นิมิต - กรรมฐาน

ที่มา https://www.youtube.com/@Uboat2Nirvana

 

“ #จงอย่าคิดว่าเราจะไม่สามารถตัดกิเลสได้ “
#ทุกคนจงอย่าคิดว่าเราจะไม่สามารถตัดกิเลสได้ เราไม่สามารถไปนิพพานได้ #อันนี้ไม่จริง ถ้ามีความเข้าใจในเรื่องนิพพาน #เวลาท่านป่วยหนักๆ อะไรก็ไม่เหลือ ความรักระหว่าเพศไม่มี #เพราะร่างกายมีทุขเวทนา #นึกว่าตัวเองดีก็ไม่เหลือ เพราะมีทุกขเวทนามาก
#ถ้าเวลานั้นทุกคนเกิดความเบื่อหน่ายในร่างกาย คิดว่าร่างกายมันเต็มไปด้วยทุกขเวทนาแบบนี้ #เราจะไม่มีมันอีก คิดเพียงแค่นี้นะถึงแม้จะไม่คิดถึงนิพพาน #ก็ไปนิพพาน
ถ้ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทนึกถึงนิพพานเป็นอารมณ์ #ขอยืนยัน ว่าเวลานั้นถ้าอาการเกิดขึ้นอย่างนั้น #คิดว่าถ้าตายวันนี้ขอไปนิพพานเมื่อนั้น จะไปนิพพานทันที
_______
จากหนังสือ "พระคุณพ่อ" ครบรอบ ๑๐๐ ปีเกิด พระราชพรหมยาน หน้า ๑๑๗
คัดลอกโดย #คณะบุญสุประวีณ์

 

สังคณิการามสูตร ว่าด้วยภิกษุผู้ชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะ {๓๓๙}


[๖๘] ภิกษุทั้งหลาย

๑. เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุผู้ชอบการคลุกคลีด้วยหมู่๑ ยินดีการคลุกคลี ด้วยหมู่ ประกอบความชอบการคลุกคลีด้วยหมู่ เป็นผู้ชอบคณะ๒ ยินดีในคณะ ประกอบความยินดีในคณะ จักยินดีในปวิเวก๓ตาม ลำพังได้

๒. เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุผู้ไม่ยินดีในปวิเวกตามลำพังจักถือเอานิมิต แห่งจิต๔ได้

๓. เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุผู้ไม่ถือเอานิมิตแห่งจิต จักบำเพ็ญสัมมาทิฏฐิ๕ ให้บริบูรณ์ได้

๔. เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุผู้ไม่บำเพ็ญสัมมาทิฏฐิให้บริบูรณ์แล้ว จักบำเพ็ญ สัมมาสมาธิให้บริบูรณ์ได้

๕. เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุผู้ไม่บำเพ็ญสัมมาสมาธิ๖ให้บริบูรณ์แล้ว จักละ สังโยชน์ได้

๖. เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุผู้ยังละสังโยชน์ไม่ได้แล้ว จักทำให้แจ้งนิพพานได้ ภิกษุทั้งหลาย


๑. เป็นไปได้ที่ภิกษุผู้ไม่ชอบการคลุกคลีด้วยหมู่ ไม่ยินดีการคลุกคลี ด้วยหมู่ ไม่ประกอบความชอบการคลุกคลีด้วยหมู่ ไม่ชอบคณะ ไม่ยินดีในคณะ ไม่ประกอบความยินดีในคณะ จักยินดีในปวิเวก ตามลำพังได้

๒. เป็นไปได้ที่ภิกษุผู้ยินดีในปวิเวกตามลำพัง จักถือเอานิมิตแห่งจิตได้

๓. เป็นไปได้ที่ภิกษุผู้ถือเอานิมิตแห่งจิต จักบำเพ็ญสัมมาทิฏฐิให้บริบูรณ์ ได้

๔. เป็นไปได้ที่ภิกษุผู้บำเพ็ญสัมมาทิฏฐิให้บริบูรณ์แล้ว จักบำเพ็ญ สัมมาสมาธิให้บริบูรณ์ได้

