พระเครื่อง พระกรุ นิยม

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย พลังชาตรี 13, 5 กรกฎาคม 2011.

  1. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    วิธีใช้วัตถุมงคลของหลวงปู่ให้เกิดผลตามที่ปรารถนาได้อย่างรวดเร็ว

    การที่มีวัตถุมงคลของหลวงปู่ทิมท่านติดตัวแล้ว วัตถุมงคลของท่านจะคุ้มครองหรือบันดาลให้เกิดผลตามที่ปรารถนาได้อย่างรวดเร็วตามต้องการหรือไม่นั้น ต้องประกอบด้วยเงื่อนไขที่หลวงปู่ทิมท่านมักสอนให้ประพฤติปฏิบัติตนเสมอด้วยหลักธรรม ดังนี้

    ต้องมีศรัทธาแน่วแน่ จริงจัง ไม่มีวิกิจฉา (ข้อสงสัย) หรือใจโลเล เหมือนหัวเต่าที่ผลุบเข้าผลุบออกอยู่เสมอ ความเชื่อมั่นอันนี้จะส่งผลให้เกิดพลังอันแก่กล้าเชื่อมต่อไปหาวัตถุมงคลของท่านได้อย่างรวดเร็ว
    ต้องมีศีลห้า เพราะศีลห้าเป็นเครื่องป้องกันภัยได้ดีที่สุด แม้จะประพฤติปฏิบัติได้ไม่ครบ ก็ขอให้ถือได้มากที่สุด เพราะเป็นการทำให้พลังจิตที่มอยู่ในวัตถุมงคลนั้นมีอำนาจพลานุภาพมากขึ้น
    ต้องมีสัจจะ เพราะหลวงปู่รักษาสัจจะยิ่งกว่าชีวิต แม้ช่วงท่านป่วยเข้าโรงพยาบาลท่านก็ยังฉันเจ ดังนั้นเมื่อมีพระของท่านก็ควรที่จะรักษาสัจจะ เพื่อที่จะได้เสริมพลังในวัตถุมงคลของท่าน
    ควรหมั่นทำทาน เพื่อเพิ่มทานบารมีเพราะการให้ทานและแบ่งปันให้กับผู้อื่นนั้น โดยเฉพาะกับผู้ที่กำลังเดือดร้อนจะทำให้เกิดบารมีในตัว
    มีคำพูดคำจาที่ไพเราะ มีสัมมาคารวะ ให้เป็นหลักแห่งความเมตตาเบื้องต้น
    ให้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเองและผู้อื่น ให้เป็นหลังแห่งอำนาจในตัวเอง
    ให้เป็นคนอ่อนน้อม ถ่อมตน และเสมอต้นเสมอปลาย พร้อมหลักเมตตาธรรม เพราะหลวงปู่บอกว่าเมื่อมีหลักเมตตาธรรมติดตัวแล้วผู้ที่มีพระเครื่องของท่านติดตัว ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีอาวุธมาตกต้องถึงตัว เพราะคนเรานั้นเมื่อเขามีเมตตาเสียแล้ว ย่อมไม่คิดทำร้ายใคร ส่วนอุบัติเหตุนั้นเป็นเรื่องของความไม่ประมาท แต่หากเกิดขึ้นด้วยความไม่ตั้งใจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว พระท่านก็จะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้

    ถ้าจะหวังผลทางโชคลาภ ร่ำรวย ก็ให้ประพฤติปฏิบัติดังนี้

    ๑. ต้องมีความขยันหมั่นเพียร
    ๒. เมื่อหาทรัพย์ได้ทรัพย์มาแล้ว ต้องรู้จักรักษาทรัพย์นั้นไว้ด้วยความประหยัด ตัดความฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ
    ๓. คบเพื่อนดี อย่าคบคนพาลเป็นเพื่อน เพราะคนพาลย่อมชอบนำทางเราไปในทางอบาย เสียหาย
    ๔. ใช้ชีวิตเหมาะสมตามฐานะของตนเอง อย่าฟุ้งเฟ้อ

    เมื่อทำได้ตามที่บอกแล้วนี้ พระท่านก็จะช่วยให้มีความอุดมสมบูรณืและศักดืสิทธิ์มากขึ้นเป็นทวีคูณ แต่หากว่าเราเห็นผลช้าก็อย่าไปคิดน้อยใจหรือท้อถอยว่าท่านไม่ช่วย ให้จงระลึกว่าคนเรามีกรรมเก่าต่างกันออกไป ซึ่งกรรมนั้นก็จะให้ผลดีมากน้อย ช้าเร็วต่างกันอย่าไปมองว่าคนอื่นที่ทำชั่วแล้วได้ผลดีเป็นอันขาด เพราะเป็นการผิดหลักกฎแห่งกรรม
    หลวงปู่สอนว่า ผู้ใดยึดถือพระเครื่องในแบบวัตถุนิยมที่ว่า แขวนพระแล้วไม่ต้องขวนขวายทำดีนักก็ได้ เพราะพระย่อมคุ้มครองอยู่แล้ว โดยธรรมของพระนั้นเป็นความเชื่อที่โง่และหลงผิด “พระไม่เคยช่วยคนเกียจคร้านและคนชั่วเลย เหตุแต่ว่าเขายังอยู่ได้เพราะกรรมกุศล กรรมเก่าของเขายังหล่อเลี้ยงอยู่ได้”
    นอกจากนั้นท่านยังได้บอกถึงเคล็ดลับในการอาราธนาพระเครื่องหรือวัตถุมงคลของท่านไว้ดังนี้ ซึ่งในตอนนี้จะบอกเกี่ยวกับคาถาอาราธนาที่เป็นของท่าน ซึ่งคณะผู้เขียนได้นำมาสอบทานกับบันทึกที่เป็นลายมือของโยมสาย แก้วสว่าง ที่เป็นศิษย์ใกล้ชิดของหลวงปู่แล้วพบว่ามีข้อความตรงกัน ดังนี้

    บูชาหลวงปู่ทิม นะโม 3 จบ

    อะระหังสัมมาสัมพุทโธ นะชาลีติ อะนัตตา อะกุสะลาธัมมา นะโมพุทธายะฯ

    อาราธนาพระเครื่อง ตะกรุด ลูกอม และวัตถุมงคลต่างๆ ของหลวงปู่ฯ ให้ว่า นะโม ๓ จบ แล้วว่า

    พุทธัง รัตนานัง อานุภาเวนะ กุเลมาโส โสมาเลกุ ลึงกะระนัง
    ธัมมัง รัตนานัง อานุภาเวนะ กุเลมาโส โสมาเลกุ ลึงกะระนัง
    สังฆัง รัตนานัง อานุภาเวนะ กุเล มาโส สมาเลกุ ลึงกะระนังฯ

    ซึ่งบทบูชาและอาราธนาดังกล่าวเป็นชองเก่าที่สืบทอดมาจากที่หลวงปู่ทิม ท่านมอบให้ลูกศิษย์ที่ท่านได้ประสิทธิ์ประสาทวัตถุมงคลจากมือท่านให้โดยตรง ซึ่งบทคาถาอาจต่างจากที่ท่านผู้อ่านอาจจะได้อ่านพบจากนิตยสารพระเครื่องอื่นๆ มามาก แต่ทางคณะผู้เขียนก็ยินดีนำมาเผยแพร่ เพื่อให้สามารถสื่อถึงพลานุภาพของวัตถุมงคลของหลวงปู่ทิม อิสริโก ได้สมบูรณ์แบบต่อไปในวันข้างหน้าสืบไป

    บทความนี้ผมคัดลอกบางส่วนมาจากหนังสือลานโพธื์ ฉบับที่ ๑o๗๘ (ขออนุญาติท่านเจ้าของหนังสือและผู้เขียนมาณที่นีด้วย) เห็นว่ามีประโยชน์กับทุกคนที่ต้องการปฎิบัติให้ถูกต้อง
    เคยแนาะนำไปครั้งหนึ่งแล้วสำหรับหนังสือลานโพธิ์ ยังมีอะไรดีๆอีกเยาะ ลองหาอ่านกันดู
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2012
  2. sarloasarlea

    sarloasarlea สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +16
    Pm ราคาเหรียญหลวงพ่อโสธรปี14หน่อยครับขอบพระคุณครับ
     
  3. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    หลวงพ่อสงฆ์ จันทสโร


    วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย

    rosebar-2.gif
    เมื่อธุดงค์มาถึงบ้านปลายคลองน้อย อ. สวี ซึ่งยังคงเป็นป่าเขา มีบ้านเรือนตั้งอยู่เพียงแค่ไม่กี่หลังยังมิสู้เจริญนัก เมื่อท่านเห็นว่ามีหมู่บ้านตั้งอยู่ข้างหน้าจึงคิดที่จะหยุดพัก จึงเข้าไปปักกลดอยู่ในราวป่าใกล้ ๆ หมู่บ้าน
    ครั้นพอรุ่งเช้าต่อมา ท่านก็ออกเดินบิณฑบาต เข้าไปในหมู่บ้านแต่ปรากฏว่ามิมีผู้ใดถวายบิณฑบาตเลย เช้านั้นท่านเลยไม่ได้ฉันอาหารเลย ท่านคิดว่าชาวบ้านคงจะไม่ทราบว่ามีพระธุดงค์มาบิณฑบาตจึงไม่มีผู้ใดเตรียมอาหารได้ทัน แต่พอรุ่งเช้าถัดมา เมื่อท่านเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านอีก คราวนี้พอชาวบ้านเห็นพระธุดงค์เดินอุ้มบาตรเข้ามาก็พากันเข้าบ้านเปิดประตูเสียราวกับว่าพระธุดงค์นั้นเป็นสิ่งไม่พึงปรารถนาของพวกเขาทั้งหลาย ทำให้วันนั้นท่านมิได้ฉันอาหารอีกเป็นวันที่สอง
    เมื่อเห็นอากัปกิริยาของชาวบ้านเช่นนั้น ทำให้ท่านตั้งใจว่าจะต้องทำให้ชาวบ้านได้ทำบุญให้ได้ เพื่อตนจะได้ฉันอาหารและเพื่อตนจะได้แสดงธรรมให้ชาวบ้านได้รับธรรมเข้าไปในจิตใจ และปรากฏว่าเหตุการณ์ก็ยังเป็นเช่นเดิม อยู่ถึง 6 วัน ซึ่งหมายความว่า ท่านก็มิได้ฉันอาหารเลยทั้ง 6 วัน ดังกับว่าเป็นการทดลองจิตและสมาธิความตั้งใจของท่านว่ามีความแน่วแน่อดทนเพียงใด
    พอเช้าวันที่ 7 ท่านก็พาร่างกายอันอิดโรยเข้าไปบิณฑบาตอีก เช่นเดิม ปรากฏว่าเช้านี้ ได้มีชาวบ้านผู้หนึ่งถวายข้าวสวยสุกมาสามช้อนทัพพี และเมื่อท่านกลับมาถึงกลดก็ลงมือฉันข้าวสวยสุกนั้นและปรากฏว่าพอข้าวคำแรกตกถึงกระเพาะ ท่านก็มีอาการหน้ามืดและสลบไปจวบจนบ่ายแก่ ๆ ก็ฟื้นขึ้นมา
    พอเช้าวันถัดมา พอออกบิณฑบาต ปรากฏว่าคราวนี้มีชาวบ้านทำบุญตักบาตรกันแทบทุกบ้านได้ภัตตาหารมาจนล้นบาตร ครั้นพอตกตอนเย็นก็มีชาวบ้านทำน้ำปานะมาถวายอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้มีโอกาสแสดงธรรมให้แก่ชาวบ้านดังที่ตั้งใจ ไว้
    ความจริงตอนที่ธุดงค์อยู่ ตัวท่านเองก็เคยไม่ได้รับบิณฑบาตจากชาวบ้าน เป็นเวลาหลาย ๆ วัน ก็ออกจะบ่อยอยู่ แต่ได้อาศัยน้ำตามลำธารช่วยแก้กระหาย และลูกผลไม้ต่าง ๆ ในป่าแก้หิว บวกกับการทำสมาธิ เจริญภาวนาทำให้สามารถช่วยให้ผ่านพ้นอยู่รอดมาได้ แต่เหตุการณ์ครั้งล่าสุดนี้ ท่านตั้งใจว่าจะไม่ฉันอะไรเลย หากไม่ได้รับบิณฑบาตจากชาวบ้าน ดังนั้น เมื่อร่างกายไม่ได้รับพลังงานสิ่งใดเลยตลอด ๖ วัน ก็ย่อมอ่อนเพลียเป็นธรรมดา หากไม่มีสมาธิและจิตใจที่แน่วแน่แล้วยากนักที่จะทำแบบนี้ได้ ขนาดที่เมื่อฉันอาหารคำแรกร่างกายปรับสภาพไม่ทัน ถึงกับช็อคสลบไป นับว่าท่านรอดมาได้ด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่และสมาธิอันเข้มแข็งโดยแท้

