ถามมาสิจ๊ะ...แม่ชีณัฐทิพย์ ตนุพันธ์ ยินดีตอบจ้า...

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย DevilBitch, 14 สิงหาคม 2006.

  1. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรมจ้า...

    ถามและคิดได้ดีมาก...

    ผู้ที่มีปัญญาย่อมไม่ละทิ้งสิ่งที่ดีมีประโยชน์ และเป็นประโยชน์ เมื่อพอมีปัญญอยู่บ้างก็ต้องสั่งสมปัญญาและบารมีหรือบุญเพิ่ม จากการที่รู้จักการให้ทานที่ก่อเกิดเป็นบูญให้เพิ่มขึ้น เมื่อให้ทานเป็น

    กำลังของทานก็จะเป็นตัวผลักดันให้จิตใจผ่องใส ชื่นบานใจ สมาธิก็ย่อมมีมากขึ้นโดยลำดับ เนื่องจากความพะวง ความร้อนใจ ความทุกข์ใจน้อย

    ปัญญาที่จะคิดอะไรก็ย่อมโปร่งใส เห็นอะไรต่ออะไรที่ผ่านมาในชีวิต คิดและแก้ไขเป็นและทันกับเหตุการณ์นั้นๆ ไม่เร่าร้อนวู่วามทำตามอารมณ์ที่ผิดๆจนติดเป็นนิสัยที่ไม่ดี นี้คือปัญญาที่รู้เท่าทันอารมณ์ผสมกิเลสตัณหา เรียกว่ามีสติอยู่ทุกเมื่อ

    คนที่ไม่มีปัญญา คือไม่รู้อะไรและก็ไม่เข้าใจกกับอะไร ถึงจะทำอะไร มันก็ไม่เกิดผลดีอะไรหรือมีแต่ก็น้อย บางครั้งอาจเกิดโทษมากแทนเสียอีก

    ตัวอย่างของคนที่ทำทานมากๆ ทุ่มทำมากๆเพื่อเอาหน้าเอาตา ทำแล้วก็ขัดใจ ทำไปด่าไป แช่งไป เสียดายของที่ทำไป แถมด่าผู้ที่ให้เสียอีก อย่างนี้ถือว่า ได้บุญทีแรก แต่พอด่าแช่งเข้าไป หากด่าผิดที่ ผิดคน ผลอกุศลที่ชั่วก็เข้าแทนที่ บางทีได้รับผลกรรมชั่ว มากกว่ากรรมดีที่ทำเสียอีก

    อย่างนี้เรียกว่า "ไม่มีปัญญา "คือไม่ได้สร้างปัญญา ให้เกิดรู้ในสิ่งที่ตนจะทำและกำลังทำ เพียงแต่รู้ว่า ทำทานมากๆ แล้วจะได้บุญ ลืมไปว่า ทำบุญให้ได้บุญมากนั้นทำอย่างไร? กลายเป็นเสียของมาก แต่ได้บุญน้อย เลยพลอยรำคาญบุญไปในที่สุด

    ถ้ามีปัญญา คือรู้และเข้าใจในสิ่งที่จะทำ และกำลังทำ ก็ย่อมจะไม่ปล่อยให้บุญนั้นหลุดลอยไปเด็ดขาด ฉะนั้นผู้มีปัญญา จึงรู้และเข้าใจว่า

    ต้องมีความอดทนที่จะทำความดี มีความเพียรที่จะทำสิ่งดีนั้น ปิดกั้นความชั่ว ไม่ให้เกิด ด้วยการมีสัจจะ คือทำจริงในสิ่งที่ตนทำและคำที่พูด มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ คือไม่เบียดเบียน มีกรุณา มีมุทิตา และต้องมีอุเบกขาอย่างผู้ใช้ปัญญา พร้อมกับการอธิษฐานจิตในสิ่งที่ตนได้ทำ เป็นการกำกับลงไปในจิตของตนให้สม่ำเสมอจากการที่ตนได้ทำเองนั่นแหละ

    ส่วนที่ว่าตนเองมีความเพียรน้อยนั้น แม่ชีว่าความเพียรไม่เห็นต้อง ตื่นแต่เช้ามาทำทุกวันนี่ หากว่าเรานอนดึก เพราะด้วยหน้าที่การงานที่ทำให้ต้องนอนดึกทุกวัน ก็ไม่เห็นต้องตื่นเช้ามานั่งสมาธิให้ง่วงนอนนี่

