    The solar system Aldebaran has a sun around which revolve two inhabited planets that form the empire "SUMERAN". The population of the AIdebaran system is divided into the master race of "light God people" (Aryans) and several other human races that had developed by negative mutation from the "God people" because of climatic changes upon the planets. The coloured mutant races apparently are on a lower stage of spiritual development. The more the races intermixed, the lower the spiritual development of these peoples sank, which led to the situation that when the sun Aldebaranbegan expanding they could no longer maintain the space travel technology of their forefathers and could not leave the planets by their own means. The lower races, totally dependant upon the master race, had to be evacuated and were brought to other inhabitable planets. Despite their difference all the races respected one another and did not interfere with each other, neither the so-called God people nor the lower races. Each respected that the others just made their own developments (in contrast to what happens on Earth).<o:p></o:p>

    Around 500 million years ago the "light God people" started to colonize other Earth-like planets, after the expansion of the sun Aldebaran and the resulting heat had made the original planets uninhabitable. It is said that in our system they first colonized the planet Mallona (also called Maldek, Marduk or - by the Russians - Phaeton) which existed in the area of today's asteroid belt, then between Mars and Jupiter. Mars was next.<o:p></o:p>

    The proof for a highly developed race on Mars is run by the well-known face on Mars and the pyramid city which has been photographed by the Mars probe Viking in 1976. It is assumed that the master race of Sumeran-Aldebaran then also came to Earth for a first visit, witnessed by the petrified impression of a shoe found to be about 500 million years old, and squashed under the heel a trilobite, a little crayfish that lived then upon Earth and became extinct about 400 million years ago.<o:p></o:p>

    The Vril people thought that later, when Earth became slowly habitable, the race of the Aldebarans landed in Mesopotamia and formed the master caste of the SUMERIANS which were described as fair, white God people. The Vril telepaths also found that the Sumerian language was not only identical with that of the Aldebarans, but also that it sounds like unintelligable German and that the language frequency of German and Sumerian-Aldebaranian were almost identical.

    We cannot know whether these statements about Aldebaran were based on facts, but the construction plans and the technical details that the Vril telepaths received - wherever they came from - were so accurate that they led to the most fantastic idea men ever begot: the construction of a "Jenseitsflugmaschine", a "flying machine for the other side"!<o:p></o:p>


    The concept of an "alternative science" emerged (today one would say "alternative energy forms") But they only started on the project three years later.<o:p></o:p>


    During this early phase of "alternative science or Dr.W.0 Schumann of the Technical University in Munich, both a Thule and a Vril member, held a speech a section of which is reproduced here:<o:p></o:p>

    In everything we recognize two principles that determine the events: light and darkness, good and evil, creation and destruction - as in electricity we know plus and minus. It is always: either - or.

    These two principles - the creative and the destructive - also determine our technical means...<o:p></o:p>

    Everything destructive is of Satanic origin, everything creative is divine... Every technology based upon explosion or combustion has thus to be called Satanic. The coming new age will be an age of a new, positive, divine technology!...

    (from the German SS secret archives).<o:p></o:p>


    At the same time the scientist VIKTOR SCHAUBERGER worked on a similar project. Johannes Kepler whose ideas Schauberger followed had knowledge of the secret teachings of Pythagoras that had been adopted and kept secret by the KNIGHTS TEMPLAR. It was the knowledge of IMPLOSION (in this case the utilization of the potential of the inner worlds in the outer world). Hitler knew - as did the Thule and Vril people - that the divine principle was always constructive. A technology however that is based on explosion and therefore is destructive runs against the divine principle. Thus they wanted to create a technology based on IMPLOSION. Schauberger's theory of oscillation (principle of the overtone sequence, monochord) takes up the knowledge of Implosion. To put it simply: IMPLOSION instead of EXPLOSION!<o:p></o:p>
    Following the energy paths of the monochord and the implosion technology one reaches the realm of antimatter and thus the cancellation of gravity.
    Saucer-shaped flying machines
    In the summer of 1922 the first saucer-shaped flying machine was built whose drive was based on implosion (the "other side flying machine"). It had a disk eight metres across with a second disk with a diameter of six and a half metres above and a third disk of seven metres diameter below. These three disks had a whole at the centre of one metre eighty across in which the drive which was two meters forty high was mounted. At the bottom the central body was cone-shaped, and there a pendulum reaching the cellar was hung that served for stabilisation. In the activated state the top and bottom disk revolved in opposing directions to build up an electromagnetic rotating field.