    lp-song-pic-07.jpg
    ขึ้นกุฏิ
    เมื่อออกจากปลายคลองน้อยแล้ว ก็มุ่งหน้าเข้าสู่บ้านเขาปีบ และที่บ้านเขาปีบนี่เองที่ท่านได้พบกับพระอาจารย์อีกครั้ง โดยเมื่อถึงเขตบ้านเขาปีบ ก็พบกับชายตัดฟืนคนหนึ่ง ด้วยความที่ท่าน เคยประสบกบเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ที่บ้านท่าข้าม ทำให้เกิดความรู้สึกสงสัยระคนกับความเชื่อมั่นบางอย่าง จึงเข้าไปถามชายคนตัดไม้ว่า
    “ตัดไม้ทำอะไรโยม “
    คนตัดไม้บอกว่า “ จะเอาไปทำที่พักให้พระคุณท่าน“
    “ พระอยู่ที่ไหนล่ะโยม “
    ชายตัดไม้ชี้พลางเชิญชวน “อยู่แค่นี้เองคุณไปไหม ถ้าไปตามผมมาเถอะ“
    ท่านก็เดินตามชายตัดไม้ไป และเมื่อพบพระรูปดังกล่าว ท่านถึงกับยิ้ม เพราะพระรูปที่นั่งอยู่ในกลดคือ หลวงพ่อทวดเวียนพระอาจารย์ที่ตนเองตามหาอยู่
    เมื่อเข้าไปถึง หลวงพ่อทวดเวียนก็ถามว่า “คอยนานไหม”
    ท่านจึงเล่าให้อาจารย์ฟังถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นที่พระอาจารย์ได้จากไป จนกระทั่งได้มาพบกันในตอนนี้ ข้างหลวงพ่อทวดเวียนก็เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า เมื่อตนเองออกจากบ้านท่าข้ามแล้ว ก็ธุดงค์ไปถึงเมืองตะนาวศรี เมืองมะริด แล้วลงเรือขึ้นไปยังเมืองร่างกุ้ง ได้นมัสการพระธาตุเจดีย์ที่ร่างกุ้งแล้วจึงย้อนกลับมาทางเดิม เข้าเมืองไทย และมาถึงที่นี่ในวันนี้เหมือนกัน
    หลังจากได้พบเจอกันแล้วทั้งอาจารย์และลูกศิษย์ ก็อยู่ปฏิบัติธรรมปฏิบัติพระกรรมฐานอยู่ที่บ้านเขาปีบต่อไป โดยเลือกเอาบริเวณป่าช้าเงียบสงบวังเวงเป็นที่ปฏิบัติ
    หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังว่า บ่ายวันหนึ่งมีคนหามศพมาฝัง หลวงพ่อทวดเวียนท่านเห็น ก็เรียกให้เอาศพมาที่ท่าน ๆ สั่งให้แก้เชือกที่หามออก แล้วแก้ฟากนาค ๗ ซี่ที่เอามัดห่อหุ้มศพออก และท่านใช้ให้ชายอีกคนหนึ่งไปเอาน้ำมาให้ท่านไห (โอ่ง) หนึ่ง
    ศพนั้นเป็นศพเด็กชาย ชื่อดำ พ่อของเด็กชายดำ บอกหลวงพ่อเวียนว่า เขาตายเมื่อเที่ยงนี้เอง พอดีคนที่ไปตักน้ำก็เอาน้ำมาให้หลวงพ่อทวดเวียน หลวงพ่อทวดเวียนเอาน้ำใส่ลงในบาตรล้วงเอาผ้าขาวในย่ามใส่ลงในบาตร และหยิบวัตถุเป็นเม็ดสีดำ คงจะเป็นยา ใส่ไว้ใต้ริมฝีปากบนของศพ แล้วท่านบริกรรมไปเอาผ้าขาวที่ใส่ไว้ในบาตรตบที่หัวศพไป ราวครึ่งชั่วโมงก็มีเสียงครางในลำคอ หลวงพ่อทวดเวียนก็บีบผ้าขาวให้น้ำย้อยลงในปากพร้อมกับบอกผู้เป็นพ่อว่า ไปต้มข้าวต้มมาให้
    ผู้เป็นพ่อรีบลุกขึ้นวิ่งไปต้มข้าวต้มด้วยความดีใจเป็นที่สุด ต่อมาไม่นานนักเด็กชายดำก็ฟื้นขึ้นมา เมื่อผู้เป็นพ่อเอาข้าวต้มมาและหยอดน้ำข้าวต้มให้จนมีอาการดีขึ้น เวลาพูดก็ได้ยินเสียงชัดเจนขึ้น บรรดาพ่อแม่และญาติ ๆ ต่างก็มาตูยิ้มทั้งน้ำตา ต่างก็สรรเสริญหลวงพ่อทวดเวียนว่า
    “เป็นเสมือนเทวดามาชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้”
    เด็กชายดำมีเรี่ยวแรงพอพูดจาได้ดีแล้ว ก็เล่าให้ฟังว่า
    “มีคนมาพาเขาไป พอไปถึงกำแพงเมือง ซึ่งเขาไม่เคยเห็น มีผู้คนพลุกพล่าน ทุกเพศทุกวัย ต่างก็เดินทางเข้ากำแพงเมือง คนเดินออกไม่มี เขาก็เดินตามไปด้วย พอจะเข้าไปในประตูก็พอดีมีพระห่มจีวรออกสีดำเข้ามาดักหน้าเขาไว้ ไม่รู้เอาอะไรสีดำ ๆ จุกในปากเขา และสั่งให้กลับ เขาบอกว่า ไม่กลับ ก็ตบหัวเขาๆ ก็ถอยหลังเรื่อยมา ๆ จนเขารู้สึกขึ้นมานี่แหละ”
    พ่อแม่และหมู่ญาติต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ดำ ไม่ใช่ลูกเขาแล้ว ยกให้หลวงพ่อทวดเวียนเถิด”
    ดำก็อยู่กับหลวงพ่อทวดเวียนหลายเดือน เขาเป็นคนกล้า เข้านอนอยู่ที่แคร่ใต้กุฏิ เวลามีเสือเขาก็ไม่กลัวเสือ ต่อมาเมื่อหลวงพ่อทวดเวียนกับหลวงปู่เดินธุดงค์ไปที่อื่น ก็ฝากดำไว้กับพ่อแม่ของดำให้ช่วยเลี้ยงดูไว้ให้ท่านด้วย
    เมื่อท่านได้ออกไปจากบ้านเขาปีบแล้ว ก็ได้ธุดงค์ไปในที่ต่างๆ โดยเฉพาะหลวงพ่อทวดเวียนกับหลวงปู่ อยู่ประจำพรรษาที่ถ้ำโพงพาง ๒ พรรษา (เดี๋ยวนี้เป็นวัดแล้ว อยู่ที่ตำบลหาดทรายรี อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร) ซึ่งเป็นที่สงัดวิเวกอยู่ใกล้ทะเล เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมยิ่งนัก จากนั้นก็ไปประจำพรรษาที่วัดควน ตำบลวิสัยใต้ อีก ๑ พรรษา หลวงพ่อทวดเวียน ท่านก็ถึงแก่มรณภาพลง
    หลวงปู่ ท่านเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อทวดเวียน ท่านเกิดอาพาธหนัก มีโยมผู้ชายมาอยู่เฝ้าพยาบาลเป็นจำนวนมาก ตอนที่ท่านมรณภาพไม่มีใครเห็น ตอนดึกสงัด โยมที่มาเฝ้านอนหลับกันหมด หลวงพ่อทวดเวียน ท่านลุกขึ้นแล้วนั่งห่มผ้าพาดสังฆาฏิ มีผ้าเคียนอก (รัดอก) ท่านเรียกว่า “ครองใหญ่” แล้วก็ลงจากกุฏิไป
    ใกล้รุ่ง พวกโยมที่มาอยู่เฝ้าพยายามต่างก็ลุกขึ้นมองหา ไม่เห็นหลวงพ่อทวดเวียน ก็ตกใจ รีบตามหา ก็ไม่พบ จนรุ่งสว่างหาจนทั่วก็ไม่พบ ส่วนหลวงปู่ ท่านก็ออกตามหาเหมือนกัน แต่ท่านไม่มาที่กุฏิ ท่านเข้าป่าใกล้วัดตามหา
    ตกตอนบ่ายจึงพบ ท่านเห็นหลวงพ่อทวดเวียนนั่งพิงต้นไม้ใหญ่อยู่ เมื่อเข้าไปถึง ก็ปรากฏว่า ท่านได้มรณภาพแล้ว (อาจารย์หลวงปู่ทั้งสองท่านล้วนแต่มรณภาพในท่านั่งคือ หลวงพ่อทวดรอด ท่านก็นั่งมรณภาพบนเก้าอี้ มาหลวงพ่อทวดเวียนก็นั่งมรณภาพใต้ต้นไม้)
    เมื่อทำบุญศพหลวงพ่อทวดเวียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่ก็ออกธุดงค์ ปฏิบัติธรรมต่อไป ท่านอยู่ประจำพรรษาที่หัวกรูด ๑ พรรษา แล้วมาอยู่ประจำพรรษาที่สามแก้ว ๑ พรรษา ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นป่า เมื่อออกพรรษาที่ ๑๐ แล้วท่านธุดงค์เข้าสู่บ้านศาลาลอยครั้งแรก
    ท่านปักกลดอยู่ที่ใกล้หนองน้ำ ชื่อลุมควาย กำนันเฉยได้นิมนต์หลวงปู่ ให้ไปอยู่ที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ซึ่งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำท่าตะเภา ในครั้งนั้นเป็นวัดร้าง ท่านจึงรับนิมนต์คุณตาเฉย
    เมื่อหลวงปู่เข้าอยู่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยนั้น ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๖๒ คุณตาเฉย ได้ทำกุฏิหลังเล็กรูปหลังคาและฝาแบบประทุนหรือสมัยก่อน ชาวบ้านเรียก กุฏิโกบ คืนแรกที่ท่านเข้าอยู่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ตอนดึกท่านไปเข้าเว็จกุฏิ เมื่อออกมาท่านเห็น ศีรษะมีแค่คอ มีหนวดเคราห้อยรุงรัง ลอยผ่านหน้าท่านไป ท่านเอามือจับหนวดเคราดู ท่านแผ่เมตตาให้ จากนั้นก็หายไป
    รุ่งเช้า ท่านถามคุณตาเฉย ซึ่งปวารณาเป็นโยมอุปัฏฐากว่า
    “ตากำนัน ใครตายตรงนี้บ้าง”
    คุณตาเฉย ก็บอกท่านว่า “อ๋อ อ้ายง่อยมันผูกคอตายที่ต้นไม้นี้”
    (คงจะเป็นฉำฉา ซึ่งกุฏิหลังแรกของหลวงปู่ อยู่ใต้ต้นฉำฉา ต่อมาประมาณปี ๒๕๐๒ หรือ ๒๕๐๓ น้ำเซาะตลิ่งจนต้นฉำฉาต้นนี้ล้มลงในแม่น้ำ) หลวงปู่ก็เล่าให้คุณตาเฉยฟัง และท่านก็ได้แผ่เมตตาให้แล้ว
    คืนต่อมาท่านก็ได้บำเพ็ญกิจภาวนา สมาธิตามปกติ ท่านได้พบพ่อปู่เจ้าฟ้า ท่านขออยู่ประจำที่วัดนี้ พ่อปู่เจ้าฟ้าไม่ให้
    คืนต่อมาท่านขออีก คราวนี้ ท่านเล่าว่า พ่อปู่เจ้าฟ้าบอกท่านว่า “ให้ก็ได้ แต่ขอบายศรี ๓ ชั้น ๙ หัว”
    ท่านก็บอกพ่อปู่เจ้าฟ้าว่า ท่านมาจากอื่นไม่มีญาติ ก็ไม่รู้ว่าจะให้ใครทำขนมทำบายศรีให้
    พ่อปู่เจ้าฟ้าท่านให้ แต่มีข้อแม้ว่าอย่าเป็น “สมภาร” หลวงปู่ก็รับ (เหตุนี้สมัยหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยจึงไม่มีเจ้าอาวาส ท่านบอกว่า ถ้าเขาตั้งท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านก็จะออกจากวัดนี้ทันที)
    หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังว่า พ่อปู่เจ้าฟ้า ท่านสอนในท่านอนหงายทงเข่าทั้งสองขึ้น หันศีรษะไปทางทิศตะวันออก เมื่อพ่อปู่ท่านมองตูตามนั้นแล้วกำหนดจำหมายไว้ (ซึ่งที่ตรงนั้นก็ตรงกับที่สร้างกฏิหลังแรกและหลังปัจจุบัน และหลังปัจจุบันนี้ อาจารย์พระครูพิพัฒน์ขันตยาภรณ์ ศิษย์หลวงปู่ และหลวงปู่ได้มอบให้เป็นเจ้าอาวาส วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย องค์แรกประจำอยู่ที่กุฏิหลังนี้)
    วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย แต่อดีตเคยเป็นวัดร้างอยู่วัดหนึ่งเป็นวัดเก่าแก่มากไม่มีประวัติใดๆ บันทึกไว้ว่าใครเป็นผู้สร้างและสร้างมาสมัยใด
    หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร ยืนกำหนดพิจารณาดูบริเวณวัดทั้งหมดด้วยอำนาจญาณ เรียกว่าอตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้วในอดีตว่าเป็นวัดสมัยใด ใครเป็นผู้สร้างขึ้น ทำไมจึงรกร้างว่างเปล่ามาเป็นร้อยเป็นพันปี ด้วยอำนาจจิตที่กล้าแข็งซึ่งปุถุชนธรรมดาไม่สามารถรู้ได้ถึงเช่นนั้น

    ศึกไสยเวทย์
    ความจริงอีกมุมหนึ่งของวัดร้าง วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยนี้ มีพระภิกษุอยู่ก่อนหน้านี้แล้วองค์หนึ่ง มีลูกศิษย์ลูกหาพอสมควร คือ หลวงพ่อบ่าว ท่านอยู่อีกมุมหนึ่ง มีกุฏิเล็ก ๆ พอได้อาศัยจำวัด
    หลวงพ่อบ่าวเป็นพระภิกษุที่มีวิชาอาคมพอตัว มีลูกศิษย์ลูกหา และได้รับความเคารพนับถือจากชาวบ้านตามสมควร แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบ เพราะลูกศิษย์ของท่านออกจะเป็นนักเลงไปสักหน่อย ด้วยถือดีว่ามีพระอาจารย์คงกระพัน
    การมาของหลวงปู่นั้น หลวงพ่อบ่าวทราบดีทุกระยะ ท่านก็สงบนิ่งไม่ว่าอะไร เพราะต่างคนต่างอยู่ ว่ากันไป น้ำคลองไม่ปะปนกับน้ำบ่อ ฉันใดฉันนั้น เมื่อหลวงปู่มาอยู่ได้นานวันก็มีคนมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ต่อมาปรากฏว่าลูกศิษย์ของหลวงปู่เกิดมีเรื่องกับลูกศิษย์ของหลวงพ่อบ่าวถึงขนาดลงไม้ลงมือกัน ลูกศิษย์ของหลวงปู่เป็นฝ่ายชนะไม่บอบช้ำ
    บรรดาคนหนุ่มต่างก็เฮมาหาหลวงพ่อสงฆ์กันมากขึ้น และนั่นคือต้นเหตุของเมฆหมอกของความขุ่นเริ่มขึ้น น้ำบ่อเริ่มไหลเข้ามาสู่น้ำคลอง ด้วยความรู้สึกที่ว่าตัวเองมีวิชาอาคมจะไปเกรงกลัวทำไมกับหลวงปู่
    จากแรงยุกระตุ้นของศิษย์จึงเกิดให้เกิด ศึกไสยเวทย์ ระหว่างหลวงพ่อบ่าวกับหลวงปู่ขึ้นด้วยประการดังนี้
    ในคืนนั้น
    ขณะที่หลวงปู่นั่งภาวนาอยู่ภายในกุฏิของท่านดึกพอสมควร สักสองยามเห็นจะได้ ท่านก็ได้ยินเสียงแมลงชนิดหนึ่งบินวนเวียนไปมาอยู่หน้าประตูกุฏิ เมื่อท่านลืมตาขึ้นมองออกไป เสียงแมลงนั้นก็ตกลงหน้าประตู หลวงปู่ยิ้มให้กับตนเองในความมืดแล้วเปิดประตูออกมาดู ตรงหน้าประตูมีใบไม้สดหล่นอยู่หนึ่งใบ ท่านก็หยิบใบไม้สดนั้นขึ้นมาพิจารณา แล้วขยี้ขว้างทิ้งลงไปจากกุฏิ
    สิ่งนั้นเตือนให้หลวงปู่ได้ทราบว่า บัดนี้ฝ่ายตรงข้ามได้เริ่มทักทายท่านแล้วด้วยใบไม้ที่เสกเป็นแมลง หวังจะให้มาต่อยท่าน แต่หมดแรงลงเสียก่อน

