พุทธภูมิทั้งหลาย ท่านอยู่ไหน ช่วยด้วยเถิด ผมขออาราธนา

ขออนุญาตครับ

พระโพธิ์สัตว์ที่ท่านบารมีสูงๆนั้น ท่านต้องหาเองนะครับ
เพราะท่านไม่มีเวลามาคุย โม้ โอ้ อวด
แต่ท่านจะนำลิ่วๆไปข้างหน้า โดยไม่สนใจสิ่งอื่นๆเลย

ในยุคกึ่งพุทธกาลนี้ ยังคิดจะหวังพึ่ง พุทธภูมิอีกหรือครับ
เพราะ องค์หลวงตาม้าท่านสอนว่า

"พุทธภูมิที่บำเพ็ญบารมีมาครึ่งทาง ยังไม่รู้อะไรมาก"
"ต้องบำเพ็ญบารมีมาเกือบเต็มโน่นละ จึงยังจะพอรู้อะไรบ้าง"

"พุทธภูมิ ต้องไปเรียนรู้ กับพุทธภูมิที่ท่านบารมีสูงๆเท่านั้น จะไปเรียนรู้กับพระอรหันต์ไม่ได้"
"เพราะพระอรหันต์ ท่านสอนได้แต่ทางพ้นทุกข์"

"แล้วพุทธภูมิที่ท่านบารมีสูงๆ จะไปหาที่ไหนกันละ"

(ขออภัยไม่มีเวลาคัดลอก คำอ้างอิง)

ยุคกึ่งพุทธกาล ยุคแห่งภัยพิบัตินี้ ถ้าท่านยังหวังพึ่ง พุทธภูมิที่ท่านบำเพ็ญบารมีมาน้อยๆ
ขอให้เลิกคิดได้ เพราะท่านเหล่านั้น เอาตัวเองยังไม่รอดเลย

ตั้งแต่ยุคโบราณกาลมา เมื่อเกิดภัย เมื่อเกิดกลียุค เกิดสงคราม
เหล่านักบวชต่างก็หนีหายหลบภัยเข้าป่าลึกๆ เพื่อให้พ้นภัย

ไม่เว้นแม้แต่ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ พระเถระผู้ใหญ่ฝ่ายธรรมยุติ

ถ้าไม่หนีก็ขอให้ดูประวัติศาสตรพุทธศาสนาในอินเดียเป็นตัวอย่าง
เอาทหาร เอานักรบมาไล่ฆ่าฟันพระ ฆ่าฟันนักบวช แล้วจะเหลืออะไร

แต่ไม่ต้องตกใจไป เพราะเมื่อโลกเกิดกลียุค เกิดภัยพิบัติ เกิดยุคเข็ญ
พระโพธิ์สัตว์ ๑ ใน ๑๐ ที่ท่านบารมีสูงๆ ที่ท่านได้รับพุทธพยากรแล้ว
ท่านจะลงมาช่วยเหลือมนุษย์เอง

เพียงแต่การลงมาของท่าน ต่างจากที่ชาวพุทธส่วนมากเข้าใจมากนัก
เราอาจจะคุ้นเคยกับนวนิยาย พระโพธิ์สัตว์กวนอิมบ้าง พระโพธิ์สัตว์จี้กงบ้าง
นิยายก็คือนิยาย ที่คนเขียนๆตามความเข้าใจของตนเอง

แต่พระโพธิ์สัตว์องค์จริงๆ องค์ของแท้ กลับแตกต่าง เพราะท่านนั้น ในสายตาคนทั่วๆไป

ดูๆไม่แตกต่างจากสามัญชนคนธรรมดาเท่าไรเลย

ขอให้พิจารนาคำสอนของครูบาอาจารย์ข้างล่าง เอาเอง

สรุป ท่านไม่ต้องไปตามหา พุทธภูมิ ให้เสียเวลา เพราะคนที่ท่านตามหา ช่วยตัวเองยังไม่ได้

ที่ท่านต้องตามหา คือ พระโพธิ์สัตว์ ๑ ใน ๑๐ ที่ท่านบารมีสูงๆ ที่ท่านได้รับพุทธพยากรแล้ว ต่างหาก

ขนาดองค์หลวงตาม้า ท่านยังบอกว่า

"แล้วพุทธภูมิที่ท่านบารมีสูงๆ จะไปหาที่ไหนกันละ"

แล้วยังมีท่านผู้ใดพอจะบอกกันได้บ้าง

ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ
ขอบคุณครับ
ลุงมหา

 

แหมท่านลุงมหา ๑ จะตามหาทำไมกัน เราก็ทำตามท่านสิ ทำมันทุกอย่าง บุญญาบารมีมันก็เกิดขึ้นเองแหละ ไม่ว่าใครแหละ บอกไม่มีบุญ มันต้องสร้างต้องทำขึ้นมาเองสิครับ บุญบารมีมันถึงจะเกิด ก็ในเมื่อ มีมือมีตีน มี ๒๐ นิ้วเหมือนกัน มีอาการ ๓๒ เท่ากัน ก็ทำสิอย่ามัวพูด ไปดู บ้านอื่นคนอื่นอยู่เลย ทำที่นี่ ทำตรงนี้ เดี๋ยวนี้ก้เป็นที่ของเราเอง สักวัน ก้คงเป็นวันของเรา ก็แค่


