ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. junior phumivat

    junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,346
    ค่าพลัง:
    +1,688
    <H1>กรรมที่นำสู่อเวจีมหานรก

    </H1>จาก หนังสือ ไตรภูมิ[​IMG]


    ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้ครบ ๗ วันแล้ว มาลุกขึ้นจากนรกขุมที่ ๘ สักหน่อยดีไหม? ท่านนั่งบ้างนอนบ้างในนรกขุมที่ ๘ คือไม่ใช่อยู่ในนรก แต่ว่าอยู่ที่บริเวณของนรกด้านนอก ไม่ต้องถูกทุกข์ทรมานมา ๒ วัน นั่งชมนรกขุมที่ ๘ ครบ ๗ วัน จะเดินทางไปนรกขุมที่ ๗ ขุมที่ ๖ บ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบเพราะว่าต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างไม่ได้สนใจซึ่งกันและกัน
    ก่อนที่จะจากนรกขุมที่ ๘ ไปชมนรกบริวาร อันนี้ก็มาพูดถึงปฏิปทาบารมีที่ท่านไปนรกขุมที่ ๘ สักหน่อยดีไหม? ทั้งนี้ก็เพราะว่านรกขุมที่ ๑ ถึงขุมที่ ๒ ถ้าเราจะคุยกันว่าเพราะอะไรจึงมานรกขุมนั้นได้ ก็โปรดทราบว่านรกขุมนั้นที่เขาจะอยู่กันได้ก็มีบารมีไม่ถึงท่านที่มาอยู่ในนรกขุมที่ ๘ มีบารมีต่ำกว่า แต่ทว่าถ้าเรารู้ถึงปฏิปทาของคนที่มานรกขุมที่ ๘ แล้ว ก็พอจะหยั่งลงได้ ว่าปฏิปทาของใครขนาดไหนจึงลงนรกขุมที่ ๑ ขุมที่ ๒ ขุมที่ ๓ ถึงขุมที่ ๗ เรียกว่ามีเจตนาไม่เท่ากับท่านที่ลงนรกขุมที่ ๘ นรกขุมที่ ๘ นี่มีอาการลง ๒ อย่าง ๒ ประเภทด้วยกัน คือบางท่านที่มีบารมีมาก ลงมาตั้งแต่ยังไม่ตาย พอทำกรรมนั้นเสร็จพอสมควรแก่กาลสมัย แผ่นดินทนไม่ได้แยกออก ไม่ใช่ธรณีสูบ ท่านเรียกว่ามีความหนักมาก แผ่นดินทนไม่ไหว แยกออกไปเป็นช่องให้เลยลงนรกไป แล้วก็สำหรับบางท่านที่มีบารมีน้อยไปหน่อย ก็ต้องรอถึงเวลาตายจึงจะลงนรก
    สำหรับวันนี้ วันพุธนี้ เราพูดกันถึงเฉพาะท่านที่มีบารมีลงอเวจีมหานรก แต่ทว่าคงนำมาไม่ได้ทุกคน เอามาเฉพาะบางท่าน พอสมควรแก่เวลา
    มีบุคคลที่ยืนอยู่ข้างหน้า ที่พวกเราสนใจมากที่สุด นั่นก็คือพระเทวทัต ความจริงพระเทวทัตนี่ ในสมัยที่เป็นมนุษย์ เป็นพี่ของพระนางพิมพา ซึ่งเคยเป็นชายาของพระสิทธัตถราชกุมารที่มาเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็เป็นลูกของลุงพระพุทธเจ้าเอง ความจริงก็เป็นญาติสนิทกัน ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เขาพากันออกบวช ท่านพระเทวทัตก็ออกบวชด้วย เมื่อบวชแล้วก็ได้ฌานโลกีย์ ได้อภิญญาสามารถเหาะเหินเดินอากาศ เนรมิตอะไรต่ออะไรได้ ต่อมาก็มีความกำเริบใจ เพราะอกุศลกรรมเข้าสนับสนุน ท่านเทวทัตนี่เคยจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้ามาหลายแสนกัปเพราะต้นเดิมทีเดียวเป็นคนไม่ดี เป็นพ่อค้า พระพุทธเจ้าก็เป็นพ่อค้า ทีนี้เทวทัตเป็นพ่อค้าทุจริต พระพุทธเจ้าเป็นพ่อค้าสุจริต วันหนึ่งมีหญิงแก่คนหนึ่งเคยเป็นคนอยู่ในตระกูลมหาเศรษฐีเก่า รับช่วงทอดกันมา มาถึงระยะนั้นก็กลายเป็นคนจน เรียกว่าหลายชั่วคนมาแล้ว มีถาดทองคำอยู่ลูกหนึ่งในตระกูลเศรษฐีนั้นเหลืออยู่ ต่อมาพระเทวทัตไปขอซื้อ แกเอามาขายให้เพราะแกเป็นคนจน ไอ้คนจนจะมีถาดทองคำไว้ก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อพระเทวทัตดูแล้วก็ทราบว่าเป็นทองเนื้อดี แต่เห็นว่าเป็นคนจนก็เลยบอกว่า ทองนี้ไม่ใช่ทองจริงๆ เป็นทองปลอม ก็ตีราคาในฐานะทองปลอมให้ แกก็ไม่ขายเพราะแกทราบดีว่าอันนี้เป็นทองดี คือทองเนื้อบริสุทธิ์ พระเทวทัตก็คิดว่าถ้าไม่ซื้อแล้วพ่อค้าคนอื่นก็ไม่ซื้อ ไม่ช้ายายคนนี้ก็ต้องจำใจขายให้กับแก ต่อมาพระพุทธเจ้าของเราเป็นพ่อค้าไปพบเข้าเห็นว่าเป็นทองดีจริงๆ ทองเนื้อบริสุทธิ์ ก็ให้ราคาเท่าทองคำธรรมดา แกก็ยอมขาย ท่านพระเทวทัต เมื่อทราบเข้ายังงั้นก็เจ็บใจ จองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้า หยิบทรายมา ๑ กำมือแล้วก็หว่านลงไปประกาศว่า เราจะขอจองล้างจองผลาญท่านต่อไปเท่าเมล็ดทราย ๑ กำมือนี้ หมายความว่า ๑ ชาติ เท่ากับทราย ๑ เม็ด จนกว่าจะหมดเมล็ดทราย นี่ความจริงพระเทวทัตเป็นคนเลวมาตั้งแต่ต้น ต่อมาเมื่อสมเด็จพระทศพลเป็นพระบรมโพธิสัตว์ ไปเกิดทุกๆ ชาติ เทวทัตก็จองล้างจองผลาญตลอดเวลา ต่อมาชาติสุดท้ายปลายมือสมัยเป็นพระเวสสันดร เทวทัตก็มาเป็นชูชก มาชาติสุดท้ายนี้เทวทัตมาเป็นลูกของลุง มาเป็นพี่เมียเสียอีก พอบวชเข้ามาแล้วได้ฌานสมาบัติ พระเทวทัตก็กำเริบ จองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้า ไปคบกับพระเจ้าอชาตศัตรูกบฏต่อบิดา ตัวเองก็กบฏต่อพระพุทธเจ้า ตามที่กล่าวมาแล้วในตำนาน เรื่องนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านรับฟังกันมาแล้ว จะไม่พูดมาก ในเมื่อพระเทวทัตเลวจัดขนาดนี้ ความดีในการที่จะลงนรกมากเกินไป ในที่สุดแผ่นดินทนไม่ไหว ทนความหนักของความดีไม่ได้ ก็จึงแยกปล่อยให้พระเทวทัตไปยืนกางแขนกางขาเอาหอกเสียบอยู่ในอเวจีมหานรก ตามที่บรรดาท่านพุทธบริษัทเห็นอยู่ในปัจจุบัน เรียกว่าบุญมากเกินไปต้องลงในสมัยมีชีวิต
    รองลงมาอีกท่านหนึ่งก็คือ พ่อของพระเทวทัต มีนามว่า สุปปพุทธะ เป็นพระราชา เมื่อทราบว่าเทวทัตลูกชายลงอเวจีมหานรกไปแล้ว ก็เจ็บใจพระพุทธเจ้า บอกกับบรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพารว่า สิทธัตถะลูกเขยของเราทำให้ลูกสาวของเราเป็นหม้าย แล้วยังทำให้พี่ชายของเมียลงอเวจี วันนี้ เราจะแกล้งลูกเขยของเรา คือว่าเวลานั้นพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วิหารที่ไม่ใกล้นัก ตอนเช้าเมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะออกบิณฑบาต ท่านสุปปพุทธะเป็นทั้งลุง เป็นทั้งพ่อตา ก็พาอำมาตย์ข้าราชบริพารมากมาย ไปนั่งกินเหล้าขวางทางเสีย เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปถึงตรงนั้น เขาไม่หลีกทางให้ พระองค์ก็ทรงกลับ ถ้าจะถามว่าพระองค์ทรงทราบไหมว่า สุปปพุทธะจะขวางทางโคจร คือขวางทางบิณฑบาต อันนี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่าทราบ แต่ว่าทางบิณฑบาตมันมีทางเดียวก็ต้องไป ไปแล้วเขาไม่หลีกท่านก็กลับ ยอมอดวันนั้น เรียกว่ายอมอดข้าว แล้วเมืองนั้นถ้าพระราชาเกเรเสียแล้วก็ไม่มีใครจะดีได้ เพราะไม่มีใครสามารถจะละเมิดอำนาจของพระราชา เมื่อกลับมาแล้วท่าน สุปปพุทธะก็สั่งคนมาสอดแนมคอยฟังข่าวว่า ต่อแต่นี้ เราจะจับผิดพระพุทธเจ้า พระสิทธัตถราชกุมารลูกเขยของเรา เธอจงไปนั่งฟังข่าว ว่าการที่เรานั่งขวางทางไม่ให้เธอบิณฑบาต ให้อดข้าวเสีย ๑ วัน เธอพยากรณ์ว่ายังไง คนทั้งหลายเหล่านั้ก็พากันปลอมเป็นพุทธศาสนิกชน ไปนั่งฟังเทศน์องค์สมเด็จพระทศพลเหมือนกับชาวบ้านธรรมดา เมื่อเวลาคนมาครบ พระอานนท์ก็ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า สุปปพุทธะขวางทางโคจรของพระองค์ มีความประสงค์จะให้อดข้าว ข้าพระพุทธเจ้าอยากจะทราบว่าโทษของสุปปพุทธะเป็นประการใดพระพุทธเจ้าข้า องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ หลังจากนี้ไปวันที่ ๗ คือนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สุปปพุทธะจะลงอเวจีติดตามเทวทัตไป
    เมื่อคนสอดแนมได้ทราบข่าวยังงั้นแล้วก็กราบทูลให้พระเจ้าสุปปพุทธะทรงทราบ เมื่อพระเจ้า สุปปพุทธะทรงทราบก็บอกว่าต่อแต่นี้ไป เราจะจับผิดลูกเขยเรา แล้วก็ขึ้นไปบนปราสาทชั้นที่ ๗ แต่ละชั้นตอนประตู เอานักมวยปล้ำที่มีร่างกายกำยำแข็งแรงที่สุดยืนอยู่ประตูละ ๒ คน ๗ ชั้นเป็น ๑๔ คน สั่งกับนายประตูทั้ง ๑๔ คนนั้นว่า ในระหว่าง ๗ วันนี้ ถ้าฉันจะลงมาละก้อ พวกเธออย่ายอมให้ลงนะ จับเอาไว้ ปล้ำเอาไว้ ไม่มีใครทำโทษ ได้ประกาศกับอำมาตย์ข้าราชบริพารและพระบรมวงศานุวงศ์ว่า ทุกคนถ้าหากว่าทั้งหมดนี้เขาจับฉันไว้ละก้อ ใครอย่าไปลงโทษเขานะ จะหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพน่ะไม่ได้ เพราะฉันสั่งเจ็ดวันฉันจะไม่ลง ฉันจะจับผิดพระสมณโคดม เป็นอันว่าตกลงกันแล้ว ๖ วันน่ะเขาอยู่ได้ พอครบวันที่ ๗ เป็นวันที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสไว้ว่าวันนี้สุปปพุทธะจะต้องถูกธรณีสูบ คือว่าลงอเวจี ไอ้ธรณีสูบนี่มันเป็นศัพท์ชาวบ้านนะ อาตมาก็เผลอไป เรียกยังงี้ไม่ถูก พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดยังงั้น เพราะว่าสุปปพุทธะจะถูกบาปบังคับให้ลงอเวจีมหานรกภายในระยะ ๗ วัน คือวันนี้ พอครบถ้วนวันนี้แล้ว วันนั้นปรากฏว่า ม้าแก้ว คือม้าตัวสำคัญสำหรับออกศึกของพระเจ้าสุปปพุทธะ เป็นม้าต้นที่ทรงโปรดมาก กระทืบโรงบ้าง ร้องเสียงดังบ้าง พระเจ้าสุปปพุทธะเกิดเป็นห่วงม้าขึ้นมา วิ่งจากปราสาทชั้นที่ ๗ ลงมาถึงปราสาทชั้นที่ ๑ แล้วนักมวยปล้ำทั้งหมดที่สั่งไว้ไม่มีใครจับ นี่เป็นกฎของกรรม ทุกคนยืนดูเฉยๆ พอลงมาถึงปราสาทชั้นที่ ๑ ก็วิ่งมาถึงพื้นแผ่นดิน หวังว่าจะไปดูม้าว่ามันร้องเพราะอะไร แล้วก็กระทืบโรงเพราะอะไร เพียงเท้าของท่านเหยียบพื้นแผ่นดินเท่านั้น ความหนักของบาปแผ่นดินทนไม่ไหว เป็นเหตุให้ท่านสุปปพุทธะลงอเวจีมหานรกทั้งๆ ที่ยังไม่ตายอีกคนหนึ่ง นี่เป็นคนที่มีบุญใหญ่จำไว้นะ ทั้งสองคนนี้เป็นคนที่เรียกว่ากลั่นแกล้งพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ
    ตานี้ มาดูอีกคนหนึ่ง นันทมานพ นันทมานพนี่ไม่ได้แกล้งพระพุทธเจ้า แต่ว่าแกล้งสาวกของพระพุทธเจ้าองค์สำคัญ คือท่านอุบลวรรณาเถรี ท่านอุบลวรรณาเถรีนี่เป็นพระอรหันต์ขั้นปฎิสัมภิทาญาณ แล้วบวชตั้งแต่อายุ ๑๖ มีความสวยงามมาก ความสวยของท่านสมัยที่เป็นฆราวาส ตามพระบาลีกล่าวว่า ได้มีคนส่งจดหมายหรือส่งทูตมาขอคือมหาเศรษฐีก็ดี อำมาตย์ผู้ใหญ่ก็ดี พระราชาก็ดี ไอ้ที่จะไม่ส่งทูตมาติดต่อสู่ขอท่านอุบลวรรณาเถรีไปเป็นภรรยาไม่มี ทุกคนมีความต้องการ ท่านบิดาก็เรียกลูกสาวมาถามว่าจะตกลงกับใคร ลูกสาวบอกไม่ต้องการใครทั้งนั้นแหละ ต้องการบวชอย่างเดียว ท่านพ่อก็ดีใจ อนุญาตให้บวช เมื่อบวชเป็นภิกษุณีแล้วไม่ช้าก็บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ มีฤทธิ์มาก แต่ว่านันทมานพนี่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน มีความรักอยู่นาน ต้องการอยู่นาน ท่านอุบลวรรณาเถรีท่านไม่ต้องการด้วยก็เลยเจ๊ากันไป
    ต่อมาวันหนึ่งทราบว่าท่านอุบลวรรณาเถรีไปจำพรรษาอยู่ในป่า สมัยนั้นวัดไม่เกลื่อนกลาดเหมือนสมัยนี้ พระต้องอยู่ในป่า อยู่เขา อยู่ถ้ำกัน ทำกระท่อมเล็กๆ เข้าไว้ ตอนเช้าไปบิณฑบาต ตอนที่ท่านไม่อยู่ นันทมานพก็แอบมานอนอยู่ใต้เตียง เอาเครื่องบังมาบังเข้าไว้ เวลาท่านอุบลวรรณาเถรีกลับมาจากบิณฑบาตมาเหนื่อย แล้วก็ผ่านแสงอาทิตย์มันร้อนกล้าหน้ามืดก็ยังไม่ฉันข้าว มานอนพักอยู่บนแคร่ คือบนที่นอนก่อน นันทมานพเห็นสบโอกาสก็เลยขึ้นไปทำมิดีมิร้ายท่านอุบลวรรณาเถรี ร่วมรักเสีย ท่านก็บอกว่านันทมานพอย่าทำอย่างนี้ ท่านจงอย่าเป็นผู้ฉิบหายเลย นันทมานพก็ไม่ฟัง ทำจนสำเร็จความใคร่ พอสำเร็จความใคร่แล้วก็ก้าวลงจากแคร่ ท่านอยู่องค์เดียวนี่ อยู่ในป่า จะร้องแรกแหกกระเฌอให้ใครมาช่วยก็ไม่ได้แล้ว ไม่มีใคร เมื่อนันทมานพสำเร็จความใคร่ ก้าวลงจากแคร่ พอเท้าถึงดิน บุญมากเกินไป แผ่นดินทนน้ำหนักบุญไม่ไหวก็เลยดึงมาอเวจีมหานรก แผ่นดินแยกออกไป ลงอเวจีมหานรก สำหรับท่านอุบลวรรณาเถรีก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ หลวงตาแก่ทั้งหลายสมัยนั้นวิพากษ์วิจารณ์ว่า พระอรหันต์ไม่ใช่ไม้ผุ การสัมผัสแบบนั้นจะไม่มีความยินดีไม่ได้ เพราะเรื่องมันกระทบอยู่กับตัว พระพุทธเจ้าทราบเข้าก็เรียกมาบอกให้ทราบว่า พระอรหันต์น่ะไม่มีความรู้สึกในเพศ ถ้าทำอย่างนั้นก็เหมือนกับทำกับตุ๊กตา คือตุ๊กตาย่อมไม่มีความปรารถนาในการสัมผัสฉันใด พระอรหันต์ก็เหมือนกัน มีสภาพฉันนั้น เป็นอันว่าเล่ากันอย่างย่อๆ ไม่ใช่มานั่งอธิบายธรรมะ นี่คนที่ ๓ แล้วนะ ที่ทำกับพระอรหันต์
    ตานี้ คนที่ ๔ นางจิญจมาณวิกา นี่เบียดเบียนพระพุทธเจ้าเข้าเหมือนกัน คือว่าพวกปริพาชก บุคคลศาสนาอื่น เห็นว่าพระพุทธเจ้ามีลาภสักการมาก ก็คิดจะกลั่นแกล้งพระพุทธเจ้า จ้างนาง จิญจมาณวิกา นางจิญจมาณวิกานี่ ชาติก่อนเป็นนางอมิตตดาเมียชูชก แต่ชาตินี้ไม่ได้เกิดมาเป็นเมียพระเทวทัต พลัดตระกูลกัน ไม่พบกัน นางก็เลยทำแกล้งเป็นคนท้องให้เขากลึงไม้นูนๆ คล้ายๆ กับคนมีท้อง สาม สี่เดือน แล้วก็ผูกไว้ที่เอว ผูกไว้ข้างหน้ามีอาการเหมือนท้อง เมื่อเวลาที่พระพุทธเจ้าเทศน์ ก็ไปร้องบอกว่าท่านสมณโคดม จะมามัวนั่งเทศน์หน้านวลอยู่ทำไม นี่เธอทำให้ฉันมีท้องมีไส้อย่างนี้ฟืนตองก็ไม่ไปตัด อย่ามามัวนั่งเทศน์โปรดพุทธบริษัทอยู่เลย ไปตัดฟืนไว้สำหรับอยู่ไฟเพื่อฉันดีกว่า เดี๋ยวลูกของเราเกิดมาแล้วมันจะลำบาก องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อได้ทรงสดับ แทนที่พระองค์จะทรงปฏิเสธก็หยุดเทศน์ กล่าวว่า ภัคคินิ ดูก่อนน้องหญิง เรื่องที่เธอกล่าวนั้น คนอื่นเขาไม่รู้ด้วยหรอกนะ มีเธอกับฉันสองคนเท่านั้นแหละจะรู้กัน อ้าว กลับพูดยังงี้เสียอีก ถ้าเป็นชาวบ้านสมัยนี้ก็คงจะนินทากันลั่น ว่าพระพุทธเจ้าทำให้นางจิญจมาณวิกามีท้อง แต่ความจริงไม่ได้เป็นยังงั้น ชาวบ้านสมัยนั้นเขามีเหตุผล ไม่เหมือนคนสมัยนี้ คนสมัยนี้ ที่ดีก็มีมาก มีเหตุมีผล บางคนก็ไม่ไหวเหลือเกินนี้พูดกันตรงๆ นะ อย่าว่าแต่คนเลยพระก็เหมือนกัน พระที่ไม่มีเหตุผลก็เยอะ แม้อาตมาเองก็เหมือนกัน เคยเป็นคนไม่มีเหตุมีผลมาเหมือนกัน แม้ประเดี๋ยวนี้ ไอ้ความเลวมันก็ยังมีอยู่ ไม่ใช่จะดีกว่าชาวบ้านหรอก ฟังไปแล้วก็รู้ไว้ด้วยว่าคนพูดนี่ยังไม่ใช่คนดี ถ้ายังเห็นว่าคนอื่นเลวอยู่ ตัวเองก็ยังเลวอยู่เหมือนกัน แต่มันอดไม่ได้ มันอยากจะเลวก็ปล่อยมันไป
    ตอนนั้นก็เลยร้อนถึงพระอินทร์ พระอินทร์ก็เลยแปลงเป็นหนูเข้าไปกัดเชือกไม้หล่นลงมา บรรดาประชาชนที่ฟังเทศน์ของพระบรมศาสดาเห็นข้อเท็จจริงอย่างนั้น ก็พากันไล่ตีนางจิญจมาณวิกา เอาดินขว้างบ้าง เอาไม้ขว้างบ้าง นางจิญจมาณวิกาก็วิ่งหนีไป วิ่งหนีไม่ได้เท่าไร เพราะอาศัยบุญบารมีมากเกินไป มีน้ำหนักมาก แผ่นดินก็แยกลงอเวจีมหานรกไป มองไปดูข้างหน้า เห็นยืนอยู่ข้างหน้า ยิ้มเผล่ ที่ยิ้มนั่นไม่ใช่อะไรหอกมันเสียบปากเข้าไป ตรึงเข้าไว้ หุบปากไม่ลง
    เห็นไหม บรรดาท่านพุทธบริษัท เห็นหรือเปล่า เห็นก็เห็น ไม่เห็นก็แล้วไป พูดให้ฟัง จะเห็นได้ยังไง
    ตานี้ มาคนที่ห้า นันทยักษ์ ยักษ์คนนี้ คือเทวดานั่นเอง ยักษ์เขาแปลว่าบุคคลอันควรบูชา หรือว่า แปลว่าเทวดา แปลได้ ๒ อย่าง เหาะมากับเหมตายักษ์ ไปเฝ้าท้าวเวสสุวัณกลับมา ท่านพระสารีบุตรกำลังเข้านิโรธสมาบัติ เกิดเหาะข้ามไม่ได้ อากาศเป็นสูญญากาศ ก็มองลงมาดูข้างล่างเห็นพระสารีบุตรนั่งอยู่ ก็คิดว่าสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครูแกล้งขวางทาง (นี่เขาเรียกว่าเทวดาอันธพาล) ก็เลยลงมา จะตีหัวพระสารีบุตร ท่านเหมตายักษ์เป็นพระโสดาบันห้ามไว้ ว่าอย่าทำนะ สาวกของพระสมณโคดมนี้มีอานุภาพมาก ถ้าท่านทำจะมีกรรมหนัก นันทยักษ์ก็ไม่ยอม เอากระบองล่อหัวพระสารีบุตรเข้าให้ แต่ว่าไม่เป็นไร การตีอย่างนั้น ถ้าจะตีภูเขาสัก ๑๐๐ ลูกก็พัง แรงมาก แต่พระเข้านิโรธสมาบัติไม่สะเทือนเลย ผมหวั่นไหวนิดหนึ่ง ตัวไม่เป็นไร พอตีแล้วนันทยักษ์เป็นคนมีบุญใหญ่ แผ่นดินก็เลยแยกนำลงไปอเวจีมหานรก โน่น ยืนอยู่มุมโน้น มุมทางด้านซ้ายมือ นี่เราหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มองไปทางแถบซ้ายมือใกล้จะถึงมุมสุดด้านโน้น นันทยักษ์ยืนมีหอกตรึง หวั่นไหวไม่ได้
    ตานี้ มาว่ากันถึงคนธรรมดา ทำบุญอะไรจึงจะลงอเวจีมหานรก อันนี้ลงกันเมื่อตายนะ เวลาเหลือประมาณ ๖ นาที หรือ ๗-๘ นาทีอะไรนี่ จะค่อยๆ พูดให้ฟัง
    ตัวอย่างคือญาติของพระเจ้าพิมพิสาร ในสมัยนั้นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสี หรือ ปทุมุตตระก็ไม่ทราบ ไม่ได้ดูตำรามามันจำไม่ชัดนี่ เอาสมัยพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งก็แล้วกัน มีพระราชาองค์หนึ่ง มีพระราชกุมาร คือพระราชโอรส ๔ พระองค์พอใจในการถวายทาน เวลานั้นพระเจ้าพิมพิสารเป็นนายเสมียน เป็นเลขาน่ะ ท่านก็เลยสั่งให้จัดการถวายทานแก่พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ท่านเลขาทำงานหนัก มันชักจะทนไม่ไหว ก็ไปเอาญาติมาหลายคนด้วยกัน มาช่วยกันทำ บรรดาญาติทั้งหลายเหล่านั้น ในตอนต้นก็ดี ซื่อตรงต่อการบุญการกุศลดี แต่มาตอนกลางๆ มือถึงท้ายมือไม่ค่อยดี เริ่มหยิบแล้ว ทีแรกก็เป็นทายก ต่อมาก็เลยเป็นทายัก ของอะไรดีๆ ก็ยักเอาไว้เสียบ้าง เอาไว้ให้ลูกให้เมีย เอาไว้เป็นประโยชน์ส่วนตนเสียบ้าง ของที่เขาถวายสงฆ์ เขาตั้งใจจะทำอาหารถวายสงฆ์ เนื้อดีๆ ก็ยักเอาไว้บ้าง แกงดีๆ ก็ยักเอาไว้บ้าง บางทีไม่ยักของสด ไอ้ของสำเร็จรูปที่เขาไม่ทันจะถวายพระก็ยักเอาไว้เสียบ้าง พูดถึงตรงนี้ก็สงสัยพวกทายก ของดีๆ เอาถวายพระพุทธรูป เอาถวายเสียมาก เวลาพระฉันอิ่มแล้วจะได้กินกัน ตกอยู่ในสภาพนี้หรือเปล่าก็ไม่ทราบนะ เจตนาของเขาเป็นยังไง อาตมาไม่ทราบ แล้วก็มีหลายราย ทายกชอบยกของที่เขาถวายพระเข้าบ้าน จำไว้ด้วยนะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจำไว้ ของสมบัตินิดหนึ่งน่ะ แม้จะเป็นก้อนดินนิดหนึ่ง กระเบื้องหักๆ ก้อนหนึ่งก็ตาม อันนี้ถ้าเราถือไปเข้าบ้านด้วยอาการของขโมย-เสร็จ สะเด็ดไม่เหลือลูกหมากรากไม้ที่มีอยู่ในวัดเราจะไปขอเด็กขอพระไม่มีประโยชน์ ของสงฆ์ สงฆ์ต้องประชุมกัน เมื่อประชุมกันแล้ว ตกลงกันว่ายังไงต้องปฏิบัติไปตามนั้น ขายหรือให้ใครต้องปฏิบัติตามนั้นนะ อันนี้ แม้แต่ดอกไม้บูชาพระก็เหมือนกัน ถ้าท่านผู้ปลูกยังมีชีวิตขอเฉพาะท่านได้ ถ้าท่านผู้ปลูกตายไปแล้วหรือสึกไปแล้ว อันนี้เป็นของสงฆ์ ต้องเป็นเรื่องของสงฆ์วินิจฉัย ไม่ใช่พระองค์ใดองค์หนึ่งเป็นผู้ให้ หรือไปขอกับเด็กวัด อันนี้มันไม่ถูกไม่ต้อง ลงอเวจี
    เป็นอันว่าญาติของพระเจ้าพิมพิสารเป็นทายักแบบนี้ตายแล้วลงนรก สิ้นระยะ ๑ กัป พ้นจากนั้นแล้วก็มาตกยมโลกียนรก คือผ่านนรกบริวาร ๔ ขุม แล้วก็มาตกยมโลกียนรกตามลำดับ มาเป็นเปรต ๑๑ จำพวก สุดท้ายก็เป็นเปรตพวกที่ ๑๒ สมัยพระพุทธเจ้าของเรานี้ ถ้าถอยหลังไปแล้ว ถ้าเป็นพระปทุมุตตระ ก็เห็นจะเป็นประมาณแสนกัป ถ้าเป็นพระวิปัสสีก็เห็นจะเป็นประมาณ ๙๑ กัป อันนี้อาตมาจำไม่ได้ เรียกว่าสิ้นเวลานาน แล้วต่อมาเมื่อพระเจ้าพิมพิสารทำบุญกับพระพุทธเจ้า เปรตทั้งหลายเหล่านั้นก็มาส่งเสียงให้ปรากฏ เมื่อองค์สมเด็จบรมสุคตพระพุทธเจ้าทรงทราบ ก็ทรงพยากรณ์บอกว่าเสียงนั้นไม่ใช่เสียงอะไร เป็นเสียงญาติของพระองค์ ตายไปจากอเวจีแล้วก็มาเป็นเปรตต้องการขอส่วนบุญ พระพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำให้ให้ทาน แล้วอุทิศส่วนกุศลให้แก่เปรตทั้งหลายเหล่านั้น เขาจึงได้เป็นเทวดา
    นี่แหละท่านผู้ฟังและบรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพ เรื่องของคนที่จะลงอเวจีนี่มันของไม่ยาก ของสงฆ์นี่ระวังให้มากนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านกล่าวว่ากรรมบถ ๑๐ ความจริงกรรมบถ ๑๐ เป็นของธรรมดาๆ ที่เราชอบ เราก็ควรจะปฏิบัติตามนั้น ทุกคนแหละต้องการให้คนอื่นมีกรรมบถ ๑๐ แต่ตัวเองไม่ต้องการกรรมบถ ๑๐
    เวลาเหลืออีกนิดหนึ่ง จะพูดอีกสักคน คือว่าสุพรรณมัจฉา ปลาสีทอง สุพรรณมัจฉาปลาสีทองตัวนี้เด็กเขาได้มา เอาตาข่ายไปขึงปลามาติด แล้วพ่อแม่เห็นเข้าว่าปลามีเกล็ดเป็นทอง ไม่ควรจะเก็บไว้เอง ก็นำมาถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลเห็นเป็นของแปลกก็นำไปทูลถวายพระพุทธเจ้า ว่าปลาตัวนี้ทำบุญอะไรไว้ เกล็ดจึงเป็นสีทอง ในเมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นเข้าก็บอกว่า ปลาตัวนี้สมัยก่อนเคยบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา ที่มีเกล็ดเป็นสีทองก็เพราะว่าอาศัยเคยปฏิบัติศีล ปฏิบัติธรรมในตอนต้นด้วยความเคารพ แต่ว่าในตอนปลายมือเป็นพระคณาจารย์ ด่าว่าพระภิกษุทั้งหลายที่มีความผิดบ้าง ไม่ผิดบ้าง โดยเจตนาร้าย เวลาตายไปแล้วเกิดเป็นสัตว์นรกในอเวจีมหานรก มองอยู่โน่น อยู่ทางด้านซ้ายมือเหมือนกัน ใกล้มุมสุดด้านเหนือ เป็นรูปพระยืนกางแขนกางขาอย่างพระเทวทัต แล้วก็เมื่อกรรมเบาลงมาก็เลื่อนขึ้นมาตามลำดับ จนกระทั่งเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เป็นปลาทอง มีเกล็ดเป็นทอง แต่ว่าปากเหม็นเพราะด่าพระ พระพุทธเจ้าจึงถามว่า กปิลมัจฉา เดิมทีเดียวเธอบวชเป็นพระใช่ไหม พอปลาอ้าปากตอบว่าใช่ กลิ่นก็เหม็นฟุ้งไปทั้งพระวิหาร ถามว่าเป็นเพราะอะไรเธอจึงตกอเวจีมหานรก เธอก็บอกว่า เพราะอาศัยที่เป็นพระปากร้าย ด่าไม่ว่าใคร ไม่มีเหตุ ไม่มีผล อิจฉาริษยาพระด้วยกัน กล่าวร้ายด้วยการนินทาได้ร้ายบ้าง นี่ชาวบ้านก็เหมือนกันนะที่ปากไม่ดีแบบนี้ ไปด่าพระด่าเจ้า ด่าผู้ทรงศีล ก็มีสภาพอย่างเดียวกับกปิลมัจฉา เมื่อจะถามต่อไป มันก็หมดเวลา เป็นอันว่าเมื่อพระพุทธเจ้าถามจบ ถามถึงพี่ชาย บอกว่าไปนิพพานแล้ว ถามถึงแม่กับน้องสาว บอกว่าไปอเวจีมหานรกเหมือนกัน เพราะทำกรรมอย่างเดียวกัน สำหรับพี่ชายไม่เล่นด้วย ก็เลยเป็นพระอรหันต์แล้วไปนิพพาน น้องชายไปอเวจี เมื่อปลาตอบเท่านี้ก็เสียใจ เอาหัวฟาดอ่างถึงแก่ความตาย กลับลงไปอเวจีมหานรกใหม่ นั่นยืนอยู่ข้างท้ายเลยท่านนันทมานพไปหน่อยหนึ่ง เห็นไหม ยืนกางแขนกางขาอยู่เหมือนกัน
    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านและพระคุณเจ้าที่เคารพ เวลาหมดเสียแล้วขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาพุทธศาสนิกชนและพระคุณเจ้าที่รับฟังทุกท่าน สวัสดี.
     
