ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย na_krub, 12 ตุลาคม 2017.

  1. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    BE76070C-E67E-4606-8C3D-54E1DD04ABBE.jpeg

    ลูกศิษย์ : ปู่เจ้าคะ ลูกอยากจะเรียนถามเรื่องเวลาเราทำบุญ ไม่ว่าเราจะแผ่เมตตาหรือทำบุญทุกอย่างก็จะแผ่ให้คนอื่นสิ่งอื่นตลอด แต่ว่าเราไม่ได้เอ่ยถึงเทวดาประจำตัวอย่างนี้ หมายความว่าท่านจะได้บุญอัตโนมัติมั้ยเจ้าคะ
    หลวงปู่ : บุญอัตโนมัติ..

    ลูกศิษย์ : หมายความว่าแม้ไม่เอ่ย..ท่านก็จะได้รับใช่มั้ยคะ
    หลวงปู่ : แล้วโยมจะรู้มั้ยจ๊ะ เทวดาโยมชื่ออะไร พ่อโยมแม่โยมก็เป็นเทวดาโยมทั้งนั้นแหล่ะจ้ะ บิดามารดาเรียกผู้มีคุณทั้งหลาย..เรียกว่าเทวดาทั้งนั้น อันว่าโยมทำความดีเมื่อเราเอ่ยระลึกในความดี..จิตวิญญาณที่เค้าดีเค้าก็ได้รับ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ทีนี้จิตวิญญาณที่ไม่ดีเล่าจ๊ะ..เค้าจะได้รับหรือไม่ อันนี้เราต้องอุทิศ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เพราะบุญเมื่อเกิดขึ้นแล้วบิดามารดาเค้าได้รับผลโดยตรงอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ว่าที่เค้าจะรับไม่ได้ก็เป็นพวกโอปปาติกะ พวกเปรตพวกสัมภเวสี พวกนี้เราต้องอุทิศบุญให้เค้า เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นบุญกุศลสิ่งที่โยมทำในคุณความดี ทายาทแห่งกรรมหรือผู้ที่ให้กำเนิดขึ้นมาเค้าต้องได้รับผลบุญโดยธรรมชาติของบุญนั้นอยู่แล้ว แต่พวกเปรต โอปปาติกะ สัมภเวสีทั้งหลายที่มันสิงอยู่ในจิตวิญญาณของเรานั้น..ต้องอุทิศให้เค้าไปเกิด

    หนึ่งก็ด้วยการเจริญปัญญา ด้วยการเจริญทานคือการสละคือการให้ ให้มันมากมันก็ไปกับสิ่งนั้น ยึดมากของมันก็มามันก็มากับสิ่งนั้น ทาน ศีล การภาวนาจิตให้เกิดปัญญา รู้จักอบรมบ่มจิต รู้จักการสละคือการให้ สิ่งเหล่านี้คือความโลภโมโทสันคือเปรตอสุรกายทั้งหลายเค้าจะไปผุดไปเกิด..ก็จะทำให้ลดน้อยลงมา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สิ่งเหล่านี้มันสิงอยู่กับโยม เพราะอะไรจ๊ะ เชื้อพวกนี้แม้เราเกิดมันก็ยังไม่ได้หมดไป จะหมดไปต่อเมื่อเราหมดอยาก แต่จะมีฤทธิ์มีอำนาจมากแค่ไหนก็อยู่ที่เรานั้นไปให้กำลังมัน ไปให้ท้ายมัน คือเรายังหล่อเลี้ยงมันอยู่ ยังไม่ได้เห็นโทษเห็นภัยมัน ต่อเมื่อเราเห็นโทษเห็นภัยมันนี้แล..เราจะปล่อยเค้าเป็นอิสระ..คือไม่ยึด สิ่งสภาวะที่ยึดนี้แหล่ะจ้ะ อะไรมันก็เข้ามาหาทั้งหมด เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นในขณะที่โยมอุทิศบุญแผ่บุญกุศลโยมต้องให้โดยไม่มีประมาณทั้งคนรักทั้งคนเกลียด ทั้งชอบหน้าไม่ชอบหน้า เข้าใจแบบนี้มั้ยจ๊ะ นี่แล้วเค้าจะได้บุญแบบที่โยมบอก แต่ถ้าโยมให้โดยที่มีข้อจำกัด..อันนี้ไม่เรียกอัตโนมัติแล้ว ทำอะไรเค้าเรียกว่าให้โดยไม่มีประมาณ การให้ที่เรียกว่าไม่มีประมาณจึงเรียกว่าไม่มีข้อแม้ในบุญนั้น เมื่อไม่มีข้อแม้ในบุญนั้นแล้วใครมีกำลังบุญพอเค้าจะได้รับไปเอง แล้วแต่อำนาจแห่งบุญกรรม

    อันนี้เรียกว่าให้ไปแล้ว..อันนั้นเป็นเรื่องของผลที่เค้าที่จะได้รับ เราไม่สามารถไปกำหนดกรรมหรือไปแก้ไขกรรมใครเค้าได้ เมื่อเรามีจิตที่ปรารถนาเราเป็นหน้าที่ที่จะให้แล้ว เค้าจะรู้สภาวะของจิตวิญญาณที่เค้าจะได้รับบุญกุศลได้มากน้อยเพียงใด แต่เราได้เรียกว่าทำหน้าที่แล้ว..คือทาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่ว่าทานนี้จะมีอานิสงส์ไปไกลแค่ไหนก็อยู่ที่ศีลของเรา ใช่มั้ยจ๊ะ ศีลของเราจะมีอำนาจเข้มแข็งได้แค่ไหนก็อยู่ที่การอบรมบ่มจิต คือการภาวนาจิตของเรา จิตที่ขณะให้จิตเราเป็นกุศลมั้ย จิตเราตั้งมั่นในกุศลมั้ย หลังให้ที่เราให้ไปแล้วจิตเราเป็นยังไง เบิกบานมั้ย เสียดายรึเปล่า นี่..ตรงนี้ต่างหาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    โยมต้องเข้าใจการจะให้บุญ การอุทิศบุญ การสร้างบุญ..อยู่ที่ใจตัวเดียว ใจโยมยังโลภอยู่แต่โยมให้มันก็ยังเป็นมลทินอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ให้ด้วยใจสบายใจ หลังให้ก็สบายใจ พอคิดทีไรก็สบายใจ นั่นแหล่ะจ้ะโยมจะทำอะไรมีโชคตลอดกาลนานแบบนี้ ดังนั้นบุญสำคัญตอนให้ โยมให้หมดใจมันก็มีกำลังมหาศาล..

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  2. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    ตถตา

    ความเป็นอยู่อย่างนั้น

    ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจในความหมายที่ลึกซึ้ง แต่ก็ทำให้เกิดปัญญาในความเบื่อหน่ายการเวียนว่ายตายเกิดได้เป็นอย่างดี

    ตถตา=ความเป็นอย่างนั้น
    อะไรคือความเป็นอย่างนั้น=อิทัปปัจจยตา
    อิทัปปัจจยตา=เพราะมีสิ่งนี้ๆเป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆจึงมี (เหตุและผล)
    เหตุและผล=ปฏิจจสมุปบาท หรือ อริยสัจ๔

    ธรรม=ความเป็นอย่างนั้น ,สิ่งที่เป็นจริง
    พระรัตนตรัยประกอบด้วย พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
    พระพุทธมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา มีเกิดและมีดับ
    พระธรรมไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
    พระสงฆ์มีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา มีเกิดและมีดับ

    แต่การที่จะเข้าถึงความเป็นอย่างนั้นได้ ก็ต้องมีผู้นำทาง และผู้ที่จะนำทางในพระพุทธศาสนาก็คือพระพุทธและพระสงฆ์นั่นเอง

    พระรัตนตรัย,ไตรสรณคมน์ จึงเป็น "นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง สังโฆ เม สะระณัง วะรัง"


    อานนท์ ! ในกาลบัดนี้ก็ดี ในกาลล่วงไปแห่งเราก็ดี ใครก็ตาม มีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ;มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นอยู่.

    อานนท์ ! ภิกษุพวกใด เป็นผู้ใคร่ในสิกขา,
    ภิกษุพวกนั้น จักเป็นผู้อยู่ในสถานะอันเลิศที่สุด แล.

    สำหรับเราแล้ว เราเป็นคนธรรมดา การจะพึ่งตนและพึ่งธรรมนั้น คงไม่สามารถหลุดพ้นจากบ่วงกรรมไปได้ ถ้าไม่มีพระรัตนตรัยเป็นครู อาจารย์ชี้นำแสงสว่างมาให้ รวมทั้งสรรพสิ่งทั้งหลายที่เป็นครู อาจารย์สอนให้เห็นสัจธรรม เห็นความไม่แน่นอนของการเกิดมามีชีวิต

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  3. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    ขอขมากรรมก่อนนอนและหลังตื่นนอน

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุท ธัสสะ(3 จบ)
    วันทามิ พุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
    วันทามิ ธัมมัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
    วันทามิ สังฆัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต(ทิศบูระพา)

    วันทามิ พุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
    วันทามิ ธัมมัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
    วันทามิ สังฆัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต(ทิศอาคเนย์)

    วันทามิ พุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
    วันทามิ ธัมมัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
    วันทามิ สังฆัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต(ทิศทักษิณ)

    วันทามิ พุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
    วันทามิ ธัมมัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
    วันทามิ สังฆัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต(ทิศหรดี)

    วันทามิ พุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
    วันทามิ ธัมมัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
    วันทามิ สังฆัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต(ทิศปัจจิม)

    วันทามิ พุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
    วันทามิ ธัมมัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
    วันทามิ สังฆัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต(ทิศพายัพ)

    วันทามิ พุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
    วันทามิ ธัมมัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
    วันทามิ สังฆัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต(ทิศอุดร)

    วันทามิ พุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
    วันทามิ ธัมมัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
    วันทามิ สังฆัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต(ทิศอิสาน)

    วันทามิ พุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
    วันทามิ ธัมมัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
    วันทามิ สังฆัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต(ทิศเหฏฐิมายะ)

    วันทามิ พุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
    วันทามิ ธัมมัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
    วันทามิ สังฆัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต(ทิศอุปะริมายะ)

    ข้าพเจ้า......ขออโหสิกรรมต่อพระรัตนตรัย สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินพระรัตนตรัยด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ในทั้งสิบทิศในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ข้าพเจ้าขอให้พระรัตนตรัยจงอโหสิกรรมให้กับข้าพเจ้าด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
    ------------------------------------------------------------------------
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุท ธัสสะ(3 จบ)
    ข้าพเจ้า......ขออโหสิกรรมต่อพระบิดามารดาทั้งในชาติปัจจุบันและอดีตชาติ รวมทั้งมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งได้แก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา และอมนุษย์ทั้งหลาย สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินพวกท่านทั้งหลายทั้งปวงด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ในทั้งสิบทิศในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ข้าพเจ้าขอให้ท่านทั้งหลายทั้งปวงจงอโหสิกรรมให้กับข้าพเจ้าด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
    ------------------------------------------------------------------------
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุท ธัสสะ(3 จบ)
    ข้าพเจ้า......ขออนุโมทนาบุญกับผู้ที่สร้างกุศลในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันทั้งที่เป็นมนุษย์ ซึ่งได้แก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา และอมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง ด้วยจิตบูชาต่อกฎแห่งกรรม ด้วยจิตบูชาต่อพระรัตนตรัย ด้วยจิตบูชาต่อพวกท่านทั้งหลายทั้งปวงที่ต้องการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร สาธุ สาธุ สาธุ

    อนุโมทนา(ทิศบูระพา)
    อนุโมทนา(ทิศอาคเนย์)
    อนุโมทนา(ทิศทักษิณ)
    อนุโมทนา(ทิศหรดี)
    อนุโมทนา(ทิศปัจจิม)
    อนุโมทนา(ทิศพายัพ)
    อนุโมทนา(ทิศอุดร)
    อนุโมทนา(ทิศอิสาน)
    อนุโมทนา(ทิศเหฏฐิมายะ)
    อนุโมทนา(ทิศอุปะริมายะ)

    ด้วยอำนาจบุญบารมีแห่งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ โปรดดลบันดาลให้บุญของข้าพเจ้าที่ได้กระทำมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ มามอบให้กับผู้ที่สร้างกุศลกรรมในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งที่เป็นมนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลาย ขอให้ท่านทั้งหลายจงได้รับผลบุญของข้าพเจ้า เพื่อที่ท่านทั้งหลายจะได้มีอำนาจบุญบารมีที่สูงส่งยิ่งๆขึ้นไป และได้พบหนทางแห่งการปรินิพพานด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
    ------------------------------------------------------------------------
     
  4. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    7A529E91-A994-49C1-9AB6-88757384CAB0.jpeg

    ฉันจะให้ข้อคิดอยู่หนึ่งอย่างว่า..โยมมีสิ่งใดมากเท่าไหร่ โยมก็เป็นทุกข์กับสิ่งนั้นมากเท่านั้น ยิ่งเรามีสิ่งใดมากเท่าไหร่..เราก็ไม่อยากตาย เราก็จะมีแต่ความกลัวตายมากเท่านั้น แล้วก็จะยิ่งใกล้ความตาย นั้นอย่าหลงลืมว่าเราเกิดมาเพื่อตาย ขอให้จำไว้ให้มั่น..เกิดมาเพื่อตาย

    แล้วต้องถามตัวเองได้ว่าก่อนที่เราจะตาย..เราจะทำอะไร มีเวลาเท่าไหร่ ถ้าโยมพยากรณ์ตัวเองได้..นั่นผู้ที่อยู่เหนือดวง ถ้ายังตอบตัวเองไม่ได้..ไม่มีทางที่จะเหนือกรรมได้ ถามว่าเกิดมาเพื่อตาย มีเวลาอีกเท่าไหร่ อยู่เพื่อทำอะไร มีอยู่แค่นั้นมนุษย์ที่มีค่า นอกเหนือนั้นเป็นผู้ที่ว่าไม่มีค่าอะไรเลยที่เกิดมา เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าเรียกว่าเกิดมาเพื่อรกโลก

    มนุษย์วิญญาณทั้งหลายรอเกิดอีกมากมาย เท่ากับมนุษย์ที่ยังมีอยู่ในโลกใบนี้ มีดวงจิตวิญญาณอีกมากมายที่รอเกิด เพราะมันเกิดทุกวันตายทุกวัน ถ้าเกิดอย่างเดียวไม่ตาย..ล้นมั้ยจ๊ะ นี่ขนาดตายบ้างแล้วนะ ยังแย่งกันทุกวันนี้ ดังนั้นต้องตายมากกว่านี้อีก เค้าจึงบอกว่ายุคนี้ต้องตายเป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นโขยง ไม่นั้นเค้าว่ามันล้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ เหมือนในคุกสมัยนี้ก็ไม่พอที่จะขัง นรกก็เหมือนกัน มันแตกมันร้าวไปหมดแล้ว หนีมาเกิดบ้างก็มี..