ยกมือสาธุ ก็ได้แล้ว จะอนุโมทนาสาธุ ฝ่ายดี หรือชั่วละ จะได้กับเขา ๒๐ เปอร์เซ็น แต่ไม่ดีนะ โมทนาสาธุ อย่างเดียว ไม่ดี ต้องทำเอง อย่าไปโมทนาชั่ว ก้แล้วกัน มันทุกอย่างแหละ อย่างไหนมันเป็นบุญเป็นกุศล เอารวมๆเลย ทำตนช่วยเหลือประเทศชาติ พระศาสนา พระมหากษัตย์ ถ้าคนอ่านเข้าใจ มันพูดจบหมดแล้ว หมดแล้วไม่ต้องอธิบาย เอาสมองตัวเอง คิดดีกว่า อย่าให้คนอื่นไปช่วยคิดเลยครับ เพราะหัวข้อใหญ่ บอกให้แล้ว ทำตามกำลังของตน ไม่จำเป็นต้องระดับประเทศหรอกครับ เอาแค่กลุ่มเล็กๆ ของตัวเองหรือไม่ ก้ครอบครัวตัวเองก้ได้ ตามกำลังเรา แค่นี้ บุญใหญ่มหาศาล เกิดขึ้น ใหญ่ สาธุในธรรมครับสวัสดี

 

รู้แค่ไหน เข้าใจแค่นั้น เป็นไปตามบุญวาสนาบารมีครับ

ขออนุญาตครับ

พิจารนาเอาเองบ้างนะครับ

ขอโมทนา ขออนุโมทนา
ลุงมหา

 

สวัสดีครับท่านลุงมหา ๑ ผมว่า ไม่ใช่ ทั้งหมด หรอกครับท่าน ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ผมน่ะ ที่ศึกษามา ก็ได้พบ ทั้ง พระโพธิสัตว์ ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย ทั้งบวชพระ แม้แต่ สัตว์ ก้เคยเจอ และเจอทั้ง พระอริยเจ้า จนถึงพระอรหันต์ ทั้งได้ความรู้ เล็กๆ น้อยๆจาก พระองค์ ท่านเหล่านั้นเสมอมา และหลังยุคกลึ่งพุทธกาลนี้ เป็นหน้าที่เหล่า พระโพธิสัตว์ ลามากอบกู้ ให้พระศาสนา ให้เจริญ รุ่งเรืองสืบไป ให้ครบ ๕,๐๐๐ ปี จะเป็น สาย หลวงปู่ มั่น หลวงพ่อสด หลวงพ่อสังวาลย์ หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุงก็ตาม ล้วนมาจาก สายของพระโพธิสัตว์ ทั้งสิ้น


และข้อสำคัญ พวกพระโพธิสัตว์ ก่อนที่จะมีบารมี ถึงชาติ ท้ายๆ ท่านเหล่านั้น ต้องเรียนรู้อารมย์ พระอริยเจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่ อารมย์ พระโสดาบัน จนไปถึง อารมย์พระอรหันต์ แต่ไม่มีสิทธิ์ ได้ตรัสรู้ เป็นพระอริยเจ้า จนกว่าจะมาตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า แต่ถ้าลา ในสมัยพระพุทธเจ้า พระองค์ใด พระองค์หนึ่งนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ครับท่าน เคารพในธรรม ของทุกๆท่าน เสมอๆครับ

 

ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ พระโพธิ์สัตว์ พระโพธิ์สัตว์ที่ท่านบารมีสูงๆ

ขออนุญาตครับ

ครูบาอาจารย์ที่ท่านเอ่ยนามมานั้น แม้ว่าท่านจะมีบุญบารมีสูงส่ง
แต่ท่านเหล่านั้น ก็ช่วยเหลือพระศาสนาไปได้แค่ สอนศิษย์ให้เข้าถึงธรรมได้ง่ายขึ้นเท่านั้น

แม้แต่องค์หลวงปู่มั่นเอง องค์ท่านก็กล่าวถึงเรื่องพระโพธิ์สัตว์น้อยมากๆ
ส่วนองค์อื่นๆ ท่านบอกเล่าอะไรออกมา กาลเวลาจะเป็นเครื่ิงพิสูจน์เอง

ผมก็บอกก็เล่าให้แล้วว่า ครูบาอาจารย์ของท่านบอกเล่าอะไรไว้ ตัวท่านนั่นละต้องพิจารณา ต้องพิสูจน์เอาเอง

ผมก็เชื่อตามครูบาอาจารย์ของผมที่ท่านบอกเล่าเอาไว้ว่า

"พระโพธิ์สัตว์ที่ท่านบารมีเต็มแล้ว ที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว มี ๑๐ พระองค์"
"พระโพธิ์สัตว์ที่ท่านบารมียังไใม่เต็ม ที่ยังรอรับพุทธพยากรณ์ อีก ๕๐๐ พระองค์"
"ผู้ปรารถนาพุทธภูมิอีกนับไม่ถ้วน"

ในความหมายของครูบาอาจารย์ฝ่ายผมนั้น พระโพธิ์สัตว์ ไม่ได้มีเป็นหมื่นเป็นแสน แต่อย่างไร

กระทั่งองค์หลวงปู่มั่น ที่ถือได้ว่าเป็นปรมาจารย์แห่งยุค ท่านก็ยังช่วยพระศาสนาได้เท่าที่เห็น

ดังนั้นผู้ที่จะช่วยกอบกู้พระศาสนาก็คือ ผู้ที่มีบุญบารมีสูงกว่านั้นครับ
เพราะผู้ที่จะกู้พระศาสนาในยุคกึ่งพุทธกาล ก็คือผู้ที่นะนำจะพา
ทั้งป้องกัน ทั้งแก้ไขภัยพิบัติ

จึงจะเป็นการกอบกู้ จึงจะเป็นการสืบพระศาสนาอย่างแท้จริง

หรือมีท่านผู้ใดเห็นว่า การกอบกู้ การสืบพระศาสนา
แค่การสอนให้คนทำความดี
ส่งเสริมให้พระ สำเร็จเป็นพระอริยะเจ้าเยอะๆ