  2. junior phumivat

    junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,346
    ค่าพลัง:
    +1,688
    พรปีใหม่



    จาก หนังสือ กรรมฐาน ๔๐[​IMG]


    ปีใหม่ก็จะคืบคลานเข้ามาถึง ก็เป็นอันวาชีวิตของเราก็ล่วงเข้ามาอีก ๑ ปี ปีใหม่ที่เคลื่อนเข้ามาเราก็จะแก่เข้าไปอีก ชีวิตของเราก็จะเดินเข้าไปหาความดับ เพราะธรรมดาของชีวิตเมื่อมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นและก็มีความเปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง และมีการตายแตกทำลายพันธุ์ไปในที่สุด นี่เป็นกฎธรรมดาของสิ่งมีชีวิตที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ศ. ๒๕๑๙ ที่จะเข้ามาถึงจัดว่าเป็น พ.ศ. ที่มีความวิกฤติที่สุดของชีวิตประเทศไทยในยุคนี้ เพราะว่าตกอยู่ในเขตที่มีความวิกฤตอย่างหนัก ความแปรปรวนเป็นไปของโลก ของชีวิตมนุษย์

    อันนี้ก็ถือว่าเป็นปกติธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า โลกมีอันจะต้องฉิบหายไปในที่สุด ไม่มีอะไรทรงตัว ทีนี้สำหรับเราเหล่าพุทธบริษัทในฐานะที่ท่านทั้งหลายเป็นพุทธมามกะ คือนับถือพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ พระบาลีกล่าวว่า บุคคลผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยย่อมจะไม่สลาย คือ จะต้องไม่พินาศไปด้วยอำนาจของโลกซึ่งเต็มไปด้วยความแปรปรวน ทั้งนี้ก็เพราะว่าองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ว่า สิ้นเวลา ๒,๕๐๐ ปีเศษ สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสแก่พระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อน อานนท์ เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไป ๒,๕๐๐ ปีเศษ คือ หลังจากกึ่งพุทธกาล ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี คือ พ.ศ. ๒๔๘๕ เป็นต้นมา โลกจะเต็มไปด้วยความวิกฤต ไฟจะตกจากอากาศ ไฟจะลุกในอากาศ ฝนเหล็กจะตกจากอากาศ บรรดาคนจะมีความทุกข์ยากล้มตายเป็นอันมาก และองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงกล่าวต่อไปอีกว่า อานันทะ ดูก่อน อานนท์ ความวิกฤตคือความร้ายแรงของโลกก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี จะมีความร้ายแรงก็จริงแหล่ แต่ทว่ายังไม่ร้ายแรงเท่าหลังกึ่งพุทธกาล อันนี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ดูก่อน อานนท์ ยักษ์หินที่ถูกสาปจะลุกขึ้นอาละวาด ยักษ์นอกพุทธศาสนาจะรบราฆ่าฟันล้มตายกันฝ่ายละครึ่งจึงจะหยุดยั้ง สมณะชีพราหม์จะล้มตาย แต่ว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยอันนี้เหมือนกัน แต่ทว่าไม่ร้ายแรงนัก ไม่ถึงกับพินาศ นี่เป็นคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้

    ทีนี้คำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าปรากฎเป็นความจริง คือตั้งแต่ปี ๒๔๘๕ สงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็เกิดขึ้น เมื่อสงครามสงบแล้ว ความวิกฤติของโลกยังไม่สงบ มีการรบราฆ่าฟันเป็นปกติ ระยะนี้เป็นระยะหลังกึ่งพุทธกาล มีสมณะชีพราหมณ์ทั้งหลายล้มตายเป็นอันมาก คำพยากรณขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรงตามความเป็นจริง อีกข้อหนึ่งที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกันแต่ไม่ร้ายแรงนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย ก็ถือกันว่าเป็นประเทศที่ทรงพระพุทธศาสนา

    ถ้าเราจะพิจารณากันตามความเป็นจริง จะเห็นว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้งหมดไม่มีประเทศใดที่ทรงคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมสุคตบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ได้ครบถ้วนเช่นประเทศไทย ในประเทศไทยเรามีทั้งพระสูตร พระวินัย ปรมัตถ์ คือพระอภิธรรม สำหรับประเทศอื่น เช่น ประเทศพม่า โดยมากจะไม่เคร่งครัดในเรื่องของพระวินัย โทษในเรื่องพระวินัยเขาไม่เคร่งครัดเพราะถือว่าไม่สำคัญ จะนิยมแต่ในเฉพาะด้านของปรมัตถ์ คือ อภิธรรมเท่านั้น ตามบาลีว่า พระสูตรคือประเทศไทย พระวินัยคือมอญ อภิธรรมพม่า หมายความว่าในประเทศไทยเรานิยมพระสูตร แต่ว่าเรามีพระวินัยและพระอภิธรรมครบถ้วน สำหรับวินัยมอญก็มายถึงว่าประเทศมอญเขาเคร่งครัดในพระวินัยแบบชาวมอญ สำหรับพม่านั้นยกพระสูตรทิ้งไป พระวินัยทิ้งไป เหลือพระอภิธรรม เราก็จะเห็นว่าในประเทศไทยยังคงทรงไว้ได้ทั้ง ๓ ประการ คือ พระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรม ทั้ง ๓ ประการ เมื่อเราพิจารณาตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระพุทธญาณท่านทรงพยากรณ์กับพระอานนท์แล้ว จะเห็นว่าประเทศไทยเราคงพระวินัย คือ เคารพองค์สมเด็จพระจอมไตรไว้ตามพระพุทธพยากรณ์ จึงถือว่าประเทศไทยอยู่ในเขตคำพยากรณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ คือ อาจจะต้องไม่สลายไป ในการนับถือองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาที่มีพระบาลีว่า พุทโธ อัปปมาโณ คือว่า คุณของพระพุทธเจ้าหาประมาณมิได้ การเคารพในพระธรรมว่า ธัมโม อัปปมาโณ การเคารพในพระธรรมว่าหาประมาณมิได้ หรือคุณของพระธรรมหาประมาณไม่ได้ สังโฆ อัปปมาโณ คุณของพระอริยสงฆ์หาประมาณมิได้

    การเคารพในคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สามารถจะยังชีวิตและความสุขของเราให้คงอยู่ได้ปลอดภัยจากอันตราย ดูตัวอย่าง เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงชีวิตอยู่ในขณะนั้น องค์สมเด็จพระบรมครูเสด็จประทับอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร ในขณะนั้นปรากฎว่าพระเจ้าพิมพืสารบรมกษัตริย์ถูกพระยาชมภูบดีรุกราน เหมาะขึ้นมาในอากาศเห็นยอดปราสาท่ของพระเจ้าพิมพืสารบรมกษัตริย์มีความสวยสดงดงามยิ่งกว่า ความริษยาก็เกิดขึ้น จึงได้ลงมาจากอากาศมายืนอยู่บนยอดปราสาท ชักพระขรรค์อันประจำพระองค์ขึ้นฟันยอดปราสาท ความจริงพระขรรค์นี้ แม้แต่เหล็กท่อนใหญ่ ๆ กระทบแล้วไม่หนักนักก็จะขาดไปทันที แต่อาศัยที่พระเจ้าพิมพิสารมีความเคารพในองค์สมเด็จพระมหามุนี คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นไตรสรณาคมน์ทั้ง ๓ ประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์เป็นพระโสดาบัน ด้วยอำนาจของพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ จึงป้องกัน แทนที่ยอดปราสาทจะขาด พระขรรค์ของพระยาชมภูก็บิ่นทำลายไป พระยาชมภูมีความเจ็บใจ จึงได้ยกเท้าขึ้นกระทืบยอดปราสาทก็เป็นเหตุให้เหล็กยอดปราสาททิ่มทะลุรองเท้าไปโดนเท้าบาดเจ็บ ถึงกับมีความโกรธมากจึงเหาะกลับประเทศของพระองค์ และก็ใช้ อวิตาศรไปร้อยพระกรรณ คือ ร้อยหูของพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ คือมีศรเป็นกรณีพิเศษ เมื่อศรเข้ามาประกาศว่า เราจะร้อยหูของพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ พระเจ้าพิมพิสารได้ทราบแล้ว ได้ยินแล้ว เห็นแล้ว ก็มีความกลัว จึงเสด็จไปเฝ้าองค์พระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในที่สุดบารมีของพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประมุขก็ระงับอันตรายนั้นเสียได้ ในที่สุดบังคับให้พระยาชมภูบดีเข้ามาเฝ้าสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ได้ฟังพระธรรมเทศนามีความเลื่อมใสอุปสมบทในพระพุทธศาสนา และก็ได้สำเร็จพระอรหัตผล เป็นอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา แสดงว่าที่พระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์พระบาทท้าวเธอพ้นจากอันตรายได้เพราะอาศัยคุณพระรัตนตรัยเป็นสำคัญ ในฐานะที่พระองค์เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน มีความมั่นคงในคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีศีลห้าเป็นสมุจเฉท คือ รักษาศีลห้าเป็นปกติ

    ฉะนั้น วันนี้เป็นวันที่สุดของปี ๒๕๑๘ ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เข้ามาถึง ก็เป็นปีที่เต็มไปด้วยความวิกฤตของประเทศไทย ฉะนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา จงอย่าประมาทในชีวิต จงทรงจิตของท่านให้มีควมมั่นคงในคุณพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการ คือ คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ปฏิบัติจิตให้ตรงต่อเฉพาะพระพุทธองค์ว่าที่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงสั่งสอนไว้ เราทำอย่างไรที่ว่าทรงความดีตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงกล่าวให้พวกเราทุกคนเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ทุกสิกขาบท คือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภิกษุ และสามเณร มีความจำเป็นจะต้องทรงสิกขาบททั้งหมดให้ครบถ้วนบริบูรณ์ สำหรับฆราวาสก็มีความจำเป็นอยู่เหมือนกัน แต่ทว่าบางท่านก็สามารถรักษาสิกขาบทให้ครบถ้วนได้ เพราะความจำเป็นในชีวิต ฉะนั้น ขอให้ตั้งสัจธรรมไว้ว่า ถ้าศีลข้อใดก็ดีใน ๕ ข้อนี้ เราจะทรงไว้ได้ตลอดชีวิต จะไม่ละเมิด ให้ตั้งจิตถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ในชีวิตของเรานี่ สิกขาบทใดสิกขาบทหนึ่งหรือสองสิกขาบทก็ตามที ซึ่งไม่เกินวิสัยเราจะทรงไว้ให้ครบถ้วน ไม่ยอมให้มัวหมอง สำหรับท่านผู้ใดสามารถจะทรงสิกขาบททั้ง ๕ ประการได้ หรือ ๘ ประการได้ก็ยิ่งดี อย่างนี้ได้ชื่อว่ามีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการปฏิบัติ กาย วาจา ใจ และสำหรับกำลังใจนั้นมีความสำคัญ บรรดาพุทธบริษัททุกท่านทรงความดี คือ นึกถึงบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ให้มีจิตยึดพระพุทธคุณไว้เป็นสำคัญ

    การนึกถึงพระพุทธคุณทำอย่างไร ว่ากันมากไปก็ไม่ถนัด อิติปิ โส ภควา ฯ จนจบก็ไม่ไหว ฉะนั้น โบราณาจารย์จึงกำหนดไว้ว่าบุคคลใดผู้ใดมีความนึกถึงบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ให้ภาวนาว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2008
  3. junior phumivat

    junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,346
    ค่าพลัง:
    +1,688
    อสุรกาย พวกที่ ๑-๒ และ สัมภเวสี



    จาก หนังสือ ไตรภูมิ[​IMG]


    ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้มาพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทในเรื่องไตรภูมิตามเดิม ในตอนก่อนได้พาบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทไปนอนพักอยู่ในแดนเปรตมาสิ้นเวลา ๗ วัน หวังว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย คงจะเห็นเปรตได้ชัดว่าดินแดนของเปรตเป็นดินแดนนี่น่าอยู่เพียงใด หรือว่าใครจะไม่อยากอยู่ก็เป็นเรื่องของญาติโยมพุทธบริษัท วันนี้ออกเดินทางต่อไป ลาเปรตเสีย บรรดาเปรตทั้งหลายถ้าหากว่าเราจะพูดกัน เรื่องพูดมีมาก แต่ทว่าเกรงบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจะรำคาญ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะพูดไปพูดมามันก็เรื่องของเปรต เป็นอันว่าบรรดาเปรตทั้งหลายเป็นสภาวะที่เราไม่น่าอยู่ เราไม่น่าพิสมัย
    ทั้งนี้ ดินแดนที่เราจะเดินทางต่อไป ตอนนี้เราเดินทางกลับมาเมืองมนุษย์กันก่อนดีกว่า ออกจากดินแดนของเปรต หันหน้ามาทางทิศนะวันตก เป็นทางขาวใหญ่ เดินต่อมาเรียงแถวกันให้ดีนะ ดีไม่ดีตอนระหว่างสุดทางของนรก แล้วก็สุดทางของมนุษย์ สุดแดนของสวรรค์ ด้านขวามือนั้นมีนรกสำคัญอยู่ขุมหนึ่ง ที่เราเรียกกันว่าโลกันตนรก เดินไปอีกหน่อยสมมุติว่าเดินผ่านมา เข้าถึงจุด ๓ จุดที่เข้ามาชนกัน คือเรียกว่าแดน ๓ แดนชนกันที่สุดของนรก ที่สุดของมนุษย์ และที่สุดของสวรรค์ มองไปทางขวามือจะเห็นภูเขาลูกใหญ่ปากช่องโต ภายในมีถ้ำ ในนั้นมีความเยือกเย็นมาก ในถ้ำนั่นแหละ เราเรียกกันว่าโลกันตนรก มันไม่เป็นเรื่อง พูดมาแล้วนี่ ไม่ต้องแวะเข้าไปดู ตานี้มาเดินกันต่อไป จะเสียเวลา พอเดินมาถึงทาง ๔ แพร่ง ก็พบว่าท่านเทวดาอินยืนยิ้มอยู่ พวกเราก็ยกมือไหว้ท่านเสียหน่อยซี ท่านเป็นเทวดา ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะยังไงๆ ก็ตามเขาก็เป็นเทวดา ขึ้นชื่อว่าเทวดาย่อมมีความดี ๒ ประการ คือ มีหิริ และโอตตัปปะ หิร ิแปลว่า ความอายบาปอายความชั่ว โอตตัปปะเกรงกลัวผลของความชั่ว นี่ใครจะถือว่าเป็นพระเป็นเจ้าเป็นนักบุญ นับถือพระพุทธศาสนา ไม่ควรจะไหว้เทวดา นั่นไม่จริง เทวดานี่ควรไหว้ เพราะเขามีความดี ถ้าหากว่าเขาไม่ดีละเขาก็เป็นเทวดากันไม่ได้ ไหว้เทวดาเถอะ ไม่เสียหายอะไร อย่างน้อยที่สุดเทวดาก็มีความดีกว่ามนุษย์อยู่มาก ลาท่านเทวดาอินเสีย เดินเข้ามาดูบนดินแดนของมนุษย์ ภาพข้างหน้าเกลื่อนกล่นไปด้วยผี บรรดาผีทั้งหลายนี่เราเรียกกันว่า อสุรกายบ้าง สัมภเวสีบ้าง สภาพของอสุรกาย บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เรามองดูแล้วจะมีอยู่ ๒ แบบด้วยกัน คือ แบบที่ ๑ พวกที่ ๑ เป็นพวกอสุรกายที่ยังมีกรรมหนัก ร่างกายทรุดโทรมหน้าตาซีดเซียว เรียกว่าไม่มีความสง่าผ่าเผยผอมกะหร่อง ผมเผ้ารุงรังน่าเกลียด ไม่ใช่น่ากลัว เรียกว่าเป็นการน่าเกลียด น่าสะอิดสะเอียน อสุรกายพวกนี้มีความดีกว่าเปรตอยู่อย่างหนึ่ง คือหากินได้ แต่ทว่าจะต้องหากินประเภทของที่เขาทิ้งแล้ว บูดเน่าแล้วอย่างซากศพ คนตาย สุนัขตาย ควายตาย สัตว์ตายหรือเศษอาหารที่เขาทิ้งไว้เน่าๆ พวกนี้กินได้ เวลาที่เราเห็นเขากิน ก็เหมือนกับเห็นว่าเรากินธรรมดามีการเคี้ยว มีการกลืนเหมือนกัน มีสภาพเหมือนว่ากินเนื้อสัตว์เข้าไป กินอาหารเข้าไปหมด แต่ทว่าน่าแปลกที่ซากยังเหลืออยู่ พวกนี้กินอะไร? กินอาหารที่เป็นนามธรรม คือว่ากินอาหารที่ไม่ใช่รูปธรรม พวกอสุรกายพวกนี้ต้องลำบากแบบนี้ แต่ว่าดีกว่าเปรต ยังกินได้ ที่เรียกว่าอสุรกายเพราะมีรูปร่างหน้าตาไม่สวย คอยหลบหน้าคนอยู่เสมอ มีความไม่กล้าเป็นปกติ ท่านจึงเรียกว่าอสุรกาย
    ตานี้ อสุรกายอีกพวกหนึ่ง มีความดีมาก ใกล้จะพ้นความเป็นอสุรกายแล้ว คือว่าโทษทัณฑ์ที่เป็นเศษกรรมในภาวะของการเป็นอสุรกายใกล้จะหมดไป ตอนนี้มีรูปร่างหน้าตาอ้วนท้วนใหญ่โต แต่ทว่าผิวดำมะเมื่อม อสุรกายพวกนี้มีกำลังมาก มักจะชอบรับสินบนจากชาวบ้าน แล้วก็ปลอมแปลงตัวเป็นเจ้าเข้าทรง บางทีก็ไปหลอกพระ พระที่มีความเข้าใจไม่ถึง ก็คิดว่าบรรดาอสุรกายพวกนี้แหละเป็นผู้วิเศษ ถ้าใครนิยมพระศรีอาริย์ เขาก็จะเข้าไปสอดแทรกแล้วก็บอกว่าเขาเป็นพระศรีอาริย์ หรือว่าใครนิยมจ้าวองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม เทวดาองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม พวกนี้นิยมเข้าไปแทรก บอกว่าเขาเป็นคนนั้น บรรดาพวกเข้าทรงทั้งหลาย ถูกพวกนี้ปลอมมาก เคยพบมาหลายราย พวกนี้มีรูปร่างหน้าตาแข็งแรงใหญ่โตทะมัดทะแมง ผู้พูดเองก็เคยถูกอสุรกายพวกนี้ปลอมเล่นงานอยู่หลายครั้ง แต่ก็จับตัวได้ ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะบุคคลที่เขาอ้างถึง รู้จักหมด เป็นอันว่าโกหกกันไม่ได้ นี่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย มองไปซี โลกนี้บรรดาอสุรกายทั้ง ๒ ประเภทและก็สัมภเวสีเกลื่อนกลาดไปหมด นี่หากว่าบรรดามนุษย์ทั้งหลายสามารถเห็นอสุรกายหรือสัมภเวสีได้ทุกคน หรือเปรตได้ทุกตน เปรตก็เหมือนกัน ลอยอยู่บนดินแดนของมนุษย์เกลื่อนไปหมด ถ้าเราเห็นได้เราก็เดินตรงทางไม่ได้ ต้องหลีกกันย่ำแย่เรียกว่าเดชะบุญนะที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทส่วนใหญ่ ไม่สามารถจะเห็นอสุรกายและเห็นพวกผีทั้งหลายได้ จึงไม่ต้องหลีกใคร เป็นอันว่าเรื่องราวของอสุรกายนี้เป็นเศษกรรมอันหนึ่ง แต่ว่าดีกว่าเปรตที่ว่ายังหากินได้ แต่ผีระวังนะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ระวังอสุรกายปลอมผู้ที่เข้าทรง นับถือจ้าว นับถือเทวดา ระวังให้มาก พวกนี้มีความรู้มากเหมือนกัน ถ้าใครตายแล้วไปเกิดที่ไหน เขาสามารถจะบอกได้ ใครบนบานศาลกล่าวอะไรใครไว้เขาก็รู้เหมือนกัน แล้วเขาก็มีอำนาจบางอย่างที่จะรักษาโรคได้ จะบันดาลอะไรได้บางอย่างตามสมควร แต่ว่ากำลังไม่เสมอเทวดา พวกนี้จะต้องสังเกตได้ว่าจะแสดงท่าทางผิดปกติจากพระหรือเทวดาธรรมดา นี่มีในที่แห่งหนึ่งเขานิยม เขาบอกว่าในก๊กของเขา หรือในกลุ่มของเขาเป็นศาสนาพระศรีอาริย์ แล้วก็กลุ่มนี้อยู่ในถ้ำๆ หนึ่งอาตมาเองไปพบ วันนั้นก็ไปคุยกัน คุยกันไปคุยกันมาก็ถึงเวลาถวายทาน พระองค์นั้นท่านบอกว่าท่านเองน่ะ เข้าถึงพระศรีอาริย์เป็นปกติ ตานี้เวลาถวายทาน ท่านก็ว่าอะไรของท่านพึมพำๆ ไปตามเรื่อง เวลาที่ลูกน้องเจริญกรรมฐานทำสมาธิ เขากล่าวคำให้ทานกันแล้วให้ลูกน้องทำสมาธิ เมื่อลูกน้องทำสมาธิก็ปรากฏว่าพระองค์นี้สวด นั่งสวดแทนที่จะสงบ เป็นแบบสวดมนต์ แล้วก็ใช้ภาษาที่มนุษย์ไม่สามารถจะรู้เรื่องได้ อาตมากับเพื่อนคนหนึ่งไปร่วมในพิธีนั้น เห็นตัวดำมะเมื่อม ผลที่สุดก็ทราบว่าอสุรกาย ก็เลยเฉยไว้ เมื่อพระองค์นั้นสวดเสร็จแล้ว ถามว่าสวดทำไม เวลานี้ลูกน้องทำสมาธิท่านสวดทำไม เขาก็บอกว่า พระศรีอาริย์มายืนอยู่ข้างหลัง บอกให้สวด ก็เลยบอกว่าพระศรีอาริย์ที่ไหน ผมเห็นไอ้ดำมันยืนอยู่ข้างหลังท่านนี่ ไอ้ดำตัวนี้มันเป็นอสุรกาย มันปลอมเข้ามาในพิธี การสวด มันก็ไม่ถูกแบบแผน แบบแผนของพระพุทธเจ้าน่ะ เวลาที่ลูกน้องทำสมาธิต้องใช้เวลาสงบสงัด แต่ไอ้การทำแบบนี้มันไม่ถูกนี่ขอรับ พระองค์นั้นน่ากลัวจะไม่ชอบใจ เพราะว่าไปพูดไปว่าเขาต่อหน้าลูกศิษย์เขานี่ มันก็ไม่ดีเหมือนกัน แต่หากจะถามว่าพูดทำไม ก็เพราะว่าเป็นการผิดแนว ถ้าเราจะปล่อยกันไปพระองค์นั้นก็นุ่งเหลืองห่มเหลืองแล้วก็โกนหัวเหมือนกัน เขาจะหาว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาน่ะเลอะเทอะเหมือนกันหมด จึงบอกว่า ทางที่ดีละก็ ท่านควรจะทำใจของท่านให้ดีไปกว่านี้ ให้รู้ว่าใครมันไปใครมันมา เวลานี้ศาสนาของพระพุทธเจ้ามีนามว่า พระสมณโคดมน่ะยังไม่หมด ยังอยู่ในระหว่างเขตศาสนาของท่าน แล้วการที่จะมาประกาศศาสนาใหม่ บอกว่าเวลานี้เป็นยุคใหม่แล้วไม่ใช่ยุคเก่า เป็นยุคของพระศรีอาริย์ แบบนี้ ดูท่ามันจะไม่เหมาะ ถ้ากระไรก็ดี เราก็เป็นลูกพ่อเดียวกัน อย่าทำอะไรให้มันนอกรีตนอกรอยไปเลย นี่ว่ากันเท่านี้นะพูดให้ฟังว่าอสุรกายพวกนี้มันปลอมตัวได้ แต่ว่าถ้าคนไม่เข้าใจมันจริงๆ ละก็ มันเล่นงานเสียหลายรายแล้ว
    ต่อแต่นี้ไป ก็มาพูดถึงสัมภเวสี ประเดี๋ยวก่อน ญาติโยมพุทธบริษัท บางทีญาติโยมจะสงสัยว่า อสุรกายนี่ต้องลำบากอยู่สักเท่าไร ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายถามแบบนี้ อาตมาก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้บอกเวลาไว้ว่าจะเสวยผลประเภทนี้ไปสักกี่ปี กี่เดือน กี่วัน เป็นแต่เพียงท่านบอกว่า ถ้าพ้นจากสภาวะความเป็นอสุรกายแล้ว ก็ต้องเป็นสัตว์เดียรัจฉาน รู้กันไว้เท่านี้ก็แล้วกันนะ อาตมาจะบอกให้เลยไปกว่านี้ก็บอกได้ เป็นของไม่ยาก แต่ว่าบอกแล้วเวลาอาตมาตายไปแล้วไปลงนรกไม่บอกดีกว่า ถ้าตายแล้วต้องลงนรกนี่ไม่เอานา มันไม่ใช่ของดี
    เอาละ ต่อแต่นี้ไปก็เลยอสุรกายไปนิด ความจริงมันไม่ใช่เลย เรามายืนอยู่ในขอบเขตของเมืองมนุษย์นี่แหละ แต่ว่าเป็นผี คนพวกนี้มีอิสระ ไม่อยู่ในอำนาจของใครไม่ใช่เปรต ไม่ใช่อสุรกาย เป็นใคร? ที่เราเรียกกันว่า สัมภเวสี คือว่าคนที่ตายแล้วยังไม่ถึงอายุขัย เรียกว่ามีกรรมที่เรียกกันว่าอุปฆาตกรรม เข้ามาริดรอน ตัดรอนเสียตั้งแต่ยังไม่หมดอายุขัย ท่านพวกนี้เวลาตายแล้วทางนรกไม่ต้องการ ทางสวรรค์ไม่ต้องการ บุญที่ทำไว้ยังไม่ให้ผล หรือว่าบาปที่เขาทำยังไม่ให้ผล ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะเรียกเข้าไปสอบสวนและจัดการลงโทษ มีสภาพเหมือนกับคนออกจากบ้านนี้แล้วเข้าบ้านโน้นไม่ได้ จะกลับเข้าบ้านนี้ก็ไม่ได้ เดินไปเดินมาไม่ใช่ว่าแบบหนุ่มเจ้าสำราญนะ เดินแบบลำบาก หาอะไรกินไม่ได้ ผีประเภทนี้เราเรียกกันว่าสัมภเวสี แปลว่าพวกแสวงหาที่เกิด หมายความว่าแสวงหาที่อยู่แน่นอน บรรดาคนที่ตายในสภาพนี้ ที่บรรดาหมอผีทั้งหลายชอบเรียกเอาไปเลี้ยงก็เพราะว่าเขาเป็นคนหิว เขาไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีอาหารเป็นเครื่องบริโภค ในเมื่อสภาพของเขาเป็นคนหิวแบบนี้แล้วใครชวนก็ไป ก็แบบเดียวกับเรา เราก็เหมือนกัน เมื่อที่อยู่ไม่มี ใครชวนไปอยู่ด้วยก็ไป ไปทำไม? ไปเพื่อประทังชีวิตให้มีความสุข พวกนี้ต้องการเครื่องเซ่นสรวงบูชา แล้วสำหรับคนที่ตายประเภทนี้ ที่หมอเขาบอกว่าสะเดาะเคราะห์ได้จะไม่ตาย นี่เป็นความจริงเพราะว่ากรรมที่กระทำให้พวกเขาตาย เรียกว่าอุปฆาตกรรม กรรมเข้ามาตัดรอนในระหว่างอายุขัย ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะต้องตาย แต่ถ้าหากว่า เราทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะเป็นการชดเชยกับความชั่วที่จะเข้ามาริดรอนเสียได้ อายุเข้าก็จะยืนต่อไป ที่เรียกกันว่าการต่ออายุ แต่ทว่าการต่ออายุนี่ต้องระวังนะ ส่วนใหญ่ที่เคยได้ฟังมา มันเป็นการต่ออายุหมอไป หมอที่ทำพิธีน่ะ ได้รับการต่ออายุหมดเคราะห์ แต่ว่าคนที่เข้าไปสะเดาะเคราะห์กลับเพิ่มเคราะห์เข้ามาอีก ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะเชื่อหมอนี่ หมอบอกว่า ถ้าไม่ทำละก้อ ต้องตายเมื่อนั้นเมื่อนี่ ถ้าทำเสียแล้วจะมีความดี หมอก็ตั้งราคาไว้สูง จะต้องหาเงินให้หมดเป็นพันเป็นหมื่น พิธีกรรมก็มากมายถ้าทำไปแล้ว ถ้าไม่ถูกพิธีกรรม การสะเดาะเคราะห์นั้นไม่มีผล แต่เราต้องเสียสตางค์ เราเสียสตางค์ก็ชื่อว่าเพิ่มเคราะห์เข้ามา สำหรับหมอ หมดเคราะห์ไป เราเสียไปให้พันบาท เรื่องการสะเดาะเคราะห์ คือเป็นการต่ออายุ แบบนี้ระวัง ระวังต้องให้พอเหมาะพอดีกับกฎของกรรม ถ้าจะทำกันให้ถูกจริงๆ ละก็ ไปหาพระที่ท่านได้ทิพยจักขุญาณ หรือว่าอตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ความจริงมันก็ไม่ต่างกัน ได้ทิพยจักขุญาณอย่างเดียวเท่านั้นแหละมันก็ได้ทั้งหมด
    เมื่อท่านทราบชัดว่า กรรมเดิมมีอะไรบ้างที่จะเข้าริดรอน ท่านก็จะสอบถามว่ากฎกรรมประเภทนี้ จะต้องชดใช้ด้วยอะไร เมื่อทราบชัดท่านก็จะบอกให้ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเฉพาะพระเท่านั้นที่จะรู้ ฆราวาสที่เขารู้ก็มีถมไป ฆราวาสสมัยนี้ มีความดีจนพระควรจะอายมีเยอะ มีไม่น้อย เป็นอันว่าถ้าใช้ถูกจังหวะ ราคาก็ไม่แพง และผลก็จะได้สมความปรารถนาที่เขาจะต้องตายไป ก่อนที่เขาจะหมดอายุขัย ก็เพราะไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้ ตานี้ เรื่องการสะเดาะเคราะห์หรือการต่ออายุก็ต้องดูกันใหม่ ดูกันไปว่าควรไม่ควรเพียงใด คนที่ถึงอายุขัยแล้วต่อไม่ไหว เมื่อพูดมาถึงตอนนี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่ติดตามมาทัศนาจรดูอสุรกายและสัมภเวสีอาจสงสัยว่าหลวงตาองค์นี้ น่ากลัวจะพูดผิดเรื่องเสียแล้ว พระพุทธเจ้า ไม่เคยต่ออายุใครนี่ แล้วก็ตาเถรหัวล้านนี่มาพูดกันยังไงกัน ทำไมมาแนะนำให้ชาวบ้านต่ออายุ ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทสงสัยตอนนี้ละก็ไปเปิดพระธรรมบทดู ที่บอกให้เปิดธรรมบทที่เขาลงท้ายว่าขุททกะ ขุททกนิกาย นิกายแปลว่าหมู่ ขุททกะแปลว่าเล็กๆ น้อยๆ คือเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เล็กๆ น้อยๆ กระจุ๋มกระจิ๋มเป็นวิชาเกล็ด ท่านพุทธโฆษาจารย์ท่านรวมไว้อีกจุดหนึ่งแล้วไปเปิดดูเรื่องอายุวัฒนกุมาร ว่าพระพุทธเจ้าเป็นหมดดูหรือเปล่า แล้วก็พระพุทธเจ้าเป็นนักต่ออายุคนหรือเปล่า นี่นักสมถวิปัสสนา นักเข้าวัดละมักจะสวดพระสวดคนที่เขาทำสมถกรรมฐาน เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าใครเขาดูด้วยอำนาจของญาณ ทำพิธีกรรมละบอกว่านอกรีตนอกรอย ทำไม่ถูก พระพุทธเจ้า สอนไว้ว่าการเป็นหมอดูเป็นไม่ได้ ทำพิธีกรรมแบบนี้ทำไม่ได้ คนเมื่อจะถึงคราวตายเป็นอำนาจกฎของกรรม ทำแล้วมันไม่ถูกนอกรีตนอกรอยนอกประเพณี นอกคำสอนของพระพุทธเจ้า นี่แหละบรรดาญาติโยมคนรู้มากก็ยากนาน รู้น้อยพลอยรำคาญ แต่ว่าคนพึ่งคลานได้นี่ซิ กลับไปด่าคนพึ่งคลานได้แบบนี้ นี่ซิ กลับไปด่าคนที่เขาวิ่งแข็งแล้วว่าทำไม่ถูก คนเกิดมาจะต้องคลานอย่างนี้ นี่ซิ มันเป็นแบบนี้ ลักษณะแบบนี้มันมีอยู่มาก อ่านหนังสือไม่ทันจะจบ ตานี้ถ้าไปดูเรื่องอายุวัฒนกุมาร อายุวัฒนกุมารนี่เกิดมาเป็นเด็กตัวเล็กๆ ยังไม่ ๗ ขวบ นั่งไม่ได้ จะต้องตายในระหว่างนั้น พ่อแม่ของอายุวัฒนกุมาร มีลูกเป็นคนแรก มีพราหมณ์อยู่คนหนึ่งเป็นเพื่อนกัน พราหมณ์คนนี้ แกได้ทิพยจักขุญาณ แกได้ญาณต่าง ๆ มีอตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ก็ว่ากันไปตามเรื่อง แต่ว่ากำลังญาณ กำลังญาณของแกยังอ่อนกว่าพระพุทธเจ้า แกรู้ตัวว่าแกสู้พระพุทธเจ้าไม่ได้ แกก็ยอมรับว่าพระพุทธเจ้าดีกว่าแก สองคนตายายพ่อแม่ของเด็กอายุวัฒนกุมารคนนี้ ทราบข่าวว่าเพื่อนฤาษีคนนี้เข้ามาในเขตของเมือง ก็พากันไปหา เพราะเป็นเพื่อนกันมาก่อน เมื่อคุยกันด้วยดีพอสมควรแก่เวลา ท่านพ่อก็ส่งลูกให้แก่แม่ กราบลาเพื่อนกลับ เพื่อนก็บอกว่าท่านจงมีอายุยืนยาว ทีฆายุโก โหตุ นะ ภาษาบาลี นึกจะไม่พูดให้ฟัง เพราะภาษาบาลีมันขัดคอคนฟัง ทีฆายุโก โหตุ ท่านจงมีอายุยืนยาวเถิด ตานี้เมื่อท่านพ่อกราบลาแล้ว ท่านแม่ก็ส่งลูกให้ท่านพ่อ ท่านแม่กราบบ้าง ท่านพราหมณ์ก็ว่าอย่างนั้น ว่า ขอให้ท่านเป็นผู้มีอายุยืนยาว อีตอนหลัง ก็จับลูกของเขาให้กราบ ลุงพราหมณ์คนนี้แกนิ่งเฉย แกไม่พูดแบบนั้น ท่านพ่อท่านแม่แกก็สงสัยว่า เอ๊ะ ! นี่เรากราบเพื่อนของเรา บอกว่าจงเป็นผู้มีอายุยืนยาว แต่ว่าเวลาที่เราให้ลูกชายของเรากราบ เอาละซีเพื่อนนิ่งเสีย สงสัย ถามว่าเวลาที่ผมกับเมียกราบท่าน ลาท่าน ท่านบอกว่าจงเป็นผู้มีอายุยืนยาว แต่เวลาที่ให้ลูกกราบทำไมจึงนิ่งเฉย ๆ ท่านพราหมณ์ก็บอกว่า ก็ลูกของแกอายุมันไม่ยาวนี่ จะต้องตายภายใน ๗ วัน ถ้าหากว่าฉันพูดแบบนั้นฉันก็พูดผิดน่ะซิ ไม่ได้แล้ว ฉันไม่พูด เขาก็เลยถามว่า ท่านรู้วิธีแก้ไหม ท่านพราหมณ์ก็เลยบอกว่าไอ้รู้ว่าจะตายน่ะรู้ แต่วิธีแก้น่ะ ไม่รู้หรอก คนที่รู้วิธีแก้มีอยู่คนเดียว คือรู้วิธีแก้ไม่ผิด คือพระสมณโคดม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าหากว่าท่านต้องการจะแก้ไม่ให้ลูกของท่านตายละก็ไปหาพระสมณโคดมเถิด ท่านแก้ได้ นี่คนโบราณที่เขาดีจริง ๆ น่ะเขาดี เขาไม่ได้ทะนงตัวนะ ว่าเขาดีแค่นี้ละก้อไม่มีคนดีกว่าเขา ไม่เหมือนบรรดาอาจารย์สมัยปัจจุบัน หวงลูกศิษย์กันนัก ลูกศิษย์ของตัวจะไปหาใครละบอกว่าอย่าเชียวนะ อย่า มาหาฉันแล้วจะไปหาคนอื่นไม่ได้นะ รดน้ำมนต์จากฉันแล้วอย่าไปให้คนอื่นรดเชียวนะ มาเป็นลูกศิษย์ฉันแล้ว อย่าไปเป็นลูกศิษย์คนอื่นเดี๋ยวจะพากันเลอะเทอะ ไม่ได้ของฉันเป็นผู้วิเศษ ดีไม่ดี เป่าขม่อมไปให้แล้วละก้อ อย่าไปให้ใครเป่าทับเชียวนะ ถ้าใครเขาเหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ละก็อย่าเชียวแน่ะ เอาเข้ายังนั้น พรรคพวกเรามันเป็นยังงี้นะโยมนะ พรรคพวกเราเป็นแบบนี้อยู่เสมอ ที่ดีท่านก็มี ที่เป็นประเภทนี้ก็มีมาก
    ตานี้เมื่อพราหมณ์ ๒ ตายายพ่อแม่ของเด็กทราบว่า เด็กจะตายใน ๗ วัน ก็ตกใจ เพราะเป็นลูกคนแรก ลูกผู้ชายเสียด้วย ออกจากสำนักของพราหมณ์เพื่อนที่แนะนำก็พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พอไปถึงสำนักของพระพุทธเจ้า ก็ทำแบบนั้นแหละ เวลาลากลับพระพุทธเจ้าก็พูดเหมือนกับพราหมณ์ อีตอนลูกชายลาท่านก็เฉยเสีย พราหมณ์ก็ถาม ท่านก็บอกว่าลูกชายคนนี้จะตายภายใน ๗ วัน เขาก็ถามว่าทำยังไงจึงจะแก้ไขไม่ให้ตายได้เล่าพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าบอกว่าได้ ถ้าต้องการแบบนั้นได้ เพราะกรรมประเภทนี้เป็นอุปฆาตกรรม ไม่ใช่อายุขัย ถ้าอายุขัยตถาคตก็แก้ไม่ได้ คือเป็นกรรมที่เข้ามาแทรกระหว่างกลาง ซึ่งผลของความดีเด็กนี้ยังมีอยู่มาก ถ้าไม่ตายก่อน จะได้เป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนา แล้วจะมีอายุถึง ๑๒๐ ปี แต่อาศัยเวลานี้ กรรมที่เป็นอกุศลเข้ามาริดรอน จึงเป็นเหตุให้เด็กคนนี้จะต้องตายใน ๗ วัน เมื่อเขาทราบชัดก็ถามสมเด็จพระทรงธรรมว่า ทำยังไงจึงจะไม่ให้เด็กตายพระพุทธเจ้าข้า ท่านก็ตรัสแนะว่า พราหมณ์กลับไปบ้านไปทำโรงพิธีเข้าแล้วก็นิมนต์พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาไปนั่งล้อมเจริญพระปริตรตลอด ๗ วัน เมื่อทำได้อย่างนี้ละก็ลูกของท่านจะพ้นจากความตาย ไอ้เรื่องกลัวเปลืองไม่มีสำหรับคนที่ลูกจะตาย ก็เลยทำตามสั่ง ไปถึงก็ทำโรงพิธีเข้า นิมนต์พระไป พระสมัยนั้นมีมาก ไปนั่งล้อมกันไม่ต้องให้สายสิญจน์ เมื่อล้อมกันแล้วก็เจริญพระปริตร สวดบ้างไม่สวดบ้าง แต่ก็นั่งล้อมกันแบบนั้น พระมาสับเปลี่ยนกันไป ไม่ใช่ไปชุดเดียวแล้วนั่งเจ็ดวันเจ็ดคืน มันคงแย่เหมือนกัน พอถึงวันที่เจ็ดปรากฏว่าพระพุทธเจ้าเสด็จเอง แล้วเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จ พรหมก็มา เทวดาก็มา แล้วคนที่จะเอาชีวิตของเด็กก็เป็นยักษ์ธรรมดา ๆ เป็นลูกน้องของท้าวเวสสุวัณณ์ อีตอนนี้เอง ในเมื่อเจ้านายชั้นผู้ใหญ่มา พลทหารก็ต้องไปยืนสุดกู่ องค์สมเด็จพระบรมครูก็นั่งอยู่จนครบรอบของวันที่ ๗ คือเริ่มต้นของวันท่านก็ไปนั่งจนที่สุดของวันคืออรุณใหม่ เพราะว่ายักษ์ตนนี้ได้รับพรจากท้าวเวสสุวัณณ์ว่าจะมาเอาขีวิตของเด็กคนนี้ได้ภายใน ๗ วัน ถ้าเลย ๗ วันแล้วไม่มีโอกาส ฉะนั้น เมื่อแกมาคอยอยู่ ๖ วันแล้วพระก็นั่งล้อมรอบอยู่แบบนั้น แกก็เข้าไม่ได้ ได้แต่ตั้งท่าว่าพระเผลอเมื่อไรจะเอาเมื่อนั้น แต่พอวันที่ ๗ วันสุดท้ายแกตั้งใจว่า วันนี้จะต้องเอาชีวิตเด็กคนนี้ให้ได้ ให้มันตายจากความเป็นมนุษย์ เพราะอะไร ? เพราะกรรมเดิมสร้างไว้มาก ที่เป็นปาณาติบาต แล้วความดีก็มีแยะ ในเมื่อเห็นท่าเอาไม่ได้แน่แล้วก็ต้องตั้งท่าให้พระเผลอ พระพุทธเจ้าเสด็จเสียเอง เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จ พรหมลงมา ตายักษ์คนนี้แกก็ถอยหลังลงไปพ้นเขตพรหม เทวดาลงมาแกมีบุญน้อยกว่าแกก็ถอยหลังออกไป ในที่สุดแกต้องไปนั่งอยู่ขอบจักรวาล เพราะพรหมและเทวดามาก มีปริมาณมากแล้วสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงนั่งเสียหมดเวลา เป็นอันว่าเด็กคนนั้นไม่ต้องตายเกินเวลาเจ็ดวันยักษ์ทำอันตรายไม่ได้ นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่ติดตามรับฟังและติดตามทัศนาจรในภพต่าง ๆ กลับมาภพมนุษย์ด้วยกัน ทราบไว้ว่ากรรมที่เป็นอุปฆาตกรรม คือบรรดาสัมภเวสีพวกนี้ ที่เดินอยู่ข้างหน้า เดินเกลื่อนไปเกลื่อนมา มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคนธรรมดา เวลาที่เขาตาย เวลาที่ตายแต่งตัวแบบไหนนุ่งผ้าประเภทไหนก็แต่งตัวแบบนั้น แล้วก็สำรวยต่าง ๆ ท่าทางแข็งแรง แต่ดูเหมือนว่ามีความกังวลอยู่อย่างหนึ่ง คือมีความทุกข์ใจไม่รู้จะเกิดที่ไหน ไม่รู้จะพักผ่อนที่ไหนได้แน่นอน บรรดาสัมภเวสีพวกนี้มีความลำบาก นี่ถ้าหากว่าบรรดาเขารู้ในด้านการตัดอุปฆาตกรรม เสียได้แล้วละก็เขาจะมีความสุขมาก
    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องนี้รับฟังไว้แล้วก็ควรจะฟังต่อสักนิดว่า ถ้าญาติของเราตาย ตายด้วยอำนาจของสัมภเวสี คือไม่สิ้นอายุ ฟ้าผ่าตาย สุนัขกัดตาย มดกัดตาย ยุงกัดตาย คลอดบุตรตาย ถูกฆ่าตาย ถูกยิงตาย รถชนตาย แต่ก็ไม่แน่นักนะ บรรดาพวกนี้ถึงอายุขัยก็มี แต่เผื่อเหนี่ยวไว้ก่อน สมมุติว่าเขาเป็นสัมภเวสี พอตายไปแล้วไม่ต้องทำบุญมาก ทำบุญให้ได้บุญชัดๆ หาอาหารชนิดที่ไม่มีบาป เอาผ้าไตรมา ๑ ไตร เอาพระพุทธรูปมา ๑ องค์ นิมนต์พระมารับสังฆทานที่บ้าน ทำเงียบๆ อย่าให้มีเหล้ายาปลาปิ้ง อย่าทุบแม้แต่ไข่สักหนึ่งฟอง เมื่อทำบุญเสร็จ อุทิศส่วนกุศลให้เฉพาะคนที่ตาย ไม่ให้ใครทั้งหมด ถ้าทำอย่างนี้ละท่านพวกนี้จะมีความสุข ได้รับผลบุญทันที มีความผ่องใส มีความอิ่มเอิบเมื่อเข้าถึงอายุขัย เมื่อใดก็เป็นอันว่าพวกนี้จะไปถึงด้านของสวรรค์ก่อน
    สำหรับท่านอายุวัฒนะกุมารนั้น ปรากฏว่าเมื่อพ้นจากตอนนั้นมาแล้ว ถึงเวลาอายุ ๗ ขวบท่านก็เป็นสามเณร บวชเณร แล้วก็ได้อรหัตผลอยู่มาได้อายุ ๑๒๐ ปี ตรงตามที่องค์สมเด็จพระมหามุนีทรงตรัส
    เอาละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท วันนี้ท่องเที่ยวชมกันเท่านี้ก็พอนะ เพราะเวลามันหมด เดี๋ยวเจ้าหน้าที่ของสถานีเขาจะว่าเอา เกินเวลาเขาเสมอ เป็นอันว่าวันนี้พักอยู่แดนของอสุรกายอยู่สัก ๗ วัน พอครบ ๗ วันแล้วเดินกันใหม่นะ คราวนี้เดินเข้าไปหาดินแดนของสัตว์เดียรัจฉานและมนุษย์
    เอาละนี่มันก็หมดเวลาแล้วนี่ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ก็นอนพักกันเสียก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ บรรดาพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี.
    ไฟบรรลัยกัลป์

