ผีอำ

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย ทองชมพู, 19 เมษายน 2015.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เรื่องแบบนี้ถ้าใครเจอ..นอกจากการขอขมาพระรัตนตรัยเป็นปกติให้
    ขอขมากรรมเรื่องเคยปฏิเสธคำสอน ไม่เชื่อฟังคำสอน
    องค์พุทธะต่างๆพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอดีตชาติมาร่วมด้วย
    ถึงจะไม่เจอเรื่องทำนองแบบนี้อีกในอนาคตจร้า..

    ปล.แก้ไขที่พิมพ์ผิด จาก "ปฏิบัติ" แก้เป็น "ปฏิเสธ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2015
  2. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    ขอบคุณค่า แบบนี้เจ๋งมากจะได้ไม่ต้องโดนหลอกแล้วหลอกอีก
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    อะจึ๊ย!! พิมพ์ผิด ไม่ใช่''ปฏิบัติคำสอน'' แก้เป็น "ปฏิเสธ คำสอน"นะครับ..:':)'(
     
  4. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    หลวงปู่ทวด

    ย้อนไปยังความรู้เดิมก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้มาก่อนว่า รูปร่างผิวพรรณตอนเป็นมนุษย์ของหลวงปู่ทวดท่านเป็นอย่างไร เคยเห็นแต่รูปหล่อท่านที่เขามักจะหล่อเป็นเรซินสีดำคู่กับสมเด็จโตแล้วถวายไว้ตามวัดต่าง ๆ เราก็เคยเห็นแต่แบบนั้น ด้วยความที่เราไม่เคยมีความรู้เรื่องพระสงฆ์เลย เพราะไม่เคยได้สนใจหาความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนามาก่อน ประกอบกับไม่ค่อยได้ไปวัดที่ไหน ๆ เลยด้วยค่ะ และประวัติหลวงปู่หลวงพ่อก็ไม่เคยศึกษามาก่อน
    อันความรู้เดิมของเรานั้นเราทราบแต่เพียงว่าท่านเป็นพระชื่อดังเป็นที่เคารพนับถือมากของชาวใต้ ทราบแค่นั้นจริง ๆ ประกอบกับท่านเป็นคนใต้ ฉะนั้นท่านก็คงจะมีผิวคล้ำประมาณนั้นมั้ง ?

    ในวันหนึ่งจู่ ๆ ไม่รู้ขณะหลับหรือตื่นนะคะ เพราะเรามักภาวนาจนติดเป็นนิสัยมาหลายปีนับแต่เริ่มมีอาการหายใจไม่ปกติ จนชินเหมือนกับว่าเวลาหลับอยู่รู้สึกเมื่อใดมักจะมีคำภาวนาเกิดขึ้นเองเป็นอัตโนมัติเสมอ และ จู่ ๆ ก็มีความรู้ขึ้นมาว่า

    หลวงปู่ทวดสมัยเมื่อท่านเป็นพระสงฆ์หนุ่ม ท่านเป็นภิกษุรูปงามมาก รูปร่างสูงใหญ่สมส่วนผิวขาวมาก ขาวอมชมพูมีเลือดฝาดเหมือนผิวเด็กเลยค่ะ

    เราเห็นดังนั้นก็ได้แต่คิดในใจว่า โอ้โห หลวงปู่ ทำไมไม่เห็นเหมือนที่เขาปั้นเลย ทำไมเขาปั้นหลวงปู่ผิวดำอย่างนั้นเล่า ( เรซิน ) ด้วยความเขลาเนื่องจากเราไม่ทราบอะไรเลยท่านผู้อ่านอย่าถือสานะคะ ดิฉันไม่มีความรู้จริง ๆ และการทราบนั้นหลวงปู่ท่านคงจะสงเคราะห์อีกนั่นแหละค่ะ

    และเราก็มานั่งไตร่ตรองดูว่าโดยปกติแล้วเท่าที่เห็นหลวงปู่องค์นั้นองค์นี้ทุกครั้งจะมีการทำบุญที่เกี่ยวเนื่องกับท่านก่อนเสมอ ท่านจึงจะสงเคราะห์เรื่องสอนความคับข้องใจในอารมณ์ต่าง ๆ แต่ที่น่าแปลกก็มีอยู่ ๒ องค์ คือหลวงปู่ทวดกับสมเด็จโตนี่แหละที่เราเจอโดยไม่เคยร่วมบุญกับท่านมาก่อนเลยในชาตินี้


    หลวงพ่อชื่น

    ย้อนไปเมื่อสมัยท่องโลกทิพย์สะเปะสปะไปทั่วใหม่ ๆ นะคะ ตอนนั้นปัญหาทางโลกรุมเร้าหนัก คือตกงานแถมป่วยหนักและยังต้องถูกเก็บตัวอยู่ในเซฟเฮาส์ ตอนนั้นในวันหนึ่ง หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ เราอยู่ในท่ามกลางเมฆสีดำมืดมิดอึมครึมทั้งท้องฟ้า

    แล้วจู่ ๆ ก็มีหลวงปู่องค์หนึ่งท่านมา ความรู้สึกตอนนั้นรู้สึกว่าท่านเป็นพระที่มีฤทธิ์มาก แต่ไม่รู้เลยว่าท่านเป็นพระระดับไหนไม่ทราบเลยค่ะ พอท่านมาถึงเมฆสีดำที่ปกคลุมไปทั้งท้องฟ้านั้นพลันสลายไปในทันที กลายเป็นท้องฟ้าที่สดใส

    ท่านมาถึงดูเหมือนว่าท่านจะรู้จักเราดี ท่านใจดีมีเมตตากับเรามาก แต่ทำไมเราไม่รู้จักท่านเลย ปกติในความเป็นทิพย์เราสามารถจะรู้ได้ว่าท่านเป็นใคร เป็นพระระดับใด แต่ทำไมองค์นี้เราไม่รู้เลย และด้วยความสงสัยจึงเอ่ยถามท่านว่า หลวงพ่อเป็นใครคะ ท่านตอบมาว่าไม่สำคัญหรอกว่าท่านจะเป็นใคร

    เราก็ อ้าว ก็หนูอยากรู้นี่คะ และจู่ ๆ เราก็รู้ขึ้นมาเองว่า ท่านชื่อ หลวงพ่อชื่น แล้วท่านก็ไป

    จนบัดนี้เราก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะว่าท่านเป็นใคร อยู่ที่ไหน ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ไม่เคยตามหาเลยค่ะ เหมือนอย่างท่านว่าไว้เลยว่า ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่าท่านเป็นใคร แต่ถึงอย่างไรท่านก็คอยช่วยเหลือปกป้องผองภัยให้เรา ทราบแค่นั้นจริง ๆ ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2015
  5. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    พระโบราณ

    หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ หลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ รู้อีกทีก็เจอะพระสงฆ์รูปหนึ่ง ห่มจีวรสีกรักแลดูคล้ายพระป่า ภาษาพูดของท่านไม่ใช่ภาษาในยุคนี้และไม่ใช่ยุคใกล้ ๆ เรานี้ด้วย ดูน่าจะย้อนไปหลายร้อยปีอยู่เหมือนกันค่ะ