    The performance of this first flying disk is not known. But experiments were carried out with it for two years before it was dismantled and probably stored in the Augsburg works of Messerschmidt. In the books of several German industrial companies entries under the codename "JFM" (for Jenseitsflugmaschine) can be found that show payments towards financing this work. Certainly the VRIL DRIVE (formally called "Schumann SM-Levitator") emerged from this machine.<o:p></o:p>
    In principle the "other side flying machine" should create an extremely strong field around itself extending somewhat into its surroundings which would render the space thus enclosed including the machine a microcosm absolutely independent of the earthbound space. At maximum strength this field would be independent of all surrounding universal forces - like gravitation, electromagnetism, radiation and matter of any kind - and could therefore manoeuvre within the gravitational or any other field at will, without the acceleration forces being effective or perceptible.<o:p></o:p>

    In June 1934 VIKTOR SCHAUBERGER was invited by HITLER and the highest representatives of the Thule and Vril societies and from then on worked with them.

    After the initial failure the first so-called German UFO also came out in June 1934. Under the leadership of Dr. W. 0. Schumann the first experimental round flying machine, the RFZ 1 (Rundflugzeug 1) was developed on the grounds of the aircraft factory Arado in Brandenburg. In its first and only flight it rose vertically to around 60 metres, then wobbled and danced in the air for minutes. The Arado 196 guiding system was utterly useless. The pilot Lothar Waiz just managed somehow to bring it down to the ground, jump out and run away before it began to act like a spinning top, turned over and literally ripped to pieces. That was the end of the RFZ 1, but the beginning of the VRIL flying machines.


    <TABLE style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-COLLAPSE: collapse; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none; mso-border-alt: solid windowtext .5pt; mso-yfti-tbllook: 191; mso-padding-alt: 0in 5.4pt 0in 5.4pt; mso-border-insideh: .5pt solid windowtext; mso-border-insidev: .5pt solid windowtext" class=MsoTableGrid border=1 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; PADDING-BOTTOM: 0in; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BACKGROUND: #f3f3f3; BORDER-TOP: windowtext 1pt solid; BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-TOP: 0in; mso-border-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=top><o:p>
    Vril did not start work on the RFZ series of discs until 1937 - not 1934. The fallow land surrounding Arado-Brandenberg was not purchased by Vril until 1937 for the flight testing of their machines. This is further proven by the description of the RFZ-1 flight with an Ar-196 tail plane ....

    [​IMG]

    </o:p>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​



    <o:p></o:p>
    <TABLE cellPadding=10 width=311 bgColor=#ffecd9 align=right><TBODY><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=left>
    [​IMG]

    UFO over England - 1944

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    Before the end of 1934 the RFZ 2 was ready, with a Vril drive and a "magnetic field impulse steering unit". It had a diameter of five metres and the following flying characteristics: With rising speed the visible contours became blurred and the craft showed the colours typical for UFOs: depending on the drive setting red, orange, yellow, green, white, blue or purple. It worked - and it should meet a remarkable destiny in 1941, during the "Battle of Britain", when it was used as transatlantic reconnaissance craft, because for these flights the German standard fighters ME 109 had an insufficient range.


    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    By the end of 1941 it was photographed over the southern Atlantic on its way to the German cruiser Atlantis in Antarctic waters. It could not be used as a fighter though. The impulse steering allowed it only changes of direction at 90gr 45gr or 22.50 gr, but that is exactly the right-angled flying pattern associated with and typical for UFOs today!
    <o:p></o:p>

    After the success of the small RFZ 2 as a distant reconnoitre craft the Vril Gesellschaft got its own test area in Brandenburg. By the end of 1942 the lightly armed 'VRIL-1-Jäger" (VRIL-1 fighter) was airborne. It measured 11.5 metres across, carried one person, had a "Schumann-Levitator" drive and a "magnetic field impulse steering unit". It reached speeds of 2,900 to 12,000 km/h, could change direction at a right angle at full speed without affecting the pilot, could fly in any weather and had a 100% space capability. Seventeen VRIL-1's were built and same versions had two seats and glass domes.<o:p></o:p>
    Also during this time an own project was worked on, the V-7. Several disks were built under this code, but with conventional jet engines. ANDREAS EPP had designed a combination of levitating disk and jet propulsion, the RFZ 7. The design groups SCHRIEVER-HABERMOHL and MIETHE-BELLUZO worked on it. The RFZ 7 had a diameter of forty-two metres, it crashed on landing at Spitzbergen. A second craft was later photographed outside Prague. According to Andreas Epp this craft was to be armed with nuclear heads to attack New York.

