ประวัติ-ธรรมะ ลป.แหวน สุจิณโณ

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 ตุลาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ๔๙. เวลาเจ็บไข้ต้องเร่งภาวนา

    หลวงปู๋แหวน สุจิณฺโณ เล่าให้บรรดาศิษย์ฟังว่า ในการอยู่ภาวนา กับพระอาจารย์ใหญ่ ในช่วงนั้น รู้สึกว่า จิตเป็นสมาธิ และก้าวหน้าเป็นอย่างดี ทำให้ท่่านเกิดความมั่นใจ ว่าเริ่มปฎิบัติ ไปในแนวทางที่ท่่านปราถนาแล้ว


    อุปสรรคของการภาวนาที่สำคัญในตอนนั้น คือเวลาบำเพ็ญภาวนา อยุ่ในป่าในเขาเช่นนั้น พระเณรมักจะเป็นไข้ป่า เป็นแต่ละครั้งก็หลายวัน เพราะไม่มียารักษา เมื่อจับไข้เข้าต้องอาศัย กำลังจิตเป็นเครื่องบรรเทา

    กล่าวคือ เวลาเจ็บไข้ ก็ต้องเร่งภาวนาขึ้นตามกัน พิจารณาจนกว่าไข้จะสร่างหรือหายไป แต่ส่วนมากการเจ็บไข้ จะไม่หายขาด เป็นแต่เว้นระยะการจับไข้ออกไป เช่น สามวันบ้าง ห้าวัน บ้าง แล้วกลับจับไข้อีก เป็นอาการของไข้ป่าชนิดเรื้อรัง

    สำหรับพระธุดงค์ ผู้มุ่งมั่นค้นหาสัจธรรม อย่างแท้จริงแล้ว ท่านจะไม่ท้อแท้ จะยอมตายถวาย ชีวิต ถ้าไข้ไม่หาย ก็ตาย ชาตินี้ไม่สำเร็จ ก็ไปภาวนาต่อในชาติต่อไป
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ๕๐. การเ็ป็นพระคนละนิกาย

    ปํญหาประกานหนึ่ง ที่หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ท่านรู้สึกไม่ค่อยสะดวกใจนัก ได้แก่การเป็น พระในสังกัดคนละนิกาย เพราะในสมัยนั้น ท่านยังเป็นพระในคณะมหานิกาย ยังไม่ได้เปลี่ยน ญัตติเป็นคณะธรรมยุตติกนิกาย


    เมื่อถึงวันอุโบสถ หลวงปุ่แหวน และพระมหานิกายองค์อื่นๆ ไม่สามารถร่วมทำสังฆกรรมฟัง สวดปาฎิโมกข์ได้ ต้องออกไปให้พ้นเขตที่ำกำหนด ต่อเมื่อพิธีเสร็จแล้ว บรรดาศิษย์ที่เป็นพระ มหานิกาย จึงได้รับอนุญาติ ให้เข้ามา บอกปาริสุทธิ์

    ต่อจากนั้น หลวงปู่มั่น จึงแสดงธรรม อบรมอุบายการแก้จิตที่ขัดข้องเวลาภาวนา แนะนำวิธี พิจารณาหรือคำบริกรรมสำหรับผู้เข้ามาปฏิบัติใหม่ แล้วแต่เหตุการณ์

    บรรดาศิษย์ มหานิกายที่ไปอบรมภาวนาอยู่กับหลวงปู่มั่นในสมัยนั้น มีอยู่หลายรูปด้วยกัน เมื่ออยู่ไปนานพอสมควร และเห็นความไม่สะดวกดังกล่าวมาแล้ว จึงไปกราบเรียนขออนุญาติ ญัตติเป็นพระธรรมยุต บางรูป หลวงปู่มั่น ท่านก็อนุญาติ และบางรูปท่านก็ไม่อนุญาต

    สำหรับพระที่หลวงปุ่มั่น ไม่อนุญาติ ให้เปลี่ยนนิกายนั้น ท่านให้เหตุผลว่า " ถ้าพากันมาญัตติ เป็นพระธรรมยุติเสียหมดแล้ว ในฝ่ายมหานิกาย จะมีใครแนะนำในการปฏิบัติ มรรคผลไม่ได้ขึ้น อยู่กับนิกาย แต่มรรคผล ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติดีปฎิบัติชอบ ตามธรรมวินัยทรี่พระพุทธเจ้าได้ทรง แนะนำสั่งสอนไว้แล้ว

    พระองค์สอนให้ละเว้นในสิ่งที่ควรละเว้น เจริญในสิ่งที่ควรเจริญนี่แหละคือทางดำเนินไปสู่ มรรคผล นิพพาน

    บรรดาศิษย์ฝ่ายมหานิกาย ที่หลวงปู่มั่น ท่านไม่อนุญาติให้ญัตตินนั้นต่อมาภายหลัง ศิษย์เหล่า นั้น ก็ได้ไปแนะนำสั่งสอนลูกศิษย์ลุกหาในสายของท่าน จนสามารถขยายวงการปฎิบัติออกไปได้ อย่างกว้างขวาง มีลูกศิษย์ลุูกหาสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

    ศิษย์มหานิกายรุ่นแรกได้แก่ พระอาจารย์ทองรัตน์ กนฺตสีโล วัดป่าบ้านคุ้ม ตำบลโคกสว่าง อำเภอสำโรง จังหวัดอุบลราชธานี ท่านได้มรณภาพ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ.๒๔๙๙ สิริรวม อายุได้ ๖๘ ปี พรรษา ๔๒ หลวงปู่ชา สุำภทฺโท ได้กล่าวว่า " พระอาจารย์ทองรัตน์ เป็นผู้อยู่อย่าง ผ่องแผ้ว จนกระทั่งวาระสุดท้าย เมื่อท่านมรณภาพ ท่านมีสมบัติในย่าม คือ มีดโกนเพียงเล่มเดียวเท่า่นั้น"

    หลวงปุ่ชา สภทฺโท แห่งวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ก็เป็นศิษย์ มหานิกาย ที่มีชื่อเสียงอีกองค์ในรุ่นรองลงมา

    และต่อมาภายหลัง เมื่อหลวงปู่มั่น ไปพำนักในภาคเหนือ ศิษย์มหานิกาย ของท่านที่มีชื่อเสียง ก็ได้แก่ หลวงปุ่คำแสน คณาลงฺกโร วัดดอนมูล (สันโค้งใหม่) อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ และ หลวงปู่คำปัน สภทฺโท วัดสันโป่ง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น







     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ๕๑. คำแนะนำและอุบายแก้ไขจิตจากครูอาจารย์