    นั้นต้องถามตัวเองให้ได้ว่าเรามีชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร ถ้าตอบอย่างอื่นว่าอย่างนั้นอย่างนี้ มนุษย์เกิดมาเพื่อตาย ต้องรู้ก่อนว่าตัวเองต้องตาย ถึงจะตอบได้ว่าเมื่อจะตายแล้ว..ก่อนตายทำอะไร อย่างนี้ถือว่าเกิดมาเป็นผู้มีบุญญาธิการสูง ต้องเกิดมาเพื่อตายก่อน แล้วก่อนตายจะทำอะไร นี่เรียกว่ารู้ชะตากรรมของชีวิตของตัวเอง เป็นผู้อยู่เหนือกรรม

    เมื่อโยมตอบมาว่าต้องตายแน่แท้แล้ว โยมจะไม่ประมาทในการทำความดี จะไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง ว่าวันนี้ฉันจะทำความดี ฉันจะภาวนา ฉันจะสวดมนต์..จะไม่ผลัด เพราะถึงเวลากรรมมันมาให้ผลแล้ว โยมจะไปต่อรองอะไรไม่ได้เลย ถ้าบุญกุศลโยมไม่ได้สร้างเสบียงเอาไว้

    วันใดถ้าโยมอยากวัดใจวัดบารมีของตัวเอง แม้จะว่าเพียงแค่สวดมนต์นี้ก็ตาม ว่าวันนี้รู้สึกว่าเหนื่อยหน่ายหมดกำลังใจ ท้อแท้ทั้งหลาย พูดภาษาชาวบ้านว่าขี้เกียจ เกียจคร้านก็เอาก็ดี..ไม่อยากทำแล้ว ขอเป็นวันนั้นวันนี้ จริงๆถ้าวันนั้นโยมสามารถทำได้ บารมีจะมีมาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่บุญกุศลโยมจะยังไม่มาก..

    แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าทำบุญอะไรไว้ได้มาก โยมทำบุญอะไรก็ได้ ถ้าทำแล้วโยมมีกำลังใจ มีจิตที่เบิกบาน เช่นว่าในขณะที่โยมสวดมนต์จิตใจโยมเบิกบาน แจ่มใส โยมสวดมนต์ ๑ ชั่วโมง โยมก็ได้บุญมหาศาลในขณะนั้น มันอยู่ที่กำลังใจคือจิตที่โยมสวดอยู่..มีความเอิบอิ่มเพียงใด

    บางคนสวดแล้วจิตใจยังหดหู่ห่อเหี่ยว เศร้าหมองอยู่ จิตสวดไปแล้วไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวก็มี เค้าเรียกว่าบุญนั้นมันขาดสายไม่ต่อเนื่อง กำลังบุญเลยไม่เต็ม แต่บางคนแม้เพียงเจริญภาวนาชั่วขณะจิตหนึ่ง แต่จิตนั้นมีกำลังใจ มีปิติ มีความสว่างของจิตมาก นี่แหล่ะเค้าเรียกว่าอำนาจแห่งบุญก็มหาศาล เค้าจึงบอกว่าอย่าได้ดูถูกเพียงแค่เศษบุญเล็กน้อย..

    นั่นหมายถึงว่าคนจะบรรลุธรรม แม้เพียงแค่เวลาเพียงเล็กน้อยก็สามารถบรรลุธรรมได้ เพราะคนมันจะตายใช้เวลานานหรือเปล่าจ๊ะ อ้าว..แค่ไม่กี่วินาทีก็ตายได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  5. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    บุญแท้

    โชคดี ที่เกิดมาในภพปัจจุบันนี้ ได้ทันพบกับพระพุทธศาสนา ได้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

    โชคดี ที่มีโอกาสในการแก้ตัว และมีชีวิตอยู่ถึงปัจจุบัน

    โชคดี ที่มีครู อาจารย์สอนอยู่ทุกวินาที

    โชคดี ที่การปฏิบัติในปัจจุบันยังคงอยู่อย่างต่อเนื่อง

    โชคดี ที่ไม่โง่จนเกินไป จนทำให้ความชั่วเบาบางลง

    ผู้ที่อยู่ตรงกลางมักจะเห็นภัยของความทุกข์ในที่ต่ำและที่สูง

    ผู้ที่อยู่ตรงกลางจะเข้าใจความพอดีเพราะเคยผ่านความเพลินและความตึงมาแล้ว

    ผู้ที่อยู่ตรงกลางเพราะเข้าใจความเป็นอย่างนั้นของธรรม


    บุญมีแต่วิบากกรรมบัง

    โชคร้าย ที่เกิดมาในภพปัจจุบัน ได้ทันพบกับพระพุทธศาสนา แต่ไม่เกิดความศรัทธา

    โชคร้าย เมื่อความศรัทธานั้นไม่เกิดขึ้น ความโชคร้ายนั้นก็ตามติดไปยังภพต่อๆไป


    ธรรมะเป็นของง่าย สำหรับผู้ที่มีความศรัทธาเพราะวิบากกรรมเก่า
    ธรรมะเป็นของกลาง คงอยู่ตลอดเวลา
    ธรรมะเป็นของยาก สำหรับผู้ที่ไม่มีความศรัทธาเพราะวิบากกรรมเก่า
     
  6. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    8EFF3FAC-4D00-4CB8-8EDC-1D848ED853CA.jpeg

    การนั่งสมาธิขอให้เรานั่ง..จะนั่งนานนั่งไม่นานอะไรก็ตาม เมื่อสวดมนต์แล้วหรือจะก่อนสวดหลังสวดก็ดี ขอให้เราเจริญภาวนาก่อน กุศลมันอยู่ตรงนี้ เพราะมันเป็นความพอใจของเรา บุญเกิดจากความพอใจ ความเต็มใจ นั่นคือมีความอิ่มใจ เค้าเรียกมีความสุขใจในบุญ ก่อนทำเรามีความสุขใจ ในขณะนั่งอยู่มีความสุขใจอิ่มใจ เมื่อเรานั่งแล้วจิตใจเบิกบานแผ่เมตตาอีก เค้าเรียกว่ามันได้ถึง ๓ อาการที่เกิดขึ้น จึงมีกำลังของบุญมีมากนั่นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    บุญกุศลตรงนี้น่ะ..เหมือนที่โยมตักข้าวไป ๑ ทัพพี ๑ เมล็ดข้าวสารข้าวสุก มันมีเป็นอสงไขยที่เราได้สละ ที่เราได้ตักน้ำ อาหารที่เราได้สละให้พระด้วยจิตที่เรามีปิติ ถามว่าอาหารที่เราไปซื้อมาใส่กับอาหารที่เราทำเอง..มีอานิสงส์เหมือนกันหรือไม่ (ลูกศิษย์ : ไม่เหมือนเจ้าค่ะ) แต่บุญได้เหมือนกันมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ได้เหมือนกัน) บุญได้เหมือนกัน..แต่อานิสงส์ต่างกัน

    คำว่า"อานิสงส์"คือผลที่จะได้รับ เพราะว่าการที่เราทำเองมีความปราณีต มีความตั้งใจ เกิดจากศรัทธา..จึงมีอานิสงส์มาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่การที่เรานั้นด้วยเอาความสะดวกด้วยเอาความสบายในยุคนี้ แต่ถ้าเราทำด้วยใจ..ก็มีกำลังใจไม่ต่างกัน นั้นขอให้โยมทำบุญอะไรก็ตาม ขอให้มีกำลังใจที่เป็นศรัทธาเป็นที่ตั้ง อย่าได้ไปปรามาสเพ่งโทษในบุญที่เราจะทำ

    เฉกเช่นว่าพอเราจะใส่บาตรพระรูปนี้..ไม่น่าเลื่อมใส อย่างนี้บุญโยมติดลบเสียแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วจะทำยังไง ให้เราตั้งจิตอธิษฐานเสียใหม่ บุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้เจริญทานตักบาตรในวันนี้ ขอให้ถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ขอสงฆ์จงเป็นตัวแทนของบุญกุศลที่ข้าพเจ้าจะทำในวันนี้ ขอจงสำเร็จประโยชน์แก่ข้าพเจ้าและดวงจิตวิญญาณบิดามารดาผู้ที่ล่วงลับไปแล้วก็ดี หรือผลอานิสงส์ใด..วิญญาณดวงใดที่จะมีบุพกรรมที่จะพึงได้ประโยชน์กับข้าพเจ้า จงมาโมทนามาสาธุกับข้าพเจ้า เราก็อธิษฐานไปอย่างนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    การที่โยมไปเพ่งโทษในพระรูปใดรูปหนึ่งก็ดี อย่างนี้เรียกว่าบุญมันได้น้อยมาก แต่การที่โยมอธิษฐานใส่อย่างนั้น..จึงเรียกเป็นสังฆทาน เป็นธรรมทาน ไม่เจาะจง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ขอให้ตั้งจิตของเรา จิตเมื่อเราตั้งแล้วไม่ส่งออกไปภายนอก จิตที่เป็นกุศลนั่นแล เราทำที่เป็นกุศลออกไปบุญก็ได้ไปถึงพระที่เขาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    กรรมที่คนใดทำแล้วที่ไม่ดีจะส่งผลให้กับคนที่เค้าทำดีให้มัวหมอง..เป็นไปไม่มี เฉกเช่นว่าพระรูปนั้นไม่มีศีลไม่มีธรรม..ก็มีมากในยุคนี้ แต่ก็ยังมีคนไปศรัทธาหรือทำบุญด้วยความไม่รู้ แต่เค้าทำด้วยใจที่เป็นกุศล เค้าได้บุญเต็มร้อยมั้ยจ๊ะ..บุญเค้าได้เต็มร้อย แต่อานิสงส์มันได้น้อย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    อานิสงส์ที่ได้น้อยเพราะว่าพระที่เค้าใส่บาตรนั้น..ศีลเค้าไม่เต็มร้อย อานิสงส์มันจึงไม่ผลักดัน แต่ถ้าเค้าทำอยู่บ่อยๆอยู่บ่อยๆเล่า มันจะมีกำลังมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : มีเจ้าค่ะ) แล้วพระที่เค้าศีลไม่บริสุทธิ์น่ะ คือสิ่งที่ไม่ดีนั้นจะทำให้เป็นผลกับคนที่มีกุศลที่ตั้งมั่นหรือเปล่าจ๊ะ เค้าก็ไม่ได้ย่อท้อที่จะใส่บาตรหรือทำทานต่อไป..

    นั้นกรรมผู้ใดที่เค้าทำไว้ไม่ดี มันต้องรับผลของกรรมของผู้ที่กระทำนั้น คนที่ทำความดีแล้วจะเดือดร้อนหรือเปล่าจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่เดือดร้อนค่ะ) ถูกต้องแล้ว..ทำบุญอะไรคิดว่าเป็นทานแล้วอย่าเสียดาย อย่าหันกลับไปมอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าว่ามันเป็นสิ่งที่เราทำแล้วมันไม่สมผลกับเหตุปัจจัยที่เราทำลงไป ก็ถือว่าเราต้องเสียไปบ้างคือทาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ โยมจะเอาให้สมเป็นไปดังใจทุกอย่าง..มันเป็นไปไม่มี

    นั้นเค้าบอกว่าแรงอธิษฐานนี้จะส่งผลให้โยมสำเร็จได้โดยไว เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นตักบาตรอะไรแล้วให้อธิษฐานบุญเสียก่อน รู้จักอธิษฐานมั้ยจ๊ะ คำว่า"อธิษฐาน"คือตั้งความปรารถนา อ้าว..เราปรารถนาอะไรก็จะเป็นไปดั่งนั้น มันจะทำให้โยมนั้นมีกำลังใจในความคล่องตัวในทางโลก..ด้วยแรงอธิษฐาน

    ฉันก็อยากให้โยมนั้นมีกำลังใจในทางโลกให้มาก เมื่อเรามีกำลังในทางโลกมากแล้ว เราก็จะมีกำลังใจที่จะอุดหนุนค้ำชูในศาสนา เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าเรานั้นกำลังใจหรือปัจจัยเราน้อย เราก็เอาแรงกายเรานี้แลสละลงไป อย่าคิดว่าเรานั้นปัจจัยไม่มี อัฐเบี้ยน้อยจะสร้างบุญบารมีไม่ได้ ก็เอากายสังขารนี่แลเป็นอัฐเบี้ยเป็นปัจจัย เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันก็มีอานิสงส์ไม่ต่างกัน

    แต่ส่วนมากมนุษย์นั้นจะไม่ค่อยคิดแบบนั้น พอไม่มีปัจจัยอัฐเบี้ยก็จะน้อยเนื้อต่ำใจ ทีนี้เลยส่งผลให้การสร้างกุศลบารมีนั้นยิ่งยากเข้าไปใหญ่ นั้นฉันขอฝากไว้ทาน ศีล ภาวนาเมื่อมีโอกาสอย่าได้ละเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  7. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    EA0C9E4F-4D2F-49EB-9C97-D03CF4EA290E.jpeg

    การจะอบรมภาวนาอบรมบ่มจิต พิจารณาในธรรมในอกุศลกองใดก็ตาม เพื่อจะลดละในอารมณ์เหล่านั้นในขันธ์ ๕ ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมื่อรูปเรามีเกิดขึ้น..เมื่อเราละในความพอใจในรูป ว่ารูปเหล่านี้สังขารนี้ไม่ช้าไม่นานก็ต้องจากเราไป เป็นที่ไหลเข้าไหลออกของของมูตรเน่าทั้งหลาย เป็นที่ตั้งอยู่ของหนอน ของพยาธิ ของเชื้อโรคทั้งหลาย เป็นที่สิงอยู่ของโรคทั้งปวง

    ดังนั้นเมื่อถึงเวลา..ธาตุขันธ์ประกอบด้วยดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศธาตุ มีจิตวิญญาณธาตุขันธ์เข้าไปผสมอยู่ จึงเกิดก้อนประสิทธิให้เกิดขึ้นจากครรภ์มารดา..จึงเรียกว่าการจุติ ดังนั้นการเกิดนี้มันจึงเกิดจากทุกข์ เมื่อเรานั้นไม่สามารถดับทุกข์ได้ การเกิดย่อมมีอยู่ร่ำไป ต่อเมื่อใดเราตัดความทุกข์ตรงนี้ได้ การที่เราจะมาเกิดในครรภ์มารดาก็ดี ในสัตว์เดรัจฉานก็ดี จะเกิดมาทางใดทางหนึ่งก็ดี..จะไม่มีอีกต่อไป ด้วยการ"ดับความอยาก"ตัวนี้ไม่ให้หลงเหลืออีกต่อไป