    ท่านสอนธรรมะเราถึง ๓๓ ข้อ ใจความโดยรวมก็คือ
    เรื่องร่างกาย เราต้องเฉยกับความเป็นไปของร่างกาย



    พระรูปนั้นที่เราไม่รู้จักท่านแต่ท่านรู้จักเรา

    หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ หลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ รู้อีกทีก็ เรานั้นอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง คลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะเป็นสถานที่แห่งเดียวกับที่ท่าน ว. พาไปพบพญานาค

    หลวงพ่ออายุราว ๆ ประมาณสัก ๗๐ ปี รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาว ท่านดูมีอำนาจมาก พูดในสไตล์ ฉะฉาน เสียงดังฟังชัด นั่งอยู่บนโต๊ะ ห้อยเท้าลงมา เราอยู่ในสภาพกึ่งนั่งกึ่งหมอบในสภาพก้มหน้าอยู่กับพื้นเหมือนกับอาย ๆ ท่านว่าเรายังปฏิบัติไม่เอาไหนเลย ความรู้สึกเหมือนกับเคยรู้จักและคุ้นเคยกับท่านเป็นอย่างดี แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก และท่านก็พูดเสียงดัง ๆ เหมือนล้อ ๆ เรา พร้อมกับหัวเราะไปด้วย ท่านสั่งว่า “ ไหนเงยหน้าขึ้นมาดูหน่อยซิ ” แล้วท่านก็พูดพร้อมกับหัวเราะว่า “ เฮ้ยหน้าตามันสวยนี่หว่า ” เหมือนกับเยาะ ๆ แต่เอ็นดูอย่างอารมณ์ดี ท่านองค์นี้ซึ่งเราไม่ทราบเลยว่าท่านเป็นใครค่ะ (รูปร่างลักษณะคล้าย ๆ หลวงปู่ทวด )


    ท่าน ว.วชิรเมธี พาไปพบพญานาค

    ณ ค่ายทหารเชิงเขาพนมรุ้ง หายใจเข้า พุท หายใจ ออก โธ หลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้.... รู้อีกทีก็.........อยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง ในสภาพนุ่งผ้าผืนเดียว แบบกระโจมอก ( เพราะก่อนหลับใส่เสื้อสายเดี่ยวกางเกงขาบานสั้นเสมอหู ) เอ .....เรามาอยู่ที่วัดแบบสภาพโป๊อย่างนี้ได้ไง ผ้านุ่งก็ผืนจิ๊ดเดียว แบบดึงข้างบนก็โป๊ข้างล่าง ดึงข้างล่างก็โป๊ข้างบน ขณะกำลังง่วนอยู่กับการดึงผ้านั้น

    จู่ ๆ ท่าน ว.วชิรเมธีท่านโผล่มาจากไหนไม่รู้ เราก็ ง่ะ...... เจอท่านนั้นแสนจะดีใจ แต่... แต่.... เจอในสภาพโป๊อย่างนี้นี่นะ กระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก แต่ท่านสิมาถึงก็ไม่พูดพล่ามทำเพลงเลย ชวนเราไปหาพญานาคแบบดื้อ ๆ ไม่สนใจใยดีกับการแต่งตัวของข้าพเจ้าเลยสักนิด เราอายจนจะแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้วแค่เจอท่านหนะ แต่นี่อะไร ยังจะต้องเจอพญานาคอีก ฮะ..... อะ..อะ..ไร...นะคะ..........พญานาคหรือ.........ไม่เอา.......หนูไม่ไป......หนูกลัว......ท่านพูดว่า ต้องไป....พญานาคอยากพบ....

    เราจำต้องเดินตามท่านแบบไม่เต็มใจนัก เดินลงมาที่ชั้นใต้ดินของวัด ลงมาในดิน งงเหมือนกัน มีบันไดเป็นดินลงมา และท่านชี้ให้เราดูที่ท่อน้ำใหญ่ใต้พื้นดิน ท่อเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เมตรได้ พร้อมกับพูดว่า พญานาคหนะตัวใหญ่ประมาณท่อนี้แหละ เรากลัวมาก ตัวสั่นเลย ไม่อยากไปต่อเลย สักพัก ท่าน ว. บอกว่าพญานาคมาแล้ว หันหน้ามาสิ เราก็....ไม่... ไม่... หนูกลัว...

    กะว่ายังไงก็จะไม่ยอมหันไปมองแน่ ท่าน ว. สั่งให้เราอีกครั้งหันหน้ามา.......เสียงท่านมีอำนาจมาก ขัดไม่ได้ จำใจต้องหันหน้าไป..... และ...แล้ว....โห.....ท่านใจดีมาก ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเลย รูปร่างท่านเป็นงูใหญ่สีดำขลับ ตัวเป็นงู ที่หัวก็เป็นงูแต่มีเค้ารูปร่างเหมือนหน้าคน ท่านยิ้มให้ ใจดีและเมตตาต่อเรามาก

    ท่านให้พร 3 ข้อ
    1. ขอให้สุขภาพแข็งแรง ( พึ่งออกจาก ร.พ. หลังจากเติมเลือดมา )
    2. ขอให้มีความสุข
    3. ................ท่านพูดแต่เราไม่ได้ยิน ( คาดว่าเป็นเรื่องที่เรายังไม่สมควรรู้ในตอนนั้น )
    แล้วท่านก็ไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2015
  6. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    เสียงดังก้องกัมปนาท ปานฟ้าจะถล่มดินจะทลาย

    เมื่อเรากลับจากปฏิบัติธุดงควัตรที่วัดท่าซุงแล้ว มุมมองต่าง ๆ เปลี่ยนไปหมดเลยค่ะ ทำไมเขาทำกันง่ายจังเลย ทั้งเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ คนชรา พวกเขาล้วนบุญพาวาสนาดีกันทั้งนั้นเลย หลายคนโชคดีได้เกิดกับครอบครัวที่นับถือและปฏิบัติตั้งแต่สมัยหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ พวกท่านทั้งหลายล้วนมีที่พึ่ง มีที่ยึดเหนี่ยว และที่สำคัญท่านทั้งหลายเลือกจะไปพระนิพพาน และท่านทั้งหลายก็ไปกันได้สบาย ๆ เลย

    พอมองย้อนมาที่ตัวเราให้นึกน้อยใจตัวเองนัก ทำไมไม่เกิดในครอบครัวที่เขาปฏิบัติตามหลวงพ่อเล่า หรือไม่ก็ทำไมไม่เกิดให้เร็วกว่านี้สักนิดจะได้ทันหลวงพ่อท่าน เฮ้อ มาเกิดทั้งทีอยู่ตั้งไกลกว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นความดี อะไรเป็นความชั่วก็เกือบจะสาย ยังดีนะที่ไม่ทันตายไปซะก่อน แถมเราทำไมปฏิบัติยากแสนยาก จนแทบจะรากเลือดตายตั้งหลายที

