ประวัติ-ธรรมะ ลป.แหวน สุจิณโณ

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 ตุลาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ๑๑๙. ข้อสังเกตุเกี่ยวกับพระไทยใหญ่แม่ฮ่องสอน

    หลวงปุ่แหวน ท่านพูดถึงพระไทยใหญ่ที่แม่ฮ่องสอนที่ท่านพบเห็นในสมัยนั้น ว่า :-

    อีกเรื่องหนึ่ง พระไทยใหญ่ในแม่ฮ่องสอน สมัยนั้น เมื่อถึงวันอุโบสถ เขาไม่ทำอุโบสถ สวดปาฎิโมกเหมือนพระไทยทั่วไป แต่เขาจะประชุมกันในอุโบสถ แล้วต่างก็บอกปาริสุทธิเท่านั้น

    มีข้อแปลกอยู่อีกอย่าง คือ เวลาสนทนาธรรมกัน มักพูดธรรมะชั้นโลกุตรจิตร โลกุตรมรรค โลกุตรผล เช่นเดียวกับพระพม่า

    ธรรมะเหล่านี้ต่างก็จำเอามาจาก " แผนที่" นั่นเอง

    เวลาสนทนาธรรม มักเกิดการถกเถียงกันจนหน้าดำหน้าแดง เพราะความเห็นในข้อธรรม ไม่เหมือนกัน

    หลวงปู่ไห้อรรถธิบายว่า :-

    ปัญญาที่เกิดจากการจำแผนที่ กับปัญญาที่เกิดจากการเรียนตามภูมิประเทศนั้นไม่เหมือนกัน

    ปัญญาที่ได้จากการเรียนตามแผนที่ คือ การศึกษาเล่าเรียนจากตำรับตำราอย่างเดียว ความจำ ความเข้าใจ การตีความอาจไม่ตรงต่อความเป็นจริงของธรรมะ

    ส่วนปัญญาที่เกิดจากการเรียนตามภูิมิประทศ คือจากการปฎิบัตภาวนานั้น เมื่อทุกคนทำให้ เกิด ให้มีขึ้นในจิตใจของตนแล้ว ต่างก็หมดความสงสัยในธรรมะนั้นๆ ไม่มีข้อโต้แย้ง ไม่มีการ ถกเถียงกันอีกต่อไป

    หลวงปุ่ ให้คำอธิบายต่อไปอีกว่า :-

    การที่จะปฎิบัติให้ถึงโลกุตรธรรมนั้นไม่ใช่ของง่าย ไม่เหมือนจำเอาตามแบบจากตำรา แล้วเอามาพูดคุยกันอวดกัน

    ศีล สมาธิ ปัญญา นั้น ต้องปฎิบัติทางด้านจิตใจ ให้เป็นผู้รู้เองเห็นเอง ด้้วยตนของตนเอง เริ่มแต่มีอินทรีย์สังวร ขึ้นไป

    เพราะบรรดากิเลสน้อยใหญ่ เกิดทางอินทรีย์ เรานี้ คือทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    ความชั่วก็ดี ความดีก็ดี เกิดจากทวารเหล่านี้

    เมื่อความชั่วเกิด ต้องมีสติรู้เท่าทัน และปัองกันไม่ให้เกิด ละออกจากจิตใจของเรานี้ เอาจิต เอาใจของเรานี้ละ เอาจิตใจของเรานี้ปล่อย เอาจิตเอาใจของเรานี้วาง จากความชั่วทั้งสิ้น

    เมื่อปล่อยวางได้ ความชั่วทั้งที่เป็นส่วนหยาบ ที่เกิดจากกายและวาจา ทั้งที่เป็นส่วนละเอียดที เกิดจากใจ ก็ไม่มี

    ส่วนที่มันละเอียด เป็นอนุสัย นอนเนื่องอยู่นั่นแหละสำคัญละ มันปล่อยวางมันไม่ได้ง่ายๆ มันมักไม่แสดงตัว มันเก็บตัวของมัน ในส่วนลึกของจิตใจ

    ถ้าปฎิบัติตนให้เป็นผุ้มีศีล มีสมาธิ เป็นมรรคเครื่องดำเนินไปสู่ ปัญญา ทำศีล ทำสมาธิ ทำ ปัญญา ของตนให้เป็นเอกมรรค เครื่องดำเนินเป็นอันเดียวกันนั่นแหละ จึงจะสามารถมองเห็น ส่วนละเอียดที่เป็นอนุสัยของกิเลสได้

    เมื่อศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเอกมรรคแล้วเช่นนี้ จิตที่เป็นส่วนละเอียดที่ทรงตัวอยู่ จะเรียกว่า จิตมีอิทธิบาท หรือมีโพชฌงค์ หรือมีพละ หรือจิตมีมรรค ก็เรียกได้ทั้งนั้น เพราะธรรมเหล่านี้ เกิดขึ้นมาส่งเสริมซึ่งกันและกัน ในขณะที่จิตที่เป็นไปกับธรรม

    เมื่อจิตตกสู่กระแสแห่งธรรมแล้ว โลกุตรธรรม อันเป็นส่วนมรรคก็ดี อันเป็นส่วนผลก็ดี ต้องปฎิบัติจิตใจของตนให้เกิด ให้เข้าถึงธรรมเสียก่อน จึงจะพูดได้ด้วยความอาจหาญ แน่ใจ อธิบายก็อธิบายด้วยความอาจหาญแน่ใจ
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ๑๒๐. โยมบิดามาขอลา

    หลวงปุ่แหวนเล่าว่า ในปีที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่แม่ฮ่องสอนนั้น วันหนึ่ง ขณะที่กำลังทำความ เพียรอยู่นั้น นิมิตไปว่า ได้เห็นโยมบิดา สวมเืสื้อผ้าใหม่ทั้งชุด เ้ข้ามาหาท่าน

    หลวงปู่ จึงถอยจิตออกมาพิจารณาดูว่า จะมีอะไรเกิดขึ้น ก็เกิดความรุู้ว่า ถ้าเห็นคนใส่เสื้อผ้า ใหม่ ก็็หมายความว่า เขาน่าจะตาย และโยมบิดาของท่านก็น่าจะสิ้นอายุขัย แล้วมาให้หลวงปู่เห็น ในนิมิต เพื่อเป็นการบอกลา

    หลวงปู่ได้สำรวมจิต ตั้งสัจจาธิษฐาน รวบรวมบุญกุศลที่ท่านบำเพ็ยมาทั้งหมด อุทิศตรงให้ กับโยมบิดา

    ทันใดนั้น ปรากฎมีแสงพุ่งตรงมาทางที่ท่านนั่งอยู่ แล้วลอยมาอยู่เสมอยอดไม้ แล้วลอยต่ำ ลงมาที่พื้นเบื้องหน้าของท่าน กลายเป็นภาีพของโยมบิดา นั่งประณมืออยู่ พร้อมกับกล่าวว่า " โยมพ่อ จะมาลา "

    หลวงปู่กำหนดจิตถามไปว่า " โยมพ่อตายแล้วหรือ" แล้วโยมพ่อจะไปไหน"

    ภาพโยมพ่อชี้ืมือไปทางประเทศพม่า

    เมื่อหลวงปู่ แน่ใจว่าโยมบิดาของท่านสิ้นแล้ว ท่านก็กำหนดจิต อุทิศบุญกุศลให้อีกครั้งหนึ่ง ภาพนั้นก็หายไป

    อยู่ต่อมาอีกวันหนึ่ง เมื่อหลวงปู่เข้าที่ภาวนาแล้ว ท่านได้อธิษฐานส่งจิตไปถึงโยมมารดา ก็ ปรากฎเป็นภาพโยมมารดามาในนิมิตและกล่าวว่า " ลูกไม่ต้องห่วงแม่หรอก แม่อยู่สุขสบายดี"

    โยมมารดาชี้ที่ให้ดูที่อยู่ ปรากฎว่าเป็นที่อยู่อันน่ารื่นรมย์

    ตั้งแต่นั้นมา หลวงปู่ไม่เคยคิดเป็นห่วงโยมทั้งสองเลย เพราะท่านทั้งสองมีคติที่เป็นสุขแล้ว
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ๑๒๑. ไปเฝ้าพยาบาลพระอุบาลีๆ

    ในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ขณะที่หลวงปุ่แหวน จาริกภาวนาอยุ่ในป่าเขตจังหวัดเชียงใหม่ ได้ข่าวการอาพาธของท่านเจ้าคุณ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์( จันทร์ สิริจนฺโท) ที่วัดบรมนิวาส กรุงเทพๆ

    จากการบอกเล่าของครูบาอาจารย์ บอกว่า ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีๆ ท่านประสพอุบัติเหตุ เมื่อขึ้นธรรมมาสน์เทศน์ ขาของท่านไปขัดกับพนักของธรรมมาสน์ กระดูกขาของท่านเลยหัก แต่ท่านไม่แสดงอาการเจ็บปววดให้เห็น ยังคงแสดงธรรมไปตามปกติจนจบ แล้วท่านก็ลุกขึ้นไม่ ได้ ทุกคนจึงรู้ว่าท่านขาหัก แต่สามารถข่มเวทนาโดยไม่แสดงอาการเจ็บปวดให้ใครรู้เลย

    เมื่อหลวงปุ่แหวนทราบเรื่อง ในฐานะที่เป็นศิษย์ ท่านจึงประสงค์จะเดินทางลงมากรุงเทพๆ เืพื่อเยี่ยมอาการ และถวายการอุปัฎฐากรับใช้

    ตามบันทึกในประวัติหลวงปู่แหวน บอกว่า ช่วงนั้น หลวงปุ่มั่น อยู่ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ จึงลงมา กราบเรียนให้หลวงปุ่มั่นทราบเรื่อง แล้ว ท่านก็เดินทางเข้ากรุงเทพๆ ต่อไป