    คือการดับอวิชชาแห่งความไม่รู้ ถ้าเรารู้ว่าการเกิดมาแต่ละครั้งมีทุกข์เพียงใดในภัยในวัฏฏะอย่างนี้เสียแล้ว จะไม่มีใครเลยที่อยากจะเกิดอีก เมื่อดับความอยากได้อย่างนี้ จึงเพ่งโทษในกายว่าการเกิดเป็นทุกข์อย่างไร การมีธาตุขันธ์อย่างนี้มันเป็นทุกข์อย่างไร ต้องหาเลี้ยงในกายสังขารอยู่ตลอดเวลา นั่นก็คือการบำรุงบำเรอมัน จึงเรียกว่าเรานั้นตกเป็นทาสของมัน

    เมื่อใดเราตกเป็นทาสของมัน..แสดงว่าเราไม่สามารถจะหลุดพ้นจากสิ่งที่บอกว่าความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง ดังนั้นแล้วการถอนจากความเป็นทาสจะต้องทำอย่างไร พระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ได้ชี้ทางมาบอกว่า..การเวียนว่ายตายเกิดนี้ว่ามีทุกข์อย่างไร ท่านให้พิจารณาในกองขันธ์ให้มากว่าเกิดมาแล้วเป็นอย่างไร มีสุขหรือทุกข์มากกว่ากัน

    สิ่งทั้งหลายทั้งปวงในกายสังขารแม้เราจะบำรุงบำเรอมันเพียงใด แต่เมื่อถึงวันมันก็ทรยศเราอยู่ดี คือมันไม่เป็นไปตามบัญชาที่เราสั่งให้มันเป็น สิ่งเหล่านี้แลเรียกว่าสิ่งที่ว่าไม่ควรยึด สิ่งที่เรียกว่าเป็นทุกข์ สิ่งที่เรียกว่าอนิจจัง คือความไม่เที่ยง คือมันปรวนแปร แปรเปลี่ยนอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา..จึงว่าเป็นอนัตตา

    คำว่าเป็นอนัตตาจึงว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้น หรือเรียกว่าทุกข์ เมื่อทุกข์มันเกิดขึ้นแล้วไปยึดว่าทุกข์นั้นเป็นของดีเมื่อไหร่ มนุษย์ทั้งหลายย่อมถูกไฟ ๓ กองดิ้นรนเผาผลาญอยู่ตลอดเวลา คือความทะยานอยากได้ของจิต ของตัณหาที่ตกอยู่ในบ่วงกิเลสแห่งมารอยู่อย่างนี้ นั่นคือความหลง มันไม่ต่างอะไรกับหนอนที่มันเพลินพอใจว่าอยู่ในเอวจีก็ดีว่าเป็นอาหารอย่างนี้

    ดังนั้นแล้วขอให้เรามองในกายนี้ว่าเป็นของสกปรก เป็นที่อยู่ของหนอนของพยาธิ เพราะว่าโยมนั้นได้บริโภคของเสียไป น้ำเลือดน้ำหนองโยมนั้นแล เมื่อน้ำเหลืองน้ำเลือดมันเสียเมื่อไหร่..มันก็จะเป็นหนอน ถ้าน้ำเลือดน้ำหนองมันยังดีอยู่ สภาวะความเป็นจริงเราจะมองไม่เห็นมัน

    แต่เมื่อไรน้ำเลือดน้ำหนองถ้ามันไม่ปรกติซะแล้ว มันก็จะกลายเป็นตัวหนอนตัวพยาธิที่มันไต่ขึ้นมา ที่มันกัดกิน เพราะเราเลี้ยงมันไว้นั่นเอง..ด้วยอะไร ด้วยตัณหา ด้วยอาหาร ด้วยการบริโภคแห่งกามก็ดีเหล่านี้ คือเราเลี้ยงอะไรไว้..เราเลี้ยงเชื้อโรคไว้นั่นเอง แต่เมื่อใดเราเห็นว่ากายสังขารนี้ที่เราได้อาศัยนี้ เราจะเอาไปทำอะไร เราอาศัยทำอะไร..นั่นแลจักได้ประโยชน์

    เพราะไม่ช้าไม่นานกายนี้ก็จะถูกหมู่มาร หนอนก็ดี พยาธิก็ดี มดก็ดีมากัดกิน กลับไปสู่ปฐวีธาตุ อาโปธาตุอย่างนี้ เป็นของกฏแห่งไตรลักษณ์ของธรรมชาติ เมื่อเราได้จากธรรมชาติมาเราก็ต้องคืนเขา ไม่สามารถยึดได้เลย แม้ลมหายใจที่เราเอาเข้าไปว่าพุทโธก็ดีก็ยังไม่สามารถยึดไว้ได้ แม้จะสามารถยึดไว้ได้ก็เป็นแค่ชั่วขณะหนึ่งของจิต แต่ไม่สามารถจะยึดไว้ได้ตลอดไป..

    อะไรก็ตามที่เรานั้นไม่สามารถครอบครองและยึดถือได้ จึงเรียกว่าสิ่งนั้นมันไม่ใช่ของเรา แล้วมันก็ไม่สามารถอยู่ในบังคับบัญชาของเราได้ สิ่งนั้นเราเอาไปไม่ได้ แล้วสิ่งไหนเล่าที่เราเอาไปได้..นั่นคือของจริง บุญกุศลและอกุศลไงล่ะจ๊ะที่เอาไปได้..

    ทานแม้ข้าวทัพพีเดียวที่โยมให้ทานกับพระภิกษุสงฆ์..ในนั้นจิตที่โยมนอบน้อมในพระรัตนตรัย ที่จะอุดหนุนค้ำชูเนื้อนาบุญให้ยังประโยชน์เพื่อไปเผยแผ่พระศาสนาก็ดี ข้าวทัพพีนั้นจะตามส่งผลให้โยมไปมีกินมีใช้ไม่ขัดสน ไม่อดอยาก ไม่ว่าโยมจะอยู่ในสัมปรายภพใด เกิดในชาติใดตระกูลใดก็ตามก็จะส่งผลอยู่อย่างนี้ แค่ทัพพีเดียวก็ตามที..นี่ติดตามไปได้จริง

    การภาวนาจิต จิตที่เข้าถึงความสงบนิ่ง ไม่มีจิตอกุศลในขณะนั้น ย่อมทำให้โยมนั้นได้เข้าถึงการหลุดพ้นในขณะนั้น ก็มีอานิสงส์ที่โยมจะสามารถเอาไปได้จริง นั่นก็หมายถึงว่าแม้นเราจะเกิดมาเป็นมนุษย์ก็ดี อยู่ในห้อมล้อมของภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง ถ้าบุคคลใดได้เคยอบรมปัญญาภาวนามา..ย่อมเห็นทางออกเสมอ ไม่มีคำว่าอับจนหนทาง

    ดังนั้นการที่เราได้มาพบพระพุทธศาสนานี้เรียกว่าเราได้มาพบดวงแก้ว ใครได้พบดวงแก้วแล้วอธิษฐานจิตอยู่บ่อยๆ ก็คือผู้ใดเห็นจิตของตัวเอง..นั่นแลเค้าเรียกว่าดวงแก้ว เมื่อใครอธิษฐานดวงจิตดวงแก้วของตัวเองบ่อยๆ พิจารณาอยู่บ่อยๆ เพ่งรู้อยู่บ่อยๆนั่นแล..ดวงแก้วดวงจิตนั้นมันจะเป็นผู้รู้คอยสอนในตัวของมันเอง

    แล้วใครบอกว่าจะแคล้วภัยจากบ่วงมารทั้งหลาย และจะทันยุคของพระศรีอาริยเมตไตรยคือพระศรีอารย์ที่จะมาจุติในเบื้องหน้า แต่ก่อนที่ท่านจะมาจุติขอให้มนุษย์ทั้งหลาย และเหล่าเทวดาเทพพรหม ณ ที่ถ้ำผาแห่งนี้จงสดับไว้ว่า ต่อนี้อีกจากไปเมื่อเข้าถึง ๕,๐๐๐ วัสสา หลังจากสิ้นพระศาสนาแล้วขององค์สมณโคดม จะว่างเว้นในศาสนา..นั่นเรียกว่าพุทธันดร

    หมายถึงว่าการว่างเว้นในศาสนาเป็นอย่างไร จะไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น แล้วเมื่อไม่มีศีลที่คุ้มครองในโลกในยุคนั้นจะเป็นอย่างไร เค้าเรียกว่าไม่ต่างอะไรกับไฟบรรลัยกัลป์ เพราะว่ามีแต่จิตยักษ์มารได้มาเกิด มีแต่ทุกข์เวทนา หาหนทางออกจากทุกข์ไม่ได้เลย

    ดังนั้นยุคนี้เมื่อเราได้เจอแล้วในบ่อน้ำทิพย์ อย่าได้ไปหวังในบ่อน้ำข้างหน้า ว่ายุคของพระศรีอาริยเมตไตรยนั้น ว่ามีอายุยืนเป็นหมื่นปีก็ตาม มีความสุขเพียงระลึกถึง มีความเสมอภาคด้วยศีลก็ดี หากในยุคนี้โยมยังประพฤติปฏิบัติในทางเดินแห่งมรรคนี้ไม่ได้ ในข้อวัตรปฏิบัติแห่งความเป็นมนุษย์..นั่นก็คือศีล ๕ กรรมบท ๑๐ ยังไม่ได้แล้วไซร้ อย่าได้ปรารถนาที่จะไปอยู่ที่ซึ่งสุขสบายกว่านี้ถ้าเรายังติดสุขอยู่ นั้นก็ขอฝากเตือนไว้..

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  8. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    BFFF1AF3-DCF2-411A-9D9B-0447E4685116.jpeg

    การที่เรามาเจริญกรรมฐานนี้เราได้ประโยชน์อย่างไร ประโยชน์ที่แท้จริงก็คืออาศัยกายสังขารนี้มาสร้างประโยชน์ นั้นการที่เมื่อมีสังขารแล้วเราจะต้องรักษาสังขารอย่างไร เพื่อตอบแทนสังขาร เพื่อไม่เบียดเบียนตัวเอง

    การเบียดเบียนตัวเองก็ชื่อว่าเป็นบาปอย่างหนึ่ง นั้นการไม่เบียดเบียนตัวเองเป็นอย่างไร ที่จะเรียกว่าการรักษาพรหมจรรย์ อย่างหนึ่งก็คือการไม่ฆ่าสัตว์อย่างนี้ เรียกว่าไม่เบียดเบียนตัวเอง เมื่อเราเบียดเบียนใครก็เท่ากับว่าเราเบียดเบียนตัวเอง เมื่อเราสาปแช่งใครก็เท่ากับว่าเรานั้นสาปแช่งตัวเองอย่างนี้

    นั้นศีลนั้นต้องเรียกว่าความละเอียดของกฎแห่งกรรม เมื่อเราไปละเมิดแล้วไปล่วงเกินแล้ว..เมื่อกรรมนั้นที่เราทำให้ผล เมื่อเสวยวิบากกรรมนั้น ก็จะทำให้เรานั้นเป็นทุกข์ เดือดร้อนในภายหลัง นั้นเราควรสำรวมระวังเอาไว้ นี่คือการเบียดเบียนพรหมจรรย์..คือการทำลาย ขอให้โยมพิจารณาศีลให้เกิดขึ้น

    การไม่เบียดเบียนสัตว์ เมื่อเราไม่เบียดเบียนเค้า ก็จะทำให้เราห่างจากโรคภัย ส่วนมากแล้วภัยทั้งหลายทั้งปวงในความเจ็บป่วยไข้ก็ดีในกายสังขาร ล้วนเกิดจากภัยในปาณาติบาตทั้งนั้น คือการเบียดเบียนสรรพสัตว์ อทินนาทานา..การเบียดเบียนทรัพย์ผู้อื่น ข้อนี้จะทำให้เรานั้นขาดแคลน หรือมีทรัพย์ที่หามาได้ก็รักษาทรัพย์ไว้คงไม่อยู่คงไม่นานอย่างนี้ การเป็นหนี้แล้วไม่ชดใช้นี่ก็เรียกเบียดเบียน เหล่านี้ให้ระลึก เป็นการเบียดเบียนเช่นเดียวกัน

    นั้นข้อใดข้อหนึ่งที่เราเบียดเบียนแล้วถือว่าเรานั้นละเมิดในกฎแห่งกรรม ขอให้โยมระลึกถึงชำระล้างจิตของตัวเอง เพื่อที่จะแก้ไข การล่วงเกินประพฤติผิดในภรรยาหรือสามีผู้อื่นก็เช่นเดียวกัน นี่ก็เป็นการเบียดเบียน ให้เราระลึกถึง ให้มีความละอายในข้อศีล

    ในความสัตย์ที่เรานั้นไม่ได้พูดความจริง นี่คือสัจจะบารมี ก็ให้ระลึกรู้ การพูดเท็จ พูดเพ้อเจ้อทั้งหลาย สิ่งที่พูดไม่เป็นความจริง เมื่อไม่เป็นความจริงแล้วสิ่งที่เราจะทำอธิษฐานอะไรแล้วมันก็ไม่เป็นความจริง สิ่งที่เราจะเบียดเบียน..สุราเมรัยเหล่านี้..คือการเบียดเบียนตัวเอง เบียดเบียนกายสังขาร ทำลายสติและปัญญา ก็เป็นโทษอย่างหนึ่ง นี่เรียกว่าเป็นการล่วงเกินในกฎของกรรม

    ดังนั้นเมื่อเรามาเจริญพรหมจรรย์ก็คือการเจริญศีลให้บังเกิด ศีลคือการสำรวมกาย วาจา ใจให้ตั้งมั่น คือไม่นำกายเราไปนั้นให้เกิดทุจริต วาจาเราไม่ทุจริต มโนเราก็ไม่ทุจริต คือรักษากาย วาจา ใจเรานั้นอยู่ในความเป็นปรกติ ความไม่เบียดเบียน นี้แลจิตสภาวะจิตเราจะเข้าถึงธรรมได้