    <CENTER><TABLE borderColor=#000080 cellPadding=2 width="98%" border=0 ,><TBODY><TR><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" vAlign=top width="12%" bgColor=#ffa87d>ผู้ถาม</TD><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" vAlign=top width="88%" bgColor=#ffa87d>"หลวงพ่อคะ ที่ว่ามีไฟบรรลัยกัลป์จะเกิดอย่างไรคะ....?" </TD></TR><TR><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" vAlign=top width="12%"></TD><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" vAlign=top width="88%">

    "ที่ว่าจะมีไฟบรรลัยกัลป์มา เพราะว่าคนมีจิตบาปมาก ศีล ๕ ทำไม่ค่อยจะครบ เช่นปาณาติบาตเป็นต้น อายุมันจะน้อยลงทุกที จนกระทั่งอายุถึง ๑๐ ปี เป็นอายุขัย ตอนนี้เกิดมิคสัญญี ไม่มีการเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน จะรบราฆ่าฟันกันมากพระอาทิตย์ท่านรำคาญเต็มที่ โผล่มาทีละ ๒ ดวง ๓ ดวง ๔ ดวง ตายหมด ทีนี้ถึง ๗ ดวง น้ำในมหาสมุทรก็แห้ง ต้นไม้แห้งกรอบจัด ผลที่สุดเป็นไฟลุก ไฟไม่ได้ไหม้มาจากไหน อาศัยน้ำแห้ง ต้นไม้แห้งกรอบเต็มที่ ความร้อนหนัก ก็เกิดไฟลุกขึ้นก็ล้างกันเสียทีหนึ่ง
    ความจริงเรื่องรู้เลยตาย หรือรู้ก่อนเกิดนี้ ฉันเองก็ไม่ใคร่อยากจะพุด และไม่อยากจะเชื่อถือนัก เพราะดูแล้วมันเลยธงไม่น้อยเลย แต่มาอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง คนเขียนเขียนเรื่องรู้เลยตายและรู้ก่อนเกิดไว้มากมาย เช่น รู้ว่าเมื่อสิ้นศาสนานี้แล้ว ไฟบรรลัยกัลป์จะไหม้ถึงภควพรหม ดูเรื่องมันมากมายนัก ฉันสงสัยไม่หายว่าไฟอะไรจะดันไปไหม้แต่เทวดาและพรหม ดูมันพิลึกพิลั่นมากมายเกินพอดี
    เมื่ออารมณ์สงสัยเกิดขึ้น ฉันก็อดที่จะอยากรู้ตามความเป็นจริงไม่ได้ ในที่สุดคืนวันหนึ่ง ฉันนั่งคุมกรรมฐานอยู่ความสงสัยเรื่องรู้เลยธงเกิดขึ้นมาขวางจิต จึงถามท่านผู้รู้ที่เป็นสัพพัญญวิสัย ท่านทรงพยากรณ์ให้ทราบดังนี้
    หลังจากกึ่งพุทธกาลไปแล้ว ๔,๐๐๐ ปี จะมีไฟล้างโลกล้างแต่โลกมนุษย์เท่านั้น ไม่ลุกลามไปถึงเทวดา
    ท่านบอกว่ามันเริ่มความเร่าร้อนตั้งแต่ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี แล้วจากนั้นไปพวกอธรรมเกิดมาก มีอำนาจวาสนามาก ทำให้ความสงบสุขไม่มี เพราะพวกอธรรม เป็นพวกเห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่ส่วนรวม
    โลกจะร้างไม่มีต้นหญ้ากอไม้ แม้แต่น้ำในมหาสมุทรก็ไม่มีไปครบ ๑,๐๐๐ ปี
    หลังจากนั้นแล้วจะมีฝนใหญ่ตกลงในมนุษยโลกแม่น้ำและมหาสมุทรจะเต็มไปด้วยน้ำ พื้นโลกจะชุ่มชื่น ต้นหญ้าต้นไม้ จะเริ่มงอกงามขึ้นเป็นลำดับ จนโลกทั้งโลกกลายเป็นป่าไม้
    หลังจากโลกที่เขียวชอุ่มไปด้วยต้นหญ้าใบไม้นั้นทิ้งระยะนาน ๑ หมื่นปี สัตว์โลกเริ่มเกิดสัตว์และคนที่มาเกิดยุคต้นนั้นไม่ได้อาศัยบิดามารดาเป็นแดนเกิด มาเกิดแบบโอปปาติกะ คือ มาเกิดด้วยอำนาจกรรม คือเป็นตัวตนขึ้น
    จะยังไม่มีพระอาทิตย์พระจันทร์ส่องแสง มีแสงสว่างเกิดจากอำนาจบุญของแต่ละบุคคล คือมีแสงสว่างออกจากตัวเองเป็นสำคัญ
    เรื่องอาหารนั้น ในระยะแรกยังไม่ต้องการอาหาร มีความอิ่มด้วยธรรมปีติ เพราะแต่ละคนที่มาเกิด ล้วนแล้วแต่มาจากเทวดาหรือพรหมทั้งนั้น ไม่มีสัตว์นรกหรือเปรตเจือปน โลกจึงเต็มไปด้วยความสุข หาความทุกข์ไม่ได้ นอกจากกฎธรรมดา คือความเสื่อมของสังขาร
    เรื่องการทะเลาะยื้อแย่งไม่มี คนทุกคนเป็นคนสวยหมด มีผิวขาวเหลือง เนื้อละเอียดทั้งหญิงและชาย มีแต่คนรวย ไม่มีใคนจน มีแต่คนใจบุญ ไม่มีใครใจบาป
    เมื่อโลกมีมนุษย์และสัตว์บริบูรณ์ มีดวงจันทร์ มีดวงอาทิตย์ ระยะเวลานับแต่มีสัตว์โลก เกิดในโลก เวลาล่วงมาได้ล้านปี
    คนสมัยนั้นมีอายุครองตนเองได้ ๔ หมื่นปี เป็นอายุขัย ท่านว่าตอนนั้น พระศรีอาริย์จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า
    เขตที่ท่านลงมาตรัส สมัยปัจจุบันเรียกว่า เขตเมืองพม่า
    พูดถึงไฟบรรลัยกัลป์แล้วน่ากลัวจริงๆ นะ แต่ถ้าคนชั่วมีมาก ก็ควรล้างกันเสียที" ​

    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
    คัดลอกจากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษเล่ม ๒ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี<CENTER>ศาสนาพุทธ มีอายุครบ ๕,๐๐๐ ปี

    </CENTER>
    ผู้ถาม : "มีด็อกเตอร์คนหนึ่งนะคะพูดว่า ศาสนาพุทธนี่มีอายุไม่ถึง ๕,๐๐๐ ปี ตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ เพราะขณะนี้ทางเบื้องบนตกลงไว้ว่าจะมีการชำระล้างกันก่อน เพราะว่าเวลานี้คนบาปมากเพื่อว่าจะได้มีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ทีนี้ขอเรียนถามหลวงพ่อว่า จะทำอย่างไรจึงจะไม่ให้เป็นไปตามนั้นคะ....?"



    หลวงพ่อ : "ปัญหานี่ดี แต่ฉันว่าไม่มีหรอก พระพุทธศาสนาต้องทรงอยู่ได้ถึง ๕,๐๐๐ ปีแน่นอน ฉันขอยืนยัน ถ้าใครไม่เชื่อจงอย่าตายนะ รอไปถึงเวลานั้น นี่เขาคงเดาเอาน่ะ พระพุทธดำรัสมีอยู่คือว่า
    <MENU>พันปีแรก จะมากไปด้วย ปฏิสัมภิทาญาณ
    พันปีที่ ๒ จะมากไปด้วย ฉฬภิญโญ
    พันปีที่ ๓ คือระหว่างนี้จะมากไปด้วย เตวิชโช
    พันปีที่ ๔ จะมากไปด้วยสุกขวิปัสสโก และ
    พันปีที่ ๕ จะมากไปด้วยอนาคามี </MENU>คำว่ามาก หมายความว่า พวกนี้จะมากกว่าส่วนอื่นที่มีอยู่แต่เวลานี้พวกปฏิสัมภิทาญาณก็มี อภิญญาหกก็มี แต่พวกวิชชาสามมีมากกว่า อย่างพันปีที่ ๔ พวกสุกขวิปัสสโกมาก แต่ว่าปฏิสัมภิทาญาณก็ดี อภิญญาหกก็ดี วิชชาสามก็ดี เขาก็ยังมีอยู่ อย่างพันปีที่ ๕ พระอนาคามีมีมาก แต่ว่าพระอรหันต์ทั้ง ๔ พวกนี้ยังมีอยู่ พระพุทธเจ้าไม่วางพื้นฐานส่งเดช และที่เขาว่าพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาใครล่ะมา พระศรีอาริยเมตตรัย ท่านก็ไม่มา ไม่เชื่อไปถามท่านซิ"

    หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษเล่ม ๒ (ตอบโดยหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ) <!-- / message -->​

    <!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2008
  4. junior phumivat

    junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,346
    ค่าพลัง:
    +1,688
    พระอรหันต์บอกว่า<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=578 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE class=webbody cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=webbody width=749 height=33>
    ไทยจะเป็นมหาเศรษฐี<!-- #EndEditable -->​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=206></TD><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><!--DWLayoutTable--><TBODY><TR><TD vAlign=top><!-- #BeginEditable "detail" -->

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัท วันนี้ยังเป็น วันที่ 8 ตุลาคม 2533 ตามเดิม แต่ว่าพูดเป็นตอนที่ 2 ตอนนี้ ขอพูดถึงตอนที่ ไทยจะเป็นมหาเศรษฐี ถ้าสงครามโลกเกิดขึ้นท่านทั้งหลายคิดออกหรือยังว่า สงครามโลกเกิดขึ้น และมันก็ไม่ได้เกิดกับประเทศไทยโดยตรง มันเกิดภายนอกประเทศ นอกเขตของไทย เป็นอันว่า ลูกปืนก็ไม่มาถึงประเทศไทย เครื่องบินก็ไม่มาถึง ประเทศไทย แต่ต้องระวังจรวด เรื่องจรวดนี่ ต้องระวังกันหน่อย เพราะจรวดมันมาจากใต้นํ้าได้ มันยิงทางไกลได้ ถ้ามันจะ เกิดขึ้นบ้างก็เป็นขนาดย่อมๆตามจุดต่างๆ เป็นจุดเล็กๆ อาจจะโผล่จุดนี้บ้างจุดนั้นบ้าง เป็นการทำให้รวน กำลังของทหาร รวน แล้วจะตั้งกลุ่มขึ้นบางจุด เป็นกลุ่มใหญ่น้อย ก็ไม่มีอะไรน่าหนักใจ ก็รวมความว่า สงครามโลก ไม่มีเรื่องหนักใจ ในเรื่องการตายของเรา เรื่องรังสีของวิทยาศาสตร์ รัศมีต่างๆไม่ต้องวิตก ขอยืนยันว่า บุคคลที่นับถือ พระพุทธเจ้าจะไม่ตาย เพราะรังสีต่างๆ ตามที่บอกมาแล้ว​
    ทีนี้ความรํ่ารวย มันจะเกิดขึ้นบ้าง ประการแรกขอบอกว่า เรื่องนํ้ามันจะเป็นเหตุให้รวย เพราะว่า ทุกประเทศต้องใช้นํ้ามัน และอีกประการหนึ่งนั่นก็คือว่า ถ้าสงครามโลกเกิดขึ้นจริงๆ ถึงแม้ว่า เราจะไม่ได้เข้าสงครามโดยตรง แต่ว่าทหารของ ประเทศบางประเทศ จะต้องยกเข้ามาตั้งในจุดใดจุดหนึ่ง ของประ เทศไทย เวลานั้น เราก็ขายนํ้ามันให้เขา เราก็รวยถ้ามี กองทหารอื่นเข้ามา มันจะดีหรือไม่ดี นี่ก็เป็นเรื่องของการเมือง แต่มีความจำเป็นเกิดขึ้นต้องยอมรับ ถ้ามีการยอมรับ ราย ได้ต่างๆของประชาชนก็เกิดขึ้น
    ทีนี้รัศมีสงคราม ในเมื่อไม่ถึงประเทศไทย เราก็ไม่มีความลำบาก บรรดาท่านที่ทำนาทั้งหลาย ท่านที่มีนาอย่าเพิ่งขายนา ในราคาแพงมากนัก คือขายก็ขายเถอะ แต่อย่าขายให้มันหมด ก็มีคนหลายคนมาบอก ว่ามีที่ 20 ไร่บ้าง 30ไร่บ้าง 50ไร่ บ้าง 100ไร่บ้าง อยากจะขาย ขายได้ไร่ละเป็นล้านนี่ก็เห็นใจเหมือนกัน ความจริงเงินนับล้าน เป็นของหายาก ก็เห็นใจเขา อาจจะตั้งตัวอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ถ้าไม่ลืมตัว แต่ว่าบางท่าน ที่ไม่มีโอกาส จะขายนาของท่านได้ นาของท่าน อยู่ไกลที่ เจริญ อยู่ไกลแม่นํ้า ไกลถนน ถ้าเขาจะซื้อ ก็ซื้อราคาถูก ท่านก็ไม่อยากจะขาย ท่านจะขายราคาแพง ในที่สุดท่านก็ไม่มีโอ กาสขาย ในเมื่อเวลานี้ไม่มีโอกาสจะขาย ท่านอาจจะเสียดายว่า ที่นาของเราไม่ได้ขาย เราไม่รวยแต่ทว่าสงครามโลกเกิด ขึ้นจริงๆ ท่านจะดีใจ เพราะนาท่านไม่ได้ขาย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะข้าวของท่าน ที่ออกมา ราคามันแพง มันจะขายได้ดี ทุกสิ่งทุกอย่าง มันก็จะแพงกันหมด ดูสงครามโลกครั้งที่ 2 ทุกสิ่งทุกอย่าง มันหายาก ยิ่งเขายิ่งรบกันโอกาสที่เขาจะทำมัน ก็มีน้อย เขาต้องใช้เวลารบกันมากขึ้น ทีนี้เราก็ขายได้ดี
    มาส่วนด้านของอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมก็มีมาก แต่ว่าอุตสาหกรรมก็ต้องระวังโรงงานโรงงานต่างๆต้องระวังระเบิดภาคพื้นดิน ไม่ใช่ระเบิดอากาศ ระเบิดภาคพื้นดิน จะอาละวาด ถ้าจะถามว่า หาทางป้องกันอย่างไร นี่เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจทหาร หรือท่านเจ้าของโรงงาน ทางด้านพุทธศาสนา ก็มีบอกไม่ได้ จะบอกได้อย่างไรว่า เรานับถือพระพุทธเจ้าเท่ากันหรือเปล่า ถ้านับถือเท่ากัน ก็เอาของที่ท่านให้ไว้ ท่านให้ไว้นั่น ก็คือ ความดี ของดี ถ้ามีไว้ในรัศมีนั้น จะไม่มีอันตรายจากภัยระเบิด และภัยโจมตีต่างๆ จะไม่เกิดขึ้น เหมือนกับสมัยมี ผกค. ในที่ต่างๆ เคยถูกโจมตี และเจ้าของสถานที่นั้น เจ้าหน้าที่ในที่นั้น เกิดมีความเคารพพระพุทธเจ้าขึ้นมา มีของอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสัญลักษณ์ แสดงไว้เป็นเขต ในเขตนั้น ปรากฏว่า ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ไม่เคยถูกโจมตีหรือข้าศึกยิงเข้ามา ก็ไม่เข้าสถานที่ ตรงหน้าไม่เข้าฐาน เป็นอันว่าทหาร ในเขตนั้น ก็ปลอดภัย ข้อนี้เป็นสัญลักษณ์ แสดงให้เห็นว่า
    ถ้าเรา นับถือพระพุทธศาสนาจริง และยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าจริง สิ่งใดที่ท่านให้ไว้ สิ่งนั้นเราเคารพด้วย ความจริงใจ และทุกท่านจะปลอดภัย จากสงครามโลกครั้งที่ 3
    ทีนี้ถ้าโรงงานต่างๆมีความเคารพ พระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจจริงๆโรงงานนั้น จะพ้นภัยจากระเบิด และการทำอันตรายต่างๆ จากสรรพวุธ จะไม่เกิดขึ้น กับโรงงานนั้น โรงงานนั้น ในเมื่อผลิตของได้ก็จะขายดี รวย เขารบกัน เขาไม่มีเวลาทำ เพราะเราไม่ต้องรบ เขาต้องสูญ ต้องเสียเงิน เพื่อการรบ การรบต้องใช้เงินมาก เราไม่ต้องสูญเสียเงิน เพราะการรบเราก็ ขายของของเรา ในเมื่อของมันขาด ราคาก็แพงใน เมื่อขายของได้ ราคาแพงมาก รัฐบาลก็ได้ภาษีอากร มากขึ้น ประเทศก็รวย คนในปะเทศก็รวย นี่พูดถึงความรํ่ารวย ที่ไทยจะเป็มหาเศรษฐี
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นํ้ามันตามจุดต่างๆที่บริษัทเขาเจาะไว้ เขาบอกว่า มันไม่พอใช้มันจะปรากฏขึ้น เพราะเราไม่มีโอกาส ซื้อนํ้ามันต่างประเทศ ถ้านํ้ามันต่างประเทศ จะซื้อได้ยากราคาแพง อันนี้เขาจะดึงขึ้นมาใช้ ราคาเหมือนราคาต่างประเทศ อย่างนี้อุตสาหกรรมของเรา ก็จะรวยไม่ได้ ถ้าบังเอิญคนไทย อย่างที่ฝางใช้หัวเจาะลึกๆ หัวเจาะยาวๆ เจาะลงไปลึกๆ แต่ ตามหลัก นักวิชาการ เขามีอยู่ อาตมาก็ไม่ได้ค้านตามนั้นนะ ลองเจาะดูตามที่ ดร.สรรพศาสตร์ ท่านพูด ดร.สรรพศาสตร์ ท่านบอกว่า ที่ใดก็ตามเจาะลงไป มันจะมีนํ้ามันแต่ว่า ผิวดินมันจะลึกจะตื้นกว่ากัน นั่นอีกอย่างหนึ่งต่างหาก เท่าที่เขาเจาะ เวลานี้ ยังไม่ถึง ขุมนํ้ามันจริงๆ มันไปถึงต่อมเล็กๆ บนหลังถังนํ้ามัน ยังไม่ถึง ถังขุมนํ้ามันแท้ ถ้าใช้หัวเจาะ ประมาณ 6 กิโลเมตร อย่างอังกฤษเจาะ อย่างนี้ไม่ต้องใช้กี่บ่อแล้ว เพียงแค่ 10 บ่อดึงกันวันไม่รู้จักเท่าไร เท่าไรก็ไม่รู้จักหมดเราใช้ ประมาณ 30 เท่า หรือ 300 เท่าของเวลานี้สัก 1,000 ปี มันก็ไม่หมด เพราะมันเป็นทะเลใหญ่ ดร.สรรพศาสตร์ท่านพูดอย่างนี้นะ
    ถ้าบังเอิญคนไทยของเรา ดึงขึ้นมาได้เอง เราก็กดราคานํ้มันให้ตํ่าลงไป อย่างแพงที่สุด ก็เท่าราคานํ้ามันในปัจจุบัน รักษาราคาน้ำมันไว้ ต่างประเทศเขาต้องซื้อราคาแพง เราถูก อุตสาหกรรมของเรา ก็มีราคาถูก ขายได้กำไร กำไรก็มีมาก กำไร จากอุตสาหกรรมด้วย กำไรจากเกษตรกรรมด้วย กำไรจากนํ้ามันด้วยและมีกำไรมากมายประเทศไทยก็จะเป็นมหาเศรษฐี
    ทีนี้ต่อไป มันก็มีเวลาเหลือ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็มาคุยกันว่า ถ้าสงครามโลกไม่เกิดจะว่าอย่างไร ก็ต้องตอบว่า ถ้าสงครามโลกไม่เกิดก็เป็นของดี แต่ว่าท่าน ดร.สรรพศาสตร์นี้ ก็เช่นเดียวกัน ท่านบอกว่า สงครามโลกเขาเรียกสงครามใหญ่ ไม่ใช่สงครามโลก ก็เป็นอันว่า ถึงแม้จะเป็นสงครามโลก ก็ตาม สงครามใหญ่ ก็ตาม ถ้ามันเกิดขึ้นจริง เราก็เอาบทเรียน จากสงครามโลกครั้งที่ 2 มาใช้กัน
    1. ผ้าในสมัยนั้น หาคนนุ่งผ้าดีได้ยาก ส่วนมากก็จะมีคน นุ่งผ้าขาดๆ เพราะเวลานั้น โรงานทอผ้าของเรา ยังมีน้อยแต่เวลานี้ โรงงานทำผ้าของเรามีมาก แต่ก็ไม่แน่นอนนัก บางทีระเบิดเพลิง จะเกิดจากภาคพื้นดินก็ได้ ถ้าระเบิดเพลิงจากภาคพื้น ดินเกิดกับโรงงาน โรงงานทำผ้าของเราก็จะสลายตัว ผ้าก็จะน้อย อันดับแรก เตรียมผ้าไว้ก่อน อันดับที่ 2 เตรียมพื้นดินไว้ ถ้ามีอยู่บ้าง ไม่มากไม่มาย ก็อย่าเพิ่งรีบขายเกินไป ถ้าได้กำไรมากๆ เป็นล้านๆ ก็ไม่ว่าอะไร ขายเถอะ แล้วเก็บเงินไว้ให้ ดี อย่าใช้ให้มันหมดตัว จงคิดว่า ถ้ามันหมดตัวแล้วเราไม่มีทางจะหาที่ดินขายใหม่
    ประการที่ 2 ก็เตรียมเนื้อ เตรียมกาย เตรียมใจ เตรียมใจไว้ นึกถึงความจริง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่า
    โลกเต็มไปด้วยความทุกข์ โลกไม่มีความสุข โลกเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นอนิจจัง ก็เป็นความทุกข์ในที่สุด ก็เป็นอนัตตาตายหมด
    ถ้ามันเป็นเรื่องอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ความจริงเป็นอย่างนั้น ถ้าเรายอมรับก็ไม่เป็นไร ถ้าจิตยังไม่ยอมรับ มันก็มีความดิ้นรน มันก็มีความเร่าร้อน ถึงจะดิ้นรนจะเร่าร้อนขนาดไหนก็ตามเราก็จะหนีไม่พ้น ในเมื่อหนีไม่พ้นเราก็ต้องทนสู้ ทนสู้ กับภาวะ ของสงคราม ทีนี้เราจะสู้กับใคร เราสู้กับตัวเราเอง นั่นคือ ต้องใช้น้อย กินน้อย นอนมากๆ และตื่นไวๆ ใช้กำลังร่างกายทำ การงานให้ดี ได้พูดอย่างนี้ ก็พูดเรื่อยเฉื่อยไป
    เป็นอันว่า ตามคำพยากรณ์ของดร.สรรพศาสตร์ ท่านบอกว่าประเทศไทยจะเป็นมหาเศรษฐี แล้วคนไทยทุกคน จะเป็นมหาเศรษฐีไหม ก็ต้องขอบอกว่า คนไทยทุกคนไม่เป็นมหาเศรษฐีทุกคน แต่ว่าก็มีจำนวนมาก ก็จะเป็นลูกศิษย์มหาเศรษฐี คือ เป็นคนงานของมหาเศรษฐี เราก็จะเป็นเศรษฐีเล็กในครอบครัวเล็กๆได้เหมือนกัน สมมติว่าครอบครัวใด ยังไม่เคยมีเงิน ล้าน ครอบครัวเล็กๆ ปะเภทนั้น จะมีเงินล้านใช้ ประเภทครอบครัว ที่มีเงินแสนใช้ ต้องถือว่า เป็นครอบครัว ที่ยากจนมาก ถ้าบ้านไหนมีเงินล้านใช้ ถือว่าเป็นบ้านที่พอมีพอกินพอใช้ พอหาได้เลี้ยงตัวรอด ที่มีเงินเหลือเป็นแสน ก็ถือว่าเลี้ยงตัวรอด เหมือนกัน ที่ได้มาอย่างนี้เพราะว่า เรามีกำไรจากสงคราม แต่เราไม่อยากให้เกิดสงคราม
    ทีนี้มาพูดอีกทีหนึ่งที่ ดามุส ท่านบอกว่า ศาสนาคริสต์จะสลายตัว แต่ศาสนาอิสลาม ท่านไม่ได้บอกว่า จะสลายตัวหรือเปล่า แต่ว่า ท่านพระพุทธเจ้าเคยตรัส บอกว่า ถ้าสงครามเกิดขึ้น หลังกึ่งพุทธกาลแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า ยักษ์นอกพระพุทธศาสนา จะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน จะตายไปฝ่ายละครึ่ง จึงจะเลิกรากัน
    ตอนนี้ ด้านศาสนาของเขา ก็จะก็จะมีการหย่อนตัวลงไป เพราะความทุกข์ความเศร้าโศกเสียใจ ความเสียหายเกิดขึ้นตาย ไปฝ่ายละครึ่ง ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ บรรดาท่านพุธบริษัท การเชื่อพระเจ้า จะน้อยลง หรือ อาจจะสลายตัว อย่างท่านดามุส บอกก็ได้
    ทีนี้มาพูดถึงพุทธศาสนาบ้าง ทางพุทธศาสนา ถ้าสงครามใหญ่เกิดขึ้นจริงๆ ทางพุทธศาสนาจะรุ่งเรืองขึ้น ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า พุทธศาสนาจะรุ่งเรืองได้ จะมีความอุดมสมบูรณ์ได้เพราะ คนเห็นทุกข์ ในเมื่อคนเห็นทุกข์ ก็ยอมรับนับถือ ศีลธรรมมากขึ้น เฉพาะอย่างยิ่ง นักบวชฝ่ายปฏิบัติ สำหรับฝ่ายปริยัติ นั่นก็อีกฝ่ายหนึ่งต่างหาก คือท่านเรียน แต่ท่านยังไม่ได้ทำ เรียนรู้ จะถือว่าไม่ดีไม่ได้ ท่านก็ดี ท่านมีความรู้ ความรู้ในด้านปริยัติ ก็จะเจริญขึ้น ความสามารถ ในด้านปฏิบัติ ก็จะเจริญขึ้น ในช่วงนั้น อาจจะมีพระ ที่ได้อภิญญา หรือว่า นักปฏิบัติ ที่เป็นฆราวาส ที่ได้อภิญญา เกิดขึ้น ถ้ามีนักอภิญญา เกิดขึ้นนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท อันตรายต่างๆ จะเกิดขึ้น ได้น้อยเต็มที เพราะ อาศัยอภิญญาช่วย และ นอกจากนั้น ความ เจริญรุ่งเรือง ทางด้านจิตใจของเราก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก เพราะ เราไม่เสียหายมาก เรามีความสุข ในเมื่อเขาเลิกรบกัน เขาก็ขาด เกือบทุกอย่าง โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง อาหารการบริโภด เขาก็ขาด เราก็ขาย เครื่องมือ เครื่องใช้ขาด โรงงานประ เทศไทยของเรานี้มีมาก เราก็ขาย
    รวมความว่า ทุกอย่างมันก็จะมีความก้าวหน้า จะมีความรํ่ารวย ดูตัวอย่างประเทศเยอรมัน กับประเทศญี่ปุ่น เมื่อหลังสงครามโลกถูกบังคับให้ไม่มีทหารพอ 2 ประเทศนี้ไม่มีทหารขึ้นมา ไม่ต้องเสียเงินค่างบประมาณทหาร เพราะว่างบประมาณ ทหารต้องเสียมาก เรื่อง อาวุธยุทโธปกรณ์ ต้องเตรียม เตรียมไว้บางทีไม่ได้ใช้ ล้าสมัย ต้องซื้อใหม่ ของเก่าเก็บไว้ หรือว่า ขายไป
    ทีนี้ในเมื่อไม่ต้องเตรียมการรบ ไม่ต้องเตรียมทหาร งบประมาณก็เหลือใช้ ประเทศก็มีความรํ่ารวย ประเทศไทยเราก็ฉันนั้น ในสมัยเมื่อเขารบกัน เราก็พยายาม ประวิงทุกอย่าง อย่าให้มีการรบ ถ้ามันมีความจำเป็นจริงๆ ก็จำกัดสถานที่รบ นั่นหมายความว่า สงครามใหญ่ ไม่มีใครเข้ามาในประเทศไทย พวกเขาตีกันทางโน้น เขาไม่ตีมาทางนี้ เขาอาจจะตีไปทาง ยุโรป ตีไปทางอเมริกา เขาไม่ตีมาถึงประเทศไทย แต่ว่า ประเทศไทย ก็ต้องมีส่วนร่วม ส่วนร่วมในความทุกข์ ที่จะเกิดสงคราม
    ที่นี้ในเมื่อเขาไม่ตีเข้ามาถึง เราก็มีความอุดมสมบูรณ์ แต่ทั้งนี้ ขอทิ้งท้ายไว้นิดว่า ตีเล็กมีนะ ตีใหญ่นะไม่มี มีแต่ตีเล็กก่อกวน สงครามก่อกวน จะมีเป็นของธรรมดา ทั้งนี้ก็ต้องเชื่อ ความสามารถของรัฐบาล และทหารตำรวจ เราสามารถจะควบคุม ความสงบสุขไว้ได้ เหตุต่างๆจะเกิดขึ้น จะไม่พ้นวิสัยของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ จะสามารถปราบปรามได้ ถ้าถามว่า เขาใช้รัศมี อาวุธเคมี ใช้รังสีต่างๆ ก็ขอตอบว่า เป็นเรื่องเล็กๆ พุทธศาสนา ป้องกันได้แน่ อันนี้ขอยืนยัน จะเป็น นิวตรอน นิวเคลียร์ นิวอะไรก็ตามเถอะ ขอยืนยันว่า พุทธศานา ป้องกันได้แน่ แต่ว่า ท่านทั้งหลาย ต้องไปหาจากพระที่เป็น นักปฏิบัติ ทางด้านจิตใจ ที่ท่านเข้าถึงฌานโลกีย์ทรงตัว ก็ทรงความเป็นอภิญญา
    ถ้าถามว่า เวลานี้จะหาที่ไหน ก็ต้องขอตอบว่า เวลานี้อย่าเพิ่งหา อาจจะมีอยู่ที่ไหนบ้างก็ได้แต่ไม่มีใครเขาบอกกัน ถ้าถึงเว ลานั้นจะปรากฏตนเอง ท่านจะแสดงออกมาให้เห็นถึงความปลอดภัยว่า ท่านสามารถป้องกันได้ ถ้าท่านองค์ไหนจะเป็นพระ ก็ดี จะเป็นฆราวาสก็ดี ไม่ได้หมายความว่า พระเสมอไป ฆราวาสที่มีความสามรถก็มีมาก ก็สามารถจะป้องกันได้สามารถ จะทำได้ ก็พึ่งท่านนั้น ท่านต้องให้เป็นที่พึ่งแน่นอน ทั้งนี้เพราะอะไร ถ้าหากว่า เราทั้งหลายตายกันหมด ท่านก็ตายเหมือน กัน ท่านอดตาย เพราะว่า ท่านอาศัยพวกเรากิน พวกเราหากินหาใช้เหลือ เราก็ให้ท่าน
    อย่างสมมติว่า ถ้าพระบิณฑบาต เราก็ถวายพระ ถ้าชาวบ้านอด ชาวบ้านตายหมด พระก็ตาย เพราะ ไม่มีใครจะให้ ข้อนี้ฉัน ใด เวลานั้นก็ตามท่านที่ทรงอภิญญา จะเป็นพระก็ตามจะเป็นฆราวาสก็ตาม ไม่มีใครปกปิดความสามารถ สามารถจะป้อง กันรังสีต่างๆ ได้ และป้องกันสรรพวุธได้ตามกำลัง แต่บุคคลที่ต้องตายไปบ้าง นั่นก็หมายถึงว่า บุคคลที่มีอายุ ถึงอายุขัย บุค คลที่มีอายุถึงอายุขัยนี่ เราป้องกันไม่ได้ มันมีความจำเป็น คนประเภทนี้ จะรบก็ตาย ไม่รบก็ตาย นอนเฉยๆ ก็ตาย กินข้าว อยู่ก็ตาย นอนหลับก็ตาย คุยกันก็ตาย เพราะถึงอายุขัย เวลานั้นมันต้องตาย
    ก็รวมความว่าประเทศไทยไม่ต้องหนักใจ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกคน ยอมรับนับถือความดีของพระพุทธเจ้าไว้ ความดีที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ก็มี 4 อย่าง เอาสักสอง 4 อย่างให้เป็นการใบ้หวยเลยนะ 4 ที่หนึ่ง ก็เอาอย่าง่ายๆ คือ สังคหวัตถุ 4 คือ
    1.ทาน การให้ ให้มีการสงเคราะห์ ซึ่งกันและกันเข้าไว้ สร้างความรักเข้าไว้ อย่าสร้างศัตรู การให้ท่านเป็นการทำลายล้างศัตรูไม่เกิดศัตรูขึ้นมา เพราะเราบุคคลผู้รับ ย่อมรักในบุคคลผู้ให้
    ประการที่ 2 ปิยวาจา พูดดี พูดให้คนที่รับฟัง มีความสุขจากคำพูดของท่าน เขาก็รักเราในเมื่อเขารักเรา เราก็มีความสุข
    ประการที่ 3 ช่วยเหลือการงาน ซึ่งกันและกัน ถ้าเขาเกินวิสัยเราช่วย เขาก็จะเกิดความรัก
    ประการที่ 4 เราไม่ถือตัวไม่ถือตน การไม่ถือตัวไม่ถือตน จัดเป็นปัจจัยให้เกิดความรัก
    อันนี้เป็นความดี ที่พระพุทธเจ้าให้ไว้เป็นอันดับแรก รักษากฏ 4 ประการนี้ได้ บรรดาท่านทั้งหลาย เราจะมีแต่คนรัก เราจะไม่มีคนเกลียด ทีนี้ถ้าจะถามว่า ในเมื่อเขาประกาศสงครามกัน เขาไม่รู้จักกัน เขายิงจรวดมา จะทำอย่างไร มันก็เป็นของไม่ยาก เขาจะยิงมาหรือไม่ยิงมา เราก็ภาวนาพุทโธไว้ จิตใจยอมรับนับถือ พระพุทธเจ้าโดยตรง สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าทำไว้ ท่านให้ไว้ เรานับถือด้วยความจริงใจ สิ่งนั้นท่านทั้งหลายจะป้องกันอันตรายท่านได้อย่างแน่นอนและประการต่อไปอีก 4 อย่างคือ พรหมวิหาร 4
    1. เมตตา ความรัก สร้างความรัก ทำจิตใจเกิดความรักทั้งคน และสัตว์โลก ถือว่าเราเป็นมิตรกัน
    ประการที่ 2 มีความสงสาร คอยเกื้อกูลกันไว้เสมอ อย่าเห็นแก่ตัว
    ประการที่ 3 ยินดีเมื่อบุคคลอื่นได้ดี ไม่อิจฉาริษยาใคร
    ประการที่ 4 เมื่อบุคคลนั้นถึงอายุขัย ต้องตาย เพราะอาวุธ ต้องตายตามกาลเวลา เราก็ วางเฉย
    ในเมื่อมีความดีอีก 4 ประการอย่างนี้แล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัททุกคนจะปลอดภัยอย่าลืม สังคหวัตถุ 4 เป็นความดีเล็ก น้อยความดีขั้นต้น พรหมวิหาร 4 เป็นความดีสูงสุด คือ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา มีจิตอ่อนโยนเห็น ใครได้ดี พลอยยินดีด้วย อุเบกขา วางเฉย เมื่อเหตุร้ายเกิดขึ้น ไม่สามรถจะยับยั้งได้ ก็ทำใจวางเฉย ไม่ดิ้นรน ยอมรับตามความเป็นจริง
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง เวลาเหลือประมาณ 5 นาที ก็คุยกันไปคุยกันมาย้อนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกสัก นิดหนึ่งว่า ทำไมถ้าสงครามใหญ่เกิดขึ้น คนไทยจะมีความมั่นคง ในพุทธศาสนามากขึ้น จะชี้ตัวอย่างให้เห็นสักอย่างหนึ่ง เพราะ สมัยนั้นผู้พูดอยู่ในกรุงเทพฯ คืนใดถ้ามีปกติเครื่องบิน ไม่มาทิ้งระเบิด เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนเช้า ไปบิณฑ บาต เวลานั้นคนหนีระเบิด มาบ้านนอกกันมาก มาต่างจังหวัดกันมาก คนใส่บาตรมีน้อย พอกินแค่เช้า เพลไม่พอกิน แต่ว่า บังเอิญคืนไหน ถ้ามีเครื่องบินมาโจมตีทิ้งระเบิดเวลาเช้าไปบิณฑบาต ปรากฏว่า มีคนใส่บาตรมากเป็นพิเศษ ไปไม่ทันถึง ครึ่งทางก็เต็มบาตร ยามปกติไปจนสุดทาง แล้วก็เดินทางกลับ ยังไม่ถึงครึ่งบาตร แต่คืนไหน มีเครื่องบินมาโจมตี รุ่งเช้า มีคนทำบุญกันมาก
    จะเห็นว่า คนที่มีความรู้สึกว่า ชีวิตของเราใกล้ความตาย ไม่มีความประมาท คือ เขาจะถือว่าเป็นการฉลองชีวิต ที่เกิดใหม่ จากการโจมตีของข้าศึก ข้าศึกทิ้งระเบิดก็ทิ้งยิงกราดด้วยปืนกลก็ยิง แต่เขาก็ปลอดภัยจึงทำบุญกันใหญ่ ข้อนี้ฉันใดบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายในเมื่อสงครามใหญ่มันเกิดขึ้น เป็นสงครามที่น่ากลัว อาวุธในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ถือว่าเป็น อาวุธดีแล้วนะ ล้าสมัยไปแล้ว เครื่องบินสมัยนั้น เป็นเครื่องบินที่ดีที่สุด เวลานี้เขาเลิกใช้แล้ว เครื่องบินสมัยใหม่ เขาดีกว่า สมัยนั้นมาก อาวุธที่ใช้ใหม่ ดีกว่าอาวุธสมัยนั้นมาก
    ทีนี้ถ้าสงครามเกิดขึ้นข่าวคราวก็ย่อมถึงกัน เวลานี้มีทั้งวิทยุ มีทั้งโทรทัศน์ ถ่ายทอดจากดาวเทียม เราสามารถจะเห็นภาพ ได้ ในเมื่อเห็นการสูญเสีย ความตายเกิดขึ้น ความทุกข์ก็เกิดขึ้น จิตใจก็เริ่มเป็นกุศล เวลานั้น บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ก็จะมีความมั่นคงในพุทธศาสนามากขึ้น เพราะ กลัวตาย สำหรับ อีกด้านหนึ่ง ท่านนักปฏิบัติ เจริญสมาธิจิต ก็จะเร่งรัด ตัวเองให้ทำสมาธิให้ดีขึ้น โดยหวังอย่างเดียวว่า ถ้าตายแล้ว ไม่ขอเกิดใหม่ อย่างเลวที่สุด ตายจากความเป็นคน ไปสวรรค์ ก็เอา หรือว่าดีกว่านั้น ไปพรหมก็ดี ถ้าดีกว่านั้น ไปนิพพานก็ดี ท่านจะเร่งรัดตัวเอง การเร่งรัดตัวเอง ประเภทนี้ กำลังใจจะมีสมาธิในที่สุด อภิญญาก็จะเกิด ในเมื่ออภิญญาเกิด ก็จะใช้ผล ของอภิญญา และญาณต่างๆ ที่ได้จากสมาธิ และวิปัสสนา ญาณ เอามาช่วยบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ให้มีความสุขปลอดภัย
    ในตอนนี้ก็ขอสรุปว่า ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าลืม องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ เตรียมตัวตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปว่าเรา จะบูชาพระทุกวัน นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนหลับ ตื่นใหม่ๆ นึกถึงพระพุทธเจ้าบูชาพระ บูชาพระอย่างอื่นไม่ได้ ก็ว่า นะโมตัส สะฯ 3 หน ด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าจริง แล้วว่า
    พุทธัง สาณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง
    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
    แค่นี้ก็หลับ และตื่นใหม่ๆทุกวัน บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ทุกท่านปลอดภัยและจะมีความรํ่ารวย
    คัดมาจากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ (ฉบับพิเศษ) โดย พระราชพรหมยาน
    วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    ไฟบรรลัยกัลป์