๕. เป็นไปได้ที่ภิกษุผู้บำเพ็ญสัมมาสมาธิให้บริบูรณ์แล้ว จักละสังโยชน์ได้

๖. เป็นไปได้ที่ภิกษุผู้ละสังโยชน์ได้แล้ว จักทำให้แจ้งนิพพานได้


สังคณิการามสูตรที่ ๔ จบ

*******************************

Read More http://pratripitaka.com/22-334/

--------------------

ที่มา https://www.youtube.com/@pratripitaka

 

ที่มา https://youtube.com/@By-kv9dy?si=jzzUurVnh2zn11M8

 

cr. https://www.youtube.com/@user-bt6ib6yy9r

 

https://www.youtube.com/shorts/b5It_5iLV04?feature=share

 

ที่มา https://www.youtube.com/@Putta-Channel

 

ที่มา
https://www.youtube.com/@swnhaengsraththa

 

ที่มา https://www.youtube.com/@monlysuwanna8221

 

พระโสดาบันใช้แค่อนุสสติ


วิธีปฏิบัติสมาธิของพระโสดาบันนี้ ความจริงไม่ต้องนั่งหลับตาเลย ไม่ต้องทำสมาธิเครียดๆ #ใช้แต่อารมณ์คิดให้จิตทรงตัวเท่านั้น อารมณ์คิดให้ทรงตัว คือ
๑…#พุทธานุสสติ นึกถึงความดีของพระพุทธเจ้า เรายอมรับนับถือพระพุทธเจ้าด้วยความเต็มใจ
#ธัมมานุสสติ นึกถึงความดีชอบพระธรรม เรายอมรับนับถือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่งจริง
๓..#สังฆานุสสติ นึกถึงความดีของพระอริยสงฆ์ ที่นำคำสั่งสอนขององค์สมเด็จ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราเข้าใจความดีความชั่ว ทำตัวให้พ้นทุกข์
ใช้ปัญญาแค่นี้ ไม่ต้องมาก สมาธิก็สมาธิแค่ยอมรับนับถือด้วยความจริงใจ แล้วก็มาใช้จิตใจพิจารณาศีล ๕ ว่า
ทำกรรมใดแล้วร้อนใจภายหลัง กรรมนั้นไม่ดี
การฆ่ากัน การทะเลาะกัน การเป็นศัตรูกันนี่มันไม่ดี สู้มีความเป็นมิตรซึ่งกันและกันไม่ได้ แทนที่จะเป็นคนมีใจร้าย ก็เป็นคนมีความเมตตาปรานี แทนที่จะฆ่ากันทะเลาะกันกลับรักกันเสีย มันก็หมดเรื่องทะเลาะกัน คือศีลนี้ต้องมีเมตตากับกรุณาและสันโดษ ๓ ตัวเข้าควบคุม
ศีลข้อที่ ๒…ถ้าจะมีเมตตามีความรัก ความกรุณา ความสงสาร เราก็ลักขโมยของเขาไม่ได้ แล้วก็มีสันโดษเข้ามาช่วย เรายินดีเฉพาะทรัพย์สมบัติที่เราหามาได้เองโดยชอบธรรม ไม่คดไม่โกงใคร ถ้าเราไม่ลักไม่คดโกงเขา เราก็มีมิตร เราไม่มีศัตรู พระโสดาบันปัญญาอย่างนี้
แล้วคนรักของคนทุกคน ย่อมมีการหวงแหน ฉะนั้น ในเมื่อเรารักเราหวงแหนคนรักของเรา คนอื่นเขาก็รักหวงแหนคนที่รักของเขา เราจะไม่ทำลายจิตใจซึ่งกันและกัน ซึ่งในการแย่งความรักมักน้อยคือมีสันโดษ เมตตากรุณาเข้าควบคุมใจ
ศีลข้อที่ ๔…คนที่จะเป็นพระโสดาบันย่อมทราบว่าการพูดปดก็ดี การพูดหยาบก็ดี การพูดส่อเสียดยุยงส่งเสริมให้เขาแตกร้าวกันก็ดี การพูดวาจาที่ไร้ประโยชน์ก็ดี มันเป็นโทษ สำหรับเรา เพราะที่พูดไปแล้วคนฟังเขาเกลียด เราไม่ยอมพูดแบบนั้น พูดเฉพาะความเป็นจริง คือวาจาที่ไพเราะ พูดวาจาที่เนื่องในการสามัคคี พูดเฉพาะวาจาที่เป็นประโยชน์ ถ้าเราพูดอย่างนี้ไม่ว่าสังคมไหนเขาก็ไม่รังเกียจเรา เราก็เป็นที่รักของสังคม เราก็มีความสุข นี่ปัญญาของพระโสดาบันมีอย่างนี้