    พอกลับมาบ้านเราก็ซื้อหนังสือทุกเล่มที่ทางวัดมีมานั่งอ่าน อ่าน และก็อ่านจนลืมนอนข้าวปลาก็ไม่สน ยิ่งอ่านยิ่งเพลิน ยิ่งสนุกจนวางไม่ลง ยิ่งสมเด็จฯท่านรับรองกับหลวงพ่อว่า ให้บอกลูกหลานนะ เวลาตื่นนอนแล้วอย่าพึ่งลุก ให้ขึ้นพระนิพพานก่อนสัก ๑๐ นาที เพียงเท่านี้ แต่ทำทุกวัน ท่านบอกว่า ลูกหลานจะไม่พลาดพระนิพพานในชาตินี้แน่

    เราเมื่อทราบดังนี้ อยากจะร้องตะโกนดัง ๆ ให้ก้องฟ้า ให้ก้องโลกว่า ทำไมเราไม่เจอวิชามโนมยิทธิตั้งแต่แรก

    ที่ผ่านมาตั้งหลายปี ทั้งหนัก ทั้งเหนื่อย ร้องไห้จนน้ำตาไม่มีจะไหล จะเดินไปข้างหน้าก็แสนจะยาก จะถอยหลังกลับก็ดูเหมือนจะเดินมาตั้งไกล แล้วทำไมพึ่งจะรู้ว่าเขาไปพระนิพพานกันนั้นง่ายแสนง่าย เขาข้ามขั้นไม่ต้องผ่านไอ้เรื่องที่เราเจอเลยสักอย่างเดียว โอ้เราหนาโง่ดักดานอยู่ในรู ทีนี้ด้วยความที่มโนมยิทธิ นั้นง่ายจะไปที่ไหนแค่นึกก็ไปได้ดั่งใจ ไปอยู่บนพระนิพพานนานสักแค่ไหนไม่มีใครว่า ยิ่งนานได้ยิ่งดี

    ประกอบกับความเหนื่อยล้ามานานเต็มที ชักเริ่มจะเพลา ๆ และขี้เกียจเลยเริ่มทิ้งไอ้ที่เราทำมาเมื่อก่อนนี้ และแถมมโนมยิทธิก็ทำแต่ตอนสวดมนต์ไหว้พระ คือไปสวดข้างบนเพราะชะล่าใจ โธ่ก็ไปแบบมโนมยิทธินี้แหละ สมเด็จฯท่านก็รับรอง ยังไงชาตินี้ก็นิพพาน เดี๋ยวค่อยทำก็ได้ พักก่อนยังเหนื่อยไม่หายเลย

    กาลเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ ๆ วันหนึ่ง จู่ ๆ เราอยู่น่าจะประมาณที่ดาวดึงส์หรือที่ไหนสักแห่งนี่แหละจำไม่ได้ พร้อมด้วยมนุษย์อย่างเราประมาณสัก ๑๐๐ กว่าคนได้ เสียงหลวงพ่อฤาษี ด่า....ด่า...ด่า .เสียงดังกึกก้องกัมปนาท เสียงท่านมีอำนาจประหนึ่งปานฟ้าจะถล่ม ดินจะทลาย เสียงหลวงพ่อดังสนั่นหวั่นไหว ด่าแบบไม่ได้เจาะจงอยู่นานนับชั่วโมง แต่ประโยคที่เราได้ยินชัด ๆ ฟังถนัดชัดเจนเต็มสองรูหูคือ......

    ยิ่งอยู่....นาน.นนนนนน.....ก็ยิ่ง...เสื่อม..มมมมมม.......?????

    โอ้เรานั้นหนา หันซ้ายแลขวา ท่านด่าใคร .....พิจารณาแล้ว คิดแล้วคิดอีก ท่านด่าใคร .....แล้วจะเป็นใครไปได้ยังไง ก็เรานั้นได้ยินอยู่เต็ม ๆ ........

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2015
  7. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    หลวงปู่ขี้งัว

    หลวงพ่อขี้งัวนี่ ในระหว่างนั้นแหละ ประมาณ พ.ศ. 2487 - 2488 เหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นในระยะนั้น ในเขตอำเภอ 2 พี่น้อง กับเขตอำเภอบางปลาม้า ได้ยินข่าวเล่าลืออยูเสมอว่า มีพระพิเศษมาเที่ยวนั่งอยู่ตามกลางทุ่ง ห่มจีวรกลัก แล้วก็มีย่ามลูกหนึ่ง บางทีเอาผ้าคลุมโปง เวลาเดินไปไหนเจอะขี้งัวเหลวๆ ก็หยิบใส่ย่าม แล้วนั่งซุ่มๆ เวลาเด็กเลี้ยงงัวเลี้ยงควายเห็นเข้า เดินเข้าไปใกล้ท่านก็เดินหนีเสีย

    ทีนี้เจ้าพวกเลี้ยงงัวเลี้ยงควายนี่ ก็เป็นคนไม่ค่อยจะเหมือนคนเหมือนกัน บางคราวมันก็นึกฮิตๆ ขึ้นมา มันนึกว่าเป็นพระบ้าพระบอมันก็วิ่งไล่กวด ท่านก็วิ่งหนี แล้ววิ่งไปได้ไม่นาน ทั้งๆ ที่เป็นกลางวันแล้วก็กลางทุ่ง ปรากฏว่าไม่เห็นพระองค์นั้น ทำแบบนี้กันอยู่หลายวัน

    วันหนึ่งเจ้าภาพนิมนต์อาตมาไปเทศน์ที่ตำบล 2 พี่น้อง ที่บ้านบางสะแก แล้วก็วัดบางสะแกหรืออะไรนี่ ไอ้วัดนั้นไม่ทราบว่าชื่อวัดอะไร แต่กลุ่มบ้านนั้นเขาเรียกว่าบ้านบางสะแก เมื่อเวลาเทศน์จบก็ต้องค้างคืน เพราะเขานิมนต์ฉันเช้า ค้างกันอยู่ 3 องค์ด้วยกัน ไปเทศน์ 3 องค์ เวลากลางคืนก็มาค้างที่บ้าน

    พอตกกลางคืนเขาก็พูดให้ฟังถึงความมหัศจรรย์ของพระองค์นั้น บอก จะไปหาว่า ท่านเป็นพระบ้าพระบอมันก็ไม่ได้ ความจริงรู้สึกว่าจะเป็นพระที่มีความสำคัญอยู่ เมื่อเวลาเขาพูดให้ฟัง อารมณ์จิตมันคิดอยู่อย่างหนึ่ง นี่ไม่ใช่อาตมาเป็นหมอดูนะ หรือว่าไม่ใช่เป็นพระมีญาณ มีญาณพิเศษอะไร เป็นพระธรรมดานักบวชที่ใช้อะไรไม่ค่อยจะได้