    เราไม่ใช่พระหรือคนที่อยู่ในวัด ที่ไม่ได้ทำงานหนักอย่างชาวบ้านเรา ท่านเหล่านั้นจึงมีเวลาว่าง นอนไม่ดึกอย่างเราๆนี่ ท่านก็ต้องตื่นแต่เช้ามาบิณฑบาตหาข้าวกิน ถ้าสายก็อดตายกันพอดี

    ถ้าทำแล้วง่วงนอน ก็นอนให้มันหายง่วงก่อนเถอะ ง่วงแล้วมาฝืนทำ มันไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก เผลอๆเบื่อไปเลย นอนให้พอดี แล้วค่อยมานั่งสมาธิแบบสบายๆเถอะ

    หากตอนนั่งหรือทำสมาธิอยู่แล้วเกิดอาการง่วงอีก ก็ลองเปลี่ยนมาเป็นท่าเดินดูบ้างก็ได้ เดินไปเดินมา ไม่ต้องกังวลกับอะไร ไม่ต้องมัวแต่คิดว่า ถูกหรือเปล่านะ? ผิดหรือเปล่านะ ? ใช่ไหมนะ? ปล่อยใจให้สบายๆ นั่งบ้างเดินบ้างสลับกันไป แล้วลองเพิ่มเวลาเข้าไปอีกดูสิ ....

    ฝึกใหม่ๆแม่ชีหลับตลอดเจ้าค่ะ แต่อาศัยว่าทำตามสบายตามใจตนเอง แต่มีวินัยในตนนะ ไม่ใช่ปล่อยให้สบายจนเกินความพอดีไป นั่งหลับตาแบบสบายๆ สามวันเท่านั้นเอง เกิดปีติมากแล้ว หลังจากนั้นก็ฮึดฝืนทำในสิ่งที่ตนไม่เคยทำ ตายเป็นตาย นั่งมันเข้าไป จนนานเอาการทีเดียวคือ ยาวนานถึง 6 ชั่วโมง...


    บ้าเลย...ตอนที่นั่งนานนั้นไม่รู้ตัวเลย มันหายเข้าไปไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่านั่งสมาธิอยู่ แต่อาการทางกาย ไม่รู้เรื่องเลย ใครแบกไปไหนก็ไม่รู้ มารู้อีกทีเขาแบกมาไว้ในห้องหลวงปู่แล้ว....

    อย่าพะวงเลย...ทำไป สังเกตตนเองไป ดูใจตนเองไป มันเป็นอะไรก็รู้ ก็เท่านั้นเอง ลองทำดูดีไหม? อย่าเพิ่งท้อเสียก่อนล่ะ....อีกอย่างอย่าไปฟังคนที่เขาทำกันมากเลย คนหนึ่งก็หนึ่งอย่าง หลายคนก็หลายอย่าง ปวดหัวตายกันพอดี ตอนแม่ชีทำหรือปฏิบัติอยู่นั้น ไม่ฟังใครเลย ฟังครูคนเดียวแล้วทำในสิ่งที่ครูสอนให้ผ่านก่อนเถอะ ขั้นต่อไปทำได้เองแหล่ะ

    หลายครู หลายคน หลายอย่าง หลายวิธี เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ปวดหัวน่าดู ครูคนเดียวก็ยังไม่ผ่าน หลายครูเลยขี้คร้านพอดี....

    แม่ชีเป็นกำลังใจให้ทำให้ได้แล้วกันนะ...ขอบคุณสำหรับคำชม

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!



     
  2. ฐตธนวัฒฆ์

    ฐตธนวัฒฆ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +745
    หลักปฏิบัติสั้นๆ

    สมาธิจิต
    โมกขจิต
    วิมุตติจิต
     
  3. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    วันนี้มาเชียงใหม่ตามการจัดให้ของลูกศิษย์...มาถึงก็มาเจอคำถามที่ยิงมาเป็นชุดทีเดียว แต่จะขอยกมาตอบในที่นี้บางคำถามแล้วกัน

    "อาจารย์ขา ทำไมภาษาธรรมกับคำที่เราพูดกันนี้ มันถึงฟังยากจัง คนเก่งมักจะพูดคำที่เราฟังไม่รู้เรื่อง พอถามก็ว่า เราโง่ เลยทำให้เบื่อธรรมะไป อาจารย์ช่วยให้ความกระจ่างและอยากฟังธรรมที่ดีต่อทีสิคะ....."

    เอาละหนูเอ้ย...