    หลวงปุ่แหวน สุจิณฺโร เล่าถึงว่า การออกปฏิบัติในสมัยแรกๆ ที่ยังไม่รู้จักภาวนานั้น เวลาอยุ่ ในป่า โดยเฉพาะในเวลากลางคืน มสักจะเกิดความระแวงไปในเรื่องทีไร้สาระต่างๆ ตามแต่จิตมัน จะปรุงขึ้นมา

    ส่วนมากมันจะเป็นเรื่องหลอกตัวเองทั้งสิ้น ตามความเคยชินของจิตที่เคยเป็นอิสระมาตลอด โดยไม่มีขอบเขต ไม่ม่เครื่องกั้น ไม่มีสิ่งควบคุม

    หลวงปู่ เล่าต่อไปว่า " ครั้นมาปฏิบัติเข้าในระยะแรก ก็รู้สึกดื่มด่ำดี แต่พอเอาเข้าจริงๆ จิต กลับฟุ้ง ปรุงไปเป็นอดีตอนาคต ไม่ได้คิดพิจารณา ในเรื่องปัจจุบันนัก"


    หลวงปู่บอกว่า การอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ จึงให้ประโยชน์อย่างมากที่สุด เพราะครูอาจารย์ คอยให้คำแนะนำแก้ไขพร้อมทั้งอุบายในการแก้จิตในเวลาฟุ้งซ่าน อุบายการข่มจิต ในเวลาเกิด ความทะนงตน

    ประกอบกับการได้รับคำสั่งให้ไปอยู่ในที่ต่างๆ ที่แวดล้อมไปด้วยอันตราย ทำให้ได้อาศัย อาจารย์เสือบ้าง อาจารย์ช้างบ้างเป็นผู้ข่มขู่จิต

    นอกจากนี้การเีร่งประกอบความเพียร ให้เป็นไปอย่างติดต่อไม่ขาดวรรคตอน ทั้งกลางวันและ กลางคืน

    จิตก็ค่อยรวมตัวอยู่ในความควบคุมของสติ รวมตัวเช้าสู่สมาธิ ความเยือกเย็นในด้านจิตใจ เริ่มปรากฎผลให้ประจักษ์

    ทำให้เกิดความมั่นใจในข้อปฎิบัติของตน ที่ได้ดำเนินมาว่าไม่ผิดทาง

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เล่าถึงความรู้สึกในจิตจากการปฏิบัติภาวนาในช่วงแรกนี้ว่า

    เมื่อเกิดความสงบ ตัวของจิตเริ่มปรากฎเป็นผลของการปฎิบัติความเพียร ที่เีคยฝักทำมาโดย ตลอด

    พอจิตสงบลง ความเพียรก็เร่งขึ้นตามส่วน เป็นเครื่องบำรุงส่งเสริมสมาธิปัญญา ไปในขณะ เดียวกัน

    เมื่อศรัทธามีกำลัง วิริยะมีกำลัง สติมีกำลัง สมาธิมีกำลัง ปัญญามีกำลัง ต่างก็ส่งเสริมซึ่งกันและ กัน ตั้งแต่สมาธิขั้นต่ำ ไปถึงปัญญาขั้นสูง

    ความสุขทางด้านจิตใจ เริ่มปรากฎเป็นผลให้ชื่นชม ไม่เสียแรง ที่ได้พยายาม ตั้งใจปฎิบัติมา
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ๕๒. สติสัมปชัญญะต้องตื่นอยู่เสมอ

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เล่าถึงการปฎิบัติทางจิตว่า เป็นของที่ละเอียดอ่อนมาก สติสัมปชัญญะ ต้องตื่นอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นจะตามไม่ทันจิต

    จิตเป็นธรรมชาติชอบคิด ชอบปรุง ชอบแส่ส่ายไปหาอารมณ์จากที่ไกล้ที่ไกล ไม่มีขอบเขต

    ถ้าอยู่ในที่ชุมชน อารมณ์ที่เช้ามานั้น ส่วนมากจะเช้ามาทางตาบ้าง ทางหูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง

    การต้อนรับอารมณ์ของจิต มักจะนำมาแบกมาหาม มาทับ มาถมดัวยตัวเอง

    การที่จะสลัดตัดวางนั้นไม่ค่อยปรากฎ

    เพราะเหตุนั้น จึงทำให้เราเป็นทุกข์ไปกับอารมณ์นั้นๆ เป็นสุขไปกับอารมณ์นั้นๆ เป็นความ เพลิดเพลินไปกับอารมณ์นั้นๆ

    ทั้งนี้เพราะขาดการพิจารณาของจิตนั่นเอง

    จิตที่ไม่มีสติเป็นพี่เลี้ยงคอยควบคุมคอยแนะนำ มักจะไปแบกไปหาบ ไปหาม เอาทุกสิ่ง ทุกอย่างมาทับถมตนเอง ให้เกิดทุกข์ ถึงกับบางคนตีอก ชกตน เห็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่น่ารื่นรมย์ กลายเป็นพิษเป็นภัยไปก็มาก

    ส่วนอารมณ์ของนักปฏิบัติผู้อยู่ในป่านั้น มักเกิดขึ้นกับจิตที่ชอบปรุงแต่งเป็นอดีต เป็นอนาคต ซึ่งอารมณ์ประเภทนี้ ทำลายนักปฏิบัติมามากต่อมากแล้ว เพราะไม่รู้ ู่้เท่าทันกลมายาของจิต เหตุ เพราะขาดสติปัญญานั่นเอง

    ดังนั้น การปฏิบัตจิตภาวนา จำเป็นต้องตื่นอยุ่เสมอ อารมณ์ต่างๆ ที่ผ่่านเข้าออกตามทวารต่างๆ นั้น ต้องได้รับการใคร่ควรญพิจารณา จากสติ สัมปชัญญะ เสียก่อนทุกครั้ง
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ๕๓. การพิจารณาปัจจัย ๔ ก่อนบริโภคใช้สอย

    นอกจาการเป็นผู้มีสติประจำอิริยาบถ ตามที่กล่าวมาแล้ว หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ได้บอกว่า การบริโภคปัจจัย ๔ ก็ต้องพิจารณาโอยอุุบายทุกครั้ง

    หลวงปู่ให้คำอธิบายเรื่องนี้ว่า :-

    การพิจารณาปัจจัย ๔ ก่อนการบริโภคใช้สอยนั้นเป็นอุบายข่มความทะเยอทะยาน อยากของ จิตได้ดี บางครั้งก็เกิดความแยบคาย เป็นอุบายของปัญญาได้

