ทางสายกลางคือ ทางที่สั้นที่สุดหรือเปล่า

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Numtrn, 4 ธันวาคม 2011.

  1. ผมเองครับ

    ผมเองครับ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +3
    อิอิ

    ทางสายกลางไม่ไช่ทางที่สั้นที่สุดครับ ...เพราะ กลางที่ว่า ไม่ไช่กลางทาง หรือกลางถนน หรือกลางเส้นทาง หรอกครับ....แต่มันคือ กลาง ที่ว่า รู้ควร รู้พอ เข้าใจถูก ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว....มันคือ กลางแบบไม่ต้อง เดินไปซ้ายหรือเดินไปขวาเพื่อ หาตรงกลาง ให้เสียเวลาน่ะครับ

    เพราะ ทุกคน อยู่ตรงกลางอยู่แล้ว...แต่ดันไม่แนใจ ว่า ตนเอง อยู่ตรงกลางหรือเปล่า.....โลก ก็ กลางระหว่าง นรกกับสวรรค์ โลกก็คือกลางระหว่างชั่วสุดกับดีสุด.....กลางคือ พร้อมจะเป็นอะไรก็ได้ ถ้า ไม่อยู่ตรงกลางให้ดี

    อิอิ...ท่านพอจะเข้าใจมั้ยครับ

    เท่าที่ผม ขำ ก็คือ...ทุกคน ค้นหา ตรงกลางโดยการเผลอออกไปซ้ายบ้าง ขวาบ้าง หน้าบ้าง หลังบ้าง...พอกลับมาตั้งหลักใหม่ ที่อยู่ตรงกลาง ได้...ก็พร้อมที่จะหา ตรงกลาง อีก.....ซ้ำแล้วซ้ำอีก

    เออ เราเอง ก็ ยัง งง แทน...มันจะอะไรกันนักกันหนา นะ คนเรา

    อิอิ..หวังว่าคำตอบ ของผม คงไม่มีประโยชน์อะไร กับใครนะครับ
    เพราะผมเป็นคนไร้สาระ จริงๆ
     
  2. ผมเองครับ

    ผมเองครับ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +3
    ถ้าเขวอยู่ ไม่แน่ใจอยู่ หลงได้อยู่ เผลอได้อยู่ ต้องคอยดู คอยระวังอยู่

    แล้วจะเรียกว่า รู้ตรงกลาง รู้ตนเอง ได้ ยังไง ล่ะท่าน อิอิ

    ของจริง ก็ย่อมจริงเสมอ ...แม้ ใครจะทำไห้มันไม่จริง..เสียเวลาเปล่า เท่านั้นเอง
     
  3. ผมเองครับ

    ผมเองครับ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +3
    อ้อ ลืมตอบไป ...ทางที่สั้นที่สุด คือ ทางที่ไม่ต้องเดิน ทางที่ไม่ต้องไปไหนให้เสียเวลาครับ

    แค่รู้ตัว....ท่านก็ ไม่ต้อง ดิ้นรน ออก ค้นหา ....ตรงกลางแล้วล่ะครับ

    อิอิ..

    แต่เท่าที่ผ่านมา เราเดือดร้อน เพราะ คนอื่นไม่รู้ แล้วพาเรา วิ่งไล่ หา คำตอบ เพื่ออะไร ก็ไม่รู้...ตั้งคำถามมาทำไมก็ไม่รู้ พากันสงสัยอะไรกันก็ไม่รู้ พากันเรียนรู้เพื่อรู้อะไรกันก็ไม่รู้ ..อิอิ..เห่อ กันจัง

    พวกเราก็เลย....พากัน ...หลงกันให้วุ่นวาย อยู่นี่ยังไงครับ

    แต่ผม จะนั่งดู นั่งหัวเราะ เป็นพอ อิอิ..อาจจะเอาไม้ มาเขี่ยๆ เล่นบ้าง หน่อยก็ได้ ถ้า เกิด อารมณ์เซ็ง แล้ว อย่าว่ากันเด้อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ธันวาคม 2011
  4. YOMI_NK