    In July 1941 SCHRIEVER and HABERMOHL built a vertical take-off round craft with jet propulsion, but it had severe shortcomings. They went on to develop an "electro-gravitational flying gyro" with a "tachyon drive" which proved more successful. Then Schriever, Habermohl and Belluzo built the RFZ 7 T that was fully functional. The V-7 flying disks however were mere toys compared to the Vril and Haunebu disks.<o:p></o:p>

    Within the SS there was a group studying alternative energy, the SS-E-IV (Development Group IV of the Black Sun) whose main task was to render Germany independent of foreign oil. The SS-E-IV developed from the existing Vril drives and the tachyon converter of Captain Hans Coler the "THULE DRIVE" which later was called the "THULE TACHYONATOR".<o:p></o:p>

    In August 1939 the first RFZ 5 took off. It was an armed flying gyro with the odd name "HAUNEBU I". It was twenty-five metres across and carried a crew of eight. At first it reached a speed of 4,800 km/h, later up to 17,000 km/h. It was equipped with two 6 cm KSK ("Kraftstrahlkanonen", power ray guns) in revolving towers and four machine guns 106. It had a 60% space capability.
    <TABLE cellPadding=10 width=524 bgColor=#ffecd9 align=right><TBODY><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=left>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    By the end of 1942 the HAUNEBU II was ready. The diameters varied from twenty-six to thirty-two metres and their height from nine to eleven metres. They carried between nine and twenty people, had a Thule Tachyonator drive and near the ground reached a speed of 6,000 km/h. It could fly in space and had a range of fifty-five flying hours.<o:p></o:p>

    At this time there existed already plans for a large-capacity craft, the VRIL 7 with a diameter of 120m. A short while later the HAUNEBU III, the showpiece of all disks, was ready, with seventy-one meters across. It was filmed flying. It could transport thirty-two men could remain airborne for eight weeks and reached at least 7,000 km/h (according to documents in the secret SS archives up to 40,000 km/h).<o:p></o:p>

    Virgil Armstrong, former CIA member and green beret, writes about German flying machines during World War Two that could take off and land vertically and fly at right angles. They were measured at 3,000 km/h and had a laser weapon (probably the so-called KSK power ray gun) that could pierce four inch armour.<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    Professor J. Hurtak, UFO-logist and author of "The Keys of Enoch" writes that the Germans were in the process of building what the Allies called "the wonder weapon system". Hurtak got protocols that described two events:<o:p></o:p>

    1. the erection of a space city at Peenemünde and<o:p></o:p>
    2. the enlistment and transport to the U.S. of the best technicians and scientists from Germany.<o:p></o:p>

    He also mentions the meticulous examination of the so-called "FOO FIGHTERS" The CIA and the British secret service knew already in 1942 about the construction and the use of these flying objects, but they were off in their evaluation. Foo fighters actually was the Allies' name for all glowing German flying machines. Probably there were two inventions that actually corresponded to the term foo fighters: the Flying Turtle and the Soap Bubble.Two completely different objects that the Allies held for one.
    <TABLE cellPadding=10 width=381 bgColor=#ffecd9 align=right><TBODY><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=left>[​IMG]

    <TABLE style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-COLLAPSE: collapse; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none; mso-border-alt: solid windowtext .5pt; mso-yfti-tbllook: 191; mso-padding-alt: 0in 5.4pt 0in 5.4pt; mso-border-insideh: .5pt solid windowtext; mso-border-insidev: .5pt solid windowtext" class=MsoTableGrid border=1 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; PADDING-BOTTOM: 0in; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BACKGROUND: #f3f3f3; BORDER-TOP: windowtext 1pt solid; BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-TOP: 0in; mso-border-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=top><o:p>
    The Schildkröte story is a hoax; the pictures that can be found all over the Internet are of a model made for fun, not a real disc.....


    [​IMG]


    </o:p></TD></TR></TBODY></TABLE>​

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    The FLYING TURTLE was developed by the SS-E-IV at Vienna-Neustadt. Its outer shape recalled the shell of a turtle. They were unmanned probes that could cause disruptions in the electric iguition systems of the enemy. They carried advanced "Klystronröhren" (clystron tubes) that the SS called death rays. The ignition disrupter did not work perfectly at the outset, later follow-up versions did, however, and the UFO-logists will confirm that disruption of ignition, the cutting of electrical power to equipment is a typical sign when a UFO is near.

    Wendelle C. Stevens, U.S. Air Force pilot during the Second World War, describes the foo fighters as sometimes grey-green, the red-orange, they approached his aircraft to about five metres and then stayed there. They could not be shaken off nor shot down and often they caused squadrons to turn back or land.<o:p></o:p>


    The SOAP BUBBLES that were also called foo fighters were something completely different, though. They were simple balloons in which there were metal spirals that disturbed enemy radar. The success probably was very limited, disregarding the psychological effect.<o:p></o:p>

    At the beginning of 1943 it was planned to build in the Zeppelin works a cigar-shaped mother ship. The ANDROMEDA DEVICE of a length of 139m should transport several saucer-shaped craft in its body for flights of long duration (interstellar flights).<o:p></o:p>


    <TABLE cellPadding=10 width=510 bgColor=#ffecd9 align=right><TBODY><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=left>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    By Christmas 1943 an important meeting of the VRIL-GESELLSCHAFT took place at the seaside resort of Kolberg. The two mediums Maria Ortic and Sigrun attended. The main item on the agenda was the ALDEBARAN PROJECT. The mediums had received precise information about the habitable planets around the sun Aldebaran and one began to plan a trip there. At a January 22, 1944 meeting between Hitler; Himmler, Kunkel (of the Vril Society) and Dr. Schumann this project was discussed. It was planned to send the VRIL 7 large-capacity craft through a dimension channel independent of the speed of light to Aldebaran. According to Ratthofer a first test flight in the dimension channel took place in the winter of 1944. It barely missed disaster, for photographs show the Vril 7 after the flight looking "as if it had been flying for a hundred years". The outer skin was looking aged and was damaged in several places.