    เมื่อเป็นอย่างนี้เรามาเจริญกรรมฐาน ละความอาฆาตพยาบาท ละความเบียดเบียน ไม่มุ่งร้ายต่อผู้อื่นอย่างนี้แล้ว จิตเราเข้าถึงความสงบ เข้าถึงความดี เข้าถึงกุศล ก็เอากุศลและความดีนี้เจริญจิตแผ่เมตตาไปให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้ทุกดวงจิตดวงวิญญาณ ไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิใด แม้ในขณะนี้ที่จะเข้ามาข้องเกี่ยวกับจิตเรา ที่เรารู้ก็ดี ไม่รู้ก็ดี ไม่ว่าจะรู้นามไม่รู้นาม ไม่รู้หน้าไม่รู้ตา ขอให้เค้าเหล่านั้นได้รับเสวยผลบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้เจริญจิตภาวนา

    ขอให้ทุกสรรพสัตว์ทุกดวงจิตทั้งหลายจงอย่าได้มีเวรภัย ละความอาฆาตพยาบาทมาดร้าย ขอให้ยุติกรรมอกุศลทั้งหลายทั้งปวง อย่าได้มีเวรพยาบาทซึ่งกันและกันเลย ขอบุญกุศลนี้จงหนุนนำค้ำชูทุกดวงจิตดวงวิญญาณได้พ้นจากการเป็นทุกข์ พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด พ้นจากการทรมาน พ้นจากสภาพการเป็นเปรตวิสัย สัตว์เดรัจฉาน แห่งสัตว์นรกก็ดี ขอให้ทุกดวงจิตทั้งหลายเหล่านั้นจงได้สมบัติของมนุษย์สมบัติ เทวดาสมบัติ นิพพานสมบัติ ให้หลุดพ้นจากบ่วงกรรมทั้งหลาย

    แม้กรรมใดๆที่เรานั้นได้เคยล่วงเกินก็ให้เขาทุกดวงจิตเหล่านั้นอโหสิกรรม ที่เรานั้นรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัย แห่งคุณพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ คุณพระบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ทั้งหลาย คุณเทพเทวดา จงช่วยนำทางให้ดวงจิตทั้งหลายเหล่านั้นจงพ้นจากทุกข์เวรภัยทั้งหลาย อย่าได้มีความอาฆาตพยาบาทมาดร้ายต่อกัน จนตราบสิ้นการพ้นทุกข์ทุกรูปทุกนาม ทุกตัวทุกตนด้วยเทอญ

    ด้วยอำนาจแห่งอานิสงส์ผลบุญนี้ที่ข้าพเจ้าได้ตั้งจิตอุทิศไปให้นี้ ขอให้ผลบุญเหล่านี้จงกลับมาปกปักรักษาจิตวิญญาณกายสังขาร ให้ข้าพเจ้านั้นได้เจริญคุณงามความดี อยู่ในศาสนาก็ดี อยู่ในทาน ศีล ภาวนาก็ดี อยู่ในทางเดินแห่งมรรค เพื่อจะให้เกิดประโยชน์ต่อแผ่นดิน ต่อครูบาอาจารย์ ต่อศาสนา ต่อบรรพชน ต่อบิดามารดา ต่อผู้มีคุณทั้งหลาย ต่อจิตวิญญาณของตัวเราเอง จนกว่าจะสิ้นการพ้นทุกข์ถึงพระนิพพานเบื้องหน้าที่เรานั้นปรารถนา ก็ให้โยมนั้นตั้งจิตอธิษฐานเอา..

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  9. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    สาธุ สาธุ สาธุ

    การได้เกิดมาทันในยุคของพระพุทธศาสนานั้นประเสริฐยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ผู้ที่ได้เกิดมาทันในภพชาตินี้เป็นผู้ที่มีบุญมาก และจะมีบารมีมากเมื่อได้ปฏิบัติธรรมจนถึงวาระสุดท้ายของการดับแห่งกายสังขาร

    สำหรับผู้ที่ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องตามคำสอนของพระรัตนตรัย ย่อมพบกับความเป็นจริงตามที่ครู อาจารย์ท่านได้สอนเอาไว้ จงอดทนอดกลั้นเอาไว้ ขันติเท่านั้นที่จะช่วยให้เราได้พบความจริงอันประเสริฐนั้น

    ถึงเรื่องในทางโลกจะวุ่นวายขนาดไหนก็ตาม ถ้ามโนไม่วุ่นวายแล้วไซร้ เราก็จะสามารถดำเนินชีวิตตามที่เราได้ตั้งสัจจะอธิษฐานเอาไว้ได้

    การปฏิบัติอยู่กับธรรม เหมือนกับการกินอาหาร ตราบใดที่ยังมีชีวิตหรือยังมีลมหายใจอยู่ ถ้ายังมีการกินอาหารอยู่ เราก็ต้องอยู่กับศีล สมาธิและปัญญาควบคู่กันไป อุปสรรคของความทุกข์คือบททดสอบที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้ที่จะก้าวพ้นจากการวนเกิดวนดับในวัฏฏะสงสารนี้ไปได้

    "จงมีตนเป็นที่พึ่งมีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ จงมีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะเป็นอยู่"
     
  10. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    25BE2FE3-4999-4DDA-8C55-8EEF685FDF02.jpeg
     
  11. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    3B03FD7F-5CF0-40AF-8D98-3FCC7492BAF4.jpeg

    เราทำอะไรไว้ในภพปัจจุบันนั้น สิ่งนั้นมันจะตามหนุนนำให้โยม โยมทำอะไรไปมันก็จะเป็นพินัยกรรมเป็นทายาท มันจะคอยสนองในสิ่งที่เราได้ทำไว้แล้ว นั้นก็อยากให้โยมได้เจริญความเพียรให้มากๆ ให้เข้าถึงในความเชื่อความศรัทธา โยมทำพละให้มันเต็ม..พละทั้ง ๕ น่ะ

    นั่นคือมีความศรัทธาให้มาก เราสวดมนต์เราก็จะมีความตั้งใจสวดนอบน้อม มีสมาธิบ้างไม่มีสมาธิบ้างเราก็ตั้งใจสวดไป แต่ขอให้มีความศรัทธา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มีความศรัทธาอย่างเดียวไม่พอ มันต้องมีความเพียร มีวิริยะ มีขันติแห่งธรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้ามีขันติแล้วจะทำให้เรามีสติ คือระลึกรู้ที่เราทำไป..ไปเพื่ออะไร มีความปรารถนาอย่างไร มีสติมากๆมีการระลึกชอบ เราก็จะเข้าถึงสมาธิได้ เมื่อจิตเราตั้งมั่นเมื่อไหร่ปัญญามันจะเกิดทันที มันเป็นธรรมดาเป็นอัตโนมัติของจิตนี่

    เมื่อจิตมันตั้งมั่น พอองค์ประกอบมันครบแล้วในธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม รวมขันธ์เป็นหนึ่ง มันก็จะมีประจุระเบิดเกิดขึ้นมา ทำให้เกิดปัญญา เพราะฉะนั้นเกิดปัญญาดวงจิตมันก็มีการเกิดดับ ตั้งอยู่ ดับไปถ้าเราไม่เท่าทัน ถ้าเราเท่าทันเราจดจ่อเพ่งอยู่ในนั้น..มันก็จะสว่างมาก..สว่างมาก..สว่างมาก คือจิตมันจะละเอียดมากขึ้น..มากขึ้น

    นั้นถ้าจิตยังไม่ละเอียดเราก็พิจารณาปัญญาแบบหยาบๆไปก่อน ปัญญาแบบหยาบๆเป็นอย่างไร ก็พิจารณาภายนอกไปก่อน พิจารณาขันธ์ ๕ ไปก่อน กรรมฐาน ๕ ไปก่อน ที่เราจับต้องได้ในความไม่เที่ยง ในทุกข์ ในอนัตตาทุกขังนี้ ในเกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ..ตโจ ทันตา นขา โลมา เกศา เราพิจารณาอย่างนี้ย้อนไปย้อนมา..ให้เห็นอะไร

    เค้าให้เห็นความไม่เที่ยง อะไรที่ชื่อว่าความไม่เที่ยงนั่นคือเรียกว่าทุกข์ทั้งนั้น แล้วลองพิจารณาซิว่าทุกข์ที่ว่าแล้วมันเกิดจากที่ใด พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าให้ไปดูที่เหตุแห่งทุกข์นั้น เมื่อเห็นเหตุแห่งทุกข์นั้นแล้ว ดำริจะออกจะตัดได้..ธรรมทั้งหลายมันก็ต้องดับที่เหตุนั้น แล้วเหตุแห่งทุกข์มันเกิดที่ใดจ๊ะ..

    (ลูกศิษย์ : ที่จิตเราครับ) มันเกิดที่กายเรามั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : มันเกิดที่จิตที่กายครับ) อ้าว..เมื่อเรามีกายเราก็มีจิตไปอาศัยอยู่ ถ้าจิตไม่มีที่อาศัย จิตมันจะมาเกิดได้มั้ยจ๊ะ เรามาเกิดในกองขันธ์จิตเป็นทุกข์มั้ยจ๊ะ..จิตมันก็เป็นทุกข์ ถ้าเราอยากจะออกจากทุกข์นี้ เราต้องเรียนรู้จากทุกข์ให้มาก หาเหตุให้เจอ หาเหตุเจอแล้วโยมจงดับเหตุแห่งทุกข์นั้น โยมจะไม่ทุกข์อีกต่อไป

    ทุกข์เพราะความพอใจ ทุกข์เพราะว่าเราไม่ได้ดั่งใจ นั่นแลคือสาเหตุหลักใหญ่ของมนุษย์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นเราต้องทำยังไง..จงละความพอใจ ละความไม่พอใจ เรามีสาเหตุที่ทำให้เราโกรธ..แต่เราสามารถระงับไม่ให้โกรธได้ นั่นแหล่ะจ้ะคือยอดแห่งขันติ ยอดของสติ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เพราะอะไรอารมณ์ที่มายั่วเราทำให้เราเกิดขึ้น มันทำให้เกิดเพลิดเพลิน ทำให้เกิดโทสะ ทำให้เกิดโลภะเหล่านี้ การที่เราจะติดสุขมันเป็นของง่าย แต่การที่เราจะละมันเท่าทันมัน มันเป็นของยาก ส่วนมากพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นของที่อริยบุคคลที่เขาจะทำได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นโยมยังเป็นคนธรรมดาอยู่ มันก็เป็นธรรมดาที่จะมีโลภ โกรธ หลงเป็นของธรรมดา แต่เมื่อโยมเห็นว่าเป็นของธรรมดาแล้ว แล้วทำไมเราไม่เบื่อไม่หน่ายล่ะจ๊ะถ้ามันธรรมดาจริง ทำไมเรายังเอาชนะมันไม่ได้ แสดงว่ามันไม่ธรรมดา ใช่มั้ยจ๊ะ

    คนที่จะเหนือและข้ามมันไปได้ต้องเป็นบุคคลไม่ธรรมดา ถ้ายังธรรมดาอยู่ ยังกินนอนอยู่ หาความสุขสบายอยู่ แล้วจะบอกหลุดพ้น..ไม่มีทาง ไม่งั้นครูบาอาจารย์ไม่ต้องเข้าป่าเข้าเขาไปเดินธุดงค์ ธุดงควัตรนี้เป็นวัตรที่ควรกระทำเป็นกิจวัตร แสวงหาความสงบ แสวงหาความสันโดษ

    ดังนั้นเรายังเป็นมนุษย์ธรรมดาอยู่ อะไรที่เราประพฤติปฏิบัติได้ เราก็ประพฤติปฏิบัติไปตามสมควรแก่ธรรมของเรา ยิ่งเรามีโอกาสมีสถานที่อย่างนี้ฝึกจิต โดยที่ไม่มีมารเค้ามารบกวน นอกจากมารภายในตัวของเรา ก็ค่อยๆละค่อยๆกำจัดไป

    นั้นเราจะทำยังไงให้มารภายในเค้าเมตตาเอ็นดูเรา..ทำยังไง ให้เราอธิษฐานสิจ๊ะ อธิษฐานเอากายสังขารที่บิดามารดาผู้ที่ให้กำเนิดให้ลมหายใจมา ข้าพเจ้าจะขออุทิศกายสังขารนี้ มารของเราตัวแรกก็คือบิดามารดา ปู่ย่าตายายเป็นมารของเราทั้งนั้น อ้าว..เค้าเกิดมาจากเชื้อมารมั้ยจ๊ะ ดังนั้นเราต้องอธิษฐานแบบนี้ มารเค้าก็ให้คุณเรา ถ้าเราไม่มีมารพระพุทธเจ้าก็เกิดไม่ได้ ใช่มั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นแล้ว..แต่เมื่อเรารู้ว่าเรามีมาร แต่ถ้าเรายังยึดอยู่เรายังเป็นทายาทมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เป็นครับ) นอกจากเราไม่ยึด แล้วคือการตอบแทน เราจะได้หมดหนี้กรรม ตอบแทนอย่างไรคือตอบแทนคุณบิดามารดา บิดามารดาทานยังไม่มีเราก็ให้ท่านมีซะ ให้ท่านรู้จักทำทาน ศีลไม่มีก็ให้ท่านรักษา ภาวนาไม่มีก็ให้ท่านอบรมบ่มจิตซะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นี่คือการตอบแทนบุญคุณบิดามารดาอันสูงสุด คือเรียกว่าให้ธรรมทาน สูงค่ากว่าทานทั้งปวง แล้วการที่โยมเอากายสังขารมาอุทิศเนี่ย..นี่ก็เป็นธรรมทานอันยิ่งใหญ่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมจะต้องออกจากมารตัวนี้เราต้องตอบแทน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นโยมจะบอกว่าที่ปู่ย่าตายายเรานี่ ถ้าเราไม่มีปู่ย่าตายายโยมจะมีลมหายใจ มีบิดามีมารดาของโยมมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่มีครับ) อ้าว..แสดงว่าบิดามารดาของโยมก็จะเป็นสะพานเชื่อมต่อให้โยม ใช่มั้ยจ๊ะ นั้นอะไรก็ตามที่เค้าให้คุณประโยชน์ให้คุณกับเรา..เราควรตอบแทน ก็คือเป็นพระอรหันต์ของเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เราตอบแทนเลี้ยงดูอรหันต์..ความเป็นอรหันต์เราก็จะได้เกิดขึ้นมา เมื่อเราตอบแทนคุณบิดามารดา อานิสงส์เค้าบอกว่าบุคคลผู้นั้นหรือบุตรธิดาก็ดี เค้าบอกว่าจะไม่มีวันตกต่ำเลย นั้นถ้าเรามาเอากายสังขารมาตอบแทนคุณบิดามารดา อุทิศบุญกุศล พอเราได้ทำอะไรเราก็ไปบอกบิดามารดา เข้าใจมั้ยจ๊ะ เออ..อย่างนี้ เราได้ของดีเราก็ต้องไปให้ท่านมั่ง