    YOMI_NK Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +91
    ^__^ มายิ้มอย่างเดียว อิอิ
     
  5. ผมเองครับ

    ผมเองครับ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +3
    แค่นี้ก็หรูแล้ว....จ๊าบจึ้งใจ...อิอิ

    ยิ้มอย่างเดียวหรือครับ จุ๊บด้วยเปล่าครับ อิอิ...อยากให้กอดด้วยยิ่งดีครับ

    ผมเป็นโรคขาดความอบอุ่นน่ะ อิอิ
     
  6. YOMI_NK

    YOMI_NK Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +91
    ^__^ เอิ๊กๆๆ ฟ้าผ่าตายพอดี 555++
     
  7. ผมเองครับ

    ผมเองครับ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +3
    ฮ่วย ผู้ชาย อะไร เอา อารมณ์ผู้หญิง มาใช้

    แบบนี้ เรียกว่า ...สร้างกรรมแต่ไม่ยอมรับกรรมที่ตนเองสร้างนี่นา

    ถ่ายเท เข้าไป ...สุดท้าย มันก็ จะ กลับไปรวมยอด ที่เจ้าของกรรม ตัวจริงเหมือนเดิม นั่นแหล่ะ อิอิ

    ทำไปได้ คนลาว
     
  8. suriyanvajra

    suriyanvajra Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +67
    ผู้น้อยตอนนี้ไม่สนใจทางสายกลาง แต่สนใจว่าท่าน Numtrn กำลังชั่งใจในการดำเนินการบางอย่างอยู่หรือเปล่า

    สมัยก่อน suriyanvajra เคยตัดสินใจโดยการดูที่ผลลัพธ์ มักเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดเพราะเราได้เลือกผลลัพธ์ที่ตนเองต้องการเอาไว้แล้ว แต่ปัจจุบันนี้ suriyanvajra ดูที่ความยึดมั่นถือมั่นในหลักการของตนประกอบด้วย บางอย่างหากขัดกับหลักการที่ตนยึดมั่นถือมั่นไว้ ถึงแม้มันจะให้ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ แต่เราก็จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจไปตลอดเวลา เรื่องมันจบไปแล้วแต่ตนเองก็ไม่โล่งใจ ยังรู้สึกหนักๆอยู่ตลอดเวลาที่นึกถึง แบบนี้แสดงว่าผลประโยชน์ที่ได้ทำให้เราใจเป็นอกุศล

    การตัดสินใจพักหลังๆของ suriyanvajra จึงมักโง่และขาดทุนอยู่บ่อยๆเพราะตนเลือกทำในสิ่งที่ตรงกับปณิธานในใจตนเอง แรกๆตอนก่อนตัดสินใจมันก็มีทั้งความลังเลและหนักอึ้งทุกข์ทรมานเพราะเรากำลังเลือกทางที่โง่และเสียผลประโยชน์ แต่เมื่อทำลงไปแล้วมันโล่งเบากว่าการเลือกอีกทางหนึ่ง โชคดีว่านอกจากพ่อแม่แล้วตนไม่มีครอบครัวอื่นๆที่ต้องเลี้ยงดูจึงสามารถทำตามใจตนแล้วยังโล่งใจได้ด้วย หากตนอยู่ในฐานะที่ต้องเลี้ยงดูผู้อื่นด้วยปัจจัยที่จะนำมาพิจารณาคงเปลี่ยนไป ตนอาจไม่สามารถทำอย่างที่ตัวเองกำลังทำอยู่ในขณะนี้ก็ได้