    On February 14, 1944, the supersonic helicopter - constructed by Schriever and Habermohl under the V 7 project - that was equipped with twelve turbo-units BMW 028 was flown by the test pilot Joachim Röhlike at Peenemünde. The vertical rate of ascent was 800 metres per minute, it reached a height of 24,200 metres and in horizontal flight a speed of 2,200 km/h. It could also be driven with unconventional energy. But the helicopter never saw action since Peenemünde was bombed in 1944 and the subsequent move to Prague didn't work out either, because the Americans and the Russians occupied Prague before the flying machines were ready again.
    <o:p></o:p>
    <o:p>In the secret archives of the SS the British and the Americans discovered during the occupation of Germany at the beginning of 1945 - photographs of the Haunebu II and the Vril I crafts as well as of the Andromeda device. Due to President Truman's decision in March 1946 the war fleet command of the U.S. gave permission to collect material of the German high technology experiments. Under the operation PAPERCLIP German scientists who had worked in secret were brought to the U.S. privately, among the VIKTOR SCHAUBERGER and WERNHER VON BRAUN.
    </o:p>

    A short summary of the developments that were meant to be produced in series:<o:p></o:p>

    The first project was led by Prof. Dr. mg. W. 0. Schumann of the Technical University Munich. Under his guidance seventeen disk-shaped flying machines with a diameter of 11.5 m were built, the so-called VRIL-1-Jäger (Vril-1 fighters), that made 84 test flights. At least one VRIL-7 and one VRIL-7 large capacity craft apparently started from Brandenburg - after the whole test area had been blown up - towards Aldebaran with some of the Vril scientists and Vril lodge members.<o:p></o:p>

    The second project was run by the SS-W development group. Until the beginning of 1945 they had three different sizes of bell-shaped space gyros built:<o:p></o:p>

    The Haunebu I, 25m diameter, two machines built that made 52 test flights (speed ca. 4,800 km/h).
    <TABLE cellPadding=10 width=294 bgColor=#ffecd9 align=right><TBODY><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=left>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    The Haunebu II, 32m diameter, seven machines built that made 106 test flights (speed ca. 6,000 km/h). The Haunebu II was already planned for series production. Tenders were asked from the Dornier and Junkers aircraft manufacturers, and at the end of March 1945 the decision was made in favour of Dornier. The official name for the heavy craft was to be DO-STRA (DOrnier STRAtospehric craft).<o:p></o:p>

    The Haunebu III, 71m diameter, only one machine built that made at least 19 test flights (speed ca. 7,000 km/h).<o:p></o:p>

    The Andromeda Device existed on the drawing board, it was 139m long and had hangars for one Haunebu II, two Vril I's and two Vril II's.<o:p></o:p>

    There are documents showing that the VRIL 7 large capacity craft has started for secret, still earth-bound, missions after it was finished and test flown by the end of 1944:<o:p></o:p>

    1. A landing at the Mondsee in the Salzkammergut in Austria, with dives to test the pressure resistance of the hull.<o:p></o:p>
    2. Probably in March and April 1945 the VRIL 7 was stationed in the "Alpenfestung" {Alpine Fortress} for security and strategic reasons, from whence it flew to Spain to get important personalities who had fled there safely to South America and "NEUSCHWABENLAND" to the secret German bases erected there during the war.<o:p></o:p>
    3. Immediately after this the VRIL 7 is said to have started on a secret flight to Japan about which however nothing further is known.

    <o:p>What happened to these flying machines after the war?<o:p></o:p>

    It cannot be excluded that a small series of the Haunebu II might have been built. The several photographs of UFOs that emerged after 1945 with the typical features of these German constructions suggest as much.<o:p></o:p>

    Some say that some of them had been sunk into the Austrian Mondsee, others maintain that they were flown to <?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:smarttags" /><st1:place>South America</st1:place> or brought there in parts. It is certain though that if the crafts didn't get to South America, the plans that did allowed for new ones to be built and flown there, for an important part had been used in 1983 in the "Phoenix Project", the follow-on project of the 1943 "Philadelphia Experiment". This was a teleportation, materialization and time travel experiment of the U.S. Navy.