    นี่แหละ เรียกว่าขาวๆ ดำๆ ดำๆ ขาวๆ ลุ่มๆ ดอนๆ เอาเรียบร้อยอะไรไม่ได้ บางทีก็เป็นพระ บางทีก็เป็นคน บางอารมณ์ก็เป็นเปรต บางคราวก็เป็นสัตว์นรกไปก็มี นี่ พระแบบนี้เชื่อถืออะไรไม่ค่อยได้ เอาดีไม่ได้ จะไปเชื่อได้ยังไง พระมันบวชมาจากคนนี่ บางทีก็เลวกว่าชาวบ้านเสียอีก บางครั้งเห็นชาวบ้านเขามีปฏิปทาดี รู้สึกเลื่อมใสในเขา นี่เป็นยังงั้น อัตนา โจทยตานัง พระพุทธเจ้าสั่งสอนให้เตือนตัวเอง นี่บางทีไปนั่งเตือนชาวบ้านเขาเพลินไปเลยลืมเตือนตัวเอง อย่างนี้พระยายมยิ้ม ชอบ ยังไงๆ ก็คงได้เป็นลูกศิษย์พระยายมแน่ ถ้าไม่กลับตัวให้ดีกว่านี้ เอ้าเล่าเรื่องของพระองค์นั้นต่อไป

    เมื่อเขาเล่าเรื่องให้ฟัง ความรู้สึกมันเกิดขึ้นมาว่า พระองค์นี้ต้องเป็นพระอริยเจ้าและอย่างเลวที่สุดก็ต้องเป็นอภิญญา 6 พระอภิญญา 6 นี่มีหูทิพย์ ตั้งแต่อภิญญาและปฏิสัมภิทาญาณนี่ พูดอะไรไม่ได้ ได้ยิน สำหรับพระวิชชาสามนี่ต้องใช้ญาณเป็นเครื่องกำหนดรู้ ถ้าไม่กำหนดจิตเพื่อรู้ไม่รู้ ถ้ากำหนดจิตเพื่อรู้จริงๆ ใครเขามาพูดทิ้งไว้ตั้งหลายๆ ปีก็รู้ว่าเขาพูดว่ายังไง นี่มันคนละอย่าง พระวิชชาสามเหมือนกับคนมีตำรา ต้องเปิดตำราจึงรู้ แต่พระอภิญญา 6 ขึ้นไป ไม่เหมือนกับคนมีตำรา เหมือนคนที่รู้เอง พูดที่ไหนก็ไม่ได้ นินทาไม่ได้ นินทาเมื่อไรรู้เมื่อนั้น ก็เลยบอกเจ้าของบ้านว่า ทดลองกันดีกว่าว่าพระองค์นั้นจะเป็นพระอะไร

    กรุณาเอาธูปไปจุดสัก 5 ดอก ไปปักไว้ที่นอกชานกลางแจ้ง เขาก็ปฏิบัติตามนั้น ก็เลยพูดดังๆ ว่าพระองค์นั้น ถ้าหากว่าเป็นพระอริยเจ้าจริง พรุ่งนี้ตอนเช้าก็โปรดมาพบที่บ้านนี้ เพราะชาวบ้านพร้อมทั้งพระ คือคณะอาตมาด้วย ต้องการนมัสการ ถ้าหากว่าไม่ใช่พระอริยเจ้าก็จงอย่ามา ทีนี้ก็ไม่ยาก ถ้าไม่ใช่พระอริยเจ้าก็รู้ไม่ได้ พูดเท่านั้นชาวบ้านเขาก็ตั้งใจพนมมืออธิษฐานเหมือนกัน เพราะนั่งอยู่หลายสิบคน บ้านใหญ่มาก เขาก็เลยพูดตาม ทุกคนเขาว่าตามแล้ว เขากราบไปที่ธูปเท่านั้นเอง คุยกันไปดึกประมาณ 24 น. ต่างคนต่างก็ลากลับ พระก็นอน ชาวบ้านก็นอน หรือใครจะไม่นอนบ้างก็ไม่ทราบ

    ถึงเวลาเช้าตรู่เวลาประมาณ 6 น. ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาทางหลังบ้าน เสียงโวยๆ ว่าใครวะ ใครมันท้าตีกูวะ มันเก่งจริงมันลงมาซิหว่า ไอ้คนเก่งจริงไม่ต้องไปท้ากันกลางคืนโว้ย เสียงเอะอะมา แล้วมาที่หน้าบ้านหลังนั้น มายืนกวักมือท้า เหวยๆ บอกเฮ้ยใครวะเมื่อคืนมันท้าตีกูวะ เก่งจริงโดดลงมาซีหว่า กูคนเดียวละ พวกมึงเท่าไรก็ตามมาตีกะกู เป็นอันว่ามาแล้ว แต่ก็มาแบบนักเลงโต อาตมากับเพื่อนก็เลยลงไปข้างล่างยกมือไหว้ บอกว่านิมนต์ขึ้นข้างบนเถอะขอรับ ทำแบบนี้ไม่มีผลหรอก ชาวบ้านเขาจับได้แล้ว อย่ามาปลอมแปลงเป็นคนบ้าเลย จะทำให้ชาวบ้านเขาบ้าไปด้วย ท่านนิ่งประเดี๋ยวมองหน้า เอาผ้าที่เคียนศีรษะลง ผ้าจีวรน่ะ เคียนศีรษะเสียใหญ่เบื้อเร่อเชียว เอาลง ลงแล้วก็ห่มเป็นปริมณฑลเรียบร้อย แล้วก็เดินขึ้นบ้านแบบสงบ นั่งเฉย ยิ้มแฉ่ง

    ตอนนี้นั่งดูแล้ว สีเปลี่ยน เปลี่ยนจากดำเป็นค่อยๆ ขาวไปทีละน้อยๆ จนท่านขาวแล้วก็ออกเหลือง หน้าตาอิ่มเอิบ ชาวบ้านเขารู้กันเร็วจริงๆ ประเดี๋ยวเดียวคนเต็มหมด ทุกคนมาถึงแล้วก็มากราบแบบสนิท ท่านก็ยิ้มแย้มแจ่มใส คุยด้วยดี ก็เป็นอันรู้กันแล้วว่าพระองค์นี้เป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่ขั้นอภิญญา 6 ขึ้นไป แต่จะเป็นขนาดไหนไม่รู้ จะเป็นปฏิสัมภิทาญาณหรือเปล่าก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะอธิษฐานไว้แบบนั้น

    เวลาท่านฉันข้าวเสร็จ ท่านก็ให้พร เสียงเพราะมาก เวลาให้พรเสร็จท่านก็บอกว่า ใครมีสำรับกับข้าวมาถวายพระบ้าง ให้เอาถ้วยไปล้างให้สะอาดคนละลูก รายละลูกแล้วส่งมาให้ท่าน ทุกคนก็ปฏิบัติตาม ส่งถ้วยไปแล้วท่านก็ควักขี้งัว

