พุทธภูมิ คุยเรื่องอจินไตย

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Sirius Galaxy, 24 ตุลาคม 2013.

  1. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559


    สาธุ ขอบคุณครับ

    ตามลิงค์ ตามข้อมูล ที่พี่ aries ส่งมานี้
    เป็นปรากฏการณ์ อธิบาย เรื่องโลก หรือ เรื่องจักรวาลครับ


    คำจำกัดความ
    โลก ในที่นี้ คือ โลกมนุษย์ใบนี้ คือ ผืนแผ่นดินบนโลกมนุษย์ใบนี้

    จักรวาล หรือเรียกอีกอย่างว่า ดาราจักร ซึ่งจักวาลหรือดาราจักร ที่เราอยู่นี้ มีชื่อว่า "ดาราจักรทางช้างเผือก หรือ จักรวาลทางช้างเผือก"

    จากการที่ศึกษา โลกถูกทำลาย ด้วยไฟบ้าง ด้วยน้ำบ้าง ด้วยลมบ้าง เหตุไฉนจึงมีผลทำลายถึงชั้นพรหม ถ้าไม่ใช่เป็นการทำลายจักรวาลทั้งจักรวาล

    หรือ โลกคือจักรวาล และ จักรวาลคือโลก

    ขอบคุณครับ
     
  2. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,403
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    ผมเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรครับ มีหลายเรื่องที่ผมยังสงสัยอยู่คล้ายๆกับที่น้องสงสัยครับ รวมไปถึงเรื่องขอบเขตหรือคำจำกัดความที่ถูกต้องควรจะเป็นอย่างไรถึงจะเข้าใจตรงกัน เพราะคำศัพท์ยุคก่อนกับยุคนี้แตกต่างกันครับ ตรงนี้คงต้องถามผู้ที่มีญาณที่เคยศึกษาเรื่องกำเนิดจักรวาลจึงจะพอเล่าให้เข้าใจได้ครับ พอดีเรื่องตรงนี้ผมเองก็ทราบข้อมูลไม่มากด้วยครับ
     
  3. Nuthsunti

    Nuthsunti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +328
    ขอคุยเกี่ยวกับเรื่องต้นตระกูล ของคนทุกๆคน ครับ
    คนเราส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้ว่า จริงๆแล้ว ต้นตระกูลของเราเป็นอะไร หรือเป็นใคร มาจากไหน
    นักวิทยาศาสตร์บางคน บอกว่าต้นตระกูลของคนมาจากลิงแล้ว วิวัฒนาการมาเป็นคน
    คนที่ศึกษาพระไตรปิฎกมามากจะรู้ว่า ต้นตระกูลของคนมาจากอะไร แต่บางท่านอาจลืมนึกถึงไป ดังนั้นจึงขอถามท่านที่เคารพว่า ท่านคิดว่าต้นตระกูลของคนทุกๆคน คือใคร มาจากไหนครับ
     
  4. Nuthsunti

    Nuthsunti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +328
    ขอคุยเกี่ยวกับเรื่องต้นตระกูล ของคนทุกๆคน ต่อให้จบนะครับ

    การกำเนิดชีวิตและจักรวาลที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกนั้น ขอตัดตอนมาจนถึงช่วงที่เกิดมี ง้วนดิน ที่มีกลิ่นและรสอันเลิศ จนทำให้พรหม จำนวนมากบริโภคง้วนดินนั้นเข้าไป จนทำให้กายที่ละเอียดของพรหม ค่อยๆหยาบจนกลายมาเป็นกายมนุษย์ และค่อยๆวิวัฒนาการมาจนกระทั่งมีลูกมีหลาน สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
    ดังนั้นหากสืบย้อน ไปหาต้นตระกูลของคนทุกๆคน จะพบว่า ก็คือพรหมทั้งหลายที่มากินง้วนดินนั้นนั่นเอง
    จะเห็นได้ว่าต้นตระกูลของเราทุกคนมีความบริสุทธิ สูงกว่าเทวดา(ยกเว้นเทวดาที่เป็นพระอริยเจ้า)
    ดังนั้นเวลาจะกระทำการหนึ่งการใด อย่างน้อยควรจะระลึกนึกถึงต้นตระกูลไว้บ้าง สิ่งที่ไม่ดีไม่บริสุทธิ ก็ไม่ควรกระทำ
    อนุโมทนา สาธุ
     