    lp-song-pic-08.jpg
    ให้พรแก่ญาติโยม
    นี่อาจจะเป็นยกแรกของการต่อสู้แบบไสยเวทย์
    เป็นธรรมดาของคนเล่นอาคม เมื่อผิดหวังครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สอง และครั้งต่อๆ ไป จนกว่าจะชนะ ไม่ยอมแพ้แก่กันเพราะถือว่าเป็นการชิมลางสำหรับครั้งแรก หลวงปู่ก็รู้ว่าจะต้องมีต่อไปจนกว่าฝ่ายนั้นจะพบความสำเร็จในวิชาที่ตนเองร่ำเรียนมา
    คืนต่อมา
    ในเวลาดึกสงัดหลวงปู่ยังหาได้จำวัดไม่ ท่านกำลังนั่งเจริญภาวนาตามแนวทางของวิปัสสนา กสิณ ในความแจ่มแจ้งของดวงจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ในเพศสมณะ หลวงปู่ได้มองเห็นสิ่งหนึ่งดำมะเมื่อมลอยเคว้งคว้างตรงมายังกุฏิของท่าน ความรู้สึกบอกตัวเอง
    “มันมาอีกแล้ว”
    ท่านก็หาหวั่นไหวแต่อย่างใดไม่ คงหลับตาเจริญภาวนาของท่านต่อไปในความมืด
    ถึงแม้จะหลับตา แต่ท่านก็สามารถมองเห็นสิ่งผิดปกติที่ลอยเลื่อนตัวตรงเข้ามาหา แต่ว่าไม่อาจจะลอยเข้าในกุฏิได้ สิ่งนั้นวนเวียนอยู่ชั่วระยะหนึ่งก็หล่นวูบตกลงหน้ากุฏินั่นเอง
    เมื่อหลวงปู่เปิดประตูกุฏิออกมาดูก็พบว่า สิ่งนั้นคือหนังควายแผ่นใหญ่เท่าฝ่ามือหล่นอยู่หน้ากุฏิ อันวิชานี้เป็นมนต์ดำหรือ อวิชชาในด้านการเสกเข้าท้องฝ่ายตรงข้าม
    ในตอนเช้าเมื่อญาติโยมลูกศิษย์ลูกหามาที่วัด ท่านก็ไม่พูดอะไร แต่ได้พูดคุยเป็นปริศนาธรรมแก่ญาติโยมในเรื่องเกี่ยวกับมนต์ดำ ทำนองว่าคนที่เรียนวิชานี้ไม่ควรจะนำมาใช้ทำร้ายผู้อื่นเพราะเป็นบาป ถ้าหากนำมาใช้ประโยชน์ในการรักษาโรค ช่วยเหลือผู้คนดีกว่า มิฉะนั้นจะเป็นบาปและเข้าตัวเองได้
    การพูดทำนองตักเตือนหลวงพ่อบ่าว เพราะหลวงปู่รู้ว่าในกลุ่มชาวบ้านที่มานั่งรายล้อมอยู่นี้น่าจะมีลูกศิษย์หลวงพ่อบ่าวอยู่บ้าง อาจจะเป็นเพราะวิชาอาคมของหลวงพ่อบ่าวยังไม่ถึงหรือเป็นเพราะการเทศน์ปริศนาธรรมกระทบมาก็ไม่ทราบได้
    ในคืนนั้นเอง
    หลวงปู่ก็ได้รับการเยี่ยมเยือนอีกครั้งจาก มนต์ดำ ที่ลอยมากระทบประตู ในตอนเช้าท่านเปิดประตูออกมาเพื่อจะออกบิณฑบาต ก็ได้เห็น หนังหมูที่มีเข็มเย็บผ้าจำนวนมาก หล่นอยู่หน้าประตูกุฏิ ท่านจึงนำไปฝังที่โคนต้นไม้
    ศิษย์ของหลวงปู่มีอยู่ ๒ คน คือผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งซึ่งอยู่คนละหมู่บ้าน และนายเกตุ
    ผู้ใหญ่บ้านนั้นได้รับวิชาไปจากหลวงปู่ไปหลายอย่างและมีอายุสูงกว่านายเกตุ มีความสุขุมและยึดมั่นในหลักคำสอนของหลวงปู่เป็นอย่างดี เรียกว่า พอจะมีความรู้ทางไสยเวทย์พอคุ้มตัวได้
    และในคืนต่อมานั้นเอง หลวงปู่ก็พลาดท่า เพราะสิ่งที่หลวงพ่อบ่าวส่งมานั้นได้เล็ดลอดเข้ามาจากประตูหน้าเข้ามาจนกระทั่งถึงตัวและเข้าไปสู่ท้องของหลวงปู่ได้
    ท่านต้องเอามือกุมไว้ไม่ยอมให้สิ่งนั้นหมุนอยู่ในท้อง เพราะมันเป็นมีดหมออาคม ถ้าหากให้มันหมุนได้ ตับไตไส้พุงจะฉีกขาดหมด หลวงปู่ต้องเก็บความเจ็บปวดไว้จนรุ่งเช้า บรรดาลูกศิษย์ใกล้ชิดมาพบ แล้วช่วยกันนำเอาสิ่งนั้นออกมาจากท้องของท่าน
    สิ่งที่ออกมาจากปากของหลวงปู่ก็คือมีดสองคม
    ท่านให้มันออกมาทางปาก ท่ามกลางความตกใจของลูกศิษย์ที่เห็นอยู่ในขณะนั้น หลวงปู่ไม่พูดอะไรเรื่องนี้ เพียงแต่ให้ลูกศิษย์ไปตัดไม้ไผ่เหลาให้บาง ๆ
    “พ่อหลวงจะทำอะไร”
    ลูกศิษย์ผู้นั้นเอ่ยถามอย่างสงสัย หลวงปู่นั่งนิ่งเอ่ยปากขึ้นว่า
    “ควายธนู เขาทำเราหลายครั้งแล้วถ้าเราไม่ตอบ เขาจะว่าเราขี้ขลาดตาขาว เราต้องสั่งสอนบ้าง”
    เมื่อลูกศิษย์ตัดไม้ไผ่มาแล้ว หลวงปู่ก็ลงมือเหลาจนบางเบาด้วยมือของท่านเอง ระหว่างการเหล่านี้ได้มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อบ่าวได้รับคำสั่งให้มาดูว่าหลวงปู่เป็นอย่างไรบ้าง เพราะผลจากการส่งมีดสองคมมาทักทายเมื่อคืน
    แต่เมื่อมาถึงกุฏิ เห็นหลวงปู่นั่งเหลาไม้อยู่ ก็กลับไปบอกแก่หลวงพ่อบ่าวทันที ท่านได้รับรายงานก็สะดุ้ง รู้ด้วยจิตสำนึกทันทีว่า หลวงปู่นั้นอาคมสูงกว่า เพราะส่งมาหลายครั้งแล้วไม่ได้ผล แม้แต่มีดสองคมก็ไม่อาจระคายผิวของหลวงปู่ได้
    หลวงพ่อบ่าวไม่รู้ว่ามีดสองคมนั้นได้ผล แต่ยังไม่ถึงกับทำให้หลวงปู่ตายไปทันทีได้ ท่านแก้ไขในเวลาอันรวดเร็วหรือเรียกว่าพลาดท่าไปแล้วก็ได้ ถ้าหากไม่ใช่หลวงปู่ รับรองว่าคนนั้นจะต้องตายไปเพราะสองคมของมีดกรีดไส้พุงขาด
    เพราะข่าวที่ว่าหลวงปู่เตรียมรับมือด้วยควายธนูอย่างแน่นอน หลวงพ่อบ่าวจึงเผ่นหนีออกจากวัดหายไปแต่บัดนั้น
    ความจริงหลวงปู่หามีเจตนาจะทำร้ายถึงเลือดตกยางออกไม่ เพียงแต่ต้องการสั่งสอนให้หลวงพ่อบ่าวได้ทราบว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน
    ฝ่ายหลวงพ่อบ่าวออกจากวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยก็ไปอยู่ที่วัดวิหาร ห่างออกมาจากบางลึก ไกลพอประมาณ ความเจ็บแค้นเรื่องนี้กลายเป็นอาฆาต หลวงพ่อบ่าวจัดว่ามีวิชาอาคมสูงองค์หนึ่ง ได้เตรียมสูตรใหม่ที่จะเล่นงานหลวงปู่ด้วยการเอาข้าวเหนียวดำที่สุกแล้วมาปั้นเป็นตัวคน
    ตอนเย็นวันนั้นหลวงพ่อบ่าวได้ลงจากกุฏิมากวาดลานวัดดังเคยชิน ปรากฏว่าได้เกิดพายุหมุนอย่างรุนแรง จนทำให้ต้นยางหน้าวัดกิ่งหักกระเด็นลงมา เหมือนมีคนเอากิ่งยางทุ่มใส่หลวงพ่อบ่าว กิ่งยางหล่นลงมาทับร่างหลวงพ่อบ่าวซึ่งกวาดลานวัดถึงแก่มรณภาพทันที
    ข่าวมาถึงหลวงปู่ หลายวันต่อมา ท่านก็ไม่พูดอะไร ได้แต่อธิฐานจิตขออย่าได้จองเวรต่อกันเลย และทำการอโหสิกรรมแก่หลวงพ่อบ่าว ด้วยใจจริงแล้วท่านหาได้อาฆาตอะไรถึงขั้นจะทำให้ตายไปจากกันไม่ และเมื่อหลวงพ่อบ่าวจากไปแล้ว ท่านก็ไม่นึกถึงอะไร ปฏิบัติกิจของท่านต่อไป หาเอาใจใส่ไม่ ฟ้าดินต่างหากที่ไม่เป็นใจต่อการกระทำของหลวงพ่อบ่าว
    หลวงปู่สงฆ์กำหนดจิตรู้ด้วยอำนาจอนาคตังสญาณรู้เรื่องราวต่อไป แม้ยังไม่เกิดขึ้นว่า ต่อไปในบริเวณนี้วัดนี้จะมีความเจริญรุ่งเรือง คนที่เคยอยู่ คนที่เคยอุปถัมภ์ค้ำจุนจะได้มาพบกันจะไม่ว่างเว้น คนทั่วไปมาเยี่ยมเยือน ณ สถานที่แห่งนี้
    ดังนั้น หลวงปู่สงฆ์จึงตัดสินใจรับนิมนต์ และจำพรรษาที่วัดนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาซึ่งตรงกับ พ.ศ.๒๔๖๓ เมื่อสมัยที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร ดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระสังฆราช
    หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร เวลานั้นมีอายุ ๓๐ ปี พรรษาที่ ๑๐ และได้บูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุในบริเวณวัดขึ้นใหม่ทั้งหมดพร้อมกับตั้งชื่อวัดตามกาลตามสมัยว่า วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร
    ภายหลังจากที่หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร มาจำพรรษาที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ซึ่งแต่ก่อนอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมมาก ไม่มีเสนาสนะใด ๆ ทั้งสิ้น กลับมีถาวรวัตถุก่อสร้างขึ้นมากมาย
    ด้วยเหตุที่ว่า หลวงปู่สงฆ์เป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบศีลจริยวัตรงดงาม จนเป็นที่เลื่องลือแพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวางผู้คนก็หลั่งไหลกันเข้าไปยัง วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ดุจดังมีงานประจำปี ปีแล้วปีเล่าชาวบ้านทั่ว ๆ ไป ต่างมีงานทำทุกวัน สภาพชาวบ้านแถบนั้นเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้น ถนนหนทางสมันนั้นก็ยังไม่เจริญเหมือนทุกวันนี้ ฐานะการเป็นอยู่ของชาวบ้านเริ่มมั่งมีขึ้นโดยอาศัยบุญบารมีของ หลวงปู่สงฆ์ เพราะชาวบ้านออกค้าขายตั้งแต่อาหารจนกระทั่งของที่ระลึกให้กับผู้เข้าไปเยี่ยมเยือนนมัสการการท่านทุกวัน ๆ สภาพสังคมที่ถูกทอดทิ้งมานานเริ่มส่งผลให้แก่ชาวบ้านมีความอยู่ดีกินดีขึ้นเช่นกัน
    ด้วยอำนาจคุณงามความดีของ หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร ที่ได้ประพฤติปฏิบัติมาในป่าเขาถ้ำเหวต่าง ๆ ทนสู้กับอุปสรรคเภทภัยนานาประการนี้ ยังส่งผลให้กับชาวบ้านได้อยู่ดีมีความสุขถ้วนหน้า ก็เพราะคุณธรรมของท่าน
    วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ที่เคยถูกทิ้งมาเป็นเวลานานจนกลายมาเป็นวัดโอ่อ่า เสนาสนะครบถ้วนบริบูรณ์ ทั้งนี้เพราะ หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร เป็นพระสุปฏิปันโน และมีศีลจริยวัตรที่เลื่อมใสของประชาชนทั้งหลาย
    ความเมตตาของหลวงปู่สงฆ์กว้างขวางไม่มีขอบเขตท่านสงเคราะห์ทั้งมนุษย์และสัตว์ด้วยเมตตาธรรม จนเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้เข้าไปนมัสการท่านจนปัจจุบันนี้
    การที่หลวงปู่มีความเมตตาต่อสัตว์ทุกชนิดนั้นท่านเล่าเป็นเหตุผลว่า
    “สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ ขนาดไหนก็ตาม แม้แต่มด ปลวกมันก็มีชีวิตจิตใจ รู้จักรัก รู้จักโกรธ รู้จักกลัว รู้จักหิว รู้จักสุขทุกข์เช่นเดียวกับคนเหมือนกัน
    แต่ที่เขาต้องเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้น ก็เพราะกรรมส่งผลให้เขามาเกิด เกิดมาเพื่อเสวยผลของกรรมเก่าของเขา เมื่อเขาพ้นจากสภาพสัตว์ต่างๆ เหล่านั้นแล้วเขาอาจกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา ก็ได้
    ดังนั้นเราควรมีเมตตากับสัตว์ทุกชนิดจงพิจารณาดูว่า บาปกรรมนั้นเป็นของมีจริง เหตุนี้ผู้มีปัญญาที่ชาญฉลาดที่มีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ นับว่าเป็นโอกาสที่ประเสริฐแล้ว ควรแต่ประกอบคุณงามความดี มีศีลมีธรรม ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อันจะเป็นการจองเวรจองกรรมกันต่อไป เพื่อเราจะได้ไม่ต้องเกิดมาใช้กรรมใช้เวรกันต่อไปอีก
    ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ควรก่อกรรมทำเข็ญ ด้วยการทำลายชีวิตผุ้อื่น ไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ แม้แต่มดหรือปลวกก็มีบาปเหมือนกัน

    วาจาสิทธิ์ lp-song-pic-09.jpg
    โอ่งน้ำมนต์
    หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร เป็นพระสงฆ์ในการถือสันโดษ มีจริยวัตรอันงดงามยิ่ง ท่านฉันอาหารเพียงวันละมื้อเดียว และไม่ยอมรับภัตปัจจัยใด ๆ เป็นส่วนตัวเลย ทุกวันมีผู้เข้ามานมัสการนำของมาถวายท่านอย่างมาก แม้แต่ตำแหน่งเจ้าอาวาสท่านก็ได้มอบให้กับพระภิกษุรูปอื่นรับไปดำเนินธุระต่อไป
    ดังนั้น หลวงปู่สงฆ์ ท่านจำพรรษาอยู่ในวัดเจ้าฟ้าศาลาลอย เพียงเป็นประธานสงฆ์ หรือปูชนียบุคคลอันประเสริฐเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจแก่ พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ศรัทธาญาติโยมเท่านั้น
    หลวงปู่สงฆ์เป็นพระอาจารย์ ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานเป็นพระที่พูดน้อย รักความสงบ สำรวม กาย วาจา ใจ นับเป็นพระอริยบุคคลผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรูปหนึ่ง ในบวรพระพุทธศาสนาเป็นนาบุญอันประเสริฐของพวกเราทุกคน
    หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร สมัยเป็นฆราวาส เคยปฏิบัติตนเป็นผู้มีสัจจะแต่เดิม แม้จะเป็นพระภิกษุแล้วก็ตาม อุปนิสัยนั้นก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น มีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นโดยลำดับ แม้เป็นพระภิกษุที่พูดน้อย แต่คำพูดของท่านที่พูดออกมานั้นจะบังเกิดผลได้จริงจังอย่างมหัศจรรย์ที่เรียกว่า วาจาสิทธิ์
    ด้วยเหตุนี้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาญาติโยมทั้งหลายมักจะชุมนุมกันที่ศาลาเวลาเช้าก่อนไปทำงานเป็นประจำก็เพื่อขอวาจาสิทธิ์ของท่านนั่นเองถ้าท่านกล่าวคำใดกับใคร ก็จะเป็นความจริงอย่างนั้นเสมอ
    บางคนไม่ได้ขอฟังวาจาจากท่าน แต่ก็พยายามนั่งจ้องอยู่ดูอิริยาบถของท่าน ว่าจะออกมาในรูปใด พวกนักนิยมโชคลาภแทงหวย จะเอามาตีปัญหาเป็นตัวเลขอย่างฉมังยิ่งนัก เหตุว่าไม่กล้าเข้าไปขอโดยตรงกับท่าน เพราะท่านไม่นิยมพวกนักเล่นการพนันทุกชนิดนั่นเอง
    ครั้งหนึ่ง เคยมีข้าราชการผู้ใหญ่ผู้หนึ่ง เดินทางเข้าไปนมัสการท่านพร้อมกับนำสัตว์เลี้ยงสี่เท้าไปถวายท่านด้วย
    หลวงปู่สงฆ์เห็นก็ได้ถามขึ้นว่า “อ้าว...นั่นเอานกมาทำไมกัน”
    ท่านผู้ใหญ่คนนั้นตอบว่า “ไม่ใช่นกหรอกครับหลวงปู่”
    ว่าแล้วก็เปิดกรงที่นำมาให้ดู แต่พอเปิดกรงออกเท่านั้นทุกคนที่มาด้วยต่างตกตะลึงในความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น เพราะแทนที่จะเป็นสัตว์สี่เท้าที่ตนจับใส่กรงมา แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่...กลับเป็นนกตัวหนึ่งบินปร๋อออกจากกรงหนีไปทันที....
    ปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ของหลวงปู่สงฆ์ในครั้งนั้น นำความตกตะลึง แก่ชาวคณะอุบาสก อุบาสิกา ทั้งหลายในวัดที่นั่งกันอยู่เต็ม และต่างก็พูดว่า “นี่เป็นวาจาสิทธิ์ของหลวงปู่” ทำให้ประชาชนที่ได้ทราบเรื่องในครั้งนั้น มีความเคารพนับถือ และไม่กล้าประพฤติความชั่วให้ปรากฏแก่สายตาหลวงปู่สงฆ์ไม่ว่าในที่ลับ หรือที่แจ้ง ทั้งหมดเกรงว่าหลวงปู่ท่านจะพูดวาจากล่าวตักเตือนและถ้าท่านดุด่าว่ากล่าวแล้วผู้นั้นจะเคราะห์ร้ายไปตามที่ท่านพูดวาจานั้น
    จึงนับว่า หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร สามารถใช้วาจา ขัดเกลากิเลส ตัณหา อุปาทาน ให้ออกจากชีวิตจิตใจของผู้ที่ยิ่งถือทิฐิมานะ ได้มากทีเตียว

    ฉุดเรือข้าวเปลือก
    หลังวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยมีแม่น้ำ เรือบรรทุกข้าวบ้างอะไรต่ออะไรบ้างผ่านไปผ่านมาเสมอ
    วันหนึ่งมีคนเรือข้าวเปลือกที่เคยขึ้นมากราบนมัสการท่านเสมอจนคุ้นเคยกัน ได้แล่นผ่านมาทางหลังวัด ตอนนั้นหลวงปู่กำลังนั่งเล่นรับลมอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ เรือลำนั้นแล่นมาจวนจะถึงศาลาก็หยุด มิหนำซ้ำกลับหันหัวเรือไปอีกทิศ คือไปตามทางที่มา เรือวนอยู่อย่างนั้นจนคนเรือชักแปลกใจ ถ่อก็แล้วมันก็ไม่ไป เหลือบมองไปที่ศาลาเห็นหลวงปู่นั่งนิ่งอยู่ก็นึกรู้ทันทีว่า เพราะอะไรเรือจึงไม่ยอมไปข้างหน้า เอาแต่หมุนวนอยู่ท่าเดียว
    พอวาดเรือเข้าฝั่งได้ก็กระโดดตรงเข้ามาหาหลวงปู่ทันที
    “ท่านล้อผมเล่นทำไม” เอ่ยถามอย่างโกรธ ๆ
    หลวงปู่ท่านยิ้มมองหน้านายท้ายเรือ ความจริงหลวงปู่กับนายท้ายเรือคนนี้รู้จักมักคุ้นกันดีเนื่องจากเป็นเพื่อนเกลอกันตั้งแต่เด็ก ๆ ผ่านมาทีไรก็ต้องแวะหาหลวงปู่ทุกที แต่คราวนี้ไม่ยอมแวะ
    “กูไปทำอะไรมึง” หลวงปู่ทำหน้าดุ ๆ ตอบ
    “ก็ดึงเรือเอาไว้ทำไมล่ะ”
    “ดึงที่ไหน เรือไปโน่น” ท่านชี้มือทวนน้ำขึ้นไป มหัศจรรย์ เรือบรรทุกข้าวกลับทวนน้ำขึ้นไป นายท้ายเรือก็เลยต้องผละวิ่งตามเรือไป
    เป็นการเย้าแหย่ระหว่างเพื่อนเก่า ๆ ที่เล่าติดปากกันมาอีกเรื่อง แสดงให้เห็นว่า หลวงปู่นั้นมีพลังจิตสูงและมีอารมณ์สนุกสนานเหมือนกัน ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดได้เล่าว่า
    หลวงปู่นั้นใครจะพูดว่าอะไรท่านก็รู้ สมัยก่อนท่านมักจะสานควายธนูเอาไว้ชนกันเล่น แม้แต่ลูกกระสุนท่านก็สั่งได้ จะให้ไปถูกที่ไหน