    <CENTER><TABLE borderColor=#000080 cellPadding=2 width="98%" border=0 ,><TBODY><TR><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" vAlign=top width="12%" bgColor=#ffa87d>ผู้ถาม</TD><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" vAlign=top width="88%" bgColor=#ffa87d>"หลวงพ่อคะ ที่ว่ามีไฟบรรลัยกัลป์จะเกิดอย่างไรคะ....?" </TD></TR><TR><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" vAlign=top width="12%"></TD><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" vAlign=top width="88%">

    "ที่ว่าจะมีไฟบรรลัยกัลป์มา เพราะว่าคนมีจิตบาปมาก ศีล ๕ ทำไม่ค่อยจะครบ เช่นปาณาติบาตเป็นต้น อายุมันจะน้อยลงทุกที จนกระทั่งอายุถึง ๑๐ ปี เป็นอายุขัย ตอนนี้เกิดมิคสัญญี ไม่มีการเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน จะรบราฆ่าฟันกันมากพระอาทิตย์ท่านรำคาญเต็มที่ โผล่มาทีละ ๒ ดวง ๓ ดวง ๔ ดวง ตายหมด ทีนี้ถึง ๗ ดวง น้ำในมหาสมุทรก็แห้ง ต้นไม้แห้งกรอบจัด ผลที่สุดเป็นไฟลุก ไฟไม่ได้ไหม้มาจากไหน อาศัยน้ำแห้ง ต้นไม้แห้งกรอบเต็มที่ ความร้อนหนัก ก็เกิดไฟลุกขึ้นก็ล้างกันเสียทีหนึ่ง
    ความจริงเรื่องรู้เลยตาย หรือรู้ก่อนเกิดนี้ ฉันเองก็ไม่ใคร่อยากจะพุด และไม่อยากจะเชื่อถือนัก เพราะดูแล้วมันเลยธงไม่น้อยเลย แต่มาอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง คนเขียนเขียนเรื่องรู้เลยตายและรู้ก่อนเกิดไว้มากมาย เช่น รู้ว่าเมื่อสิ้นศาสนานี้แล้ว ไฟบรรลัยกัลป์จะไหม้ถึงภควพรหม ดูเรื่องมันมากมายนัก ฉันสงสัยไม่หายว่าไฟอะไรจะดันไปไหม้แต่เทวดาและพรหม ดูมันพิลึกพิลั่นมากมายเกินพอดี
    เมื่ออารมณ์สงสัยเกิดขึ้น ฉันก็อดที่จะอยากรู้ตามความเป็นจริงไม่ได้ ในที่สุดคืนวันหนึ่ง ฉันนั่งคุมกรรมฐานอยู่ความสงสัยเรื่องรู้เลยธงเกิดขึ้นมาขวางจิต จึงถามท่านผู้รู้ที่เป็นสัพพัญญวิสัย ท่านทรงพยากรณ์ให้ทราบดังนี้
    หลังจากกึ่งพุทธกาลไปแล้ว ๔,๐๐๐ ปี จะมีไฟล้างโลกล้างแต่โลกมนุษย์เท่านั้น ไม่ลุกลามไปถึงเทวดา
    ท่านบอกว่ามันเริ่มความเร่าร้อนตั้งแต่ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี แล้วจากนั้นไปพวกอธรรมเกิดมาก มีอำนาจวาสนามาก ทำให้ความสงบสุขไม่มี เพราะพวกอธรรม เป็นพวกเห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่ส่วนรวม
    โลกจะร้างไม่มีต้นหญ้ากอไม้ แม้แต่น้ำในมหาสมุทรก็ไม่มีไปครบ ๑,๐๐๐ ปี
    หลังจากนั้นแล้วจะมีฝนใหญ่ตกลงในมนุษยโลกแม่น้ำและมหาสมุทรจะเต็มไปด้วยน้ำ พื้นโลกจะชุ่มชื่น ต้นหญ้าต้นไม้ จะเริ่มงอกงามขึ้นเป็นลำดับ จนโลกทั้งโลกกลายเป็นป่าไม้
    หลังจากโลกที่เขียวชอุ่มไปด้วยต้นหญ้าใบไม้นั้นทิ้งระยะนาน ๑ หมื่นปี สัตว์โลกเริ่มเกิดสัตว์และคนที่มาเกิดยุคต้นนั้นไม่ได้อาศัยบิดามารดาเป็นแดนเกิด มาเกิดแบบโอปปาติกะ คือ มาเกิดด้วยอำนาจกรรม คือเป็นตัวตนขึ้น
    จะยังไม่มีพระอาทิตย์พระจันทร์ส่องแสง มีแสงสว่างเกิดจากอำนาจบุญของแต่ละบุคคล คือมีแสงสว่างออกจากตัวเองเป็นสำคัญ
    เรื่องอาหารนั้น ในระยะแรกยังไม่ต้องการอาหาร มีความอิ่มด้วยธรรมปีติ เพราะแต่ละคนที่มาเกิด ล้วนแล้วแต่มาจากเทวดาหรือพรหมทั้งนั้น ไม่มีสัตว์นรกหรือเปรตเจือปน โลกจึงเต็มไปด้วยความสุข หาความทุกข์ไม่ได้ นอกจากกฎธรรมดา คือความเสื่อมของสังขาร
    เรื่องการทะเลาะยื้อแย่งไม่มี คนทุกคนเป็นคนสวยหมด มีผิวขาวเหลือง เนื้อละเอียดทั้งหญิงและชาย มีแต่คนรวย ไม่มีใคนจน มีแต่คนใจบุญ ไม่มีใครใจบาป
    เมื่อโลกมีมนุษย์และสัตว์บริบูรณ์ มีดวงจันทร์ มีดวงอาทิตย์ ระยะเวลานับแต่มีสัตว์โลก เกิดในโลก เวลาล่วงมาได้ล้านปี
    คนสมัยนั้นมีอายุครองตนเองได้ ๔ หมื่นปี เป็นอายุขัย ท่านว่าตอนนั้น พระศรีอาริย์จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า
    เขตที่ท่านลงมาตรัส สมัยปัจจุบันเรียกว่า เขตเมืองพม่า
    พูดถึงไฟบรรลัยกัลป์แล้วน่ากลัวจริงๆ นะ แต่ถ้าคนชั่วมีมาก ก็ควรล้างกันเสียที" ​

    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
    คัดลอกจากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษเล่ม ๒ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี<CENTER>ศาสนาพุทธ มีอายุครบ ๕,๐๐๐ ปี

    </CENTER>
    ผู้ถาม : "มีด็อกเตอร์คนหนึ่งนะคะพูดว่า ศาสนาพุทธนี่มีอายุไม่ถึง ๕,๐๐๐ ปี ตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ เพราะขณะนี้ทางเบื้องบนตกลงไว้ว่าจะมีการชำระล้างกันก่อน เพราะว่าเวลานี้คนบาปมากเพื่อว่าจะได้มีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ทีนี้ขอเรียนถามหลวงพ่อว่า จะทำอย่างไรจึงจะไม่ให้เป็นไปตามนั้นคะ....?"



    หลวงพ่อ : "ปัญหานี่ดี แต่ฉันว่าไม่มีหรอก พระพุทธศาสนาต้องทรงอยู่ได้ถึง ๕,๐๐๐ ปีแน่นอน ฉันขอยืนยัน ถ้าใครไม่เชื่อจงอย่าตายนะ รอไปถึงเวลานั้น นี่เขาคงเดาเอาน่ะ พระพุทธดำรัสมีอยู่คือว่า
    <MENU>พันปีแรก จะมากไปด้วย ปฏิสัมภิทาญาณ
    พันปีที่ ๒ จะมากไปด้วย ฉฬภิญโญ
    พันปีที่ ๓ คือระหว่างนี้จะมากไปด้วย เตวิชโช
    พันปีที่ ๔ จะมากไปด้วยสุกขวิปัสสโก และ
    พันปีที่ ๕ จะมากไปด้วยอนาคามี </MENU>คำว่ามาก หมายความว่า พวกนี้จะมากกว่าส่วนอื่นที่มีอยู่แต่เวลานี้พวกปฏิสัมภิทาญาณก็มี อภิญญาหกก็มี แต่พวกวิชชาสามมีมากกว่า อย่างพันปีที่ ๔ พวกสุกขวิปัสสโกมาก แต่ว่าปฏิสัมภิทาญาณก็ดี อภิญญาหกก็ดี วิชชาสามก็ดี เขาก็ยังมีอยู่ อย่างพันปีที่ ๕ พระอนาคามีมีมาก แต่ว่าพระอรหันต์ทั้ง ๔ พวกนี้ยังมีอยู่ พระพุทธเจ้าไม่วางพื้นฐานส่งเดช และที่เขาว่าพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาใครล่ะมา พระศรีอาริยเมตตรัย ท่านก็ไม่มา ไม่เชื่อไปถามท่านซิ"

    หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษเล่ม ๒ (ตอบโดยหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ) <!-- / message -->​
     
  5. junior phumivat

    junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,346
    ค่าพลัง:
    +1,688
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=578 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE class=webbody cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=webbody width=749 height=33>
    พระพุทธโฆษาจารย์ อยุธยา<!-- #EndEditable -->​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=206></TD><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><!--DWLayoutTable--><TBODY><TR><TD vAlign=top><!-- #BeginEditable "detail" -->

    (เล่าเมื่อ 10 สิงหาคา 2517)
    วันหนึ่ง เห็นพระ 2 องค์ เป็นหลวงพ่อปานองค์หนึ่ง อีกองค์หนึ่งไม่รู้จัก แต่ก็คล้าย ๆ จะรู้จัก พอเข้ามาถึง ก็ถามท่านว่า หลวงพ่อเนียมใช่ไหม หลวงพ่อปานก็บอกว่า แกพูดถึงใครล่ะเมื่อตอนเย็น ตอบท่านว่า พูดถึง พระพุทธโฆษาจารย์ อยุธยา ท่านพุทธโฆษาจารย์ อยุธยา ท่านพยากรณ์เหตุการณ์ สมัยรัตนโกสินทร์ ไว้ 10 รัชกาล (รายละเอียดมีในหนังสือพระเมตตา 1 แล้ว)
    เมื่อองค์พยากรณ์ท่านมา ก็เลยนึกถึงเรื่องที่คุยกันมาว่า เวลานี้เราก็รู้แล้วว่า ทหารของไอ้พวกศัตรูมันเข้า มาตั้ง 6 กองพันแล้วในปีนี้ มันแทรกเข้ามา ไม่ได้ซึมหรอก มันเดินโทงๆ เข้ามาทีละคนสองคนไม่ได้ถือ อาวุธมาด้วย มาอย่างนักธุรกิจธรรมดา ทำเป็นชาวบ้านไปหาผักหาปลา ก็ไม่มีใครสนใจ
    วันนั้นที่เราผ่านไปทางลำปางนะ ฉันนั่งอยู่ก็มีคนย่องเข้ามาคุยบอกว่า ระหว่างทางที่ผ่านมาน่ะ ไอ้พวกฝ่าย ตรงกันข้ามอยู่กันเต็มเลย อยู่กันเป็นหย่อม ๆ เป็นจุด ๆ อยู่อย่างชาวบ้านธรรมดาอาศัย อยู่โดยการปลูก ผัก ปลูกหญ้า ฉันเลยกลัวจะเป็นอย่างลาว อย่างเขมร ท่านก็บอกว่า ไม่ถึงอย่างนั้นหรอก บารมีมัน 2 ชั้น คือ รัชกาลที่ 10 พระเจ้าลูกยาเธอเข้ามาด้วย
    พระพุทธโฆษาจารย์ อยุธยา ท่านทายถูกมา 9 รัชกาลแล้ว เหลืออีก 1 รัชกาล ถ้าผิดก็ซวย ท่านย้ำอีกว่า
    ตั้งแต่รัชกาลที่ 10 ไปแล้ว ฉันไม่พยากรณ์ เพราะเหตุการณ์เป็นปกติ แล้วจะรวยมาก ประเทศเราจะรวยมาก
    ฉันว่า ต่อไปรวยกว่าอเมริกา จะรวยกว่า หรือไม่รวยกว่า เรานึกเสียว่า เรารวยกว่าก็สิ้นเรื่อง แต่ท่านบอกว่าตั้งแต่ สมัยกลางรัชกาลที่ 10 ไป ประเทศเรา จะสมบูรณ์บริบูรณ์มาก คือว่า เวลานี้มันตก ถึงที่สุดแล้วนะ ไอ้คนที่ตกต้นไม้หล่นตุ้บลงมา โคนต้นมันหล่นต่อไปไม่ได้ มันก็ต้องไต่ขึ้นไปใช่ไหม อีตอนไต่ขึ้นนี่ คงฟัดกันแหลก แต่ท่านก็บอกไว้นานแล้วนะ ตั้งแต่ปี 13 ว่า พวกข้าศึกถ้าเคลื่อนที่เข้ามา ถึงสระบุรีเมื่อไรก็จบเกมกัน กวาดล้างได้หมด
    พระพุทธโฆษาจารย์องค์นี้น่ะ ท่าทางสง่าดีมาก อายุมาก ไม่รู้จะเปรียบกับใคร ท่าทางสง่าจริงๆ สมกับที่คิดว่า ท่านเป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ แต่โดยมากแล้ว พวกปฏิสัมภิทาญาณนี่ เขาไม่จ๋องนี่ ไม่จ๋องมาตั้งแต่อภิญญา 6 ไปแล้ว เขาไม่มีท่าทางจ๋อง ก้มหลังไม่ลง จะเล็กก็เล็กไม่ลง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. junior phumivat

    junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,346
    ค่าพลัง:
    +1,688
    เรื่องที่ ๔๑
    พระศรีอาริยเมตไตรยปรารถนาพระโพธิญาณจึงไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต


    จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน


    "..พระศรีอาริยเมตไตรย ในสมัยพระพุทธเจ้าท่านบวชเป็นพระมีนามว่า อชิตะภิกขุ เดิมทีท่านเป็นลูกศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ท่านไปบวชเพื่อสร้างเสริมบารมี ต่อมาเมื่อ พระนางกีสา โคตมี ได้ทอจีวรด้วยมือของตนเองปรารถนาจะถวายพระพุทธเจ้า เมื่อเวลาพระนางไปถวาย พระพุทธเจ้าเรียกพระมาหมด นั่งเรียงแถวกันตามลำดับอาวุโสและคุณสมบัติ เมื่อพระนางกีสาโคตมีถวายผ้าแก่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ส่งให้พระสารีบุตร ท่านพระสารีบุตรก็ส่งให้พระโมคคัลลาน์ ท่านพระโมคคัลลาน์ก็ส่งต่อๆ กันไปหมดจนถึงองค์สุดท้ายคือท่านอชิตะภิกขุ ท่านไม่รู้จะส่งให้ใครเพราะนั่งอยู่ท้ายสุด เป็นอันว่าท่านก็รับไว้ พระนางกีสา โคตมีก็เสียใจว่าอุตสาห์ทำเองเลือกด้ายชั้นดีมาทอกับมือเองเพื่อถวายพระพุทธเจ้า แต่พระองค์ไม่รับกลับไปให้กับพระที่ไม่ได้แม้แต่ฌานสมาบัติมากมายอะไรนัก คือว่ายังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดา องค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบอัธยาศัยจึงเทศนาโปรดว่า พระองค์สุดท้ายไม่ใช่พระธรรมดา ท่านอชิตะภิกขุผู้นี้ต่อไปข้างหน้าจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มีพระนามว่า "สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย"
    ปัจจุบันนี้ท่านมาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต วิมานท่านสวยสดงดงามมาก ท่านมีรัศมีกายสว่างมาก หน้าตาผ่องใสยิ้มระรื่นน่าชื่นใจ ท่านได้บอกกับอาตมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙ ว่า นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป อีก ๑ ล้านกับ ๒ ปี ท่านจะลงมาเกิดในเมืองมนุษย์แล้วเป็นปุโรหิต หลังจากนั้นเกิดความเบื่อหน่ายก็ออกแสวงหาพระโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าจะเทียบพื้นที่ในสมัยนี้ พระองค์จะตรัสทางทิศเหนือของพม่า แต่ตามตำราเขาไม่ได้เขียนไว้
     
  7. junior phumivat

    junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,346
    ค่าพลัง:
    +1,688
    เรื่องที่ ๔๔
    พระเยซูตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต


    จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน


    "..ประมาณเกือบ ๒๐ ปีมาแล้วสมัยที่อาตมาไปวัดคริสต์ที่บางนกแขวก มีบาทหลวงบางคนเขาไปที่กรุงเทพฯ และก็ชอบๆ กัน เพราะสมัยนั้นอาตมาเรียนทั้งพุทธทั้งคริสต์ ที่เรียนคริสต์ไม่ใช่ไปเรียนที่โรงเรียนแต่คุยกัน ตอนนั้นพวกกุฎีจีนเขามาคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน ความจริงนักศาสนาจริงๆ เขาไม่ทะเลาะกัน เมื่อไปเยี่ยมเขาคุยไปคุยมา เขาถามว่า "ท่านทราบไหมว่า พระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่ไหน" อาตมาตอบว่า "รู้" เขาถามว่า "เคยคุยไหม" ก็บอกว่า "ฉันไปหาท่านทุกวัน ท่านอยู่ที่นิพพาน" จึงถามเขาว่า "แล้วพระเจ้าของท่านอยู่ที่ไหน" เขาตอบว่า "ไม่รู้" ถามว่า "เคยเห็นไหม" เขาตอบว่า "ไม่เคยเห็น" เขาเลยถามว่า "ท่านเคยเห็นพระเยซูของผมไหมครับ" ตอบว่า "ไม่เคยสนใจ" แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อไป
    ต่อมากลับมาที่พัก ธรรมดาของพระก่อนจะนอนต้องทำจิตใจให้สะอาดสบาย ไม่อย่างนั้นนอนไม่สบาย พอเริ่มทำสมาธิจับอารมณ์ จิตมันหลุดโผล่ปั๊บถึงดาวดึงส์ ไปโผล่ช่วงระหว่างพระจุฬามุณีกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไปเดินป๋อที่นั่น พอเดินไปก็มีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนทางเดินตรงมาข้างหน้า ก็เลยถามว่า "พระเยซูใช่ไหม" ตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะบอกเลยว่าใครเป็นใคร ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์จะบอกชัดจะไปสงสัยไม่ได้เลย ท่านก็ตอบว่า "ใช่ครับ"
    อาตมาถามว่า "ทำไมถึงแต่งตัวรุ่มร่ามอย่างนี้ บนสวรรค์เขาแต่งตัวแบบนี้เหรอ" ท่านบอกว่า "ถ้าผมไม่แต่งตัวแบบนี้ เกรงว่าท่านจะจำไม่ได้ จะสงสัย" บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นสภาพความเป็นจริงของท่านเป็นอย่างไร" ท่านก็ทำให้ดู ภาพนั้นหายไปกลายเป็นภาพเทวดาสวยงามมาก เครื่องประดับขาวเป็นประกายแวววับ ชฎาก็แหลมเปี๊ยบ เรียกว่างามจับตาเลย ถามว่า "อยู่ที่ไหน" ตอบว่า "อยู่ชั้นดุสิต"
    พอบอกอยู่ชั้นดุสิตอาตมาก็ตกใจ ต้องเป็นพระโพธิสัตว์แน่ๆ คุยไปคุยมา อาตมาก็บอกท่านว่า "คำสอนของท่านมันผิดอยู่ข้อหนึ่งนะ" ท่านถามว่า "ผิดอย่างไรครับ" บอกว่า "ล้างบาปนั่นนะ คนที่ทำความชั่วแล้วมันทำลายได้เรอะ อย่างกับเนื้อของเราถูกตัดเฉือนไปเป็นแผล เราจะเอาเงินไปแลกซื้อเนื้อใครเขามาได้ที่ไหน จ่ายเงินให้เขาแล้วแผลมันหายหรือ" ท่านตอบว่า "ความจริงผมไม่ได้สอนอย่างนั้นนะครับ ที่ผมสอนนั้น ผมสอนให้สารภาพบาปแบบพระแสดงอาบัติ อาการสารภาพบาปคือ ไปทำความชั่วมาจากไหน เราจะได้ไม่ทำต่อไป" คำสอนของท่านเป็นแบบนี้ มา ตอนหลังมาดัดแปลง พอล้างบาป สารภาพบาปแล้วบาปหาย ก็เลยบาปทั้งสองคน คนก่อนก็ไม่หมดบาป คนหลังบาปเพราะโกหก
    ผู้ที่มีสิทธิไปเกิดอยู่ชั้นดุสิต
    พอกลับลงมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ชั้นดุสิต ต้องมีบารมีเข้มแข็งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้ เพราะชั้นดุสิตนี้เข้าได้ ๓ พวกคือ
    ๑) พุทธบิดาพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า
    ๒) พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็งแล้ว
    ๓) พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจึงจะอยู่ชั้นนี้ได้
    สวรรค์ทุกชั้นไม่ใช่ใครจะอยู่ได้ทุกชั้นนะ ต้องเป็นไปตามขั้น ก็เลยมานั่งนึกว่า ทำไมพระเยซูมาอยู่ชั้นดุสิตได้ มาดูอารมณ์ตอนหนึ่งของท่านคือ ถูกตอกตะปูกับไม้กางเขน ถ้าจิตไม่ดีพอ ท่านจะเป็นเทวดาไม่ได้ ตามพระบาลีบอกว่า "ถ้าจิตเศร้าหมองก่อนจะตาย ตายไปก็ต้องลงอบายภูมิ" นั่นเขาเจ็บขนาดนั้นเขายังไม่โกรธ ลองคิดดูให้ดีไม่ใช่เรื่องเล็กนะเรื่องใหญ่มาก ทำความดีไว้มากตลอดชีวิต แต่เวลาตายจิตเศร้าหมองหน่อยเดียวก็ต้องลงนรกหน่อยอย่าง พระนางมัลลิกาเทวี เป็นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิดถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิดเดียว ความจริงโทษท่านไม่มี ถ้าจิตท่านไม่เศร้าหมองก็ไม่ลงนรก แต่ท่านแต่งตัวเป็นนางฟ้า เท้าแหย่ในนรก ๗ วัน.."
     
  8. junior phumivat

    junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,346
    ค่าพลัง:
    +1,688
    <H1>ตอนที่ ๗ ผลที่ได้จากมโนมยิทธิ (ต่อ)

    </H1>จาก หนังสือ มโนมยิทธิและประวัติของฉัน


    บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลายและญาติโยมพุทธบริษัท เวลานี้ที่พูดนี่ก็ยังเป็นวันที่ ๑๘ กรกฏาคม ๒๕๒๗ ที่บอกไว้ก็เพราะว่า จะได้ทราบว่าพูดตั้งแต่สมัยไหน และต่อไปเสียงนี้ก็จะเป็นเสียงโบราณ ผมอาจจะตายเมื่อไรก็ได้ ถ้าตายไปเมื่อไรเสียงยังอยู่ และจะได้ทราบว่าพูดไว้ตั้งแต่เมื่อไร ดีไม่ดีญาติโยมสมัยหลังท่านเอาไปเปิดให้ฟังจะหาว่าเป็นเสียงปลอม ถ้าบอกไว้ คงไม่มีใครปลอม
    วันนี้เราก็มาพูดกันถึงเรื่อง อนาคตังสญาณ

    อนาคตังสญาณนี่ก็ไม่ใช่อะไรที่ไหน เป็นทิพจักขุญาณนั่นเอง ก็รวมความว่าเราปฏิบัติในทิพจักขุญาณอย่างเดียว เป็นผลมาจากมโนมยิทธิ เราก็รู้อนาคตได้ อนาคตังสญาณ คือรู้เหตุการณ์ข้างหน้า รู้เรื่องของเราและรู้เรื่องของคนอื่น รู้เรื่องของสัตว์อื่น รู้เรื่องของสถานที่ และอยากจะทราบว่า (ถ้าเป็นคนไทยนะ) ประเทศไทยข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จะหมดสภาพความเป็นไทยไหม ถ้าสงครามเกิดขึ้น (เวลานี้สงครามก็ล้อมรอบประเทศไทย) อ่านหนังสือพิมพ์ ปรากฏว่าญวนยกทัพเข้ามาประชิดไล่เขมร แต่ติดเขตไทย และทางด้านลาวก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ คือกลางแม่น้ำโขง ทางด้านจังหวัดน่าน เขาก็ชิดเข้ามา ทางด้านตะวันตกก็ไว้ใจไม่ได้ ทางด้านใต้ ตะวันตก ตะวันออกก็ไว้ใจไม่ได้ รวมความว่าในทะเลหลวงเราก็ไว้ใจไม่ได้
    อยากจะรู้ว่า สถานที่รอบประเทศจะมีอะไรบ้าง เราก็ใช้กำลังของมโนมยิทธิที่เราฝึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทิพจักขุญาณดูก็ได้ และดูอนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จะวุ่นวายขนาดไหน ด้วยอำนาจทิพจักขุญาณเราก็ทราบ เห็นสถานที่ตั้งได้แต่มันไม่ชัดเจนนัก ทำให้ไม่แน่ใจ ต้องไปให้มันถึงที่โดยใช้กำลังของมโนมยิทธิ ไปในที่ตั้งของเขาเลย เขาตั้งกองทหารอยู่ที่ไหน มีอาวุธอะไรบ้าง และมีกำลังเท่าไร บางทีเห็นแล้วจะตกใจ เพราะอาวุธของเขามากมายเหลือเกิน ของประเทศไทยเรามีไม่มากเท่าเขา แต่กำลังคนไม่สำคัญ ความสามารถสำคัญ ความฉลาดสำคัญ ความสามัคคีสำคัญ ที่เราจะทรงความเป็นไทยไว้ได้หรือไม่ได้เราทราบ เราทราบถึงการปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารข้าศึกว่ามีสภาพเป็นอย่างไร จะสร้างความสบายใจให้ปรากฏ
    การพูดอย่างนี้ ไม่ได้สอนธรรมะอย่างเดียว มันเป็นเรื่องประวัติของผมด้วย แต่อย่าลืมนะครับ ไอ้เรื่องการทราบข้างหน้านี่ผมกลายเป็นคนบ้ามาหลายปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ผมก็พูดเรื่องน้ำมันในประเทศไทยว่า "ในประเทศไทยมีน้ำมันมากมหาศาล" เวลานั้นกลิ่นคาวน้ำมันยังไม่ปรากฏ แต่สิ่งที่ปรากฏตามเสียงผมพูดคือ มีเสียงย้อนเข้ามาถึงหูว่าผมบ้า ผมก็เลยนั่งนิ่ง ๆ ใครจะว่าดี ใครจะว่าชั่ว เป็นเรื่องของท่านผู้นั้นจะออกความเห็น เราไปทำลายความเห็นกันไม่ได้ เรามีสิทธิ์จะพูดตามที่เรารูเราก็พูด ท่านก็มีสิทธิ์ที่จะตำหนิจะด่าจะว่าเป็นเรื่องของท่าน ถ้าอาการอย่างนั้นปรากฏขึ้น อย่าลืมนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
    "นัตถิ โลเก อนินทิโต" คนที่ไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก
    วัตถุต่าง ๆ ที่ไม่มีการเคลื่อนไหว เช่น หิน ปูน เป็นต้น ก็ยังถูกนินทา แม้แต่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาเองก็ยังถูกนินทา เขานินทายังไม่พอ เขายังด่าพระองค์ต่อหน้าอีกด้วย
    ฉะนั้นทุกคนให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา อย่าไปสะดุ้งอย่าสะเทือน เราเกิดมาเพื่อชาวบ้านเขานินทา เราเกิดมาเพื่อชาวบ้านเขาติเตียน เราเกิดมาเพื่อชาวบ้านเขาด่า เราก็ทำตามเรื่อง เราอยากจะทำอะไรตามความรู้ของเรา เราก็ทำ ท่านอยากจะด่าเราตามความรู้สึกของท่าน ท่านก็ด่า ให้เป็นเรื่องของท่านไป
    ต่อไปนี้เราก็มาคุยกันถึงเรื่อง อนาคตังสญาณ
    อนาคตังสญาณนี่มีประโยชน์มาก ได้รู้วิถีชีวิตของเราเองว่า ข้างหน้าเราจะเป็นอย่างไร เวลาที่เรายังไม่ตายปีไหนจะมีสภาพเป็นอย่างไร ปีไหนจะป่วยไข้ไม่สบาย เป็นยังไง จะมีความดี จะมีคนชม จะมีคนติเป็นยังไง ชีวิตเราจะรุ่งเรือง หรือจะซบเซาเป็นอย่างไร เราต้องการรู้ รู้แล้วก็บันทึกไว้อย่าพูดไป รู้ไว้คนเดียว กาลเวลามันยังไม่ถึง ทางที่ดีรู้ยาว ๆ และก็รู้ระยะสั้น ๆ ด้วย
    คำว่ารู้ยาวๆ หมายความว่า รู้ข้างหน้าไกลออกไปหลายๆ ปีหรือตลอดชีวิต และก็รู้สั้นๆ ก็วันสองวัน ห้าวันหกวัน เก้าวันสิบวัน นี่สำคัญมาก เป็นเครื่องวัดระยะยาวที่เราเข้าใจ มีความรู้สึกว่ามันจะถูกต้องไหม ถ้าระยะสั้นๆ ถูก ระยะยาวมันก็ถูก ถ้าระยะสั้นไม่ถูก ระยะยาวก็ไม่ถูก นี่ให้มีความรู้สึกตามนี้

    และก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็รู้เรื่องของเราไป ถ้าระยะสั้น ระยะยาวมันถูกหมด เราก็ดูอนาคตไกลแสนไกล นั่นคือ ตายไปแล้วเราตายไปแล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน ก็วัดกำลังใจของเราไว้ด้วย ตายไปแล้ว จะไปสู่สวรรค์ หรืออยู่พรหมโลก หรือว่าไปนิพพาน หรือว่าสถานที่ทั้งสามแห่งนี้ไม่เป็นที่พอใจเรา อาจจะเป็นมนุษย์ หรือว่าจะถอยหลังไปเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก ดูกฎของกรรมที่เราทำมันจะให้ผลไปไหนอันนี้เราก็ทราบ
    เมื่อเราทราบเรื่องของเราได้ เราก็ทราบเรื่องของคนอื่นได้ว่าคนที่เราสัมผัสที่เราคบหาสมาคม เขาจะดีหรือเขาจะเลว เวลานี้เขาดี เวลาข้างหน้าเขาเป็นอย่างไร
    ไอ้ผมน่ะมันก็เป็นคนจัญไร เรารู้แล้วความจริงเราเฉย ๆ ไว้ดีกว่า ความเมตตาเป็นปัจจัยให้เกิดความเร่าร้อนเหมือนกัน ถ้าเมตตาไม่ถูกทาง และผมก็เคยผ่านมาแล้ว ให้ความเมตตาปราณี แต่ความดีไม่ปรากฏ สิ่งที่สะท้อนย้อนกลับเข้ามาคือเพื่อนเลวไม่ต้องการ พอเขาดีแล้วลืมเฉยอันนี้เยอะ แต่ต่อไปความเร่าร้อนความทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบายใจเกิดขึ้น ความปรารถนาไม่สมหวังเกิดขึ้น ก็ขอย้อนถอยหลังกลับเข้ามาใหม่ ทีนี้ทำอย่างไร ผมก็รับในฐานะที่ผมคิดว่า "ผมเป็นมิตรที่ดีของทุกคนและสัตว์ทุกประเภทในโลก" ผมถือว่า ผมจะเป็นมิตรที่ดีตามกำลังใจที่ผมจะอดทนได้ แต่ว่าเมื่อการสงเคราะห์แบบนั้นก็เลิกกัน ถืออุเบกขา ถ้ามาถามก็จะบอกว่า ไม่มีอะไรแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างวางหมด ผมก็วางจริง ๆ ครับ วางหมด หมายความว่า ผมไม่ยุ่งกับเรื่องของใคร ใครเขาจะดี เขาจะเลว เป็นยังไง เรื่องพยากรณ์ให้ไม่มีอีก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะผมเข็ด

    ทีนี้มาเรื่องอนาคตังสญาณของคนอื่น
    คือบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่มีกำลังศรัทธาในพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ท่านก็ดีมีหลายประเภท บางท่านก็อาจจะมีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส บางท่านก็นั่งขรึมอะไรของท่าน แต่ละคนจริยาไม่เหมือนกัน บางท่านก็มีความเมตตาปรานีโอภาพปราศรัยดี บางท่านก็เงียบ เราก็ใช้อนาคตังสญาณดูว่า พระองค์นี้ถ้าตายจากความเป็นคนจะเป็นเทวดา หรือจะเป็นพรหม หรือจะไปนิพพาน หรือว่าท่านไม่อยากไป จะถอยหลังกลับไปโลกันตนรก อเวจีมหานรก หรือนรกขุมไหน เป็นเปรต เป็นอสุรกายก็ได้ ใช้อนาคตังสญาณดู

    ถ้าดูแล้ว เห็นแล้ว มีความเข้าใจแล้ว บันทึกไว้ วันหลังทำใจให้สบายลืมเรื่องเก่าเสียก่อน ลืมเรื่องที่บันทึกไว้แล้วก่อน รวบรวมกำลังใจไปนิพพาน ถ้าจิตไปถึงที่นั่น มันเป็นอุเบกขาจริง ๆ ไม่ยุ่งกับอะไรทั้งหมด จิตสะอาดมาก หลังจากนั้นก็ทิ้งเรื่องเก่า กราบทูลถามองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคว่า คนนั้นต่อไปข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ชีวิตในความเป็นมนุษย์ ชีวิตเมื่อตายแล้ว ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่เป็นพระอรหันต์ในเวลานั้นสมเด็จพระภควันต์ ก็สามารถบอกได้ ท่านบอกได้แน่ ก็มีคนหลายคนที่ท่าทางอีเหละเขะขะ ๆ ท่าทางมองกันแล้วไม่ค่อยดีนัก แต่ความรู้สึกว่าเวลาข้างหน้าคนนี้จะดี แล้วเก็บความรู้สึกไว้ บางทีจะคิดว่าเราจะมีความเมตตาเกินไป แต่ว่าในที่สุดเขาก็ดีตามนั้น
    นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน ถ้าใช้อนาคตังสญาณ ทำบุญจะไม่ผิดบุญ จะไม่ต้องถูกเขาหลอกลวง
    ก็เคยพบมามาก ระยะใกล้ ๆ ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายเอาเงินไปทอดกฐินบ้าง ผ้าป่าบ้าง อันนี้ไม่ใช่ทั่วไปนะ อาตมาพบในสถานที่ใกล้จริง ๆ ของอาตมาพอกฐินเข้ามา ผ้าป่าเข้ามา ก็มีเหล้าเต็มศาลา เลี้ยงเหล้าเอะอะโวยวาย ได้รับกฐินผ้าป่าทีละห้าหมื่นหกหมื่นถึงแสนก็มี ผ้าป่าทั้งปีรับหลายครั้งคิดแล้วปีละเป็นแสน แต่ว่าไม่มีอะไรปรากฏขึ้นมาเลย เงินหมด อย่างนี้ชื่อว่าเป็นการทำบุญผิด
    ถ้าเราใช้อนาคตังสญาณหรือเจโตปริยญาณก็ได้ เจโตปริยญาณดูกำลังใจของบุคคลผู้รับผลทานจากเรา ที่เราไปทำบุญ หรือถวายเป็นทาน ทอดกฐิน ผ้าป่า แต่ว่าอนาคตตังสญาณดูข้างหน้านี่ เงินจำนวนนี้ถ้าเราไปถวายไว้เงินจะไปไหนบ้าง เราก็จะทราบชัด ถ้ารู้ว่าเงินมันไปผิดทาง เราก็ไม่ให้เสียเลยก็หมดเรื่อง ไม่ทำ
    และก่อนจะไปจองกฐิน ก่อนจะไปบุ๊คสถานที่ที่เราทำบุญ เราก็ดูเสียก่อนว่า ควรทำหรือไม่ควรทำ อันนี้จะมีประโยชน์แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท จะไม่มีการสูญเสียอะไรทั้งหมด
    แต่อย่าลืมนะ รักษากำลังใจตามที่กล่าวมา ภาพพระพุทธรูปก็ดี ภาพพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี พยายามทรงเวลาให้มันทรงตัว จังให้ชัดเจนแจ่มใสไว้ อย่าลืม ฝึกกำลังใจให้เห็นชัดทุกวัน ทุกเวลาที่เราต้องการ
    ยามว่างเกิดขึ้นเมื่อไรใช้กำลังใจจับพระรูปพระโฉมทันที หรือจับภาพพระพุทธรูปแก้วใสที่เราใช้เป็นนิมิตให้ติดตาติดใจไว้ตลอดเวลา มาบอกว่าไม่มี่เวลาจะทำ โถ... ไม่ต้องออกแรง ไม่ต้องใช้เวลามาก นึกเมื่อไรเห็นปั๊บทันที
    ยามปกติของผม สมัยที่ผมฝึก ผมเห็นของผมได้ตลอดวันตลอดคืน เว้นไว้แต่หลับ ถ้าเห็นภาพพระในอก เห็นภาพพระคลุมตัวผม ผมจะชื่นใจ จิตมีความสุข และการภาวนานี่ ผมก็แปลกกว่าคนอื่นเขา อาจจะมีคนดีกว่าผมก็มาก นั่นคือเวลาเดินบิณฑบาตแทนที่ผมจะว่า พุทโธ สัมมาอรหัง เป็นต้น ผมก็ล่อ อิติปิ โสทั้งบท ว่าทั้งบทนี่เราไม่ลืม ต้องพยายามนึกในใจเราเบา ๆ ช้า ๆ ให้เคลื่อนไปจนกว่าจะจบ ตลอดเวลาที่เดินไปบิณฑบาตจนกว่าจะกลับ จนกว่าจะเลิกกลับมาถึงที่ นั่นแหละผมถึงจะเลิกภาวนา อิติปิโส ทำอย่างนี้จิตใจชุ่มชื่น มีอารมณ์ทรงตัว
    เมื่อใช้บทยาว ๆ ภาวนา ธุระที่จะคุยมันก็คุยไม่ได้ ถ้าคุยแล้วภาวนาจะขาดเราก็เลยไม่อยากจะคุย ไม่คุย จิตจะคุมอารมณ์ ผลต่าง ๆ ก็เกิดตามมาหมด ญาณต่าง ๆ ก็เกิดขึ้น และการจะใช้อารมณ์เข้าคุยกับเทวดาหรือพรหมหรือใครก็ตามจะใช้เวลาได้แบบสบาย ๆ นี่การนึกถึง อิติปิโส กว่าจะไปบิณฑบาตกลับมันไม่ใช่เวลาเล็กน้อย นั่นหมายความว่า หัดทรงสมาธิทั้ง ๆ ที่มีงาน อันนี้มีความสำคัญมาก นักเจริญสมาธิเฉพาะเวลาสงัดใช้ไม่ได้
    ต่อไปเป็น ปัจจุปปันังสญาณ มีประโยชน์ในการที่เราจะรู้ว่า ปัจจุบันใครอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ มีชีวิตอยู่ หรือว่าตายไปแล้ว มีความสุข หรือว่ามีความทุกข์ ผลงานที่เราสั่งงานไว้ที่โน่นที่นี่ เขาทำดีตามที่เราสั่งไหม หรือว่ามีการบิดพริ้วเป็นประการใด อันนี้มีความจำเป็นบรรดาท่านพุทธบริษัท จำเป็นจะต้องรู้และก็จำเป็นจะต้องทำเพื่อความเป็นสุขของเรา
    ยถากรรมมุตาญาณ เป็นญาณเครื่องบอกให้รู้ว่า ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี ความเสียหายก็ดี การได้กำไรก็ดี ที่ปรากฏขึ้นมาเวลานี้เป็นผลของความดีมาจากไหน นั่นก็หมายความว่า ถ้าเรารวยขึ้นมามีลาภสักการะมาก ลาภเกิดจากผลของอะไร ผลความดีในชาติปัจจุบันหรือผลความดีในชาติที่เป็นอดีต ชาติในอดีต ชาติไหน เราทำอะไรไว้ ภาพนั้นจะปรากฏ ถ้าผลงานมันขาดทุน เราก็ทราบอีกเหมือนกันว่า ขาดทุนเพราะกรรมอะไร เราทำพลาดเพราะใช้ปัญญาน้อยไป ใช้ความละเอียดลออน้อยไป หรือว่ากรรมอะไรที่เราเคยรบกวนเขาไว้ เข้ามาสั่งสม มาทำลาย มาสนองเรา
    ความจริง ยถากรรมมุตาญาณมีประโยชน์ โดยเฉพาะเรื่องการป่วยไข้ไม่สบาย ยถากรรมมุตาญาณก็บอกเหมือนกัน