ทีนี้การ #ดื่มสุราเมรัย ย่อมเป็นโทษ โทษของสุราเมรัยก็คือ กลับบ้านช้าถูกเมียด่า ถูกผัวด่า เคยโดนบ้างหรือเปล่าหมายความว่าโทษดื่มสุราเมรัย เสียทรัพย์เปล่า ไร้ประโยน์ ทำลายความดีของตน เสียศักดิ์ศรี เราเป็นผู้ใหญ่ เป็นที่เคารพนับถือของผู้น้อย ถ้ากินเหล้าเข้าไปแย่งหมานอนได้ ใช่ไหม ดีไม่ดีหาว่าหมามาแย่งที่นอน ไปตีหมาเข้าอีก รวมความว่า พระโสดาบันเห็นว่ามีโทษอย่างนี้ท่านจึงไม่ดื่มสุราเมรัย นี่ท่านใช้ปัญญาแค่นี้
รวมความว่าสมาธิของพระโสดาบัน ก็คือมีพุทธานุสสติกรรมฐานเป็นอารมณ์ คือความเคารพพระพุทธเจ้า มีธัมมานุสสติกรรมฐานเป็นอารมณ์ คือยอมรับนับถือพระธรรม มีสังฆานุสสติเป็นอารมณ์ คือยอมรับนับถือพระอริยสงฆ์ แล้วก็มีสีลานุสสติกรรมฐานเป็นอารมณ์ คือรักษาศีล ๕ ครบถ้วน ไม่บกพร่อง มีอุปสมานุสสติกรรมฐานเป็นอารมณ์ จิตนึกถึงต้องการพระนิพพานเป็นปกติ เท่านี้เอง ยากไหม
ทีนี่พระพุทธเจ้าบอกว่า การที่เป็นพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามีหนักอยู่ที่ศีล ๕ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ นิพพาน เรานึกถึงท่านไว้ แต่ศีล ๕ บางทีเผลอ เมื่อตอนเย็นญาติโยมผู้เฒ่าสองท่านเป็นผู้หญิง ท่านมาถามว่า “อารมณ์ของพระโสดาบันเป็นยังไง” ก็บอกได้ท่านทราบ ท่านบอก “ที่ถามเกรงว่าถึงแล้วจะไม่รู้” แน่ะ ! กินข้าวแล้วไม่รู้ว่ากิน ก็ต้องคิดแล้ว ใช่ไหม ไล่ไปไล่มาบอกว่า ยุงมันกิน ริ้นมันกัดก็ตบ เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็เชิญไปอเวจีตามสบาย แกโมโหไปเลย ปัดโธ่ ! คนแก่จะตายแล้ว ยุงกินริ้นกัดไปฆ่าได้หรือ อยากจะเป็นพระโสดาบัน จะเป็นได้หรือ คือเราต้องเห็นว่าชีวิตของสัตว์ แม้แต่เล็กก็เป็นชีวิตเพราะว่าการรักษาศีล ๕ นี่ ถ้าหากว่าเราเคยบกพร่องในศีลอาตมาเคยแนะนำเขามาหลายรายนะ มากรายแล้วทำได้ด้วย เคยบกพร่องในศีล ถ้าเราคิดว่าเราจะรักษาศีล ๕ ให้ครบ ๒๔ ชั่วโมงทุกวัน ไอ้จิตที่เคยบกพร่องมาก่อน มันก็อดเผลอไม่ได้ เป็นของธรรมดา


พิมพ์จากหนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง ๕๙ หน้าที่๑๒๕~๑๒๗
พระธรรมคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี
เพจ:คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
พิมพ์ธรรมทาน นภา อิน

 

ธรรมกาย ธาตุล้วนธรรมล้วนที่ไม่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง


ถาม :: ผู้ปฏิบัติ ไม่เห็นนิมิตธรรมกาย คือ ปฏิบัติสายอื่นแต่ระดับจิตถึงธรรมกายนั้นมีไหม ?