    ในย่ามของท่านเต็มไปหมด ใส่ถ้วยเต็มเอาฝาปิดแล้วก็ส่งให้ บอกเอาไป พวกเอ็งจะได้ค้าขายหากินดี ไปพูดอะไรกับใครก็ตาม สีปาก เอาขี้งัวนี่น่ะสีปากแล้วพูด ชาวบ้านรักชาวบ้านชอบ ว่าเข้าแบบนั้นชาวบ้านก็คงจะสะอึก พอเสร็จเรียบร้อยแล้วท่านก็ลากลับ เวลาลากลับ ท่านเดินลงไปบันได พอพ้นบันไดลงไป ปรากฏว่าคนข้างล่างก็ไม่เห็นท่าน คนข้างล่างไม่เห็นท่านลงไป แต่คนข้างบนเห็นท่านลง เป็นอันว่าข้างบนก็ไม่มี ข้างล่างก็ไม่มี หายไปเสียแล้ว ชาวบ้านเขาก็บอกว่าของในถ้วยนี้น่ะ เขาไม่เรียกว่าขี้วัว ก็ดีเหมือนกัน ถ้าไปเรียกขี้วัวเข้ามันจะเป็นขี้วัวเพราะอำนาจฤทธิ์ของท่าน ถามว่าของในถ้วยนี่จะทำยังไง ก็บอกว่า ประเดี๋ยวก่อนซี สำรวจดูก่อน จริยาของท่านไม่เหมือนพระอื่นนะ เวลาท่านมาท่านแสดงรกรักรุงรัง แสดงท่าเอะอะโวยวาย แต่เวลาเราพูดดีเข้า ท่านเรียบร้อยดีเสียกว่าพวกฉันเสียอีก กิริยาน่ารักน่าไหว้ น่าบูชา

    ทีนี้ขี้วัวนี่ก็เหมือนกัน มันจะเป็นเหมือนท่านเวลาท่านควักออกมาจากย่ามมันอาจจะเป็นขี้วัว เหมือนกับท่านเดินมาทีแรก คือท่าทางเอะอะโวยวาย ตานี้เวลาท่านกลับไปเรียบร้อย เข้าใจว่าขี้วัวจะเป็นอย่างอื่น ถ้าหากขี้วัวนี้เป็นขี้วัวตามเดิม ก็แสดงว่าพระองค์นี้ ไม่ใช่พระอรหันต์ขั้นฉลภิญโญ ขั้นอภิญญา 6 ขึ้นไป พอว่าเท่านั้นชาวบ้านต่างคนต่างก็เปิดฝาถ้วยดู เจ้าขี้วัวทั้งหมดกลายเป็นสีผึ้งสีปาก หอมกรุ่น เรียกว่าหอมมากว่าสีผึ้งธรรมดา เรื่องนี้ก็จบกันเท่านี้ แล้วเขาจะไปใช้สีผึ้งทำอะไรมันเรื่องของเขา ท่านสั่งแล้ว


    จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
     
  8. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    หลวงปู่สรวง ( เทวดาเดินดิน )

    เรื่องราวของหลวงปู่สรวง พระอริยะสงฆ์ผู้พิสดารที่เหนือกาลเวลา ได้มีผู้เคยถาม หลวงปู่ฤทธิ์ รตนโชโต วัดชลประทานราชดำริว่า หลวงปู่รู้จัก หลวงปู่สรวง แห่งท้องทุ่งศรีษะเกษหรือเปล่าครับ หลวงปู่ฤทธิ์ท่านบอกว่า รู้จักและรู้จักมานานแล้ว เมื่อคราวที่หลวงปู่ฤทธิ์ทำบุญวางศิลาฤกษ์ สร้างศาลาการเปรียญหลังใหญ่ ที่วัดชลประทานราชดำริ หลวงปู่สรวงท่านก็มา เวลาท่านมาก็มาของท่านเองไม่รู้ว่าท่านมาเมื่อไหร่ มารู้อีกทีก็เมื่อเห็นท่านแล้ว เวลาท่านจะไป ท่านก็เดินออกไปทางป่าด้านโน้น อยู่ด้านหน้าศาลาเป็นป่ากว้างมีน้ำท่วมขังเล็กน้อย ท่านเดินตรงไปแต่พอมองออกไปจะเห็นฝูงสัตว์เดินตามท่านเป็นพรวนแล้วสักพักท่านก็หายไป

    หลวงปู่ฤทธิ์ ท่านยังได้พูดว่า เรื่องหลวงปู่สรวงพูดไปแล้วก็เหมือนกับนิยาย เป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ท่านก็มีตัวตนจริง เมื่อหลายสิบปีก่อนโน้น ได้พบเห็นท่านอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็เห็นท่านเหมือนเดิม ตัวของหลวงพ่อเองนี่ซิ แก่ไปทุกวัน นี่ก็อายุ ๘๒ แล้ว แต่หลวงปู่สรวงท่านก็อยู่ของท่านอย่างนั้น ส่วนเรื่องอายุของหลวงปู่สรวงนั้น หลวงปู่ฤทธิ์ท่านบอกว่า ท่านก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเท่าไหร่ สถานที่จำวัดเมื่อตอนพบท่านคือ กระท่อมเฝ้านากลางท้องทุ่งริมถนนหมู่บ้านละลม – สะเดา ชายแดนด้านเขมร เป็นกระท่อมยกพื้นสูงมุงหลังคาด้วยไม้กระดานเก่า ๆ กันลมกันฝนไม่ค่อยได้

    ในวันนั้นหลวงปู่สรวงท่านนอนอยู่ในกระท่อม มีชายชราผมขาวนั่งเฝ้าอยู่ใกล้ ๆ คอยบีบนวดให้หลวงปู่ นอกกระท่อมมีชาวบ้าน ๔ – ๕ คน นั่งคุยกันอยู่ เป็นชาวบ้านย่านนั้น ข้างฝากระท่อมมีว่าวจุฬาตัวใหญ่เหน็บข้างฝาอยู่ ๑ ตัว มีเตาเล็ก ๆ และหม้อหุงข้าวเก่า ๆ วางอยู่ ๑ ชุด และมีถังใส่น้ำขุ่น ๆ เข้าใจว่าตักมาจากหนองน้ำที่อยู่ใกล้ ๆ หน้ากระท่อมหลวงปู่มีแคร่ไม้ยาวสำหรับนั่ง

    พวกเราทุกคนเข้าไปกราบท่าน ท่านก็ลุกขึ้นมาแต่ท่านไม่พูดจาอะไร ในปากของท่านก็เคี้ยวใบพลูสดอยู่ตลอดเวลา มีพวกผมคนหนึ่งถามท่านว่า หลวงปู่อายุเท่าไหร่แล้ว ท่านก็ตอบเป็นภาษาส่วย ซึ่งผมและเพื่อนเองที่ไปจากกรุงเทพก็ฟังไม่เข้าใจ แต่พรรคพวกที่ศรีษะเกษแปลให้ฟังว่า เรื่องของอดีตลืมไปหมดแล้ว ชื่ออะไรก็จำไม่ได้ เขาเรียกว่า ปู่สรวง ก็ปู่สรวง ชื่อเสียงมันไม่ใช่ตัวของเราจะเรียกยังไงก็ได้ ถ้ามาคิดกันอีกแง่หนึ่งก็เหมือนกับว่า ท่านได้สอนธรรมะขั้นสูงให้เรารู้ว่า ให้มีแต่ปัจจุบันเพราะสิ่งทั้งหลายมันผ่านไปแล้ว มนเป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น......