    ภาษาธรรมที่เขาใช้นั้นมันเป็นภาษาบาลีและสันสกฤต เพราะศาสนาพุทธไม่ได้เกิดในประเทศไทย เกิดในอินเดียโดยเจ้าชายสิทธัตถะ ที่เป็นชาวอินเดีย (เนปาลในปัจจุบัน) ภาษาที่ใช้จึงไม่ใช่ภาษาของเรา แต่ท่านผู้รู้นำมาแปลเป็นภาษาไทย และก็ต้องแปลไทยเป็นไทยอีกที

    อย่างว่าแหละภาษาไทยแท้ๆ ยังต้องแปลกันอีกที แล้วอย่างนี้จะเข้าใจภาษาอื่นได้อย่างไร?

    ภาษาธรรมก็เหมือนภาษาต่างชาติที่ต้องแปลนั่นแหละ ถ้าไม่แปลก็ไม่เข้าใจในภาษาของชาวอื่นเขา....

    ธรรมะที่หลายท่านนำมาสอน นำมาบรรยาย ท่านเหล่านั้นก็จะใช้คำง่ายๆสอน บางทีก็แทรกภาษาธรรมหรือบาลีและสันสกฤตเข้าไป เพื่อให้รู้ว่า รากศัพท์และคำที่แปลนั้น...ควรและน่าจะเป็นและแปลแบบนี้ หากยกมาลอยๆแปลลอยๆ บางท่านก็จะนินทาและค้านเอาได้

    อย่างแม่ชีสอนธรรมและบรรยายธรรมนั้น บางคนก็ว่าแม่ชีพูดคำและใช้ภาษาง่ายเกินไป บางคนก็บอกว่าสูงเกินไป บางคนก็ต้องอธิบายมากกว่าใคร
    และบางคนก็ว่า

    "พูดธรรมะแล้วหัวเราะทำไม? อย่างนี้เป็นการไม่ให้เกียรติธรรมะนะ"

    "ธรรมะคืออะไรคะ?"

    เอ้า...ถึงตอนนี้แล้วมีคำถามให้ช่วยตอบกันหน่อยดีไหม?
    "ธรรมะ คือ อะไร? ช่วยบอกทีสิ

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 ตุลาคม 2006
  4. ฐตธนวัฒฆ์

    ฐตธนวัฒฆ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +745
  5. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    สวัสดีค่ะแม่ชีและญาติธรรมทุกท่าน ไม่ได้ทักทายกันห้าบอร์ดเลย ขอโทษนะคะ ไม่ค่อยสะดวกค่ะ

    อืม...เดี๋ยวจะไล่ๆ อ่านไปเรื่อยๆ นะคะ
     
  6. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...


    ระยะหลังนี้มีคำถามๆเข้ามาน้อย แม่ชีตอบไปสงสัยไม่ชอบใจในคำตอบมั้ง?
    เลยอยากจะเขียนอะไรให้อ่านเล่นแล้วกัน...

    ระยะนี้ไปไหนมาไหนก็มักจะได้ยินคนถาม หรือเล่าให้ฟังเรื่องผัวๆเมียๆละเหี่ยใจ
    ผู้ชายมาหาแม่ชีมากขึ้น ...ไม่ได้มาจีบแม่ชีหรอกนะ...มาตามหาเมียน่ะ...

    ปัดโธ่!!!เมียตัวเองไม่ได้หนีมาบวชชีอยู่ที่แม่ชีสักหน่อย แล้วมาตามทำไม?

    ชายผู้ถูกเมียทิ้งทำหน้าแหย๋ๆ พาญาติข้างบ้านขึ้นมา ขอให้ช่วยเจรจากับแม่ชีให้หน่อย..

    ฝ่ายญาติขึ้นมาก็พูดแทนผู้ชายหมด แม่ชีไม่ได้ยินเสียงของผู้ชายพูดสักคำ
    ญาติบอกว่า

    "แม่ชีช่วยดูให้ทีว่า บ้านที่อยู่เป็นอย่างไร ทำไมอยู่ดีๆ เมียของผู้ชายคนนี้จึงกลัวสามี ของตัวเอง แถมยังไม่อยากมองหน้าอีก ปลีกตัวหลบอยู่ลำพังคนเดียว แล้วก็หอบลูกกลับไปอยู่ที่บ้านพ่อแม่ของตัวเอง"

    แม่ชีจึงถามญาติของผู้ชายที่มาด้วยว่า "คุณโยมอยู่กับครอบครัวนี้ตลอด 24 ชั่วโมงเลยรึ?" ฝ่ายญาติที่มาด้วยตอบว่า

    "เปล่า" "รวมทั้งไม่เคยเห็นเขาทะเลาะกันเลย ทำไมอยู่ดีๆ ผู้หญิงจึงหนีไป
    แม่ชีช่วยดูว่าเจ้าที่ๆบ้านให้โทษหรือเปล่า?"