    สิ่งมงคลและยาวิเศษ

    สิ่งอันเป็นมงคลที่หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร อนุเคราะห์ชาวบ้านที่ได้รับความทุกข์ร้อน โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เมื่อมาหาท่าน ท่านจะอนุเคราะห์ช่วยเหลือจนหายจากโรคภัยไข้เจ็บโดยสิ้นเชิง และสิ่งของที่ท่านมอบให้นั้นก็ไม่กี่บาท ขอยกให้เห็นชัดดังนี้
    ที่ข้าง ๆ บันไดกุฏิของท่านจะมีตุ่มใส่น้ำมนต์ตั้งไว้ใบหนึ่ง ท่านจะลงมาจากกุฏิทำน้ำมนต์ ในเวลากลางคืนแล้วนำมาใส่ตุ่มไว้ ตอนเช้ามืดอีกครั้งหนึ่ง ท่านจะลงมาเทใส่ตุ่มที่หมดทุกวัน ๆ น้ำมนต์ในตุ่มนั้นจะมีผู้ที่รู้แหล่งเข้ามาขอตักไปบูชาหรือดื่มกิน
    น้ำมนต์ของหลวงปู่สงฆ์เป็นสิ่งมงคลที่มีความขลัง และศักดิ์สิทธิ์ สามารถอาราธนาให้เกิดผลในสิ่งที่ตนปรารถนาได้ทุกประการตามแต่คำอธิษฐานจิตของผู้ใช้
    โอ่งน้ำมนต์ของท่านเรียงรายอยู่ตามบันได ทางขึ้นลงกุฏิทั้งด้านซ้ายด้านขวา แท้จริงถ้ามองเผิน ๆ มันจะเป็นโอ่งน้ำล้างเท้า แต่ทว่าไม่ใช่ เพราะคนสมัยนี้สวมรองเท้า ไม่ได้มาเท้าเปล่าแล้วมาล้างเชิงบันได เมื่อตื่นขึ้นตอนเช้าหลวงปู่จะทำน้ำมนต์ มาเทลงในโอ่ง ท่านทำอย่างนี้ทุกวัน
    น้ำมนต์ไล่ผีอย่างเห็นได้ชัด ครั้งหนึ่งมีคนแถวสามแก้วได้พาลูกสาวซึ่งมีอาการเหมือนถูกผีเข้าสิง ดิ้นทุรนทุรายร้องเอะอะเสียงดัง ญาติผู้ชายร่างกายแข็งแรงต้องช่วยกันพามาที่วัด มานั่งรออยู่เชิงบันได เพราะบนกุฏิหลวงปู่นั้น ผู้หญิงขึ้นไม่ได้ แล้วพ่อของเด็กก็ขึ้นไปเล่าอาการให้ฟัง
    เมื่อได้ฟังอาการแล้วหลวงปู่ก็เดินมาที่หน้ากุฏิมองลงมาที่เด็กสาวคนนั้น ชายสองคนจับแขนเอาไว้แน่น ขณะที่เด็กสาวสะบัดจะให้หลุด ปากก็ร้องเสียงดังเอะอะ หลวงปู่มองดูสักครู่ท่านก็ร้องบอก
    “นิ่งเสียบ้างซิ”
    เด็กสาวที่ร้องครวญครางส่งเสียงดังก็หยุดชะงักลงทันทีเมื่อสิ้นเสียงหลวงปู่ที่พูดลงมา สักครู่ก็ร้องอีก
    นายสร้าง คนติดตามหลวงปู่มานานหลายปีได้ยื่นขันน้ำที่ตักจากในโอ่งบนกุฏิส่งให้ หลวงปู่หยิบขันน้ำมาก็เทโครมลงมาทันที ถูกร่างของเด็กสาวคนนั้นอ่อนแรงจนนอนราบเรียบสงบ หลวงปู่หันหลังกลับเข้ากุฏิ สักครู่เด็กสาวคนนั้นก็ลุกขึ้นงัวเงีย อาการผิดปกติหายไปราวกับปลิดทิ้ง
    น่าสังเกตตรงที่ว่า น้ำที่นายสร้างตักใส่ขันความจริงเป็นน้ำดื่มกินธรรมดา เมื่อหลวงปู่รับขันมาท่านก็เทโครมทันที ไม่ได้เสกหรือเป่าใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าเป็นรูปแบบของคณาจารย์อื่น ๆ จะต้องมีการเสกการเป่าเสียก่อน แต่หลวงปู่ไม่ต้อง ได้มาเททันที
    เรื่องของการใช้น้ำมนต์ไล่ผีเข้าเจ้าสิงของหลวงปู่นั้นโด่งดังอยู่ ดังนั้นน้ำมนต์ของหลวงปู่จึงมีคนต้องการมาก

    ยาเส้น ตามปกติหลวงปู่สงฆ์ท่านชอบใช้ยาเส้นสีปากแล้วอมเอาไว้ ดังนั้นยาเส้นที่ท่านใช้แล้วเหล่านั้น จะกลับกลายเป็นของวิเศษ เป็นของที่มีมงคลศักดิ์สิทธิ์ คือ กลายเป็นของขลังอย่างยอดเยี่ยม
    สมัยก่อนนั้น คนที่ไปวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยจะหายาเส้น ไปสักจำนวนหนึ่ง บางคนก็เอาไปเป็นห่อ แล้วก็ให้หลวงพ่อเสกให้ต่อจากนั้นก็นำมาเป็นวัตถุมงคลติดตัว ต่อมาทางวัดมีความคิดดีนำเอายาเส้นอัดพลาสติกห้อยคอ ทำเหมือนกับลูกอม ปิดทองอีกด้วย
    เพราะยาเส้นโด่งดังและเป็นที่ต้องการของผู้ที่เข้าวัดเจ้าฟ้าศาลาลอย เรื่องมันมีอยู่ ค่อนข้างเกรียวกราวในชุมพร คือ
    ครั้งหนึ่ง ได้มีคนมาหาหลวงปู่ ท่านก็มอบยาเส้นไปให้ ยาเส้นนี้เดิมทีเป็นของใช้ประจำวันของหลวงปู่ ท่านเอามาสีฟัน คนที่เคารพนับถือเห็นว่าอะไรก็ตามที่ท่านใช้ย่อมจะเป็นมงคลทั้งสิ้น ก็เลยขอยาเส้นท่านไป เมื่อได้แล้วก็นำไปไว้ในเซฟ รวมกับเอกสารและของมีค่า เขาถือว่า ยาเส้นของหลวงปู่ เป็นของมีค่าด้วยชนิดหนึ่งต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี
    หลังจากนั้นไม่นานนักขโมยเกิดเข้าบ้านชายคนนี้ เมื่อมันเปิดเซฟออกมา มันก็เบือนหน้า เพราะในเซฟไม่มีสมบัติอะไรเลย ภายในเซฟมีแต่ยาเส้นกองเต็มไปหมดไม่มีของมีค่า
    แต่แล้วคนพวกนี้ก็ไปไม่รอด โดนจับได้ ของกลางไม่มีอะไร เพราะมันไม่ได้อะไรไปเลย บอกกับตำรวจเพียงว่า
    “ในเซฟมีแต่ยาเส้น ใครจะเอาไปทำไม”
    ความจริงยาเส้นในเซฟนั้นมีเพียงก้อนเล็ก ๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้น แปลกใจทำไมมันจึงมองเห็นว่ามีมากมายไปได้หรือจะเป็นเพราะ อภินิหารยาเส้นมงคลของหลวงปู่
    ยาเส้นของหลวงปู่นั้นแท้จริงก็คือ ยาเส้นที่หลวงปู่ชอบอมเอาไว้ หรือเรียกกันแบบภาษากลางว่า ถุนยา คือเอายาเส้นใส่ปากอมเอาไว้ เมื่อมีคนอยากได้ บางคนขอเอาจากปากท่านเลยก็มี ท่านก็คายออกใส่มือที่แบรออยู่

    น้ำปลา...ยาวิเศษ เรื่องนี้ได้ทราบจากชาวบ้านจังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อหลายปีมาแล้วว่า เขาปวดท้องมานาน ๑๐ กว่าปี ไปรักษาที่ไหนตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เสียเงินไปเป็นแสนบาท นายแพทย์เก่งขนาดไหนก็รักษามาแล้ว ที่ไหนว่าเก่ง ๆ พอเจอโรคของบุคคลนี้เข้า ยอม กลัว รักษาไม่หาย
    ต่อมาได้ยินเขาเล่าลือว่าทางจังหวัดชุมพรมีพระที่วิเศษรูปหนึ่ง เคยรักษาโรคมาเป็นพันๆ คน และก็หายจนหมดสิ้นทุกคนคนป่วยจึงได้หอบสังขารชนิดผอมติดกระดูกมาหา หลวงปู่สงฆ์ นี่แหละ
    ทันทีที่เห็นหน้าหลวงปู่สงฆ์ คนป่วยก็มีความรู้สึกศรัทธาอย่างมากมาย ขนลุกขนพองอยู่ตลอดเวลา แม้ท่านจะกลับเข้ากุฏิไปแล้วก็ตาม ศิษย์ของท่านจึงนำน้ำปลาไปให้ท่านเพ่งกระแสจิตให้สัก ๑๐ นาที แล้วนำน้ำปลานั้นมาให้และบอกว่าให้กินน้ำปลานี้ ยาอื่นท่านบอกว่าไม่ต้องกินแล้ว ถึงกินก็ไม่หาย
    ด้วยความศรัทธาในองค์หลวงปู่สงฆ์ หญิงคนนั้นจึงเปิดขวดน้ำปลาดื่มเข้าไป แม้ว่าน้ำปลาจะมีรสเค็มจริงอยู่ แต่เวลาน้ำปลาผ่านลำคอไปแล้ว รู้สึกเย็น ๆ พอไปถึงท้องแล้วอาการปวดท้องเสียด ๆ นั้นก็หายเป็นปลิดทิ้ง ไม่เกิดขึ้นอีกเลย
    เกิดความตื้นตันขึ้นมา ดื่มเข้าไปอีกต่อหน้าลูกศิษย์หลวงปู่สงฆ์ มีอาการยิ้มแย้มฉายให้เห็นท่าทีว่า อาการภายในสงบ ภายนอกก็แจ่มใส ผู้ป่วยนั้นก็ก้มลงกราบตรงเชิงบันไดกุฏิของหลวงปู่สงฆ์ แล้วได้ร่วมทำบุญกับวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยด้วยความศรัทธาแล้วจึงลากลับบ้านของตน

    lp-song-pic-10.jpg
    หลวงปู่โปรดสัตว์
    สำหรับชาวบ้านจะนำน้ำปลาเอามาให้หลวงปู่สงฆ์เสกเป่าเป็นมงคลขึ้น เสร็จพิธีแล้วน้ำปลาจะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ มีความขลังในการรักษาโรคผิวหนัง แผลเน่าเปื่อยได้ชะงัดดีนัก โดยเฉพาะผู้ที่ติดยาเสพติด น้ำปลาของหลวงปู่สงฆ์จะรักษาได้เป็นอย่างดี นับเป็นสิ่งมงคลในการรักษาโรคภัยอย่างไม่เคยมีผู้ใดกระทำมาก่อน
    น้ำล้างบาตร นับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อท่านฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ท่านจะเอาน้ำใส่บาตรเพื่อล้าง ผู้ประสงค์ก็จะคอยรับน้ำล้างบาตรกัน เมื่อผู้ใดได้น้ำล้างก้นบาตรแล้ว ก็จะนำเอาไปอธิษฐานบารมีเป็นที่พึ่ง เพื่อนำไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ แล้วก็ได้รับความสำเร็จทั่วหน้า
    เรื่องน้ำล้างบาตรของหลวงปู่สงฆ์ นี้ ก็มีเรื่องเล่ากันว่ามีสุภาพสตรีผู้หนึ่ง มีกิจการโรงแรมในจังหวัดชุมพร ได้เดินทางมาที่ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย และได้ขอน้ำล้างก้นบาตรจากหลวงปู่สงฆ์ เพื่อจะเอาไปแก้โรคภัยไข้เจ็บชนิดเรื้อรังที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนั้น เมื่อได้น้ำก้นบาตรใส่ขันใบใหญ่แล้ว เธอก็นั่งรถกลับจังหวัดชุมพร
    แต่ขณะนั่งรถมาระหว่างทางเธอได้พิจารณาดูน้ำล้างบาตรในขันที่ใส่มา เห็นเม็ดข้าวขาว ๆ และชิ้นเศษอาหาร ลอยปะปนอยู่ ดูสกปรกน่ารังเกียจ ก็เกิดเสื่อมความศรัทธาขึ้นมา และไม่เชื่อว่าน้ำล้างก้นบาตร นี้จะรักษาโรคได้จริง
    คิดได้ดังนั้นก็หยิบยกขึ้นมาเทลงข้างทางเสีย แล้วก็นั่งรถกลับมาถึงบ้าน คืนนั้นขณะกำลังนอนหลับอยู่ พอเริ่มเคลิ้ม ๆ หลับได้นิดเดียวก็รู้สึกคันระยิบระยับไปทั้งตัวเป็นที่น่าสงสัยนัก เธอผู้นั้นจึงลุกขึ้นไปเปิดไฟดูก็พบว่า หนอนตัวขาว ๆ จำนวนมากมาย ไต่ตามตัว และที่นอนยั้วเยี้ยเต็มไปหมด
    สตรีผู้นั้นตกใจและขยะแขยงแทบเป็นลม จึงร้องเรียกคนรับใช้ให้มาช่วยกันกวาดเอาตัวหนอนขาว ๆ เหล่านั้นออกมาจากห้องไปทิ้งเสีย
    สตรีผู้นั้นก็มิได้สนใจคิดอะไร ล้มตัวลงนอนต่อไป พอเกือบจะเคลิ้มๆ ได้สักเล็กน้อยก็รู้สึกเจ็บ รู้สึกว่าหนอนยังมีหลงเหลืออยู่อีกแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งแรก จึงรีบเปิดไฟฟ้าขึ้นดู
    ทีนี้พบหนอนสีขาวๆ มากมายกว่าเก่า มีขนขึ้นเต็มตัว
    สตรีผู้นั้นเกิดความกลัวสุดขีด จึงวิ่งหนีออกมานอกห้องนอน แล้วเรียกคนใช้ออกมาให้กวาดหนอนไปทิ้งอีก คนใช้ทุกคนรีบกวาดหนอนตัวขาวๆ นั้นมารวม ๆ กัน เพราะครั้งนี้ดูมันคลานกันเต็มห้องไปหมด แต่ยังมิได้เอาไปทิ้งก็เกิดเหตุที่ทำให้ตกตะลึงอยู่ กับที่
    ฝูงหนอนดังกล่าวกลับกลายเป็นเมล็ดข้าวสารขาว ๆ ไปทั้งหมด
    แม้จะเป็นเมล็ดข้าวสารก็จริง แต่ ใจยังหวาดผวาด้วยความอัศจรรย์นั้นอยู่ ครั้นแล้วสตรีผู้นั้น เมื่อหายจากอาการตกตะลึง ก็รู้ได้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร รู้สึกสำนึกว่าตนเองได้ทำความผิดไว้อย่างมหันต์ที่คิดลบหลู่ดูหมิ่น น้ำล้างก้นบาตร ของ หลวงปู่สงฆ์เมื่อตอนกลางวันนี้ โดยนำน้ำก้นบาตรเททิ้งข้างทาง
    ดังนั้นสตรีผู้นั้นจึงจุดธูปเทียนขึ้นบูชา กล่าวคำอโหสิกรรมโทษที่ตนล่วงเกินด้วยความเกรงกลัว จากนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามีหนอนมารบกวนอีกเลย สามารถนอนหลับได้อย่างสบายตลอดรุ่งเช้า