แล้วจะสู้กับภัยพิบัติด้วยอะไรกันละครับ

ก็เห็นๆกันอยู่ว่า พระอริยะเจ้านั้น ท่านไม่มีบุญบารมีพอจะแก้ไขภัยพิบัติได้
เพราะท่านรู้แต่ธรรมเพื่อความหลุดพ้นเท่านั้น

ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ

ลุงมหา

 

ลุงมหาครับ มันก็ค้านคำสอน ของพระพุทธเจ้าสิครับท่าน และค้านคำสอน ของครูบาอาจารย์รย์ แล้วใครล่ะ มันจะใหญ่ เกินกว่า พระพุทธเจ้าอีกล่ะครับ คนที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ยังช่วยเหลือ ตนเองไม่ได้ ไม่ใช่ผู้สืบพระศาสนา แล้วใครเล่าครับ จะสืบพระศาสนา แหมเล่นเอาผมนี้ ล่ะเหี่ยใจเลย ท่านลุงมหา มหาโพธิสัตว์ มีเป็นแสน ที่รอคิว เป็นพระพุทธจ้า ว่าตามหลวงพ่อ ฤาษี วัดท่าซุง ท่านพูดไว้ ถ้าพระโพธิสัตว์ เป็นแสน ท่านต้องช่วยกันอยู่แล้วครับ แล้วต้องได้รับพุทธพยากรณ์ มาแล้ว แต่ต้อง ได้รับบ่อยๆ หรือผ่านพระพุทธเจ้า หลายพระองค์ แล้ว ที่ท่าน อยู่ในระดับ อุปบารมีอีกเล่าครับไม่รู้เท่าไหร่



ยิ่งบารมีต้น ยิ่งนับถ้วนหรือเปล่า แม้แต่มด ปลวก ยังทำความปราถนา พระโพธิญาณ แต่ผมก็พอจะเข้าใจ บางองค์ ก็ละ ในสมัยพระพุทธเจ้าพระองค์ใด พระองค์หนึ่ง ความรู้ พระอรหันต์แต่ละองค์มีความรู้ ไม่เท่ากัน แต่ ผู้มีบารมีสูง กว่านั้น ก็มีเยอะแยะครับ ในแบบปัจจุบัน ที่ต่างองค์ ต่างมาช่วยกัน แม้หลวงพ่อ ฤาษี วัดท่าซุง ท่านยังรับ ทำหน้าที่ ๆที่องค์พระศรีอริยเมตตรัย ให้ช่วยสั่งสอน บริวารของท่าน ที่เกิดในสมัย ทันหลวงพ่อฤาษี คนที่จะไปเกิด ทันท่านต้องทำตัวอย่างไร ท่านสอนไว้หมดแล้วครับ


ท่านฝากไว้ แม้แต่ ลูกศิษย์ อีกหลายพระองค์ ให้ช่วยสั่งสอนที แม้แต่ หลวงปู่ปาน ท่านก็บอก พระท่านสั่ง ที่หลวงพ่อบอก ตั้งแต่ พระศรีอารย์ลงไป ท่านรับทำหน้าที่หลายอย่าง พระโพธิสัตว์ ทุกพระองค์ ท่านรับช่วยกันหมดทุกๆพระองค์ ผมก็ไม่อยากพูดมากไปกว่านี้ แล้ว แต่พระพุทธเจ้า ได้พยากรณ์ ไว้แล้ว หลังกลึ่ง พุทธกาล ไปแล้ว จะมี พระราชา ธรรมมิกราช พระองค์หนึ่งเป็นใหญ่ กว่ามนุษย์ ทั้งหลาย จะมาช่วยองค์ศานูปถัมภก กับเป็นใหญ่ มีบารมีมาก เรียกว่า พระสหะธรรมมิกราช ฝ่ายนักบวช ทั้งสองพระองค์ จะช่วยกันบำรุงพระศาสนา ของพระตถาคต ให้เจริญ รุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง ทั้งสองพระองค์นี้ เป็นพระโพธิสัตว์ ทั้งคู่ แต่หลวงหลวงพ่อท่านลามาจากพระโพธิสัตว์เพื่อจรรโรงพระศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองอีกครั้งอีกครั้งหนึ่ง


ในส่วนตัวของผมนะ ผมก้ยังไม่เห็นมีใคร ที่สอน สั่ง และมีบารมีมากแบบหลวงพ่อ ฤาษี วัดท่าซุง ที่ลามาจากพุทธภูมิ ๑๖ อสงไขยกำลัยอีกแสนมหากัป และได้ทำตำรา รวบรวมคำสอน ของพระพุทธเจ้า สอนแบบง่ายๆ ไว้ ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา และเป็นกำลังใหญ่ของพระศาสนา และบารมี แบบในหลวง ที่เป็นกษัตย์ ท่านช่วยและเป็นองค์ อุปถัม ทุกๆศาสนาอีกด้วยครับ นี่แค่ดูแบบปัญญาชนครับ บางอย่าง ท่านก็ ปล่อยให้เป็นกฎของกรรมไปครับ แล้วท่านก็สอนเสมอๆ ให้ทาน รักษาศิล เจริญภาวนา นี้เท่านั้น ที่จะรอด พ้นปลอดภัยภิบัติต่างๆได้ ถ้าใครไม่ทำไม่รักษา ก็ตามใจ ทางอื่นไม่มี มีทางนี้เท่านั้น ที่เป็นทางรอดปลอดภัย ถ้าถึงอายุขัย ใครๆก็ช่วยไม่ได้ ทั้งสิ้น ครับ


อนุโมทนาสาธุขอให้เจริญในธรรมครับ

 