    การตัดสินใจที่กล่าวมาข้างต้นของ suriyanvajra ไม่ได้เลือกเอาที่ความพอดีหรือ "มัชฌิมาปฏิปทา" แต่เลือกเอาตาม "ปณิธานที่มีอยู่แล้วในใจตนเอง" ซึ่งมันเป็นกิเลสตัญหา...ย่อมไม่อาจกล่าวได้ว่ากิเลสตัญหานั้นพอดี แต่การตัดสินใจแบบนี้ของตนกลับนำมาซึ่งความโล่งใจและทานบารมีที่เพิ่มขึ้น ทำให้ตนสามารถดำเนินอยู่ท่ามกลางความขัดสนได้โดยไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่นัก สิ่งนี้เมื่อทำบ่อยๆตนย่อมมีโอกาสสัมผัสกับ "ทุกขังอริยสัจจัง" ได้บ่อยขึ้นจนสามารถเข้าถึงมันได้ในทุกแง่มุม

    สำหรับความพอดีในความหมายของ "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือมรรค 8 นั้น suriyanvajra เห็นว่าเราจะเข้าถึงความนัยอย่างถ่องแท้ได้ทันทีที่เราผ่าน "ทุกขังอริยสัจจัง" + "ทุกขสมุทโยอริยสัจจัง" + "ทุกขนิโรโธอริยสัจจัง" มาได้พอสมควรแล้วค่ะ
     
  9. suriyanvajra

    suriyanvajra Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +67
    ความยึดมั่นถือมั่นที่มีทำให้เราต้องตัดสินใจ หากเราสามารถโยนมันทิ้งไม่กลับมาถือใหม่ได้ตลอดไปแล้วไซร้ เราคงไม่ต้องตัดสินใจใดๆเพราะทำอย่างไรก็เหมือนกัน ความพอดีก็อยู่ใต้เท้าเรานี่เอง

    แต่ในเมื่อมันมีอยู่และเราก็ยังไม่สามารถทิ้งมันได้ตลอดไป เราก็ควรทำความเข้าใจกับมันทั้งในฝ่ายที่เป็นกุศลและอกุศล ทำความเข้าใจกับตัวเองว่าเราพร้อมจะดำเนินไปตามฝ่ายใดมากน้อยเพียงใด และเมื่อดำเนินแล้วมันทำให้ใจเราโล่งหรือว่าทำให้ใจเราหนักแค่ไหน ทานบารมีที่ว่าทำแล้วได้กุศลนี่เราพร้อมจะทำจริงไหมและเมื่อทำด้วยความพร้อมแล้วมันได้กุศลจริงหรือเปล่า ถือว่าเรากำลังทำความเข้าใจกับตนเองและใช้ความยึดมั่นถือมั่นบำเพ็ญบารมีในชีวิตประจำวันนะคะ
     
  10. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    อารมณ์มันจะมีอยู่ 2 ขั้ว ดี-เลว กุศล-อกุศล รัก-กลัว มันเหมือนกับเป็นขั้ว
    บวก-ขั้วลบ หรือเรียกว่าของเป็นขั้วๆ และจิตมันก็เป็นพลังงานมันจะไหลอยู่
    ระหว่างขั้วทั้งสองอยู่ตลอด และปกติจิตมันจะเหมือนกระแสน้ำ มันจะไหลลง
    ต่ำ เรียกว่ากระแสโลกก็ได้ จิตที่มันเดินทางสายกลางมันก็เหมือนกับทำขั้ว
    ทั้งสองให้หายไป ไม่หวั่นไหวกับทั้งขั้วบวก ไม่หวั่นไหวกับทั้งขั้วลบ ไม่วิ่ง
    ไปวิ่งมาแต่หยุดนิ่ง ก็คือจิตที่ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมของเป็นคู่ทั้งหลาย
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    :cool:

    รู้ได้ขนาดนี้ ก็มาถูกทางสายกลางแล้ว มันยากแต่ไม่พ้นความพยายามของเรา
    พระอาจารย์เราสอนว่า ถ้ารู้ว่าเขว เป๋ ออกนอกทาง คือใช้ได้แล้ว รู้ถูกที่แล้ว
    เพราะเมื่อจิตมันรู้ว่าไม่ตรงทาง เขวไป จิตมันจะเข้าสายกลางของมันเอง
    แล้วต่อไปมันก็เจะข้าทางสายกลางเนืองๆไปเอง มารู้อีกทีก็เดินตรงทางไปแล้ว สบาย
    ไม่เหวี่ยง ไม่วีน ไม่หวั่นไหว ปัญญาก็แจ่มใส สบายในทุกสถานการณ์
    คุณธรรมก็ไม่มีเขวหรือเขวน้อยเพราะไม่หวั่นไหวเมื่อเราเสียประโยชน์
     
  12. Numtrn

    Numtrn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +1,571

    ครับ รู้ทฤษฎี แต่ปฎิบัติยาก ...... จริงๆนะ
     
  13. Numtrn

    Numtrn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +1,571

    เป็นอารมณ์ของผู้ปฏิบัติธรรม ... โดยแท้

    คือไม่สุดขีด
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์จำนวนมาก
    มันก็ยากกว่าคนที่มีสภาพแวดล้อมอยู่ห่างไกลจากเรื่องผลประโยชน์
    ต้องอาศัยกำลังใจและบารมีต่างกันมาก ในการบรรลุผลการปฏิบัติ
    อย่างอาชีพตำรวจ ทหาร นายธนาคาร นักธุรกิจ ผู้พิพากษา ทนาย นักการเมือง...
    ก็ใช้ใจกำลังใจและบารมีต่างกันในการรักษาใจให้ปกติ
    ไม่เขวเพราะผลประโยชน์ส่วนตัว
    ชาวนาชาวสวน คนจน หรือคนที่สันโดษไม่มีเรื่องผลประประโยชน์ในชีวิตมากมาย
    ก็มีเรื่องผลประโยชน์ของส่วนรวมหรือส่วนตน มากระทบชีวิตน้อยกว่า
    การรักษาใจให้ปกติก็จะสบายกว่า
    ไม่มีโจทย์ยากๆ มากวนน้ำให้ขุ่นอยู่เนืองๆ แต่กำลังใจและการสะสมบารมี
    มันก็น้อยลงตามส่วนด้วย สบายแต่ได้บารมีน้อย กับยากๆแต่ได้บารมีมาก

    เหมือนเล่นเกมเก็บเลเวล เข้าดันเจี้ยนยากๆก็ได้ล่าบอสได้แรร์ไอเท็มแต่ก็มี
    อันตรายมาก เล่นยาก ตายง่าย ต้องมีกำลังและเทคนิคดีดี ^^"

    จะทำสำเร็จลอยทวนน้ำได้ หรือจะเป็นสวะลอยไปตามน้ำ ก็อยู่ที่กำลังใจที่จะสู้กับเรื่องยากๆได้ไหม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2011
  15. ผมเองครับ

    ผมเองครับ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +3
    ชอบความคิด ง่ายๆ เย็นๆ ของท่านจัง

    ขอคาระวะ ใน เมตตา ของท่านครับ
     
  16. ผมเองครับ

    ผมเองครับ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +3
    แล้วเมื่อไหร่ จะเห็นตนเองได้ ทุกสภาวะ กันล่ะครับ

    การเห็นตนเองที่แท้จริง ต้องเห็นแล้วเห็นเลย แม้จะ อยู่ในสภาวะ ใดใด ก็ตาม

    ไม่จำเป็นต้องหยุดนิ่งหรอก ท่าน อาจารย์ เฮ๊ย ท่านเจ้าแม่ มหาเวทย์ สี่ธาตุกายสิทธิ์ ดิน น้ำลม ไฟ โพธิสัตว์ผู้กำหราบมาร ธาตุที่ห้าแห่ง สัจธรรม มะลินี ช่วยอุปการ ผู้กะปุ๊กลุ๊ก...อาจารย์ลูกศิษย์ ของ ลูกศิษย์อาจารย์ แห่งผม

    อิอิ
     
  17. ผมเองครับ

    ผมเองครับ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +3
    ก็ ใจนี่แหล่ะ ไม่ได้ ว่า ร่างกายเลย....