    กวางน้อย

    มีชาวบ้านคนหนึ่งได้นำลูกกวางมาถวายให้หลวงปู่ เป็นลูกกวางตัวผู้ ยึดถือหลักเอาไว้อย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าคนหรือสัตว์ตัวเมียท่านจะไม่เลี้ยงเลย
    กวางน้อยตัวนี้กำลังซน หลวงปู่ก็เอาชายจีวรที่ท่านฉีกมาผูกคอไว้ มันก็เที่ยวของมันไปตามประสา เพราะไม่ได้ผูกมัดแต่อย่างใด บางครั้งไปกินพืชผักของใครเข้า เจ้าของโกรธไล่ตี มันก็วิ่งหนีกลับเข้าวัด
    เพราะความเกเรซุกซนของมันนี่แหละ โดนดีเข้าจนได้ มีคนเอาปืนลูกซองยิงมัน แต่ทว่าด้าน ยิงไม่ออกหลายครั้ง จนลือกันว่า กวางตัวนี้หนังมันดี ยิงไม่ออก
    วันหนึ่งมันออกไปกินยอดพลูของครูคนหนึ่งเข้าที่บ้านข้างวัด ครูคนนั้นก็เอาไม้ไล่ตี ปากก็ตะโกนด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ตกกลางคืน กวางตัวนี้ ชื่อไอ้น้อย ก็แอบเข้ามากินยอดพลูที่เหลือหมดที่ปลูกเอาไว้
    ครูนั้นโกรธมาก มาเล่าเรื่องแบบฟ้องหลวงปู่ ท่านก็หัวเราะพูดลอย ๆ ว่า
    “ก็ครูอยากไปด่ามันทำไม ไอ้น้อยไม่ชอบให้ใครด่า”
    ครูเก็บเอาความแค้นไว้ในอกเงียบ ๆ หลังจากนั้นได้ไปติดต่อกับคนรับซื้อสัตว์ป่า เพื่อจะขโมยไอ้น้อยกวางหลวงปู่มาขาย สมคบกับอีกคนหนึ่งเตรียมขโมยไอ้น้อย
    แล้ววันนั้นไอ้น้อยก็รับกรรม ถูกจับตัวเอาขึ้นบนรถไปหมายจะนำไปขายในกรุงเทพ ฯ บนรถบรรทุกไอ้น้อยมานั้นมีสัตว์ป่าอีกหลายตัวรวมอยู่ด้วย รถได้แล่นออกมาจากชุมพรจวนจะถึงเขาหินช้าง เกิดยางแตก กำลังเปลี่ยนยางอยู่นั้น ไอ้น้อยกวางหลวงปู่ก็หลุดหนีออกมาได้ ไอ้น้อยได้ไปเที่ยวอยู่แถว ๆ พ่อตาหินช้าง บ้านยายไท แถวน้ำตกกะเปาะอำเภอท่าแซะ อยู่ระยะหนึ่ง
    จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ไอ้น้อย กำลังเที่ยวหาอาหารอยู่ในเวลาเช้า ไอ้น้อย หารู้ตัวไม่ว่า ความตายกำลังจะมาเยือนมันอยู่แล้ว ขณะที่มันกำลังเพลิดเพลินเล็มยอดไม้อยู่นั้น ก็ได้มีชายผู้หนึ่ง ชื่อว่า นายหวิน กำลังจะยัดเยียดความตายให้กับไอ้น้อย ด้วยอาวุธปืน
    นายหวินได้สับไกปืน เพื่อทีหวังจะล้มไอ้น้อยให้ได้ แต่ ๒ ครั้ง ๓ ครั้งแล้ว กระสุนของนายหวินก็ไม่ระเบิด แต่ทำไมจึงทำอะไรไอ้น้อยไม่ได้
    “มันกวางอะไร กวางของใคร ทำไม่จึงยิงไม่ออก แปลก”
    นายหวินรำพึงรำพันอยู่ในใจ ขณะที่นายหวินครุ่นคิดอยู่นั้น สายตาไปเหลือบเป็นผ้าสีเหลือง คือผ้าพระผูกอยู่ที่คอของไอ้น้อย ด้วยความมั่นใจในฝีมือตัวเอง ประกอบกับดวงของได้น้อยมันถึงฆาต เหมือนกับคำที่กล่าวว่า
    “ถึงคราวตายแน่นอน ทางแก้ไม่มี ตายแน่เราหนีกันไปไม่พ้น จะเป็นราชาหรือมหาโจร ต้องทิ้งกายสกนธ์สู่เชิงตะกอน”
    นายหวินได้เข้าไปปลดผ้าสีเหลืองที่ผูกคอไอ้น้อยไว้ ซึ่งเป็นเศษผ้าจีวรของหลวงปู่ออกจากคอไอ้น้อย
    อนิจจาความตายกำลังจะมาเยือน ไอ้น้อย เมื่อดวงมันถึงฆาต มันก็ทำอะไรไม่ถูก ธรรมดาแล้วมันไม่ค่อยจะให้ใครเข้าใกล้ตัวมัน ยกเว้น หลวงปู่ และกับคนที่มันรู้จักมักคุ้นเท่านั้น แต่เพราะสัตว์มันไว้ใจคน หารู้ไม่ว่า คน ๆ นั้นกำลังจะหยิบยื่นความตายให้
    นายหวินปลดผ้าเหลืองออกจากคอไอ้น้อยแล้วก็รีบวิ่งกลับไปยังบริเวณที่ได้เอาปืนพิงไว้กับต้นไม้ใหญ่ เบนลำกล้องปืนกลับมาสู่ตัวไอ้น้อยอีกครั้ง พร้อมกับลั่นไก “ปัง” เสียงปืนดังแน่นคับราวป่า ผู้ชำนาญเสียงปืน ถ้าได้ยินเสียงก็บอกได้ว่า กระสุนเข้าเป้าอย่างแน่นอน
    ไอ้น้อยล้มทั้งยืน ในขณะที่ปากของมันยังคาบยอดไม้อ่อนอยู่ แต่ว่ามันไม่มีโอกาสที่จะได้เคี้ยวอีกต่อไป เลือดแดงฉานทะลักออกมาจากท้องราวกับสายน้ำ ตาของไอ้น้อยค้าง แต่หากมันมีความรู้สึกสักนิด ก็จะสงสัยว่า “ทำไมวันนี้จึงสั้นเสียเหลือเกิน เรากินอาหารมื้อเช้ายังไม่ทันอิ่ม ก็มืดเสียแล้ว” โอ้อนิจจาความตายไม่เคยเว้นใคร แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน
    ฝ่ายนายหวิน มือเพชฌฆาต ดีอกดีใจที่ได้ล้มไอ้น้อยลงได้ใครล่ะจะแน่กว่าเรา ภรรยาของหวิน อยู่ที่บ้านตกใจ โดยไม่รู้สาเหตุ ตะโกนบอกเพื่อนบ้านใกล้เคียงว่า "หวินยิงกวางหลวงปู่ หวินยิงกวางหลวงปู่" ทั้ง ๆ ที่มิเห็นกับตา
    เพื่อนบ้าน เมื่อได้ยินดังนั้น ก็พากันไปดู พบหวินกำลังชำแหละเนื้อกวางตัวนั้นอยู่ บางคนก็คิดอยากจะช่วย แต่ในขณะนั้นเอง กลิ่นอุจจาระก็ส่งกลิ่นตลบอบอวน โดยไม่ทราบสาเหตุที่ไปที่มาของกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ หวินและเพื่อนบ้านช่วยกันตรวจสอบ ก็พบว่ากลิ่นนั้นมาจากซากกวางที่ถูกยิงนั้นเอง ในที่สุด ก็ไม่มีใครเอาเนื้อนั้นไปได้เลยแม้แต่น้อย เพราะเหมือนจะเหม็นจนไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะต้อง
    ฝ่ายหวินเอง เมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นก็เริ่มตกใจกลัวจนใจเตลิดเปิดเปิง กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า “กวางที่ตัวเองล้มกับมือ กลายเป็นอุจจาระไปได้อย่างไร” สติวิปลาสขึ้นในบัดดลนั้นเอง วิ่งเตลิดเปิดเปิงกลับบ้านไม่ถูก
    เพื่อนบ้านกับภรรยาของหวิน เมื่อทราบดังนั้นจึงได้ไปบอกกล่าวขอโทษหลวงปู่ ที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยว่า
    “หวินมันยิงกวางเสียแล้วล่ะ หลวงปู่”
    หลวงปู่ก็กล่าวว่า “คนยิงมันบ้า”
    นายหวินก็บ้าไม่ได้สติตั้งแต่บัดนั้นจนทุกวันนี้ จะด้วยกรรมที่หวินทำลงไปหรืออะไร เราเองก็ไม่ทราบได้ แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับนายหวิน เพราะนายหวินไปยิงกวางของหลวงปู่ตาย

    กิจวัตรของหลวงปู่สงฆ์ จันทสโร

    เวลา ๐๔.๐๐ น. ไหว้พระทำวัตรเช้า
    เวลา ๐๖.๑๐ น. ท่านออกจากห้องเตรียมที่จะออกบิณฑบาต ในระหว่างนั้น สามเณรอุปัฏฐากจะขึ้นปฏิบัติและญาติโยมมากราบขอพร
    เวลา ๐๗.๐๐ น. ออกบิณฑบาต เมื่อกลับมาแล้วท่านเข้าห้องไหว้พระอีก
    เวลา ๐๙.๐๐ น. ลงหอฉัน เพื่อฉันภัตตาหาร เมื่อฉันภัตตาหารและให้พรเรียบร้อย ท่านจะพูดคุยกับญาติโยมที่มาทำบุญ หลังจากนั้นท่านกลับขึ้นกุฏิและต้อนรับพุทธศาสนิกชนที่มาจากใกล้และไกลพอสมควร แล้วเข้าห้องพักผ่อน
    เวลา ๑๒.๓๐ น. ออกจากห้อง เพื่อต้อนรับศรัทธาญาติโยมที่มาขอพร
    เวลา ๑๔.๐๐ น. ท่านสรงน้ำแล้วเข้าห้องไหว้พระสวดมนต์
    เวลา ๑๖.๐๐ น. ออกจากห้องต้อนรับญาติโยมที่มาขอพร
    เวลา ๑๘.๐๐ น. เข้าห้องทำกิจภาวนา และให้ภิกษุสามเณรทั้งหมดต้องทำกิจภาวนาด้วย จนถึงเวลา ๒๐.๐๐ น.
    เวลา ๒๐.๐๐ น. เสร็จจากทำกิจภาวนาแล้ว ออกจากห้องให้ภิกษุสามเณรขึ้นปรนนิบัติ และเป็นโอกาสที่ท่านให้โอวาทแนะ นำ สั่งสอน
    เวลา ๒๒.๐๐ น. เข้าห้องพักผ่อน
    เวลา ๒๔.๐๐ น. ล่วงจากนี้ไปแล้วท่านจะทำกิจภาวนาไปจนถึงเวลา ๐๔.๐๐ น. อนึ่งถ้าเป็นวันพระกลางเดือนและ สิ้นเดือน เวลา ๑๓.๐๐ น.ท่านจะลงอุโบสถพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เพื่อสวดและฟังพระปาฏิโมกข์โดยมิได้ขาด

    หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร

    < lp-song-pic-11.jpg
    บิณฑบาต
    ท่านได้เข้าพำนักอยู่ประจำที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย นี้ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๒ จนถึง วันอังคาร ที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ตรงกับแรม ๙ ค่ำเดือน ๘ ปีกุน ก่อนหน้านี้หนึ่งวันหลวงปู่ได้ให้คนไปตามหลวงพ่อคงจากวัดวิสัยซึ่งเป็นหลานชายของท่าน ให้มาพบ และกล่าวว่า เมื่อท่านสิ้น ขอมอบบาตร ไม้เท้า และ ย่ามให้แก่หลวงพ่อคงนำไปเก็บรักษาไว้ด้วย
    วันอังคารที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ตอนเช้าหลวงปู่ท่านยังรู้สึกตัว มีสายน้ำเกลือติดอยู่ที่แขนท่าน นอนสงบอยู่บนเตียงที่กุฏิ เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. เศษๆ ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดที่มาปรนนิบัติหลวงปู่เห็นท่านนอนนิ่ง แต่ทว่าน้ำเกลือไหลเปรอะออกมาจึงได้ไปตามหมอมาดู ปรากฏว่าหลวงปู่ท่านได้จากไปอย่างสงบเสียแล้ว น้ำไม่ได้เข้าสู่ร่างกายเพราะลมหายของหลวงปู่หยุด น้ำเกลือจึงไหลล้นออกมาไม่อาจเข้าร่างกาย หลวงปู่จากไปอย่างสงบไม่ทราบเวลาที่แน่นอนเพราะท่านนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่กระวนกระวายจนผิดสังเกต
    บรรยากาศ ณ เวลานั้นช่างเงียบเชียบ แม้แต่สายลมยังหยุดนิ่ง ใบไม้ไม่ไหวติงไม่มีแม้แต่เสียงนก เสียงกา ร้องเหมือนปกติเช่นเคย แสงแดดส่องประกายเหลืองจ้าผิดปกติจากทุกๆ วัน ทุกสรรพเสียงเงียบเชียบ ไม่เพียงแต่เสียงฆ้องกลองดังระงมไปทั่วซึ่งเป็นการบอกเหตุให้ชาวบ้านได้รับรู้ บ้างต่างก็พากันงุนงงเต็มไปด้วยความสงสัยสับสน มีบ้างที่รู้ถึงข่าวการอาพาธของหลวงปู่ก็เกิดความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก ถึงลางบอกเหตุของการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ดังนั้นทุกคนในบริเวณที่รัศมีเสียงฆ้องกลอง สามารถดังถึง ก็รีบมาที่วัดเป็นการด่วน บางคนทิ้งจอบทิ้งเสียมไว้กลางทุ่งนาโดยมิได้นึกถึงสิ่งใด เพราะตอนนี้ทุกคนต่างต้องการมาให้ถึงวัดโดยเร็ว
    เมื่อมาถึงในบริเวณวัด พอทราบว่าหลวงปู่ท่านได้จากไปเสียแล้ว สร้างความเศร้าโศกเสียใจ บางคนถึงกับร้องไห้ฟูมฟายบางคนน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ด้วยคิดว่าตอนนี้ที่พึ่งทางใจได้จากไปเสียแล้ว ต่อไปนี้จะพึ่งใคร เพราะตอนสมัยหลวงปู่ท่านยังอยู่ ไม่ว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเดือดร้อนด้วยเรื่องอันใดก็จะได้หลวงปู่เป็นที่พึ่งปัดเป่าทุกข์ร้อนต่างๆ ให้สิ้นไป ต่อจากนี้ไปจะหันหาไปพึ่งใครได้อีกเล่า ยิ่งทำให้บรรยากาศในบริเวณวัดวังเวงยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อบรรดาศิษย์ทั้งหลายที่อยู่ไกลออกไปทราบข่าวคราว ต่างก็พากันมาที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย อย่างเนืองแน่นจากทุกสารทิศเพื่อกราบนมัสการสรีระและบำเพ็ญกุศล ถวายแด่ หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร
    ตั้งแต่เช้าจรดค่ำคืน ที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน บ้างต้องจอดรถยนต์เดินกันเป็นระยะทาง ๒ - ๓กิโลเมตร
    ในระหว่างงานมีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้น คือ หาใช่เพียงแต่ผู้คนไม่ที่มานมัสการสรีระของหลวงปู่ แม้แต่เต่าที่ท่านได้เคยเลี้ยงและได้ปล่อยไปแล้ว ยังกลับมาที่วัด เสมือนว่ามันจะทราบว่าหลวงปู่ได้ละสังขารแล้ว
    ในวันที่เต่าปรากฏนั้นเกิดพายุหมุนเล่นเอาสังกะสีหลังคาโรงที่สร้างเอาไว้สำหรับรองรับคนที่มาฟังเทศน์ ฟังการสวดพระอภิธรรม กระจัดกระจาย สังกะสีปลิวว่อน แต่ไม่มีใครได้รับอันตรายแต่อย่างใด
    เต่าตัวนี้มีขนาดประมาณ ๑๕ - ๒๐ นิ้วเห็นจะได้ เมื่อมาถึงที่ศาลา มีคนอุ้มเอาขึ้นไปวางไว้ตรงหน้าหีบศพของหลวงปู่ เมื่อวางเสร็จเต่าตัวนี้ก็ทำหัวผงกๆ จากนั้นก็นั่ง มีคนเห็นเต่าน้ำตาไหล อาบแก้มทั้งสอง ข่าวนี้กระจายไปทั่วเมืองชุมพร คนก็เลยมาดูเต่ากันมากขึ้น
    สิ่งที่น่าประหลาด คือ เมื่อนำเต่าออกมาถ่ายรูป หรือจะนำออกมาวางในลักษณะใดก็ตาม พอวางเสร็จสักครู่ เต่าก็จะหันหัว กลับไปที่หีบศพทุกครั้ง แล้วกลับไปนอนนิ่งใต้หีบศพของหลวงปู่
    ความแปลกยังมีอีก จนกระทั่งถึงวันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ จากจำนวนเต่า ๑ ตัว แรก กลายเป็น ๙ ตัว เพราะมีเต่าเพิ่มมาอีก บางตัวมาปรากฏอยู่หน้าลานวัด บางตัวชาวบ้านจับเอา มาส่งที่วัด เพราะ เขาเล่าว่าตอนขณะที่พวกเขาจะเดินทางมานมัสการหลวงปู่ เต่าได้ออกมาขวางหน้ารถ คล้ายกับว่าจะให้พามันมานมัสการหลวงปู่ด้วยนั่นเอง

    lp-song-pic-12.jpg
    กิจวัตร
    ที่เป็นอย่างนี้เพราะเหตุว่า เมื่อตอนหลวงปู่ยังอยู่นั้น หากชาวบ้านพบเต่าคลานอยู่หรือว่าจับได้ ก็จะนำมาถวายหลวงปู่ที่วัด ท่านก็จะเอาสีเขียนทาลงไป เขียนชื่อท่านบ้าง เขียนชื่อวัดบ้าง บางตัวก็จะมีอักขระขอม เป็นที่รู้กันว่านี่คือเต่าของหลวงปู่ เป็นเต่าพันธุ์เต่าหก มีลักษณะ ๖ ขา เป็นเต่าพันธุ์เฉพาะถิ่นในแถบเมืองชุมพรนี้ บางตัวหากจะยกต้องให้ผู้ชายกำลังดีๆ ถึง ๔ คนจึงจะยกได้
    มีเรื่องแปลกอีกว่า หลวงปู่ไปเข้าฝันชายคนหนึ่งแถวบ้านสามแก้วว่าให้ไปช่วยลูกของท่านที่ตกบ่อด้วย ชายคนนั้นไปดูตามบ่อต่างๆ ก็พบเต่ากำลังตะเกียกตะกาย จะขึ้นจากบ่อมาให้ได้ เขาก็ช่วยมาจากบ่อ พอดูที่กระดองเต่าก็เห็นอักษรเขียนว่า ว.ศ.ล. คือ เป็นตัวย่อของวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยนั่นเอง ก็เลยนำมาที่วัด มีชาวบ้านที่ได้มานมัสการหลวงปู่ เมื่อมาพบเห็นเต่าก็นำไปตีเป็นตัวเลข นำไปแทงหวย ในงวดวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ถูกกันเกือบทั้งเมืองชุมพร ข่าวเรื่องเต่าของหลวงปู่เป็นที่เกรียวกราวมากในจังหวัดชุมพร

    หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร
    ท่านได้เข้าพำนักอยู่ประจำที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย นี้ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๒ จนถึง วันอังคารที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ตรงกับแรม ๙ ค่ำ เดือน ๘ ปีกุน เวลา ประมาณ ๑๐.๐๐ น. เศษๆ ท่านก็ได้มรณภาพ รวมสิริอายุได้ ๙๔ ปี ๓ เดือน ๒ วัน

    lp-song-pic-13.jpg
    สรีระหลวงปู่ประดิษฐานในโลงแก้ว
    รวมท่านอยู่ที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยเป็นเวลา ๖๔ ปี ทางศิษยานุศิษย์ ได้จัดพิธีบำเพ็ญกุศลศพของหลวงปู่ ตั้งแต่วัน ๒ - ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ และได้ทำพิธีปิดศพในคืนวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ หลังจากนั้นทุกๆ คืนจะมีการสวดพระอภิธรรมโดยพระภิกษุภายในวัด และโดยเฉพาะในวันอังคาร ซึ่งกับวันคล้ายวันเกิด และวันมรณภาพ ของหลวงปู่ท่าน จะมีการสวดพิเศษคือ การสวดในบท อนัตตลักขณสูตร และอาทิตตปริยายสูตร สลับกันไปทุกๆ วันอังคาร ของแต่ละสัปดาห์ และจะมีการสวดครบรอบวันมรณภาพในแต่ละปี โดยตรงกับ วันที่ ๒ สิงหาคม ของทุกๆ ปี จะมีการนิมนต์พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ในจังหวัดชุมพร มาสวดเป็นประจำทุกๆ ปี
    ปัจจุบัน สรีระของหลวงปู่ได้ประดิษฐานอยู่ บนศาลาธรรมสังเวช เพี่อให้พุทธศาสนิกชนและศิษยานุศิษย์ได้กราบสักการบูชาตลอดไป
    คำให้พรของหลวงปู่ที่ได้ยินบ่อยครั้ง จงบังเกิดมีแด่ญาติโยมทุกๆ ท่านเทอญ....

    bar-red-lotus-small.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2020
  4. auto1471

    auto1471 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    1,472
    ค่าพลัง:
    +6,418
    ปัญหาเข้าแล้วพี่ ขอราคาให้หนูด้วย ทุกรายการจ้า
     
  5. helium

    helium เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    848
    ค่าพลัง:
    +2,124
    ปัญหาเดียวกันเลยครับ อิอิ

    ขอทราบราคาบูชาทุกรายการเรยค๊าบบบบบ (kiss)
     
  6. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2012
  7. suwit12

    suwit12 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +10
    หลวงปู่ทิม เสมาแปดรอบทองแดงโค๊ต 2 โค๊ด "นะ/ชินบัญชร ราคาเท่าไรครับ

    ราคาเช่าเท่าไรครับ สวยงามมากเลย
     
  8. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853

    ขอบพระคุณมากครับที่ให้ความสนใจ ปิดรายการนี้ไปแล้วครับ
     
  9. suwit12

    suwit12 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +10
    สวัสดีครับ
    ไม่ทราบว่ายังมีรายการไหนมี่ยังมีอยู่บ้างครับ
    suwit-w@hotmail.com
     
  10. allalla

    allalla สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +12
    รายการที่ ๕.

    มหามนต์ตราชั้นสูง เมตตรามหานิยมเป็นเลิศ ขุนแผนผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม ระหารไร่ ปี 2517
    ทราบราคาหน่อย ไกล้จะได้เงินละ
     
  11. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853

    ขอหลวงปู่ทิมพ่อพราย/แม่พรายด้วยนะครับจะได้ ได้ไวๆครับท่าน ขอบพระคุณมากครับ
     
  12. ืnyuosho

    ืnyuosho สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +17
    พี่ชาตรี ลูกที่สองผมจองอยู่นะ โอนวันที่ 30 ครับ อย่าพึ่งให้ใครนะ Please
     
  13. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    ยังจำได้ครับเพื่อนๆที่สอบถามมาเป็นพยาน อิอิอิ

    ผมเก็บไว้ให้ครับลูกนี้ ฃ่วงนี้หามาออกไม่ได้เลยครับที่แท้ๆหายากราคาก็พุ่ง

    เอาครับเพื่อนๆทุกๆท่าน เหลือลูกที่ เลี่ยมทอง ลูกสุดท้ายนัครับ

    ขอบคุณครับ
     
  14. ืnyuosho

    ืnyuosho สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +17
    โอนเงินให้แล้วครับ 12,000 บ. ที่อยู่ PM ไปแล้วครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 เมษายน 2012
  15. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853

    ขอบพระคุณครับ จัดส่งให้วันนี้เลยครับพรุ่งนี้รอรับได้เลยครับท่าน
     
  16. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    ปิดตาน้ำท่วม มรดกหลวงปู่ทิมที่น่าบูชา

    พระที่หลวงปู่ทิมตั้งใจสุดๆ ตามที่ทางคุณเพียรวิทย์เล่าให้ฟัง หลวงปูทิมท่านเอา ผงพรายออกมาจากคำภีร์ ที่ท่านนำแผนผงพรายสอดไว้ไม่แน่ใจว่าเป็นส่วนกระโหลกที่ยังไม่ได้ตำหรือเปล่า หลวงปู่ทิมที่ทำการพี มานิดแล้วใส่ลงใน ตะกั่ว มาดูครับเรื่องเมตตาและพรายคุ้มครองสุดยอดครับ พระองค์ที่แจกครับว่า พระชุดนี้หลวงปู่เป็นผู้สร้างเอง นั่งควบคุมการเทเอง และแถมยังเป็นผู้ดำริคิดสร้างเอง วัตถุมงคลชุดนี้คือ “พระปิดตาและรูปเหมือนเจริญพรรุ่นน้ำท่วม”
    กรรมวิธีการสร้างและสลับซับซ้อนอย่างไร ทำไมจึงเรียกว่า “รุ่นน้ำท่วม” ก็ขอให้ท่านลองติดตามดูนะครับ

    ย้อนหลังไปในปี พ.ศ.๒๕๑๗ ประมาณเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ได้เกิดน้ำป่าไหลทะลักลงมาท่วมอย่างฉับพลันแถว อ.บ้านค่าย อ.แกลง และทีอื่นๆ อีกมาก วัดละหารไร่ ตอนนั้นน้ำท่วมสูงถึงประมาณ ๑ คืบจะถึงพื้นกุฏิของวัด

    เวลานั้น ผม พระ เณร และช่างที่ก่อสร้างศาลาการเปรียญได้ช่วยกันเก็บของในวัดอย่างจ้าละหวั่น น้ำได้ท่วมรุนแรงและไหลเชี่ยวกรากมาก หลวงปู่ได้เดินออกมาและดูกระแสน้ำตรงหน้าต่างและเอ่ยกับผมว่า “ตั้งแต่นี่เกิดก็เห็นน้ำท่วมมากอย่างนี้เป็นครั้งที่สอง” ตัวผมติดอยู่ในวัดอยู่หลายอาทิตย์จนหัวใจหงุดหงิด ใจหนึ่งก็อยากจะลุยน้ำออกจากวัดเพื่อกลับบ้าน อีกใจหนึ่งก็เป็นห่วงหลวงปู่ น้ำได้ท่วมอยู่นานไม่มีทีท่าจะลดลง
    และอยู่ๆ คืนวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังนวดให้ท่าน ท่านก็ปรารภกับผมว่าอยากจะทำพระสักรุ่นหนึ่งเพื่อเป็นที่ระลึกตอนน้ำท่วม ผมได้ยินเช่นนั้นจึงพูดสนับสนุนทันที เพราะทราบอยู่ในใจว่าหลวงปู่เป็นผู้ที่สร้างของยาก เมื่ออท่านเอ่ยเช่นนี้แสดงว่าพวกเราจะได้ของดีจากท่านไว้ติดตัวอย่างแน่นอน ท่านใช้ผมไปตามหลวงลุงรอด ซึ่งมีห้องอยู่ตรงข้ามห้องของหลวงปู่ เมื่อมาถึงหลวงปู่ได้ถามหลวงลุงรอดว่า ตะกั่วที่นี่ให้เก็บไว้ ให้เอาออกมาให้หมดจะทำพระไว้แจก เมื่อท่านพูดเสร็จหลวงปู่ก็ลุกไปที่ห้องท่านและเรียกผมเข้าไปด้วย หลวงปู่ใช้ให้ผมมุดเข้าไปใต้เตียงนอนตรงบริเวณหัวเตียงด้านล่างจะมีถังใบหนึ่งภายในมี ตะกั่วเป็นก้อนๆ บรรจุอยู่เต็มไปหมด ท่านให้ผมลากออกมาผมสังเกตว่า นอกจาก ตะกั่วแล้วยังมีตะกรุดเก่าๆ ที่เป็นเนื้อชินตะกั่วและตะกั่วอวนเป็นเม็ดๆ อยู่ในนั้นอีกด้วย ผมยังหยิบเก็บไว้ดูเป็นที่ระลึกดอกหนึ่งและเม็ดตะกั่วอีก ๕-๖ เม็ด สำหรับแผ่นตะกั่วที่อยู่ในห้องหลวงลุงนั้น เป็นแผ่นตะกั่วยาวๆ นิ่มอ่อน หลวงปู่ได้ใช้ให้ผมตีตะกั่วแผ่ออกเป็นแผ่น เมื่อตีจนได้ที่แล้วท่าน ก็ใช้เหล็กจารอักขระลงไปทีละแผ่น หลังจากนั้นท่านก็ให้ผมพับแผ่นตะกั่วและใช้ฆ้อนตีกลับไปกลับมาและแผ่ออกมาใหม่ และจึงใช้เหล็กจารอักขระลงไปอีก และก็ทุบกลับไปกลับมาอีก ทำเช่นนี้ตั้งหลายครั้งจนผมสงสัยจึงถามหลวงปู่ว่า หลวงปู่ ทำไมต้องทำแบบนี้ ไม่เห็นสนุกเลย ท่านตอบว่า คนโบราณเรียกว่า ลงถมต้องลงให้ครบ ๙ ครั้งถ้าได้ ๑๐๘ ครั้งยิ่งดีใหญ่ พวกเราพอได้ยินเช่นนั้นจึงได้ช่วยหลวงปู่ทำเพื่อหวังขอของดีจากหลวงปู่ในครั้งนี้
    กว่าจะลงถมเสร็จก็ใช้เวลากว่า ๓ วัน เมื่อหลวงปู่เห็นว่าดีแล้วท่านก็รวบรวมแผ่นตะกั่วทั้งหมดรวมทั้งตะกั่วเถื่อนที่อยู่ในห้องของท่าน ผมสังเกตว่าตะกั่วทุกก้อนที่อยู่ในห้องของท่านจะมีจารอักขระทุกก้อน แสดงว่าท่านได้เตรียมการมานานแล้ว แต่ยังหาโอกาสและฤกษ์ดีไม่ได้ จากนั้นท่านจึงนำตะกั่วทั้งหมดทำพิธีปลุกเสกในห้องของท่าน ๗ วัน จนถึงวันเสาร์ หลวงปู่ก็เรียกผม เณรฉ่ำ เณรลาว และช่างมงคล หลวงลุงรอด ให้มาหาและบอกว่า วันนี้ฤกษ์ดี
    เทวดารักษา จะได้ลงมือทำพระกันเสียที เมื่อท่านพูดเสร็จท่านหยิบ ขันสำริด ที่ก้นขันได้จารอักขระเต็มไปหมด ต่อจากนั้นจึงให้หลวงลุงเอาพิมพ์พระเครื่องต่างๆ มาให้ท่านดู ท่านได้เลือกดูสักพักจึงหยิบเอาพิมพ์ปิดตาและพิมพ์รูปเหมือนเจริญพร ที่ทางคุณชินพร สุขสถิตย์ ได้ถวายคืนให้วัดนำมาพิจารณาต่อ ต่อจากนั้นหลวงปู่ก็หยิบเหล็กจารจารลงไปที่พิมพ์ปิดตาและพิมพ์เจริญพร พนมมืออธิษฐานจิต ซึ่งพวกเราก็ได้แต่ดูการกระทำของท่านอยู่เงียบๆ หลังจากนั้น
    จึงตั้งไปเพื่อที่จะหลอมตะกั่ว

    แต่ก่อนที่จะทำพิธีหลอมตะกั่วนี้ หลวงปู่ได้ลุกขึ้นไปหยิบคัมภีร์ใบลานเก่าค่อยๆ เปิดทีละแผ่น หยิบวัสดุชิ้นสีขาวออกมาชิ้นหนึ่ง ซึ่งพวกเราที่อยู่ในพิธีนี้รู้ทันทีว่า “วัสดุสีขาวที่หลวงปู่หยิบออกมาคือหัวกะโหลกเด็กที่หลวงปู่นำมาทำผงพรายกุมาร ทุกครั้งที่จะมีการสร้างพระผง ท่านยกมือบริกรรมคาถาอยู่ชั่วครู่ใหญ่ จึงค่อยๆ บิหัวกะโหลกพรายกุมาร แล้วจึงใช้ค้อนทุบลงไปในแผ่นตะกั่ว เณรฉ่ำเห็นเช่นนั้นจึงถามหลวงปู่ว่า หลวงปู่ทุบหัวกะโหลกหรือ? ท่านก็เงื้อค้อนตีเณรบอกว่า กำลังตีตะกั่วอยู่ไม่เห็นหรือไง? จากนั้นท่านจึงค่อยๆ บรรจงเอาแผ่นตะกั่วชิ้นนี้วางลงไปในขันสำริดและติดไฟสุมอ่อนๆ จนแผ่นตะกั่วละลายลงไปทีละน้อย

    ในการเทครั้งนี้ เนื่องจากทุกคนยังไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้เท่าไหร่นัก จึงเทออกมาสวยบ้างไม่สวยบ้าง หล่อติดบ้าง ไม่ติดบ้าง เนื่องจากทนไอพิษจากตะกั่วไม่ไหว หลวงปู่จึงให้ทุกคนที่อยู่ในพิธีใช้ผ้าปิดปาก ปิดจมูก เหลือไว้แต่ตาคอยดูเพื่อป้องกันไอตะกั่วระเหยออกมาอย่างรุนแรง

    แต่นั่นแหละครับ ถึงแม้จะป้องกันแค่ไหนเณรฉ่ำเข้าไปนั่งเทได้สักพักหนึ่งยังต้องออกจากพิธีเพราะทนความร้อนและพิษไอตะกั่วไม่ไหว หลวงปู่เห็นเช่นนั้นจึงให้ทุกคนค่อยๆ ถอยห่างออกไป ท่านค่อยๆ ใช้ช้อนคนตะกั่วในขันสัมริดและหยิบพิมพ์ปิดตาและพิมพ์รูปเหมือนเจริญพร ซึ่งช่างมงคลได้ใช้คีมคีบไว้กันไม่ให้ร้อนมือพอเทใส่เบ้าเสร็จท่านจึงรีบนำมาแช่น้ำมนต์ที่ท่านวางใส่ขันเตรียมไว้ข้างๆ

    พระชุดนี้เนื่องจากมีแม่พิมพ์ตัวเดียวจึงทำให้เทช้ามาก หลวงปู่กลัวว่าจะเสียฤกษ์จึงให้ช่างมงคลและหลวงลุงรอดทำการถอดพิมพ์ออกมาหลายอันเพื่อที่จะได้ช่วยกันเทให้เสร็จโดยเร็ว กว่าพวกเราจะช่วยหลวงปู่ทำพระชุดนี้เสร็จก็ใช้เวลาเกือบ ๑ เดือน เนื่องจากตะกั่วที่หลอมในครั้งนี้บางอันละลายเร็ว แต่ถ้าเป็นตะกั่วเถื่อนจะละลายช้ามาก เพราะมีขี้ตะกั่วลอยอยู่ที่ผิวเต็มไปหมดจึงลำบากมากในการเทเมื่อเทเสร็จแล้วได้พระประมาณ ๑ บาตร หลวงปู่จึงใช้ในผม เณรฉ่ำ เณรลาว ให้จารหลังปิดตาด้วยคาถาว่า
    “อิ สวา สุ” จารได้ประมาณไม่ถึงร้อยองค์ทุกคนก็เลิกจารเนื่องจากเหล็กจารนั้นติดตะกั่วเวลาจารต้องลงแรงมาก หลวงลุงรอดจึงเดินเข้าไปในห้องหลวงปู่หยิบโค้ดต่างๆ ที่คุณชินพร สุขสถิตย์ ทำถวายวัดเพื่อนำมาตอกปลัดขิกของวัดให้หลวงปู่พิจารณาดูว่าจะใช้ได้หรือไม่ เมื่อท่านดูแล้วท่านก็หยิบโค้ดตัว “เฑาะ” และโค้ด “มะอะอุ” ออกมา บอกให้เอาโค้ดตัว “เฑาะ” นี้ตอกหลังพระปิดตา โค้ด “มะอะอุ” ตอกหลังรูปเหมือนเจริญพร

