ฝันไปถึง เมืองบังบด เมืองผี แดนลับแล แล้วแต่จะเรียก

ถั่วต้มมมมมม...ถือว่าตาดีใช้ได้..
มิน่าถึงรู้ว่า พี่ใจดี ๕๕๕๕ .อืมมม
ข้างหลังเป็นไรไม่รู้นะ ไม่เคยผ่านไปดูเหมือนกัน ๕๕๕..
วัดไหนๆก็ตาม ที่มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีโบราณสถานหรือวัตถุศักดิ์สิทธิ์
ที่ให้ฆารวาสไปกราบไหว้ หรือมีห่มเหลืองที่ท่านปฏิบัติดี.
ก็จะมีประตูแบบนี้หละเปิดเอาไว้..ส่วนการ
ที่พลังงานอื่นๆจะผ่านเข้ามาได้..ทางนั้นก็ต้องเปิดประตูตรงฝั่งเค้าก่อน
แล้วก็มาเชื่อมกับประตูของสถานที่นั้นๆ..ส่วนจะผ่านมาได้หรือเปล่า
ก็ต้องถามท่านที่เฝ้าประตูเอาเองนะ ๕๕๕๕
เป็นวิธีการเดินทางอย่างหนึ่งของกรณีที่เป็นพลังงาน..
ที่ทำอย่างนี้ก็เพราะ..พลังงานนั้นไม่มีตัวที่ยึดพลังงานอยู่เหมือน
ร่างกายเราไงคือไม่มีธาตุที่เหนี่ยวรั้งไว้นั้นหละ.และพวกนี้มันข้าม
มิติและเวลา เพราะฉนั้นไม่ว่าจะอยู่ช่วงไหนก็จะเข้ามาได้..
ยกพวกที่พัฒนาที่สามารถใช้จิตบังคับวัตถุข้ามมาได้ คง
ไม่ต้องบอกว่าพวกไหน..อย่างเราๆเชื่อม ๒ ประตูได้แล้ว
ใช้สายใยตาไปเชื่อมแล้วไปดูได้ ก็ไฮเอ็น แล้ว๕๕๕๕..
ปล.ที่สำคัญมากๆ ก็คือ เปิดเชื่อมแล้วอย่าลืมปิดนะครับ..
ไม่งั้น กระแสพลังงานสัญญาจร(พูดง่ายๆเจ้ากรรมนายเวรเรา)
เค้าจะหาเราเจอ แล้วจะรีบเชื่อมมาหาเราทันที รับประกันได้ว่า
งานงอกแน่นอน..๕๕๕ ตัวใครตัวมันเน้อครับ..ถ้าลืมปิด..

ถ้าจ้องแล้วรู้สึกวิงเวียนแสดงว่าปกติครับ..ในความหมายก็คือ
สามารถสัมผัสได้ครับ.ในอนาคตก็จะสามารถทำได้ครับ..
.เอกลักษณะของประตูมิติเรื่องหนึ่งก็คือ
เรื่องการดูดพลังงานนั่นหละครับ..เลยไม่อยากให้มองนาน.
เหมือนคนที่ฝึกกสิณแบบภาพนั่นหละครับ..ถ้าเข้าใกล้ภาพ
นิมิตรกสิณมากเกินไป ดวงจิตก็จะถูกดูดทันทีแล้วก็ไปโผ่ล
อีกมิติได้นั่นหละครับ ทำให้ไม่สามารถฝึกต่อได้ แต่แค่นึกก็
กลับได้เพราะยังมีสายใยเชื่อมกับร่างกายอยู่ ถ้ามีแต่เฉพาะดวงจิต
อย่างเดียวก็จะหลงไปอีกมิติเลยครับ..ถ้ามีกำลังสติพอและกำลัง
สมาธิสะสมพอแล้วบังคับภาพที่มันจะกลายเป็นประตูมิติได้.
สิ่งที่จะได้กลับมาก็คือ กำลังจิตใช้งานได้จริงๆนั่นเองครับ..
ส่วนประตูนี้ ไม่ได้ขออนุญาตไว้ครับ..เอามาให้ดูเฉยๆครับ..
ตามวัดใหญ่ๆ ท่านๆมักจะสร้างองค์พระปิดประตูไว้ครับ..
หรือก็มักจะทำซุ้มประตูลักษณะคล้ายๆอย่างนี้..หรือบางวัด
ก็จะอยู่ตามแยกทางเดินในวัดที่ใกล้จะถึงพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆครับ
พวกนี้แล้วแต่สายตาครับ ถือว่าเป็นปัจจัตตังครับ..
แต่ถ้าพอทราบว่าเป็นตรงไหน..ว่างๆไปยืนดู ก็จะเห็นอะไรดีๆ
โผ่ลออกมาจากประตูด้วยครับ..สนุกไปอีกแบบครับ ๕๕๕๕๕