    ดังนั้น การภาวนาก็คือการสติสัมปชัญญะ คอยตักเตือนตนเองอยู่เสมอ ไม่ให้เกิดความ ประมาท ความมัวเมา มีอินทรีย์สังวร ละเว้นบาปอกุศล แม้เพียงเล็กน้อย

    จำต้องอาศัยความหมั่น ความพยายามทางกาย ทางวาจา ทางใจของตน

    จึงจะรักษาตนให้อยู่รอดปลอดภัย ในธรรมของพระพุทธเจ้าได้

    ต้องกระทำให้มาก เจริญให้มาก ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ติดต่อกัน ไม่ขาด วรรคขาดตอน
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ๕๔. การแยกย้ายกันไปบำเพ็ญภาวนา

    เมื่อลูกศิษย์ลูกหาได้รับอุบายธรรมจากหลวงปู่มั่น แล้ว ต่างก็แยกย้ายกันออกไปบำเพ็ญ เพียรดูจิตใจของตนเอง

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ได้เล่าถึงเรื่องนี้ว่า :-

    เมื่อได้รับอุบายจากครูอาจารย์แนะนำแล้ว ก็แยกย้ายกันไปทำความเพียร เลือกหาที่เหมาะ แก่จริตนิสัยของตน

    บางท่านที่เด็ดเดี่ยวก็มักจะไปเพียงองค์เดียว ที่ยังไม่มีความกล้าพอก็มักไปกัน ๒ องค์บ้าง ๓ องค์บ้าง

    สถานที่ไป ส่วนมกมักเป็นป่าช้า ป่าชัฎ ซึ่งมีถ้ำมีหน้าผาพอเป็นที่อยู่อาศัยหลบฝนหลบแดด หลบลม ในคราวจำเป็น

    ในระยะแรก จะไปอยู่ไม่ไกลจากครูอาจารย์นัก ประมาณว่าพอเดินมาฟังธรรม มาทำอุโบสถ ในวันอุโบสถ

    เว้นเสียแต่มีอาจารย์ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นพี่ควบคุมไปนั่นแหละจึงไปได้ไกล เวลาติดขัดด้านการ ภาวนา ก็ต้องอาศัยอาจารย์ผู้ควบคุมนั่นแหละเป็นผู้แนะนำ

    แต่ถึงอย่างนั้น นานๆครั้ง ถ้าเป็นไปได้ตส้องพยายามหาโอกาส ไปฟังธรรมจาก หลวงปู่มั่น อยู่เสมอ

    การจำพรรษาร่วมกันกับหลวงปู่มั่น ก็นานๆจึงจะได้จำร่วมกับท่านครั้งหนึ่ง

    ส่วนมาก บรรดาพระที่เป็นลูกศิษย์ลูกหา มักจะแยกกันอยู่เพราะการอยู่ร่วมกันมากๆ มักจะ เป็นภาระเคร่องกังวล หรือไม่ ก็ความวุ่นวาย
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ๕๕. จาริกไปฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโร กับหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ได้ร่วมกันจาริกธุดงค์ไปฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ทางฝั่งของประเทศลาว


    หลวงปู่ทั้งสองเริ่มเดินทางไปทางอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย แล้วข้ามแม่น้ำโขงขึ้นไปฝั่งลาว แล้วเดินข้ามป่าข้ามเขาไปเรื่อยๆ เมื่อถึงตอนเย็นก็ปักกลด ค้างคืนตามที่ ที่เห็นว่าเหมาะสม

    ทางฝั่งลาวในสมัยนั้น ป่าส่วนมากเป็นป่าดงดิบ ต้นไม้ใหญ่ลำต้นสูง แต่ข้างล่้างโปร่ง เดินได้ สะดวก ถ้าหมดป่าสูง บางแห่งก็เป็นป่ารกชัฎ ซึ่งต้องเดินมุดไปตามเส้นทางช้าง เพราะช้างป่าจะมี ทางเดินประจำของพวกมัน ช้างป่าแต่ละโขลง มีจำนวนหลายสิบเชือก ทางเดินของมันจึงเตียน ราบพอที่จะให้พระธุดงค์ ได้อาศัยเดินทางไปได้

    หลวงปู่แหวน กับหลวงปู่ตื้อ เดินไปได้สามวัน จึงข้ามแม่น้ำกง แม่น้ำนี้ บางแห่งไหลผ่านที่ ราบ ชาวบ้านใช้เป็นที่เพาะปลูก และทำไร่ทำนา

    เมื่อถึงเวลาค่ำ หลวงปู่ก็ปักกลด พักในป่าที่ไม่ห่างไกลจากหมู่บ้านนัก พออาศัยบิณฑบาตใน ตอนเช้าได้

    วันหนึ่ง หลวงปู่ทั้งสององค์ เดินไปพบหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตอนตะวันจวนจะหมดแสงอยู่แล้ว จึงจัดการหาที่พัก ปักกลดเพื่อค้างคืน

    พอกางกลดเสร็จ นั่งพักไม่ทันหายเหนื่อย ก็เห้นพวกชาวบ้านเป็นหญิงล้วน เดินมาเป็นแถว สิบกว่าคน แต่ละคนมีขันข้าว กระติ๊บข้าว แสดงท่าทางจะเอามาถวายพระ

    เมื่อมาถึงก็วางขัน วางกระติ๊บข้าวลงตรงหน้าพระ แล้วต่างก็พูดว่า " งอจ้าวเหนียว งอจ้าวเหนียว "

    พอจะเข้าใจเจตนาของพวกเขา ว่าเอาข้าวมาถวาย แต่นอกจากนั้นไม่ทราบว่า พวกเธอพูดว่า อะไร

    หลวงปู่แสดงท่าทางให้รู้ว่า ไม่รู้คำกัน ให้ไปบอกพวกผู้ชายมาพูดกัน

    พวกหล่อนเช้าใจ จึงพากันกลับ

    สักครู่ก็มีพวกผู้ชาย มากันหลายคน พวกเขาพูดว่า " นิมนต์เจ้าบุ๊น ฉันข้าวก่อน ท่านเดินทาง มาไกล คงหิว นิมนต์ฉันให้อิ่มเสียก่อน"

    หลวงปู่บอกพวกเขาว่า " ไม่เป็นไรหรอก เอาข้าวกลับไปก่อน ขอเฉพาะน้ำร้อนก็พอ พรุ่งนี้ เช้าค่อยเอาข้าวมาใหม่"

    หลวงปู่บอกว่า พวกเขาเช้าใจ และทำตามคำที่เราบอก ชาวบ้านเหล่้านี้ ไม่รู้ว่าเป็นเผ่าไหน เวลาพูดกันเราฟังภาษาเขาไม่รู้เรื่อง