    ว่าวจุฬาตัวใหญ่ที่เหน็บไว้ที่ข้างฝากระต๊อบก็เป็นสิ่งที่สะดุดใจของคณะพวกผม จึงไต่ถามชาวบ้านที่มาเฝ้าดูแลท่าน ชาวบ้านบอกว่า หลวงปู่ท่านชอบเล่นว่าว และชอบดูเขาตีไก่ชนกัน ตอนหน้าแล้งชาวบ้านทั้งเด็ก และผู้ใหญ่จะไปเล่นว่าวที่กลางทุ่ง หลวงปู่ท่านจะนั่งดูยิ้มหัวเราะด้วยความชอบอกชอบใจ บางคนยังเล่าว่า บางครั้งหลวงปู่ท่านหายไป ว่าวตัวที่เหน็บอยู่ก็หายไปด้วย ถ้าเห็นว่าวเหน็บอยู่ก็คือหลวงปู่ต้องอยู่ที่กระต๊อบแน่นอน

    ผมเลยถามว่า เวลาหลวงปู่ออกไปไหนทำไมคนเฝ้าไม่รู้ พวกเขาบอกว่ามาดูแลเฉพาะกลางวัน พอกลางคืนต่างคนต่างกลับบ้าน ในกระต๊อบหลวงปู่จึงอยู่รูปเดียว เมื่อท่านหายไปจึงไม่มีใครรู้ บางคนบอกว่าท่านบินไปพร้อมกับว่าว ส่วนเรื่องที่ท่านชอบดูเขาตีไก่ชนนั้นเรื่องจริง เพราะบ่อยครั้งที่มีตีไก่จะเห็นหลวงปู่ไปนั่งดูอยู่ด้วย และท่านก็หัวเราะชอบใจไปตบมือตบไม้เชียร์ไก่ก็ยังมี การที่มีตนส่วนใหญ่ไปหาท่านมักจะเป็น เรื่องของตัวเลขเพื่อเอาไปแทงหวย ยิ่งใกล้วันหวยออกจะมีรถหลายสิบคันไปจอดเรียงรายอยู่ใกล้ ๆ กระต๊อบที่ท่านจำวัด ถ้าใครได้ยินหลวงปู่สรวงทำอะไรออกมาเป็นตัวเลข พวกเขาก็จะคิดไปต่าง ๆ นานา บางคนก็ถูกบางคนก็ไม่ถูก

    มีคนเล่าให้ฟังว่า คนที่ถูกหวยเป็นจำนวนมาก ๆ หลายรายนำเงินสดไปถวายท่าน ท่านก็หยิบมาดูแล้วก็โยนเข้ารกเข้าพงไปทั้งปึก คนที่เห็นเหตุการณ์ก็เข้าไปหาแต่หาไม่พบ ทั้ง ๆ ที่เป็นเงินจำนวนไม่ใช่น้อย และบางครั้งก็มีผู้นำเงินไปถวายท่าน เวลาเขากลับท่านก็อาศัยรถเขากลับไปด้วย เมื่อรถแล่นไปตามถนนที่มีผู้คนมาก ๆ ท่านจะเอาเงินที่พวกเขาถวายออกมาโปรยไปตามถนนให้กับผู้คนที่ยากจน เป็นที่ร่ำลือกันมากในสมัยที่มีสงครามช่วงชิงอำนาจของกัมพูชาที่ยังรุนแรงอยู่ ก็มีผู้อพยพมาตาแนวชายแดนเป็นจำนวนมาก มีคนเล่าว่าหลวงปู่จะเปลี่ยนเป็นนุ่งขาวห่มขาวออกไปรับผู้อพยพเข้ามาทางชายแดน จุดใดที่ท่านออกไปรับผู้อพยพมักจะปลอดภัยจากปืนใหญ่และการติดตามจากทหารเขมร

    บางวันท่านก็เอาผ้าสีขาวปักเป็นธงไว้ในที่สูงให้เห็นอย่างชัดเจน ชาวเขมรที่อพยพก็จะพากันไปอยู่ตรงที่ปักธงไว้ หากมียิงปืนใหญ่วันไหนถ้าไปอยู่ตรงธงก็จะปลอดภัยจากกระสุนปืนใหญ่

    หลังจากการช่วงชิงอำนาจภายในสิ้นสุดลง หลวงปู่ท่านก็พักอยู่ที่กระต๊อบเฝ้านาด้านชายแดนเขมรแถว อ.ขุขันธ์ เวลากลางวันก็มีชาวบ้านแถวนั้นมาคอยปรนนิบัติรับใช้ กลางคืนท่านก็อยู่ของท่านรูปเดียว บางครั้งก็หายไปนาน ๆ จึงกลับมา
    ครั้งหนึ่งมีปั๊ม ป.ต.ท. ปากทางเข้า อ. ขุขันธ์ ทางเจ้าของร้านได้นิมนต์หลวงปู่มาเปิดร้านให้ ปั๊มก็เจริญรุ่งเรืองมาตลอด และที่ร้านมีรูปหลวงปู่สรวงติดไว้ในร้าน ใต้ภาพเขียนว่า หลวงปู่สรวงอายุ ๕๐๐ ปี จำวัดทั่วจักรวาล

    เรื่องการเปิดป้ายร้านค้า ชาวบ้านที่เฝ้าหลวงปู่เล่าให้ผมฟังว่า มีร้านเปิดใหม่แถวนั้นได้นิมนต์หลวงปู่เปิดร้าน พอท่านสวดมนต์และฉันอาหารเสร็จ ท่านก็เดินออกมาหน้าร้าน ถลกจีวรปัสสาวะที่หน้าร้าน เจ้าของร้านรู้ทันจึงได้เอามือไปรองฉี่ของท่านและสะบัดไปทั่วหน้าร้าน เจ้าของร้านที่เอามือรองฉี่เล่าให้ฟังภายหลังว่า ฉี่ของหลวงปู่แทนที่จะอุ่นเช่นปัสสาวะทั่วไป แต่กลับเย็นเหมือนน้ำแข็ง และเมื่อหวยออกงวดนั้น หมายเลขร้านดังกล่าวก็ตรงกับเลขหวยออกออกพอดี หลายคนที่อยู่ในงานก็รวยไปตาม ๆ กัน

    บางรายนิมนต์ท่านสวดมนต์เย็นขึ้นบ้านใหม่ร่วมกับพระสงฆ์ที่มาจากที่อื่น เมื่อสวดเสร็จหลวงปู่ก็ลุกขึ้นมาที่กลางบ้านนั่งถ่ายหน้าตาเฉย ส่วนใหญ่เจ้าของบ้านก็จะรู้ทัน รีบละเลงอึของท่านไปจนทั่วบ้าน เพราะเขารู้กันว่าอึของท่านไม่เหม็น แต่กลับมีกลิ่นหอมคล้าย ๆ น้ำผึ้ง