แวะเข้ามาอ่านผมดูยังไงพระพุทธศาสนาก็ไม่ได้เสื่อมนะ คนนับถือก็ไม่ได้น้อยลง สิ่งปลูกสร้างถาวรวัสถุก็สร้างกันอย่างต่อเนื่องทุกศาสนา บังเอิญผมอาศัยอยู่ภาคใต้มาทำงานอยู่ที่นั่นกว่ายี่สิบปีแล้ว สิ่งที่ผมเห็นแต่ไม่ได้นับคือวัดวาอารามต่างๆในภาคใต้นี้ผมว่าไม่น้อยกว่าภาคใหน ถ้าเทียบประชากร ผมไปตรงใหนก็มีวัด มัสยิดก็ทั่วไปหมด โบสถ์คริส ของพี่น้องชาวคริสเตียนก็ไม่น้อยเลย

ช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีเวลาว่างมากเหมือนเมื่อตอนก่อน ไม่อย่างนั้นผมจะตะเวณถ่ายรูปมาให้ดูกัน ชาวบ้านนั้นอยู่กันมีความสุขมากเพราะทรัพยากรณ์ธรรมชาติพื้นฐานอุดมสมบูรณ์มาก บางพื้นที่ไม่น่าจะมีพระสงฆ์ก็มีอย่างที่ถ้ำกระแชงอยู่ระหว่างยะลาทางไป อ เบตง เป็นสำนักสงฆ์ที่เกือบจะเป็นวัด อยู่ท่ามกลางหมู่พี่นัองชาวมุสลิม พระก็ไปบิณฑบาตรได้

เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วผมชอบขับรถไปเที่ยวตามหมู่บ้านต่างๆในสามจังหวัดพาครอบครัวไปเห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่แล้วน่ามีความสุขมากพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านอยู่กันดูกลมกลืนระหว่างความเชื่อนับถือเลื่อมใสในของแต่ละศาสนาดูแล้วในตอนนั้นผมมีความสะบายใจมาก แม้ตอนนี้ในส่วนของผม ผมก็ไม่มีความหนักใจอะไรถ้าพูดในแง่ความเสื่อมของศาสนา ถ้าเสื่อมมันต้องไม่มีการก่อสร้างเพิ่มขึ้น นักบวชต้องน้อยลง ตำหรับตำราต่างๆต้องไม่มีคนเผยแพร่

ที่ใกล้ๆหาดใหญ่ถนนลพบุรีราเมศกำลังก่อสร้างมัสยิดที่กว้างขวางใหญ่โตสวยงามมาก และห่างจากสงขลาไม่ไกลติดถนนลพบุรีราเมศอีกเหมือนกันก็กำลังก่อสร้างพุทธมณฑล ขนาดใหญ่โตมาก ถ้าหากว่ากำลังเสื่อมคงไม่มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เรื่องภัยพิบัติที่ตั้งหน้าตั้งตาพูดกันเหมือนกับจะเร่งอยากให้มันเกิดขึ้นจะทำอะไรจะสร้างอะไรก็อ้างป้องกันภัยพิบัติ ถ้าเราจะเปลี่ยนซะจะได้ใหมว่าเราสร้างเราทำ เพราะเราเคารพเลื่อมใสในคำสอนของศาสนา คำว่าศาสนาแปลว่าคำสอน

เราเกิดในเบื้องต้นเป็นลูกของใครในเมื่อพ่อ แม่สอนแบบใหนเราก็ต้องเชื่อแบบนั้นมันเป็นธรรมดา เราเป็นลูกพ่อใหน เราก็ทำตามพ่อนั้น เราเกิดในศาสนาใหนเราก็ต้องเชื่อในศาสนานั้น ก็พ่อแม่เราสอนแบบนั้น ก็มีบ้างที่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นลูกน้องผมเองนี่แหละเปลี่ยนไปเข้าโบสถ์คริสซะสองคน แต่เขาก็ยังมาแอบๆช่วยงานบุญผมเสมอ อีกสามคนไปเข้าอิสลาม คนหนึ่งนี่ลูกศิษย์ใกล้ชิดชนิดเทกระโถนให้อาจารย์เลยละ นั่งทำงานกับอาจารย์พุทธภูมิของมันนี่แหละ ถามเขาว่าเป็นไงถึงเข้าอิสลาม ความจริงผมรู้มาก่อนแล้ว มันทำหน้าละห้อยเหมือนจะเอ่ยปากขอน้องสาวเมีย บอกโธ่อาจารย์จะไม่ให้ผมไปเข้าได้ไง ก็ลูกสาวอิสลามสวยมากกระชากหัวใจปานนั้นเลยต้องไปดูแลคลุ้มครองความปลอดภัยให้เขา เขาถามผมว่าอาจารย์จะว่าอะไรไม๊ถ้าจะไปเข้าอิสลาม

ผมก็บอกว่าผมไม่ว่า แต่ถ้าจะให้ดีสมกับที่อยู่กับอาจารย์ต้องมีความสามารถ ดูแลเมียให้ได้ดีครบสี่คนตามหลักศาสนาของเขานะ แหมอีทีนี้มันเข้ามากอดอาจารย์แล้ววิ่งอ้าวไปเลยอย่างกับปลากระดี่ได้น้ำ แล้วมันคงนึกได้มั้งหันกลับมาตะโกนบอกเดี๋ยวผมจะพามาไหว้อาจารย์ แล้วก็วิ่งอ้าวหายไปเลย เป็นอันว่าวันนั้นไม่ต้องได้กินข้าวกลางวันมื้อเที่ยงเพราะทุกทีจะฝากให้ซื้อมาให้ วันนี้รีบวิ่งไปบอกเมียก่อนลืมอาจาร์ตัวเองเลยละ นี่เห็นหรือยังว่าไม่เห็นว่าไม่เห็นจะต้องอ้างเรื่องภัยพิบัติที่ใครก็ไม่ยืนยันว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร รู้จริงแน่นะว่าจะมีภัยพิบัติ ถ้าจะมีเกิดขึ้นจริงแสดงว่าหูตาผมนี่มันฝ้าฟางมาก ปรารถนาพุทธภูมิประสาอะไรไม่รู้เรื่องไม่รู้ประสาอะไรกับเขาเลย ไล่ให้ไปเลี้ยงควายซะดีมั้ง