    ที่พวกผู้ชายพูดกับพวกเราพอเข้าใจ เพราะพวกผู้ชายเป็นพวกที่มีการสังคม ติดต่อกับคน ภายนอกหลายเผ่า หลายภาษา ส่วนพวกผู้หญิงจะอยู่เฉพาะในหมู่บ้าน จึงพูดได้เฉพาะภาษาของ ตนเอง"
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ๕๖.ทำการบิณฑบาตแบบโบราณ

    พอรุ่งเช้า หลวงปู่แหวน กับหลวงปู่ตื้อ ก็เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน


    หลวงปู่เล่าว่า การไปบิณฑบาตกับพวกชาวบ้านป่าเช่นนั้น ต้องทำการบิณฑบาตแบบโบราณ คือ ไปยืนอยู่หน้าบ้าน ทำเป็นไอ กระแอม เพื่อให้เจ้าของบ้านได้ยินเสียง แล้วจะโผล่หน้าออกมาดู ถ้าเขารู้ก็จะพากันเอาข้าวมาใส่บาตร ก็ต้องทำท่่าทางบอกให้พวกเขารู้

    เมื่อหลวงปู่ทั้งสองฉันเสร็จ ก็ออกเดินทางต่อไป ถึงตอนเย็นก็ไปถึงหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งพอดี ที่นี่มีวัดประจำหมู่บ้าน แต่ไม่มีพระ มีเณรอยู่เพียงรูปเดียว

    เณรแสดงความดีใจ ให้การต้อนรับอย่างกระตือรือล้น จัดน้ำใช้ น้ำฉันมาถวาย เตรียมที่นอน ให้ และนิมนต์ให้พักอยู่ด้วย

    เห็นเณรมีอัธยาศัยดี ทั้งสององค์จึงตกลงพักที่วัดนั้นตามคำนินมนต์ของเณร

    เมื่อจัดการต้อนรับเรียบร้อยแล้ว เณรหายไปทางหลังกุฏิ แ้ล้วได้ยินเสียงไก่ร้อง ตีปีกดังพับๆ แล้วเงียบหายไป อีกสักพักก็ได้กลิ่นไก่ย่างโชยมา

    หลวงปู่ บอกว่า ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร เณรหายไปร่วมชั่วโมง ก็กลับมาพร้อมกับถาดมีข้าว เหนียวควันกรุ่นๆ กับไก่ย่างร้อนๆ ดูยั่วน้ำลายน่ากิน มาวางลงตรงหน้า

    เณรยกถาดอาหารเข้าประเคน พร้อมกับพูดว่า " นิมนต์ครูบา ฉันข้าวก่อน เดินทางมาเหนื่อย วันนี้ผมย่างไก่มาอย่างดี นิมนต์ฉันให้อิ่ม"

    หลวงปู่ จึงบอกเณรว่า " ไม่ต้องห่วงหรอกเณร เอากลับไปเถอะ วันนี้หมดเวลาฉันแล้ว ตอน เย็นฉันน้ำร้อนก็พอแล้ว"

    เณรก็มายกถาดอาหารกลับไป หลวงปุ่เล่าอย่างยิ้มๆว่า " เณรแก จะเอาไปบังสุกุลหรืออย่างไร กัไม่ได้สนใจ"

    รุ่งขึ้นเช้า เมื่อฉันแล้ว ก็ลาเณร ออกเดินทางกันต่อไป
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ๕๗. มุ่งตรงไปเมืองหลวงพระบาง

    หลวงปู่บอกว่า ภูมิประเทศทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแขตของประเทศลาวนั้น เป็นที่ ร่มรื่น มีป่าและภูเขามาก สัตว์ป่ามีชุกชุม พวกมันไม่กลัวคน เวลาหลวงปู่เดินทางผ่านไป พวกมันต่างก็ หากินตามปกติ เหมือนไม่มีใครแปลกปลอมผ่านมา พวกมันไม่เห็นตกอกตกใจ หรือแสดงท่า ระแวดระวังภัยแต่อย่างใด

    เวลาเช้า จะได้ยินเสียงพวกลิง ค่าง ชะนี ร้องเสียงระงมอยู่ทั่วไป

    หลวงปุ่เิดินทางขึ้นไปทางเหนือของประเทศ เมืองต่างๆบนเส้นทางนั้น ล้วนแต่เป็นเมืองเล็ก เมืองน้อยทั้งสิ้น มีเมืองหลวงพระบาง เท่านั้น ที่เป็นเมืองใหญ่

    หลวงปู่ทั้งสอง ตกลงใจจะเข้าไปเมืองหลวงพระบางเสียก่อน เพราะเป็นเมืองที่มีชื่อเสียง ต่อ จากนั้น จึงค่อยเดินทางต่อไป สิบสองปันนา สิบสองจุไท

    เมื่อถึงหลวงพระบาง หลวงปุ่ไปพักที่วัดใต้ หนึ่งในสามวัดในเมือง

    ในเมืองหลวงพระบางมีวัด ๓ วัด คือวัดเหนือ วัดพระบาง และวัดใต้

    วัดพระบางเป็นวัดสำคัญ และเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง เป็นที่ประดิษฐานของพระบาง พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ประจำเมือง

    ในเมืองมีผู้คนไม่มากนัก เมืองอยู่ในหุบเขา มีภูเขาล้อมรอบ มีที่ราบพอได้อาศัยปลูกข้าวและ ทำการเกษตร พอเลี้ยงพลเมืองได้

    ประชาชนทั่วไปมีอัธยาศัยดี ไม่มีโจรผู้ร้าย ประชาชนมีใจบุญสุนทาน และดูเคร่งครัดต่อ ศาสนาพอสมควร ทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการทำนาและหาของป่า การค้าขายก็พอมีบ้างไม่มากนัก

    การเพาะปลูกพืชผลอย่างอื่น พอมีบ้าง แต่ไม่มาก เพราะมีพื้นที่ราบจำกัด ภูมิประเทศถูกล้อม รอบด้วยภูเขา
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ๕๘. เดินทางต่อไม่ได้ต้องกลับประเทศไทย

    หลวงปู่แหวน กับหลวงปู่ตื้อ พักอยู่ในเมืองหลวงพระบาง พอสมควรแล้ว ก็ออกเดินธุดงค์ ต่อไปทางสิบสองปันนา สิบสองจุไท แต่ไปพบด่านทหารฝรั่งเศส