    (ลูกศิษย์ : ท่านไปแล้ว) ไปแล้วเราก็ให้ได้ อุทิศได้ทั้งนั้น บุญกุศลใดที่เราสร้างแล้วเจริญแล้วในทาน ศีล ภาวนานี้ ไม่ว่าบิดามารดาตาทวด ไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิใดสัมปรายภพใดแล้ว จิตเค้าบอกว่าไม่มีระยะทาง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    พอเราระลึกถึง..ไม่มีระยะทาง แต่ตอนที่เรายังไม่ระลึกถึง..หาระยะทางไม่เจอคือไกลมาก แต่ถ้าจิตเราระลึกถึงใคร..ถึงมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ถึงครับ) ถ้าถึงแล้วแสดงว่าถึงแล้ว..ไม่มีระยะทาง นอกจากเราไม่ระลึกถึงนั่นเอง..คือไม่อยากไป ถ้าอยากไปไหนจิตเราไปได้ทั้งหมด เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  12. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    81EF11E4-8CD3-490E-97AA-93ABCB1A2959.jpeg

    พระเจ้าตากสิน..ท่านเกิดมาท่านทำประโยชน์อะไรหรือเปล่าจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ทำเจ้าค่ะ) โยมควรระลึกถึงมาเป็นตัวอย่าง ถ้าเราทำไม่ได้เยี่ยงท่านขนาดนั้น ก็ขอให้เรานั้นได้ตอบแทนท่าน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ที่ท่านนั้นได้มีให้แผ่นดินให้เราอยู่ ให้เราได้มาสร้างบุญบารมี และได้มาอยู่มาอาศัย แล้วยังเป็นประโยชน์ให้ลูกหลานเราอีก

    หากเราไม่มีแผ่นดิน เราจะมาสร้างบุญกุศลบารมีได้มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่ได้เจ้าค่ะ) สิ่งนี้สำคัญนัก เมื่อเรามีแผ่นดินธรณีรับรอง แสดงว่าแผ่นดินที่เราเหยียบย่ำอยู่..ก็คือบรรพบุรุษทั้งนั้น ดิน ทราย อากาศ ลม น้ำ ล้วนแต่เป็นจิตวิญญาณของบรรพบุรุษทั้งนั้น..ที่เราเหยียบย่ำ ทุกครั้งเราจึงต้องมีการขอขมากรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะเราอาจจะเผลอใผลไป ล่วงเกินไปด้วยกาย วาจาหรือวจีกรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นเมื่อท่านสร้างประโยชน์ มีคุณูปการมากมายที่เรานั้นสุดจะพรรณนาแล้ว ก็อยากให้พวกโยมทั้งหลายเจริญความเพียร ประพฤติปฏิบัติถวายเป็นพุทธบูชา เพราะว่าท่านกู้แผ่นดินมาเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เมื่อเราสนองต่อราชโองการต่อความประสงค์ของท่านแล้ว..เท่ากับว่าเราได้ตอบแทนมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ตอบแทนเจ้าค่ะ)

    เมื่อเรานั้นประพฤติปฏิบัติสืบศาสนาให้คงอยู่ คราใดสิ่งใดก็ตามถ้าขาดจากการปฏิบัติ..ศาสนาคงอยู่ได้มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่ได้ค่ะ) เพราะไม่มีใครปฏิบัติตาม ใช่มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เจ้าค่ะ) เหมือนวิชาทั้งหลายถ้าเราไม่ได้เรียนรู้ มันก็ต้องคืนกลับไปให้ครูบาอาจารย์ แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติและฝึกฝนอยู่บ่อยๆ เค้าเรียกว่าสืบสานมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : สืบสานเจ้าค่ะ) สิ่งนั้นมันจะมีวันเสื่อมสลายมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่เจ้าค่ะ) ถูกต้อง..

    นั้นการปฏิบัตินี้แลเป็นการต่ออายุพระศาสนาโดยตรง..ไม่ใช่โดยอ้อมเลย จึงเรียกว่ามีอานิสงส์มากเป็นอานิสงส์ใหญ่ ยิ่งโยมนั้นตั้งจิตอธิษฐานต่อพ่อพระเจ้าตากแล้ว ที่ท่านได้สละชีพเอาชีวิตเลือดเนื้อนั้นแล แล้วทหารกล้าทั้งหลายที่ปกป้องมาตุภูมิทั้งหลายในแผ่นดินสยามนี้ แล้วโยมได้ประพฤติปฏิบัติบูชาให้สมกับที่ท่านนั้น ได้สละชีพปกป้องอธิปไตยมา อย่างนี้เรียกว่าต่างคนต่างได้ประโยชน์ จึงมีอานิสงส์มาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นก็ขอให้โยม..เมื่อได้ประพฤติปฏิบัติ แล้วโยมได้ไปตั้งจิตในห้องกรรมฐานแล้ว อุทิศถวายบุญแล้วโยมก็ไปตั้งจิตอธิษฐานกับท่านสมเด็จโต อธิษฐานบอกให้เทพยดาเจ้าทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ณ ที่อากาศทั้งหลายก็ดี ที่ประตูเมืองก็ดี เขตพุทธาวาส เขตวิสุงคาราม ต้นโพธิ์น้อยใหญ่ ต้นไทร เจ้าป่าเจ้าเขาทั้งหลายจงมาโมทนาบุญกุศลกับข้าพเจ้า

    ขอข้าพเจ้านี้ตั้งจิตอธิษฐานถวายประพฤติปฏิบัติเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ถวายนอบน้อมแด่คุณพระศรีรันตนตรัย คุณครูอุปัชฌาย์อาจารย์ เอ่ยอ้างนามว่าเราจะประพฤติ..เอ่ยอ้างนามที่เรานั้นจะอุทิศถวาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ ขอบุญกุศลนี้จงหนุนนำให้ดวงจิตดวงวิญญาณของข้าพเจ้านี้หมดทุกข์หมดภัย พ้นจากภัยทั้งหลาย เอาชนะมารภายในและมารภายนอก ตั้งมั่นอยู่ในทาน ศีล ภาวนา ในศีลในธรรม..ก็ให้อธิษฐานไป

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  13. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    B32D312E-DD55-4439-AC2D-AE072A3F0A1F.jpeg
     
  14. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    150DE0FD-E2D2-4999-ACA3-13D23007F3DA.jpeg

    เมื่อเรารู้ใจตนรู้เท่าทันอารมณ์ รู้ว่าจะดับอารมณ์ได้อย่างไรนั้นแล เมื่อเราทำได้อย่างนี้อยู่บ่อยๆ เรียกว่าเราจะแจ้งในอริยสัจ เข้าถึงในไตรลักขณญาณ เมื่อเราเห็นได้อย่างนี้จิตนั้นจะเกิดความเบื่อหน่าย คลายจากความกำหนัด จิตนั้นย่อมเข้าถึงสัมมาทิฏฐิชอบคือเห็นชอบ..ย่อมดำริชอบได้

    คือดำริออกจากทุกข์ ดำริออกจากกาม ดำริออกจากการครองเรือนก็ดี เหล่านี้ ชื่อว่าเป็นทางเดินสายกลางแห่งมรรค นั้นเมื่อการที่เรานั้นมาเจริญทาน ศีล ภาวนา อบรมบ่มจิตอยู่บ่อยๆเนืองๆอย่างนี้แล ย่อมทำให้ปัญญาญาณมันบังเกิดขึ้น

    คือเห็นความเบื่อหน่ายเห็นความไม่เที่ยงของกายสังขาร ว่ามันเป็นภาระอย่างหนัก ที่เราต้องคอยดูแลทำความสะอาดมันอยู่ตลอดเวลา ต้องบำรุงบำเรอด้วยอาหาร นั่นคือบรรเทาโรคก่อนที่ไม่ให้มันกำเริบเกิดขึ้นคือความหิวอยู่อย่างนี้..

    แม้เราจะดูแลมันอย่างดี..มันก็เสื่อม มันก็เจ็บ มันก็ป่วยอยู่ดี ดังนั้นแล้วขอให้เห็นโทษภัยในการเกิดในกองขันธ์นี้ให้มาก เพื่อจะได้เห็นความเบื่อหน่าย ได้ละอารมณ์ที่เราไปยึดไปติดไปพอใจ จะได้เรียกว่าจิตนั้นได้ถอดถอนในอุปาทานแห่งขันธ์ ในความยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกู

    ให้เกิดสติเกิดปัญญาได้ว่าแท้ที่จริงแล้วกายสังขารนี้เป็นเพียงให้เราได้อยู่อาศัยแค่เพียงชั่วคราว เป็นมรดกตกทอดของจิตวิญญาณของบิดาตาทวด ของปู่ย่าตายาย ให้เลือดเนื้อกายสังขารมาเป็นมรดก เพื่อให้เรานั้นได้ฝึกจิต เจริญสติเจริญปัญญา เพื่อเอากายสังขารนี้เป็นเครื่องอยู่ของธรรม มาอบรมบ่มจิตให้เข้าถึงตัวปัญญา คือความรู้แจ้งที่เรานั้นจะรู้เท่าทันในโทษภัยแห่งกายสังขารนี้

    มันก็เหมือนเรือที่คอยรั่วอยู่ตลอดเวลา เหมือนเรือนที่ไฟกำลังจะไหม้ เหมือนแพที่มันกำลังจะแตก ดังนั้นแล้วอย่ารอให้ภัยมันมาแล้วแล้วค่อยมาต่อแพ นั้นการฝึกจิตนี้หรือการภาวนาจิตนี้ก็เรียกว่าเตรียมตัวก่อนที่แพเราจะแตก เตรียมตัวก่อนที่ว่าพญามัจจุราชจะมากระชากจิตวิญญาณไป หรือมาบังคับให้เรานั้นต้องยอมปล่อยสละคืนในสังขาร หรือสิ่งใดๆก็ตามที่เรานั้นจิตเรายังเข้าไปผูกมัดยึดมั่นถือมั่นเหล่านี้

    จงฝึกจิตเตรียมตัวปล่อยละวาง คืนทุกสิ่งให้โลก เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันไม่ใช่ว่าเป็นของเราเลย ถ้าของเราจริงต้องเอาไปได้จริง ลูกก็ดี ทรัพย์สมบัติก็ดี สิ่งไหนก็ตามที่เราไม่สามารถเอาไปได้ อันสิ่งใดนั้นแลเรียกว่าตกอยู่ในสมมุติบัญญัติของโลก ตกอยู่ในกฏของวิบาก อยู่ในไตรลักษณ์ นั่นก็คือทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นทุกข์ เป็นของไม่เที่ยง เป็นของว่าว่าง เป็นอัตตาที่เราไปยึดมั่นถือมั่นจนวางไม่ได้

    นั้นเมื่อเราวางได้เมื่อไหร่ จิตเราจะเข้าถึงอนัตตาแห่งความว่าง ดังนั้นแลถ้าเราไม่ฝึกไว้ตอนนี้ที่จะปล่อย เมื่อถึงเวลาความตายมาบังคับให้เราแล้ว เรานั้นจะไม่สามารถเตรียมตัวได้ทัน.. นั้นการที่เราฝึกสติฝึกสมาธินี้แล ก็เพื่อจะเตรียมตัวออกจากภัยนี้ ออกจากทุกข์นี้ เตรียมตัวที่จะออกจากที่คุมขังของวัฏฏะ

    ดังนั้นแล้วการที่เรายังมีอารมณ์อยู่ แสดงว่าเรานั้นยังไม่พ้นโทษภัย เมื่อใดเราตัดอารมณ์ละอารมณ์ได้ คือไม่มีอารมณ์ให้ปรุงแต่ง..คือความพอใจหรือความห่วงใดๆอีกต่อไป เราก็หมดโทษภัยนั้น

    เมื่อเราหมดโทษภัยแล้ว อุปมาเหมือนเราหมดโทษ กฎหมายบ้านเมืองก็ไม่สามารถมาเอาตัวเราไปคุมขังได้อีกต่อไป จิตเราได้เป็นอิสระ พ้นจากการตกเป็นทาสของกิเลสก็ดี ไม่ต้องกลับวนเวียนมาเกิดอีกก็ดี

    นั้นสิ่งไหนเล่าที่เราจะยึดเอามาเป็นสรณะได้ ที่เมื่อตายลงไปแล้วมันจะเป็นของๆเรา..นั่นก็คือข้าวทัพพีหนึ่ง ภาวนาชั่วอึดใจหนึ่ง ทำจิตให้รู้แจ้งเห็นโทษภัยในวัฏฏะชั่วขณะจิตหนึ่ง ตั้งจิตอธิษฐานแผ่เมตตาละอกุศลมูลในชั่วขณะจิตหนึ่ง สิ่งเหล่านี้แลที่จะเอาไปได้จริง อย่างอื่นไม่สามารถเอาไปได้เลย

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  15. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    54F0A7C6-34CE-4106-BA50-DE36B327CF4E.jpeg

    คนที่จะข้ามปีไปได้ด้วยทำให้ชีวิตนั้นมีความเป็นมงคล ได้ความเจริญก็ดี สิ่งสำคัญประการแรกไม่ใช่ไปแก้โชคชะตาตามวัดตามวา สิ่งที่สำคัญที่สุดขอให้ปล่อยทุกอย่าง คำว่าปล่อย..ปล่อยอะไรที่มีอานิสงส์มาก ปล่อยจิตที่เป็นอกุศล ที่เรามีความอาฆาตพยาบาทมาดร้ายกับใคร จิตที่มีความริษยา จิตที่มีความปรารถนาพยาบาทต่อจิตผู้อื่นเค้า เหล่านี้ควรละควรปล่อย..มีอานิสงส์มากมายมหาศาล เท่ากับว่าได้ให้ชีวิตได้ให้ความเมตตากับตัวเอง แล้วชีวิตโยมที่มีอุปสรรคอยู่จะคลายจากอุปสรรคนั้น..ไม่มากก็น้อย

    ถ้าใครทำได้ในชีวิต..มงคลที่สูงสุดในชีวิตก็คือความเป็นผู้ไม่เบียดเบียน ความเป็นผู้ที่ไม่มีความอาฆาตพยาบาท หรือนั่นเรียกว่าคิดดี พูดดี ทำดีนั่นเอง ถ้าทำได้อย่างนี้โยมไม่ต้องไปสะเดาะเคราะห์ที่ไหน และโยมไม่ต้องให้ใครอุทิศบุญให้โยม อย่างนี้แล้วไซร้เราไม่ต้องไปดูเสริมชะตาชีวิต ไม่ว่าจะเป็นปีชงหรือไม่ชงก็ตาม..