  5. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,403
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
  6. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    อจินไตย 4 คือ อจินไตยจริงๆ ครับต้องยอมรับว่าไม่ควรคิดเลย แม้เป็นผู้ปรารถนาพุทธภูมิอาจคิดไปได้แต่ผู้ปรารถนาพุทธภูมิก็ไม่ควรคิดอยู่ดี อจินไตย 4 เป็นวิสัยของพุทธเจ้าเท่านั้นครับ ไม่ใช่วิสัยของผู้ปรารถนาพุทธภูมิ เพราะอจินไตย 4 ไม่ใช่สิ่งควรคิด แต่เป็นการหยั่งรู้ครับ ถ้ากำลังของจิตไม่ถึงระดับ ก็ไม่รู้ครับ การคิดไม่ได้ทำให้รู้ การพิจารณาก็ไม่ทำให้รู้จริงขึ้นมาได้
    แต่ถ้าจะได้มาซึ่งการหยั่งรู้อย่างเดียวกับพุทธองค์ก็ต้องเป็นพุทธองค์ในอนาคตครับ สิ่งที่ผู้ปรารถนาพุทธภูมิบำเพ็ญแล้วจะนำไปสู่สัมพัญญู มีหลายอย่างที่ต้องทำ แต่สิ่งหนึ่งที่เด่นชัด คืออัปปมัญญา ๔ คือ ๑. เมตตา ๒. กรุณา ๓. มุทิตา ๔. อุเบกขา โดยเฉพาะการทำให้ยิ่งซึ่งเมตตาอันหาประมาณมิได้ทั้งในมิติของโลกธาตุ ทั้งในมิติของดวงจิตสรรพสัตว์ ประมาณว่าพระโพธิสัตว์มีลักษณะธรรมข้อนี้เด่นชัดครับ ขอให้สะสมจิตอย่างนั้นตลอดชั่วกาลนาน จิตจะสะสมกำลังบารมีแต่อย่าติดสุขจากการแผ่เมตตากรรมฐานนะครับ จิตที่แผ่กำลังออกไปไม่มีประมาณนี้ผมเห็นว่าเป็นการฝึกกำลังของจิตเพื่อสัมพัญญูครับ สำหรับการชำนาญเข้าฌาณได้ลึกและนาน เป็นกำลังแก่การวิปัสสนาเพื่อได้อาสวักขยญาณครับ ต้องได้สัมพัญญููก่อนนะครับ พิจารณาจากการระลึกชาติเป็นอนันต์ก่อน รู้การเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ไม่มีประมาณ แล้วจึงยกเข้าสู่วิปัสสนาคือพิจารณาปัจจัยยาการ ตามลำดับ จึงเห็นว่า เวลาผู้ปรารถนาพุทธภูมิจะบำเพ็ญต้องเน้นความลึกของสมาธิในแบบแผ่จิตกว้างเป็นหลักครับ ต้องละทิ้งจิตดิ่งลึกเกินไป แต่อย่าละเลยเสียทีเดียวครับ ง่ายๆ อย่าลึกคืออย่าเสวยชาติชั่นพรหม คืออย่าติดสมาธิดิ่งลึก ถ้าจะดิ่งลึกให้กำหนดจิตถอนคืนล่วงหน้าเลยครับ
    สำหรับเรื่องอื่นๆ ที่คุยกันดูไม่ใช่เรื่องอจินไตย น่าจะเป็นเรื่องที่รู้เฉพาะบุคคล คือใครรู้ก็รู้ไป ถ้าเราไม่มีญาณก็ได้แค่ฟัง ไม่จัดเป็นอจินไตยครับ แต่เป็นเรื่องที่เรามีความสามารถที่จะรู้แต่เรายังไม่ทำให้สามารถรู้แค่นั่น
    เรื่องเดินเจ็ดก้าวบนดอกบัว กับเรื่องบาตรถ้าจะแสดงความเห็นก็เห็นว่า เป็นเรื่องจริงปนปริศนาธรรมนะครับ ซึ่งผมถือว่าจริงแม้เป็นปริศนา ในแง่ของธรรม แต่การจะให้นำบาตรมาทำน้ำมนตร์ อาจจะไม่ตรงกับยุคสมัยพุทธกาลครับ ในความเห็นของผม พระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธองค์แผ่ไพศาลอยู่แล้วครับ พระอริยเจ้าทุกองค์ในปัจจุบันก็มีเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์และมีผลต่อโลกธาตุอยู่แล้วครับ แต่วิบากกรรมของสัตว์โลกนี้ สัตว์โลกก็ต้องรับครับ
    สำหรับเรื่องต้นกำเนิดมนุษย์ ถ้าอ่านพระสูตรให้ดี เป็นปัญหาไก่กับไข่อยู่ดีครับ มนุษย์มาจากพรหม แต่พรหมมาจากมนุษย์ครับ และเล่าแบบไม่ได้บอกจุดกำเนิดนะครับ แต่เล่าแบบลำดับการขึ้นและลงและการลงและขึ้นของสภาวะจิตใจครับ เป็นการเล่าถึงที่มาแต่จบด้วยบอกว่าที่มานั้นคือ ตัวเราครับ เช่น เมื่อพรหมลงมาแรกๆไม่มีเพศ ต่อมามีเพศ แต่เฉลยว่าที่มีเพศแล้วจะรู้ได้ไงว่าใครชายหญิงอะไรกำหนด ก็เล่าเป็นวิบากกรรมเก่าที่เคยเป็นผู้มีเพศมาก่อนเป็นพรหม นั่นคือ เพศมนุษย์หรือเทวดาก่อนพัฒนาเป็นพรหมครับ
    โดยไม่ต้องอาศัยญาณพิเศษนะครับ เพราะท่านเล่าให้เราฟังกัน ก็แปลว่าไม่ต้องใช้ญาณวิเศษครับ เราฟังแล้วคิดตามได้ สภาวะของธาตุต่างมีขึ้นและลง ลงและขึ้น เป็นเหตุปัจจัยและป้จจัยนั้น วนเวียน เหมือนดั่งเราถูกขังในนรก นรกคือสังสารวัฏครับ เราไม่จำต้องรู้ว่าเรามาจากไหน เพราะเรารู้ว่าอยู่ที่นี้ และเราไม่มีกำลังพอจะรู้ได้ถ้าเรายังไม่ออกจากที่นี้ ก็เรารับวิบากกรรมกันอยู่ เหมือนอย่างที่ทราบครับสัตว์นรกมีแต่ทุกข์แต่จะจำอะไรไม่ได้เลย และจะทำกรรมซ้ำๆจนถูกลงโทษซ้ำๆจนตายและเกิดอีก แต่เทวดาเกิดมาพร้อมกับจะระลึกชาติได้ครับ เราอยู่ในสังสารวัฏ และฟังอ่านที่ท่านบอกสอนเราครับ เราอยู่ในนรกครับแม้สวรรค์หรือพรหมก็จัดเป็นนรกสังสารวัฏอยู่ดี ถ้าจะรู้ต้องหลุดพ้นก่อนครับ ดังนั้น อจินไตย 4 เราจึงไม่ควรคิดเพราะเราอยู่ในเงื่อนไขที่จะไม่รู้
     
  7. Nuthsunti

    Nuthsunti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +328
    ขอพูดคุยเรื่อง อจินไตย 4 ครับ
    ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ให้อิสระทางความคิดกับพุทธบริษัท ทุกๆคน
    หลักธรรมคำสอนต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ ท่านไม่ได้บังคับว่าให้เชื่อทันที แต่สามารถให้ไปไตร่ตรองด้วยปัญญาดูก่อนว่าถูกต้องดีงามหรือไม่ ผู้มีปัญญาไตร่ตรองแล้วก็จะรู้ว่าหลักธรรมต่างๆนั้นถูกต้องดีงาม
    สำหรับเรื่อง อจินไตย 4 ที่สอนว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรนำมาคิดเพราะอาจทำให้บ้านั้น ก็เป็นคำสอนที่ถูกต้อง
    แต่หากเราใช้ปัญญาไตร่ตรองแล้วก็จะพบว่ามันก็มีข้อยกเว้นอยู่
    เช่นหากเราพอเข้าใจเรื่องกฏแห่งกรรม แล้ว จะรู้ว่า คนที่เป็นบ้านั้นเกิดจากวิบากกรรมที่คนๆนั้นเคยสร้างกรรมที่ทำให้ส่งผลเป็นวิบากกรรมให้คนๆนั้นเป็นบ้า ยกตัวอย่างเช่น
    -ในอดีตชาติเคยทำร้ายคนให้เสียสติจนเป็นบ้า
    -ในอดีตชาติเคยดื่มสุราเมรัยจนเมามายเป็นอาจิณ
    เป็นต้น
    ซึ่งคนที่มีวิบากกรรมนี้ พอวิบากกรรมส่งผล แม้ไม่ได้คิดเรื่องอจินไตย4 ก็จะเป็นบ้าอยู่ดี
    ส่วนคนที่ไม่มีวิบากกรรมนี้ ต่อให้คิดเรื่องอจินไตย ยังไงก็ไม่เป็นบ้า แต่ผลจากการคิดอาจจะงง ไม่เข้าใจ และคาดเดาไปมั่วๆ
    บางคนเข้าใจว่า อจินไตย4 มีไว้สำหรับพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่เข้าใจ นั่นคือเข้าใจผิด
    อจินไตย 4 คือ
    1. พุทธวิสัย วิสัยแห่งความมหัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    2. ฌานวิสัย วิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของผู้มีฌาน ทั้งมนุษย์ และเทวดา
    3. กรรมวิสัย วิสัยของกฎแห่งกรรม และวิบากกรรม
    4. โลกวิสัย วิสัยแห่งโลก คือการมีอยู่ของสวรรค์ นรก และสังสาระวัฏ

    เฉพาะข้อ1เท่านั้นที่ มีแต่ พระพุทธเจ้า ที่เข้าใจ
    ส่วนข้อ อื่นๆ นั้น พระอรหันต์ที่ได้ อภิญญา 6 ก็สามารถเข้าใจ
    สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้อภิญญา 6 ก็อาจจะเข้าใจบางส่วนแต่ไม่แจ่มแจ้ง
    สิ่งที่รู้บางส่วนได้จากการศึกษาค้นคว้า บางส่วนเกิดจากปัญญาที่ได้จากการทำสมาธิ

    (คำว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นคำจริง เพราะปัญญาที่เกิดจากการทำสมาธิมีจริงๆ ขอยืนยัน)
     