หลักการในหนังจีน มีพื้นฐานมาจากที่ต้องทำตัวหนังสือสีเขียว
และขีดเส้นใต้นั่นหละครับ.....
เพียงแต่ว่าในหนังจีนจะต่างหลักการตามที่สายบารมีต่างๆท่านสอน
ก็ตรงที่ว่า......เรื่องการพลิกพลังงานตรงนี้ไปใช้งานครับ...
เราจะพบว่าในหนังจีนกำลังภายในบางเรื่อง อย่างเช่น แปดเทพอสูรมังกร
ฟ้า ตอนล่าสุด อะไรเนี่ย..เซียวฟง เป็นบุคคลที่ไม่ได้มีวิชาอะไรที่
พิศดารมากลำลึกมาก แต่องค์ประกอบต่างๆจะให้ เช่นร่างกาย และความ
เฉลียวฉลาดในการพลิกแผลงเพื่อนำไปใช้งาน..และสิ่งสำคัญที่สุดก็
คือเรื่องเจตนาในการใช้งานนั่นเองครับ..ที่เป็นตัวหลักที่จะทำให้สามารถ
ใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด..แต่ไม่ว่าแต่ละวิชาหรือ
แต่ละบุคคลจะมีได้เทคนิคอะไรมาก็ตาม ได้สุดยอดเคล็ดวิชาอะไรมาก็ตาม
จะได้รับการถ่ายทอดกำลังภายในร่วมด้วยก็ตาม..
แต่ให้สังเกตุดูได้ว่า...เป็นไปเพื่อสร้างตนเองก่อนทั้งนั้นครับ.
.แม้ว่าจอมยุทธ์บางท่านจะใช้เพื่อผดุงความยุติธรรม
แต่ก็เป็นไปเพื่อการทำร้ายทำลายคนอื่นๆเช่นกัน
..จนมีการแบ่งแยก
สร้างอัตตาให้ตนเองว่าตนไปพรรคฝ่ายมาร ฝ่ายธรรมมะ.
และพลังงานที่ตนเองสร้างขึ้นมา ก็เป็นเพื่อการแก้แค้น ก็ยังเป็นไป
เพื่อการทำร้าย ทำลายผู้อื่นๆอยู่ดีครับ บางจอมยุทธ์หนักกว่านั้นอีก
ทำไปเพื่อความรัก สนองตัณหา กามราคะของตน และเพื่อสนองความแค้น เพื่อสนองความโลภ
ความอยากเป็นเจ้ายุทธภพ อยากเป็นสุดยอดจอมยุทธทั้งนั้น.
..แต่สุดท้ายยยยย
เรากลับพบว่า..อดีตจอมยุทธที่ท่านไม่อะไร กับไม่อะไรเลย ที่ท่าน
เปลี่ยเป็นหลวงจีน หรือบุคคลธรรมดา ที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายต่างๆ.
ที่เปลี่ยนกำลังงานหรือพลังงานพวกนี้เป็นไปในเรื่องการโปรดสัตว์
การโปรดในที่นี้ก็คือ การสอนธรรมการให้ธรรมแก่บุคคลทั้งหลาย..
แต่เราก็ต้องสังเกตุด้วยว่า ไม่ใช่ท่านจะไม่สอนไม่โปรดได้ทุกๆคน..
ท่านก็เลือกสอนแต่บุคคลที่มีพื้นฐานพลังงานมาดีก่อนแล้วพอสมควร
ที่บุคคลเหล่านั้น ยังคงใช้พลังงานเพื่อความมีอยู่ต่างๆ มีในที่นี้ก็เพื่อ
มีกิเลสต่างๆนั่นหละครับ แต่บุคคลที่มีพื้นฐานพลังงานมี แต่ว่าสะสม
ความมีต่างๆจนตกผลึกท่านก็ไม่สอนเหมือนกันครับ..
และพลิกให้บุคคลเล่านั้น ใช้พลังงานตรงนี้
เพื่อความไม่มีแทนยังไงหละครับ..เหล่าจอมยุทธเหล่านั้นถึงเข้า
สู่สภาวะความไม่มีอะไรได้ง่ายกว่าบุคคลทั่วไปไงครับ..