    ดังนั้นทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงจากพฤติกรรมของเราเอง ดังนั้นจะเริ่มต้นศักราชใหม่แล้ว ขอให้โยมจงทำจิตให้เป็นกุศลอย่างนี้เสียก่อน เมื่อเราละความอาฆาตพยาบาทผู้ใดได้ ที่เราระลึกได้ก็ดี หรือใครเคยทำให้เรานั้นมีความเจ็บช้ำน้ำใจ สิ่งเหล่านี้ถ้าระลึกได้แล้ว ขออำนาจบุญกุศลในพระรัตนตรัยนั้นจงอดอาฆาตพยาบาทมาดร้าย ให้ดวงจิตของเค้าเหล่านั้นกลับเป็นมิตร อย่าได้เป็นศัตรูคู่อาฆาต ก็ขอให้อำนาจจิตของเรานั้นในบุญกุศลที่เราเข้าถึงแล้ว ให้เกิดเมตตาจิตกับเค้า อย่าได้มีเวรอาฆาตพยาบาทก็ด้วยอำนาจของบุญนี้ที่ข้าพเจ้าได้ตั้งจิตแผ่เมตตาจิตออกไปด้วยเทอญ ให้เราตั้งจิตอธิษฐานไป

    เมื่อจิตเรามีเป็นผู้ที่จะให้เสียแล้ว เท่ากับว่าให้แสงสว่าง..แสงสว่างนี้ถ้าจิตโยมตั้งมั่นแล้วให้ด้วยความจริงใจ ด้วยความนอบน้อม ด้วยความศรัทธา ด้วยความจริงนั่นแล แสงสว่างแห่งบุญนี้จะถึงแล้วก็จะมีกำลังมาก

    นั้นสิ่งทั้งหลายไม่ได้อยู่ที่พระเจ้าที่จะเสกสรรให้โยมนั้นเป็นผู้สำเร็จเป็นผู้ค้นพบ แต่จะเป็นตัวของเราเองเป็นผู้กำหนด คือกำหนดจิต คือกำหนดกรรม กรรมอันใดที่เราทำไปแล้วทำให้เราเดือดร้อนภายหลัง..เรียกว่ากรรมชั่ว ถ้ากรรมอันใดทำไปแล้วไม่ทำให้เราเดือดร้อนภายหลัง..เรียกว่ากรรมดี กรรมอันใดที่ทำไปแล้วทำให้เรานั้นพ้นจากความเป็นทุกข์ ไปถึงทางแห่งมรรค ไปสู่นิโรธนั่นแล..เรียกว่ากรรมเหนือกรรม พรวันนี้ในค่ำคืนนี้ก็จบลงด้วยเพียงเท่านี้..เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  16. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    3A137089-796C-4CEB-B567-D2D507CFA3EE.jpeg

    ยังอยู่กันครบรึเปล่าจ๊ะ มีชีวิตกันอยู่ครบหรือเปล่า วันนี้หรือพรุ่งนี้ที่จะสิ้นปี (ลูกศิษย์ : วันนี้ขึ้นปีใหม่แล้วครับ) งั้นพวกโยมก็ยังพอมีบุญที่ยังมีชีวิตอยู่ถึงพรุ่งนี้ วันหน้าหรือปีต่อไปก็เหมือนกัน รักษาเนื้อรักษาตัวกันให้ดี ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่ก็ควรเห็นค่าในเวลาที่เหลืออยู่ อันว่าความเพลินความสุข หากว่ามันมีก็ขอให้เรานั้นได้ควรเพียรละเสียบ้าง..

    ไม่ว่าวาระโอกาสใดๆที่ได้มา..มาชุมนุมในการทำความดี มาเจริญภาวนา เรียกว่าบุคคลผู้นั้นมีบุญบารมี มีวาสนาที่จะสร้างกุศลสร้างต้นทุนที่จะเป็นแก่นสาร เนื่องในชีวิตที่มีค่าและประเสริฐ เพราะในห้วงเวลาที่เรานั้นได้มีลมหายใจ มีสติรู้ลม การเจริญภาวนาจิตที่มีสติอยู่

    ในเมื่อเราทำความเจริญให้เกิดขึ้นแล้วในพรหมจรรย์นี้ อะไรที่เราทำไว้ประพฤติปฏิบัติไว้ เมื่อถึงเวลาแล้วไอ้สิ่งที่เรากระทำไว้นั่นแลมันก็จะตามมาให้ผล ทำให้เราได้เจริญสติในยามที่เรามีทุกข์มีภัย

    ยุคต่อไปในขณะที่จะเกิดขึ้นของมนุษย์ หากใครไม่บำเพ็ญศีลภาวนาไว้ เมื่อเราขาดที่พึ่งที่เป็นสรณะแล้ว โรคภัยไข้เจ็บต่างๆที่มันจะเกิดขึ้น จะมาในรูปแบบใดก็ตาม หากเราไม่มีภูมิต้านทาน ไม่มีทาน ศีล ภาวนาไว้ ไม่ได้เคยอบรมบ่มจิต ไม่ได้เคยเจริญภาวนาเมตตาก็ดีเหล่านี้ โอกาสที่จะตายหมู่ก็มีมาก..

    นั้นสถานที่ใดมีการเจริญมนต์เจริญภาวนา หรือการละอารมณ์ในขันธ์ ๕ เป็นการเจริญเมตตาเจริญสติ สถานที่นั้นย่อมมีรังสีพุทธบารมี ไม่ว่าจะเป็นครูบาอาจารย์เหล่าใดหรือพระโพธิสัตว์เหล่าใดก็ตามที่มาเจริญบารมี จะมีรังสีที่จะสามารถปกคลุมดูแลรักษาคุ้มครองผู้ที่มาประพฤติปฏิบัติ

    แล้วในยุคนี้ก็จะเห็นว่าเมื่อผ่านยุคกึ่งพุทธกาลไปแล้ว ชีวิตมนุษย์นั้นก็จะล้มหายตายจากเป็นเหมือนใบไม้ร่วง เป็นหมู่เป็นกลุ่มเป็นก้อน เพราะสิ่งเหล่านี้แลได้เตือนมนุษย์ทั้งหลายว่าการมีชีวิตอยู่นั้นมันสั้นนัก..สั้นอย่างไร ก็เราไม่รู้ได้ว่าพรุ่งนี้เราจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ เพราะว่ามันเป็นอนาคตที่เราคาดการณ์ไม่ได้

    แต่สิ่งที่เราจะรู้ได้ก็คือในขณะนี้ถ้าเรายังมีสติ ยังมีความเพียร ยังมีศรัทธาอยู่ในการเจริญความดี หรือการทำสิ่งใดก็ตามด้วยมีสติกำหนดรู้ในสิ่งที่ทำอยู่นั้น ก็ย่อมทำให้เรานั้นรู้เท่าทันภัยที่จะเกิดขึ้น อย่าไปรู้ว่าพรุ่งนี้อะไรมันจะเกิดขึ้น วันข้างหน้ามันจะเกิดขึ้นหรือไม่ หรือว่าภัยมันจะเกิดขึ้นหรือไม่..

    แท้ที่จริงแล้วอันว่าภัยนั้นมันเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา นั่นก็เหมือนการมีความเสื่อมเหมือนกาย นั้นก็เรียกว่าภัยอย่างหนึ่ง..เรียกว่าภัยแห่งวัฏสงสาร ที่มนุษย์นั้นได้มีการเกิดแล้วก็ต้องมีความดับไปเป็นธรรมดา ก็เหมือนว่าเราจะเกิดมาเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นหมูหมากาไก่ สัตว์ก็ดี มนุษย์ก็ดี สมณชีพราหมณ์ พระราชา ยาจกขอทานทั้งหลาย เกิดมาเท่าไหร่ก็ต้องตายหมดเท่านั้น

    ในเมื่อเราระลึกถึงความตายได้อย่างนี้แล้ว มันก็จะทำให้เราได้ละอารมณ์ในความโลภ ความโกรธ ความหลงลงได้เสียบ้าง ดังนั้นวันปีใหม่ที่ฉันจะให้พรก็หมายถึงให้โยมนั้นมีสติ ให้ไปพิจารณาเพ่งโทษว่าเรานั้นได้ผ่านมาแล้ว มีชีวิตอยู่ได้ จะมาร่วมฉลองความยินดีก็ดีที่เราจะเข้าศักราชใหม่ก็ดี จะสิ้นปีแล้วก็ดี

    บางคนเค้าอาจจะไม่มีลมหายใจที่จะมาพบหน้าพบตาเรา นั่นก็หมายถึงว่าเค้าไม่มีสังขารที่จะอยู่แล้ว นั้นเมื่อเรายังมีลมหายใจมีสังขารอยู่ได้ก็ถือว่าบุญหนักหนาแล้ว ที่ยังมีบุญรักษาเราอยู่ แสดงว่าสิ่งที่เราอยู่ได้อย่าได้ลำพองใจไปว่าเรามีบุญนัก เมื่อเรามีบุญได้บุญมันก็หมดได้

    นั้นมนุษย์ที่มันมีบุญก็คือว่ามนุษย์นั้นที่ยังมีลมหายใจอยู่ นี่เรียกว่ามีบุญ กับมนุษย์ที่ยังมีลมหายใจแต่ไม่รู้คุณค่าแห่งการสร้างบุญสร้างกุศล อย่างนี้เค้าเรียกว่ามนุษย์ผู้นั้นใกล้จะหมดบุญเหมือนกัน นั้นเมื่อเรามีบุญที่รักษายังสามารถอยู่ได้ แสดงว่าเรานั้นก็ต้องมีบุญกุศลที่ยังตามรักษากายสังขาร เพื่อจะสร้างกุศลบารมี

    นั้นเมื่อเราระลึกถึงความตายแล้วได้ระลึกถึงบุคคลที่ได้ล่วงลับไปแล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่าความตายจักมีอยู่จริง ไม่วันนี้พรุ่งนี้ ไม่ช้าไม่นานกายของเรานั้นจะต้องทับถมในปฐพีนี้ ดังนั้นขอให้พวกโยมนั้นจงตระหนัก..ให้ระลึกอยู่เท่าที่จะพอมีสติอยู่ได้

    นั้นมนุษย์ที่จะมีความประเสริฐแม้จะมีชีวิตอยู่แค่เพียงวันเดียวก็ตาม เมื่อโยมนั้นระลึกถึงความตายแล้วรู้จักสละปลงสังเวช แล้วพิจารณาละอารมณ์แห่งความโลภ ความโกรธ ความหลงที่เรายังมีอยู่ ที่จิตเรายังดิ้นรนแสวงหายึดมั่นถือมั่นว่านั่นของกู ที่จะต้องไปเบียดเบียนไปอาฆาตพยาบาท จะไปหลอกลวงอย่างใดก็ตาม ล้วนแล้วเหล่านี้เรียกเป็นการละเมิดศีลทั้งนั้น ย่อมไม่พ้นอบายภูมิไปได้

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  17. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    2557E7DE-0FFB-4333-87D9-6B0B6D018C5D.jpeg

    สถานที่แห่งนี้จะเป็นการเชื่อมต่อกระแสพระรัตนตรัย กระแสจิตวิญญาณ เพื่อให้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน ไม่ว่าพวกโยมจะมีความตื่นสนุกเพียงใดก็ตาม เมื่อถึงเวลาที่เราต้องมาชุมนุมรวมตัวเพื่อจะสร้างพลัง สร้างกระแสให้เข้าถึงพระรัตนตรัย เข้าถึงความสงบความเย็นกระแสพระนิพพานก็ดี เหล่านี้เราต้องรู้และต้องรู้จักนอบน้อมมีความสำรวม

    เมื่อเรามีความนอบน้อมมีความสำรวม เหล่าเทพเทวดาก็ดีก็ย่อมมาทำการสาธุอนุโมทนา และให้เกียรติในสิ่งที่เรากระทำอยู่ เพราะไม่ว่าโลกธาตุไหนก็ไม่มีอะไรจะเสมอเหมือนไปยิ่งกว่าพระรัตนตรัยแห่ง ๓ โลกธาตุ นั้นถ้าผู้ใดยังไม่มีจิตนอบน้อมในกระแสพระรัตนตรัย ในกระแสแห่งธรรมคุณงามความดี หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่ได้เจริญคุณงามความดี เจริญฌาน เจริญญาณ เจริญภาวนาอยู่ก็ดีเหล่านี้ ล้วนเป็นกระแสแห่งธรรมที่ฝ่ายดี

    นั้นว่าพวกโยมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นสมณชีพราหมณ์ได้มีโอกาสมาเหยียบแผ่นดินนี้ หรือได้ขึ้นเรือมาแล้วก็ดี ในความเป็นจริงเรามีกายหยาบอยู่ ยังเป็นสิ่งสมมุติอยู่ แสดงว่าฉันจะกล่าวว่าพวกโยมสมมุติขึ้นเรือมา โยมเข้าใจมั้ยจ๊ะ พวกโยมทั้งหลายสมมุติว่าขึ้นเรือมา ยังเป็นสมมุติอยู่เพราะโยมยังมีกายอยู่ แสดงว่าคำว่าสมมุตินี้ยังเป็นจริงได้อยู่มั้ยจ๊ะ..ยังเป็นจริงได้อยู่ แต่มันยังไม่เป็นจริงอย่างถาวร เพราะมันยังไม่มีความเที่ยง

    อันที่ว่าไม่มีความเที่ยงก็คือ เมื่อมีกายสังขารจะหาความเที่ยงไม่ได้เลย ความสัจจะ..ใจไม่สามารถหาอะไรเที่ยงได้ วันนี้ใจเราดี อย่าว่าวันนี้เลย ในขณะนี้..อีกขณะหนึ่ง..หรืออีกขณะต่อไป จิตใจมนุษย์ทั้งหลายมีความแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา แล้วจะหาว่ามันเที่ยงเสมอเหมือนเป็นความจริงได้อย่างไร

    ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการขึ้นเรือมาที่แห่งนี้ สมมุติว่าขึ้นมาก็จริง แต่เพียงได้แต่สมมุติ บางคนขึ้นมาแล้วยังไม่เห็นว่ามีอะไร เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรก็ต้องไปหาที่อยูใหม่อีก เห็นว่าที่แห่งนี้ยังไม่เหมาะที่จะพึ่งพาได้เป็นหลักได้ เมื่อเป็นอย่างนั้นมันก็ต้องหาที่อยู่ร่ำไป

    แต่มีบุคคลอยู่บุคคลหนึ่งถ้าเมื่อใดเห็นหลักแล้ว มีหลักชัยแล้วในพระรัตนตรัย อาศัยสถานที่และความสงบนั้นแลของจิต ผู้นั้นจะไม่เที่ยวสอดส่องหาสถานที่หรือครูบาอาจารย์ใดๆอีกเลย เพราะครูบาอาจารย์ที่แท้จริงก็คือกายสังขารที่มีอยู่แล้ว ที่บิดามารดาได้ให้สมบัติมา..