    In 1938 a German expedition to the ANTARCTIC was made with the aircraft carrier Schwabenland (<st1:place>Swabia</st1:place>). 600,000 km<SUP>2 </SUP>of an ice-free area with lakes and mountains were declared German territory, the "NEUSCHWABENLAND" (New Swabia). Whole fleets of submarines of the 21 and 23 series were later headed towards Neuschwabenland. <o:p></o:p>


    Today about one hundred German submarines are still unaccounted for, some equipped with the Walter Schnorkel, a device that allowed them to stay submerged for several weeks, and it can be assumed that they fled to Neuschwabenland with the dismantled flying disks or at least the construction plans. Again it must be assumed that since the test flights had been very successful some so-called flying saucers have flown directly there at the end of the war.<o:p></o:p>


    Perhaps some may think these assumptions to be a bit on the daring side, but there are strong indications that this may well have happened that way. (For example the video-production UFO-SECRETS OF THE THIRD REICH - which so clear shows the story here - why is this production never shown in our traditional tv-stations?? Because it shows the whole secret - and why the Americans after WW2 had to secure this information for their own increasing of power and PREVENT THIS INFORMATION TO REACH OUT - THIS WOULD SABOTAGE THEIR CONTROL OF THE WORLD THROUGH MONEY AND ENERGY CONTROL).
    <TABLE cellPadding=10 width=90 bgColor=#ffecd9 align=right><TBODY><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=left>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    There is the question why in 1947 ADMIRAL E. BYRD led an invasion of the ANTARCTIC, why he had 4,000 soldiers, a man-of-war, a fully equipped aircraft carrier and a functioning supply system at his command if it was a mere expedition? He had been given eight months for the exercise, but they had to stop after eight weeks and high losses of planes undisclosed even today. What had happened?<o:p></o:p>

    Later Admiral Byrd spoke to the press:<o:p></o:p>

    It is the bitter reality that in the case of a new war one had to expect attacks by planes that could fly from Pole to Pole.

    Further he added that there was an advanced civilization down there that used their excellent technologies together with the SS.
    <o:p></o:p>


    Norbert-Jürgen Ratthofer writes about the whereabouts of the Haunebu developments in his book "Zeitmaschinen" (Time Machines):<o:p></o:p>

    The Haunebu I, II and III space gyros and the VRIL I space flying disk had disappeared after May 1945... It is very interesting to note in this context that after its nineteenth test flight, the German Haunebu III is said to have taken off on <st1:date Month="4" Day="21" Year="1945">April 21, 1945</st1:date>, from Neuschwabenland, a vast, officially German territory in the Eastern Antarctic, for an expedition to Mars, about which there is nothing further known...
    <TABLE cellPadding=10 width=90 bgColor=#ffecd9 align=right><TBODY><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=left>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    One year later, in 1946, the many sightings that suddenly occurred in <st1:place>Scandinavia</st1:place> of shining objects of unknown and definitely artificial origin caused a great stir among the Allies in East and West. Again one year later, in 1947, and well into the Fifties, a rising number of shining unknown flying objects, doubtlessly steered by intelligent beings, mostly round, disk- or bell-shaped, sometimes cigar-shaped, so-called UFOs appeared over North America.

    The text goes on to say that as a rule these objects were unlike the German developments.

    Good photographic material proves that the Haunebu II version especially had been sighted very often since 1945. If you have wrestled with what is available in the UFO world you will know that in a significantly high percentage of the cases where personal contacts with the people from the so-called UFOs was made, these were with especially beautiful Aryan types, blond and blue-eyed and that they either spoke fluent German or another language with a German accent.

    It is further said that colour photographs taken by a night guard in
    <st1:country-region><st1:place>West Germany</st1:place></st1:country-region> in the Seventies exist of a landed and restarted flying disk that had both a knight's cross and a swastika on its hull.
    <TABLE cellPadding=10 width=200 bgColor=#ffecd9 align=right><TBODY><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=left>
    See the
    Nazi UFO Secrets

    of
    World War ll
    Documentary
    <o:p>[​IMG]
    </o:p>
    <o:p></o:p>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    The flying machines just mentioned are well documented on photographs and films. There is the 60 minutes documentary "UFO - Secrets of the Third Reich". The American Vladimir Terziski gave a three-hour speech at the September 1991 UFO conference in <st1:place><st1:City>Phoenix</st1:City>, <st1:State>Arizona</st1:State></st1:place>, where he showed slides of German saucers, construction plans and subterranean German bases. Also of interest are the book by the Italian air force commander Renato Vesco and the book by Rudolf Lusar "Die deutschen Waffen und Geheimwaffen des Zweiten Weltkrieges und ihre Weiterentwicklung" (The German Arms and Secret Weapons of the Second World War and Their Development), J. F. Lehmanns Verlag, Munich 1971.<o:p></o:p>