ทางสายพระฯสายบารมีท่านก็สอน ก็พลิกเพื่อการโปรดเช่นกัน
มิใช่แค่มนุษย์ครับ..แต่โปรดไม่เว้นทุกๆชั้น ทุกๆภพภูมิ
ไม่มีการแบ่งแยก แยกแยะ เลีอกข้าง และร่วมกับการอโหสิกรรม
เพื่อตัดวงจรไม่ให้มีสัญญาจรต่างในการก่อภพก่อชาติขึ้นอีก.การสร้าง
ตัวเองจนแนวกระดูกสันหลังเป็นท่อ จนเส้นพลังงานแข็งแกร่ง
องค์ความรู้ต่างๆที่ได้มิใช่ประเด็นหลัก..แต่ประเด็นก็คือเพื่อให้
ตนเองกลืนเข้าสู่กับธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาตินั่นเอง
เพื่อความไม่มีอะไรเลยนั่นหละ..ก็เพื่อกลับเป็นส่วนหนึ่งของ
ธรรมชาติที่จิตเดิมเรามันเคยมีมานั่นหละครับ.....
ปล.พอจะเห็นภาพแบบกว้างๆนะครับ...

 

อ่ะให้ท่านพี่ ยาทาแก้นิ้วล็อค พิมพ์ได้พิมพ์ดี ๕๕๕

 

ประตูมิติ ที่เห็นชัด คือที่วัดพระพุทธบาธยโสธร มีหลายประตูเลย โดยเฉพาะหน้าเจดีย์ใหญ่
ถ้าตาดีๆ เห็นด้วยตาเปล่า เหมือนเดินสวนกันเลย สองรูปแรกจากอินเตอร์เน็ต ที่เหลือ ไปมาเอง

รูปสุดท้าย หนาแน่นมาก ประตู ใหญ่

ใครยังไม่เคยไปก็ลองไปนะคะ หลวงพ่อท่านส่วนตัว จารุนับถือมาก

 

อีกที่ก็พระธาตุบังพวน หนองคาย รูปจากเน็ต รูปตัวเองก็มี แต่ดันมีรูปจารุติดทุกรูป

 

อีกที่ก็ วัดภูย่าอู่ บ้านผือ อุดรธานี ดินแดนครุฑและเทพ

 

คริๆ ศิษย์พี่ใหญ่ น้องเดินตามท่านพี่ต้อยๆ แต่ท่านพี่เดินเบา หรือลอยไปไม่รู้

เพิ่งมาเห็นรอยเท้าศิษย์พี่ แถววัดที่สามนี้แหละ ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕

 

ตรงนี้ ณ ตรงนี้ ลองไปเดินดูนะจ๊ะ หน้าเจดีย์ ทางด้านซ้าย แถวๆ ต้นโพธิ์ ต้นไทร

เดินไปวูบแรก นึกว่าหลุดมิติ เกือบวิ่งถอยหลัง 555

 

แล้วประตูแบบนี้ละ อิอิ ขำๆน่ะ(deejai)




แสดงว่าประตูมิตินี้มีได้ทุกที่เลยใช่ปะ ไม่ว่าจะเป็น ประตู ซุ้มต่างๆ ทางเดินเข้าออก บ่อน้ำสระน้ำ หรือตามต้นไม้ ??
แล้วแบบนี้ตามประตูบ้าน หน้าต่าง ตู้เสื้อผ้า หรือต้นไม้ บ่อน้ำ ในบ้านจะมีมั้ยเนี่ย :z6

 

ท่านๆที่เข้ามาใหม่ หากมีข้อสงสัย ย้อนหลัง ยินดีตอบรับเสมอนะคะ

 

แสดงว่าประตูมิตินี้มีได้ทุกที่เลยใช่ปะ ไม่ว่าจะเป็น ประตู ซุ้มต่างๆ ทางเดินเข้าออก บ่อน้ำสระน้ำ หรือตามต้นไม้ ??
แล้วแบบนี้ตามประตูบ้าน หน้าต่าง ตู้เสื้อผ้า หรือต้นไม้ บ่อน้ำ ในบ้านจะมีมั้ยเนี่ย :z6