    ๑๒๒. กรรมฐานแมวกรรมฐานอึ่ง

    หลวงปุ่แหวนได้พักอยู่ในกรุงเทพๆ เพื่อพยาบาลท่านเ้จ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมจารย์ นาน ๑ เดือน เห็นอาการท่านดีขึ้นมากแล้ว จึงกราบลาพระอาจารย์กลับเชียงใหม่


    หลวงปู่แหวน พบว่าการอยุ่ในกรุงเทพๆ ไม่สะดวก สำหรับท่านด้วยมีเหตุขัดข้องในเรื่อง อาหารการบิณฑบาต เนื่องจากหลวงปู่ เป็นพระค่างถิ่น บิณฑบาตได้ไม่พอฉัน เพราะญาติโยม ส่วนมากจะตักบารตเฉพาะพระที่เป็นเจ้าประจำ พระจรจึงประสบปัญหามาก

    หลวงปุ่บอกว่า กระกรรมฐาน อย่างท่าน พอมาอยู่กรุงเทพๆ ต้องกลายเป็นกรรมฐานแมวบ้าง เป็นกรรมฐานอึ่งบ้าง

    คือวันไหนได้อาหารน้อยไม่พอฉัน ก็เป็นกรรมฐานแมว คือค่อยๆเลีย ค่อยๆดม กลัวอาหาร จะเปื้อนริมฝีปาก เหมือนกับแมว

    ถ้าวันไหนบิณฑบาตไม่ได้อาหารก็ต้องอด กลายเป็นกรรมฐานอั่งไป

    หลวงปู่เล่าแบบติตตลกว่า " ที่กล่้าวนี้เป็นคำอุปมาเปรียบเทียบไม่ได้หมายความว่า แมวหรือ อึ่งอ่างปฎิบัติกรรมฐาน เพราะสัตว์ทั้งหลายเว้นจากมนุษย์แล้ว เป็นอันไม่มีโอกาสได้ปฎิบัติธรรม เพราะวิบากของสัตว์เหล่านั้นไม่อำนวย ให้ปฎิบัติธรรมกรรมฐานได้

    หลวงปุ่บอกว่า ตามปกติพระกรรมฐาน ท่านไม่ถือเรื่องการอดอาหาร ว่าเป็นอุปสรรคสำคัญ นัก ท่านบอกว่า :-


    นักปฎิบัติกรรมฐาน เมื่อถึงคราวจำเป็น ต้องฝึกทรมานตน จำต้องอด ต้องงดอาหารเสียบ้าง เป็นบางครั้งบางคราว เพื่อกำราบปราบปราม นิวรณ์ธรรม ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแ่ก่จิตที่คอยเสาะแสวง หาอารมณ์ มาใส่ตน มาทับถมตน ทำให้เกิดความหนักหน่วงถ่วงจิต มืดมิดปิดปัญญา จนไม่เห็น อรรถเห็นธรรม

    ผู้ปฎิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรม จำต้องเป็นกรรมฐานแมว กรรมฐานอึ่ง อย่างนี้ในบางกาล บางสมัย ไม่ใช่แมว ไม่ใช่อึ่งมาปฎิบัติกรรมฐาน อย่างที่เข้าใจ

    ในภพสาม กำเกิดสี่ นี้ จะมีการปฎิบัติธรรมกรรมฐาน ไ้ด้เฉพาะมนุษย์เท่านั้น นอกจากมนุษย์ แล้ว นอกนั้นเป็นหมดโอกาส เพราะวิบากกรรมของตน
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ๑๒๓. ร่วมกับหลวงปู่ขาวไปกราบหลวงปู่มั่น

    หลังจากหลวงปู่แหวน ลงไปพยาบาลท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ที่วัดบรมนิวาส วรวิหาร กรุงเทพๆ ในครั้งนั้น พอใกล้จะเข้าพรรษา จึงได้กราบลา ท่่านเจ้าคุณๆ กลับเชียงใหม่ เพื่อหาที่พักจำพรรษา

    เมื่อหลวงปู่เดินทางมาถึงถ้ำแก่งหลวง (ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า หมายถึงถ้ำแก่งหลวง ตรงรอยต่อ ของจังหวัดลำปางกับแพร่ ที่หลวงปู่แว่น ธนปาโล เคยไปพักบำเพ็ญเพียร หรือเปล่า จะขอตรวจสอบต่อไปอีก) ก็ได้พบ หลวงปู่ขาว อนาลโย ศิษย์อาวุโสอีกองค์หนึ่งของหลวงปู่มั่น

    หลวงปู่แหวน กับหลวงปุ่ขาว จึงได้ร่วมเดินทางไปกราบหลวงปู่มั่น ที่ป่าเมี่ยงห้วยทราย อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่

    ที่ป่าเมี่ยงห้วยทราย นี้เอง พระอาจารย์ใหญ่ คือหลวงปุ่มั่น ได้เมตตาแสดงธรรมสั่งสอน ย้ำ อุบายแนวปฎิบัติแก่ลูกศิษย์ทุกวัน

    หลวงปุ่แหวน บอกว่า " การแสดงธรรมของพระอาจารย์แต่ละครั้ง ใช้เวลาไม่นาน แต่ธรรม ที่ท่่านแสดงออกนั้น เป็นธรรมปฎิบัติล้วนๆ ละเอียดไปตามขั้นตอนของสารธรรม ทำให้ผู้ได้ฟัง หายสงสัยในข้อปฎิบัติของตนๆ ที่กำลังดำเนินอยู่

    ทำให้เกิดความมุ่งมั่น มานะพยายาม ประกอบความเพียรกันอย่างเต็มความสาารถ

    การได้ฟังธรรมจากครูอาจารย์แต่ละครั้ง เหมือนกับได้เพิ่มกำลังธรรมะเข้าไปอีก

    ดังนั้น ในด้านภาวนา ต่างองค์ต่างก็เร่งความเพียรกันอย่างไม่ท้อถอย เต็มความสามารถของ ตน อย่างไม่ขาดวรรคตอน ทั้งกลางวันและกลางคืน เว้นเฉพาะเวลาหลับเท่านั้น

    บันทึกช่วงนี้ กล่าวต่อไปว่า :-

    ด้วยเหตุนี้ สติสัมปชัญญะ จึงมีกำลังอยู่เสมอ

    เป็นการประกอบชาคริยานุโยค( ความเพียร) โดยแท้

    การอยู่ร่วมกับพระอาจารย์ใหญ่ ในคราวนั้น จึงเป็นสัปปายะ หลายอย่าง คือ :-

    บุคคลสัปปายะ เพราะสหธรรมิกล้วนแต่เป็นผู้ปฎิบัติธรรมด้วยกัน

    สถานที่สัปปายะ เพราะเป็นป่าเขาลำเนาไพร บรรยากาศสงบ วิเวกวังเวง อากาศเย็น ชาวบ้าน ก็ไม่มารบกวน

    อาหารสัปปายะ เพราะมีพอฉันเพื่อยังอัตภาพให้เป็นไปได้ ไม่บริบูรณ์ แต่ไม่ถึงขั้นขาดแคลน

    ธรรมสัปปายะ เพราะพระอาจารย์ผู้แสดงธรรมท่านก็ย้ำลงในธรรมปฎิบัติ ในสารธรรมอัน เป็นวิมุตติธรรม วิโมกขธรรม ชี้จุดอันควรละและบอกจุดอันควรเจริญ ยิ่งใกล้วันเข้าพรรษา ท่าน ได้แสดงทางปฎิบัติย้ำลงเป็นจุดๆ เป็นขั้นตอนตามการเจริญมรรคปัญญา โดยเฉพาะ
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ๑๒๔. ไปหาที่พักจำพรรษากับหลวงปุ่ขาว

    พอใกล้จะเข้าพรรษา พระอาจารย์ใหญ่ คือหลวงปุ่มั่น ภูริทตฺโต บอกให้ลูกศิษย์ลูกหา แยกย้ายกันไปหาที่จำพรรษากันเอง จะมาจำพรรษษรวมอยู่ด้วยกันที่ ป่าเมี่ยงห้วยทราย ทั้งหมด ไม่ได้ เพราะจะเป็นภาระหนักแก่ชาวบ้านเขา

    ในสมัยนั้น ป่าเมี่ยงห้วยทราบ มีบ้านอยู่ ๕-๖ หลังคาเรือน ชาวบ้านอาศัยการทำสวนเมี่ยง และหาของป่ามาขายเป็นหลักในการทำมาหาเลี้ยงชีพ การเข้าออกหมู่บ้านแต่ละครั้ง ก็ลำบาก เพราะทางเป็นห้วย เป็นป่าเขา ลำบากทั้งคนทั้งสัตว์ ที่ใช้ในการต่างของ(ลำเลียบนของ)

    เมื่อพระอาจารย์ใหญ่ บอกเช่นนั้น หลวงปุ่แหวน กับหลวงปุ่ขาว ได้ปรึกษากันว่าจะไปจำ พรรษาที่ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง เพราะสถานที่นั้น เหมาะสมในการบำเพ็ญภาวนา เนื่องจากภูิมิประเทศเป็น ป่าเขา มีหมุ่บ้านพออาศัยโคนรบิณฑบาตได้ บรรยากาศเงียบสงบเยือกเย็น ไกลจากเสียงและผู้คน ไปรบกวน

    การไปมาก็ไม่ลำบากนัก ถ้าจะมาหาอาจารย์ใหญ่่ตอนออกพรรษาแล้ว ก็เดินทางลัดเลาะ ตามป่าเขามา ใช้เวลาประมาณ ๔-๕ ชั่วโมง เ่ท่านั้น ก็จะมาถึงที่อยู่ของพระอาจารย์ใหญ่ได้