    Do you see now why the subject of UFOs is treated as nonsense by the media, especially in <st1:country-region><st1:place>Germany</st1:place></st1:country-region>? Upon this German background it becomes evident that the news and media world controlled by the Illuminati through the Anglo-American Zionist lobby shirks no costs to keep the German citizens from research in this area.<o:p></o:p>

    The Question arises from where the <st1:City><st1:place>Thule</st1:place></st1:City> and Vril secret societies got their knowledge about the construction of these flying machines? Also their knowledge of gene technology in which area the Germans were also way ahead of other countries? <TABLE cellPadding=10 width=90 bgColor=#ffecd9 align=right><TBODY><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=left>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    According to Herbert G. Dorsey and other researchers they had, besides the construction plans the Vril-Gesellschaft had received through telepathic contact with extra-terrestrials, a non-terrestrial saucer that had crashed in the Black Forest in 1936 and whose undamaged drive had proved a great help to the Germans. But there is practically no proof of that, and no living eye witnesses are known.
    But these exist in
    <st1:country-region><st1:place>America</st1:place></st1:country-region>, and in large numbers. For around the same time the Americans recorded quite a number of crashes that could not be kept entirely secret.
    <TABLE cellPadding=10 width=90 bgColor=#ffecd9 align=right><TBODY><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=left>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    Apart from the fact that I. G. Farben supported Hitler, their cartel partner "Standard Oil" (Rockefeller) fanned the flames against the Nazis. The "Ford Motor Company" for instance helped to build up the American army while at the same time producing in <st1:country-region><st1:place>Germany</st1:place></st1:country-region> military vehicles for the Nazis. Ford and Opel (subsidiary of General Motors that is controlled by J. P. Morgan) were the two largest producers of tanks in Hitler's <st1:country-region><st1:place>Germany</st1:place></st1:country-region>.

    Whatever the outcome of the war, these multinational companies had already made their cuts. Many enterprises followed this principle during the Second World War.

    Why is there nothing about all this in schoolbooks or encyclopaedias? Especially in <st1:country-region><st1:place>Germany</st1:place></st1:country-region> where the freedom of the press is apparently honoured and the truth is taught?<o:p></o:p>
    One of the reasons is that the Rockefeller Foundation spent US$ 139,000 in 1946 to present an official history of the Second World War which covered up the whole story of the <st1:country-region><st1:place>U.S.</st1:place></st1:country-region> bankers building up the Nazi regime as well as the occult and mystical background of the Nazis. One of the main sponsors was Rockefeller's own "Standard Oil Corp."<o:p></o:p>
    <o:p></o:p></o:p>


    <CENTER>[​IMG]
    </CENTER><TABLE cellPadding=10 width=409 bgColor=#ffecd9 align=right><TBODY><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=left><TABLE style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-COLLAPSE: collapse; BACKGROUND: white; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none; mso-border-alt: solid windowtext .5pt; mso-yfti-tbllook: 191; mso-padding-alt: 0in 5.4pt 0in 5.4pt; mso-border-insideh: .5pt solid windowtext; mso-border-insidev: .5pt solid windowtext" class=MsoTableGrid border=1 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; PADDING-BOTTOM: 0in; BACKGROUND-COLOR: transparent; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: windowtext 1pt solid; BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-TOP: 0in; mso-border-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=top><o:p><o:p>[​IMG]</o:p>
    </o:p>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    Disc Aircraft of the Third Reich (1922-1945 and Beyond)

    by Robert Dale Arndt Jr

    <o:p>[​IMG]</o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>


    <TABLE border=1 cellPadding=10 width=960 bgColor=black align=center><TBODY><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=left>
    [​IMG]



    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    พอดีจะลบข้อความที่ซ้ำน่ะครับ พอลบแล้วว ระบบว่ามีข้อความน้อยเกิน20 คำ เลยแก้ไม่ได้ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย
    --เดี๋ยวจะลองไปดูตรงที่เก็บข้อมูล มันมีวิธีสร้าง ทำปืนลำแสงของต่างดาวที่เยอรมันทำ เจาะเกราะขนาด 100มิลได้อย่างง่ายดาย มันเทคโนโลยี่ที่ลึกซึ้งมา เส้นทังสเตนเท่าเส้นในหลอดไฟ เอามาขดๆ และทำเป็นบอลจื๋วๆ กำหนดความถี่ได้ มันเล็กมากต้องส่องกล้องดูเลย

    ---------------------ความจริงฮิตเล่อร์ก็เป็นสมาชิกสมาคมธูเล่ และชอบเรื่องศาสตร์ลึกลับมาก
    ภายหลังที่โครงการจานบินล้มไป9ปี ฮิตเล่อร์จึงเข้ามาสานต่อ