มีได้ทุกที่ ประตูมิติเกิดจากจิตของผู้สร้าง ให้เกิดประตู
เป็นทางเข้าออก เพื่อทำภารกิจ

แต่บางที่ก็เป็นเพื่อบดบังสถานที่ ที่ไม่อยากให้ใครเห็น เช่น บังบด

บางที่เกิดเพื่อเดินทาง เช่น มาฟังธรรม ตามวัดวาอาราม

บางที่ก็เกิดมาเพื่อเป็นทางผ่านของอสูรหรือยักษ์
ซึ่งจะสงัด สงบ เช่น ป่า เขา ลำเนาไพร
หรือ วัดป่า .... เป็นต้น

บางที่ก็เป็นทางสาธารณะ ที่มีมาแต่ไหน ใครสร้างก็ไม่รู้

บางทีก็พวกชอบลอง เปิดแล้วลืมปิด เปิดแล้วปิดไม่เป็น

ก็ว่ากันไป

แต่ประตูใครประตูมันนะ เช่น เทพ ยักษ์ อสูร ไม่ใช้ร่วมกัน

บางที่ก็มีผู้คุมเฉพาะ ถ้าเป็นแบบนี้ แสดงว่าเป็นทางเชื่อมไปสถานที่
ที่มีบางอย่าง เช่น เมือง ถ้ำ ของวิเศษ

แบบนี้เป็นต้น

ฝันไป นิทานนะจ๊ะ 555

ว่าแต่จะไปสร้างทำไมในตู้ สร้างที่โล่งๆ ดีกว่ามั้ย

ธรรมดาทะลุมิติมา ประตูก็ปิด
แต่ไอ้ที่เปิดค้าง เนี่ย ส่วนมากจะมีผู้คุมนะ

 

หลังจากสิงห์ เปิดจักระ สู่พลังจักรวาล

สร้างสมดุลย์ แห่งหลุมดำ

กำเนิดพลังจักรพรรดิ์

ภายในถ้ำเมืองบังบด

ราตรีมืด แต่ก็มีแสงจันทร์ เข้าใกล้คืนเพ็ญ

น้ำค้างหยดลงมาผ่านปล่องถ้ำ

สิงห์อยู่ในท่านั่งสมาธิ

เดินลมปราณ กลับ

หลุมดำเริ่มหดเล็กลง

สภาวะกลับสู่ศูนย์กลาง

กายและร่างจิตธาตุหายไป

เหลือเพียงดอกบัว

เหลือเพียงจักระ

แต่เส้นสายพลังงานยังคงเชื่อมต่อกัน

สิงห์ถอนตัวจากสมาธิ

จิตนั้นเยือกเย็น สงบ

เกิดปิติ ขนลุกชันไปทั้งร่าง

ลมเย็นพัดจากกระหม่อม

ลืมตามองไปในความมืด

พบใบหน้าของขรัวอินทร์

มุมปากนั้นยกขึ้น ดวงตาท่านแจ่มใสแวววาว

สิงห์มองเข้าไปในดวงตาท่าน

ราวกลับมองเห็นจักรวาลและกาแล็กซี่

แต่มันอบอุ่น

พลันนิมิตในจิต เห็นดวงอาทิตย์ขึ้น เมื่อจ้องหน้าขรัวอินทร์

สว่างไสวอยู่เช่นนั้น

 

ท่านมิได้ขยับปาก แต่สิงห์ได้ยินเสียงท่านอยู่ในหู

ดังก้อง ไม่เหมือนตะโกน ไม่เหมือนกระซิบ

เสียงนั้นเหมือนน้ำเย็น พลันให้จิตใจเย็นสบายยย

สิงห์เอ๋ย มีอีกสิ่งที่พ่อจะสอนลูก แต่ลูกจักต้อง

สัญญาก่อนว่า จะใช้เพื่อคุณธรรมเท่านััน

สิ่งนั้นคือ กสิณไฟ สิ่งสุดท้ายที่จักสอนในถ้ำแห่งนี้

สิงห์รับว่า ขอรับ

 