    เมื่อหลวงปู่แหวน กับหลวงปู่ขาว ปรึกษากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงจัดบริขาร เข้าไปกราบ ลาพระอาจารย์ใหญ่ แล้วออกเดินทางผ่านมาทางแม่ปั๋ง ไปทุ่งบวกข้าว เดินเข้าป่าลัดไปตามทาง ที่ไปยังป่าเมี่่ยงขุนปั๋ง ทางบางแห่งต้องข้ามห้วยหลายสาย บางแห่งก็ขึ้นเขาไป กว่าจะถึง ป่าเมี่่ยงขุนปั๋ง ก็ใช้เวลาเดินทาง ๔-๕ ชั่วโมง
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ๑๒๕. จำพรรษาที่ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง

    เมื่อหลวงปู่แหวน กับ หลวงปุ่ขาว ไปถึงป่าเมี่ยงขุนปั๋ง สถานที่ที่กำหนดจะจำพรรษาแล้ว ต่างองค์ต่างก็เลือกหาที่อยุ่ตามความพอใจ แล้วพวกเชาวบ้านก็ช่วยกันปลูกสร้างกุฎิที่พักเป็นการ ชั่วคราวให้ พออาศัยกันแดดกันฝนได้


    อากาศบริเวณนั้นมีความชื้นสูง เพราะพื้นที่อยู่ในซอกเขามีภูเขาล้อมรอบทุกด้าน เหมือนอยู่ ในก้นกระทะ เวลาฝนตก น้ำจะไหลมาจากภูเขาทุกทิศทาง สบง จีวร และบริขารต่างๆ เวลาเปียก มักแห้งช้า เนื่องจากแสงแดด ส่องเข้าไม่ถึง ป่าไม้โดยรอบเ็ป็นป่าดงดิบ มีไม้ใหญ่น้อย นานาพรรณ และมีสัตว์ป่านานาชนิด ส่งเสียงร้องไม่ขาดระยะทั้งกลางวันกลางคืน เป็นการเตือน สติของผู้บำเพ็ญธรรมให้ตื่นตัวอยู่เสมอ

    ในช่วงพรรษานั้น หลวงปู่ทั้งสององค์ต่างก็ตั้งใจเร่งความเพียรกันอย่างเต็มที่ โดยไม่ยอมปล่อย เวลาให้เปล่าประโยชน์ ความก้าวหน้าทางด้านจิตภาวนาก็เป็นไปโดยราบรื่น การพิจารณาธรรม ได้อุบายแปลกๆดี มีความละเอียดสุขุมไปตามขั้นตอนของสมาธิและปัญญาที่ขุดค้นขึ้นมา ถ้ามีการ ขัดข้องบ้างทั้งสององค์ ต่างก็ช่วยกันแก้ไข ให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

    หลวงปู่แหวน ท่านว่า " ถึงอย่างนั้นก็ตาม บรรดาสรรพกิเลสทั้งหลาย ที่มันนอนอยู่ในขันธ สันดานมานาน ในสังสารวัฎมีความเป็นเอนกนั้น เมื่อมันเห็นว่าเราเอาจริงเอาจังต่อมัน มันก็เอา จริงกับเราเช่นเดียวกัน

    เนื่องจากสภาพของจิตใจของคนเรานั้น เคยถูกอาสวกิเลสครอบครองอยุ่นานหลายภพ หลายชาติ เมื่อมาถูกความเพียรเร่งเร้าเข้า จึงดูเหมือนจะก้าวหน้าไปด้วยดั แต่ถ้าความเพียรลด หย่อนอ่อนกำลังลงเมื่อใด เมื่อนั้นจิตใจเป็นโอนอ่อนผ่อนเข้าหากิเลส กิเลสาสวะทันที ตามวิสัยของ จิตที่มีหน้าที่รับอารมณ์ ซึ่้งยังขาดสติปัญญา เป็นเพื่อนสอง "

    หลวงปุ่แหวน เล่าต่อไปว่า " การที่จะผูกให้มันอยู่ในปัจจุบันด้วยการภาวนานั้นแสนยาก ถ้าเรารุกหน้าด้วยความเพียร มันก็ทำเป็นอ่อนกำลัง ถอยเข้าไปสู่ภายในเป็นที่กำบังยึดเป็นฐาน สงบนิ่งอยู่ ดูเหมือนไม่มีอะไรจะเป็นอันตราย เหมือนท้องทะเลอันราบเรียบ ในเวลาปราศจากลม และคลื่นฉะนั้น

    จึงกล่้าวได้ว่า ต้องมีชั้นเชิงในการรุก การรับ การถอยตามกระบวนศึกของศัตรูผู้เชี่ยวชาญ ในเชิงการรบ"
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ๑๒๖. อย่าทิ่มแทงกันด้วยหอกด้วยดาบ

    เมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงปู่มั่น พระอาจารย์ใหญ่ พร้อมด้วยพระอาจารย์ พร สุมโน ได้ตาม มาสมทบ หลวงปู่แหวน หลวงปุ่ขาว ที่ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง ที่หลวงปู่ทั้งสององค์พักจำพรรษาอยู่

    ต่อมา หลวงปุ่เทสก์ เทสรํสี กับพระอาจารย์อ่อนสี สุเมโธ ก็ตามขึ้นไปสมทบอีก

    เมื่อเห็นว่า มีพระไปอยู่ด้วยกันหลายรูป เกรงว่าจะเป็นภาระหนักแก่ชาวบ้าน หลวงปู่มั่น จึงให้หาทางแยกย้ายกันออกไปวิเวกบริเวณที่ไม่ไกลกันนัก

    จะมารวมกันเฉพาะวันอุโบสถ เพื่อฟังสวดปาฎิโมกข์แล้วรับการอบรมจากพระอาจารย์ใหญ่ เสร้จแล้วก็แยกย้ายกันกลับไปที่อยู่ของแต่ละองค์

    เมื่อจะใกล้จะเข้าพรรษาต่อไป หลวงปุ่แหวน กับ หลวงปู่ขาว ได้กราบเรียน พระอาจารย์ใหญ่ ขอกลับออกมาจำพรรษาที่ดอยน้ำมัว หรือดอยนะโม หรือ ฮ่องนะโม (ชื่อสถานที่เดียวกัน) และเมื่อ พระอาจารย์พร สุมโน ทราบเรื่องก็ขอตามไปจำพรรษาด้วย รวมเป็น ๓ องค์

    เมื่อเข้าไปกราบลา หลวงปุ่มั่น ได้พูดเพือนสติศิษย์ทั้งสามว่า" เออ ไปแล้วอย่าไปทิ่มแทงกัน ด้วยหอกด้วยดาบนะ"

    หลวงปู่ทั้งสามไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำเตือนนั้น และได้กราบลาเดินทางมา ดอยน้ำมัว บ้านทุ่งบวกข้าว ซึ่งเ็ป็นเทือกเขาเดียวกันกับ ดอยแม่ปั๋ง อยู่ไม่ห่างกันนัก อยู่ทางตะวัน ออก ไปมาหากันได้สบาย ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๒๐ นาฑี เท่านั้น

    ส่วน พระอาจารย์ใหญ่มั่น กับลูกศิษย์องค์อื่นๆ คงอยู่จำพรรษาที่ป่าเมี่่ยงขุนปั๋ง นั้น โดยมี พระอาจารย์ใหญ่พักอยู่ใกล้ถ้ำฤาษี ซึ่งชาวบ้านได้สร้างกุฎิชั่วคราวถวาย
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ๑๒๗. เกิดเหตุขัดเคืองใจกัน

    การอยู่ำจำพรรษาที่ดอยนะโม(น้ำมัว) ของหลวงปุ่แหวน หลวงปุ่ขาว และหลวงปู่พร สุมโน เป็นไปด้วยความเรียบร้อย การภาวนาไม่มีอุปสรรค จิตก้าวหน้าดี เกิดอุบายธรรมแปลกๆ หลาย อย่าง


    มีเหตุการณ์อยู่วันหนึ่ง ขณะที่หลวงปุ่แหวน กำลังเดินจงกรมอยู่ หลวงปุ่ขาว เดินถือไม้กวาด ตรงเข้าไปหา เมื่อถึงทางเดินจงกรม หลวงปุ่ขาว ก็ลงมือกวาดเรื่อยไปตามทางจงกรม กวาดไปจนถึงที่หลวงปุ่แหวนเดินอยู่ ก็ยังกวาดไปกวาดมา อยู่ทีเท้าของหลวงปู่แหวน นั่นเอง เสร็จแล้ว หลวงปู่ขาว ก็เดินออกไปโดยไม่พูดไม่จา

    ครั้งแรก หลวงปุ่แหวน นึกขัดเคืองใจอยู่เหมือนกัน ที่ถูกรบกวน ท่านได้คิดทบทวนดูว่่า หลวงปุ่ขาว ทำเช่นนั้นเพราะเหตุใด จึงนึกได้ว่า เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ขณะที่หลวงปุ่ขาว นั่งสมาธิอยุ่ ท่านใช้ไม่กวาด กวาดบริเวณ คงส่งเสียงดังรบกวนการนั่งสมาธิของหลวงปู่ขาว ด้วยเหตุนี้ หลวงปู่ขาว จึงได้มาเตือน ความขัดเคืองใจก็หายไป ทำให้ท่านระมัดระวังยิ่งขึ้น