เดี๋ยวค่อยมาต่อ

 

แหมๆตอบได้ดีทีเดียวน่ะเนี่ย ผมเลยมาต่อก่อนครับ พี่ แหมไอ้เราก็ต่างคนต่างแก่กันแล้ว มันจะตายห่า ก้ช่างแม่มันเถอะนะ มันจะตายนี่ ห้ามมันไม่ได้ดอก อะไรจะเกิด ก้ให้มันเกิด อะไรไม่เกิด ก็คงไม่เกิด ปัญหามีไว้แก้ ไม่มีไว้มัดอย่างเดียว ฮ่าๆๆๆฮ้าๆๆๆๆๆๆๆๆ

 

เคยได้รับคำบอกเล่าจากคนคนหนึ่ง ปัจจุบันบวชเป็นพระแล้ว บอกว่าหลังสงครามโลกและภัยพิบัติ พระยาธรรมมิกราชจะออกมา ท่านรูปร่างสูงใหญ่กว่าคนธรรมดา มีอุณาโลมที่หน้าผาก เมื่อออกมาแล้วทุกคนจะหันมานับถือพุทธศาสนากันทั้งหมด

 

5555ก็ว่าไปนั่นหัวหน้าพร้อมเดียวเพื่อนเพื่อนก็โผล่เองละ

 

เห็นด้วยนะกับข้อความนี้

มันจะเหมือนคนไปเห็นศาลาสองไร่ บวก ศาลาสี่ไร่ บวก ศาลาสิบสองไร่วัดท่าซุงแล้วก็ร้องจ๊าก ว่าจะถูทำความสะอาดได้ยังไงมันมากมายกว้างใหญ่ขนาดนั้น ก็เลยไม่ถูทำความสะอาดแล้วเอาแต่ครวญเพลงชายเมืองสิงห์หงิงๆ ก็โถพ่อมหาจำเริญพ่อก็ลองค่อยๆทำกันเบาๆ อย่าทำแรงเดี๋ยวเป็นลมตายซะก่อน แค่มีไม้กวาดหนึ่งอัน น้ำหนึ่งถัง ผ้าหนึ่งผืน กวาดไปทีละน้อย ถูไปทีละคืบทีละศอก มันได้แค่ใหนเอาแค่นั้น การที่จะไปรอว่าพี่ทิศนั่น พี่ทิศนี่มาช่วยนี่แหมมันดูชอบกล แล้วทุกคนที่รักความสะอาดยืนหัวโด่ทำเท่อยู่ทำไม ถ้ามันไม่เข้าท่าก็ช่วยกันถูเข้าไปเห็นตรงใหนไม่ดี ก็ลงมือทำให้มันดี ก็หมดเรื่องกัน

 

เอามาย้ำให้ดูกันอีกที การที่จะไปร้องแรกแหกกะเฌอหาคนนั้นคนนี้ มาอย่างนั้นอย่างนี้ ให้มาเหมือนกับว่าให้มาบันดารสิ่งต่างๆที่ปราถนาให้ จะหาว่าขัดคอก็ไม่เป็นไรนะ บางคนอ้างถึงแต่สิ่งที่ยังมองไม่เห็น ที่อาจจะมีในอนาคต แต่ว่ายังอีกไกล ยังมาไม่ถึง บ้างก็อ้างถึงต้องมีผู้บารมีสูงบ้างอะไรบ้างมาช่วย แต่ก็ไม่รู้จะไปหาที่ใหนผู้ที่บารมีสูงนี่ บังเอิญว่าผมมีวาสนาได้มาพบคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงเรื่องบารมี จึงได้เข้าใจคำว่าบารมี ผมไม่เห็นว่ามันจะมีอะไร บารมีแปลว่ากำลังใจ คำว่ากำลังใจใครก็สามารถมีกำลังใจสูงได้ไม่เห็นแปลก

แต่ถ้าหากต้องการท่านที่สั่งสมบุญญาธิการมายาวนานมากหรือสูงมากจะเอามากขนาดใหน

แล้วร่มโพธิแก้วโพธิทองสุดประเสริฐพระองค์ปัจจุบันที่อยู่เหนือหัว ลอยพระองค์อยู่ตรงหน้านี่แล้วที่สั่งสมบุญญาธิการมานานหนักหนา รวมแล้วเกินกว่าแปดสิบอสงไขย์ เฉพาะได้รับพุทธพยากรณ์มาแล้วก็เกินสิบหกอสงไขย์กำไรอีกแสนกัปป์ สั่งสมมานานมากขนาดนี้ พระบารมีมากขนาดนี้ อย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทย วิริยาธิกะพิเศษพุทธภูมิ นี่พอไม๊ที่คุ้มครองพวกเรา

จากเว็บพระรัตนตรัย

ในชาติปัจจุบัน ของ พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า (พระบาทสมเด็จภูมิพลอดุลยเดชมหาราช)

หลวงพ่อเคยถวายพระพรไว้ ณ พระตำหนักภุพิงค์ราชนิเวศน์ เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๒๐ ในตอนหนึ่งที่พระองค์ทรงตรัสถามหลวงพ่อว่า

"เขาพูดกันว่าผมปรารถนาพุทธภูมิเป็นความจริงไหมครับ..?"

หลวงพ่อถวายพระพรว่า...เรื่องปรารถนาพุทธภูมินี่ พระองค์ปรารถนามานาน..แต่เวลานี้บารมีเป็น"ปรมัตถบารมี" แล้ว ก็เหลืออีก ๕ ชาติ และที่พระองค์ปฏิบัติมามันเลยแล้ว..ไม่ใช่ไม่สำเร็จ..!