    ในการเทพระชุดนี้หลวงลุงรอดได้เอาแม่พิมพ์หัวโตออกมาเทด้วย เทได้ ๕ องค์ปรากฏว่าแม่พิมพ์หัวโตที่เป็นหินมีดโกนทนความร้อนไม่ไหวถึงกับแตกหักเป็น ๒ เสี่ยงทันที และวันที่หลอมพระชุดนี้ก็ได้มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น ถ้าไม่กล่าวถึงก็อาจขาดรสชาติในการอ่านไปบ้าง

    วันแรกที่ทำพิธีเทพระชุดนี้ ท้องฟ้าที่สว่างไสวกลับมือครึ้มลมกระโชกแรงจนทุกคนกลัวกุฏิหลวงปู่และหอฉันหลังเก่าจะพังจมลงไปในน้ำ เมฆฝนคลุมไปทั่วราวกับว่าฝนจะตกหนัก ท่ามกลางความวิตกกังวลของทุกคนที่อยู่ในวัด ถ้าฝนตกลงมาเที่ยวนี้น้ำป่าจะไหลทะลักท่วมวัดพัดกุฏิพังเป็นแน่

    ทุกคนไม่อยากคิดเช่นนั้นโดยเฉพาะผมหวาดผวาอย่างหนักเนื่องจากว่ายน้ำไม่เป็น คิดในใจว่าเราคงเอาชีวิตมาทิ้งที่วัดหลวงปู่แล้วหรือนี่

    หลวงปู่เห็นเรามีความกังวลเช่นนี้ท่านก็เอ่ยว่า ไม่ต้องกลัวๆ เขารับรู้แล้วว่าวันนี้เราจะทำอะไรกัน เมื่อทำการหลอมพระเสร็จเฉพาะวันนั้น ท้องฟ้าที่มืดครึ้มกลับสว่างไสวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลวงปู่ได้หยิบพระชุดนี้ขึ้นมาดูทีละองค์และท่าน
    สายสิญจน์ที่ล้อมรอบวัตถุมงคลในห้องไว้ในมือท่าน ท่านจะนั่งปลุกเสกและลงของในลักษณะนี้ไม่ว่าจะเป็นวันออกพรรษาหรือเข้าพรรษา ท่านทำทุกคนจนถึง ๖ โมงเช้าจึงจะลืมตาขึ้นมา หลังจากนั้นท่านจะกราบลงที่หมอน ๓ ครั้งและก็ลุกออกไปนอกห้องเดินดูอะไรต่ออะไรไปเรื่อยๆ จนถึง ๘ โมงเช้าจึงจะถึงเวลาฉันเช้า ปกติหลวงปู่จะฉันเช้าเพียงมื้อเดียว อาหารที่ฉันจะเป็นอาหารที่ปราศจากเนื้อ จะมีผักถั่วฝักยาวเป็นพื้น ซึ่งท่านจะฉันเช่นนี้เป็นประจำจนชั่วชีวิตของท่าน

    พระชุดนี้หลวงปู่ปลุกเสกอยู่ทุกคืนเป็นเวลานาน จนพระเครื่องที่มีอยู่ในบาตรเต้นระรัวกระทบกันเสมือนคั่วข้างตอกแตก มีบางองค์กระเด็นออกมานอกบาตรก็มี ผมเห็นเช่นนั้นจึงได้ขอหลวงปู่เก็บไว้ส่วนตัวจำนวนหนึ่งซึ่งท่านก็มอบให้ หลวงปู่ได้ทำการแจกพระชุดนี้ให้แก่บรรดาผู้ที่นับถือท่านนำไปใช้และที่ไปกราบท่านที่วัด ท่านจะพูดเสมอว่า
    เก็บไว้ให้ดีของนี่รักษาตัวได้ และยังทำยากอีกด้วย พระปิดตาและรูปเหมือนเจริญพร ใครมาหาท่านท่านจะใช้ผมไปหยิบในบาตรและนำมาใส่พานเล็กๆ วางไว้หน้าท่าน ท่านจะแจกไปเรื่อยๆ จนใครๆ เรียกพระชุดนี้ว่า รุ่น “แจกทาน”
    ซึ่งก็ไม่ผิดกติกาเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดจะเรียกรุ่นนี้ว่า “รุ่นน้ำท่วม”

    พระปิดตาและรูปเหมือนเจริญพรนี้สร้างขึ้นด้วยเจตนารมณ์อันดีของหลวงปู่เพื่อสงเคราะห์ญาติโยมที่ยากจน ถ้าท่านเจอและดูเป็นก็ให้เก็บไว้ใช้เถิด ผมมั่นใจว่าพระชุดนี้ต้องยอดเยี่ยมไร้เทียมทานจริงๆ มิฉะนั้นผมคงไม่เลือกแขวนและใช้ติดตัวอยู่จนทุกวันนี้หรอกครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่มีพระเครื่องชุดอื่นของหลวงปู่ทิมนะครับ ตอนนี้ยังเหลืออยู่หลายองค์ทีเดียวแต่ที่ผมเลือกรุ่นนี้เพราะผมได้ยินหลวงปู่กล่าวว่า “พระรุ่นนี้นี่สร้างขึ้นมายาก หาฤกษ์มานาน ใครใช้จะรู้เอง แต่นี่รับรองใครมีไม่รู้จักอด มีเงินมีทองเหมือนกับน้ำที่ไหลไปที่ใดจะทำให้บ้านเรือนที่นั่นเกิดความสมบูรณ์”

    พระปิดตาและรูปเหมือนเจริญพรของหลวงปู่นี้ จัดเป็นพระชุดหนึ่งที่ท่านทำกับมือ เวลาเช่าหา ขอให้สังเกตุโค้ดที่ตอกหลังองค์พระเป็นสำคัญ ถ้าท่านจำโค้ดแม่นท่านอาจเช่าหากันในราคาไม่แพงก็ได้ เพราะเวลานี้คนที่ดูพระชุดนี้เป็นยังมีอยู่ไม่กี่คน บางคนก็ไม่เคยเห็นหน้าหลวงปู่เลยกลับตั้งเป็นผู้รู้เสียเองว่าพระนี้จะต้องมีลักษณะอย่างนี้เช่นนี้ ด้านหลังจะต้องมีรอยวนๆ อันนี้ไม่ใช่หลักสำคัญในการดูพระให้เป็นหรอกครับ เหตุที่ด้านหลังเป็นวนๆ นั้นเนื่องจากตะกั่วที่เทเป็นตะกั่วเนื้ออ่อน ถ้าเป็นตะกั่วเถื่อนหรือเป็นตะกั่วที่เป็นเนื้อชินด้านหลังจะไม่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากส่วนผสมของเนื้อตะกั่วหลายชนิดมารวมกันจึงมีความแข็งเป็นพิเศษ บางองค์จะมีสีดำ บางองค์จะมีพรายปรอทอยู่ไปทั่ว ก็แล้วแต่ส่วนผสมที่แต่ละคนเติมลงไป

    หลวงปู่ทองฤทธิ์ พระผู้เฒ่าเรืองอาคม อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าฉันทนิมิต จ. กาฬสินธุ์ ซึ่งผมและคุณชินพรได้ขึ้นไปกราบท่านที่วัด พอท่านเห็นรูปเหมือนเจริญพรรุ่นน้ำท่วมที่ผมคล้องอยู่ถึงกับขอดู พอดูเสร็จท่านก็หยิบพระขึ้นมาจบทำปากหมุบหมิบเหมือนท่านจะทำความเคารพหลวงปู่ทิมต่อหน้าผมและคุณชินพรที่มองท่านอย่างฉงนและทึ่งอยู่ในใจ ผมจึงถามท่านพระองค์นี้ดีอย่างไรครับ ? ท่านตอบว่า “องค์นี้ดีแล้วทุกอย่าง คุ้มได้ทุกอย่าง เจ้าของลงและเสกดีแล้ว”

    สมัยที่ หลวงปู่สด วัดโพธิ์แตงใต้ จ. อยุธยา ยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้อนุญาตให้ผมไปหา “ลูกแก้ว” นำมาให้ท่านอธิษฐานจิตเป็น “แก้วสารพัดนึก” ซึ่งท่านได้เมตตาอธิษฐานจิตให้ ๑ พรรษา และผมได้นำรูปเหมือนเจริญพรรุ่นน้ำท่วมให้ท่านดู พอท่านดูจบท่านตอบว่า “พระองค์นี้ดีมาก มีอานุภาพสูง ป้องกันสรรพสิ่งในโลกนี้ได้ ยิ่งอยู่กับคนที่มีศีลมีธรรมพระองค์นี้จะปรากฏความศักดิ์สิทธิ์ให้เห็นเร็ว เนื่องจากผู้ทำได้อัญเชิญเทวดาให้มารับรู้ด้วย” ซึ่งผมเองก็ไม่ทราบความหมายของประโยคหลัง แต่คิดว่าตอนหลวงปู่ทำพิธีคงจะอัญเชิญครูบาอาจารย์ เทวาอารักษ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้มารับรู้เป็นแน่แท้ ผมเคยถามหลวงปู่ว่า คาถาเชิญครูนั้นหลวงปู่เชิญและสวดใช้บทไหน ท่านตอบว่า ถ้าอยากรู้ ๒ ทุ่มมาหานี่ นี่จะสอนให้ และคืนนั้นผมก็ได้คาถาอัญเชิญครูจากท่านจริงๆ ซึ่งจะขอกล่าวถึงให้ท่านผู้อ่านที่สนใจจดจำไว้เผื่อมีโอกาสจะได้นำออกมาใช้บ้าง

    คาถาเชิญครูของหลวงปู่ทิม ก่อนอื่นให้ตั้ง นะโม ๓ จบ และสวด หัวใจห้องพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ทำจิตใจให้หยุดนิ่ง นิ่งหยุดทั้งนอกและใน เมื่อใจเป็นสมาธิแล้วจึงสวดพระคาถาอัญเชิญครูดังนี้

    นะโม นมัสการ จะไหว้ครูบาอาจารย์ อันมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและสมเด็จพระพุทธองค์ที่มีนามว่า พระกุกกุสันโธ พระโกนาคะมะโน พระกัสสะโปพุทโธ พระศรีศากยะมุนีโคดม พระอริยะเมตไตย ตลอดจน อะ อา อิ อี เอ โอ ขอเดชพระบารมีคุณพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ จงมาช่วยปราบภูตผีปีศาจ ผีพราย ผีเปรต อสุรกายและมายาที่กระทำให้เกิดโรคโรคาโพยภัยอันตราย อาวุธทั้งหลายจงคลาดแคล้ว สรรพอันร้ายกาจ ทั้งอุบาทว์และจังไร ทั้งคุณไสย ทั้งคุณผี คุณคน หุ่นพยนต์ อาถรรพ์ต่างๆ ที่ฝังไว้อยู่กลางทาง ขอเดชพระสัพพัญญูจงมาช่วยทำลาย ให้พ่ายแพ้
    ด้วยอาคม จะอาราธนาคุณพระธรรมเจ้าทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ให้สว่างไสวดังประทีปแก้วชัชวาล สอนมวลให้พ้นทุกข์ ขอเดชคุณพระพุทธเจ้าทั้งหลายบันดาลให้หายจากสรรพสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายในสากลโลก จะอาราธนาพระสงฆ์ที่ทรงศีลอันบริสุทธิ์มาเป็นพยาน ตักเอาน้ำในสระโบกขรณีมารค จะขอชำระล้างสิ่งสารพัดชั่วร้ายทั้งชาตินี้และชาติก่อน จะขออารธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สวดพระพุทธมนต์ให้พระเกตุมารักษา สารพัดเคราะห์ สารพัดโศก เสนียดจังไร ให้ขับออกไปนอกเสมา สัพเพเทวายักขาภูติ สัพเพชะนามะหายะโส สรรพสิ่งทั้งหลายที่เลวร้ายจงพ่ายไปด้วยนะโมพุทธายะ

    ต่อจากนั้นจึงสวดคาถาเบิกแผ่นดิน เบิกสรรพทั้งหลาย ซึ่งมีใจความว่า

    “โอมเบิก มหาเบิก โอมเลิก มหาเลิก จะเบิกธรณีสารแลทวารสลัก จะเบิกสิ่งที่ขวางหน้า จะเบิกแม่พระธรณีท้าวอินทร์พรหม จะเบิกคาถามหานิทราประกอบด้วยเตโช วาโยย้อนภูตพราย หมู่ปีศาจอันมีฤทธิ์ จะเบิกเทวดาอันอยู่ชั้นฟ้า จะเบิกพระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู พระเกตุ จะเบิกเพชรฉลูกรรจ์ ๗ ชั้น จะเบิกแหวนลูกกัลป์ถันพิรอดและรางทางลงด้วยพระปถมังอันศักดิ์สิทธิ์เป็นประเจียด ตะกรุดพุทธจักร เลขยันต์เป็นกำแพง ๗ ชั้นกันมนตรา โอมสวาหะ สวาหาย พุทธังประสิทธิ์ ธัมมังประสิทธิ์ สังฆังประสิทธิ์”

    เมื่อทำการเบิกแล้วจึงเสกด้วยคาถาอีกบทหนึ่งว่า

    “พุทธังเทวดารักษา ธัมมังเทวดารักษา สังฆังเทวดารักษา จะห้ามไฟ ไฟก็ดับ จะห้ามดิน ดินก็แยกเป็นน้ำ จะห้ามปืน ปืนก็ยิงไม่ออกและไหลออกจากปากกระบอกเสมือนเถ้าธุลี พุทโธป้องกัน ธัมโมล้อม สังโฆกัน โธอุด ธังอัดกันสารพัดศัตราวุธ วินาศสันติ ปถมังวิเนยะ พุทธังคุ้ม ธัมมังคุ้ม สังฆังคุ้ม อิติปิโสภควา อะระหังสัมมา พุทธังอยู่ตัวข้า ธัมมังเมตตาอย่าได้ขาด สังฆังคุ้มครองปวงสรรพสิ่งทั้งหลาย พุทธัง อัปมาโน อัปมาโนป้องกัน สารพัดศัตรู อาวุธเสนียดจังไร วินาศสันติ พุทธังอาราธนานัง ธัมมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง พระพุทธะอยู่หน้า พระธัมมะอยู่หลัง พระสังฆะคุ้มครอง หังขะรัง คงกระพันธานัง อธิษฐายาจามิ”

    จากนั้นท่านจึงนั่งสมาธิส่งกระแสจิตปลุกเสกตามกรรมวิธีของท่านที่ได้ร่ำเรียนมาจากครูบาอาจารย์ ซึ่งหลวงปู่กล่าวว่า ทุกครั้งที่ทำการจะต้องกล่าวคาถาเชิญครูดังกล่าวเช่นนี้เป็นประจำ จึงจะดีและศักดิ์สิทธิ์ ผมแค่เห็นคาถาที่ท่านบอกมาให้ก็ท้อใจเสียเสียแล้ว หรือท่านผู้อ่านจะทดลองทำดูถ้าดีอย่างไรก็ช่วยบอกให้ผมทราบด้วยก็แล้วกัน

    พระชุดน้ำท่วมนี้หลวงปู่ได้ทำการแจกจ่ายให้แก่ท่านผู้ที่นับถือท่านอยู่เสมอ แม้วันที่ท่านเจ้าคุณวัดป่าประดู่ ไปนิมนต์หลวงปู่ที่วัดเพื่อให้มาเกียรติในงานวันเกิดของท่านที่วัดป่าประดู่ จ. ระยอง เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๗ หลวงปู่ยังใช้ให้ผมนำพระชุดนี้ใส่ในย่ามนำมาแจกให้แก่บรรดาศิษยานุศิษย์ที่มาแสดงมุทิตาจิตกับท่านเจ้าคุณที่วัด วันนั้นต่างแย่งกันชุลมุนวุ่นวายไปหมด พระเครื่องที่เตรียมไปไม่พอแจก และก็เป็นที่หวงแหนแก่ผู้ที่ได้รับไปในตอนนั้นเป็นอย่างยิ่ง