    เหตุการณ์ครั้งที่สอง เมื่อออกพรรษาแล้ว มีโยมนำผ้ามาถวายเพื่อให้ตัดเย็บเป็นจีวร เมื่อลงมือ เท่้่านั้น หลวงปุ่ทั้งสามองค์ เกิดความเห็นไม่ตรงกัน องค์หนึ่งเห็นว่าควรตัดขนาดเท่านั้น อีกองค์ว่าเท่านี้ จึงจะพอดี ก็เกิดการโต้แย้งกันขึ้น กลายเป็นการโต้เถียง เพื่อเอาแพ้ชนะกัน แม้ไม่มีเหตุรุนแรง แต่ก็หงุดหงิดใจต่อกันพอสมควร
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ๑๒๘. โดนหลวงปุ่มั่นเทศน์อย่างหนัก

    หลังออกพรรษานั้นเอง แคว่น(กำนัน) มี ขึ้นมาหาที่ดอยนะโม กราบเรียนว่าเขาจะไป ทำธุระที่บ้าน ป่าเมี่ยงขุนปั๋งหลวงปุ่แหวน กับหลวงปุ่ขาว จึงบอกว่า ขากลับให้นิมนต์และรับ " ครูบาใหญ่ของเรา" ลงมาด้วย


    เมื่อแคว่่นมี ขึ้นไปนิมนต์ พระอาจารย์ใหญ่ ท่านไม่ขัดข้อง ท่านเก็บบริขารเสร็จ แคว่นมี ก็สะพายบาตรรับท่านเดินทางมาพร้อมกัน

    เมื่อพระอาจารย์ใหญ่ มาถึงดอยนะโมแล้ว ลูกศิษย์ต่างเข้าไปกราบนมัสการ ตอนนั้นยังไม่มี อะไรเกิดขึ้น

    ตกเย็น หล้ังจากทำกิจวัตรเสร็จแล้ว หลวงปุ่มั่น ก็แสดงธรรม ให้การอบรมศิษย์ตามปกติ

    การแสดงธรรมในช่วงแรก ก็ไม่มีอะไรผิดแปลก พอแสดงไปได้สักพัก เสียงของท่าน เริ่มหนักแน่นจริงจังมากขึ้น เนื้อธรรมเต็มไปด้วยไม้ค้อนที่ประเคนตอกย้ำลงไปที่หัวใจของศิษย์

    ท่านกล่้าวถึงหมุ่คณะที่ขัดแย้งกันว่า รังแต่จะถึงกาลวิบัติ ไม่้ยังหมู่คณะให้เจริญ ไม่ยังหมู่คณะให้มั่นคงถาวร ไม่ยังหมู่คณะให้ตั้งอยู่ได้นาน

    แล้วท่านก็แสดงอานิสงส์ของความสามัคคี ในหมู่คณะเพราะมีทิฎฐิสามัญญตา ร่าวกัน

    จบลงด้วยการชี้จุด ที่ำทำให้เกิดความขัดแย้งในหมู่คณะ คือการถือเอาความคิดของตัวเอง เป็นใหญ่ ไม่เคารพความรู้ความเห็นของผู้อื่น

    หลวงปุ่แหวน ท่าน่า " เป็นอันว่า เทศน์ของท่านอาจารย์กัณฑ์นั้น ท่านตั้งภาษิตเอาไว้ตั้งแต่ สามเดือนที่แล้วมา ก่อนเข้าพรรษาว่า ให้ระวังอย่าไปทิ่มแทงกันด้วยหอกด้วยดาบ คำเทศน์ จึงมา อธิบายเอาตอนออกพรรษาแล้วนี้เอง"

    เืมื่อหลวงปุ่มั่น ท่านแสดงธรรมจบลง ท่านก็พูดคุยกับศิษย์เป็นธรรมดา เหมือนกับไม่มีอะไร เกิดขึ้น พูดคุยถามโน่นถามนี่

    เมื่อหลวงปุ่แหวน หลวงปุ่ขาว หลวงปู่พร หายจากอาการสลบเพราะถูกตีด้วยธรรมาวุะแล้ว ก็เข้าไปกราบสารภาพผิด ซึ่งหลวงปุ่มั่น ก็ไม่ได้แสดงอาการผิดสังเกตุใดๆออกมา

    " อุบายการแสดงธรรมก็ดี การวางตัวก็ดี การพูดจาปราศรรัยก็ดี เป็นกุสโลบาย เฉพาะองค์ ของหลวงปุ่มั่น ยากที่ศิษย์ทั้งหลายจะสังเกต ติดตามได้ทัน ซึ่งจะหาผู้ปฎิบัติได้อย่างองค์ท่านนั้น ยากแท้"
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ๑๒๙. จำพรรษาที่ถ้ำเชียงดาว

    เหตุการณ์ในต้อนนั้น น่าจะอยู่ในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๗๑ ตามหลักฐาน ที่ผุ้เขียนมี คืือหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ไปพักบำเพ็ญอยุ่ที่เสนะสนะป่าบ้านปง (ต่อมาคือ วัดอรัญญวิเวก ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่) เมื่อปลายปี พ.ศ.๒๔๗๐ ท่านพักอยู่ระยะหนึ่ง ไม่ได้จำพรรษา พอออกจากบ้านปง หลวงปุ่มั่น และสานุศิษย์ ได้ไปจำพรรษาที่ถ้ำเชียงดาว ก็คือในปี พ.ศ.๒๔๗๑ นั่นเอง ส่วนชื่อวัดอรํญญวิเวก นี้หลวงปู่มั่น ก็เป็นผู้ตั้งชื่อ รวมทั้งหลวงปุ่มั่น เป็นเจ้าสำนักองค์แรก ของวัดนี้ด้วย (เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน คือ หลวงพ่อเปลี่ยน ปญญาปทีโป)

    พูดถึงป่าเทือกเขาเชียงดาวนั้น ถือเป็นรมณียสถานสำหรับนักปฎิบัติธรรม ดังที่หลวงปุ่มั่น ได้บอกกับบรรดาศิษย์ว่า สถานที่ในแถบนี้เป็นมงคลสำหรับผุ้ปฎิบัติ

    ทางสภาพภูมิประเทศ ที่เชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ มีภูเขาสลับซับซ้อน มีถ้ำหลายแห่ง มีความสงบ ป่าไม้หนาทึบ และในประสบการณ์ของพระธุดงค์บอกว่า มีเทวดามาก จึงเหมาะต่อการ บำเพ็ญภาวนายิ่ง

    การไปอยู่ที่ถ้ำเชียงดาว ในครั้ังแรก มีด้วยกัน ๓ รูปคือ


    หลวงปุ่มั่น ภูริทตฺโต หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ และหลวงปุ่ตื้อ อจลธมฺโม มีตาผ้าขาวคำอ้าย (ต่อมาคือหลวงปุ่คำอ้าย) ติดตามมาคอยอุปัฎฐาก

    ทั้งสามองค์ไม่ได้พักอยู่ในที่เดียวกัน พระอาจารย์ใหญ่อยู่ภายในถ้ำหลวง หลวงปู่ตื้ออยู่ถ้ำ ปากเปียง และหลวงปู่แหวนขึ้นไป จำพรรษาที่ต้นธารน้ำไหล

    ในวันปกติ พระจะมาฉันรวมกันที่ถ้ำเชียงดาว ซึ่งอยู่ด้านล่างคนละถ้ำกับที่หลวงปุ่มั่นพัก เมื่อเสร็จกิจแล้ว แต่ละองค์ก็แยกย้ายกลับไปบำเพ็ญเพียรยังที่ของตน

    สำหรับวันพระ ๘ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ พระทั้งหมดจะมาประชุมฟังธรรม ทำอุโบสถ บอกปาริสุทธิ เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไป ไม่ได้อยู่คลุกคลีรวมกัน ต่างองค์ต่างเร่งบำเพ็ญเพียรอย่างเต็มที่
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ๑๓๐. วิบากกรรมของคนเชียงดาว

    ในปีที่คณะของหลวงปู่มั่น ไปจำพรรษาที่ถ้ำเชียงดาว คือ ปี ๒๔๗๑ นั้น ได้เกิดโรคระบาด แก่ชาวบ้านอย่างรุนแรง ในขณะเดียวกัน ก็มีพวกที่ปรกอบมิจฉาชีพกันอย่างไม่เกรงกลัวบาป กรรม และไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง


    มีการลักขโมย ปล้น ฆ่า แทบไท่เว้นแต่ละวัน โดยเฉพาะการลักโคกระบือของชาวบ้าน เอามาฆ่า จะมีเป็นประจำ

    ทางด้านโรคระบาดก็มีผู้ต้องล้มตายทุกวัน วันละ ๒-๓ ศพ ชาวบ้านต้องเดือดร้อนและระทม ทุกข์กันมาก

    เมื่อชาวบ้านขาดที่พึ่ง ก็พากันมาพึ่งพระ ท่านพรอาจารย์ใหญ่บอกให้พระช่วยกันแผ่เมตตา ช่วยชาวบ้านให้มากๆ ซึ่งต่างองค์ต่างก็ส่งกระแสจิตแผ่เมตตาจากทีพักของตน เพื่อให้เหตุการณ์ ต่างๆ ได้คลี่คลายไปในทางที่ดี

    แต่เป็นที่น่าประหลาด คือ ยิ่งแผ่เมตตาช่วยมากเท่าไร ความวิบัติของชาวบ้านกลับิยิ่งมากขึ้น เป็นทวีคูณ

    หลวงปู่มั่น ได้นั่งพิจารณาทราบว่า กรรมที่พวกเขาเคยก่อไว้หนักเหลือเกิน แผ่เมตตาเท่าไร ก็ช่วยไม่ได้ เป็นกรรมของของเอง หลวงปู่มั่น ก็บอกพระให้ทำต่อไป อย่าได้ลดละ