"พุทธภูมิ" นี่ต้องบำเพ็ญกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์เป็น "วิริยาธิกะ" วิริยาธิกะนี่..ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป นี่บำเพ็ญมาเกิน ๑๖ อสงไขยแล้ว "แสนกัป" อาจยังไม่ครบ จึงต้องเกิดอีก ๕ ชาติ"

ในขณะนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้ตรัสถามหลวงพ่อว่า "พระเจ้าอยู่หัวก็ดี หม่อมฉันก็ดี ก็มีความเคารพในพระคุณพระราชวงศ์จักรีอยู่ตลอดเวลา ที่ท่านจะทรงสามารถจะทรงความเป็นเอกราชไว้ได้ ก็อยากจะทราบว่าทั้งสององค์นี่..จะทรงชาติกับศาสนาไว้ได้ไหม..? "

หลวงพ่อถวายพระพรว่า "ก็ได้..ประเทศเราไม่มีเกณฑ์จะต้องตกเป็นเหยื่อคอมมิวนิสต์"
แล้วพระองค์ก็ตรัสถามอีกว่า "ฉันทั้งสององค์นี่ ทั้งพระเจ้าอยู่หัวด้วยและฉันด้วย จะต้องตายเพราะการที่เขามุ่งจะห่าไหม..? "


พอตรัสถามตรงนี้ หลวงพ่อท่านบอกว่าพระดลใจให้ตอบว่าดังนี้..

"ก็เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่ เป็นนักรบฝีมือดีมาจากสุโขทัย และมาเกิดคราวนี้ ต้องการจะเกิดเพื่อจรรโลงให้คงอยู่ให้ชาติมีความร่มเย็นเป็นสุข แล้วเรื่องอะไร..ที่ต้องตายเพราะคมอาวุธล่ะ..ถ้าจะเจ็บตายเองเป็นเรื่องธรรมดา และต้องตายด้วยเรื่อง "คมอาวุธ" อันนี้ไม่มี..!"

สรุป..ในหลวงเกิดเป็นพระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ในสมัยสุวรรณภูมิ และเกิดเป็นพระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า ในสมัยเชียงแสน ปรารถนา พุทธภูมิ ประเภท วิริยาธิกะ ตอนนี้บารมีใก้ลเต็ม และต้องเกิดสร้างบารมีอีก ๕ ชาติ

ขอบคุณที่มา : หนังสือธัมมวิโมกข์ หน้า ๙๒ ถึง ๙๕ ฉบับที่ ๒๑๒ ประจำเดือน พฤศจิกายน ๒๕๔๑...อดีตชาติในหลวงของเรา permalink

จากเว็บ พระรัตนตรัย

.....ในหลวงเคยเกิดเป็น พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า และ พระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า และเคยเกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าตวันอธิราช และพระเจ้าพรหมมหาราช ("พระเจ้าตวันอธิราช" ไปเกิดเป็น "พระเจ้าพรหมมหาราช") ทั้ง ๒ ครั้ง ดังนี้

พ.ศ. ๒๔๖ สมัยสุวรรณภูมิ ในหลวงเกิดเป็นพระราชโอรสองค์แรก ของ พระเจ้าตวันอธิราช มีพระนามว่า พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า

พ.ศ. ๙๐๐ สมัยเชียงแสน พระเจ้าตวันอธิราช เกิดเป็น "พระเจ้าพรหมมหาราช" ส่วนพระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ตามไปเกิดเป็นพระราชโอรสองค์แรกนามว่า "พระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า" แต่สิ้นพระชนม์ในสมัยทรงพระเยาว์ พระราชสมบัติจึงตกแก่พระโอรสองค์รองคือ "พระเจ้าชัยสิริ" (หลวงปู่ธรรมชัย) ซึ่งเป็นต้นราชวงศ์จักรี สืบสันติวงศ์ถึงปัจจุบัน พระเจ้าพรหมมหาราช มีพระเชษฐาคือ "พระเจ้าทุกขิตะ" (หลวงปู่คำแสนเล็ก วัดดอนมูล)

ย้อนกลับมาสมัยสุวรรณภูมิ พ.ศ.๒๔๖ พระโพธิสัตว์ทั้ง ๒ พระองค์นี้ได้บำเพ็ญบารมีร่วมกัน (พ่อ-ลูก) พระเจ้าตวันอธิราช กษัตริย์ผู้ครองกรุงสุวรรณภูมินี้ ได้วางรากฐานการสร้างพระบารมีไว้ให้พระราชโอรสของพระองค์ ในฐานะที่จะทรงเป็นกษัตริย์ต่อไปภายภาคหน้า อาทิ

- การสร้างบ้านแปลงเมืองให้เจริญรุ่งเรือง ปรับปรุงกองทัพให้เข้มแข็ง ส่งเสริมอาชีพของราษฏร โรงพยาบาลเพื่อสงเคราะห์พสกนิกร ฯลฯ

- ด้านพระพุทธศาสนา ได้โปรดสร้างวัด โรงเรียนปริยัติธรรมสำหรับพระภิกษุสามเณร โดยมี พระโสณะ กับ พระอุตตระ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ มีการมอบ "พัศยศ" สำหรับผู้สอบบาลีได้

- ต่อมาก็มีการแต่งตั้งพระสงฆ์ไทยขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระองค์แรกของเมืองไทย จนได้สืบต่อวัฒนธรรมประเพณีต่าง ๆ มาจนถึงบัดนี้

- อีกทั้งพระองค์ได้เสด็จประพาสไปยังนานาประเทศ ทั้งประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง และที่อยู่ห่างไกลออกไป ส่วนภายในประเทศอาณาเขตของพระองค์ ก็เสด็จเยี่ยมเยือนไปตามหัวเมืองต่าง ๆ อีกด้วย