  8. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ผมหมายถึงว่า อจินไตย 4 นี้ จัดเป็นสิ่งที่รู้ได้ด้วยญาณ และญาณหยั่งรู้ที่ดีที่สุด คือ สัมพัญญูตญาณ (อาจเขียนผิด) เป็นญาณที่น่าจะมีในพระพุทธเจ้าครับ บุคคลอื่นหรือแม้เทวดา พรหมก็ไม่มีญาณนี้ มีฤทธิ์ก็ไม่ถึง ด้วยเหตุนี้ อจินไตยทั้ง ๔ อย่างนี้ บางท่านอาจจะคิดว่าตนเองคิดแล้วรู้ได้ ซึ่งก็รู้ได้เพียงวิสัยของตนเท่านั้น พระอรหันต์ก็รู้เท่าวิสัยของพระอรหันต์ จะรู้เท่าความรู้ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ท่านจึงเตือนว่า สิ่งทั้ง ๔ นี้ไม่ควรคิด คิดไปอาจเป็นบ้า ลำบากโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งนี้เพราะท่านเหล่านั้นไม่ได้สั่งสมสติปัญญาบารมีความรู้มาเสมอด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต้องอบรมมาอย่างน้อยถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ทีเดียว
    จากข้อความใน84,000 ผมจึงว่า ใครจะรู้ก็รู้ได้เฉพาะกรณี ไม่มีใครรู้เรื่องทั้ง 4 แบบครอบทั่วอนันตโลกธาตุเช่นพุทธองค์ แล้วการรู้ของบุคคลอื่นนั้น เมื่อรู้ไม่เท่าพุทธองค์ก็เสี่ยงต่อการเป็นความรู้ที่ไม่แจ้งโดยแทงตลอด และอาจเข้าใจแต่บางส่วนเพราะจิตยังไม่เข้าถึงความอนันต์ คือ อนันตกาลชั่วลัดนิ้วมือ เข้าถึงอนันตจิตในชั่วลัดนิ้วมือ เข้าถึงอนันตธาตุในชั่วลัดนิ้วมือ แม้พระอริยเจ้าจิตก็ยังไม่เข้าถึงอนันตทั้งหลาย และแม้อาจจะเข้าถึงได้เมื่อถึงระดับนิพพานแต่จิตของพระอรหันต์ท่านไม่เพ่งไปในทางนั้นแล้วครับ เพราะรู้แค่กำมือเดียวจากพุทธเจ้าก็สิ้นสงสัยในธรรมแล้ว
    ฌาณวิสัย กำลังของจิตที่จะบันดาลฤทธิ์ต่างๆ กำลังจิตที่น้อยกว่าจะทำไม่ได้เท่ากำลังจิตที่มากกว่า จิตที่ฉลาดกว่าก็ทำได้มากกว่าจิตที่ฉลาดน้อย จิตของผู้มีฤทธิ์แต่ละคนไม่เท่ากัน แต่พุทธองค์กำลังจิตเป็นอนันตครับ แล้วคนที่คิดอธิบายฌาณวิสัยของคนอื่นได้ต้องทำได้ แต่ไม่มีใครที่แสดงฤทธิ์ได้เท่าพุทธองค์ แล้วใครจะอธิบายได้ เมื่อคิดหาคำตอบเรื่องฌาณวิสัย สุดท้ายก็ตอบไม่ได้ว่าพุทธองค์แสดงฤทธิ์นี้ได้อย่างไร กรรมวิสัยกับโลกวิสัย เมื่อไม่มีใครเข้าถึงอนันตทั้งหลาย แล้วจะยังกล้าบอกว่ากรรมนี้มีจุดเริ่มจากไหน โลกกำเนิดอย่างไร ทุกวันนี้ก็เป็นแค่ทฤษฎี ถ้าจิตของคุณไม่ย้อนอดีตเป็นอนันตกาลได้ยังจะกล่าวว่ารู้กำเนิดโลกได้เหรอ โพธิสัตว์หวังรื้อขนสรรพสัตว์ ไม่ได้หวังจะรู้สรรพสิ่ง แต่เผอิญบารมีที่ฝึกฝนนั้น ทำให้จิตมีกำลังมีความฉลาดเข้าขั้นอนันต ในตอนตรัสรู้ แค่สามชั่วโมงแรก ก็รู้อดีตชาติเป็นอนันต อีกสามชั่วโมงต่อมาก็รู้การเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ที่มีปริมาณเป็นอนันตและมีอาณาบริเวณเป็นอนันตโลกธาตุและตามหลักน่าจะต้องรู้ตลอดเวลาอนันตกาลด้วย คนที่เคยรู้อดีตอย่างมาก1000ชาติจะมีสักกี่คน และบางคนไม่ใช่ใช้เวลาแค่สามชั่วโมง แต่หลายปี ถึงระลึกได้1000ชาติ คนที่รู้การเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์อื่นรู้แค่จำนวนถึง1000จิตไหมและรู้อดีตของสัตว์นั้นเป็นอนันตกาลหรือเปล่า ไม่มีครับ แล้วจะบอกสาเหตุและกฎแห่งกรรมได้อย่างไร กฎแห่งกรรมที่สอนๆกัน ท่านสอนเป็นเชิงกฎครับ แต่เป็นกฎใหญ่ ทั่วไปเท่านั้น แต่ความละเอียดและข้อยกเว้นตลอดจนปัจจัยอื่นละไว้ครับเพราะมันซับซ้อนครับ
    เอาแค่นี้นะครับ พระเจ้ามันธาตุราช ทำบุญกรรมอะไรจึงมีจักรแก้ว และไปอยู่ร่วมเคียงพระอินทร์ถึง36 องค์ ทั้งที่เป็นแค่มนุษย์ จักรแก้วแสดงฤทธิ์พาคนขึ้นไปสวรรค์ได้ยังไง ทั้งที่ไม่ใช่เป็นเรื่องฌาณ แล้วมนุษย์ที่มีกุศลกรรมบถ10บริบูรณ์ ในยุคนี้ทำไมไม่ได้เป็นจักรพรรดิ์ ธาตุอะไรบันดาลแล้วธาตุนั้นหายไปไหนจากโลก กรรมบุญจะชักนำธาตุนั่นมาในวาระไหน สภาพปัจจัยใด นี่ผมแค่ลองคิดก็เริ่มบ้าแล้วครับ ชักมึนๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2015
  9. Nuthsunti

    Nuthsunti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +328
    วันนี้ขอพูดคุยเกี่ยวกับ อายุของมนุษย์ ที่มีอายุยืนยาวกว่า พระอินทร์ 36 องค์
    ก่อนอื่นขอ บอกก่อนว่าสิ่งที่จะเขียนต่อไปนี้เกิดจากปัญญาที่ได้จากการทำสมาธิของผมเองดังนั้นผู้อ่านควรใช้ปัญญาไตร่ตรองให้รอบครอบก่อน
    ธาตุที่ประกอบรวมกันเป็นกายมนุษย์ เป็นธาตุที่มีความพิเศษกว่ากายเทวดาทุกชั้น เพราะมีต้นกำเนิดจากกายพรหม แล้วค่อยๆเปลี่ยนแปรมาจนเป็นกายมนุษย์ ดังนั้นธาตุที่ประกอบรวมกันเป็นกายมนุษย์ที่มีความบริสุทธิล้วนๆ จะมีอายุ 1 อสงไขยปี(1แล้วตามด้วยเลข0จำนวน140ตัว) ซึ่งอายุยืนกว่าเทวดาทุกชั้น(เทวดาชั้นสูงสุด ปรนิมๆ มีอายุแค่ 9,216,000,000ปีมนุษย์) หากเทียบกับพระอินทร์ที่มีอายุ 36,000,000ปีมนุษย์
    ดังนั้นมนุษย์ที่มีธาตุบริสุทธิล้วนๆ สามารถมีอายุยืนกว่าพระอินทร์รวมกันกว่า1,000องค์(จริงๆมากกว่านี้เยอะ)
    ธาตุที่ประกอบรวมกันเป็นกายมนุษย์ในปัจจุบันมีสิ่งสกปรก(สิ่งไม่บริสุทธิ)เจือปนเข้าไปเยอะมากทำให้อายุสั้นมากๆๆๆ
     