    พวกทหารฝรั่งเศส ถามหลวงปู่ทั้งสอง ว่า จะไปไหนและมาจากไหน

    หลวงปู่ บอกเขาว่า จะไปสิบสองปันนา สิบสองจุไท และเดินทางมจาประเทศสยาม

    พอรู้ว่ามาจากประเทศสยาม จึงไม่ให้ท่านเดินทางต่อไป ท่านจึงต้องเดินทางกลับลงมาที่เมือง หลวงพระบาง อีกครั้ง

    พักอยู่หลวงพระบาง สองสามวัน ท่านจึงตกลงกันเดินทางกลับเืมืองไทย โดยเดินทางลัดป่า เขามาตามทางเดิม ผ่านเมืองต่างๆ ได้แก่ เมืองเลน เมืองโป เมืองแมด เมืองกาสี

    ในระหว่างนั้น มีข่่าวว่า เจ้ามหาชีวิตของลาวจะเสด็จๆ ไปยังเมืองเวียงจันทน์ ทางการจึงได้ เกณฑ์ราษฎรมาแผ้วถางทางผ่านเมืองต่างๆดังกล่าว การเดินทางกลับของหลวงปู่ จึงได้อาศัยเส้น ทางนี้เดินทางไปยังเวียงจันทน์

    เมื่อถึงเวียงจันทน์ หลวงปู่เดินเลียบฝั่งโขงล่องลงมา และขึ้นฝั่งไทยตรงอำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย

    การจาริกไปทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ของหลวงปู่ทั้งสององค์ในคราวนั้น ใช้เวลาเดินทางทั้งไป และกลับ เป้นเวลาทั้งสิน ๑๔ วัน
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ๕๙. ภาวนาแถวอำเภอท่าลี่จังหวัดเลย

    เมื่อหลวงปุ่แหวนกับหลวงปู่ตื้อ กลับเข้าประเทศไทยทางอำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย แล้ว ท่าน ไม่ได้กลับไปวัดโพธิ์ชัย บ้านนาโป่ง วัดบ้านเกิดของหลวงปู่แหวน แต่ได้พักภาวนาอยู่ตามป่าเขา แถวอำเภอท่าลี่นั่นเอง


    นอกจากการบำเพ็ญภาวนาแล้ว ยังเป็นการพักผ่อนร่างกายที่เหนื่อยเพลีย จากการเดินทาง จาริกไปทางฝั่งลาว

    เขตอำเภอท่าลี่ มีป่าและภูเขามาก นับเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่มีภูมิประเทศเหมาะแก่การบำเพ๊ญ ภาวนา

    แม้แต่ในปัจจุบัน ผู้เขียน ( ปฐม นิคมานนท์) เคยตระเวณไปในอำเภอต่างๆ ของจังหวัดเลย ภูิมิประเทศเต็มไปด้วยภูเขาที่สลับซับซ้อน ป่าไม้ยังมีมาก แม่น้ำลำธารมีหลายสาย แถมยังมีความ วิเวกห่างไกลผู้คน นอกจากเหมาะสำหรับไปท่่องเที่ยวพักผ่อนแล้ว ยังน่าไปบำเพ็ญภาวนาเป็น อย่างยิ่ง

    เมื่อหลวงปุ่แหวน กับหลวงปุ่ตื้อ แสวงวิเวกบริเวณป่าเขาอำเภอท่าลี่พอสมควร ร่างกายหาย จากการอ่อนเพลียแล้ว ท่านก็ตกลงกันว่า จะแสวงความวิเวก ไปทางภาคเหนือต่อไป

    ทางภาคเหนือ เป็นสถานที่ที่ทั้งสององค์ยังไม่เคยไปมาก่อน จึงตกลงเดินทางมุ่งสู่ภาคเหนือ ทันที
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ๖๐. จาริกไปภาคเหนือ

    ในบันทึกการเดินทางของหลวงปู่แหวน กับหลวงปู่ตื้อ ในการจาริกจากอำเภอท่าลี่ จังหวัด เลย ไปยังภาคเหนือมีดังต่อไปนี้ :-

    สมัยก่อน จะไปไหน พาหนะที่ดีที่สุดคือขาสองขา ของเรานี้เอง เดินไปค่ำไหนนอนที่นั่น ไม่ ต้องเป็นห่วงเด็กเล็กที่เป็นลูกศิษย์ เพราะไม่จำเป็นต้องมี ที่ไหนไม่เหมาะก็พักคืนเดียว


    ในครั้งนั้น เดินออกจากอำเภอท่าลี่ มาอำเภอด่านซ้าย (จังหวัดเลย) จากด่านซ้าย ก็เดินเข้าป่า ข้ามเขาไปอำเภอน้ำปาด (จังหวัดอุตรดิษถ์) โดยผ่านเขตอำเภอนครไทย(จังหวัดพิษณุโลก) ซึ่ง มีภูมิประเทศเป็นป่า เขาเกือบทั้งสิ้น

    การเดินทางก็เดินได้เฉพาะกลางวันเท่านั้น เย็นลงต้องหาที่พักเพราะสัตว์ป่า เช่น ช้าง เสือ ชุกชุม ประชาชนกลัวกันมาก ไม่กล้าเดินคนเดียว แม้สองสามคนก็ไม่กล้าเดิน เพราะกลัวพวก สัตว์ร้ายเหล่านั้น

    บางแห่งเขาจะสร้างที่พักไว้กลางทาง สำหรับผู้เดินทางจะได้พักอาศัย หลับนอนในเวลา กลางคืน

    หลังจากนั้น เดินทางไปอำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ แล้วตัดไปอำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน

    พื้นที่ดังกล่าวแล้วนี้ เป็นป่าเป็นเขาเป็นส่วนมาก มีหมู่บ้านเป็นแห่งๆ ตามที่ราบเชิงเขา บางแห่งก็มีหมู่บ้านชาวเขาตั้้งอุยู่พอได้อาศัยบิณฑบาต

    จากจังหวัดน่าน เดินทางวกลงมาทางอำเภอสอง อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ๖๑. ขอบิณฑบาตข้าวจากชาวเขาเผ่าเย้า

    บัันทักการเดินทางของหลวงปุ่แหวน กับหลวงปู่ตื้อมีต่อไปว่า ๆ :-

    วันหนึ่ง ขณเดินทางมาด้วยความอ่อนเพลีย กลางป่าเขา เพราะยังไม่ได้ฉันข้าว ขณะเดิน ทางมานั้นเผอิญไปพบหมู่บ้านชาวเย้า เข้าแ่ห่งหนึ่ง จึงเข้าไปบิณฑบาต