    --ปีนพลังงานไฟฟ้าของจานบินของฮิตเล่อร์สามารถเจาะเกราะหน้า 100มิล (10ซม)
    ได้อย่างง่ายดาย
    The Development of the German UFOs From Before WW2

    ---ด้วยเหตุผลบางอย่างที่คิดว่าจะยึดโลกใต้ดินได้ นายพลเบิร์ดและทหารหลายพันคน เครื่องบินจำนวนหนึ่ง เตรียมการถึงสองปี หลังจาก6 อาทิตย์เขากลับมาด้วยความพ่ายแพ้ สูญเสียเครื่ิองบินมากมาย

    ---เพราะว่าสู้กับยานซึ่งบินไปมาระหว่างปล่องขั้วโลกไม่ได้ และทหารเอสเอสก้เก่งมากด้วย นาซีมีอิทธิพลอยู่ใต้โลก บางข่าวว่าฮิตเล่อร์ไม่ได้จุดไฟเผาตัวเอง เขานั่งจานบินหลบเข้าไปสู่ "ทวีปใต้โลก-อะการ์ธ่า"The inner Earth-Agartha

    -------------------------
    พวกเด็กๆหายไปไหนนะ ส่งเสียงหน่อย ..วู้...
    Professor W.O. Schumann led the JFM project but decided to scrap all research in 1924.

    The JFM was hurriedly dismantled and sent to Augsburg for storage at Messerschmitt’s facility, where it was either destroyed or later moved up to Peenemünde and reassembled for further study.No one can confirm either.

    โปรเฟสเซ่อร์ชูมานน์ซึ่งเป็นหัวหน้าโครงการได้รื้อเครื่องเจเอฟเอ็มออกเป็นชิ้นๆ --หยุดการค้นคว้าไปในปี1924
    --- เครื่องถูกรื่้อแล้วส่งไปที่เมืองอ๊อกเบิร์กเพื่อเก็บไว้ที่โรงงานเมสเซ่อร์ชมิทท์ ซึ่งจะถูกทำลาย หรือส่งไปยังเมือง พีนีมึนเด้ (กรู-นี้-มึน-เด้) และประกอบไว้เพื่อศึกษาต่อไป ก็ไม่มีใครจะฟันธงตัดสินได้
    --
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2012
  18. TomKaizer

    TomKaizer Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +28
    รออ่านอยู่ครับ

    สู้ๆ:cool:
     
  19. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    โทษทีครับ วิน7 เดี้ยง--- เปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ ลงใหม่ก็เดี้ยงอีก ในที่สุดเสกเป่ามันก็หาย
    แต่เข้าเว็ปนี้ไม่ได้ครับ-- เป็นที่เดียว--- จอจะขาวว่างๆ
    -----สรุปว่า จานบินนาซี รุ่นแรก จะเรียกว่า วริล รุ่นหลังเรียกตามชื่อเมือง ฮานาบุ นะครับ บินได้ 6300ไมล์ต่อชั่วโมง เร็วกว่ารถไฟหัวกระสุนเป็นร้อยเท่ากระมัง
    --ยังไงขอผ่านเรื่องนี้ก่อน เพราะเรื่องอื่นมีอีกเยอะครับ--ทีวีไทยปฏิเสธการเอาคลิปจานบินเมืองไทยออกอากาศเพราะ"มันชัดเจนเกินไป" คิดแบบนี้เจริญยากครับเมืองไทย
    --ไม่หนุนให้เด็กเป็นนักคิด---ใครคิดต่างก็คิดได้ แต่จะเรียกว่า"หัวหมอ" แล้วเอาปืนยิงเสียให้ตาย แบบชาติเพื่อนบ้านสมัยก่อนโน้น
    ว่าเขาแล้วตัวเองยังทำ--ถ้าไม่ผิดแล้วจะเยียวยากันทำไมครับ คิดสรุปได้เลย --เด็กอนุบาลยังฟันธง
    ------------------------------------------
    ---คืนก่อนดูอารยธรรมย้อนยุค เครื่องร่อนทำด้วยไม้ในหลุมศพฟาโรห์ เหมือนนกมาก แต่มันมีหางเสือแนวตั้ง คล้ายปลา นักวิทย์จึงจำลองมันใหญ่ขึ้น 5 เท่า เพิ่มปีหลัง ปรากฏว่ามันบินได้ดี เหมือนเครื่องร่อนจารกรรม คนโบราณอาจทำเป็นคันดีดใหญ่ๆ ดีดมันขึ้นบนอากาศ เพื่อบุกทำลาย หรือสอดแนมศัตรู