    แม่ชีตอบไปทันใดว่า "เจ้าที่ๆบ้านน่ะเหี้ยนมากเลย ผู้หญิงที่เป็นเมียเลยทนอยู่ไม่ได้"ว่าแล้วก็หันหน้ามามองฝ่ายชายผู้เป็นสามี

    ของผู้หญิงที่หนีไป "คุณโยมเป็นสามี น่าจะรู้ดีนะว่า ทำไมเมียจึงกลัวและหนีไป คนอื่นไม่มีทางจะรู้ดีกว่าคุณโยมหรอก ทบทวนดูให้ดีสิ
    ว่าทำอะไรไว้...

    ผู้หญิงเขาอยู่กับผู้ชายด้วยความรัก ถ้าไม่รักแล้วจะอยู่ด้วยทำไม ตั้ง10กว่าปีล่ะ
    จนมีลูกด้วยกัน อดทนทุกอย่าง ในขณะที่ผู้ชายไม่เคยเหลียวมองดูเลยว่า
    "ทำอย่างไรจะให้เมียมีความสุข "

    ผู้ชายมักจะมองเพียงว่า "ทำอย่างไรให้ตัวเองมีความสุข"นี่แหละมันจึงกลายเป็นความเห็นแก่ตัวของผู้ชาย เมื่อมันสะสมมากขึ้น จนสุดท้ายมันก็ระเบิดออกมา ผู้หญิงจึงเลิกทน ในขณะที่ผู้ชายยัง "ซื่อบื้ออยู่เลย "งงว่าผู้หญิง
    เป็นอะไร ทำไมจึงหนีไป เพราะที่ผ่านมาไม่เคยแสดงอาการอะไรให้รู้เลย....

    เวรกรรมจริงๆ...สมน้ำหน้าอยากซื่อบื้อนัก...เอ้า...หนุ่มเอ้ย...ถามตัวเองก่อนว่า "ยังรักเมียตัวเองอยู่หรือเปล่า?"

    ถ้ารักก็ต้องปรับปรุงตัวเองแล้ว เลิกเมาเหล้าซะที กลับไปจีบเมียตัวเองใหม่ ให้เหมือนตอนที่ยังไม่ได้ฟันกันเหมือนตอนนี้ก็แล้วกัน ทำได้หรือเปล่าล่ะ? ที่สำคัญนะ...ใช้ลูกให้เป็นประโยชน์หน่อยสิ เที่ยวไล้เทียวขื่อ หมั่นไปหาให้เธอเห็นหน้า หาของไปให้ เธอไม่พูดด้วยก็ไม่เป็นไร ยิ้มให้ ทำอะไรดีๆให้เมียเห็น ให้เวลาเธอทบทวนความดีของหนุ่มบ้าง อย่าใจร้อนล่ะ...

    สักระยะก็จะดีเอง แต่ถ้าหนุ่มใจร้อนฉุดกระชากให้เธอกลับมา ใช้กำลัง อย่างนี้ก็อย่าหวังว่าใครจะกลับมาเลย

    อีกอย่างเลิกโทษสิ่งที่มองไม่เห็นเถอะ ทำไมไม่โทษตัวเองบ้างล่ะ โทษแต่คนอื่น และสิ่งที่มองไม่เห็นอยู่ได้...

    เอ้า...ลองทำดู ได้ผลอย่างไรมาบอกกล่าวให้รู้บ้างแล้วกัน...

    งานนี้ผู้ชายจ๋อยเลย ปัดโธ่เอ้ย...ก็เล่นกินเหล้าเมา แล้วตบตี

    โอ้ย...ถ้าเป็นแม่ชีน่ะหรือ...ฮ่าๆๆๆ บอกได้เลยว่า แหลก!!!!

    โชคดีที่ไม่มีใครได้แม่ชีไปเป็นภรรยา ไม่เช่นนั้น ฮ่าๆๆๆๆๆ (คิดเอาเอง)

    (nogood)(b-oneeye)
    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 พฤศจิกายน 2006
  7. pang1972

    pang1972 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +431
  8. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรมทุกท่าน....


    มีหลายคนถามแม่ชีว่า
    " การแก้ดวง ผูกดวงตามดวงดาวต่างๆนั้น มีผลต่อชีวิตคนเราจริงหรือ?"

    แม่ชีตอบไปแล้วจะไปขัดกับพวกโหราจารย์ทั้งหลายหรือเปล่าหนอ?