- พระราชจริยวัตรของพระเจ้าตวันอธิราชนี้ มีลักษณะที่ทรงปฏิบัติคล้ายกับพระราชจริยวัตรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวของพระเจ้ากรุงสยามทุกประการ

- ฉะนั้น ขนบธรรมเนียมประเพณีในด้านพระศาสนา เช่น พิธีกวนข้าวทิพย์ การสวดมนต์ หรือ พิธีการนิมนต์พระไปเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้าน ตลอดถึงพิธีกรรมต่าง ๆ ตามโบราณราชประเพณี เรามีการสืบทอดวัฒนธรรมอันเป็นมรดกมานานนับพันปี

(ทั้งหมดนี้เป็นรากฐานที่พระเจ้าตวันอธิราช วางไว้ให้พระราชโอรสคือ พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ทั้ง ๒ พระองค์ต่างก็เป็นพระโพธิสัตว์ที่บารมีเข้มข้น)
ต่อมา...หลังจากพระเจ้าเดือนเด่นฟ้าได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ก็ทรงมีพระราชหฤทัยที่ดำเนินรอยตามพระยุคคลบาทของสมเด็จพระราชบิดา ในฐานะที่พระองค์ก็ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เช่นเดียวกัน และก่อนที่ พระโสณะ จะนิพพาน ก็ยังได้พยากรณ์ไว้อีกว่า

"พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า จะมาเกิดที่ "กรุงเทพมหานคร" เมื่อนั้น "สุวรรณภูมิ" จะฟื้นชื่อมีคนรู้ทั่ว..."

- สอดคล้องกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม องค์ปัจจุบันที่ได้ทรงตรัสพยากรณ์ไว้ดังนี้

"ดูก่อนอานนท์..ตถาคตสงสารสัตว์เป็นล้นพ้น ที่มีอายุขัยอยู่ใกล้ยุคกึ่งสมัย คือในหลังพุทธกาลนี้ แต่ในเวลานั้น จะมี "พระมหากษัตริย์ธรรมิกราช" ผู้เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งจะเกิดภายในอุปถัมภ์ของ "พระมหาเถระโพธิสัตว์"

- พระโพธิสัตว์สองพระองค์นั้น จะเสด็จเข้ามาบำรุงพระพุทธศาสนาของตถาคต สมณชีพราหมณ์จะตามเสด็จเป็นอันมาก ในระยะนี้จะเป็นยุค "ชาวศรีวิไล" ดังนี้

(หลักฐานหนึ่ง ทางด้านโบราณวัตถุได้แก่ กระเบื้องจาร ที่ขุดได้จาก ซากเมือง คูบัว จ.ราชบุรี ก็ได้ยืนยันว่า พ่อกับลูกคู่นี้ ทรงเป็นหน่อเนื้อพระบรมพงศ์พระโพธิสัตว์ทั้งสองพระองค์ ได้ตั้งความปรารถนา "พุทธภูมิ"
วิริยาธิกะ คือจะต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า ใช้เวลา ๑๖ อสงไขย กับแสนกัปล์ จึงจะบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ)

 

..ทิ้งขยะเป็นที่ แยกประเภท ประหยัด ไม่ใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลื้อง งดเหล้าเข้าพรรษาตลอดจนงดขาดไม่ดื่มอีกเลย เป็นคนดีไม่ทำผิด มีกรุณาต่อกัน สงสารให้การช่วยเหลือต่อกัน หรือ แค่คิดจะทำในสิ่งดี หรือ แค่คิดจะปรารถนาแบบนี้ และกระทำอยู่เพื่อให้สมดังที่คิดปรารถนาแบบนี้.. ลดโลกร้อนไปเยอะ (โพธิสัตว์องค์น้อย)
คิดใหญ่อย่าลืมคิดเล็ก

 

เห็นด้วยอย่างยิ่งแค่สิ่งที่พูดนี่ใครทำได้อย่างที่ว่านี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก การจะคิดเรื่องใหญ่แล้วก็ไม่ควรลืมเรื่องเล็ก

 

"พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า จะมาเกิดที่ "กรุงเทพมหานคร" เมื่อนั้น "สุวรรณภูมิ" จะฟื้นชื่อมีคนรู้ทั่ว..."

- สอดคล้องกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม องค์ปัจจุบันที่ได้ทรงตรัสพยากรณ์ไว้ดังนี้

"ดูก่อนอานนท์..ตถาคตสงสารสัตว์เป็นล้นพ้น ที่มีอายุขัยอยู่ใกล้ยุคกึ่งสมัย คือในหลังพุทธกาลนี้ แต่ในเวลานั้น จะมี "พระมหากษัตริย์ธรรมิกราช" ผู้เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งจะเกิดภายในอุปถัมภ์ของ "พระมหาเถระโพธิสัตว์"

- พระโพธิสัตว์สองพระองค์นั้น จะเสด็จเข้ามาบำรุงพระพุทธศาสนาของตถาคต สมณชีพราหมณ์จะตามเสด็จเป็นอันมาก ในระยะนี้จะเป็นยุค "ชาวศรีวิไล" ดังนี้

(หลักฐานหนึ่ง ทางด้านโบราณวัตถุได้แก่ กระเบื้องจาร ที่ขุดได้จาก ซากเมือง คูบัว จ.ราชบุรี ก็ได้ยืนยันว่า พ่อกับลูกคู่นี้ ทรงเป็นหน่อเนื้อพระบรมพงศ์พระโพธิสัตว์ทั้งสองพระองค์ ได้ตั้งความปรารถนา "พุทธภูมิ"
วิริยาธิกะ คือจะต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า ใช้เวลา ๑๖ อสงไขย กับแสนกัปล์ จึงจะบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ)