    พฤติกรรมเช่นนี้ของหลวงปู่สรวง หากคนที่ไม่รู้จะหาว่าท่านบ้า ๆ บอ ๆ บางคนเห็นว่าท่านอยู่เหนือโลก บางคนเล่าว่าหากหลวงปู่จะไปไหนมักจะขอโดยสารรถไปดื้อ ๆ และไม่มีรถคันไหนปฏิเสธท่าน ถ้ารถคันไหนปฏิเสธไม่ให้ท่านไป รถคันนั้นจะขัดข้องทางเครื่องยนต์ติดขัด ดับบ้างติดบ้างหรือไม่ก็ยางแตกไปไหนไม่ได้ ดังนั้นรถทุกคันจึงไม่กล้าปฏิเสธ เมื่อโดยสารไปแล้วท่านจะให้คนขับไปเรื่อย ๆ เมื่อท่านให้หยุดตรงไหนก็ลงตรงนั้นแล้วท่านก็เดินหายไปเฉย ๆ ไม่มีใครรู้ว่าท่านไปทำอะไรที่ไหน



    จากหนังสือ ตามรอยธรรม หลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน วัดไพรพนา ต.ไพรพนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2015
  9. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    หลวงปู่สรวง ( หลวงปู่เทวดา )

    เมื่อกลับมาจากวัดท่าซุงแล้วก็ซื้อหนังสือจากวัดมามากมาย ก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่าน จนมาเจอ หลวงปู่ขี้งัว....ก็รู้สึกทึ่ง ....ฉงน สนเท่ห์ ...ถึงกับนึกไปว่า นี่ถ้าเราเจอท่านนะ ...สงสัยเราต้องประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินท่านแน่ ๆ ทางกายกับวาจาคงจะไม่ แต่ทางใจนี่สงสัยจะโดนเต็ม ๆ ก็เรานั้นโง่ถึกเอาปานนี้

    ในตอนเย็นของวันหนึ่งไปเดินตลาดไนท์ เห็นเขามีถังผ้าป่าหรือกฐินนี้แหละไม่แน่ใจ เราเห็นดังนั้นก็รีบนำเงิน ๒๐ บาทเพื่อไปร่วมกับเขา พอไปใกล้มองดูว่าเป็นที่ไหนและเพื่ออะไร เขาเขียนว่า หลวงปู่สรวงเทวดาเดินดิน วัดไพรพัฒนา เพียงเท่านี้เราก็รู้สึกว่า เคยมีคนเล่าถึงสรรพคุณพระรูปนี้ว่า

    ท่านเป็นชาวกัมพูชา ที่ไม่มีใครทราบอายุที่แท้จริงของหลวงปู่เลยสักคนเดียว เพราะว่าเขาเล่าว่าคนเฒ่าคนแก่ตั้งแต่สมัยเป็นเด็กเกิดมาก็เห็นหลวงปู่ในสภาพอายุประมาณนี้แล้ว อยู่มาจนกระทั่งแก่แล้วก็ยังเห็นหลวงปู่ยังอยู่ในสภาพเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และคนแก่คนนั้นก็เล่าต่อว่าตั้งแต่รุ่นปู่ย่า และรุ่นพ่อแม่ของท่านยังเป็นเด็กก็เห็นหลวงปู่ในสภาพนี้แล้วเหมือนกัน จึงได้มีคนลองเทียบอายุหลวงปู่จากคนที่เล่าต่อกันมา เขาบอกว่าหลวงปู่สรวงน่าจะอายุไม่ต่ำกว่า ๔๐๐ กว่าปีมาแล้วเท่าที่ท้าวความได้

    เราจึงได้มาค้นหาข้อมูลของหลวงปู่สรวงพอเห็นลักษณะของหลวงปู่ ทำให้เรานึกถึงที่หลวงพ่อฤาษีท่านเล่าให้ลูกศิษย์ฟังเรื่องหลวงปู่ขี้งัว ทำให้เรารู้สึกสงสัยยิ่งนักว่าจะใช่หลวงปู่รูปเดียวกันหรือไม่ จึงได้ชวนคุณพ่อและคุณสามีขับรถไปที่วัดไพรพนา จ.ศรีสะเกษ ไปกราบศพหลวงปู่ และเมื่อไปถึงที่วัดหลวงปู่ มีขั้นตอนบูชาหลวงปู่ดังนี้

    ๑. บูชาดอกไม้ธูปเทียน ขัน ๕ ขัน ๘ จากกองอำนวยการ
    ๒. นำดอกไม้ธูปเทียนมาจุดบูชาหุ่นขี้ผึ้งหลวงปู่
    ๓. ขำขัน ๕ ขัน ๘ ขึ้นไปบนกุฏิ กล่าวคำบูชาหลวงปู่สรวง ดังนี้

    ตั้ง นะโม ๓ จบ

    กล่าวคำบูชาหลวงปู่
    นะโม โพธิสัตโต มะหาคุโณ
    มะหิทธิโก มะหาลาโภ อะหัง
    ปูเชมิ สิทธิลาโภ นิรันตะรัง ฯ

    กล่าวคำอธิฐานขอพรหลวงปู่สรวง
    พุทธัง ปะสิทธิ ธัมมัง ปะสิทธิ สังฆัง ปะสิทธิ
    อะริยะองค์สรวง สัมปันโน อิติปิโส
    นะ โม พุท ธา ยะ อิ สะ วา สุ ติ มหาบันดาล สัจจัง ปะสิทธิ เม
    สาธุ สาธุ สาธุ​

    เมื่อกล่าวจบ นำขัน ๕ ขัน ๘ ไปวางบูชาหน้าหีบสังขารหลวงปู่ แล้วจึงลอดใต้โลงหลวงปู่ ๓ รอบ เพื่อเป็นสิริมงคล

    และเมื่อเสร็จจากการบูชาหลวงปู่แล้ว เราก็ทราบว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์แน่ดูจากคำบูชา และเริ่มสำรวจจนมองไปเห็นเขาติดรูปหลวงพ่อฤาษีลิงดำไว้ในบริเวณกุฏิที่ตั้งศพหลวงปู่ด้วย

    จนกระทั่งได้สนทนากับหลวงพ่อซึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดไพรพนา ท่านเล่าว่า มีหลายครั้งมากที่คนไกล ๆ มาไหว้แล้วเจอหลวงปู่องค์เป็น ๆ นั่งต้อนรับและคุยกับญาติโยม บางครั้งก็บอกหวยด้วย คุยนานจนกระทั่งท่านขอตัวไปที่อื่นแล้วญาติโยมท่านจึงทำการบูชาหลวงปู่ และกำลังจะไปลอดใต้โลงจึงได้เห็นว่า หลวงปู่ที่ตนคุยด้วยนั้นคือรูปเดียวกันกับที่นอนอยู่ในโลง และหลวงปู่ที่นอนอยู่ในโลงที่เราเห็นนั้นก็รูปร่างลักษณะผิวพรรณคล้ายกับหลวงปู่ขี้งัวที่หลวงพ่อฤาษีพูดถึงเลย