    เพราะพวกที่เป็นโหราจารย์ มักจะกล่าวตอบกับพวกที่ถามว่า ดาวหนึ่งดวงหลุดออกจากวงโคจรหรือหลุดออกจากการเป็นบริวารของดวงอาทิตย์แล้ว
    อย่างนี้จะเอาดาวดวงไหนไปผูกแทนดาวที่หายไป

    โหราจารย์ก็บอกว่า นั่นมันเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ นี่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์

    ตกลงโหราศาสตร์ ไม่ได้เอาหลักการของวิทยาศาสตร์มาใช้หรือไง?

    แล้วเอาดวงดาวที่ล่องลอยอยู่ในอวกาศที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบมาผูกดวงทำไม? แล้วโหราศาสตร์เป็นศาสตร์อะไร?

    เราจะเห็นได้ว่าคนในสมัยก่อนนั้น ช่างสังเกตธรรมชาติ จึงนำมายึดใช้กับชีวิตประจำวัน เช่น ดูดวงจันทร์ก็จะรู้ว่า ข้างขึ้นหรือข้างแรม

    เมื่อรู้ธรรมชาติก็นำมาจัดทำเป็นปฏิทิน ผิดพลาดก็มี แล้วก็แก้ไขไปตามกาลเวลา ยึดใช้มาจนถึงปัจจุบัน ใช้เป็นสากลโลก

    ถ้าจะบอกว่าชีวิตของคนเราเกี่ยวพันและเกี่ยวข้องกับดวงดาวไหม?

    ก็เกี่ยวพันและเกี่ยวข้องนะ ...

    เพราะคนเราสังเกตจากดวงดาว จึงรู้ธรรมชาติว่าเป็นอย่างไร? และคนเราจะต้องทำอย่างไร เมื่อปรากฏการณ์ธรรมชาติเกิดขึ้น

    คนเลยฝากชีวิตไว้กับดวงดาว จะทำอะไรก็ต้องแล้วแต่ดวงดาว

    พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า ดวงดาวทั้งหลายจะทำอะไรกับคนที่กระทำความดีได้เล่า? เปล่าเลย...

    ดวงดาวไม่มีผลกับคนที่ทำความดีและความชั่วเลย แต่สิ่งที่คนกระทำนั่นแหละ จะเกิดเป็นผลให้ได้รับ

    ไม่ว่าดวงดาวจะเพิ่มเติมหรือหลุดลอยไปจากฟากฟ้า ดวงดาวเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำอะไรให้คนดีขึ้นหรือเลวลงเลย

    แต่ดวงดาวเป็นที่มาของการสร้างความเจริญขึ้นของสังคมมนุษย์ในสมัยก่อน ให้รู้จักธรรมชาติและสามารถป้องกัน ภัยจากธรรมชาตินั้นได้มาจวบจนทุกวันนี้


    การแก้ดวง ผูกดวงก็เป็นรายได้ให้กับอาชีพ และเป็นที่พึ่งทางใจกับใครหลายคนที่ยังเข้าใจผิด ก็ไม่แปลก...

    เพราะโลกนี้ยังมีคนอีกมากมายที่ชอบใช้จ่ายเงินในทางแบบนี้ ถ้าถือเสียว่าเป็นการทำบุญ แล้วใจสบาย ก็ทำไป...

    แต่ถ้าทำแล้ววุ่นวายใจ ขุ่นมัว ขัดใจ ก็เตรียมตัวลงนรกได้เลย

    นรก คือ แดน หรือขุม หรือสถานที่ๆมีแต่ความทุกข์ ความทรมาน เจ็บปวดทุรนทุราย ถ้าใจเป็นทุกข์ ก็นั่นแหละ แดนนรกแหละจ้า......บ้าย...บาย

    (b-oneeye)(b-oneeye)
    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!
     
  9. ยูเรนัส

    ยูเรนัส Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +64
    ทำบุญกับทำทานต่างกันอย่างไรค่ะ(ในแง่ของการกระทำและผลที่ได้ค่ะ)
    ประมาณว่า..ไปทำบุญเข้าวัดถวายสังฆทานทุกเดือนแต่นินทาชาวบ้านดูถูกคนจนทุกวัน..ไม่เคยบริจาคสิ่งใดกล่าวแต่ว่าไม่มีประโยชน์..(ยกเว้นใส่ซองให้...เวลาไปวัด)
    แบบนี้เรียกว่าได้บุญรึเปล่า....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2006
  10. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    ทำบุญกับทำทานนั้นมันต้องอิงกันนะ...
    บุญเกิดจากการให้ทาน คือเสียสละวัตถุหรือปัจจัยช่วยเหลือผู้ที่ขัดสน ให้แล้วสุขใจจากการได้ให้ ได้ช่วยให้ผู้อื่นหายทุกข์ชั่วคราว
    ก่อเกิดเป็นความสุข ที่เรียกว่า บุญ