  10. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ่เชิญอ่าน อรรถกถา มันธาตุราชชาดกว่าด้วย กามมีความสุขน้อยมีทุกข์มาก http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=373 ครับ สิ่งอจินไตยที่จะถามกรณีโลกวิสัย คือ โลกธาตุสมัยปฐมกัปร์ คือ ง้วนดินสีทอง อาบรัศมีพรหมชั้นอาภัสรา มนุษย์รุ่นแรก ณ เริ่มกัปร์คือ อาภัสราพรหม อาหาร คือ ง้วนดินสีทอง ต่อมากายพรหมจะดูดกลืนง้วนดินสีทองเข้าไป ต่อมารัศมีพรหมก็หายไป แล้วง้วนดินสีทองแปรเปลี่ยนไปอย่างไร ณ เริ่มแรก ง้วนดินสีทอง ตั้งอยู่บนแผ่นดิน หรือตั้งบนอวกาศ ต่อมา ง้วนดินเป็นเมล็ดข้าวสาลีสีทอง แผ่นดินมาจากไหนตั้งแต่เมื่อไรและมาอย่างไร พืชอื่นนอกจากข้าวสาลีและสัตว์อื่นนอกจากมนุษย์เริ่มมีครั้งแรกเมื่อไร สัตว์อะไรเกิดก่อน พืชอะไรเกิดก่อน พืชปัจจุบันมีกำเนิดมาจากง้วนดินหรือไม่ หรือเฉพาะข้าวสาลีเท่านั้น สภาพโลกสมัยปฐมกัปร์กับสมัยนี้ต่างกันแค่ไหน จำนวนพรหมที่ลงมาตอนแรกมีจำนวนเท่าไร สมัยมหาภารตะที่อินเดียมีคนประมาณ ไม่เกิน 30 ล้าน สมัยนี้ มาจากไหน เป็น 1250 ล้านคน แล้วสัตว์อื่นๆ กำเนิดในยุคใด มาจากมนุษย์สมัยปฐมกัปร์ แล้วมาในช่วงศีลห้าข้อใดเสื่อม มนุษย์ในทวีปอีกสามทวีป ก็มาจากพรหมใช่หรือไม่ แล้วเหตุใดพระจักรพรรดิ์ มันธาตุราช ต้องมาจากชมพูทวีป ไม่มีจากทวีปอื่นบ้างหรือ ถ้าสัตว์ทั้งหลายไม่เข้าถึงพรหมชั้นอาภัสราก็ย่อมถูกดูดไปนรกที่แกแล็กซี่อื่น หรือโลกธาตุอื่น สัตว์เหล่าจะกลับมาที่โลกธาตุเกิดใหม่ได้อย่างไร เพราะอีกโลกธาตุอื่นยังไม่ดับ ธาตุยังไม่แปรปรวนที่จะส่งมาได้ แปลว่ามาจากโลกธาตุที่แตกดับไกลพ้นกว่า มาเมื่อไร มายังไร แล้วการคัดสรรที่จะให้สัตว์นรกย้ายไปแกแล็กซี่อื่นๆ ธรรมชาติคัดสรรยังไง ว่าจะให้ไปอยู่โลกธาตุไหน กรรมอะไรให้มาพบกันทั้งที่ตลอดเวลากว่าโลกธาตุเกิดดำรงอยู่และดับไป ไม่ตำ่กว่า4อสงไขย ไม่เคยมีเวรกรรมหรือบุญกรรมใดต่อกัน มันเป็นเรื่องกรรมวิสัย หรือแค่เหตุบังเอิญ ฯลฯ เอาแค่ความสงสัยแค่นี้ก่อนครับ คงรวมโลกวิสัยและกรรมวิสัยแล้ว แต่ฌาณวิสัยก็สงสัยว่า จักรแก้ว รูปร่างเป็นอย่างไร ที่ว่าเกิดเพราะบุญกรรมนั้นเข้าใจ แต่ที่ไม่เข้าใจคือ จักรแก้วมันเข้าใจและทำตามปรารถนาของมันธาตุราชยังไง จิตของมันธาตุราชต้องได้ฌาณหรือไม่ หรือไม่ต้อง จักรแก้วสลายตามการตายของเจ้าของแล้ว ธาตุที่ประกอบเป็นจักรเป็นธาตุอะไร ทุกวันนี้ยังอยู่ไหม ใครสร้างธาตุนี้ หรือมันจะสลายจนไม่มีธาตุตั้งต้น เทวโลกเป็นของทิพย์หากเทวดาถูกทำลายร่างแต่ยังไม่สิ้นบุญ พระศิวะอาจบันดาลร่างเทพกลับมาพร้อมทั้งจิตวิญญาณ เสมือนธาตุตั้งต้นอยู่ในเทวโลกฉนั้น จักรแก้วจะไม่มีธาตุตั้งต้นเลยเหรอ จะสามารถนำธาตุนั้นมาประกอบกันเป็นจักรด้วยฌาณวิถีของเทพ พรหม หรือมนุษย์ได้อีกหรือไม่ เพราะจะได้นำคนเราในยุคนี้ไปสู่มิติที่สวยงามไม่มีมลภาวะ ฯลฯ อจินไตยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2015
  11. Nuthsunti

    Nuthsunti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +328
    ผู้ที่รู้คำตอบของปัญหามากมาย เหล่านั้นคงต้องเป็นผู้ที่บันลุธรรมขั้นสูง
    ผมที่ยังไม่ได้บันลุธรรม ไม่มีอภิญญา ความรู้แค่หางอึ่ง ไม่สามารถหาคำตอบได้ทั้งหมด
    แต่อย่างน้อย จากการทำสมาธิจากเมื่อคืนจนถึงวันนี้ก็เกิดปัญญาขึ้นมาเรื่องหนึ่ง
    จึงนำมาเขียนให้อ่านเล่นๆ ซึ่งสิ่งที่เขียนอาจไม่ใช่ความเป็นจริง ดังนั้นผู้อ่านโปรดใช้ปัญญาไตร่ตรอง
    คิดว่าอ่านนิทานก็ได้
    ขอคุยเรื่องจุดเริ่มต้นการกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน
    ในยุคต้นกัป ที่มีแต่มนุษย์ ยังไม่มีสัตว์เดรัจฉานเกิดขึ้น
    กาลเวลาผ่านไป มนุษย์บางคนถูกอกุศลเข้าครอบงำ ทำให้เริ่มมีการกระทำผิดทางใจ(จุดเริ่มต้นทำบาปเริ่มที่ใจก่อน) และต่อมาก็ลุกลามมากระทำผิดทางกาย (สมัยนั้นยังไม่ใช้การพูดวาจา แต่สื่อสารกันทางจิต) พอทำบาปจนบาปได้ช่อง ไปดึงดูดวิบากกรรมในอดีต
    พอมนุษย์คนนั้นตายไป จึงไปบังเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน โดยเกิดแบบโอปปาติกะ มีกายเป็นกึ่งสัตว์กึ่งทิพย์ สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ทางจิต มีอายุขัยยืนยาวมาก แต่ก็สั้นกว่ามนุษย์ เทียบเป็นอัตราส่วนคล้ายสัตว์กับคนในปัจจุบันเช่น อายุหมาต้องคูณ7 หมาอายุ10ปีเท่ากับคนอายุ70 ดังนั้นหมาอยู่ได้ 10 กว่าปี ก็ตายไป
    สัตว์ที่เกิดในยุคนั้นก็ยังมีบุญเก่าค่อนข้างมาก และด้วยบุญเก่านั้นก็บันดาลให้เกิดอาหารกึ่งหยาบกึ่งทิพย์ที่เหมาะสมกับสัตว์นั้นได้บริโภค
    กาลเวลาผ่านไปความเป็นทิพย์ค่อยๆจางหายไปจนเหลือแต่ความหยาบ สัตว์หยาบเหล่านั้นก็สืบลูกสืบหลานมาจนถึงปัจจุบัน
    จากนิทานเรื่องนี้ แสดงว่า ไก่ เกิดก่อนไข่ คือ ไก่ทิพย์เกิดก่อนแล้วกลายเป็นไก่หยาบแล้วไก่หยาบจึงออกใข่
    เอวัง
     