    และเราได้ถามหลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านว่า หลวงปู่สรวงท่านรู้จักกับหลวงพ่อฤาษีด้วยหรือคะ เห็นติดรูปหลวงพ่อฤาษีไว้ด้วย และท่านก็ตอบมาว่า รู้จัก เท่านั้นแหละ ทำให้เรายิ่งสงสัยหนักเข้าไปอีกว่า ท่านต้องเป็นองค์เดียวกันแน่ ๆ เลย แต่ก็ไม่กล้าฟันธงซะทีเดียว

    จนกระทั่งวันหนึ่ง หลับหรือตื่นไม่รู้ รู้แต่ว่า จู่ ๆ หลวงพ่อฤาษีก็พาเราไปหาหลวงปู่สรวง เราก็ไปกราบหลวงปู่ซึ่งหลวงปู่ท่านก็สอนเรา พร้อมกับชี้ไปที่ร่างของท่านที่นอนอยู่ ใจความว่า

    “ อย่ายึดติดที่ร่างกายท่าน และสอนให้เราอย่ายึดติดในร่างกายตัวเอง ”

    เพียงเท่านี้เราก็วิ่งโร่หน้าบานไปหาหลวงพ่อฤาษี ซึ่งท่านยืนยิ้มรอเราอยู่ หลวงพ่อไม่ได้พูดอะไร แต่หน้าตาท่านแสดงออกว่า หลวงปู่สอนอะไรบ้างลูก เราซึ่งวิ่งไปถึงก็รีบเล่าให้หลวงพ่อฟังด้วยความดีใจว่า หลวงปู่สอนอย่างนี้ค่ะพ่อ........หลวงพ่อท่านยิ้มพร้อมกับพยักหน้า ใช่ลูก ดีแล้วลูก..

    เพียงเท่านี้เราก็กลับสู่สภาพปกติ และเราก็ได้ตระหนักว่า หลวงพ่อเน้นสอนเราตลอดเรื่องร่างกาย อย่าสนใจในร่างกายของเรา รวมทั้งร่างกายของคนอื่นด้วย แต่เนื่องจากเรามีความสงสัยในเรื่องของหลวงปู่ทั้งสอง หลวงพ่อจึงได้พาเราไปหา เพื่อให้หลวงปู่ท่านสอนเรา ซึ่งคำสอนของหลวงปู่ท่านก็ย้ำสอนที่ตัดร่างกายเหมือนกัน เพื่อเป็นการยืนยันให้เรามีความมั่นใจ อย่าได้ยึดติดที่อย่างอื่นนั่นเองค่ะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2015
  10. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    หลวงปู่สรวง ( เทวดาเดินดิน )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2015
  11. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    พี่นพคะ วิชาของฤาษีชื่อว่า " เวตรามรต " (มะระตะ) มีไหมคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2015
  12. tim_jintana

    tim_jintana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +275
    มาขอติดตามอ่านด้วยคนนะคะ

    ขออนุโมทนาสำหรับเรื่องราวดีๆ ค่ะ
     
  13. Snow_Princess

    Snow_Princess เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +219
    พี่ทองชมพูหายไปนานเลย คิดถึงเรื่องเล่าอยู่นะคะ
     
  14. Snooty

    Snooty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +670
    แวะมาสวัสดีคุณทองชมพูค่า :cool:
     
  15. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    สวัสดีจ้าคุณ tim น้อง Snow และคุณ snooty
    หากมีเรื่องเล่าสนุก ๆ ก็ร่วมแจมได้ตามสบายนะคะ
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ๕๕๕ กดไลท์ไว้ตั้งนานแต่ไม่ได้ตอบ
    วิชานี้พึ่งเคยได้ยินชื่อเรียกนะ
    เพราะไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร.
    วิชานี้จะมีเอกลักษณ์ก็คือการเคลียร์หรือผ่าน
    พลังงานต่างๆออกไประบบสุริยะจักรวาล
    ผ่านทางจักระ ๒ ตรงแถวๆสะดือ
    ออกทางด้านล่างของเรา.
    คือปกติการเคลียร์หรือผ่านพลังงานต่างๆ
    จะออกด้านบนศรีษะแล้วไป
    ผ่านประตูมิติ. วิชาพวกนี้จะเป็นวิชาเฉพาะ
    ที่เรียนกันในระบบภาคทิพย์นะ
     
  17. ~มัชฌิมา~

    ~มัชฌิมา~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +123
    สวัสดีค่ะคุณทองชมพู...มาติดตามเรื่องเล่าด้วยคนค่า (f)
     
  18. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    สวัสดีค่ะ ยินดีมากค่ะ
     
  19. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๔ ที่ผ่านมาพาแฟนไปแก้บนไข่ต้มหลวงพ่อโสธรมาค่ะ เนื่องจากเราย้ายบ้านจากบุรีรัมย์มาอยู่นครนายก แฟนบนหลวงพ่อโสธรว่าขอให้ย้ายบ้านด้วยความราบรื่น

    ตกกลางคืนแฟนนอนคนเดียวที่บ้านหลังใหม่ ได้ยินเสียงผู้ชายเสียงใหญ่บอกแฟนว่า "ให้ซื้อ ๙๔ กับ ๙๖ นะ ๙๕ ไม่ต้องซื้อเพราะไม่ออกหรอก" ปรากฏว่างวดนั้นออก ๔๙ แฟนถูกหวย ๑๐๐ บาทค่ะ

    หลังจากถวายไข่ต้มเสร็จแล้วก็เข้าไปกราบหลวงพ่อโสธร เห็นจุดแสงเยอะมากค่ะ เรื่องจุดแสงนี้เราเห็นบ่อย ๆ อยู่รอบตัวเรา แต่ไม่เคยคิดหรือหาคำตอบว่านั่นคืออะไร พึ่งจะทราบจากพี่นพในเว็ปพลังจิตนี้เองว่า เอาไว้เช็คว่าเวลาเราทำบุญ หรือในสถานที่ศักดิ์สิทธ์ว่ามีมากแค่ไหน

    หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุงท่านบอกว่าพระพุทธรูปทุกองค์จะมีพรหมและเทวดาดูแลรักษา พระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับว่าพรหมหรือเทวดาองค์นั้นที่ดูแลจะมีฤทธานุภาพเพียงใด พระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์มาก พรหมเทวดาที่ดูแลจึงต้องมีฤทธิ์มาก

    ซึ่งหลวงพ่อโสธรนี้ท่านที่ดูแลคือ ท้าวสหัสบดีพรหม ซึ่งท่านเป็นใหญ่สุดและมีฤทธานุภาพมากที่สุดในพรหมโลก ฉะนั้นหลวงพ่อโสธรจึงเป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์และมีลาภมากนั่นเองค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...