ตอบ ::
ข้อหนึ่ง คำว่านิมิตธรรมกายนั้น อย่าพูดเลยนะ ธรรมกายไม่ใช่นิมิตนะ ของจริง นิมิตมี 2-3 อย่าง ให้เข้าใจประเภทของนิมิต
เปิดดูไฟล์ 6327332 หนึ่ง นึกขึ้น นึกให้เห็น เช่น นึกให้เห็นดวงแก้ว เรียกว่าบริกรรมนิมิต เจริญภาวนาไป ใจหยุดรวมได้อุคคหนิมิต เห็นเป็นดวงใสขึ้นมา แต่เห็นอยู่ไม่ได้นาน
ใจก็รวมหยุดแน่วแน่เข้าไปอีก ถึงปฏิภาคนิมิต (นิมิตติดตา) ระดับสมาธิก็ชั้นสูงจากขณิกสมาธิ-อุปจารสมาธิ นี่ระดับต่ำ สูงขึ้นไปเป็นปฏิภาคนิมิตก็อัปปนาสมาธิ นั่นระดับปฐมฌาน ตรงนั้นชื่อว่านิมิตอย่างหนึ่ง คิดเอาแล้วจิตค่อยหยุดนิ่ง ถ้าที่คิดเอานั้นกลายเป็นอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต นี่ประเภทหนึ่ง
เปิดดูไฟล์ 6327333 อีกประการหนึ่ง นอนฝัน ฝันก็เป็นนิมิต เรียกว่าสุบินนิมิต
ถ้าไม่นอนฝัน อะไรๆที่เรามองเห็นนี่เรียกว่านามรูป ก็เห็นเป็นนิมิตก็ได้ อย่างตัวท่านจะเรียกเป็นนิมิตก็ได้
การมองเห็นข้างในก็เป็นนิมิต
คือจากกายมนุษย์ เห็นกายมนุษย์ละเอียด
ทิพย์-ทิพย์ละเอียด
พรหม-พรหมละเอียด
อรูปพรหม-อรูปพรหมละเอียด
แต่นิมิตมีของปลอม กับของจริง
เปิดดูไฟล์ 6327334 ของปลอม คือ ไม่นึกจะเห็น แต่ก็เห็นแปลกประหลาดไป ไม่เป็นไปตามที่เป็นจริง จริงนี้หมายถึงจริงโดยสมมติ บางทีนั่งแล้วเห็นเสือกระโดดโฮ้กเข้าใส่ แต่เปล่า เสือไม่มี นี่ก็เห็นได้เช่นกัน หรือบางคนนั่งแล้วเห็นผี แต่เปล่า ผีไม่มี นี่เรียกว่าเห็นของไม่จริง จะเกิดแก่ผู้ที่เอาใจออกนอกตัว
หลวงพ่อวัดปากน้ำจึงให้เอาใจเข้าในตัว เพื่อชำระใจของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ หยุดนิ่งเป็นอารมณ์เดียว ปราศจากกิเลสนิวรณ์ จิตใจก็เที่ยง เห็นตามที่เป็นจริง พอ"#ใจ"หรือเห็น-จำ-คิด-รู้ ที่เห็นนะ มันไปวางอยู่ตรงกำเนิดธาตุธรรมเดิม ซึ่งเป็นที่ตั้งของกาย เวทนา จิต ธรรม ณ ภายใน มันก็เห็นตรงตามนั้น สิ่งที่เห็นอย่างนั้น เห็นจริงโดยสมมติ
เปิดดูไฟล์ 6327335 นิมิตจริง เห็นนาย ก. นาย ข. เห็นพระ เห็นเณร เห็นแม่ชี เห็นของจริงทั้งนั้น ที่เห็นๆอยู่นี่ เห็นเข้าไปข้างในตามที่เป็นจริง ก็จริง แต่ว่าจริงโดยสมมติ
นี่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อไม่โดดเดี่ยวยินดียิ่งในความเงียบสงัดแล้ว จักถือเอานิมิตแห่งสมาธิจิต และวิปัสสนาจิตได้นั้น ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้"