อนุโมทนาสาธุครับ พี่พีทีโอ ขอเสริม เรื่องเล็กๆน้อยนะครับ เป็นความเชื่อ ส่วนบุคคล แล้วแต่ ใครจะคิด หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ท่านเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าท่านไม่ลาพุทธภูมิ ท่านจะเกิดอีก อย่างน้อย ๖-๗ชาติ บารมีจะเต็ม แต่ท่านลามาช่วยกอบกู้ พระศาสนา ให้เจริญ รุ่งเรือง ครบ ห้าพันปี ๕,๐๐๐ ปี ในเมื่อชาตินี้ ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ติดต่อกัน ถึง ๖ ครั้ง ถ้าจำผิดขออภัย ถ้าลามาช่วย พระศาสนา บารมีมันเกิน สาวกไปนานแล้ว แต่ถ้าไม่ลา นับต่อ จาก พระศรีอารย์ไป ก็ผ่านพระพุทธเจ้าไปอีก เป็นองค์ ที่ ๒๒ ถ้านับพระศรีอริยเมตตรัยด้วย เป็นองค์ที่ ๒๓ ครับ อันนี้ แล้วแต่ท่านจะพิจรณา


ส่วนในหลวง ท่านกล่าวว่า ถ้าไม่ลาพุทธภูมิ นับจากพระศรีอารย์ ไป เป็นองค์ที่ ๑๗ ตรัสรู้ก่อนหลวงพ่อ ท่านเคยพูดไว้ ว่า ถ้าท่านไม่บวชเป็นพระ ท่านจะต้อง ลงไปกราบ ในหลวงเลย นี่เป็นคำกล่าวของท่านครับ )( และเป็นความคิดเห็นของผม) ผมออกความคิดเห็นส่วนตัวนิดหนึ่ง ว่า ถ้าพุทธภูมิ ขยันเกิดขยันตาย ลงมาแข่งสร้างบารมี การ ต่อคิว อาจ ย่น เลื่อน แซงคิวองค์อื่นก็ได้นะครับ นี่แค่ความคิดของผมไม่เกี่ยวกับใครครับ


การพูดไม่ได้ประโยชน์เท่าใดนัก สู้การกระทำไม่ได้ แน่นอนกว่า บารมีก็จะเกิดกับบุคคลนั้นๆครับ การพูดนั้นอาจจะมีโทษ หรือ บุญก็ได้ เช่นเดียนกัน ผมเคยไปอยู่ถ้ำ ตะเพินคี่ หมู่บ้านกระเหรี่ยง ตอนนั้นผมบวชเณร โข่ง วันหนึ่ง ผมจะ ต้มถ่ำดำ ถวายพระและ กินเอง และแบ่งเลี้ยงหมา กับทายก ไฮสง กระเหรี่ยงไทย ผมเริ่ม ขั้วถั่วดำ เมื่อสุก เอาไปต้ม น้ำ ใส่น้ำตาล อีกที ตอนนั้นตี ๕ ยังมืดอยู่ ผมอยู่กับ หลวงตาองคืหนึ่ง แกทำเคยทำบุยเป็นหมื่น เป็นแสนบาท แต่วันนั้น แกด่าว่า ผมเสียมากมาย เรื่อง เอาไฟฉายไป ส่องต้ม ถั่วดำ หาว่าเปืองไฟบ้าง อยู่ไกลบ้าง มันแพงบ้าง แกอ้างสารพัด ไอ้เราก็คิด เราทำประโยชน์ไม่ใช่ ใช้ส่วนตัว แค่เล็กๆน้อย ทำกายเป็นเรื่องใหญ่โตมากมายถึงเพียงนั้น ทั้งๆของเราก็ไปหาบมาจากข้างล่าง ปรกติเรื่องแบบนี้ ผมไมยอมง่ายๆอยู่แล้ว แต่วันนั้น ใจมันเย็น สบายไม่โต้ตอบ ถ้าเป็นคนเลือดร้อน อาจถึงชกต่อยก็ได้ เพราะท่านว่ารุนแรงพอสมควร ที่ไม่พูดอีกเยอะครับ


ปรากฎ ว่า เมื่อผมทำเสร็จ ผมตักไปถวายท่าน ๑ ถ้วยปิ่นโต ผม ๑ ถ้วย หมา ๑ ถ้วย ทายก ๑ ถ้วย ปรากฎ ว่า วันนั้น หม้อ ที่ต้ม ถั่วดำ ยุบแหว่ง นิดเดียว แค่ลอยทับพี ที่ตักเท่านั้น ผมคิดว่า นี่คือ ที่เราอด กลั้น ไม่โต้ตอบ พระหลวงตา มันจึงเกิด เป็นบุญ และความอดทน ท่านจึง ช่วยสงเคราะ และเสริมสร้างบารมี ให้เห็น อัศจรรย์ โดยการตัก ถั่วดำ แหว่งนิดเดียว วันนั้น ทำให้ผมมีความสุขมากๆครับ นี่ ก็เข้า ในหัวข้อ หรือของ พี่พีทีโอ และคุณ ๕๘ แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็อย่ามอง ข้าม แม้เงิน ๑ บาท ต้องมองความสำคัญเสมอๆครับ คนเรา ส่วนใหญ่ มองแต่เรื่องใหญ่ ๆ ไม่ได้มองเรื่องเล็กๆ ที่ฆ่ากัน ตายหรือ ทะเลาะกัน เรื่องใหญ่ๆไม่เป็นไร ชอบเรื่องเล็กๆนี่แหละ ทุกวันนี้ สังเกตุดูได้ครับ นี่คือ ประสบการณ์ จริง จึงเล่ามา ให้ฟัง เป็นอุทาหรณ์ เรื่องที่เกิด ปี ๓๕-๓๖ ยังมีอีกเยอะที่เจอ กัยตัวเองมา แค่นี้ก่อนครับสวัสดี