ถ้าไม่มีผู้ประท้วง ขอข้ามไป สิงห์ฝึกสำเร็จ

กสิณไฟนี้ มีค่าเหนือสิ่งใด

กสิณดินไม่สามารถดับได้

กสิณลมจะโดนดูด ไปเพิ่มแรงไฟ

กสิณน้ำ จะระเหยไป โดยไม่สามารถดับฐานไฟได้

ถ้าส่งกสิณอากาส ผสมกสิณลม ยิ่งทำให้ไฟลุกโหม

เป็นกสิณที่ทรงคุณอนันต์และโทษมหันต์

ที่แปลกคือ ประชุมเพลิงตนเอง หรือเผาตนเองได้

เป็นกสิณเพื่อเผาสังขาร โดยดำรงจิตธาตุอยู่

ถอดจิตตายได้

ประชุมเพลิงคนอื่นก็ได้

 

ถ้าใช้ อากาสกสิณ ให้ไม่มีอากาศ(ออกซิเจน) ซักพักไฟดับป่ะ ฮาา
ปล.ตามหลักวิทยาศาสตร์หน่ะ

 

ถามดีมาก

ถามกลับก่อน ทำงานเกี่ยวกับช่าง วิศวะหรือไม่

ถ้าไม่ตอบ ก็ผ่านไป 555

 

เปล่าครับ ไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับ คำถามที่ถามเลยครับ
แค่เรียนจบด้านพวกนั้นมา

 

ทำไมเราหยุดปฏิกิริยานิวเคลียร์ไม่ได้ หรือวงจรการเกิดไฟ วาปไฟ

เพราะอากาสกสิณ ไม่ได้ทำงานแบบดึงออกซิเจนออกมา

มันไม่ได้แตกโมโลกุล ของอากาศ ไม่ได้แตกปฏิกริยาเคมี

จากคุณของอากาสกสิณ ทำให้ของทึบกลายเป็นอากาศ

น่ะซี งงมั้ยน้อ

กสิณไฟ ปกติดับได้ด้วยกสิณดิน
คือทำให้อากาศเป็นของแข็ง
ดึงออกซิเจนออก

ซะงั้น

วิทยาศาสตร์พอมั้ย

 

ท่านพี่นพ มาช่วยอธิบายเลย ไม่มีใครเข้าใจที่เค้าพูดเลย:'''(

 

ข้ามมันไปเลยละกัน ทะลุกาแล็คซี่ ออกนอกทฤษฏีโลก
ยิ่งเล่า ยิ่งเพ้อ

ปฏิกริยาของไฟ ที่ทำให้เกิดจุดวาปไฟ ต้องอาศัยอากาศ ที่มีออกซิเจน
ซี่งในกสิณ สิบกอง คือ วาโยกสิณ ไม่ใช่ อากาสกสิณ

เตโชกสิณัง กสิณความร้อน

ปฐวีกสิณ กสิณของแข็ง ไม่ใช่ดินเพียงอย่างเดียว ยังรวมถึง แร่ ธาตุ หิน ทุกธาตุที่มีมวลหนาแน่น เกาะเกี่ยวกัน
เหมือนปฏิกริยากลับ ส่วนไฟ คือ ปฏิกริยาต่อเนื่องของพลังงาน

ย่อกลับไปสุดที่โมเลกุล คือ เตโช กสิณไฟ ไฟ ขยายโมโลกุล ขยายปฏิกริยา ปฐวีหดกลับโมเลกุล ปฏิกริยาย้อนกลับ ย้อนกลับเวลา

ส่วนไฟที่สิงห์ฝึก มันร้อนมาก ร้อนเกินที่จะย้อนกลับปฏิกริยา เหมือนความเร็วของปฏิกริยา เร็วกว่าปฏิกริยาย้อนกลับ
ปฐวีกสิณ จึงไม่เป็นผล

ป.ล. เค้าจบวิทยาศาสตร์ เอกคอมพิวเตอร์ เกี่ยวป่ะ วิทยาการคอมพิวเตอร์ 555

 

กรณีตรงที่ขีดเส้นใต้..เพิ่มนิดหน่อยว่า
เปิดของเราก่อน แล้วไปเปิดอีกทีหนึ่ง..และดึงมาเชื่อมกัน
เป็นประตูเดียวกันก่อน.. ถึงจะผ่านไปได้..
ถ้าเปิดแบบอื่นๆต้องไปถาม พี่ม่อนจังเอาเน้อ..
นอกนั้นก็ตามที่เขียนนะ..แม่นแล้ววววว
ปล.กุฏิ ลป.สายบารมีชื่อที่ล่วงลับไปแล้ว..
ถ้าอยากรู้ว่า.ช่วงมิติเวลามันหยุดเดินเป็นยังไง เชิญพิสูจน์ได้