เปิดดูไฟล์ 6327336 แต่ถ้ามันเลยนิมิตนี่ไป เห็นธาตุล้วนธรรมล้วนจริงๆ เขาไม่เรียกว่านิมิต เพราะนิมิตชื่อว่าเบญจขันธ์หรือนามรูป เกิดแต่อวิชชา
แต่ธรรมกายไม่ใช่เบญจขันธ์ เป็นธรรมบริสุทธิ์ จึงเรียกว่าธรรมขันธ์ เหมือนพระรุ่น 4 ที่ว่าดังๆนั่น พระผงธรรมขันธ์ ก็ธรรมกายนั่นแหละ ไม่เกิดแต่อวิชชา เป็นกายที่พ้นภพสามนี้ไป เป็นของจริง เป็นปรมัตถธรรม
แต่ว่า จำเพาะส่วนที่ยังไม่บรรลุ คือจัดเป็น"โคตรภู" คืออยู่ระหว่างโลกิยะกับโลกุตระ แต่กำลังจะขึ้นไป
แต่ถ้าว่าเป็นธรรมกายมรรค ธรรมกายผล พระนิพพานแล้วละก็ เป็นธรรมขันธ์แท้ๆ ชัดเจน ไม่เรียกว่านิมิต ไปเข้าใจผิดกันแล้วเอามาโจมตีกันเรื่องนี้แหละ เพราะเขาแยกนิมิต แยกของจริงของปลอมไม่ค่อยชัดเจน ก็มั่วไป ก็ไปคลุมว่าเห็นอะไรเห็นได้เรียกว่านิมิต จริงๆนิมิตอยู่ในครรลองในสภาวะที่จะสัมผัสได้ด้วยอายตนะของกายในภพสาม คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่น เห็นกายมนุษย์-คือตาเห็นรูป หรือว่าทิพพจักษุ-เห็นกายทิพย์ พรหมจักษุ-เห็นกายพรหม อย่างนี้เป็นของในภพ 3
แต่ว่าเห็นโดยพุทธจักษุ ตรงนี้ไม่ใช่นิมิตหละ ของจริง มันเข้าเขตปรมัตถ์ ที่โจมตีกันไม่ถูกหรอก เพราะเข้าไม่ถึงเลยไม่รู้เรื่อง ก็ตีกันไป ก็ไม่ว่ากระไร เป็นเรื่องของท่านจะเข้าใจอย่างไร ก็ว่ากันไปตามเรื่อง แต่ว่าจะได้ผลเป็นบุญเป็นบาปอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องของท่านอีกเหมือนกัน
เปิดดูไฟล์ 6327337 สรุปว่า เขาถามว่าปฏิบัติสายอื่น แต่ระดับจิตถึงธรรมกายน่ะมีไหม ?
มี ต้องมี อันนี้ไม่ปฏิเสธนะ จะสายพุทโธ ยุบหนอพองหนอ สัมมาอะระหัง หรือว่าอะไรๆก็ตาม ถ้าจิตถึงก็ถึง ไม่มีปัญหา
ถ้ามี จะหลุดพ้นหรือไม่ ?
หลุดพ้นสิ ทำไมจะไม่หลุดพ้น.
_________________
ศึกษาธรรมะกันอย่างกระจ่างแล้ว
อย่าลืมกด Like & Share ธรรมะ เป็นธรรมทานกันด้วยนะครับ ..Admin Page เปิดดูไฟล์ 6327338
_________________
เทศนาธรรมจาก
พระเทพญาณมงคล
หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
อ.ดำเนินสะดวก
จ.ราชบุรี
_________________
ที่มา
หลักวิชชาธรรมกาย
หนังสือตอบปัญหาธรรมปฏิบัติ
_________________
เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า

 

ที่มา https://www.youtube.com/@user-kp6cl4rj1k

 

ที่มาhttps://youtube.com/@Uttayarndham?si=FazDP9X7y6JQl5Xs