    เราทราบว่าการป่วยไข้ไม่สบายนี้เราไม่ชอบ มันเสียเงิน เสียทอง เสียเวลา เสียทรัพย์สิน เสียความสุข แม้เราไม่ชอบแต่เราก็ต้องดู อย่าไปนั่งบ่น อย่าไปนั่งว่า ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่ากรรมเก่า ๆ หรือกรรมใหม่ที่เราทำไว้
    อย่างในสมัยผมเป็นเด็ก ๆ ก็ไม่เด็กนักละ ผมบวชแล้วนะ ก่อนที่ผมจะมีพรรษาครบ ๒๐ พรรษาอยู่ ๔ ปี เวลานั้นผมกำลังอาบน้ำอยู่ที่หน้าวัด ผมทำงานทั้งวัน งานตั้งแต่เช้า เวลาผมหนุ่ม ๆ ผมทำงานยันกลางคืน ญาติโยมมาหาก็รับแขก ญาติโยมกลับไปแล้วผมก็ทำงาน ทำงานกลางวันไม่เสร็จ ผมก็ทำกลางคืน
    เป็นอันว่า วันนั้นมันร้อนจัด ผมทำงานก่อนจะทำวัตรเย็น ผมไปอาบน้ำที่หน้าวัด ลงไปแช่น้ำได้ประมาณ ๕ นาที ร่างกายมันเย็น จิตใจก็ชุ่มชื่น เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า นับตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป จะต้องป่วย และต้องนอนที่โรงพยาบาล ๒ ปี ไอ้การนอนโรงพยาบาลนี่ไม่ใช่อาการเพียบแปร้ ไม่ใช่เพียบ แต่ถ้าไม่เข้ามันเพียบ เข้าไปแล้วมันก็สบาย ออกมาเมื่อไรอาการเพียบแปร้อีก อาการจะไม่ซ้ำกัน แต่เข้าไปมันก็สบาย จำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาลจริง ๆ ๒ ปี ในตอนต้น อาจจะเข้าบ้าง อาจจะออกบ้าง และก็ต้องไปพักฟื้นอีก ๑ ปีใกล้ ๆ โรงพยาบาล ซึ่งหมอจะติดตามรักษาให้
    ความรู้สึกเกิดขึ้นในขณะที่ร่างกายมีความเย็น ก็เชื่อกำลังใจว่าความจริงอย่างนี้ต้องปรากฏ แต่ว่าคนอย่างผม ไอ้นี่ผมก็ไม่ได้อวดนะ ผมไม่เคยไว้วางใจผมเลย ความรู้สึกของผมไม่ไว้วางใจ ผมปล่อยเวลาทิ้งช่วงไปประมาณ ๑ อาทิตย์ วันหนึ่ง ตอนเข้ามืด ทำจิตตอนตี ๒ เป็นปกติ ผมก็ลุกขึ้นทำกรรมฐานของผม บางคืนผมนอนชั่วโมงเดียว บางคืนก็ไม่ได้หลับนอน เช้าก็ทำงานต่อไป ร่างกายในตอนนั้นมันดีมาก ร่างกายแข็งแรง กำลังก็ดี ไม่เหมือนเวลานี้ เวลานี้วันที่พูดนี่ก็ยังโยเย ๆ เดินก็งง นั่งก็งง นอนก็งง ไม่มีความสุข ร่างกายไม่มีความสุข แต่ใจผมมีความสุข
    ถ้าถามว่า พูดได้อย่างไร มันจะแปลกอะไร ผมนั่งไม่ไหว ผมก็นอนพูด ใช้ไมโครโฟนนี่ เวลานี้ผมก็นอน ที่ฟังเสียงนี่ผมนอนพูด ผมตั้งใจว่าขณะใดที่ผมอยู่ในระหว่างธรรมะ ถ้ามันตายเวลานั้นผมพอใจ
    ผมปล่อยเวลาไว้ ๑ อาทิตย์จากการรู้ขณะอาบน้ำในวันนั้น ต่อมาตอนเช้ามืดทำจิตสบาย ขึ้นไปกราบถามตรงพระพุทธเจ้า ถามว่าความรู้สึกของผมที่ปรากฏนั้นมันจะตรงตามความเป็นจริงไหม ท่านก็บอกว่าจริง งานการทุกอย่างต้องระมัดระวัง อย่าให้มันยาว เพราะป่วยคราวนี้ ไม่มีโอกาสจะออกมาทำงานได้ต่อไปอีก ท่านก็บอกชัดว่า
    "การป่วยคราวนี้ มันเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ตัดงานภายใน และก็จะต้องแยก ยกตัวออกจากวัดไปอยู่ที่อื่น เพราะการป่วยคราวนี้เป็นการช่วยให้ทางจิตดีขึ้น ถ้าขืนอยู่ที่วัดกำลังใจจะไม่ดีขึ้นเลย ผลแห่งการตั้งใจมาก่อนเกิดจะไม่มีผล"
    ผมก็ตกใจ ไอ้ผลการตั้งใจมาก่อนเกิดมันจะไม่มีผล ผมก็ถามว่า "ไอ้ก่อนเกิด ผมตั้งใจอะไรไว้" ภาพนั้นก็บอกว่า
    "ก่อนเกิดน่ะมาจากพรหม เดิมทีปรารถนาพุทธภูมิตลอดเวลา และมาชาตินี้จะต้องบำเพ็ญบารมีใกล้เต็ม ถ้าใกล้เต็มท่านก็บอกตรง ๆ ว่า มีอายุถึง ๖๐ ปี บารมีพุทธภูมิจะเต็ม และก็จะไปอยู่ชั้นดุสิต แต่ว่าสิ่งที่ตกลงกันมาว่า จะมาลาพุทธภูมิ ลาพุทธภูมิลัดตัดทางไปเลย"
    คำว่า "ตัดทางไปเลย" ผมก็ไม่ได้หมายความว่า ผมจะเป็นพระอรหันต์ หมายความว่า ถ้าปรารถนาพุทธภูมิก็ช้านานมาก อยากจะลัดไปให้มันใกล้ทางซะ เป็นสาวกภูมิดีกว่า ยังไง ๆ เราก็ต้องมุ่งพระนิพพานเหมือนกันหมด ท่านก็บอกว่า
    "ถ้าพูดถึงกฎของกรรม จากการเป็นนักรบ มีการฆ่าเขาบ้าง มีการทำลายทรัพย์สินเขาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎแห่งการฆ่าเขาหนักทั้งสิ้น ต้องมีเหตุให้ต้องนอนโรงพยาบาลจริง ๆ ๒ ปี แต่ว่าไอ้การรบแต่ละครั้งก็ต้องประกอบด้วยความเมตตาปรานีเหมือนกัน ถ้ายึดพื้นที่เขาได้ยึดคนได้ ก็ให้การเลี้ยงดูปูเสื่อทะนุถนอม ถ้าเขามีความทุกข์ ก็ช่วยให้เขามีความสุข เขาไม่มีกินก็ช่วยให้เขามีกิน ฉะนั้นขณะที่ไปนอนที่โรงพยาบาล คนเก่า ๆ ที่เรารู้จักจะหาไม่ได้ จะมีสักคนสองคน ทุกคนจะไม่มองเราเลย"
    รวมความว่าเขาปล่อยให้ตายดีกว่า เขาจะคิดอย่างนั้นหรือไม่ก็ไม่ทราบนะ นี่พูดเอาเอง แต่ว่าได้รับความเมตตาปรานีจากคนใหม่ คนใหม่ให้การอุปถัมภ์ค้ำชูเป็นอย่างดี ยิ่งการเงิน ขณะที่เข้าโรงพยาบาลจะไม่มีติดตัว จะมีอย่างมากไม่เกิน ๒๐ บาท ไอ้ ๒๐ บาทนี่มันเป็นเงินประจำกระเป๋า คือถ้าจะไม่มีขนาดไหนก็ตาม จะเก็บไว้ ๒๐ บาทเป็นประจำ ถ้ามีมากกว่านั้นก็ทำบุญหมด มีความรู้สึกว่า "ชีวิตของเราไม่มีความหมาย ตายแล้วเราเอาไปไม่ได้ ในเมื่อเราเอาไปไม่ได้ จะเก็บเอาไว้ทำไมให้มาก ทำให้มันเป็นประโยชน์แก่คนอื่น" ก็เลยทำบุญก่อสร้าง เลี้ยงพระหมด แล้วก็ผลที่สุด ท่านก็บอกอีกว่า
    "เราจะไม่เป็นไร เมื่อถูกเขาทอดทิ้งมาก ๆ ความเบื่อหน่ายก็เกิด คนเก่าทอดทิ้ง คนใหม่เขาเลี้ยง อันนี้เป็นกฎของกรรมของการยึดประเทศชาติเขา ทำให้คนเก่าเขามีความลำบาก แต่ว่าเมื่อเรายึดเมืองไหนได้เป็นเชลย เราเลี้ยงเขาให้มีความสุข ฉะนั้นคนเก่า ๆ ที่เราเคยทะนุถนอมบำรุงมา เขาจะหลีก เขาจะไม่มองเรา ไม่มีใครสงเคราะห์
    ความจริงบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย ผมก็ต้องนอนป่วยตามนั้นเป็นเวลา ๒ ปี คนเก่า ๆ เป็นทายก เห็นหน้า ๒ คนเท่านั้นไปครั้งเดียว ไม่ได้เยี่ยมนะ ไปขอทรัพย์สินที่มีอยู่ ว่าขอผมเถอะ ผมก็เลยบอกว่า ของทั้งหมดที่มีอยู่ที่วัด เป็นของสงฆ์ ผมออกมาจากวัด ผมไม่มีอำนาจอะไรเลย ผมคิดว่าเป็นของสงฆ์จริง ๆ ไม่ใช่เป็นเล่ห์เหลี่ยม แล้วจากนั้นมาก็ไม่มีใครอีก แต่ว่าคนใหม่ที่ไม่เคยรู้จัก บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อุ่นหนาฝาคั่งมาก เข้าไปนอนป่วยในที่นั้น พระที่มาป่วยก็ดี ฆราวาสก็ดี พลอยได้กินอาหาร วันหนึ่งเต็มโต๊ะ โต๊ะใหญ่ ๆ เหลือแหล่ ข้าวของใช้ของกินบริบูรณ์ สมบูรณ์ นี่แหละเป็นผลจากการยึดชาติเขาได้ เราบำรุงเขา

    บรรดาท่านพุทธบริษัท ยถากรรมมุตาญาณมีประโยชน์อย่างนี้ และวันนี้ก็หมดเวลาแล้ว สัญญาณหมดเวลาปรากฏก็ต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒน-มงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน
    สวัสดี
     
  9. junior phumivat

    junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,346
    ค่าพลัง:
    +1,688
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2008
  10. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    เมื่อคืนนี้ฝนตกหนักมากๆๆๆๆๆๆๆ เป็นระยะเวลานานมากด้วย ตกได้สักไม่ถึงชั่วโมง ตรงมอเตอร์เวย์ น้ำท่วมถึงหัวเข่าแล้ว เข้าไปในร้านค้าเลย

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00001.JPG
      DSC00001.JPG
      ขนาดไฟล์:
      222.2 KB
      เปิดดู:
      1,235
    • DSC00002.JPG
      DSC00002.JPG
      ขนาดไฟล์:
      208.3 KB
      เปิดดู:
      56
    • DSC00004.JPG
      DSC00004.JPG
      ขนาดไฟล์:
      203.6 KB
      เปิดดู:
      1,251
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2008
  11. junior phumivat

    junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,346
    ค่าพลัง:
    +1,688
  12. junior phumivat

    junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,346
    ค่าพลัง:
    +1,688
  13. junior phumivat

    junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,346
    ค่าพลัง:
    +1,688
    เอาคำสอนของพระอรหันต์มาบอกกล่าวแต่โพสไม่ได้ ...งง
     
  14. junior phumivat

    junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,346
    ค่าพลัง:
    +1,688
    [​IMG]
    พระอรหันต์บอกว่า <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=578 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE class=webbody cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=webbody width=749 height=33>
    ไทยจะเป็นมหาเศรษฐี<!-- #EndEditable -->​