    โรคระบาดครั้งนั้นเกิดอยู่เป็นเดือน จึงค่อยสงบลง คร่าชีวิตชาวบ้านไปหลายสิบคน

    สำหรับเรื่องการปล้น การลักขโมยนั้น พระอาจารย์ใหญ่ ท่านพยายามเทศน์แนะนำสั่งสอน ประชาชนให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ให้ประกอบอาชีพสุจริต เพื่อจะได้อยู่กันอย่างสงบสุข

    แต่เหตุการณ์ก็ไม่ดีขึ้น คือ " ถึงท่านจะแนะนำสั่งสอนอย่างไร ก็เท่ากับเอาน้ำไปรดตอไม้ พวกเขา หาเชื่อฟังไม่ ยังคงประกอบมิจฉาชีพ กันอยู่อย่างเป็นล่ำเป็นสัน ต่อไป"

    ต่อมา ทางการได้ทำการปราบปรามอย่างหนัก บรรดามิจฉาชีพจึงหมดไป แล้วความสงบสุข จึงกลับมาสู่เชียงดาวอีกครั้งหนึ่ง

    ทั้งหมดนี้คือเหตุการณ์ที่เชียงดาว ในช่วงที่คุณะพระธุดงค์ไปพำนักอยู่ในระยะแรก
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ๑๓๑. พญานาคในถ้ำเชียงดาว

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เล่าถึงพญานาคในถ้ำเชียงดาว ดังนี้:-

    ภายในถ้ำหลวง ที่ถ้ำเชียงดาว มีพญานาคอยู่ถ้ำดังกล่าวนี้ สต้องแยกขึ้นไปทางซ้ายมือ อยุ่ เหนือถ้ำหลวงเล็กน้อย พื้นถ้ำมีก้อนหินเป็นรูปกงจักรดับดอกบัว มีพญานาคเฝ้าอยู่ภายใต้แผ่นหิน นี้

    เวลามีพระเข้าไปภาวนาอยู่ภายในถ้ำนั้น ท่านแทบกระดุกกระดิกตัวไม่ได้เลย เป็นต้องถูก พญานาคกล่าวโทษทันที่ว่า สมณะอะไร ช่างไม่สำรวม คะนองกายเหมือนเด็กๆ

    ถ้าเดินไปสะดุดเอาก้อนหินดังกรอกแกรก เขาก็จะกล่าวโทษว่า สมณะอะไร จะเดินจะเหิน ไม่สำรวมระวัง รีบไปรีบมา เหมือนม้าแข่ง

    ไม่ว่าพระจะทำอะไร ต้องสำรวมทุอิริยาบถ ถึงอย่างนั้นก็ไม่วายจะถูกตำหนิติเตียน

    พญานาคนี้มีอัธยาศัยชอบพอกับ พระมหาบุญ ถ้าพระมหาบุญเข้าไปอยู่ในถ้ำนั้น ไม่ว่าท่าน จะทำอะไร เช่น ทำเสียงกระแอมกระไอ เดินเสียงดัง ทำก้อนหินหล่น เธอก็เฉย ไม่แสดงกิริยา อะไร ต่อต้าน เพราะมีจริตเหมือนกัน

    อย่างไรก็ตาม ไม่มีพระองค์ใด เข้าไปอยุ่ในถ้ำนั้นได้นาน เพราะในถ้ำมีช่องให้อากาศเช้าไป ทางเดียว คือทางปากถ้ำ เมื่อพระเข้าไปอยู่ข้างในแล้วปิดประตู อาากศภายนอกแทบเข้าไปไม่ได้ เลย ทำให้อึดอัด หายใจไม่สะดวก

    ยกเว้น หลวงปุ่มั่น องค์เดียว ที่ท่านเข้าไปอยู่ในถ้ำนั้นได้นานเป็นวันๆ

    หลวงปุ่มั่น เคยเทศน์แนะนำพญานาค แต่เธอไม่ยอมรับคำแนะนำ เพราะยังอาลัยอัตภาพ ปัจจุบันของตนอยู่ ในที่สุดท่านเห็นว่า เข้าไปทำความรำคาญให้แก่เธอ จึงไม่เข้าไปในถ้ำนั้น อีกเลย

    ที่ถ้ำพญานาคนี้ หลวงปุ่แหวน เข้าไปอยู่ ๑ วัน หลวงปู่ตื้อเข้าไปอยู่ ๓ วัน แต่ละองค์ที่เข้าไป อยู่ ต่างถูกพญานาค ตำหนิกล่าวโทษเอาทั้งสิ้น พระท่านอยู่ไม่ได้เพราะส่งจิตออกไปดูทีไรเห็น พญานาคคอยจ้องหาเรื่องตำหนิพระอยู่ตลอดเวลา

    เมื่อพระต่างองค์ต่างเห็นว่า ถ้าเข้าไปแล้วจะทำให้พญานาคสร้างบาป หนักเข้าไปอีก จึงได้ ช่วยเหลือเธอโดยการไม่เข้าไปรบกวน ในที่อยู่ของเธออีกต่อไป
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ๑๓๒. พบเปรตสมัยใหม่

    ประสพการณ์ส่วนหนึ่งของ หลวงปุ่แหวน ขณะอยที่ถ้ำเชียงดาว มีดังนี้ :-

    ในระหว่างพรรษา วันหนึ่งประมาณ ๕ โมงเย็น หลวงปู่แหวน กำลังเดินจงกรมอยู่ ก็มีเสียง ดังโครมครามเหมือนกิ่งไม้ใหญ่หักลงมา จึงเหลียวไปดู กลายเป็นสัตว์ร่างใหญ่ร่างหนึ่ง เอาเท้า เกาะอยู่บนกิ่งไม้ห้อยหัวลงมา มีผมยาวรุงรัง เสียงร้องโหยหวน

    หลวงปู่บอกว่า ท่านไม่ได้นึกกลัว และไม่ได้ให้ความสนใจ ยังคงเดินจงกรมต่อไป

    เมื่อร่างนั้นเห็นว่า หลวงปุ่ไม่สนใจ ก็หนีหายไป

    สองสามวันต่อมา ก็มาปรากฎอีก แต่หลวงปู่ ก็เดินจงกรมโดยไม่สนใจ หลังจากนั้นจึงมา ปรากฎตัวให้เห็นทุกเย็น แต่ไม่ได้เข้ามาใกล้หลวงปุ่ คงแสดงอาการเหมือนเดิมทุกครั้ง

    วันหนึ่ง หลวงปู่ ได้กำหนดจิตถามไปว่า ที่มานั้นเขาต้องการอะไร ทีแรกเขาทำเฉยเหมือน ไม่เข้าใจ หลวงปู่ จึงกำหนดจิตถามอีก เขาจึงบอกว่า ต้องการมาขอส่วนบุญ

    หลวงปู่ จึงกำหนดจิตถามต่อไปว่า เขาเคยทำกรรมอะไรมา จึงต้องมาทุกข์ทรมานอยู่ ในสภาพเช่นนี้

    ร่างนั้นได้เล่าถึงบุพกรรมของเขาว่า เขาเคยเป็นคนอยู่ที่เชียงดาวนี้ มีอาชีพลักขโมยและ ปล้นเขากิน ก่อนไปปล้น เขาจะเอาดอกไม้ธูปเทียน ไปขอพรและขอคุ้มครองกับพระพุทธรูปองค์ หนึ่งในถ้ำ

    เขาทำอย่างนี้ทุกครั้ง และก็แคล้วคลาดตลอดมา

    อยู่มาวันหนึ่ง เขาไปขอพรพระพุทธรูป แล้วออกไปปล้นเช่นเคย บังเอิญเจ้าของบ้านรู้ตัวก่อน จึงเตรียมต่อสู้ เขาถูกเจ้าของบ้านฟันบาดเจ็บสาหัส จึงหนีตายเอาตัวรอดมาได้

    ด้วยความโมโหว่า พระไม่คุ้มครอง เขาจึงกลับไปที่ถ้ำแล้วเอาขวานทุบเศียรพระพุทธรูป จนคอหัก ขณะเดียวกัน ก็ยังคุมแค้นอยู่ ตั้งใจว่า บาดแผลหายแล้ว จะกลับไปแก้แค้นเจ้าของบ้าน ให้ได้

    เผอิญบาดแผลที่ถูกฟันนั้นสาหัสมาก เขาจึงต้องตายในเวลาต่อมา วิญญาณเขาจึงต้องมาเป็น เปรตทนทุกข์ทรมานอยู่ที่เชียงดาว แห่งนี้ จึงได้พยายามมาขอส่วนบุญ เพื่อให้พระท่านช่วยแผ่ให้ จะได้คลายความทุกข์ทรมานลงไปได้บ้าง

    หลวงปู่แหวน ท่านเล่าว่า บุพกรรมของเปรตตนนั้น หนักมากเหลือเกิน ท่านได้รวบรวมจิต อุทิศบุญกุศลไปให้ ตั้งแต่นั้นมา ร่างนั้นก็ไม่ปรากฎให้เห็นอีก แต่จะได้รับบุญกุศลเพียงใดขึ้น อยู่กับตัวเขาเอง

    หลวงปุ่ บอกว่า เปตรตนนั้นเป็นเปรตสมัยใหม่ เพราะใช้คำแทนตัวเขาเองว่า "ผม" แต่เปรต ตนอื่นๆ ที่หลวงปู่เคยพบมา จะใช้คำแทนตนว่า "เรา" หรือ " ข้าพเจ้า" จึงนับว่าเปรตตนนี้ เป็นเปรตสมัยใหม่
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ๑๓๓. ธรรมะีที่สืบเนื่องจากเปรตตนนั้น