  12. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ขอบคุณครับ จึงสรุปได้ครับว่า อจินไตย เป็นสิ่งไม่ควรคิด แม้ใครจะหยั่งรู้ได้บ้าง แต่ไม่น่าจะมีใครรู้ได้เท่าพุทธองค์ ซึ่งจะไม่มีใครรู้ได้ครบจบรอบ เคยได้ยินว่ามีฤษีเหาะได้เร็วมากก็ยังไม่อาจไปสุดขอบโลกธาตุทั้งปวง แต่แน่ใจว่าจิตของพุทธองค์เท่านั้นที่จะมีกำลังแผ่ญาณหยั่งรู้ได้อนันต์เท่าโลกธาตุทั้งปวง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2015
  13. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    พระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนานิพพานเป็นคนสุดท้าย
    บทความนี้ เป็นการตั้งสมมุติฐานความเป็นไปได้ แนวอจินไตย เป็นสิ่งที่ไม่ควรคิด

    ผมเองได้เคยอ่าน เคยพบ เคยเห็น เท่าที่จำได้ ประมาณ 3-4 ท่าน ที่แสดงตัวปรารถนาขอเป็นพระโพธิสัตว์เข้านิพพานเป็นคนสุดท้าย ก็รู้สึกแปลกเพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น หรือได้ยินที่ไหน ขนาดปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าตามปกตินั้นก็ยากแสนยาก แต่นี่ปรารถนาขอเข้านิพพานเป็นคนสุดท้ายยิ่งยากใหญ่ ก็ได้แต่วางจิตอนุโมทนา วางจิตปกติไม่ปรุงแต่งในทางอกุศลลบหลู่ปรามาส หรือคิดเคลือบแคลงสงสัย เพราะไม่อยากจะไปคิดสงสัย เป็นสิ่งที่ไกลเกินกว่าจะไปคิดได้ เป็นการปรารถนาส่วนบุคคล เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล

    แต่ในไม่กี่วันมานี้ ได้มีความคิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพระโพธิสัตว์กับพระโพธิสัตว์ ในฐานะที่เป็นพี่เลี้ยงช่วยเหลือ อาจถือได้ว่าเป็นการตั้งสมมุติฐานหรือทฤษฎีใหม่ โดยจำลองเรื่องราวให้เชื่อมโยงกัน ใช้ตรรกะความมีอยู่ของพระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาขอเข้านิพพานเป็นคนสุดท้าย ซึ่งปรากฏให้เห็นตามที่มีท่านผู้ปรารถนา จึงเห็นได้ว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก เป็นการเสียสละอันสูงส่งเกินกว่าที่จะทำได้ และเป็นสิ่งท้าทายที่น่าจะลองปรารถนาดูบ้าง แต่พิจารณาแล้วไม่อยู่ในวิสัย ไม่ได้ทำเหตุแต่แรก ซึ่งได้สร้างทำเหตุปัจจัยแห่งพระโพธิญาณปกติมาเนิ่นนานเกินกว่าที่จะเปลี่ยนอุดมคติและสัจจะความรับผิดชอบ

    เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่าพระโพธิสัตว์ประเภทนี้ได้สร้างบารมีเริ่มแรกมานับอสงไขยไม่ถ้วน มากกว่าพระโพธิสัตว์แบบปกติหลายเท่า บารมีเต็มรอบแล้วซ้ำรอบอีกเพื่อปณิธานอยู่ช่วยเหลือสงเคราะห์สรรพสัตว์

    จึงเป็นที่มาของพระโพธิสัตว์ผู้คอยสร้างความสมดุล
    ผู้ให้กำเนิดพืชพันธ์ต่างๆ (เป็นฤษีนำพืชพันธ์มาปลูก)
    ทำหน้าที่เป็นพระเจ้าผู้ให้กำเนิดลัทธิศาสนาอื่น ในสมัยพระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ (คริสต์, อิสลาม) เพื่อให้เกิดความสมดุลในโลกธาตุแห่งบารมีของพระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ

    เป็นผู้ค้นหาหน่อเชื้อพุทธภูมิที่มีกำลังใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวและดลใจให้เขาเหล่านั้นปรารถนาพุทธภูมิ (พรหมรำพึง)

    เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังและทำหน้าที่สนับสนุนให้พระโพธิสัตว์ได้สำเร็จพระโพธิญาณ (ทำหน้าที่เป็นสมณะ 1 ในเทวทูต 4)

    เป็นผู้ที่อาราธนาให้พระพุทธเจ้าแสดงธรรมภายหลังจากตรัสรู้ (พรหมอาราธนา)

    เป็นผู้ที่ทำหน้าที่เทศน์อบรม คัดกรองสัตว์นรก ให้มีโอกาสกลับมาเกิดบำเพ็ญบารมีสร้างคุณงามความดี โดยเฉพาะคัดเลือกให้มาเกิดในยุคพระศรีอริยเมตตรัย

    นอกจากนี้ ยังร่วมอยู่ในเหตุการณ์สำคัญๆ เช่น ตอนประสูติ เสด็จลงจากเทวโลก ปริพนิพพาน และเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดพิธีการบนสรวงสวรรค์ เพื่อถวายรับใช้พระพุทธองค์

    อย่างไรก็ตาม พระโพธิสัตว์ประเภทนี้ไม่น่าจะมีมาก อย่างมากไม่เกิน 5 พระองค์ และหาผู้ที่ปรารถนาได้น้อยนัก แต่ก็ยังพอมีให้เห็นบ้างตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่ามีผู้ปรารถนา ซึ่งถือว่าเป็นหน่อเชื้อพระโพธิสัตว์ประเภทนี้ และเมื่อเห็นว่ามีบารมีเหมาะสมถึงเวลาอันควรก็จะได้รับตำแหน่งเข้าทำหน้าที่แทนองค์เก่า ในขณะที่องค์เก่าได้บรรลุเป็นพระอรหันตสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งภายหลังเสด็จดับขันธปรินิพพาน เนื่องจากท่านเป็นผู้ทำเหตุอยู่เบื้องหลังความสำเร็จพระโพธิสัตว์ที่ได้ตรัสรู้ ท่านจึงมิได้เป็นพระพุทธเจ้า และท่านมิเคยได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใด แม้ว่าบารมีของท่านจะเต็มรอบแล้วหลายรอบหลายอสงไขยนับไม่ถ้วน เพียงแต่ท่านได้ชื่อว่า “อรหันตโพธิสัตว์” ผู้อยู่เบื้องหลัง ผู้สร้างความสมดุลของธรรมชาติ ยิ่งกว่านั้น การปรารถนาขอเข้านิพพานเป็นคนสุดท้ายเป็นสิ่งที่กำหนดไม่ได้ หาเบื้องปลายหาที่สุดไม่ได้ แต่ตั้งความปรารถนาได้ และสัตว์ทั้งหลายที่เกี่ยวพันธ์มีกรรมกับท่านก็ล้วนแต่ได้เข้านิพพานในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อน หรือหากหลงเหลืออยู่ท่านก็โปรดในชาติที่ท่านสำเร็จอรหันต์ นอกจากนี้ท่านยังสามารถอธิฐานให้มีอายุยืนยาวเป็นกัปเพื่อทำหน้าที่ดูแลพระพุทธศาสนา จวบจนสิ้นอายุพระพุทธศาสนาในยุคสมัยนั้นๆ