    ถ้าเรานั้นขวนขวายหาแต่ที่สงบ พวกนั้นเหล่านั้นไม่มีทางที่จะหาเจอ เพราะสถานที่สงบที่แท้จริงไม่มีอยู่ในโลก คราใดที่สถานที่มีอยู่ประกอบไปด้วยมนุษย์..ย่อมหาความสงบไม่มี เพราะแท้ที่จริงแล้วโลกใบนี้ไม่ได้วุ่นวาย โลกใบนี้ไม่ได้ขัดข้อง แต่ที่วุ่นวายและขัดข้องเป็นเพราะมนุษย์นั้นแล..ใจหาความสงบไม่ได้ มันจึงวุ่นวายและขัดข้องอยู่ตลอดเวลา เที่ยวตำหนิเพ่งโทษบุคคลนั้นบุคคลนี้ สถานที่นี้ไม่เหมาะสมกับบารมีของตน..

    ฉันจึงบอกว่านี่แลคือสมมุติขึ้นมาว่าพวกโยมได้ขึ้นเรือ จึงไม่มีหลักประกันอันใดว่าใครจะอยู่ถาวร หรือได้ขึ้นเรือที่แท้จริง บางคนก็บอกว่าฉันได้ขึ้นไปแล้วคือจิตวิญญาณ อันการจะเปลี่ยนภพภูมิก็อยู่ที่การที่เรานั้นเปลี่ยนพฤติกรรมได้หรือยัง ภูมิธรรมของเรานั้นเข้าถึงในภูมิจิตแห่งความเป็นอริยบุคคลหรือยัง เป็นผู้ที่มีศีล เป็นผู้ที่มีความปรกติหรือยัง

    ถ้าผู้ใดยังข้ามกามตัณหาไม่ได้ ผู้นั้นยังข้องอยู่ในวัฏสงสาร จึงหาความสงบความเป็นปรกติสุขยังไม่ได้ เมื่อยังไม่ได้มันก็ต้องอาศัยความเพียร ประพฤติปฏิบัติเพียรละอารมณ์เหล่านั้นลงไป จนอารมณ์เหล่านั้นมันเบาบางลง เมื่อมันเบาบางลงแล้ว กำลังมันน้อยแล้ว..สติย่อมมีกำลังมากกว่า

    เมื่อมีกำลังสติมากกว่ามันก็ย่อมทำให้เกิดปัญญาเห็นภัยเห็นโทษในวัฏฏะนั้น ย่อมประคองจิตและกายที่จะเข้าสู่การประพฤติพรหมจรรย์ได้ นั้นอันว่าความเพียรที่เราจะมีศรัทธา มีความเชื่อ มีวิริยะคือความมุมานะอุตสาหะ มีสติตัวระลึกได้ มีสมาธิใจที่ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ย่อมทำให้เกิดปัญญา บุคคลเหล่านี้ที่กล่าวมา..ถ้ามีกำลังเหล่านี้ ย่อมข้ามพ้นนิวรณ์และพญามาร

    แต่ถ้าเราไม่เคยฝึกอินทรีย์ให้มันผ่องใส แม้ความง่วงก็ดี ความหดหู่ใจก็ดี..ถ้าเราข้ามมันไม่ได้ในขณะที่เราทำความเพียร แสดงว่าผู้นั้นไม่เคยเจริญฌานเลย คำว่าฌานเมื่อใครเจริญบ่อยๆแล้ว ทำให้เกิดขึ้นได้ เมื่อกำหนดรู้ย่อมข่มอารมณ์เหล่านี้ได้ ไม่ให้พญามารมาครอบงำจิตเรา

    นั้นสมาธิเหล่านี้ถ้าไม่มีอะไรมาเป็นตัวบงการหรือมาทดสอบมากระทบ ย่อมไม่รู้กำลังของสมาธิของเรา อันว่าพรหมจรรย์หากไม่มีกามคุณ ๕ มาทดสอบ เราจะไม่รู้เลยว่าความบริสุทธิ์ของเรานั้นบริสุทธิ์เพียงใด ดังนั้นการที่เราจะสร้างบารมีถ้าเราไม่มีบททดสอบไม่มีอุปสรรค เราจะไม่รู้ได้เลยว่าบารมีก็ดี การเจริญในทางมรรคของเราก็ดี..เราไปถึงไหนแล้ว บุคคลเหล่านี้เมื่อไม่ได้พิจารณาอย่างที่ฉันกล่าว จึงไม่รู้ได้เลยว่าสภาวะจิตและสภาวธรรมของเรานั้นมันไปถึงไหน..

    เมื่อไม่รู้หนทางแห่งทางเดินแห่งมรรค..ย่อมตามหาครูบาอาจารย์อยู่ร่ำไป แต่เมื่อผู้ใดเข้าใจในสภาวะจิตของตัวเอง ย่อมเข้าถึงสภาวธรรม..ผู้นั้นย่อมพบอาจารย์ และย่อมมีทางเดินและเห็นทางเดินแห่งมรรคนั้น แล้วก็เพ่งโทษของตนจนถึงที่สุด ความบริสุทธิ์ของจิตนั่นแล..เราถึงจะข้ามพ้นภัยในวัฏฏะและสมมุติบัญญัติทั้งหลาย

    นั้นการที่พวกโยมจะประพฤติปฏิบัติให้พบถึงทาง พระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ได้ตรัสไว้แล้ว..หนทางที่ต้องเดินไป โยมมีความเชื่อมากเท่าไหร่โยมก็เห็นทางนั้นมากเท่านั้น โยมประพฤติปฏิบัติได้มากเท่าไหร่โยมก็ใกล้ทางถึงฝั่งมากเท่านั้น สิ่งเหล่านี้มันจึงไม่สามารถบังคับใครได้ ความเชื่อและบารมีมีไม่เท่ากัน เมื่อมันมีน้อยก็สามารถทำให้มากได้

    เราจะเห็นว่าบุคคลอื่นทำไมเค้าทำได้ แสดงว่าเค้าสะสมมาแล้วมาก เค้าจึงมีจิตตั้งมั่นและมีกำลัง จึงทำให้อินทรีย์เค้านั้นผ่องใส ถ้าอินทรีย์เรายังอ่อนเราต้องทำศรัทธาให้มาก ให้เข้าถึงความเชื่อ นั่นก็คือเรายังมีมิจฉาทิฏฐิมาก มีมานะอัตตาตัวตนมาก เราต้องแก้ด้วยมานะคือการเอาชนะตน แล้วทำสัจจะให้มันเกิดขึ้น..

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  18. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    3B7CE955-1C26-4856-9643-1276B6439FB3.jpeg

    ถ้าผู้ใดประพฤติปฏิบัติไปแล้วยังไม่เข้าถึงหัวใจของธรรม..ก็คืออริยสัจ แม้จะฟังว่าดูง่าย ได้ยิน..แต่อาจจะยังไม่เข้าถึงว่าอริยสัจคืออะไร คือความจริงที่พวกโยมทั้งหลายยังไม่ได้เข้าไปพิสูจน์..แต่ได้แค่ฟัง แต่ถ้าใครได้ลงมือประพฤติปฏิบัติแล้วในทางเดินแห่งมรรค ก็จะเข้าใจว่าทุกข์มันมีอยู่จริง แล้วมันคือสิ่งที่ทนได้ยาก แต่ถ้าเราทนได้..นั่นคือขันติ

    เมื่อเราทำอยู่บ่อยๆในการเจริญขันติแล้ว เมื่อขันติมันมีกำลังมากเราก็จะทนได้มาก ทำได้นานมากขึ้น ถ้าโยมขาดจากความเพียรไปเมื่อไหร่ การประพฤติปฏิบัตินั้นมันก็จะก้าวหน้าได้ยาก นั้นขอให้ไปพิจารณาในอริยสัจให้มาก ไอ้สมุทัยเหล่านี้คือเหตุแห่งทุกข์ ทำไมถึงเรียกว่าเหตุแห่งทุกข์ แล้วทำไมมรรคคือเหตุแห่งการดับแห่งทุกข์

    สมุทัยคือเหตุแห่งทุกข์ แต่มรรคคือทางเดินออกจากทุกข์ เรียกว่าเหตุที่ทำให้ทุกข์นั้นมันดับ เมื่อเราหาสาเหตุแห่งทุกข์ได้ เราก็จะเข้าถึงตัวนิโรธคือการดับทุกข์ แสดงว่าทุกข์ก็ดี นิโรธก็ดี มรรคก็ดี..มันอยู่ที่ไหน มันก็อยู่ที่ใจของเราที่เรามีความเชื่อศรัทธาในทางเดินนี้มากน้อยเพียงใด..

    ถ้าใครไม่เดินทางเดินนี้แล้วจะออกจากทุกข์..ไม่มีทาง ศาสนาทั้งหลายก็สอนให้มนุษย์ทั้งหลายเป็นคนดี แต่จุดมุ่งหมายมีไม่เหมือนกัน ถ้าโยมยังไม่เข้าถึงจุดมุ่งหมาย..แสดงว่าโยมยังไม่ได้เข้าถึงศาสนาที่โยมนั้นได้ศรัทธาอยู่ ยกตัวอย่างการเข้าถึงจุดมุ่งหมายต้องลงมือปฏิบัติ..แล้วจะเข้าถึง เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ถ้าใครไม่ได้ปฏิบัติเอง..จะหารส บอกรส อธิบายในรสนั้นยากนัก

    นั้นเมื่อทางมีให้เดินแล้วเรากลับไม่เดิน ข้าวมีให้กินกลับไม่กิน..นี่เรียกว่าคนโง่หรือคนตาบอด เพราะถ้าโยมไม่สะสมอริยทรัพย์เหล่านี้ ทรัพย์ที่โยมสะสมอยู่ในทางโลก..นั่นเค้าเรียกคนโง่อีกเหมือนกัน ไม่ว่าโยมจะมีทรัพย์สมบัติมากเพียงใด โยมก็จะมีภาระมากเท่านั้น บุคคลที่มีสมบัติมากเพียงใด..บุคคลผู้นั้นก็จะกลัวตายมากเท่านั้น จะดิ้นรนแสวงหาหาที่ที่ปลอดภัย เพราะอะไรเล่าจ๊ะ..คนพวกนี้ไม่อยากตาย

    อย่างที่ฉันเคยบอก แต่ไอ้พวกที่ไม่มีอะไรอยากตายทั้งนั้น เพราะไม่รู้จะอยู่ไปทำไม นั้นฉันขอให้ว่าจะเข้าศักราชใหม่แล้ว ในโลภ โกรธ หลงควรละลงเสียบ้าง เพราะอยู่ที่ไหนมันก็ตาย แต่มีอยู่อย่างหนึ่งว่าโยมจะตายแบบคนดีมีศีล จะตายแบบผู้ที่หมดกิเลสหรือกิเลสเบาบางแล้ว หรือจะตายแบบผู้ที่มีกิเลสหนามีกรรมหนา..จะตายแบบไหน

    ไอ้เรื่องการตาย..ตายดีตายไม่ดีตายสภาวะแบบไหน อันนั้นเรียกอำนาจแห่งกรรม แต่ตายแบบไหนเล่าที่เรากำหนดได้ เคยกำหนดการตายหรือยังว่าเราจะตายแบบไหน ตายแบบมีกรรมหนา ตายแบบมีกิเลสหนา หรือตายแบบหมดกิเลส ตายแบบกิเลสที่เบาบาง เมื่อกิเลสเบาบาง ตัณหาเบาบาง ความโลภ โกรธ หลงเบาบาง เหล่านี้เค้าเรียกว่า"กรรมเบาบาง"

    เมื่อเราตัดโลภ โกรธ หลงได้ให้มันหมดไป ไม่ให้เชื้อมันเกิด..นี่เค้าเรียกว่าตายแบบไม่มีเชื้ออีก เมื่อไม่มีเชื้อให้เกิด..ภพชาติที่ไหนมันจะเกิดได้อีก เหมือนต้นไม้ที่มันตายแล้ว เราจะไปบำรุงรดน้ำพรวนดินให้ปุ๋ยมันอย่างไร มันก็ไม่สามารถเจริญงอกงามขึ้นมาอีก เพราะเรียกว่ารากเหง้ามันไม่มีแล้วนั่นเอง

    เราจะโลภโมโทสันอย่างไรก็ตาม แต่เมื่อเราได้เจริญสติ เจริญภาวนา เจริญปัญญาแล้ว เค้าให้น้อมจิตเข้าไปถึงระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย ว่าไม่มีอะไรจะเป็นที่พึ่งได้ดีที่สุดแล้ว นั้นสิ่งใดๆก็ตามจะเป็นลูกผัว ทรัพย์สมบัติสิ่งใดในขณะนั้นควรได้ปล่อยวางเสียให้หมด อันดับแรกตั้งแต่ที่เรานั้นน้อมกราบลงต่อหน้าองค์พระปฏิมากร ที่เรานั้นจะเจริญศีลภาวนาและเจริญมนต์

    ในขณะนั้นขอให้จิตเราดำรงมั่นอยู่ในขณะอารมณ์นั้น ต่อหน้าองค์พระปฏิมากรในเขตพัทธสีมา อย่าได้ส่งจิตออกไปภายนอก เมื่อมันส่งจิตออกไปก็ขอให้ดึงกลับมา เพราะจงจำไว้ว่าในขณะนั้นบุญเกิดทุกขณะ แล้วโอกาสที่เราจะทำบุญแบบนั้นให้เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นได้ยาก..

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  19. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    2CB1896C-BED4-4260-A6BC-37863B440C74.jpeg

    ไม่มีใครเลยจะภาวนาจิตแล้วจิตนั้นตั้งมั่นได้ตลอดเวลา ไม่มีใครเลยแม้สาธยายมนต์อยู่ จะมีสมาธิสตินั้นจดจ่ออยู่ในการสวดอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเราทำอยู่บ่อยๆทำจนชินเป็นของคุ้นเคยแล้วไซร้ เค้าเรียกเป็นการเจริญฌานไปในตัว อย่าคิดว่าเมื่อในขณะเราสวดจิตเริ่มสงบมันมีความอยากที่อยากจะนั่งสมาธิ นั่นมันเป็นมานะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นความอยาก เป็นตัณหาอย่างหนึ่ง..