    --ส่วนเครื่องบินจำลองที่ทำด้วยทองคำ ของชาวแอซเซ็คนั้น--ลำตัวเหมือนยานกระสวยอวกาศ ปีกหน้าและหลังเป็นรูปสามเหลี่ยม เมื่อเทียบกับเครื่องบินปัจจุบัน มันคือเครื่องบินรบความเร็วสูงนะครับ
    ---------------------------------------------------------
    ---ช่วงนี้อากาศร้อนจนรางรถไฟขยายตัวและดันกันบิดเบี้ยว-รถไฟตกราง
    --แผ่นดินจุดหนึ่งร้อนจนหมาแมวโดนย่างสด คนโโนไฟลวกเท้า เอากระดาษใส่ลงไปในรอยแยกลุกติดไฟได้เอง---อากาศก็แปลกๆปีก่อนในประเทศเดียวมีทั้งน้ำท้่วมและไฟป่า ประเทศติดๆกันมีทั้งหนาวจัด ร้อนจัด และน้ำท่วม
    --หากดูจากโหราศาสตร์ บางคนคิดว่า บ่งบอกการเกิดภัยพิบัติ ไม่ใช่หรอกครับ โหราศาสตร์จริงๆ คือ"ตำแหน่งของดาว เป็นตัวส่งแรงดึงดูดหรือพลังแสงจากดาวแต่ละดวง เป็นตัวบังคับให้เกิดภัยพิบัติขึ้นต่างหาก" ยิ่งถ้ามีมุม หรือเล็งลัคนามาทางร้าย และดาวนั้นร้ายก็ยิ่งหนักครับ ปีนี้ดาวเสาร์อาละวาดไปทั่วโลก เมืองไทยโดนอีก3 ดวง ดาวอังคาร ดาวเกตุ ดาวมฤตยู ส่งผลให้วุ่นวายไปทั้งภัยพิบัติ เศรษฐกิจ การเมือง( ปีหน้าจะดีขึ้นเพราะชินแล้ว-ไม่ฟันธง)

    --------
    มีชาวต่างดาวพวกนึงถ้าเห็นต้องเผ่นก่อนครับ คือเค้าเหมือนคน แต่ไม่มีศรีษะ ดวงตาแดงโตมาก อยู่ที่หัวใหญ่ทั้งสองข้าง มีปีก บินได้ ชอบตั้งสำนักงานอยู่ในป่าช้าครับ
    --ลักษณะพิเศษคือเผ่านี้เห็นอนาคตครับ ไม่ได้เก่งอะไร คือมิติเค้าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "เวลา" เหมือนเค้าขึ้นที่สูง ก็มองเห็นหมด
    -เขาปรากฏตัวไปเกาะอยู่บนสะพานเล็กๆ เก่า ที่นำไปสูงเมืองเล็กๆในอเมริกา และแล้ว คืนวันคริสมาส ซึ่งมีรถติดบนสะพานหนาแน่น มันก็พังลงมา
    -มันได้คอยติดตาม เข้าฝันคนสองคนตลอดมา จนในที่สุด สองคนนี้ก็ได้ช่วยคนให้พ้นจุดนั้นออกมาได้เยอะ(ย่อหน้าหลังคือพล็อตหนัง) เอามสร้างหนังเรื่อง "ม็อธแมน-ผู้ทำนายปรากฏการณ์-The Mothman phrophecies" นำแสดงโดย ริชาร์ด เกียร์ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2012
  20. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=7-C7XO-QH-s"]Ancient Mayan "Space Vehicle" Reverse Engineered. - YouTube[/ame]

    จากหนังสือของ อีริค ฟอน ดานิเก้น "พระเจ้าจากอวกาศ"Chariot of Gods
    กล่าวถึงที่ราบนาซคา ที่เหมือนทางวิ่งของเครื่องบิน การตัดหินแล้วมาประสานกัน โดยหินไม่มีทรงที่แน่นอน แต่ประสานกันสนิทชนิดเส้นผมหรือใบมีดโกนก็ลอดไม่ได้

    --นอกจากนึ้มีคนทดลองสร้างเครื่องบินเลียนแบบเครื่องบินจำลองทำด้วยทองนั้น ปรากฏว่า มันบินช้าก็ได้ เร็วก็ได้ สำคัญที่รูๆ ตรงด้านหน้าของปีก เหมือนจะเพิ่มแรงยกได้ดีเป็นพิเศษ ดังจะเห็นจากในคลิบครับ
    (ปีกเครื่องบินจะมีสมการคำนวณอย่างดี ผิวบนจะโค้ง ผิวล่าง้รียบ และมีมุมยก เพื่อลมปะทะเหมือนว่าว กรณัปีกเรียบ แต่นี่เรียบสนิท ไม่มีมุมปะทะด้วย) อันนี้เป็นแผ่นเรียบๆเท่านั้นเอง ซึ่งไม่น่าจะบินได้ กรณีที่มีรูด้วยและผิวโค้งด้วย ทำได้ยากมากครับ
    http://www.youtube.com/watch?feature=endscreen&NR=1&v=F1HEo2E70kg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...