    หลวงปู่แหวน ท่านพูดถึงธรรมะหลังจากเล่าเรื่องเปรตตนนั้นดังต่อไปนี้ :-

    บรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้น เมื่อไม่มีทุกข์มาถึงตัว มักจะไม่เห็นคุณของพระศาสนา มัวเมา ประ มาท ปล่อยกายปล่อยใจให้ประพฤติทุจริต ผิดศีลผิดธรรม อยู่เป็นประจำนิสัย เห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

    ต่อเมื่อได้รับทุกข์แล้ว ที่พึ่งอื่นไม่มี นั่นแหละจึงได้คิดถึงพระ คิดถึงศาสนา

    แต่เป็นเวลาที่สายไปแล้ว

    เรื่องความดีนั้นเราต้องทำอยุ่เสมอ ให้เป็นที่อยู่ของจิต เป็นอารมณ์ของจิต ให้เป็นมรรค คือทางดำเินินไปของจิต จึงจะเห็ผลของความดี

    ไม่ใช่เวลาใกล้จะตาย จึงนิมนต์พระไปให้ศีล ให้ไปบอกพุทโธ หรือตายไปแล้ว ญาติจึงเคาะ โลงบอกให้รับศีล เช่นนี้เป็นการกระทำที่ผิดหมด

    เหตุเพราะว่า คนเจ็บนั้น จิตมัวติดอยู่กับเวทนา ไฉนจะมาสนใจใยดีกับศีลได้ เว้นไว้แต่ผู้ที่ รักษาศีลมาเป็นปกติเท่านั้น จึงจะสามารถระลึกถึงศีลของตัวได้ เพราะตนเองเคยทำมาจนเป็น อารมณ์ของจิตแล้วเท่านั้น

    แต่ส่วนมาก พอใกล้จะตายแล้ว จึงมีผู้เตือนให้รับศีล ยิ่งคนตายแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะคนตายนั้น ร่างกายกับจิตใจ ไม่รับรู้ใดๆแล้ว

    แต่ที่ทำมา ก็ยังถือว่าเป็นของดี

    ตัวอย่าง พระเทวทัต ทำกรรมจนสุดท้ายถูกแผ่นดินสูบ เมื่อร่างกายลงไปถึงคาง จึงระลึกถึง ความดีของพระพุทธเจ้าได้ แล้วขอถวายคางเป็นพุทธบูชา

    พระเทวทัต ยังมีสติระลึกได้ จึงพอมีผลดีอยุ่บ้างในอนาคต

    แม้เปรตตนนั้นก็เหมือนกัน ตายไปแล้ว จึงสำนึกได้มาขอส่วนบุญ เมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ เคยทำลายแม้กระทั่งพระพุทธรูปที่ตนเคารพนับถือ

    การที่พระแผ่เมตตาให้ เขาจะได้รับหรือเปล่าไม่รู้ สู้เราทำเอาเองไม่ได้ เราทำให้ตัวเราเอง จะได้มากน้อยเท่าไรก็มีความปิติ เอิมอิ่มใจมากเท่านั้น
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ๑๓๔. ทาุงบุญ...ทางบาป

    ท่าู้นผู้อ่านคงจะเคยทราบคำสอนของหลวงปู่แหวน เกี่ยวกับ ธรรมา - ธรรเมา บ้างแล้ว ใช่ไหมครับ ?

    หลวงปุ่ ได้เทศน์ให้ฟังต่อไปดังนี้ :-

    ธรรมทั้งหลายไหลมาจาเหตุ กายก็เป็นเหตุอันหนึ่ง วาจาก็เป็นเหตุอันหนึ่ง ใจก็เป็นเหตุ อันหนึ่ง

    กายทุจริตเป็นเหตุแห่งบาปอย่างหนึ่ง วจีทุจริตก็เป็นเหตุแห่งบาปอย่างหนึ่ง มโนทุจริตก็เป็น เหตุแห่งบาปอย่างหนึ่ง

    การละกายทุจริตก็เป็นเหตุแห่งบุญอย่างหนึ่ง การละวจีทุจริตก็เป็นเหตุแห่งบุญอย่างหนึ่ง การละมโนทุจริต ก็เป็นเหตุแห่งบุญอย่างหนึ่ง

    ทางของบุญของบาปเหล่านี้มีอยุ่ในตัวของเรานี้เอง ไม่ได้อยู่ที่ไหน เราก็ทำเอา สร้างสมเอา

    อย่ามัวเมาเป็นอดีตเป็นอนาคต อดีตก็เป็นธรรมเมา อนาคตก็เป็นธรรมเมา มีแต่ปัจจุบัน เท่านั้นที่เป็นธรรมา

    สิ่งใดที่มันล่วงมาแล้ว เลยมาแล้ว เราไม่สามารถจะไปตัดไปแปลงมันได้อีกแล้ว สิ่งที่เราทำไป นั้น ถ้ามันดี มันก็ดีไปแล้ว ผ่านไปแล้ว พ้นไปแล้ว ถ้ามันชั่ว มันก็ชั่วไปแล้ว พ้นไปแล้วเช่นกัน

    อนาคตก็ยังไม่มาถึง สิ่งที่ยังไม่มาถง เราก็ยังไม่รู้ ไม่เห็นว่า มันจะเป็นอย่างไร อย่างมากก็ เป็นแต่เพียงการเดา การคาดคะเนเอาว่า ควรเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ซึ่งมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เรา คาดคะเนก็ได้

    ปัจจุบันคือสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริง เราได้เห็นจริงไ้้ด้สัมผัสจริง

    เพราะฉะนั้น ความดีต้องทำในปัจจุบัน

    ทานก็ดี ศีลก็ดี ภาวนาก็ดี ต้องทำเสียในปัจจุบัน ที่เรายังมีชีวิตอยุ่นี้ เราต้องการความดี ก็ต้อง ทำให้เป็นความดีในปัจจุบันนี้ ต้องการความสุข ต้องการความเจริญ ก็ต้องทำให้เป็นในปัจจุบันนี้

    ธรรมทั้งหลายไหลมาจากเหตุ อย่างนี้ ถ้าเหตุเราทำไว้ดีแล้ว ผลมันก็ก็ดีตามเหตุ ถ้าเหตุเรา ทำไว้ไม่ดีแล้ว ผลไม่ดีตามเหตุ เหตุและผลต้องสัมพันธ์กันเสมอ เป้นแต่ว่าคนเราจะยอมรับ หรือไม่ยอมรับเท่านั้น

    เราไม่ควรปล่อยเวลาให้เสียไปกับอดีต กับอนาคต เพราะทั้งอดีตและอนาคตต่างก็เป็นธรรม เมาด้วยกันทั้งนั้น

    สิ่งที่ผ่่านไปแล้ว ก็ให้เขาผ่านไป สิ่งใดที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นสิ่งที่ยังไม่มี ยังไม่เกิด

    ถ้าปัจจุบันดี อดีตมันก็ดี อนาคตมันก็ดี เพราะปัจจุบันเมื่อผ่านไป มันก็กลายเป็นอดีต ถ้ามัน ยังไม่ผ่านไป มันก้เป็นทางดำเนินไปสู่อนาคต เป็นเข็มชี้บอกอนาคต

    ดังนั้น เราต้องทำเหตุให้สมบูรณ์บริบูรณ์ เราจึงจะได้สิ่งที่เราปราถนา
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ๑๓๕. หลวงปู่มั่นไม่ออกจาำถ้ำ ๙ วัน ๙ คืน

    หลวงปู่แหวน ได้เล่าถึงหลวงปุ่มั่นว่า :-

    เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านอาจารย์ใหญ่ ให้โยมนำไม้เข้าไปทำแคร่ให้ท่านอีกแห่งที่ถ้ำเจดีย์ อยู่ลึกเข้าไปข้างในถ้ำถ้ำหลวง แล้วท่านก็เข้าไปอยู่ภายในถ้ำนั้น ๙ วัน ๙ คืน โดยไม่ออกมาเลย

    ในวันที่ ๑๐ หลวงปุ่มั่น จึงออกมา หลังจากกลับจากบิณฑบาตและฉันเสร็จแล้ว ท่านจึงเล่า ให้คณะศิษย์ฟังว่า ท่านเช้าไปช่วยเจ้าของผู้สร้างเจดีย์ เขาห่วงเจดีย์ของเขา เขาไปไหนไม่ได้ ท่านจึงไปช่วยแนะนำเขา เวลานี้เขาไปแล้ว

    หลวงปู่แหวน บอกว่า ที่พระอาจารย์ใหญ่พูดว่า เขาไปแล้ว นั้นท่านเองก็ไม่รู้ว่าใครไปไหน ได้กราบเรียนถาม แต่ท่านก็ไม่ได้อธิบาย หยุดไว้แค่นั้น

    จากคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์องค์อื่น ความว่า ได้มีวิญญาณหญิงสาวกับสามเณร ที่เป้น น้องชาย มาวนเวียนอยู่บริเวณที่หลวงปู่มั่น พักนั้นหลายคืน ท่า่นจึงถามว่า มาเดินอยู่ทำไม วิญญาณก็เล่าให้ฟังว่า พวกเราสร้างเจดีย์ไว้ยังไม่เสร็จ ก็ต้องมาตายเสียก่อน เขาจึงกังวลกับเรื่องนี้ ยังไปไหนไม่ได้