    บทความนี้ เป็นการตั้งสมมุติฐานความเป็นไปได้ แนวอจินไตย เป็นสิ่งที่ไม่ควรคิด
    ขออนุโมทนากับผู้ที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย หรือขอเข้านิพพานเป็นคนสุดท้าย
    ขออุทิศบุญกุศลให้กับ พระแม่คงคา(นะ) พระแม่ธรณี(มะ) พ่อพระเพลิง(พะ) พ่อพระพาย(ธะ) ซึ่งคือ ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ผู้มีพระคุณในการก่อกำเนิดร่างกาย เปรียบเสมือนเป็นพระโพธิสัตว์ และเมื่อร่างกายแตกดับก็จะกลับกลายไปเป็น ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ดังเดิม
     
  14. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    พระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาเป็นพุทธเจ้าองค์สุดท้าย

    พระโพธิสัตว์ นั้น ในความหมายที่ผมศึกษาและทราบมาตามพระไตรปิฎกบ้างอรรถาธิบายบ้าง คือสัตว์ที่มีโพธิจิต คือ แสวงหาความหลุดพ้นและมีใจใหญ่ คือ จะรื้อขนสรรพสัตว์ให้ไปนิพพานด้วยกันทั้งหมด ในภาวะตอนที่มีจิตอันใหญ่นี้เกิดขึ้น ปํญญาบารมีของสัตว์นั้นไม่อาจเทียบเท่าได้แม้อุบาสกอุบาสิกาในพระพุทธศาสนา ยังเป็นสัตว์ที่หลงวนเวียนโดยไม่เคยมีโพธิจิตเกิดขึ้นเลย คือ ไม่ทราบว่าโลกนี่ทุกข์ ตัวเราเป็นทุกข์ แลเมื่อแรกที่ดวงจิตจับทุกข์ได้ คือเห็นว่าโลกนี่มีทุกข์ ประกอบกับสัตว์นั้นมีใจใหญ่ จึงได้รับการดลใจจากพรหมให้ปรารถนารื้อขนสัตว์ด้วย การดลใจนั้น คือ เมตตา กรุณา ของพรหมนั้นท่านเพ่งจิตแพร่ไปยังสัตว์นั้น สัตว์นั้นมีใจประกอบด้วยจิตประภัสสรอยู่เพราะมีภาวะจิตตะหนักถึงทุกข์ครั้งแรกแล้วมีความเพียรให้พ้นจากทุกข์ที่ประสบ จิตจึงรับอารมณ์จิตที่แผ่มาจากพรหมได้ (ในความหมายทางบุคคลาธิษฐาน คือ ธรรมที่เรียกว่าเมตตา กรุณามาประกอบรวมเข้าด้วยกับปัญญาในขณะนั้น) จึงเกิดโพธิจิตขึ้นครั้งแรก ในตอนนั้น สรรพสัตว์ย่อมรวมกันทั้งสิ้นไม่มีประมาณ จึงไม่มีสภาวะเป็นพุทธองค์แรกหรือองค์สุดท้าย แต่โพธิสัตว์ล้วนมีกำลังใจอันใหญ่ปรารถนารื้อขนสัตว์ และตัวท่านย่อมเป็นผู้เข้านิพพานเป็นคนสุดท้าย ทุกโพธิจิตล้วนปราถนาอย่างนี้
     
  15. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    พระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาเป็นพุทธเจ้าองค์สุดท้าย ต่อ

    สำหรับพระโพธิสัตว์ ในทางตำราของทางมหายาน ทราบมาว่า มีการกล่าวถึงจริยจิตของพระโพธิสัตว์ไว้ กล่าวถึงใจอันยิ่งใหญ่ประมาณจะกล่าวว่าแม้เดินย่ำด้วยเท้าอยู่บนเหล็กแหลมที่ร้อนดังไฟนรกตลอดทางแปดหมื่นลี้เพื่อโปรดสัตว์ก็จะทำ แลจะทำหน้าที่รื้อขนสัตว์จนเป็นคนสุดท้ายที่เหลือ แต่ว่านั้น เป็นกำลังแห่งใจของโพธิสัตว์ทุกองค์ แต่ความปรารถนาตามที่ท่าน Sirius Galaxy กล่าวมา กล่าวประหนึ่งว่าโพธิสัตว์จะมีบางองค์ที่ปรารถนาเช่นนั้น คือ ปรารถนาเป็นองค์สุดท้าย เป็นพุทธองค์สุดท้ายนี้ เป็นสิ่งที่กล่าวไว้ต่างจากโพธิจิตของโพธิสัตว์ เป็นการกล่าวถึงความปรารถนาที่ขัดกับโพธิจริตแห่งพุทธภูมิ กลายเป็นว่าโพธิสัตว์มีสองระดับ เป็นการยกระดับเมตตากรุณาของพระโพธิสัตว์ประเภทหนึ่งไว้สูงกว่าประเภทหนึ่ง ความจริงระดับบารมีก็ดี ประเภทบารมีก็ดี ไม่ทำให้โพธิจิตต่างกัน และแม้จะเป็นพุทธเจ้าประเภทไหน องค์ใดล้วนมีคุณเสมอกันในเมตตา กรุณา ปัญญา และวิสุทธิคุณ ส่วนการตรัสรู้จัดเป็นไปตามธรรม คือ เหตุปัจจัยอันเหมาะสมเหมาะควรแก่พุทธเกษตร ไม่ใช่เพราะโพธิจิต แต่เป็นเพราะเวไนยสัตว์และไม่มีประโยชน์ที่จะเป็นองค์สุดท้ายหรือองค์แรก เพราะองค์สุดท้ายหรือองค์แรกไม่ใช่องค์สุดท้ายหรือองค์แรกที่แท้จริง เพราะวัฏฏสงสารไม่มีกำหนดเบื้องต้นและเบื้องปลาย พุทธองค์ก็ย่อมไม่ปรากฏองค์แรกและองค์สุดท้าย มีตราบเท่าที่วัฏฏสงสารมี และโพธิจิตขององค์พุทธเจ้าย่อมปลูกไว้ในโพธิสัตว์ขององค์สุดท้ายถ้ามี(ตามความเข้าใจของคนที่เห็นว่าโลกมีที่สุดหรือองค์ใดๆ ก็ตามที่เห็นว่าโลกไม่มีที่สุด ซึ่งผมไม่กล่าวว่าโลกมีที่สุดหรือไม่มีที่สุด แต่กล่าวว่าตราบเท่าที่มีวัฏฏสงสาร ตราบเท่าที่มีสัตว์โลกพุทธก็ย่อมมีอยู่ตราบนั้น) เมื่อโพธิจิตย่อมปลูกหน่อพุทธางกูรไว้ ความปรารถนาของพระโพธิสัตว์จึงเป็นจริงเสมอ โพธิจริตจึงเป็นจริงเสมอ บารมีธรรมของโพธิสัตว์ที่ถึงพุทธองค์จะอยู่โปรดจนหมดสรรพสัตว์ ถ้าเป็นไปได้จริง
     