    หลวงปู่เคยกล่าวให้ฟังว่า ตะกั่วเถื่อนที่นี่ได้มาเป็นของดีที่เกิดเองตามธรรมชาติ เมื่อมานำทำเป็นองค์พระให้ถูกต้องตามตำราที่นี่เรียนมา จะมีอำนาจความศักดิ์สิทธิ์สูงมากเพราะตะกั่วมีกระแสการดูดซับและรับพลังจิตจากผู้เสกเข้าไปได้ง่ายและรวดเร็วมาก ซึ่งก็ตรงกับ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กทม. ได้พูดไว้เมื่อคราวที่ผมและรองศาสตรจารย์ ดร.ชวลิต นิตยะ อาจารย์สถาปัตย์จุฬาฯ ได้ไปกราบหลวงปู่โต๊ะที่วัดเพื่อขอเมตตาให้ท่านทำเบี้ยแก้ใว้ใช้ติดตัว
    ซึ่งหลวงปู่ได้สาธิตวิธีทำและบอกว่าให้หาตะกั่วมาปิดปากหอยเบี้ย เนื่องจากตะกั่วนี้มีคุณพิเศษในตัวเองสามารถรับกระแสจิตและพลังอณูที่อยู่ในโลกนี้ได้เร็วกว่าวัตถุชนิดอื่น ยิ่งเป็นตะกั่วเถื่อนยิ่งดีใหญ่ แม้กระทั่ง หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา ท่านก็เคยกล่าวให้ผมฟังเช่นกัน

    พระปิดตาและรูปเหมือนเจริญพรรุ่นน้ำท่วมนี้สร้างขึ้นด้วยความตั้งใจของหลวงปู่เอง เพื่อฝากความเป็นอมตะของพระรุ่นนี้ให้เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้ใช้ ผมเคยนำแจก อาจารย์สุเทพ วินิชชากร อาจารย์ริ้วหว้าวิทยาคม จ.อ่างทอง ปรากฏมีประสบการณ์เกิดขึ้นกับอาจารย์สุเทพเป็นอันมาก รถกระบะของท่านได้ปะทะกับรถคันอื่น ตนเองไม่เป็นอันตรายที่คอมีพระปิดตารุ่นน้ำท่วมเพียงองค์เดียว คุณสุเทพได้นำพระชุดนี้เลี่ยมแขวนให้ลูกชาย ลูกชายถูกหมากัดไม่เข้าอีก

    เมื่อครั้งที่ หลวงปู่หล้า ตาทิพย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าตึง จ.เชียงใหม่ ยังมีชีวิตอยู่ ท่านเคยเห็นรูปเหมือนน้ำท่วมที่ผมแขวนอยู่และขอดูและพูดว่า “พระองค์นี้มีดีเหลือล้นสามารถบนขออะไรก็ได้ ถ้าได้แล้วให้ปิดทองที่องค์พระไว้จะเป็นมงคลยิ่งสำหรับผู้ที่ใช้ติดตัว”

    ผมเคยประสบอุบัติรถพลิกคว่ำที่ จ.อยุธยา เมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๓๕ รถเสียหลักปะทะกับรถอีกคันหนึ่งที่จอดอยู่ข้างทางกระเด็นตีลังกาพลิกคว่ำอยู่กลางทุ่งนา ปรากฏผมไม่เป็นอะไรเลยทุกคนในรถต่างแขวนพระปิดตารุ่นน้ำท่วมเพียงองค์เดียวกันทุกคน ส่วนผมแขวนรูปเหมือนเจริญพรและพระปิดตาน้ำท่วมอยู่อย่างละองค์ และเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๓๙ รถก็ไปพลิกคว่ำที่ จ.กาฬสินธุ์อีก ในวันนั้น ผมห้อยคอรูปเหมือนเจริญพรเนื้อชินตะกั่วรุ่นน้ำท่วมเพียงองค์เดียว อย่างงี้ไม่เรียกว่าของดีแล้วจะเรียกว่าอะไร ของจริงก็เป็นของจริงวันยังค่ำ หรือท่านว่าไม่จริง

    คุณชูชาติ รัตนเสถียร บ้านอยู่ ต.นาตาขวัญ จ.ระยอง เคยไปหาหลวงปู่ที่วัดหลายครั้ง ได้รับพระปิดตาและรูปเหมือนเจริญพรรุ่นน้ำท่วมจากหลวงปู่มาหลายองค์และก็แจกจ่ายพี่น้องของตนเองจนเกือบหมด เหลือที่คอบูชาไว้ ๒ องค์ ปรากฏว่าขับรถไปส่งเหล้าของบริษัท สุราทิพย์ จำกัด ออกต่างจังหวัดหลายครั้งหลายคราวก็ปลอดภัยทุกครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งตนเองเกิดหลับในวิ่งไปปะทะกับรถบรรทุกคันอื่นตนเองไม่ได้รับบาดเจ็บแต่คนอื่นบาดเจ็บสาหัส แถมยังมีลาภลอยอยู่เสมอจนพนักงานที่ทำงานอยู่ด้วยกันถามว่า มีอะไรดี คุณชูชาติตอบว่า มีพระปิดตาและรูปเหมือนเจริญพรรุ่นน้ำท่วมที่หลวงปู่ให้มา อาราธนาติดตัวและอธิษฐานขอลาภจากท่านเป็นประจำ ไปไหนก็สบาย มีคนมาขอเช่าต่อคุณชูชาติก็ไม่ให้แถมยังพูดว่า เงินทองพอหาได้แต่พระให้ไปแล้วไม่รู้จะไปหาที่ไหน เก็บไว้ใช้รักษาตัวดีกว่า

    ของดีมีน้อยถ้าท่านพอที่จะหาได้หาเก็บไว้ครับแนะนำ


    " ความเชื่อที่ผิดๆในเรื่องพระปิดตา "


    พระปิดตาเป็นพระเครื่องอีกรูปแบบหนึ่ง ที่คนนิยมกันมากในระยะหลัง เนื่องด้วยรูปแบบและกรรมวิธีการสร้าง

    พระปิดตา ในสมัยก่อนแรกๆจะไม่ค่อยมีคนสนใจเนื่องจาก มีความเชื่อกันมาก่อน เช่น มีพระปิดตาในบ้านแล้วคลอดลูกยากบ้าง มี พระปิดตา แล้วค้าขายของยาก ซึ่งเป็นความเข้าใจ ผิดๆ กันมาตลอดเลยครับจริงแล้วพระปิดตาเป็น พระเมตตามหาโชดครับ

    พระเครื่องประเภทหนึ่งที่นิยมกันมาก ด้วยพุทธลักษณะขององค์พระที่แตกต่างทั้งกรรมวิธีการส ร้าง รวมทั้งมีพุทธศิลปะ เป็นเอกลักษณ์แตกต่าง จากพระเครื่อง ประเภทอื่นๆ จนกลายเป็น ความโดดเด่น และได้รับความนิยม อย่างสูงยิ่ง ในหมู่พุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะ วงการพระเครื่อง ซึ่งรู้จักกัน ในนาม "พระปิดตา" กับ "พระมหาอุต"

    พุทธลักษณะของพระปิดตา เป็นรูปองค์พระ ที่ค่อนข้างอวบอ้วน ยกพระหัตถ์ ขึ้นปิดพระพักตร์ บางสำนัก ก็จะทำเป็นรูปมือ เพิ่มอีก ๒ ข้าง เอื้อมไปปิดทวารด้านล่าง (วงการเรียก "โยงก้น") อีกด้วย

    ประวัติการสร้างพระปิดตาในประเทศไทยนั้น เริ่มต้นในยุคอยุธยาตอนปลาย

    การสร้างพระปิดตา เริ่มได้รับความนิยมแพร่หลายตั้งแต่ตอนต้นยุครัตนโกส ินทร์เรื่อยมา จากข้อมูลดังกล่าวอาจได้ข้อสรุปในเบื้องต้นว่า พระปิดตาทั้งหมดเป็นพระปิดตาคณาจารย์ ซึ่งหมายถึงพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณเป็นผู้จัดสร้าง ไม่ใช่เป็นพระกรุที่สร้างโดยเจ้าพระยามหากษัตริย์ และไม่มีการสร้างก่อนสมัยอยุธยาตอนปลาย

    ลักษณะเด่นของพระปิดตานั้นนับเป็นพระเครื่องที่แสดงถึง "นัย" หรือ "ปริศนาธรรม" แห่งงานพุทธศิลปะอย่างโดดเด่น ยากจะหาพระเครื่องประเภทใดเทียบเทียมได้

    ความหมายเบื้องต้นแห่งการปิดตาก็คือ การปิด "ทวาร" หรือทางเข้าทางออกแห่งอาสวะกิเลสทั้งหลาย

    ซึ่งเราชื่อกันว่าร่างกายของมนุษย์ (หรือสัตว์) มี "ทวาร" หมายถึง ประตูแห่งการเข้าออก ๙ ทาง ได้แก่ ตา ๒ จมูก ๒ หู ๒ ปาก ๑ รวมทั้ง ช่องทางขับถ่ายด้านหน้าและ ด้านหลังอีก ๒ รวมเป็น ทวารทั้ง ๙
    การปิดกั้นทวารทั้ง ๙ เป็น

    ปริศนาธรรม ที่กั้นกิเลสจากภายนอกไม่ให้เข้ามาสู่ ภายใน เพื่อจุดหมายแห่งการปฏิบัติกรรมฐาน ซึ่งโบราณาจารย์ที่สร้างพระปิดตา (หรือปิดทวาร) ในอดีตจะเป็นพระภิกษุที่ขึ้นชื่อลือเลื่องทางวิปัสสน าธุระทั้งสิ้น

    แต่การสร้างรูปจำลองในลักษณะนี้ ค่อนข้างยากต่อการออกแบบ ส่วนใหญ่จึงพบการแสดงความหมายให้เห็นเพียงการปิดพระพักตร์ ซึ่งรวมถึงการปิดปากเท่านั้น

    หากมองในแง่ความสำคัญทางการเมืองการปกครองจะพบว่า อำนาจของภิกษุสงฆ์ไม่ได้จำกัดอยู่ใน "พุทธจักร" อย่างเดียว หากแต่ยังก้าวไปถึง "อาณาจักร" อีกด้วย ตัวอย่างของบทบาทดังกล่าวจะเห็นได้ชัดในกรณี ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆัง ธนบุรี ที่สามารถเดินเข้าไปถาม เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ถึงข่าวลือเรื่องการยึดอำนาจกลับจาก ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ และขอคำยืนยันว่าจะไม่เกิดเหตุดังกล่าว

    หรือแม้แต่การที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จุดไต้ตอนกลางวันเข้าไปเตือนพระสติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ "พุทธจักร" ที่มีต่อ "อาณาจักร" อย่างเด่นชัด
    เป็นที่น่าสังเกตว่า พระเกจิอาจารย์ที่สร้างพระปิดตาในระยะแรกๆ จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชสำนักไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
    ดังนั้น "พระปิดตา" อาจถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของการประกาศตนไม่ยุ่งเกี่ยวก ับ "อาณาจักร" เพื่อมิให้เกิดการถูกนำไปอ้างอิงหรือใช้เป็นเครื่อง "ชี้นำ" ในชะตาของบ้านเมือง

    - พระปิดตาทวารทั้ง ๙ อัน เป็นการปิดกั้นอาสวะกิเลสแห่งทวารเข้าออกทั้ง ๙ ของร่างกาย

    - พระปิดตามหาอุด อันเป็นการป้องกันสรรพภยันตรายทั้งหลายทั้งปวง
    ในกระบวนพระปิดตาของคณาจารย์แต่โบราณนั้น มีที่ขึ้นชื่อลือเลื่องหลายสำนักด้วยกัน วัสดุมวลสารที่นำมาประกอบเป็นองค์พระมีทั้งเนื้อชินต ะกั่ว เนื้อผงคลุกรัก เนื้อผงใบลาน เนื้อผงมวลสาร เนื้อสัมฤทธิ์ เนื้อเมฆพัด เนื้อเมฆสิทธิ์ เป็นต้น

    - พระปิดตามหาอุดหรือพระปิดทวารทั้ง 9 กันดูบ้าง ความเป็นจริงพระปิดตา ที่มีมือคู่เดียวยกขึ้นมาปิดที่ใบหน้า และพระปิดทวารทั้ง 9 นั้นก็หมายถึง

    พระภควัมปติหรือพระภควัมบดี เช่นเดียวกัน และพระมหาสังกัจจายน์ ก็คือพระอรหันต์องค์เดียวกันนั่นเองครับ

    ตามประวัติว่ากันว่าพระมหาสังกัจจายน์นั้นมีรูปร่างง ดงาม และได้รับคำชมจากพระบรมศาสดาว่า พระมหาสังกัจจายน์นั้นเป็นเอตทัคคะ และฉลาดล้ำเลิศในการอธิบายความแห่งคำที่ย่อได้อย่างพ ิสดาร ด้วยความฉลาดล้ำเลิศของพระมหาสังกัจจายน์นั่นเอง

    พระมหาสังกัจจายน์ ท่านเป็นผู้ที่มีผิวพรรณวรรณะงดงาม ตามพระบาลีว่า สุวณฺโณจวณฺณํ คือมีผิวเหลืองดังทองคำ เป็นที่เสน่ห์นิยม มิว่าท่านจะไปในสถานที่แห่งใด เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายต่างก็พากันสรรเสริญว่า ท่านคือ พระบรมศาสดาเสด็จมาแล้ว

    เพราะเหตุที่ท่านมีรูปโฉมละม้ายเหมือนพระศาสดานั่นเอ ง ท่านจึงได้รับสมญานามอีกชื่อหนึ่งว่า “พระภควัมปติ” ซึ่งมีความหมายทำนองว่า ผู้มีความงามละม้ายเหมือน พระผู้มีพระภาคเจ้านั่นเอง

    เมื่อเหตุการณ์เป็นไปดังนี้ ท่านจึงมาคิดว่า การที่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายพากันสรรเสริญท่านดังน ี้ เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง สุดท้ายท่านจึงกระทำด้วยอิทธิฤทธิ์ เนรมิตกายให้เตี้ยลงจึงดูท้องพลุ้ย ไม่เป็นที่น่าดู เทพยดาและมนุษย์จะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิดอีกต่อไป

    ส่วนที่มีการทำ รูปเคารพเป็นรูปปิดทวารทั้ง 9 นั้น ก็คือมือคู่หนึ่งปิดหน้า คือปิดตา 2 ข้างปิดจมูก 2 ปิดปาก 1 และมีมืออีกคู่หนึ่งมาปิดที่หู 2 ข้าง ส่วนอีกมือคู่หนึ่งนั้นปิดที่ทวารทั้ง 2 รวมเป็นปิดทวารทั้งเก้า คือเป็นอุปเท่ห์หมายถึง ตอนที่พระภควัมปติท่านกำลังเข้านิโรธสมบัติ ทวารทั้งเก้าก็จะปิดสนิท ไม่ยินดียินร้ายกับกิเลสทั้งหลาย หมายถึงดับสนิท อาสวะกิเลสต่างๆ ไม่อาจที่จะเข้ามาแผ้วพานได้เลย

    จากมูลเหตุนี้เอง คณาจารย์ต่างๆ ท่านจึงสร้างรูปเคารพ เป็นรูปพระปิดตา (คือมีมือคู่เดียวมาปิดที่หน้า) บ้างเป็นรูปพระปิดทวารทั้งเก้าบ้าง และโดยส่วนใหญ่ถ้าเป็นพระปิดตาก็จะปลุกเสกให้เด่นไปท างเมตตามหานิยม โชคลาภโภคทรัพย์

    แต่ถ้าเป็นพระปิดทวารทั้ง 9 ก็จะปลุกเสกให้เด่นไปทางอยู่ยงคงกระพันชาตรีและแคล้ว คลาด พระปิดทวารทั้งเก้านั้นในสมัยโบราณ ถ้าบ้านไหนมีคนจะคลอดลูก ถึงกับต้องนำพระปิดทวารทั้งเก้าออกไปนอกบ้านเสียก่อน เชื่อกันว่าจะไม่สามารถคลอดลูกได้ก็มี ซึ่งเป็นความเชื่อกันในสมัยโบราณ

    ปริศนาธรรม ของพระปิดตา นั้นพุทธคุณเด่นในเรื่องของเมตตามหานิยมเป็นหลักครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2020
  17. thekop241

    thekop241 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +8
    หนุมานตะกั่วกับ25ศตวรรษยังอยู่หรือป่าวครับ องค์ล่ะเท่าไหร่ครับ
     
  18. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853

    ขอบพระคุณมากครับที่ให้ความสนใจ
     
  19. wan2012

    wan2012 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +102
    อยากทราบราคาปิดตาน้ำท่วมครับ ไม่ทราบยังพอมีให้เช่าบูชาบ้างรึเปล่าครับ
     
  20. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    เหรียญเถลิงถวัลยราชสมบัติรัชกาลที่ 5 ครบ 100 ปี พ.ศ.2511

    เซียนพระทั่วๆไปว่าหลวงปู่ทิมปลุกเสกทัน บางท่านก็บอกว่าไม่ทันถ้าทันก็ต้องตอกโค๊ด (ส่วนตัวนะครับทันหมดครับ) มีลงในหนังสือประวัติหลวงปู่ทิม เปิดให้ไม่แพงครับท่าน

    [​IMG]

    พิจารณาข้อมูลดูนะครับ เหรียญแท้ๆผ่านพิธีดีๆครับ บูชาไม่แพงๆๆๆๆ


    พระไม่ดีไม่แท้ไม่นำมาลงให้ศึกษากันผิดๆครับ

    บูชาพระไม่ต้องเสี่ยงพร้อมใบเซอร์ พลังชาตรี 13

    รับประกันพระแท้ไม่มีกำหนด องค์ใหนเก็ บวกให้ 2000 บาท
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...