    หลวงปุ่มั่น จึงเทศน์ให้สติวิญญาณสองพี่น้อง ใจความว่า :-

    สิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรทำความผูกพัน เพราะไม่สามารถเอากลับมาให้เป็นปัจจุบันได้ มีแต่ จะทำให้กังวลและเป็นทุกข์ ส่วนอนาคตก็ไม่ควรไปห่วง ไปเกี่ยวข้อง อดีต ควรปล่อยไว้ตามอดีต อนาคตก็ควรปล่อยไว้ตามกาลของมัน ปัจจุบันเท่านั้น จึงจะทำให้สำเร็จประโยชน์ได้ เพราะอยู่ใน ฐานะที่เขาสามารถทำได้

    การสร้างพระเจดีย์ เราสร้างด้้วยหวังบุญ หวังกุศล ไม่ได้สร้างเพื่อหวังเอาก้อนอิฐ ก้อนหิน ปูนทราย ในองค์พระเจดีย์ ติดตัวไปด้วย สิ่งที่เป็นสมบัติของเราในการสร้างพระเจดีย์ ก็คือบุญ ที่ เราจะเอาติดตัวไปได้ เราไม่ได้เอาสิ่งก่อสร้าง วัตถุทานต่างๆ ที่สละแล้วนั้น เอาติดตัวไปด้วย เราเอาไปได้ เฉพาะส่วนนามธรรม ที่เกิดจากการสละวัตถุทานเหล่านั้น นั่นคือตัวบุญกุศล

    เจ้าของผู้คิดเป็นกุศลเจตนาขึ้นมา ให้สำเร็จเป็นวัตถุไทยทานต่างๆนั้นคือ ใจ ใจนี่แหละเป็น ผู้ทรงบุญ ทรงกุศล ทรงมรรค ทรงผล ทรงสวรรค์ นิพพาน และใจนี่แล เป็นผู้ไปสู่สวรรค์นิพพาน นอกจากใจไม่มีอะไรไป

    " ถ้าคุณทั้งสองยินดีเฉพาะกุศลผลบุญที่ทำได้จาการสร้างพระเจดีย์ไปเท่านั้น ไม่มุ่งจะแบก หามพระเจดีย์ไปสวรรค์ นิพพาน ด้วย คุณทั้งสองก็ไปอย่างสคโต หายห่วงไปนานแล้ว เพราะบุญ เป็นเครื่องสนับสนุน บุญจึงไม่เปลี่ยนแปลงเป็นบาปตลอดกาล

    คุณทั้งสองสร้างบุญญาภิสมภารมา เพื่อยังตนไปสู่สคิ แต่กลับมาติดกังวลในอิฐ ในปูนเพียงเท่า นั้น จนเป็นอุปสรรคต่อทางเดินของตน ซึ่งทำให้เสียเวลาไปนาน

    ถ้าคุณทั้งสอง พยายามตัดความขัดข้องห่วงใยที่กำลังเป็นอยู่ ออกจากใจ ชั่วเวลาไม่นาน จะเป็นผู้หมดภาระผูกพัน คุณมีจิตมุ่งมั่นในภพใด จะสมหวังในภพนั้น เพราะแรงกุศลที่ได้พากัน สร้างมาพร้อมอยู่แล้ว "

    หลังจากนั้น หลวงปุ่มั่น ก็สอนดวงวิญญาณ ให้รักษาศีลห้า สอนอานิสงฆ์ของทาน ศีล ภาวนา และหลักธรรมอื่นๆ จนดวงวิญญาณคลายการติดยึด แล้วไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ภิภพ ในลำดับต่อมา
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ๑๓๖. สำรวจถ้ำพระปัจเจกพุทธเจ้า

    ผู้เขียน เคยนำเสนอเรื่องนี้แล้ว ในประวัติ ของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ในโครงการ หนังสือ บูรพาจารย์ เล่ม ๒

    ที่นำเสนอในที่นี้เป็นคำบอกเล่าของ หลวงปู่แหวน ถ้าเอาข้อมูลมาประกอบกัน ก็จะทำให้ เรื่องราวสมบูรณ์มากขึ้น

    เรื่องราวมีดังนี้ :-

    วันหนึ่ง ขณะที่เตรียมบาตรจะออกไปบิณฑบาต ท่านอาจารย์ใหญ่ พูดขึ้นมาว่า " เมื่อคืนนี้ขณะที่ ภาวนาอยุ่ได้นิมิตไปว่า บนยอดเขาเชียงดาวนี้มีถ้ำ อยู่แห่งหนึ่ง เป็นที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ในสมัยโบราณ ถ้ำนั้นกว้างขวางน่าอยู่ แต่พวกเราไปอยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีอาหาร นอกจากไม่มี อาหารแล้ว ขึ้นไปก็ขึ้นไม่ได้ เพราะไม่มีทางขึ้น"

    หลวงปู่มั่น พูดแล้วก็นิ่งอยู่ หลวงปู่ตื้อ จึงพูดขึ้นว่า วันนี้ฉันเสร็จแล้ว กระผมจะขึ้นไปดู ได้ไหม? "

    ท่านอาจารย์ใหญ่กล่าวว่า " จะขึ้นไปได้อย่างไร มันไม่มีทางขึ้น"

    หลวงปู่ตื้อว่า " ไม่มีทางขึ้นก็จะลองดู คงจะพอมีทางบ้าง"

    หลวงปู่แหวนเล่าว่า " ท่านอาจารย์ใหญ่นิ่้วอยู่ไม่ได้พูดว่าอะไร เพราะทราบนิสัยกันดีว่า หลวงปู่ตื้อมักจะทำอะไรแผลงๆ อยู๋เสมอ แม้แต่เคยเถียงท่านอาจารย์ใหญ่ก็เคยเถียง ซึ่งท่านก็ไม่ ได้ว่าอะไร แต่สำหรับองค์อื่นแล้ว อย่าว่าแต่เถียงเลย ทำอะไรไม่ถูกแม่แต่เพียงเล็กน้อย ท่านก็ถือ เป็นเรื่องใหญ่ ต้องเทศน์กันเป็นเรื่องเป็นราวไปทีเดียว"

    หลวงปู่แหวนเล่าต่อไปว่า " วันนั้น เมื่อฉันอาหารเสร็จแล้ว ก็ลองขึ้นไปดู เดินค้นหากันอยู่ นาน มองเห็นยอดหนึ่งสูงชะลูดขึ้นไป เห็นว่าเป็นที่แปลกกว่าที่อื่นๆ จึงปีนขึ้นไปดู เมื่อขึ้นไปใกล้ มองเห็นปากถ้ำอยู่ แต่เมื่อสำรวจลู่ทางที่จะขึ้นไปหาถ้ำนั้น ไม่มีทางขึ้น

    หลวงปู่ตื้อ ได้พยายามจนสุดความสามารถจะชึ้นไปให้ได้ โหนเถาวัลย์ขึ้นไป เมื่อขึ้นไปสุด เถาวัลย์แล้ว เดินต่อไปอีกไม่ได้ จึงต้องลงถอยกันลงมา ซึ่งก็ตรงกับคำบอกเล่าของท่านอาจารย์ ใหญ่จริงๆ "

    เรื่องของถ้ำเชียงดาว มีเรื่องที่ลึกลับน่าสนใจอีกมาก เอาไว้ค่อยทะยอยเขียนตามโอกาสเหมาะ ต่อไป

    ท่านพระอาจารย์นาค อตฺถวโร วัดสัมพันธวงค์ กรุงเทพๆ ผู้บันทึกเรื่องราวของ หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ได้กล่าวถึงเชียงดาว ดังนี้ :-


    " เชียงดาว เคยเป็นรมณียสถานของผู้บำเพ็ญสมณธรรม ในสมัยก่อน แต่กาลเวลาได้ผ่านไป จนถึงสมัยปัจจุบัน เชียงดาวกลายไปเป็นสถานที่ท่องเที่่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ของคนทุกเทศทุกวัย

    เชียงดาวจึงเปลี่ยนสถานภาพจากรมณียสถานของนักปฎิบัติธรรมในสมัยก่อน กลายมาเป็น รมณียสถานสำหรับนักทัศนาจร

    เชียงดาว จึงกลายเป็นอโคจรสถานสำหรับสมณะผู้รักสงบ คำว่า เชียงดาวเป็นสถานที่อันเป็น มงคลที่หนึ่งในประเทศไทย จึงเป็นเพียงอดีตอันไกลโพ้น "












     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ๑๓๗. จำพรรษาที่นาหนานปวนแม่มา

    ในพรรษาต่อไป หลวงปู่แหวน ไปพักจำพรรษาในบริเวณที่นา ของสองสามีภรรยา ชื่อ หนานปวน กับแม่มา สถานที่นี้ ก็ยังคงอยู่ใน อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่


    ในบันทึกประวัติ ของหลวงปุ่แหวน เขียนไว้ดังต่อไปนี้ :-

    ห่างจากบ้านแม่ปั๋ง ไปประมาณ ๓ กม. ข้ามดอยแม่ปั๋งไปมี่ทุ่งนา ระหว่างเขาอยู่แห่งหนึ่ง ทุ่งนานี้ยาวไปตามภูเขา มีธารน้ำไหลตลอดปี

    ข้างธารน้ำไหลนั้น มีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง ลักษณะของถ้ำเกิดจากการไหลเซาะของน้ำกัดริมตลิ่ง นานๆไปทำให้ข้างริมตลิ่งตรงบริเวณนั้น เกิดเป็นถ้ำขึ้น

    ลักษณะของถ้ำแห่งนี้ จึงค่อนข้างลึกลับ คือถ้ามองดูด้านบน จะไม่รู้ว่ามีถ้ำอยู่บริเวณนั้น ถ้าลงไปเดินที่ลำธาร จึงจะมองเห็นถ้ำซึ่งมีขนาดกว้าง ยาว ๕-๖ เมตร นับเป็นถ้ำใหญ่พอพัก อาศัยได้ น้ำได้พัดเอาทรายและก้อนหินเล็กๆ เข้าไปอุดในถ้ำ เหลือความลึกจากปากถ้ำเข้าไป ๑๐ เมตรเศษ