  16. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    พระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาเป็นพุทธเจ้าองค์สุดท้าย สุดท้าย

    พระโพธิสัตว์ ที่มีบารมีจนถึงระดับบรรลุอรหันตภูมิได้ทันทีที่ตัดพุทธภูมิ แม้จะได้รับพุทธทำนายเป็นนิตยโพธิสัตว์หรือไม่ ก็ย่อมมีปัญญาที่เห็นตามความเป็นจริงแล้ว แต่ไม่ยกจิตเข้าสู่ฐานวิปัสสนาภาวนา เพื่อนำกำลังแห่งจิตมาตัดกิเลสเป็นเด็ดขาด ท่านเหล่านั้น จึงสามารถพิจารณาความตามเป็นจริงด้วยในที่สุดว่า ประโยชน์อันสูงสุดที่จะดำรงอยู่ในวัฏฏสงสารมีกำหนดเท่าใด อุปมาดั่งพุทธองค์เมื่อเห็นว่าสำเร็จประโยชน์อันบำเพ็ญมาบริบูรณ์แล้วย่อมตรัสวาจาละ เพื่อเข้าสู่นิพพาน การที่โพธิจิตจะรั้งอยู่ในวัฏฏสงสารอันหาที่สุดเบื้องต้นไม่ได้เบื้องปลายไม่ได้จึงไม่ใช่วิสัยตามความเป็นจริง การที่มีพุทธองค์ปฐมหรือพุทธองค์สุดท้ายก็เป็นการเข้าใจผิด องค์ปฐมหรือองค์สุดท้ายนั้นมีได้แก่กรณีคือ ที่ปฐมกัปป์หรือกัปป์สุดท้ายของโลกธาตุแต่ละโลกธาตุ หรือองค์ปฐมหรือองค์สุดท้ายของอนันตโลกธาตุ สรุปภาษาปัจจุบัน ครับ คือ แกแล็คซี่ที่ประกอบด้วยจักรวาลนับหมื่นจักรวาลหรือแสนจักรวาล คือ แกแล็คซี่ทางช้างเผือกเรามีโลก พระอาทิตย์ พระจันทร์ นับเกือบแสนระบบ มีพุทธองค์แรกและองค์สุดท้ายได้ แต่แกแล็คจำนวนนับอนันต์ไม่ได้นี่ ก็มีวันแรกและวันสุดท้ายที่ยาวนานกว่าแกแล็คซี่ มีองค์แรกและองค์สุดท้ายได้ แกแล็คซี่แต่ละระบบเกิดดับนับได้ไม่ถ้วนจนกว่าอนันตจักรวาลจะดับหนึ่งครั้ง ผู้ปรารถนาเป็นองค์สุดท้ายจะมีได้หรือไม่ ก็เหมือนที่พุทธองค์แรกแห่งแกแล็คซี่ หรืออนันตจักรวาล แต่การเกิดดับของอนันตจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ไม่ได้บอกว่ามีครั้งเดียวเลย แต่ถ้าเอาที่สุดจากพระโอษฐ์ของพระพุทธองค์แล้ว การอธิบายเรื่องประเภทและจริยพระโพธิสัตว์และพุทธเจ้านั้น สมบูรณ์และพิจารณาได้แล้วว่า ถ้าเป็นพุทธวงศ์ ไม่มีทางจะเกิดเรื่องดังกล่าวได้ ไม่สามารถมีโพธิสัตว์องค์ใดที่บารมีเทียบเท่าอรหันตภูมิอยู่นานตั้งแต่ต้นกำเนิดอนันตจักรวาลจนอนันตจักรวาลแตกดับ เพราะนานกว่าการเกิดดับของหมื่นแสนโลกธาตุมากจนเทียบกันไม่ได้ แต่ถ้าปรารถนาเป็นองค์แรกองค์สุดท้ายของหมื่นแสนโลกธาตุยังอยู่ในวิสัยเป็นไปได้ ถ้าจังหวะเวลาของโพธิสัตว์แต่ละประเภทมาตรงหรือสอดคล้องได้จังหวะกับการเกิดขึ้นหรือดับไปของโลกธาตุ แต่ว่าถ้าถือตามจริง เวลาแกแล็คซี่หนึ่งดับ สัตว์นรกยังอยู่ในนรกไม่ใช่เวไนยสัตว์ในข่าย จะถูกสูบไปแกแล็คซี่อื่นโดยหลุมดำ ดังนั้น ที่ว่าอยู่โปรดจนไม่เหลือสัตว์สักตัวเป็นไปไม่ได้ ให้ไปอ่านอรรถาธิบายที่กล่าวถึงพุทธองค์ตรัสกับพระยามารว่า พระยามาร(โพธิสัตว์)มีความหลงผิดว่า พุทธองค์จะรื้อสัตว์จนไม่มีให้เค้าได้รื้อบ้าง เค้าจะไม่ได้เป็นพุทธองค์ ผมอ่านตอนเด็กมาก น่าจะเป็นปฐมโพธิกถา ซึ่งจัดเป็นคัมภีร์ชั้นอรรถาธิบาย อย่างไรก็ตาม โพธิสัตว์ย่อมมีจริยาจิตที่จะโปรดสัตว์ให้หมดและเป็นคนสุดท้ายนั้นเป็นความจริง และต้องคงอยู่แม้บารมีมากแล้ว เพราะว่าต้องเสริมให้ใจใหญ่ บารมีจึงจะสำเร็จได้ สำหรับเวลา ณ จุด ก่อนบิ๊กแบงค์ ที่อนันตจักรวาลถูกดูดมาที่จุด ซิงกูลาริตี้ (singularity) ตามทฤษฎีหนึ่ง นั้น เวลาไม่มี ณ จุดนั้น ดังนั้น แม้พระโพธิสัตว์เป็นระดับพรหม เวลาช่วงนั้นก็เหมือนถูกหยุดเวลาไว้เหมือนเวลาไม่เดิน ทั้งที่ตามปกติอาจผ่านไปนับอสงไขยก็เป็นไม่มี เมื่อสะสมบารมีมาเต็มแล้วก็แค่รอเวลาพุทธเกษตรสมบูรณ์ เมื่อบิกแบงค์ระเบิดจึงมีการกล่าวกันว่า พุทธองค์ปฐม มีอายุยืน ซึ่งน่าจะเป็นมนุษย์คล้ายต้นกัปป์แห่งโลกธาตุ คือ มาจากพรหม และรอเวลาจนมีการเกิดตายเกิดขัึ้น เงื่อนไขพุทธจึงเกิดขึ้น แต่ถ้าถืออีกทฤษฎี จักรวาลขยายตัว คือ แกแล็คซี่ต่างๆ ขยายจนไม่มีวันกลับมารวมกัน และสลายไปในที่สุดเมื่อหมดพลังงาน อาจมีองค์สุดท้ายได้ ณ โลกธาตุใดโลกธาตุหนึ่ง แต่ปัจจุบันยังมีปัญหาว่า มันหมดพลังงานได้จริงเหรอ ในเมื่อกระบวนการมันเป็นอย่างนี้ เมื่อแกแล็คซี่หนึ่ง หรือแม้ดวงอาทิตย์ดวงเดียวระเบิดเป็นพลังงานเร็วกว่าแสงเล็กกว่าแสง อนุภาคเหล่านั้นเมื่อพลังงานหมดก็กลับมามีมวลและรวมตัวก่อเกิดแกแล็คซี่ใหม่อยู่ดี เพราะว่าอนุภาคมันจะแรงดึงดูดกันอยู่เรื่อยมันเป็นธรรมชาติของสสารและพลังงาน ซึ่งปัจจุบันไม่พบวิธีทำลายธาตุพื้นฐานเลย ในทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันจึงไม่มีโลกที่มีสิ้นสุดเกิดขึ้น มีแต่ไม่สิ้นสุด แต่นั้นเพราะเราไม่รู้ก็ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่กล่าวมาแต่ต้นก็อจินไตยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2015
  17. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ภาพแกแล็คซี่เกิดใหม่