    และบุญที่เกิดจากการทำสมาธิด้วยตนเอง อย่างนี้ไม่ต้องเสียปัจจัย

    ส่วนการใส่ปัจจัยในซองถวายพระ ก็จัดเป็นทานที่ก่อเกิดเป็นบุญ

    แต่ไม่เคยช่วยเหลือผู้อื่นเลย ให้แต่พระและดูถูกเหยียดหยามคนจน
    ถามว่าได้บุญไหม? ถวายปัจจัยให้พระนั่นได้บุญ


    ส่วนดูถูกเหยียดหยามคนอื่นก็จะได้รับผลกรรมคือ ถูกคนเกลียด บางทีถ้ามากเข้าก็อาจถูกทำร้ายอย่างแรงได้
    เพราะคนเขาหมั่นไส้ ตรงนี้เป็นกรรมเสีย

    ถ้าทำกรรมเสียนี้มากกว่ากรรมดี ก็จะได้รับผลของกรรมเสียก่อน

    อย่ามองคนอื่นว่าทำอะไรแล้วหรือยังเลย ...กลับมาดูที่ตัวเราเถอะว่า
    "เราทำอะไรที่ดี ที่ถูกแล้วหรือยัง?"
    แล้วเราจะมีความสุขนะ เรียกว่า " อย่าเสือก" นั่นแหละ
    (b-oneeye)(b-oneeye)
    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!
     
  11. แม่น้ำปิง

    แม่น้ำปิง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +19
    กราบนมัสการ ท่านแม่ชีค่ะ
    หนูเป็นคนที่เคยโทรหาท่านแม่ชี แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นเลยค่ะ ท่านแม่ชีก็เมตตามาก แต่วันนั้นท่านแม่ชีมีสอน
    หลังจากนั้นหนูไปเจอเรื่องทารุณจิตใจอย่างสาหัสมา ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เค้าบอกว่ารักเรามาก แต่ทำไมคิดทำได้ขนาดนั้น แต่หนูก็ผ่านพ้นมันมาได้แล้วค่ะแม่ชี หนูไม่โกรธเค้าแล้วค่ะ ถือว่า หมดเวรหมดกรรมแล้วค่ะ
    อยู่คนเดียวมาได้ซักพักแล้ว จิตใจตอนนี้ก็ฟื้นตัวดีขึ้นแล้วค่ะ แต่ก็มีหม่นหมองบ้างเป็นพักๆ
    หนูได้ฟังเสียงท่านแม่ชีแล้ว รู้สึกถึงความเมตตามาก กราบขอบพระคุณอีกครั้งนะคะ
     
  12. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    ดีแล้วหนู้เอ้ย...ความรักมักเป็นเช่นนี้แหละ

    "โศกเกิดแต่กาม " ดังคำตรัสสอนของพระพุทธองค์จริงๆ

    แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้มีรักนะ มีรักนั้นดีและทุกคนควรจะมีรักด้วย
    แต่รักนั้นจะต้องเป็น "รักจริง"ไม่ใช่รักที่อิงและแฝงไปด้วยความใคร่

    "บุคคลรักผู้อื่นเสมอตนจึงไม่มี"

    อย่าไปโกรธใครๆเลย เพราะทุกคนต้องรักตัวเอง ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น
    เราก็รักตัวเองเหมือนกัน คือไม่อยากสูญเสียใครหรือคนที่เราพอใจไป พอจะจากไปเราก็เสียดาย

    แต่พอมาดูว่า เขาไม่ได้ให้ใจแก่เรา เราจึงเลิกรักและบางทีก็เกลียดกันไปเลย...

    การอยู่คนเดียวนั้นดีเสมอ จะได้มีเวลาทบทวนกับอะไรๆได้มากกว่าการรวมหมู่คณะ

    แต่การรวมหมู่คณะย่อมเป็นที่มาของการพัฒนาในสิ่งที่ดี

    ขอให้หนูโชคดีนะ...ฟ้าหลังฝน คนย่อมสดใสจ้า

    (verygood)(verygood)(verygood)
    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!
     