    ถ้า ทั้งกายและใจ มัน ยอมรับในกันและกัน และ อยู่ร่วมกัน อย่าง ยินยอมพร้อมใจ ยอมรับ กันและกันได้ ....กายมันจะไปไหน ใจมันจะอยากไปไหนเล่า

    แกนี่ ...ยังไม่ ชัดเจนอีกเร๊อะ

    สภาวะนี้ เรียกว่า...เกิดใหม่ ...โดย เอา จิตที่เหนือโลก ปล่อยวาง สติรู้แล้ว เห็นเข้าใจอนัตตาทั้ง รูปกายใจ และนามสติแล้ว....จิตที่บริสุทธิ์(ตายจากสมมุติเดิมหลุดพ้นจากสมมุติบัญญัตืทั้งปวง)...ก็ จะ กลับมา รวมกับ กายที่ ยังไม่ตาย ในโลกมนุษย์....เป็นการ เกิดใหม่อีกครั้ง ด้วย รูปนาม...ใหม่

    ทุกสิ่งทุกอย่าง มุมมอง ความคิด....จะ เป็น จริง ตาม กายใจ เท่านั้น และ กายใจก็ จะ อยู่ด้วยกัน พร้อมกัน ไม่ ...เกินกัน ไม่มากหรือน้อย กว่ากัน

    พูดง่ายๆ..คือ สมดุลย์ ปกติ ธรรมดา...ไร้ อุปทาน....ใดใด

    หรือ ..เจโตวิมุตฺ...กำเริบไม่ได้ อีกแล้ว นั่นเอง

    อิอิ
     
  18. ผมเองครับ

    ผมเองครับ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +3
    แต่ มีสิ่งหนึ่ง ที่ อาจไม่สำคัญ ก็ได้ อิอิ

    ครือว่า

    1.ใครเรียนวิชา ศานาจากพระสงฆ์ ท่านจะต้อง เข้าไปเป็นพระสงฆ์ ด้วย ท่านถึงจะรู้อารมณ์ ของอาจารย์ ในแบบของพระที่ท่าน อยากรู้ อยากเรียน อยากเข้าใจ
    แต่ เป็นการรู้ ในสมมุติสงฆ์ ซึ่ง หมายความว่า ถ้าไม่ถึงอรหันต์ อย่าเพิ่งบวชเป็นพระ
    เพราะ มันเป็นอรหันต์ของพระ เพื่อความ สมดุลย์ของรูปนาม เลยต้อง เอารูป เข้าไปเป็นพระอรหันต์....ตามสมมุติ ของพระ คำว่า พระ...นั่นเอง

    ตราบใดที่ สภาวะจิตเข้าถึง อรหันต์ ใน ฆราวาสก็เป็นอรหันต์ ที่ ไม่ตรงกับ อรหันต์พระที่เป็นอาจารย์ ได้หรอก ..นั่นเพราะ แบบอย่างที่ท่านเรียนรู้ ด้วยนั้น คือพระ อยากเข้าใจ ต้อง บวชเป็นพระ ด้วยนั่นเอง

    อิอิ แต่ต้อง เข้าสู่อรหันต์ ได้ก่อนนะ...ค่อยบวช เพื่อ เข้าใจ เพื่อให้รูปนาม ตรงกัน
     
  19. suriyanvajra

    suriyanvajra Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +67
    น้อมคารวะท่านผมเองครับ
    รักษาคุ้มครองท่านและทุกๆท่านไว้ด้วยนะโมพุทธายะ
     
  20. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ทางสายกลางจะสั้นที่สุดได้ก็ต่อเมื่อ ทางสายนั้นเป็นทางสายตรง
     

แชร์หน้านี้

Loading...