    อนุภาคแสงจากที่ต่างๆ ในอนันตจักรวาลที่กระจายไปทั่วจากการระเบิดของดวงอาทิตย์หรือแกแล็คซี่ต่าง ที่เก่าดับไป ณ จุดหนึ่งเมื่อพลังงานจลน์เริ่มหมดอนุภาคจากทุกทิศทุกทางมาชนกันพอดีหรือมาตกหรือหยุดที่เดียวกันมากๆ ก็รวมรวมตัวจนเป็นมวลคล้ายเนบิวล่า คือ กลุ่มมวลสารครับ ดังนั้น ปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเชื่อทฤษฎีจักรวาลหดขยายได้และมีบิ้กแบง หรือจักรวาลขยายไปเรื่อยซึ่งมันจะเกิดแกแล็คซี่ใหม่ โลกยังไม่สิ้นสุดเพราะอย่างนั้น แต่โลกย่อมเกิดและดับ เพราะผัสสะ มีผัสสะโลกก็เกิด ดับผัสสะโลกก็ดับ ตามนี้ครับ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค [๑๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงความเกิดและความดับแห่งโลก
    เธอทั้งหลายจงฟัง ก็ความเกิดแห่งโลกเป็นไฉน ความเกิดแห่งโลกนั้น คือ อาศัย
    จักษุและรูป เกิดจักขุวิญญาณ รวมธรรม ๓ ประการเป็นผัสสะ เพราะผัสสะ
    เป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา เพราะตัณหา
    เป็นปัจจัย จึงเกิดอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดภพ เพราะภพเป็น
    ปัจจัย จึงเกิดชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงเกิดชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
    ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสนี้เป็นความเกิดแห่งโลก ฯลฯ อาศัยใจและธรรมารมณ์
    เกิดมโนวิญญาณ รวมธรรม ๓ ประการเป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึง
    เกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิด
    อุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดชาติ
    เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส
    จึงเกิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นความเกิดแห่งโลก ฯ
    [๑๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ความดับแห่งโลกเป็นไฉน ความดับแห่ง
    โลกนั้น คือ อาศัยจักษุและรูป เกิดจักขุวิญญาณ รวมธรรม ๓ ประการเป็น
    ผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิด
    ตัณหา เพราะตัณหานั้นแลดับเพราะสำรอกโดยไม่เหลือ อุปาทานจึงดับ เพราะ
    อุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรา มรณะ
    โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์
    ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ นี้เป็นความดับแห่งโลก ฯลฯ อาศัยใจและ
    ธรรมารมณ์ เกิดมโนวิญญาณ รวมธรรม ๓ ประการเป็นผัสสะ เพราะผัสสะ
    เป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา เพราะตัณหานั้น
    แลดับเพราะสำรอกโดยไม่เหลือ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
    เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
    โทมนัส และอุปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยอาการ
    อย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นความดับแห่งโลก ฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2015
  18. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    ทำอย่างไร? จึงจะไม่มีการทำสงครามรบราฆ่าฟัน
    ทำอย่างไร? จึงจะไม่มีเบียดเบียนกัดกินกันเองเป็นอาหาร

    ทำอย่างไร? จึงจะให้พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาเดียวในโลก

    ทำอย่างไร? จึงจะให้ผู้คนในโลกมีรูปร่างสวยงาม ครบถ้วน สมประกอบ ทุกคน

    ทำอย่างไร? จึงจะให้สัตว์ที่เป็นคู่เวรคู่กรรม เช่น พญานาคกับครุฑ กากับนกเค้า แมวกับหนู งูกับพังพอน ฯลฯ มีเมตตาจิต เป็นมิตรกัน
     
  19. zhayun

    zhayun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +425
    ถึงเจ้าของกระทู้

    ขอถามหน่อยว่า คุณปรารถนาพุทธภูมิจริงหรือเปล่า
    ถ้าคุณปรารถนาพุทธภูมิจริง คุณก็ไม่ควรจะคิดฟุ้งซ่านในเรื่องแบบนี้
    คุณควรเอาเวลาไปบำเพ็ญบารมี เพื่อพุทธภูมืดีกว่า
    หรือไม่ก็เอาเวลาไปฝึกกรรมฐานทั้ง40กองดีกว่าที่จะมาฟุ้งซ่านในเรื่องแบบนี้

    พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสว่า เรื่องอจินไตยเนี่ย พระองค์ก็ทรงห้ามแล้วว่าอย่าไปคิด คิดแล้วจะทำให้เป็นบ้าได้ แต่คุณก็ยังจะดื้อยังฝืนคิดอยู่อีก คิดไปคิดมาก็จิตตกเผลอๆก็จะเป็นโรคประสาทอีก

    ถ้าเอาเวลามาฟุ้งซ่านในเรื่องแบบนี้ สู้เอาเวลาไปบำเพ็ญบารมีให้เต็มทั้ง30ทัศ เอาเวลาไปทรงโพธิปักขิยธรรม เอาเวลาไปฝึกกรรมฐาน40กอง และเอาเวลามาฝึกวิปัสสนา ไม่ดีกว่าหรือครับ
     
  20. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ความปรารถนาของท่านย่อมสำเร็จ ด้วยเมตตาบารมีครับ

    พระสุวรรณสามพระโพธิสัตว์ มีจิตที่ทรงเมตตาบารมี ปวงสรรพสัตว์โดยรอบไม่เบียดเบียนกันและกัน ก็สัตว์ทั้งหลายโดยรอบตามปกติเป็นห่วงโซ่อาหารซึ่งกันและกัน แต่ด้วยเมตตาบารมีปวงสัตว์โดยรอบมีความสงบจิตได้

    ให้ทำเมตตาภาวนา จนจิตเมตตาแทนที่ความคิด จนถึงระดับฌาณ 3 แต่ไม่หยุดภาวนา คือ ย้อนภาวนาตั้งแต่อุปจาร ขยายเมตตาให้ไร้ขอบเขต แล้วถึงฌาณ เมื่อใด ก็ย้อนอีก ทำไปเรื่อยๆ สังเกตกำลังเมตตาว่าไปได้แค่ไหน ก็ทำให้ได้เรื่อยๆ จนกว่าจะถึงอนันตจักรวาลอันไร้ประมาณ นั้นคือกำลังพระโพธิสัตว์ครับ

    ผู้มีเมตตาจิต ย่อมยังโลกให้สงบ ระงับคู่เวรอื่นได้ ทำให้สัตว์อื่นสงบตาม มีรูปงามดั่งพรหม ถ้าเมตตาไปถึงไหน ศาสนาในโลกก็จะเป็นศาสนาเดียวกันหมดไม่ว่าเรียกชื่ออะไร ก็ไม่มีการแบ่งศาสนากัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2015

แชร์หน้านี้

Loading...