  13. benyapa

    benyapa ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,088
    ค่าพลัง:
    +5,431
    กราบนมัสการแม่ชี และสวัสดีปีใหม่คุณหงสนาถและทุก ๆ ท่านนะคะ ขอโทษค่ะที่ไม่ได้เข้ามาทักทายกันเลยนะคะ ยังระลึกถึงแม่ชีและคุณหงสนาถเสมอนะคะ ไม่ลืมพระคุณนะคะ ยังระลึกถึงอยู่คะ เพียงแต่ยุ่ง ๆ และไม่ค่อยได้เข้ามาในพลังจิตนะคะเพราะตั้งใจฟังธรรมมากขึ้นและปฏิบัติมากขึ้นกว่าเก่านิดนึงค่ะ
    บุญรักษานะคะ
    เบญญาภา
     
  14. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    ปีใหม่นี้ขอให้มีความสุขกับการปฏิบัติธรรมและการดำรงชีวิตที่ถูกต้องตามความเป็นจริงจ้า
    (verygood)(verygood)
    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!
     
  15. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    สาธุ...สาธุ...สาธุ...อนุโมทามิ

    [b-wai] [b-wai] [b-wai]
     
  16. sacrifar

    sacrifar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +3,221
    กราบนมัสการแม่ชีครับ
    ผมอยากจะถามเรื่องศีลข้อ1 ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่ทำไมเราจึงสามารถกินเนื้อสัตว์ได้ครับ
    เราไม่ได้ฆ่าเอง และไม่ได้มีเจตนาให้ผู้อื่นฆ่า ถ้าทุกคนมีศีล 5 เป็นอย่างต่ำกันหมด เราก็จะไม่มีเนื้อสัตว์กิน
    นั่นแปลว่าถ้าไม่มีเราก็ไม่กิน กินแต่พืชแทน เป็นเช่นนั้นหรือไม่ครับ
     
  17. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    เรื่องของศีลนั้นยังมีหลายคนที่เข้าใจน้อยไปหน่อย ขออธิบายในข้อที่1 ที่ถามมานะ

    ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.ฯ

    พึงเจตนางดเว้นจากการฆ่าหรือเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นและแม้กระทั่งตนเอง รวมทั้งไม่สั่งหรือบงการให้ผู้อื่นฆ่า หรือเบียดเบียนแทนตนด้วย

    ไม่ได้บอกหรือสั่งห้ามว่าไม่ให้ฆ่า แต่พึงตั้งเจตนาในใจของตนว่า จะไม่ฆ่าเป็นอาจิณ สม่ำเสมอ เพราะถ้ามีเจตนาฆ่าในใจเสมอ ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่มีแต่ความ
    โหดเหี้ยม โหดร้าย ไม่มีคุณธรรมที่ดีเลย

    อย่างเรื่องการฆ่าสัตว์มากินเป็นอาหารของมนุษย์ นั่นก็เป็นเรื่องปกติของสิ่งมีชีวิต ที่ต้องกินเพื่อการอยู่รอด และไม่ว่าจะเป็นสัตว์ด้วยกันก็ตาม

    พระพุทธองค์ให้ทรงเลือกเอาประโยชน์ใหญ่ไว้ นั่นคือ มนุษย์เป็นสัตว์ใหญ่ที่ทำอะไรที่ดี ให้เกิดประโยชน์มากกว่าสัตว์ชนิดอื่นบางพวก

    การกินจึงเป็นเพียงความตั้งอยู่ได้แห่งกายนี้ เพื่อประโยชน์ใหญ่ นั่นคือการพัฒนาจิตของตนให้สูงขึ้นโดยลำดับ

    พระพุทธองค์จึงไม่ทรงห้ามให้สาวกเลิกกินเนื้อสัตว์ แต่ให้ตั้งเจตนาว่าจะไม่ฆ่า และถ้าหากกระทำ ก็ต้องยอมรับผลของกรรม

    กรรมที่ทำนั้นย่อมเกิด ย่อมมี แต่มนุษย์สามารถสร้างกรรมที่ดีกว่าการฆ่าสัตว์กินเป็นอาหารซึ่งเป็นกรรมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

    หากฆ่ามนุษย์ด้วยกันนั้นย่อมเกิดเป็นกรรมหนัก เพราะมีทั้งกรรมและเวร และถ้าหากฆ่าบิดามารดา กรรมหนักยิ่งมีมากเท่าทวีคูณ เป็นการทำอนันตริยกรรม คือฆ่าผู้มีคุณอันสูงสุด

    การกินแต่ผักนั้นก็ถือว่าเป็นการฆ่าเหมือนกัน เพราะผักก็มีชีวิต แต่คนมักคิดว่าผักไม่มีชีวิต สิ่งใดมีการเจริญเติบโตสิ่งนั้นย่อมมีชีวิต

    แต่กรรมที่เกิดนั้นมันน้อยนิด สิ่งใดมีคุณมากสิ่งนั้นย่อมมีประโยชน์มาก หากกระทำการเบียดเบียนหรือฆ่า ผลกรรมชั่วย่อมมีมากโดยลำดับ