    ในฤดูแล้ง สามารถอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งนี้ได้สบาย แต่ในฤดูฝน เมื่อน้ำจากภูเขาไหลมามาก ทำให้ธารน้ำไหล เข้าไปในถ้ำพักอยู่ไม่ได้

    เจ้าของที่นาแห่งนี้ ชื่อหนานปวน กับ แม่มา ตามที่กล่าวมาแล้ว สามีภรรยาคู่นี้เป็นช่างตี เหล็ก นอกเหนือจากการทำนา

    ในฤดูแล้ง หลวงปุ่ได้เข้าไปแสวงวิเวกตามป่าเขา ไ้ด้พบถ้ำแห่งนี้เข้า จึงเข้าไปพักภาวนา เห็นว่าบริเวณแห่งนั้น มีความสงบดี จึงแจ้งให้เจ้าของที่นา ทราบว่า ท่านประสงค์จะอยู่จำพรรษา ณ สถานที่นั้น

    เจ้าของที่นา สุดแสนจะยินดี ได้ัจัดแจงทำที่พักบนหลังถ้ำให้เป็นกุฎิชั่วคราวของหลวงปู่ ได้ยกพื้นสูงจากพื้นดิน

    หลวงปู่บอกให้ทำพื้นที่สูงพอพ้นดินก็พอ เพราะสะดวกในการขึ้นลง แต่เจ้าของที่ไม่ยอม เพราะกลัวเสือจะมารบกวนทำอันตรายท่าน ซึ่งสมัยนั้น แถบนันมีเสืออยู่มาก เพราะพื้นที่ยัง เป็นป่า ดงดิบอยู่

    หลวงปู่ ต้องอนุโลมตาม ยอมให้ปลุกกุฎิยกพื้นสูง ตามความปราถนาดีของเขา

    หลวงปู่จึงได้จำพรรษาอยู่ในสถานที่นั้น และนับตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมา ทั้งหนานปวน
    และ แม่มาต่างก็รักษาอูโบสถศีล ตออดพรรษา และคงยังรักษาทุกพรรษา ต่อมาจนตลอดชีวิต
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ๑๓๘. รับนิมนต์ไปป่าเมี่ยงแม่สาย

    ช่วงที่พำนักที่นาหนานปวน- แม่มา ในพรรษานั้น ในเวลากลางคืน หลวงปู่แหวน ได้เดิน เที่ยวไปมา ตามป่าเขาแถวนั้นบ่อยๆ โดยเฉพาะในคืนที่อากาศโปร่งไม่มีเมฆ แสงจันทร์เจิดจ้า เดินท่องป่าให้ความเพลินใจดี และไม่ปรากฎว่า มีสัตว์ร้ายอะไรมาเผ้วพานเลย( ความจริงท่านไป ภาวนา ไม่ได้ไปเดินเที่ยวครับ)


    เวลากลางวัน บางวันก็ขึ้นไปภาวนาอยู่ตามเนินหินสูงๆ บนภูเขา มีพวกเด็กๆที่มาเลี้ยงควาย แถวนั้น ขึ้นเอาน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่ไปถวายทุกวัน

    ในกลางพรรษา มีคณะศรัทธาจากป่าเมี่ยงแม่สาย นำโดยแม่โสม มานิมนต์ว่า ออกพรรษา แล้ว ขอนิมนต์พระคุณท่านไปโปรดทางป่าเมี่ยงแม่สายบ้าง

    หลังจากออกพรรษาไม่นานนัก คณะศรัทธาป่าเมี่่ยงแม่สาาย ก็มาัรับหลวงปู่ขึ้นไปตามที่เคย นิมนต์ไว้ ท่านจึงลาหนานปวนกับแม่มา เจ้าของสถานที่ เดินทางขึ้นป่าเมี่ยงแม่สาย พร้อมกับคณะ ศรัทธาที่มารับ

    หลวงปู่เล่าว่า การไปป่าเมี่ยงแม่สายนั้น ต้องเดินทางขึ้นเขาลงห้วยไปหลายแห่งกว่าจะถึง ใช้ เวลาเดินทางขาขึ้น ๖ ชั่วโมง และขาลงอีก ๔ ชั่วโมง ถ้าเดินไม่แข็งต้องใช้เวลานานกว่านี้

    (หมายความว่า ต้องเดินทางหนึ่งวันเต็มๆกันเลย)

    หมายเหตุ : ป่าเมี่ยงแม่สาย อยู่อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ไม่ใช่อยู่ที่อำเภอแม่สาย จังหวัด เชียงราย )
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ๑๓๙. เรื่องของแม่โสมอดีตหมอผีแห่งป่าเมี่ยงแม่สาย

    ป่าเมี่ยงแม่สาย เป็นหมุ่บ้านตั้งอยุ่กลางหุบเขา มีลำธารน้ำไหลผ่านตลอดปี ชาวบ้าน มีอาชีพ ทำสวนเมี่ยงเป็นอาชีพหลัก (ต้นเมี่ยงเป็นชาชนิดหนึ่ง ชาวบ้านเก็บเอาใบมาหมัก เป็นเมี่ยงของ ชาวเหนือ)

    เดิมชาวบ้านนับถือผี ถึงปีต้องทำพิธีเลี้ยงผี ไม่เช่นนั้น จะมีการเจ็บป่วยล้มตายกัน

    หัวหน้าหมู่บ้านคือแม่โสม ที่นำคณะไปนิมนต์หลวงปู่นั่นเอง นอกจากเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน เล้ว แม่โสม แกเป็นหมอผีประจำหมู่บ้านด้วย

    เคยมีพระธดงค์กรรมฐาน ไปพักอาศัยใกล้หมู่บ้าน ได้เทศน์สั่งสอนให้ ชาวบ้าน เลิกกานับถือ ผี ให้นับถือพระรัตนตรัยแทน ซึ่งก็มีพวกเลิกถือผีตามพระไม่กี่คน แม่โสม เป็นคนหนึ่งที่เชื่อพระ ตัวแกเองได้ปฎิญญาณกับพระ เลิกถือผีโดยเด็ดขาด

    พอถึงเวลาเลี้ยงผีครบรอบปี ในหมู่บ้านไม่ได้ทำพิธีเซ่นทรวงผี เหมือนอย่างเคย ผีก็แสดง เดชออกมาท้ันที โดยเข้าสิงผู้คนในหมู่บ้าน วุ่นวายไปหมด

    ที่สำคัญมาเข้าสิงลูกของแม่โสมเอง พร้อมขู่ว่า ถ้าแม่โสมไม่ออกจากพระรัตนตรัย แล้วกลับ มาเซ่นสรวงผีอย่างเดิม จะหักคอลูกของแกให้ตายเสีย

    เมื่อหัวหน้าหมุ่บ้าน และอดีตหมอผี เจอดีเช่นนี้ ก็ทำให้ครอบครัวของแกเดือดร้อนวุ่นวาย ไปหมด บางวันตัวแม่โสมเองยังถูกผีเข้าสิงลงดิ้นพราดๆ ไปเหมือนกัน

    แม่โสมแกเป็นคนถือสัจจะ จึงไม่ยอมเลิกนับถือพระรัตนตรัย

    ในที่สุดลูกคนหนึ่ง ของแกก็ตายลง คนที่สองก็เริ่มป่วย ผีมาเข้าสิงอีก พร้อมทั้งขู่ว่า จะเอาให้ ตายหมดทั้งหมู่บ้าน รวมทั้งตัวแม่โสมเองด้วย

    ทำให้พวกชาวบ้านเดือดร้อน และหวาดกลัวมาก ได้พากันขอร้องให้แ่ม่โสม เลิกนับถือพระ รัตนตรัย แต่แม่โสม ใจเด็ดยืนยันขอยอมตาย

    พวกลูกหลานและชาวบ้านมาขอร้องอ้อนวอนทุกวัน แกทนการรบเร้าไม่ได้ จึงไป ปรึกษาพระ

    พระได้แนะนำให้เรียกชาวบ้านมาพร้อมกัน ให้ทุกคนรับพระไตรสรณาคมน์ และรับศีล แล้วพระก็สอนให้เข้าใจเรื่องพระรัตนตรัย พร้อมทั้งอานิสงฆ์ของศีล นอกจากนี้ให้ชาวบ้าน สวดมนต์ และฝึกภาวนาทุกเย็น

    ในที่สุดการเจ็บป่วยในหมู่บ้านเนื่องจากการกระทำของผีก็หมดไป ไม่เีคยปรากฎอีกเลย

    โดยเฉพาะ ตัวของแม่โสมเองนั้น ถ้าเกิดว่าผีเข้าใคร เพียงแต่มีคนพูดว่า " แม่โสมมา" ผีจะ รีบลนลานออกทันที

    ผีเคยเข้าสิงชาวบ้านและบอกว่า ที่บ้านแม่โสมนั้น เข้าไปใกล้ไม่ได้ มีแสงแพรวพราวอยู่ ตลอดเวลา แม้ชื่อของแม่โสม ถ้าได้ยินแล้วไม่รีบออก หัวก็จะแตก

    นับแต่นั้นมา ชาวป่าเมี่ยงแม่สาย ก็เลิกนับถือผี หันเข้าหาพระ ตัวแม่โสมเอง ก็ชักชวน ชาวบ้านสร้างวัดประจำหมู่บ้านขึ้น เป็นวัดฝ่ายกรรมฐาน แกเป็นผู้บำรุงวัดอย่างเข้มแข็ง วัดนั้น ก็เป็นวัดกรรมฐาน มาจนทุกวันนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...