    เดินไปไม่พบใครเลย เนื่องจากออกไปทำไร่หมด จวนจะเป็นบ้านสุดท้ายอยู่แล้ว

    พอดีมีชายคนหนึ่ง โผล่ออกมาจากบ้าน จึงพูดกับเขาว่า

    " สหาย เรายังไม่ได้กินข้าว ขอข้าวเรากินบ้าง "

    เย้าคนนั้นตอบว่า :-

    " ข้าวเฮามีน้อย เฮบ่หื้อ เฮาเอาไว้กิ๋น เอาไว้ขาย ข้าวสุกเฮาก็มี เฮาบ่หื้อ เฮาเอาไว้กิ๋น ข้าว สารเฮาก็มี เฮาเอาไว้ขาย เฮาบ่หื้อ "

    เขาพูดออกมาจากใจจริงของเขา ตรงๆ ตามภาษาซื่อๆของเขา พวกเหล่านี้ไม่มีมายาสาไถย อะไร พวกเขามีความในใจอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น เขาไม่คิดว่า มันจะไปกระทบใจใคร หรือ จะไปทำความไม่พอใจให้ใคร แม้จะไปทำความผิดหวังให้ใครเขาก็ไม่คิด เพราะความซื่อของเขา

    เย้าคนนั้น นอกจากแกจะพูดว่า " เฮาบ่หื้อ " แล้ว ตาของแกยังจ้องมองไปที่บาตรของพระ ที่ยังว่างเปล่านั้นอีก แล้วแกก็พูดขึ้นว่า

    " หม้อนั้น ขายฮื้อเฮา เฮาเอาไว้ต้มข้าว"

    เมื่อถูกชายชาวเย้า พูดขอซื้อบาตรเช่นนั้น ทำให้เกือบกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ทำเอาลืมหิวข้าว ไปชัวขณะหนึ่ง จึงบอกกับแกว่า

    " ไม่ได้ เราขายให้ไม่ได้ เมื่อไปถึงบ้านถึงเมืองเรา ใช้บาตรใบนี้แหละไส่ข้าว"
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ๖๒. พบหญิงเย้าใจอารี

    เมื่อหลวงปู่ เห็นว่าการบิณฑบาตครั้งนั้นไม่มีหวังแล้ว จึงเดินทางต่อไป ระหว่างทางได้พบ หญิงชาวเย้าผู้หนึ่ง จึงออกปากขอบิณฑบาตข้าวอีก คราวนี้ไม่ต้องบิณฑบาต แต่พูดขอเอาที่เดียว ว่า " สหาย เต็มที่แล้ว เรายังไม่กินข้าว เอาข้าวให้เรากินบ้าง"


    หญิงชาวเย้าตอบว่า " คอยเฮากำเน้อ" แล้วรีบเดินทางเข้าไปในบ้านครู่หนึ่ง เดินถือขันข้าว ออกมา พร้อมกับพูดว่า " ข้าวมีม๊อกอี๋ " แล้วก็เทข้าวใส่ในบาตะจนหมดขัน

    เมื่อได้ข้าวจากหญิงที่มีใจอารีแล้ว จึงหาที่เหมาะเพื่อฉันข้าวต่อไป การฉันข้าววันนั้น ก็ไม่มี พิธีรีตองอะไร เพียงเอาน้ำเทใส่ข้าว แล้วก็ฉันเท่านั้น เพราะไม่มีกับอย่างอื่น

    ข้าวสารชาวเขานั้นเป็นข้าวไร่ เขามีวิธีหุงพิเศษ เมื่อหุงสุกแล้วมีกลิ่นหอม รสหวาน นิ่มดี แม้พวกขาวเขาเอง เวลากินข้าว ก็ไม่มีอะไรมาก มีพริกมีเกลือ ก็กินกับพริก กับเกลือไป ถ้าไม่มี ก็กินกับน้ำ

    ถ้าวันไหนได้เนื้อมา ก็เอามาย่างไฟแล้วกินกับข้าวอย่างเอร็ดอร่อย จะต้มจะแกงเหมือนพวก เรานั้นทำไม่เป็น

    พวกนี้อยู่ง่าย กินง่าย ตามเผ่าของพวกเขา เผ่าไหนสูบฝิ่นหลังอาหารก็มีการสูบฝิ่น แถมนอน สูบกันอย่างสบายอารมณ์
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ๖๓. พบพระชาวเหนือผู้มีเมตตาจิต

    หลังจากฉันข้าวที่หญิงชาวเ้ย้าถวายแล้่ว หลวงปุ่แหวน กับหลวงปุ่ตื้อ ก็ออกเดินทางต่อไป บันทึกกล่าวต่อไปว่า


    เมื่อฉันเสร็จแล้ว จึงออกเดินทาง จากหมู่บ้านชาวเย้า มาถึงพื้นที่ราบ เป็นหมู่บ้านของคนเมือง เดินไปพบกับพระองค์หนึ่ง ถามถึงทางที่จะไปข้างหน้า ว่ายังอีกไกลเท่าไร

    ท่านตอบว่า " ผากข้าวตอน"

    ก็ไม่เข้าใจภาษาของท่าน แต่เพราะความมีเมตตาจิตของท่าน ท่า่นจึงชวนพักอยุ่กับท่า่นก่อน เมื่อหายเหนื่อยแล้ว ค่อยออกเดินทางต่อไป

    พระท่านพูดว่า " นิมนต์พักอยู่กับผมก่อน ผมจะไม่ให้เดือดร้อนอันใด ข้าวน้ำโภชนาหารก็ดี เสนาสนะที่นั่งอันใดก็ดี ผมจะจัดการทั้งหมด เป็นธุระของผมเอง"

    พระท่านยังบอกอีกว่า " ผมเคยไปเที่ยวทางใต้มา เขาต้อนรับผมอย่างดี ตอนนั้นผมยังไม่รู้จัก ธรรมเนียม แต่เดี๋ยวนี้ผมรู้แล้ว นิมนต์พักให้สบายก่อน มีกำลังแล้วค่อยเดินทางต่อไป"

    หลวงปู่ทั้งสองจึงตกลงพักฉลองศรัทธา ความปราถนาดีของพระองค์นั้น ๓ วัน
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ๖๔. แยกทางกับหลวงปุ่ตื้อ

    บัึนทึกการเดินทางของหลวงปู่ทั้งสององค์ มีต่อไป ดังนี้


    เมื่อพักมีกำลังแล้ว อำลาท่านผู้มีใจอารีเดินทางต่อไป

    รุ่งเช้า พอฉันเสร็จ จึงออกเดินทาง เวลาประมาณ เพล จึงถึงหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง ที่ต้องการ ไป จึงรู้เอาคำว่า "ผากข้าวตอน" ก็คือระยะทางเดิน ไปกินข้าวกลางวันข้างหน้าทัน"