    เพราะการที่เราสวดมนต์อยู่..นั่นก็ชื่อว่าสมาธิ เพราะคนที่มีสมาธิย่อมมีกำลังที่จะสวดมนต์นั้นเสียงกังวาล คือเรียกว่าพลังแห่งจิต ไม่ได้บอกว่าเมื่อสวดๆไปจิตเริ่มสงบเสียงเริ่มหาย..ไม่จริง โยมขี้เกียจ เราต้องตั้งจิตตั้งใจ เพราะนั่นเรียกว่าเรากำลังเจริญทานอย่างหนึ่ง เรียกว่าทานแห่งเสียง

    ถ้าทานเรานั้นยังทำไม่ถึง..แล้วบอกจะไปเจริญศีลเจริญภาวนา..มันก็จะเจริญได้ไม่นาน มันเป็นแค่ความสงบ ดังนั้นแล้วในขณะที่เราเจริญทานในการสาธยายมนต์ อย่างน้อยจิตเรานั้นยังได้ประโยชน์ เมื่อจิตเราได้ประโยชน์ในเสียงทำให้เราสงบได้ จิตวิญญาณผู้อื่นก็ยังได้รับประโยชน์ไปอีกอย่างนี้

    นั้นการที่เราสวดมนต์อยู่ขอให้โยมมีความตั้งใจ สวดให้จิตเรานั้นตั้งมั่น สวดให้ถูกในอักขระ สวดให้มีใจที่นอบน้อม นั่นเค้าเรียกว่าอานิสงส์มหาศาล อย่างที่ฉันบอก..การสวดมนต์คือการเชื่อมต่อให้เกิดกระแสพระรัตนตรัย เพราะในขณะที่เราสวดมนต์อยู่จิตเรานั้นไม่มีเวรพยาบาทกับใคร

    ในขณะที่เราสวดมนต์อยู่จิตเราเป็นสมาธิ ในขณะที่เราสวดมนต์อยู่จิตเราเป็นฌาน ในขณะที่เราสวดมนต์อยู่เรากำลังสร้างทานบารมีแห่งเสียง เพราะสิ่งที่เราสวดมนต์ออกไปนั้นมันคือมงคลสูตร คำว่า"มงคล"คือสิ่งประเสริฐที่เรากล่าวออกมาจากวาจา นั่นจึงว่าเป็นกรรมที่ออกมาจากวาจา

    ถ้าใครยังไม่รู้ซึ้งถึงอานุภาพและอานิสงส์ของการสวดมนต์ พวกนี้ก็เป็นพวกโง่อีกเหมือนกัน เพราะการสวดมนต์นี้สามารถเข้าลัดตัดตรงเข้าพระนิพพานได้ง่าย ถ้าพวกโยมเจริญมนต์เช้า-เย็น เช้า-เย็นอยู่ตลอดจนสิ้นอายุขัย อานิสงส์ย่อมทำให้เข้าถึงแดนเกษมพระนิพพานได้ จะมีแก้วผนึกรอบล้อมเป็นวิมาน..

    ดังนั้นเพียงแค่โยมระลึกถึงบทสวดมนต์ จิตโยมจะเย็นและสว่างวาบ ทำให้จิตนั้นตื่นขึ้นมา ดังนั้นขอให้พวกโยมมีความเชื่อให้เข้าถึง ใครเข้าถึงได้มากจิตย่อมมีกำลังมากในสิ่งนั้น นั้นคำว่าพรปีใหม่..พรก็คือสิ่งที่ได้ทำให้เกิดสติ ฉันก็จะบอกว่าฉันกำลังจะเตือนสติพวกโยมว่า..กาลในข้างหน้าที่จะถึงอย่างที่ฉันบอกภัยมันกำลังเริ่มจะมาเข้าสู่พระนคร นั่นหมายถึงว่าโลกใบนี้กำลังอ่อนล้า..

    หัวเมืองต่างๆไม่ว่าจะเป็นต่างประเทศ ประเทศต่างๆก็ดีที่ถูกภัยพิบัติรุมเร้าให้เกิดขึ้นนี้ และที่สำคัญสงครามเงียบที่เรามองไม่เห็นตัวก็คือโรคระบาด เพราะมันพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นในยุคนี้ถ้ามนุษย์ใดไม่เจริญมนต์เจริญเมตตา หรืออโหสิกรรม..บุคคลผู้นั้นอยู่ในความประมาท อยู่ในความเป็นอันตราย

    ทำไมถึงบอกว่ายุคนี้จะต้องตายเป็นกลุ่มเป็นก้อน ก็เพราะโรคนี้มันติดกันได้ง่าย เพียงแค่พูดก็ดี หายใจก็ดี สัมผัสก็ดี แต่มันมีอยู่หนึ่งอย่างว่าถ้าพวกโยมไม่ได้ทำกรรมมากับไอ้คนนี้..กับคนนี้ มันไม่สามารถจะเป็นพาหะได้ เพราะบุคคลผู้นั้นเค้ามีภูมิต้านทาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นแสดงว่าอันว่าโอสถหรือยานี้..มีอยู่ในตัวมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : มีครับ) เพราะมนุษย์มีภูมิต้านทานหรือไม่ (ลูกศิษย์ : มีครับ) ถ้าใครภูมิต้านทานอ่อน มีภูมิต้านทานบกพร่อง..ไม่ต้องเป็นโรคอะไรหรอกจ้ะ เค้าเรียกว่าเป็นโรคภูมิแพ้ภูมิตัวเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นแล้วการที่จะทำให้ภูมิคุ้มกันโยมแข็งแรง โยมต้องมีการเจริญภาวนา การอธิษฐานจิตบารมี การอโหสิกรรม..

    อันว่าอานิสงส์ของการอโหสิกรรมมีประโยชน์อย่างไร จะทำให้เราบั่นทอนตัดทอนพวกเจ้ากรรมนายเวรนั้นไม่ให้เข้ามาใกล้เรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็กระแสบุญกุศลที่เราอธิษฐานแผ่เมตตาไปนั่นแล มันจะเป็นวงล้อมรัศมีปกป้องคุ้มครองเรา หากใครมีตาที่มีญาณหยั่งรู้ มีจิตที่ละเอียด คนที่เจริญมนต์มีภาวนาจิต มีจิตตั้งมั่นอยู่ในพระรัตนตรัย จะมีแสงรัศมีของความสว่างของกระแสแห่งธรรมห้อมล้อมเป็นวงรัศมีเหมือนวงแหวน เพื่อจะผลักดันต่อต้านพวกโรคร้ายที่มันแฝงมากับอากาศก็ดี กับมนุษย์ที่มีภาวะกรรมก็ดี

    นั้นฉันไม่ได้กลัวที่พวกโยมนั้นจะเป็นโรคร้ายอะไรก็ตาม เพราะยังไงก็ต้องตายอยู่แล้ว ยิ่งมีพวกนี้เข้ามายิ่งทำให้เราต้องกระตือรือล้นมากยิ่งขึ้น เหมือนมันเตือนเราอยู่ตลอดเวลาว่าให้ทำความดี..การทำความดีมันเริ่มมีเวลาน้อยแล้วนั่นแล ถ้าใครคิดได้อย่างนั้นถามว่ามันเป็นประโยชน์หรือเสียประโยชน์..

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  20. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    DFE10601-5AF0-47D0-A3EF-EE899E51867A.jpeg

    ไม่ว่าใครกำลังจะรับเชื้อหรือกำลังจะติดเชื้อก็ดี เมื่อเรามาภาวนาจิตมาในสถานที่ที่ดีที่เป็นมงคลศักดิสิทธิ์แล้ว ขอให้โยมจำไว้จะมีพลังผลักดันต่อต้าน ก็ขอให้เรานั้นภาวนาอธิษฐานจิตอโหสิกรรม ขอแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร เพื่อจะเป็นวิถีวาระแห่งการเข้าศักราชใหม่ คือการเริ่มต้นในการทำความดี อย่างนี้จะเป็นประโยชน์มากกว่าการไปเพ่งโทษผู้อื่น

    การปกป้องรักษาสมดุลแห่งธาตุให้อยู่รอดปลอดภัยในโรคภัยที่เรามองไม่เห็น..ก็คืออะไร พยายามอย่าส่งจิตออกไปภายนอก เมื่อมีสติระลึกขึ้นได้ให้ระลึกถึงอำนาจกุศลแห่งพระรัตนตรัย คือการภาวนาว่าพุทธัง สรณัง คัจฉามิก็ดี ธัมมัง สรณัง คัจฉามิก็ดี สังฆัง สรณัง คัจฉามิก็ดี ใน ๓ บทนี้เราจะเอาบทใดบทหนึ่งมาภาวนาก็ได้

    บางคนก็ถูกจริตกับพุทโธ บางคนก็ภาวนาชินบัญชรพระคาถา บทใดบทหนึ่งก็ได้ที่ทำให้จิตมันตั้งมั่น เค้าเรียกว่าทำให้จิตมันสงบนั่นแล การที่ทำให้จิตเราสงบนั่นแลจะทำให้จิตมันเป็นผนึก จิตนั้นเมื่อมันเป็นผนึกจิตย่อมมีกำลัง ตัวนี้แลจะทำให้ภูมิต้านทานโยมนั้นมีความแข็งแรง ถ้าจิตโยมมีแต่ความฟุ้งซ่าน มีแต่ความโลภโมโทสัน มีแต่ความอยากได้ใคร่ดี ไอ้พวกนี้มันจะหาแหล่งประโยชน์ที่ชุมชน ที่มีบุคคลที่เค้ามีกุศลมีบารมี..เพื่อจะอาศัยบารมีนั้นให้ตัวเอง

    ฉันขอเตือนไว้ว่าถ้าโยมไม่สร้างกุศลบารมีด้วยตัวเอง ขอให้จำไว้..กรรมมันมีอำนาจมาก มันเลือกไม่ผิดตัว เข้าใจมั้ยจ๊ะ แม้ว่าโยมจะอยู่ใกล้กัน แต่กรรมเค้าจำได้หน้าตาที่เค้าจะจองเวร เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่การที่พวกโยมได้มาอาศัยอยู่กับผู้ที่มีบุญกุศลมีบารมี นั่นหมายถึงว่าเราควรจะสร้างกุศลและบารมีให้เกิดขึ้นเหมือนกับบุคคลอื่นเค้า แล้วก็จะได้เป็นสรณะเป็นที่พึ่งของตัวเอง ไม่ใช่คอยมาอาศัยบุญกุศลบารมีของคนอื่น

    เพราะเมื่อเวรอำนาจแห่งกรรมมันมาถึง เค้าไม่ได้มีกรรมกับพวกนี้ โยมไม่ได้อยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อนอยู่ตลอดเวลา ยิ่งมันเป็นภัยมืด เจ้ากรรมนายเวรที่เรามองไม่เห็นมันก็คอยจ้องเวลาโยมสติมันเผลอ เมื่อเราพลั้งเผลอของสติแล้ว..พวกเจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นมันก็ต้องตามมาเล่นงาน

    ตอนนี้ที่คุมขังจิตวิญญาณ หรือเรียกว่าวิญญาณบาปนี้มันไม่พอที่จะคุมขังแล้ว ดังนั้นเชื้อโรคที่เค้าเรียกว่าโรคไวรัสเหล่านี้..นี่เรียกว่าวิญญาณบาปทั้งนั้น ที่ตามมาให้ผลหรือเรียกว่ามาทวงคืน พูดเหมือนหนังจีนเค้าเรียกว่ามาแก้แค้น มันบอกว่าสิบปีพันปีก็ยังไม่สาย นั้นพวกโยมก็เตรียมตัวที่มันจะชำระแค้น มันจะมาชำระแค้นเฉพาะไอ้พวกที่จิตใจสกปรก เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าจิตใจสะอาดมันเข้าไม่ได้ เพราะเชื้อมันจะต่อต้านกัน..

    อ้าว..ถ้างั้นไอ้คนที่ตายสกปรกหมดหรือเปล่า ฉันถามว่าไอ้คนที่ตายๆสกปรกมั้ยจ๊ะ พวกที่ตายบุญหมดบุญมันเริ่มน้อยมันก็รักษาไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะอำนาจแห่งกรรมมันมีอำนาจมาก ฉันถึงบอกว่าความตายมันอยู่รอบตัวเรา เอาง่ายๆมันไม่ได้อยู่รอบตัวเรา..มันอยู่ในตัวเรานี้แหล่ะ

    ความตายนี้คืออะไร แล้วพญามัจจุราชนี้อยู่ในตัวเรามั้ย รู้จักมั้ยจ๊ะ ถ้าไม่รู้จักถ้าไม่อยู่ในตัวเราเค้าจะมาเตือนเราได้ยังไง ใช่มั้ยจ๊ะ เค้าเตือนเราอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เวลาในยามที่เราเกิดแล้ว แต่ตอนที่เราเกิดเราก็ยังไม่รู้ประสีประสา พอเราโตขึ้นมาหน่อยเค้าก็เตือนอีก พอเป็นวัยกลางคนก็เตือนอีก เค้าเตือนอยู่ตลอดเวลา..

    ถ้าเรามีความเสื่อม มีความเจ็บ มีความป่วย..นี่เค้าเรียกว่าพญามัจจุราชทั้งนั้น เค้าเตือนอยู่ตลอดเวลา แต่พวกเราไม่เคยฟัง ใช่มั้ยจ๊ะ ท่านก็เตือนเราอยู่ตลอดเวลา แล้วจะไปฟังทำไมล่ะ..เพราะนี่มันตัวเรา เราก็ต้องถือดี เมื่อไหร่ที่เราจะต้องยอม..เมื่อเรามีความทุกข์แล้ว ไม่สามารถจะต่อรองผลัดผ่อนได้แล้วนั่นแล เราถึงจะยอมรับความเป็นจริง..ว่าเรามีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความเสื่อม มีความแก่ มีความตาย..

    ใครเคยเฉียดความตายมาบ้าง..ก็ย่อมมี ใครเคยเจ็บมาบ้าง..ก็ต้องมี ใครมีโรคอยู่บ้าง ที่ฉันกล่าวมามีหมดทุกคนมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : มีหมดค่ะ) ถ้าโยมมีเวลาให้โยมไปทบทวนสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับพวกโยม ไม่ว่าจะเป็นการพลัดพรากก็ดี ความเสียใจก็ดี ความคับแค้นใจ ความไม่ได้ดั่งใจ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสัญญาณมรณะทั้งนั้น..

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     

แชร์หน้านี้

Loading...