    กินผักอย่างเดียวนั้นก็ดี แต่ว่ามันไม่มีสารอาหารที่มนุษย์เราควรบริโภคให้ครบ 5 หมู่นะ เมื่อร่างกายและมันสมองของมนุษย์อ่อนแอ

    คิดแล้วกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันก็ไม่ต่างกับสัตว์เดียรัจฉานทั่วไปนะ
    กินเนื้อสัตว์นั้นเราก็เลือกกินได้นี่ ไม่ใช่กินดะหรือเปิบพิสดารจนเกินงามเกินความพอดีไป ผลร้ายอาจเกิดจากการกินสัตว์ผิดประเภทก็ได้

    อย่างตำรวจ ทหารมีหน้าที่ปกป้องป้องกันคุ้มครองภัย หากโจรร้ายทำลายล้างผลาญชีวิตผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก จะปล่อยให้โจรลอยนวลหรือ?

    อย่างนี้ก็จำเป็นจะต้องฆ่าโจร เพื่อประโยชน์ใหญ่อีกหลายชีวิต กรรมจากการฆ่าโจรนั้นมี แต่ชีวิตที่ดีอีกหลายชีวิตรอด จะเลือกอันไหนล่ะ?

    ดีมากที่ถามมา วันหน้าจะอธิบายในศีลข้ออื่นให้ฟังนะ ขอให้โชคดีกับการครองศีลและนำไปกระทำให้เกิดประโยชน์แก่ตนโดยแท้เถอะ
    (verygood)(verygood)(verygood)

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!
     
  18. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    วันนี้แม่ชีมีวิธีการทำสมาธิแบบง่ายๆแต่ได้ผลคุ้มค่ามหาศาลทีเดียว เป็นการ บรรยายในแผ่นซีดี แต่จะนำข้อความมาให้อ่าน และทำความเข้าใจเสียก่อนหลังจากนั้นก็จงเริ่มทำดู ทำบ่อยๆเรื่อยๆ ทุกอย่างเป็นกลอุบาย เป็นวิธีการทำทั้งสิ้น แต่เป้าหมายและจุดหมาย จุดประสงค์นั้นเหมือนกัน คือ สงบแห่งจิต


    ทำสมาธิแบบง่ายๆ แต่คุณภาพถึงใจ(แด่เธอผู้มาใหม่ทุกท่าน)
    เจริญสุข สวัสดี สาธุชนผู้ปรารถนาการทำสมาธิแบบง่ายๆแต่คุณภาพถึงใจทีเดียว ต้องบอกไว้นะตรงนี้เลยว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มกราคม 2007
  19. sacrifar

    sacrifar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +3,221

    จากกระทู้ http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=66334 รบกวนท่านแม่ชีเข้าไปตอบด้วยนะครับ คิดว่าน่าจะมีคำแนะนำดีๆจากท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2007
  20. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    อาการอย่างนั้นถ้าทางการแพทย์มักจะกล่าวว่า "เป็นอาการโรคจิตชนิดหนึ่ง คือโรคติดแม่"

    ถ้าทางหมอมดหมอผีหมอเดาก็จะบอกว่า "โดนของและโดนผีกระทำมีเคราะห์"อย่างนี้ต้องเสดาะเคราะห์ ทำสังฆทานหรือต้องบวชชีหรือชีพราหมณ์

    อันหลังนี้แม่ชีเห็นด้วยนะ เพราะเป็นการสร้างบุญให้เกิดขึ้นแก่ตนอีกทั้งยังมีบุญเพื่อจะได้แผ่และอุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวร

    เป็นการทำให้จิตใจผ่องใส ผ่องแผ้ว แค่สวดมนต์ปาวๆ ผลบุญมันน้อย แต่ก็อย่าดูถูกผลบุญน้อยนะ

    การทำสมาธินั้นเป็นผลบุญที่มาก ทำได้มากผลบุญก็มากตาม กำลังแห่งบุญมากก็จะเคลียร์อะไรๆได้

    ก็เหมือนคนมีเงินมาก มีศักดาใหญ่ มีคุณธรรมและวาสนาบารมี จะทำอะไรก็ผ่านฉลุย

    อย่ากังวลไปเลย "บุคคลเป็นไปตามกรรม" เพียงเปลี่ยนพฤติกรรมแบบเดิมๆ ให้มาอยู่ในทางที่ใหม่แต่ดีกว่าเดิมดีกว่านะ

    ว่างๆก็ให้ไปบวชชีหรือชีพราหมณ์ก็น่าจะดีนะจ๊ะ
    (verygood)(verygood)(verygood)

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!
     

แชร์หน้านี้

Loading...