    เพราะระยะทางจากวัดที่พัก ถึงหมู่บ้านนี้ เดินไปกินข้าวข้างหน้าได้

    เดินทางมาถึงแพร่ พักอยู่ ๒ วัน จึงเดินทางต่อไปอำเภอสูงเม่น อำเภอเด่นชัย บ้านปิ่น แล้ว เดินทางตามทางรถไฟไปอีก ๔ วัน หลังจากนั้น ต้องเดินทางข้ามเขาไปอีก

    ขณะเดินทางข้ามเขาไปนั้น ระหว่างทางพบกับพวกจีนฮ่อ และได้เดินทางต่อไปจนถึงลำปาง จึงแยกกันกับหลวงปุ่ตื้อ

    หลังจากนั้น หลวงปู่แหวน จึงเดินทางไปยังเชียงใหม่ แต่เพียงองค์เดียว

    ทางด้านหลวงปู่ตื้อ ท่านแยกไปทางอำเภอเถิน หลังจากนั้น จึุงไปพบกัน เพื่อกราบหลวงปู่มั่น ที่วัดเจดีย์หลวง ในเมืองเชียงใหม่

    หลวงปุ่แหวน กับหลวงปู่ตื้อ ได้แปรญิตติ เป็นพระธรรมยุต ณ ว้ดเจดีย์ หลวง นั้นในเวลา ต่อมา
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ๖๕. บำเพ็ญภาวนาที่ภูเขาควาย ฝั่งประเทศลาว

    ในบันทึกการท่องธุดงค์ของหลวงปุ่แหวน สุจิณฺโณ ไม่ได้ระบุวันเดือนปี ของการเดินทาง รวมทั้งไม่ได้บอกด้วยว่าหลวงปู่ท่านไปองค์เดียว หรือมีพระองค์อื่นไปด้วย


    จากคำบอกเล่้าของครูบาอาจารย์ บอกว่า ส่วนใหญ่ หลวงปุ่แหวน กับหลวงปุ่ตื้อ ท่านจะไป ด้วยกัน แต่ไม่ได้หมายความว่า จะเกาะติดไปด้วยกันตลอด บางช่วงท่านก็แยกกัน บางช่วงก้พัก ด้วยกัน หรือหลายๆ วันจึงจะพบกันทีหนึ่ง แต่จะไปในแถบถิ่นเดียวกัน นัดพบกันเป็นที่ทีไป

    ในบันทึกส่วนการเดินทางของ หลวงปุ่แหวน มีดังนี้

    หลังจากเลิกเรียนด้านปริยัติที่อุบลๆ แล้วออกปฏิบัติกรรมฐาน จาริก ไปฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒

    ไปคราวนี้ ออกจากประเทศไทยข้ามโขงไป ผ่านเมืองเวียงจันทน์ ตัดเข้าดงอีกแห่งหนึ่ง เรียก ว่าดงเมือง

    พ้นจากดงเมือง ข้ามแม่น้ำงึมไป ไปสู่ดงดิบของภูเขาควาย

    ป่าบริเวณนั้นเป็นป่าดงดิบ มีถ้ำมีเหวอยุ่ทั่วไป บนหลังเขามีลานหินกว้าง ซึ่งถือกันในหมุ่นัก ปฎิบัติว่า ภูเขาควายเป็นสถานที่เหมาะสมสำหรับนักปฏิบัติธรรม ที่ต้องการสถานที่ สงบสงัดปราศ จากการพลุกพล่าน วิเวกวังเวง ไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด

    ดังนั้น การบำเพ็ญภาวนาอยู่แถวภูเขาควาย เวลาทำความเพียร จิตจึงสงบง่าย

    เมื่อภาวนาอยู่ไปหลายวัน จิตคุ้นกับสถานที่แล้ว ก็ย้ายไปแห่งใหม่ต่อไป ทั้งนี้เพื่อเป็นการ ปลุกจิต ปลุกประสาท ปลุกสติ ให้ตื่นตัวอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นมักเกิดความประมาท

    เมื่อคุ้นเคยกับสถานที่แล้ววทำความเพียรไม่ดีเท่าเที่ควร การเปลี่ยนสถานที่แต่ละแห่ง สิ่ง แวดล้อมไม่เหมือนกัน จึงทำให้เกิดความระมัดระวัง เป็นการสร้างสติสัมปชัญญะ เร่งความเพียร ไปในตัว

    ดังนั้นผู้ปฎิบัติต้องรู้จักสังเกตุความเปลี่่ยนแปลง ของสิ่งแวดล้อม เลือกหาสถานที่ ที่มีเครื่อง เตือนสติอยู่เป็นประจำ

    ด้วยเหตุนี้เอง หลวงปู่มั่น ท่่านจึงบอกศิษย์ให้อยู่ในที่ที่มีมันตราย เพื่อจะได้ไม่ประมาท ในการ ทำความเพียร ต้องมีสติอยุ่เสมอ การไปอยู่ในที่ที่อันตราย ความเป็นความตาย จึงฝากไว้กับสติ
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ๖๖. ชาวบ้านชอบใส่บาตรข้าวกับน้ำำตาล

    พอออกจากภูเขาควายแล้ว วันหนึ่ง หลวงปู่แหวน ได้ไปพักที่ หมู่บ้านนาสอง เป็นหมู่บ้าน ที่ใหญ่พอควร

    หลวงปู่ เล่าว่า พวกชาวบ้านถิ่นนั้นมีแปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือ เวลาเห็นพระไปบิณฑบาต พวก เขาจะป่าวร้องกันมาใส่บาตรว่า " มาเน้อ มาใส่บาตร ญาธรรมมาแล้ว หาน้ำอ้อยน้ำตาลมาใส่บาตร ญาธรรมท่านชอบของหวาน"

    เมื่อได้ยินคนป่าวร้องประกาศเช่นนั้น ต่างก็เอาของมาใส่บาตรจนเต็ม

    หลวงปู่ว่า " พวกนี้เหมือนกับพวกไทยใหญ่ ถ้าเห็นพระไปบิณฑบาต เขาก็จะใส่บาตรด้วย น้ำอ้อย น้ำตาล กั่บข้าวเช่นกัน พวกเขาถือว่า เจ้าปุ้น ไม่กินเนื้อสัตว์ กินแต่ของหวาน

    แต่อย่างไรก็ตาม การฉันข้าวกับน้ำอ้อยน้ำตาลนั้น วันสองวันแรกก็ฉันได้ดี แต่วันที่สสาม ที่สี่รู้สึกเบื่อ