    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=206></TD><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><!--DWLayoutTable--><TBODY><TR><TD vAlign=top><!-- #BeginEditable "detail" -->
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัท วันนี้ยังเป็น วันที่ 8 ตุลาคม 2533 ตามเดิม แต่ว่าพูดเป็นตอนที่ 2 ตอนนี้ ขอพูดถึงตอนที่ ไทยจะเป็นมหาเศรษฐี ถ้าสงครามโลกเกิดขึ้นท่านทั้งหลายคิดออกหรือยังว่า สงครามโลกเกิดขึ้น และมันก็ไม่ได้เกิดกับประเทศไทยโดยตรง มันเกิดภายนอกประเทศ นอกเขตของไทย เป็นอันว่า ลูกปืนก็ไม่มาถึงประเทศไทย เครื่องบินก็ไม่มาถึง ประเทศไทย แต่ต้องระวังจรวด เรื่องจรวดนี่ ต้องระวังกันหน่อย เพราะจรวดมันมาจากใต้นํ้าได้ มันยิงทางไกลได้ ถ้ามันจะ เกิดขึ้นบ้างก็เป็นขนาดย่อมๆตามจุดต่างๆ เป็นจุดเล็กๆ อาจจะโผล่จุดนี้บ้างจุดนั้นบ้าง เป็นการทำให้รวน กำลังของทหาร รวน แล้วจะตั้งกลุ่มขึ้นบางจุด เป็นกลุ่มใหญ่น้อย ก็ไม่มีอะไรน่าหนักใจ ก็รวมความว่า สงครามโลก ไม่มีเรื่องหนักใจ ในเรื่องการตายของเรา เรื่องรังสีของวิทยาศาสตร์ รัศมีต่างๆไม่ต้องวิตก ขอยืนยันว่า บุคคลที่นับถือ พระพุทธเจ้าจะไม่ตาย เพราะรังสีต่างๆ ตามที่บอกมาแล้ว​
    ทีนี้ความรํ่ารวย มันจะเกิดขึ้นบ้าง ประการแรกขอบอกว่า เรื่องนํ้ามันจะเป็นเหตุให้รวย เพราะว่า ทุกประเทศต้องใช้นํ้ามัน และอีกประการหนึ่งนั่นก็คือว่า ถ้าสงครามโลกเกิดขึ้นจริงๆ ถึงแม้ว่า เราจะไม่ได้เข้าสงครามโดยตรง แต่ว่าทหารของ ประเทศบางประเทศ จะต้องยกเข้ามาตั้งในจุดใดจุดหนึ่ง ของประ เทศไทย เวลานั้น เราก็ขายนํ้ามันให้เขา เราก็รวยถ้ามี กองทหารอื่นเข้ามา มันจะดีหรือไม่ดี นี่ก็เป็นเรื่องของการเมือง แต่มีความจำเป็นเกิดขึ้นต้องยอมรับ ถ้ามีการยอมรับ ราย ได้ต่างๆของประชาชนก็เกิดขึ้น
    ทีนี้รัศมีสงคราม ในเมื่อไม่ถึงประเทศไทย เราก็ไม่มีความลำบาก บรรดาท่านที่ทำนาทั้งหลาย ท่านที่มีนาอย่าเพิ่งขายนา ในราคาแพงมากนัก คือขายก็ขายเถอะ แต่อย่าขายให้มันหมด ก็มีคนหลายคนมาบอก ว่ามีที่ 20 ไร่บ้าง 30ไร่บ้าง 50ไร่ บ้าง 100ไร่บ้าง อยากจะขาย ขายได้ไร่ละเป็นล้านนี่ก็เห็นใจเหมือนกัน ความจริงเงินนับล้าน เป็นของหายาก ก็เห็นใจเขา อาจจะตั้งตัวอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ถ้าไม่ลืมตัว แต่ว่าบางท่าน ที่ไม่มีโอกาส จะขายนาของท่านได้ นาของท่าน อยู่ไกลที่ เจริญ อยู่ไกลแม่นํ้า ไกลถนน ถ้าเขาจะซื้อ ก็ซื้อราคาถูก ท่านก็ไม่อยากจะขาย ท่านจะขายราคาแพง ในที่สุดท่านก็ไม่มีโอ กาสขาย ในเมื่อเวลานี้ไม่มีโอกาสจะขาย ท่านอาจจะเสียดายว่า ที่นาของเราไม่ได้ขาย เราไม่รวยแต่ทว่าสงครามโลกเกิด ขึ้นจริงๆ ท่านจะดีใจ เพราะนาท่านไม่ได้ขาย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะข้าวของท่าน ที่ออกมา ราคามันแพง มันจะขายได้ดี ทุกสิ่งทุกอย่าง มันก็จะแพงกันหมด ดูสงครามโลกครั้งที่ 2 ทุกสิ่งทุกอย่าง มันหายาก ยิ่งเขายิ่งรบกันโอกาสที่เขาจะทำมัน ก็มีน้อย เขาต้องใช้เวลารบกันมากขึ้น ทีนี้เราก็ขายได้ดี
    มาส่วนด้านของอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมก็มีมาก แต่ว่าอุตสาหกรรมก็ต้องระวังโรงงานโรงงานต่างๆต้องระวังระเบิดภาคพื้นดิน ไม่ใช่ระเบิดอากาศ ระเบิดภาคพื้นดิน จะอาละวาด ถ้าจะถามว่า หาทางป้องกันอย่างไร นี่เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจทหาร หรือท่านเจ้าของโรงงาน ทางด้านพุทธศาสนา ก็มีบอกไม่ได้ จะบอกได้อย่างไรว่า เรานับถือพระพุทธเจ้าเท่ากันหรือเปล่า ถ้านับถือเท่ากัน ก็เอาของที่ท่านให้ไว้ ท่านให้ไว้นั่น ก็คือ ความดี ของดี ถ้ามีไว้ในรัศมีนั้น จะไม่มีอันตรายจากภัยระเบิด และภัยโจมตีต่างๆ จะไม่เกิดขึ้น เหมือนกับสมัยมี ผกค. ในที่ต่างๆ เคยถูกโจมตี และเจ้าของสถานที่นั้น เจ้าหน้าที่ในที่นั้น เกิดมีความเคารพพระพุทธเจ้าขึ้นมา มีของอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสัญลักษณ์ แสดงไว้เป็นเขต ในเขตนั้น ปรากฏว่า ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ไม่เคยถูกโจมตีหรือข้าศึกยิงเข้ามา ก็ไม่เข้าสถานที่ ตรงหน้าไม่เข้าฐาน เป็นอันว่าทหาร ในเขตนั้น ก็ปลอดภัย ข้อนี้เป็นสัญลักษณ์ แสดงให้เห็นว่า
    ถ้าเรา นับถือพระพุทธศาสนาจริง และยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าจริง สิ่งใดที่ท่านให้ไว้ สิ่งนั้นเราเคารพด้วย ความจริงใจ และทุกท่านจะปลอดภัย จากสงครามโลกครั้งที่ 3
    ทีนี้ถ้าโรงงานต่างๆมีความเคารพ พระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจจริงๆโรงงานนั้น จะพ้นภัยจากระเบิด และการทำอันตรายต่างๆ จากสรรพวุธ จะไม่เกิดขึ้น กับโรงงานนั้น โรงงานนั้น ในเมื่อผลิตของได้ก็จะขายดี รวย เขารบกัน เขาไม่มีเวลาทำ เพราะเราไม่ต้องรบ เขาต้องสูญ ต้องเสียเงิน เพื่อการรบ การรบต้องใช้เงินมาก เราไม่ต้องสูญเสียเงิน เพราะการรบเราก็ ขายของของเรา ในเมื่อของมันขาด ราคาก็แพงใน เมื่อขายของได้ ราคาแพงมาก รัฐบาลก็ได้ภาษีอากร มากขึ้น ประเทศก็รวย คนในปะเทศก็รวย นี่พูดถึงความรํ่ารวย ที่ไทยจะเป็มหาเศรษฐี
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นํ้ามันตามจุดต่างๆที่บริษัทเขาเจาะไว้ เขาบอกว่า มันไม่พอใช้มันจะปรากฏขึ้น เพราะเราไม่มีโอกาส ซื้อนํ้ามันต่างประเทศ ถ้านํ้ามันต่างประเทศ จะซื้อได้ยากราคาแพง อันนี้เขาจะดึงขึ้นมาใช้ ราคาเหมือนราคาต่างประเทศ อย่างนี้อุตสาหกรรมของเรา ก็จะรวยไม่ได้ ถ้าบังเอิญคนไทย อย่างที่ฝางใช้หัวเจาะลึกๆ หัวเจาะยาวๆ เจาะลงไปลึกๆ แต่ ตามหลัก นักวิชาการ เขามีอยู่ อาตมาก็ไม่ได้ค้านตามนั้นนะ ลองเจาะดูตามที่ ดร.สรรพศาสตร์ ท่านพูด ดร.สรรพศาสตร์ ท่านบอกว่า ที่ใดก็ตามเจาะลงไป มันจะมีนํ้ามันแต่ว่า ผิวดินมันจะลึกจะตื้นกว่ากัน นั่นอีกอย่างหนึ่งต่างหาก เท่าที่เขาเจาะ เวลานี้ ยังไม่ถึง ขุมนํ้ามันจริงๆ มันไปถึงต่อมเล็กๆ บนหลังถังนํ้ามัน ยังไม่ถึง ถังขุมนํ้ามันแท้ ถ้าใช้หัวเจาะ ประมาณ 6 กิโลเมตร อย่างอังกฤษเจาะ อย่างนี้ไม่ต้องใช้กี่บ่อแล้ว เพียงแค่ 10 บ่อดึงกันวันไม่รู้จักเท่าไร เท่าไรก็ไม่รู้จักหมดเราใช้ ประมาณ 30 เท่า หรือ 300 เท่าของเวลานี้สัก 1,000 ปี มันก็ไม่หมด เพราะมันเป็นทะเลใหญ่ ดร.สรรพศาสตร์ท่านพูดอย่างนี้นะ
    ถ้าบังเอิญคนไทยของเรา ดึงขึ้นมาได้เอง เราก็กดราคานํ้มันให้ตํ่าลงไป อย่างแพงที่สุด ก็เท่าราคานํ้ามันในปัจจุบัน รักษาราคาน้ำมันไว้ ต่างประเทศเขาต้องซื้อราคาแพง เราถูก อุตสาหกรรมของเรา ก็มีราคาถูก ขายได้กำไร กำไรก็มีมาก กำไร จากอุตสาหกรรมด้วย กำไรจากเกษตรกรรมด้วย กำไรจากนํ้ามันด้วยและมีกำไรมากมายประเทศไทยก็จะเป็นมหาเศรษฐี
    ทีนี้ต่อไป มันก็มีเวลาเหลือ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็มาคุยกันว่า ถ้าสงครามโลกไม่เกิดจะว่าอย่างไร ก็ต้องตอบว่า ถ้าสงครามโลกไม่เกิดก็เป็นของดี แต่ว่าท่าน ดร.สรรพศาสตร์นี้ ก็เช่นเดียวกัน ท่านบอกว่า สงครามโลกเขาเรียกสงครามใหญ่ ไม่ใช่สงครามโลก ก็เป็นอันว่า ถึงแม้จะเป็นสงครามโลก ก็ตาม สงครามใหญ่ ก็ตาม ถ้ามันเกิดขึ้นจริง เราก็เอาบทเรียน จากสงครามโลกครั้งที่ 2 มาใช้กัน
    1. ผ้าในสมัยนั้น หาคนนุ่งผ้าดีได้ยาก ส่วนมากก็จะมีคน นุ่งผ้าขาดๆ เพราะเวลานั้น โรงานทอผ้าของเรา ยังมีน้อยแต่เวลานี้ โรงงานทำผ้าของเรามีมาก แต่ก็ไม่แน่นอนนัก บางทีระเบิดเพลิง จะเกิดจากภาคพื้นดินก็ได้ ถ้าระเบิดเพลิงจากภาคพื้น ดินเกิดกับโรงงาน โรงงานทำผ้าของเราก็จะสลายตัว ผ้าก็จะน้อย อันดับแรก เตรียมผ้าไว้ก่อน อันดับที่ 2 เตรียมพื้นดินไว้ ถ้ามีอยู่บ้าง ไม่มากไม่มาย ก็อย่าเพิ่งรีบขายเกินไป ถ้าได้กำไรมากๆ เป็นล้านๆ ก็ไม่ว่าอะไร ขายเถอะ แล้วเก็บเงินไว้ให้ ดี อย่าใช้ให้มันหมดตัว จงคิดว่า ถ้ามันหมดตัวแล้วเราไม่มีทางจะหาที่ดินขายใหม่
    ประการที่ 2 ก็เตรียมเนื้อ เตรียมกาย เตรียมใจ เตรียมใจไว้ นึกถึงความจริง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่า
    โลกเต็มไปด้วยความทุกข์ โลกไม่มีความสุข โลกเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นอนิจจัง ก็เป็นความทุกข์ในที่สุด ก็เป็นอนัตตาตายหมด
    ถ้ามันเป็นเรื่องอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ความจริงเป็นอย่างนั้น ถ้าเรายอมรับก็ไม่เป็นไร ถ้าจิตยังไม่ยอมรับ มันก็มีความดิ้นรน มันก็มีความเร่าร้อน ถึงจะดิ้นรนจะเร่าร้อนขนาดไหนก็ตามเราก็จะหนีไม่พ้น ในเมื่อหนีไม่พ้นเราก็ต้องทนสู้ ทนสู้ กับภาวะ ของสงคราม ทีนี้เราจะสู้กับใคร เราสู้กับตัวเราเอง นั่นคือ ต้องใช้น้อย กินน้อย นอนมากๆ และตื่นไวๆ ใช้กำลังร่างกายทำ การงานให้ดี ได้พูดอย่างนี้ ก็พูดเรื่อยเฉื่อยไป
    เป็นอันว่า ตามคำพยากรณ์ของดร.สรรพศาสตร์ ท่านบอกว่าประเทศไทยจะเป็นมหาเศรษฐี แล้วคนไทยทุกคน จะเป็นมหาเศรษฐีไหม ก็ต้องขอบอกว่า คนไทยทุกคนไม่เป็นมหาเศรษฐีทุกคน แต่ว่าก็มีจำนวนมาก ก็จะเป็นลูกศิษย์มหาเศรษฐี คือ เป็นคนงานของมหาเศรษฐี เราก็จะเป็นเศรษฐีเล็กในครอบครัวเล็กๆได้เหมือนกัน สมมติว่าครอบครัวใด ยังไม่เคยมีเงิน ล้าน ครอบครัวเล็กๆ ปะเภทนั้น จะมีเงินล้านใช้ ประเภทครอบครัว ที่มีเงินแสนใช้ ต้องถือว่า เป็นครอบครัว ที่ยากจนมาก ถ้าบ้านไหนมีเงินล้านใช้ ถือว่าเป็นบ้านที่พอมีพอกินพอใช้ พอหาได้เลี้ยงตัวรอด ที่มีเงินเหลือเป็นแสน ก็ถือว่าเลี้ยงตัวรอด เหมือนกัน ที่ได้มาอย่างนี้เพราะว่า เรามีกำไรจากสงคราม แต่เราไม่อยากให้เกิดสงคราม
    ทีนี้มาพูดอีกทีหนึ่งที่ ดามุส ท่านบอกว่า ศาสนาคริสต์จะสลายตัว แต่ศาสนาอิสลาม ท่านไม่ได้บอกว่า จะสลายตัวหรือเปล่า แต่ว่า ท่านพระพุทธเจ้าเคยตรัส บอกว่า ถ้าสงครามเกิดขึ้น หลังกึ่งพุทธกาลแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า ยักษ์นอกพระพุทธศาสนา จะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน จะตายไปฝ่ายละครึ่ง จึงจะเลิกรากัน
    ตอนนี้ ด้านศาสนาของเขา ก็จะก็จะมีการหย่อนตัวลงไป เพราะความทุกข์ความเศร้าโศกเสียใจ ความเสียหายเกิดขึ้นตาย ไปฝ่ายละครึ่ง ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ บรรดาท่านพุธบริษัท การเชื่อพระเจ้า จะน้อยลง หรือ อาจจะสลายตัว อย่างท่านดามุส บอกก็ได้
    ทีนี้มาพูดถึงพุทธศาสนาบ้าง ทางพุทธศาสนา ถ้าสงครามใหญ่เกิดขึ้นจริงๆ ทางพุทธศาสนาจะรุ่งเรืองขึ้น ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า พุทธศาสนาจะรุ่งเรืองได้ จะมีความอุดมสมบูรณ์ได้เพราะ คนเห็นทุกข์ ในเมื่อคนเห็นทุกข์ ก็ยอมรับนับถือ ศีลธรรมมากขึ้น เฉพาะอย่างยิ่ง นักบวชฝ่ายปฏิบัติ สำหรับฝ่ายปริยัติ นั่นก็อีกฝ่ายหนึ่งต่างหาก คือท่านเรียน แต่ท่านยังไม่ได้ทำ เรียนรู้ จะถือว่าไม่ดีไม่ได้ ท่านก็ดี ท่านมีความรู้ ความรู้ในด้านปริยัติ ก็จะเจริญขึ้น ความสามารถ ในด้านปฏิบัติ ก็จะเจริญขึ้น ในช่วงนั้น อาจจะมีพระ ที่ได้อภิญญา หรือว่า นักปฏิบัติ ที่เป็นฆราวาส ที่ได้อภิญญา เกิดขึ้น ถ้ามีนักอภิญญา เกิดขึ้นนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท อันตรายต่างๆ จะเกิดขึ้น ได้น้อยเต็มที เพราะ อาศัยอภิญญาช่วย และ นอกจากนั้น ความ เจริญรุ่งเรือง ทางด้านจิตใจของเราก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก เพราะ เราไม่เสียหายมาก เรามีความสุข ในเมื่อเขาเลิกรบกัน เขาก็ขาด เกือบทุกอย่าง โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง อาหารการบริโภด เขาก็ขาด เราก็ขาย เครื่องมือ เครื่องใช้ขาด โรงงานประ เทศไทยของเรานี้มีมาก เราก็ขาย
    รวมความว่า ทุกอย่างมันก็จะมีความก้าวหน้า จะมีความรํ่ารวย ดูตัวอย่างประเทศเยอรมัน กับประเทศญี่ปุ่น เมื่อหลังสงครามโลกถูกบังคับให้ไม่มีทหารพอ 2 ประเทศนี้ไม่มีทหารขึ้นมา ไม่ต้องเสียเงินค่างบประมาณทหาร เพราะว่างบประมาณ ทหารต้องเสียมาก เรื่อง อาวุธยุทโธปกรณ์ ต้องเตรียม เตรียมไว้บางทีไม่ได้ใช้ ล้าสมัย ต้องซื้อใหม่ ของเก่าเก็บไว้ หรือว่า ขายไป
    ทีนี้ในเมื่อไม่ต้องเตรียมการรบ ไม่ต้องเตรียมทหาร งบประมาณก็เหลือใช้ ประเทศก็มีความรํ่ารวย ประเทศไทยเราก็ฉันนั้น ในสมัยเมื่อเขารบกัน เราก็พยายาม ประวิงทุกอย่าง อย่าให้มีการรบ ถ้ามันมีความจำเป็นจริงๆ ก็จำกัดสถานที่รบ นั่นหมายความว่า สงครามใหญ่ ไม่มีใครเข้ามาในประเทศไทย พวกเขาตีกันทางโน้น เขาไม่ตีมาทางนี้ เขาอาจจะตีไปทาง ยุโรป ตีไปทางอเมริกา เขาไม่ตีมาถึงประเทศไทย แต่ว่า ประเทศไทย ก็ต้องมีส่วนร่วม ส่วนร่วมในความทุกข์ ที่จะเกิดสงคราม
    ที่นี้ในเมื่อเขาไม่ตีเข้ามาถึง เราก็มีความอุดมสมบูรณ์ แต่ทั้งนี้ ขอทิ้งท้ายไว้นิดว่า ตีเล็กมีนะ ตีใหญ่นะไม่มี มีแต่ตีเล็กก่อกวน สงครามก่อกวน จะมีเป็นของธรรมดา ทั้งนี้ก็ต้องเชื่อ ความสามารถของรัฐบาล และทหารตำรวจ เราสามารถจะควบคุม ความสงบสุขไว้ได้ เหตุต่างๆจะเกิดขึ้น จะไม่พ้นวิสัยของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ จะสามารถปราบปรามได้ ถ้าถามว่า เขาใช้รัศมี อาวุธเคมี ใช้รังสีต่างๆ ก็ขอตอบว่า เป็นเรื่องเล็กๆ พุทธศาสนา ป้องกันได้แน่ อันนี้ขอยืนยัน จะเป็น นิวตรอน นิวเคลียร์ นิวอะไรก็ตามเถอะ ขอยืนยันว่า พุทธศานา ป้องกันได้แน่ แต่ว่า ท่านทั้งหลาย ต้องไปหาจากพระที่เป็น นักปฏิบัติ ทางด้านจิตใจ ที่ท่านเข้าถึงฌานโลกีย์ทรงตัว ก็ทรงความเป็นอภิญญา
    ถ้าถามว่า เวลานี้จะหาที่ไหน ก็ต้องขอตอบว่า เวลานี้อย่าเพิ่งหา อาจจะมีอยู่ที่ไหนบ้างก็ได้แต่ไม่มีใครเขาบอกกัน ถ้าถึงเว ลานั้นจะปรากฏตนเอง ท่านจะแสดงออกมาให้เห็นถึงความปลอดภัยว่า ท่านสามารถป้องกันได้ ถ้าท่านองค์ไหนจะเป็นพระ ก็ดี จะเป็นฆราวาสก็ดี ไม่ได้หมายความว่า พระเสมอไป ฆราวาสที่มีความสามรถก็มีมาก ก็สามารถจะป้องกันได้สามารถ จะทำได้ ก็พึ่งท่านนั้น ท่านต้องให้เป็นที่พึ่งแน่นอน ทั้งนี้เพราะอะไร ถ้าหากว่า เราทั้งหลายตายกันหมด ท่านก็ตายเหมือน กัน ท่านอดตาย เพราะว่า ท่านอาศัยพวกเรากิน พวกเราหากินหาใช้เหลือ เราก็ให้ท่าน
    อย่างสมมติว่า ถ้าพระบิณฑบาต เราก็ถวายพระ ถ้าชาวบ้านอด ชาวบ้านตายหมด พระก็ตาย เพราะ ไม่มีใครจะให้ ข้อนี้ฉัน ใด เวลานั้นก็ตามท่านที่ทรงอภิญญา จะเป็นพระก็ตามจะเป็นฆราวาสก็ตาม ไม่มีใครปกปิดความสามารถ สามารถจะป้อง กันรังสีต่างๆ ได้ และป้องกันสรรพวุธได้ตามกำลัง แต่บุคคลที่ต้องตายไปบ้าง นั่นก็หมายถึงว่า บุคคลที่มีอายุ ถึงอายุขัย บุค คลที่มีอายุถึงอายุขัยนี่ เราป้องกันไม่ได้ มันมีความจำเป็น คนประเภทนี้ จะรบก็ตาย ไม่รบก็ตาย นอนเฉยๆ ก็ตาย กินข้าว อยู่ก็ตาย นอนหลับก็ตาย คุยกันก็ตาย เพราะถึงอายุขัย เวลานั้นมันต้องตาย
    ก็รวมความว่าประเทศไทยไม่ต้องหนักใจ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกคน ยอมรับนับถือความดีของพระพุทธเจ้าไว้ ความดีที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ก็มี 4 อย่าง เอาสักสอง 4 อย่างให้เป็นการใบ้หวยเลยนะ 4 ที่หนึ่ง ก็เอาอย่าง่ายๆ คือ สังคหวัตถุ 4 คือ
    1.ทาน การให้ ให้มีการสงเคราะห์ ซึ่งกันและกันเข้าไว้ สร้างความรักเข้าไว้ อย่าสร้างศัตรู การให้ท่านเป็นการทำลายล้างศัตรูไม่เกิดศัตรูขึ้นมา เพราะเราบุคคลผู้รับ ย่อมรักในบุคคลผู้ให้
    ประการที่ 2 ปิยวาจา พูดดี พูดให้คนที่รับฟัง มีความสุขจากคำพูดของท่าน เขาก็รักเราในเมื่อเขารักเรา เราก็มีความสุข
    ประการที่ 3 ช่วยเหลือการงาน ซึ่งกันและกัน ถ้าเขาเกินวิสัยเราช่วย เขาก็จะเกิดความรัก
    ประการที่ 4 เราไม่ถือตัวไม่ถือตน การไม่ถือตัวไม่ถือตน จัดเป็นปัจจัยให้เกิดความรัก
    อันนี้เป็นความดี ที่พระพุทธเจ้าให้ไว้เป็นอันดับแรก รักษากฏ 4 ประการนี้ได้ บรรดาท่านทั้งหลาย เราจะมีแต่คนรัก เราจะไม่มีคนเกลียด ทีนี้ถ้าจะถามว่า ในเมื่อเขาประกาศสงครามกัน เขาไม่รู้จักกัน เขายิงจรวดมา จะทำอย่างไร มันก็เป็นของไม่ยาก เขาจะยิงมาหรือไม่ยิงมา เราก็ภาวนาพุทโธไว้ จิตใจยอมรับนับถือ พระพุทธเจ้าโดยตรง สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าทำไว้ ท่านให้ไว้ เรานับถือด้วยความจริงใจ สิ่งนั้นท่านทั้งหลายจะป้องกันอันตรายท่านได้อย่างแน่นอนและประการต่อไปอีก 4 อย่างคือ พรหมวิหาร 4
    1. เมตตา ความรัก สร้างความรัก ทำจิตใจเกิดความรักทั้งคน และสัตว์โลก ถือว่าเราเป็นมิตรกัน
    ประการที่ 2 มีความสงสาร คอยเกื้อกูลกันไว้เสมอ อย่าเห็นแก่ตัว
    ประการที่ 3 ยินดีเมื่อบุคคลอื่นได้ดี ไม่อิจฉาริษยาใคร
    ประการที่ 4 เมื่อบุคคลนั้นถึงอายุขัย ต้องตาย เพราะอาวุธ ต้องตายตามกาลเวลา เราก็ วางเฉย
    ในเมื่อมีความดีอีก 4 ประการอย่างนี้แล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัททุกคนจะปลอดภัยอย่าลืม สังคหวัตถุ 4 เป็นความดีเล็ก น้อยความดีขั้นต้น พรหมวิหาร 4 เป็นความดีสูงสุด คือ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา มีจิตอ่อนโยนเห็น ใครได้ดี พลอยยินดีด้วย อุเบกขา วางเฉย เมื่อเหตุร้ายเกิดขึ้น ไม่สามรถจะยับยั้งได้ ก็ทำใจวางเฉย ไม่ดิ้นรน ยอมรับตามความเป็นจริง
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง เวลาเหลือประมาณ 5 นาที ก็คุยกันไปคุยกันมาย้อนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกสัก นิดหนึ่งว่า ทำไมถ้าสงครามใหญ่เกิดขึ้น คนไทยจะมีความมั่นคง ในพุทธศาสนามากขึ้น จะชี้ตัวอย่างให้เห็นสักอย่างหนึ่ง เพราะ สมัยนั้นผู้พูดอยู่ในกรุงเทพฯ คืนใดถ้ามีปกติเครื่องบิน ไม่มาทิ้งระเบิด เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนเช้า ไปบิณฑ บาต เวลานั้นคนหนีระเบิด มาบ้านนอกกันมาก มาต่างจังหวัดกันมาก คนใส่บาตรมีน้อย พอกินแค่เช้า เพลไม่พอกิน แต่ว่า บังเอิญคืนไหน ถ้ามีเครื่องบินมาโจมตีทิ้งระเบิดเวลาเช้าไปบิณฑบาต ปรากฏว่า มีคนใส่บาตรมากเป็นพิเศษ ไปไม่ทันถึง ครึ่งทางก็เต็มบาตร ยามปกติไปจนสุดทาง แล้วก็เดินทางกลับ ยังไม่ถึงครึ่งบาตร แต่คืนไหน มีเครื่องบินมาโจมตี รุ่งเช้า มีคนทำบุญกันมาก
    จะเห็นว่า คนที่มีความรู้สึกว่า ชีวิตของเราใกล้ความตาย ไม่มีความประมาท คือ เขาจะถือว่าเป็นการฉลองชีวิต ที่เกิดใหม่ จากการโจมตีของข้าศึก ข้าศึกทิ้งระเบิดก็ทิ้งยิงกราดด้วยปืนกลก็ยิง แต่เขาก็ปลอดภัยจึงทำบุญกันใหญ่ ข้อนี้ฉันใดบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายในเมื่อสงครามใหญ่มันเกิดขึ้น เป็นสงครามที่น่ากลัว อาวุธในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ถือว่าเป็น อาวุธดีแล้วนะ ล้าสมัยไปแล้ว เครื่องบินสมัยนั้น เป็นเครื่องบินที่ดีที่สุด เวลานี้เขาเลิกใช้แล้ว เครื่องบินสมัยใหม่ เขาดีกว่า สมัยนั้นมาก อาวุธที่ใช้ใหม่ ดีกว่าอาวุธสมัยนั้นมาก
    ทีนี้ถ้าสงครามเกิดขึ้นข่าวคราวก็ย่อมถึงกัน เวลานี้มีทั้งวิทยุ มีทั้งโทรทัศน์ ถ่ายทอดจากดาวเทียม เราสามารถจะเห็นภาพ ได้ ในเมื่อเห็นการสูญเสีย ความตายเกิดขึ้น ความทุกข์ก็เกิดขึ้น จิตใจก็เริ่มเป็นกุศล เวลานั้น บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ก็จะมีความมั่นคงในพุทธศาสนามากขึ้น เพราะ กลัวตาย สำหรับ อีกด้านหนึ่ง ท่านนักปฏิบัติ เจริญสมาธิจิต ก็จะเร่งรัด ตัวเองให้ทำสมาธิให้ดีขึ้น โดยหวังอย่างเดียวว่า ถ้าตายแล้ว ไม่ขอเกิดใหม่ อย่างเลวที่สุด ตายจากความเป็นคน ไปสวรรค์ ก็เอา หรือว่าดีกว่านั้น ไปพรหมก็ดี ถ้าดีกว่านั้น ไปนิพพานก็ดี ท่านจะเร่งรัดตัวเอง การเร่งรัดตัวเอง ประเภทนี้ กำลังใจจะมีสมาธิในที่สุด อภิญญาก็จะเกิด ในเมื่ออภิญญาเกิด ก็จะใช้ผล ของอภิญญา และญาณต่างๆ ที่ได้จากสมาธิ และวิปัสสนา ญาณ เอามาช่วยบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ให้มีความสุขปลอดภัย
    ในตอนนี้ก็ขอสรุปว่า ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าลืม องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ เตรียมตัวตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปว่าเรา จะบูชาพระทุกวัน นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนหลับ ตื่นใหม่ๆ นึกถึงพระพุทธเจ้าบูชาพระ บูชาพระอย่างอื่นไม่ได้ ก็ว่า นะโมตัส สะฯ 3 หน ด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าจริง แล้วว่า
    พุทธัง สาณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง
    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
    แค่นี้ก็หลับ และตื่นใหม่ๆทุกวัน บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ทุกท่านปลอดภัยและจะมีความรํ่ารวย
    คัดมาจากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ (ฉบับพิเศษ) โดย พระราชพรหมยาน
    วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ไฟบรรลัยกัลป์



    <CENTER><TABLE borderColor=#000080 cellPadding=2 width="98%" border=0 ,><TBODY><TR><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" vAlign=top width="12%" bgColor=#ffa87d>ผู้ถาม</TD><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" vAlign=top width="88%" bgColor=#ffa87d>"หลวงพ่อคะ ที่ว่ามีไฟบรรลัยกัลป์จะเกิดอย่างไรคะ....?" </TD></TR><TR><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" vAlign=top width="12%"></TD><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" vAlign=top width="88%">


    "ที่ว่าจะมีไฟบรรลัยกัลป์มา เพราะว่าคนมีจิตบาปมาก ศีล ๕ ทำไม่ค่อยจะครบ เช่นปาณาติบาตเป็นต้น อายุมันจะน้อยลงทุกที จนกระทั่งอายุถึง ๑๐ ปี เป็นอายุขัย ตอนนี้เกิดมิคสัญญี ไม่มีการเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน จะรบราฆ่าฟันกันมากพระอาทิตย์ท่านรำคาญเต็มที่ โผล่มาทีละ ๒ ดวง ๓ ดวง ๔ ดวง ตายหมด ทีนี้ถึง ๗ ดวง น้ำในมหาสมุทรก็แห้ง ต้นไม้แห้งกรอบจัด ผลที่สุดเป็นไฟลุก ไฟไม่ได้ไหม้มาจากไหน อาศัยน้ำแห้ง ต้นไม้แห้งกรอบเต็มที่ ความร้อนหนัก ก็เกิดไฟลุกขึ้นก็ล้างกันเสียทีหนึ่ง

    ความจริงเรื่องรู้เลยตาย หรือรู้ก่อนเกิดนี้ ฉันเองก็ไม่ใคร่อยากจะพุด และไม่อยากจะเชื่อถือนัก เพราะดูแล้วมันเลยธงไม่น้อยเลย แต่มาอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง คนเขียนเขียนเรื่องรู้เลยตายและรู้ก่อนเกิดไว้มากมาย เช่น รู้ว่าเมื่อสิ้นศาสนานี้แล้ว ไฟบรรลัยกัลป์จะไหม้ถึงภควพรหม ดูเรื่องมันมากมายนัก ฉันสงสัยไม่หายว่าไฟอะไรจะดันไปไหม้แต่เทวดาและพรหม ดูมันพิลึกพิลั่นมากมายเกินพอดี
    เมื่ออารมณ์สงสัยเกิดขึ้น ฉันก็อดที่จะอยากรู้ตามความเป็นจริงไม่ได้ ในที่สุดคืนวันหนึ่ง ฉันนั่งคุมกรรมฐานอยู่ความสงสัยเรื่องรู้เลยธงเกิดขึ้นมาขวางจิต จึงถามท่านผู้รู้ที่เป็นสัพพัญญวิสัย ท่านทรงพยากรณ์ให้ทราบดังนี้
    หลังจากกึ่งพุทธกาลไปแล้ว ๔,๐๐๐ ปี จะมีไฟล้างโลกล้างแต่โลกมนุษย์เท่านั้น ไม่ลุกลามไปถึงเทวดา
    ท่านบอกว่ามันเริ่มความเร่าร้อนตั้งแต่ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี แล้วจากนั้นไปพวกอธรรมเกิดมาก มีอำนาจวาสนามาก ทำให้ความสงบสุขไม่มี เพราะพวกอธรรม เป็นพวกเห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่ส่วนรวม
    โลกจะร้างไม่มีต้นหญ้ากอไม้ แม้แต่น้ำในมหาสมุทรก็ไม่มีไปครบ ๑,๐๐๐ ปี
    หลังจากนั้นแล้วจะมีฝนใหญ่ตกลงในมนุษยโลกแม่น้ำและมหาสมุทรจะเต็มไปด้วยน้ำ พื้นโลกจะชุ่มชื่น ต้นหญ้าต้นไม้ จะเริ่มงอกงามขึ้นเป็นลำดับ จนโลกทั้งโลกกลายเป็นป่าไม้
    หลังจากโลกที่เขียวชอุ่มไปด้วยต้นหญ้าใบไม้นั้นทิ้งระยะนาน ๑ หมื่นปี สัตว์โลกเริ่มเกิดสัตว์และคนที่มาเกิดยุคต้นนั้นไม่ได้อาศัยบิดามารดาเป็นแดนเกิด มาเกิดแบบโอปปาติกะ คือ มาเกิดด้วยอำนาจกรรม คือเป็นตัวตนขึ้น
    จะยังไม่มีพระอาทิตย์พระจันทร์ส่องแสง มีแสงสว่างเกิดจากอำนาจบุญของแต่ละบุคคล คือมีแสงสว่างออกจากตัวเองเป็นสำคัญ
    เรื่องอาหารนั้น ในระยะแรกยังไม่ต้องการอาหาร มีความอิ่มด้วยธรรมปีติ เพราะแต่ละคนที่มาเกิด ล้วนแล้วแต่มาจากเทวดาหรือพรหมทั้งนั้น ไม่มีสัตว์นรกหรือเปรตเจือปน โลกจึงเต็มไปด้วยความสุข หาความทุกข์ไม่ได้ นอกจากกฎธรรมดา คือความเสื่อมของสังขาร
    เรื่องการทะเลาะยื้อแย่งไม่มี คนทุกคนเป็นคนสวยหมด มีผิวขาวเหลือง เนื้อละเอียดทั้งหญิงและชาย มีแต่คนรวย ไม่มีใคนจน มีแต่คนใจบุญ ไม่มีใครใจบาป
    เมื่อโลกมีมนุษย์และสัตว์บริบูรณ์ มีดวงจันทร์ มีดวงอาทิตย์ ระยะเวลานับแต่มีสัตว์โลก เกิดในโลก เวลาล่วงมาได้ล้านปี
    คนสมัยนั้นมีอายุครองตนเองได้ ๔ หมื่นปี เป็นอายุขัย ท่านว่าตอนนั้น พระศรีอาริย์จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า
    เขตที่ท่านลงมาตรัส สมัยปัจจุบันเรียกว่า เขตเมืองพม่า
    พูดถึงไฟบรรลัยกัลป์แล้วน่ากลัวจริงๆ นะ แต่ถ้าคนชั่วมีมาก ก็ควรล้างกันเสียที" ​





    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>


    คัดลอกจากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษเล่ม ๒ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี <CENTER>ศาสนาพุทธ มีอายุครบ ๕,๐๐๐ ปี

    </CENTER>
    ผู้ถาม : "มีด็อกเตอร์คนหนึ่งนะคะพูดว่า ศาสนาพุทธนี่มีอายุไม่ถึง ๕,๐๐๐ ปี ตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ เพราะขณะนี้ทางเบื้องบนตกลงไว้ว่าจะมีการชำระล้างกันก่อน เพราะว่าเวลานี้คนบาปมากเพื่อว่าจะได้มีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ทีนี้ขอเรียนถามหลวงพ่อว่า จะทำอย่างไรจึงจะไม่ให้เป็นไปตามนั้นคะ....?"



    หลวงพ่อ : "ปัญหานี่ดี แต่ฉันว่าไม่มีหรอก พระพุทธศาสนาต้องทรงอยู่ได้ถึง ๕,๐๐๐ ปีแน่นอน ฉันขอยืนยัน ถ้าใครไม่เชื่อจงอย่าตายนะ รอไปถึงเวลานั้น นี่เขาคงเดาเอาน่ะ พระพุทธดำรัสมีอยู่คือว่า


    <MENU>พันปีแรก จะมากไปด้วย ปฏิสัมภิทาญาณ
    พันปีที่ ๒ จะมากไปด้วย ฉฬภิญโญ
    พันปีที่ ๓ คือระหว่างนี้จะมากไปด้วย เตวิชโช
    พันปีที่ ๔ จะมากไปด้วยสุกขวิปัสสโก และ
    พันปีที่ ๕ จะมากไปด้วยอนาคามี

    </MENU>คำว่ามาก หมายความว่า พวกนี้จะมากกว่าส่วนอื่นที่มีอยู่แต่เวลานี้พวกปฏิสัมภิทาญาณก็มี อภิญญาหกก็มี แต่พวกวิชชาสามมีมากกว่า อย่างพันปีที่ ๔ พวกสุกขวิปัสสโกมาก แต่ว่าปฏิสัมภิทาญาณก็ดี อภิญญาหกก็ดี วิชชาสามก็ดี เขาก็ยังมีอยู่ อย่างพันปีที่ ๕ พระอนาคามีมีมาก แต่ว่าพระอรหันต์ทั้ง ๔ พวกนี้ยังมีอยู่ พระพุทธเจ้าไม่วางพื้นฐานส่งเดช และที่เขาว่าพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาใครล่ะมา พระศรีอาริยเมตตรัย ท่านก็ไม่มา ไม่เชื่อไปถามท่านซิ"



    โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน อ่านแล้วพิจารณาด้วยครับ<!-- / message --><!-- edit note -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2008
  15. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    หากอยากจะเป็น ผู้นำ คนส่วนใหญ่ ในสมัยปัจจุบัน

    ต้องเป็นตัวอย่าง แห่ง ความอยาก ของผู้คน
    สนองผู้คน ด้วย ความอยาก
    อยากได้ อยากมี อยากเป็น
    ต้องเป็น ผู้นำพา แห่งตัณหา
    ต้องเป็น ผู้นำพา แห่งทุนนิยม
    ต้องเป็น ผู้นำพา แห่งความละโมบ
    ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;)
    ทำไม???ไม่แสร้งทำว่า เป็นคนดี มีคุณธรรม เพื่อชี้นำสังคม หนอ
     
  16. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ทุกอย่างก่อไว้หมดแล้ว
     
  17. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว ****

    เมื่อ...โลกุตตระธรรม ปรากฏ
    ใครทำอะไรไว้...
    ก็จะเริ่มปรากฏชัดขึ้นมา !!!!

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  18. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** ดินฟ้าอากาศ ****

    คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    คือ ปรางค์หนึ่งของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    เป็น พี่เลี้ยงให้กับ โลกุตตระ
    เป็น สักขีพยานให้กับ พระพุทธเจ้า และผู้ทำได้

    สายฟ้า พายุ คือ คำเตือน
    ให้มนุษย์เรารีบค้นหาเครื่องป้องกัน ก่อนที่กรรมจะมาถึง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  19. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** เครื่องปกป้องสรรพภัยทั้งปวงกึ่งพุทธกาล ****

    ข้าพระพุทธเจ้า...
    มี ตัวกระทำจากสัจจะ....นำพาชีวิตให้พ้นทุกข์
    เพราะ ข้าพระพุทธเจ้าเชื่อใน...ธรรมของโลกุตตระ
    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  20. junior phumivat

    junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,346
    ค่าพลัง:
    +1,688
    พระเดชพระคุณหลวงพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโรมหาเถร) [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...