    ๖๗. พบเนื้อคู่ตามคำทำนายของหมอดู

    ในสมัยที่ หลวงปุ่แหวน สุจิณฺโณ เรียนมูลกัจจายน์อยู่ที่จังหวัดอุบลๆ นั้น เคยมีหมอดูทำนาย เกี่่ยวกับเนื้อคู่ของท่าน ว่าจะอยู่ทางทิศนั้นๆรูปร่างสันทัด ผิวเนื้อขาวเหลือง ใบหน้ารูปใบโพธิ์


    ก็ไม่ทราบว่า หลวงปู่ จะใส่ใจกับคำทำนาายนั้นหรือไม่ เพียงใด หรือว่าเพียงแต่ดูหมอไป แบบสนุกๆก็ตาม แต่คำทำนายนั้นก็ปรากฎขึ้นจริง

    วันหนึ่ง ตอนใกล้ค่ำ หลวงปุ่ ไปสรงน้ำที่ฝั่งแม่น้ำงึม ก็พบหญิงสองคนแม่ลูกกำลังถ่อเรือ มาตามลำน้ำ มาถึงบริเวณที่พระกำลังอาบน้ำอยู่ หญิงสาวชำเลืองตามองทางพระหนุ่ม สายตาเกิด ประสานกันเข้าพอดี

    ในบันทึกเล่าไว้ว่า

    " เมื่อสายตาของทั้งสองฝ่ายประสานกันเข้า ก็มีอานุภาพลึกลับและรุนแรง พอที่จะตรึงคน ทั้งสองฝ่ายให้ตะลึงไปได้ ระหว่างเดินกลับมาที่พัก ในใจยังคิดถึงหญิงงามนั้นอยู่"

    เมื่อหลวงปุ่กลับถึงที่พัก ก็หวนระลึกถึงคำทำนายของหมอดู พิจารณาดูแล้วก็น่าจะเป็นจริง

    " หญิงที่เราพบเห็นเมื่อตอนเย็น ก็มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับคำทำนายของหมอ เห็นจะเป็น แม่หญิงคนนี้แน่"
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ๖๘. ต้องตัดสินใจ

    คืนนั้น หลวงปุ่ ยังครุ่นคิดถึงแม่สาวงามที่สายตาประสานกันเมื่อตอนเย็น

    " เห็นจะเป็นแม่หญิงคนนี้แน่ เพราะเมื่อเราเห็นเป็นครั้งแรก ก็ทำให้เรา มีจิตปรวน แปรแล้ว"

    ในคืนนั้น หลวงปุ่คิดสับสบว้าวุ่นพอสมควร คิดถึงคำทำนายของหมอดู คิดถึงแม่สาวงาม นัตย์ตาคมผู้นั้น คิดถึงความตั้งใจในการออกป่าบำเพ็ญภาวนา ที่สำคัญคือคำสัญญาที่ให้ไว้กับ โยมแม่และโยมยาย ที่บอกว่า " บวชแล้ว จะต้องตายในผ้าเหลือง"

    จิตหวนคิดถึง หลวงปู่มั่น ที่เคยอบรมสั่งสอนเมื่อตอนฝึกหัดภาวนาที่ฝั่งไทย คิดถึงคำเตือน และอุบายธรรมที่ท่่านเคยสอน

    พลัน .... " เราต้องรีบกลับเมืองไทย"

    วันรุ่งขึ้น สองแม่ลูกได้นำข้าว หมากพลู บุหรี่ มาถวายแต่เช้าตรู่ ก่อนใครอื่นทั้งหมด ทั้งสอง คนช่วยกันมวนบุหรี่ จีบพลู สายตาของหญิงสาวคอยชำเลืองมองไปทางพระ

    ถึงเวลาบิณฑบาต หลวงปู่ก็ออกบิณฑบาต ตามปกติ ไม่ได้แสดงอาการอะไรให้ผิดสังเกตุ

    พอฉันเสร็จ พวกญาติโยมที่นำอาหารมาถวายต่างลากลับ หลวงปู่ ก็เก็บบริขาร บอกลาเพื่อน พระ และเจ้าสำนัก แล้วข้ามโขงกลับฝั่งไทย
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ๖๙. มาพบหลวงปู่มั่นโดยไม่คาดคิด

    ท่านผู้อ่านจะสังเกตุเห็นว่า พระธุดงค์ท่านไปไหนมาไหนได้รวดเร็ว " ประดุจดังนกบิน" เพราะท่านไม่มีสมบัติที่จะต้องหอบหิ้วและห่วงใย มีแต่บริขารที่จำเป็นและใส่ลงในบาตร มีกลด ธุดงค์ กาน้ำและเครื่องกรองน้ำ เท่านั้น ท่า่นจึงอยุ่ง่าย มาง่าย ไปง่าย แม้ชีวิตท่านก็สละแล้ว


    หลวงปู่ ได้อาศัยเรือข้ามจากท่าเดื่อ มาขึ้นที่หนองคายฝั่งไทย เดินขึ้นเหนือไปตามลำน้ำโขง ไปถึงอำเภอศรีเชียงใหม่(จังหวัดหนองคาย) ไปพีกอบรมตนอยู่ที่ พระบาทเนินกุ่ม หินหมากเป้ง

    ที่พระบาทเนินกุ่ม หินหมากเป้ง นั้นเอง หลวงปแหวน ก็ได้พบกับ หลวงปุ่มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์ใหญ่ อย่างไม่ีคิดไม่ฝัน ทำให้ท่านดีใจมาก ความมั่นใจว่าจะสามารถครองผ้าเหลือง ไปจนตาย ดูมีความเป็นจริงขึ้นมา

    ในช่วงนั้น หลวงปุ่มั่น ท่านได้ปลีกตัว ออกจากหมู่คณะ มาภาวนา อยู่บริเวณนั้นอยู่ตามลำพัง องค์เดียว

    จากบันทึกในส่วนของหลวงปุ่แหวน บอกไว้ว่า

    " เมื่อได้พบกับอาจารย์อีก จึงดีใจมาก การพักอบรมตนอยู่กับหลวงปุ่มั่น ก่อนเ้ข้าพรรษา ทำให้จิตใจค่อยสงบตัวลง ไม่ฟุ้งซ่าน เหมือนก่อน แต่ภาพผู้หญิงงานนั้น ยังปรากฎขึ้นเป็นครั้ง คราว แต่เมื่อเร่งภาวนเข้า ภาพนั้นก็สงบลง "
     

แชร์หน้านี้

Loading...