ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อิสราเอลยอมรับ “มีทหารสูญหาย” หลังการปะทะช่วงสุดสัปดาห์ หลังก่อนหน้านี้ปฎิเสธเสียงแข็ง โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 กรกฎาคม 2557 18:43 น.

    [​IMG]

    เอพี - แหล่งข่าวกองทัพอิสราเอลยอมรับในวันนี้(22)ว่า มีทหารIDF หายไป 1นายหลังจากปะทะเดือดช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และไม่ทราบชะตากรรมว่า ยังมีชีวิตหรือไม่ ซึ่งก่อนหน้านี้อิสราเอลปฎิเสธข่าวมาตลอดถึงการสูญหายของทหารยิวที่ทางกลุ่มฮามาสอ้างว่าสามารถควบคุมตัวไว้ได้

    เอพีรายงานวันนี้(22)ว่า ยังไม่แน่ชัดถึงชะตากรรม สิบเอกโอรอน ชาอูล (Oron Shaul) วัย 21 ปีทหาร IDFที่สูญหาย ซึ่งทำให้ความซับซ้อนในวิกฤตสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มก่อการร้ายปาเลสไตน์มีมากขึ้นที่มีความพยายามทางการทูตจากหลายฝ่ายในช่วงกว่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อให้สงครามนี้ยุติลง ยอดผู้เสียชีวิตชาวปาเลสไตน์ล่าสุดมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 586 คน และทหาร IDF ของอิสราเอล 29 นาย

    ทั้งนี้แหล่งข่าวกองทัพอิสราเอลเผยกับเอพีว่า สิบเอกชาอูลสูญหายหลังจากการปะทะเดือดในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาในกาซา ในขณะเดียวกันสื่อท้องถิ่นอิสราเอลรายงานว่า สิบเอกชาอูลสูญหายในขณะที่ถูกโจมตีในระหว่างขับรถหุ้มเกราะในเมืองชิไจยาห์ (Shijaiyah) กาซา ช่วงสุดสัปดาห์มา โดยสื่ออิสราเอลรายงานว่า เมืองชิไจยาห์ถือเป็นแหล่งขีปนาวุธที่ยิงมาที่อิสราเอล

    และบางสายข่าวที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน รายงานว่า ทหาร IDF นายนี้เสียชีวิตแล้ว

    ด้านโฆษกกองทัพอิสราเอล ปีเตอร์ เลอร์เนอร์ ( Peter Lerner ) แถลงผ่านทวิตเตอร์ว่า จากทหารทั้งหมด 7 นายที่ถูกกลุ่มฮามาสสังหารในวันอาทิตย์(20) ทางกองทัพสามารถยืนยันรูปพรรณได้เพียง 6 นายเท่านั้น

    ในต้นสัปดาห์นี้ อามาสอ้างว่าสามารถจับกุมทหาร IDF ได้ 1 นาย ในชั้นแรกเอกอัคราชทูตอิสราเอลประจำองค์การสหประชาชาติปฎิเสธเสียงแข็ง แต่กองทัพอิสราเอลไม่รับหรือปฎิเสธในข่าวนี้

    ในอดีตอิสราเอลต้องจ่ายหนักมากเพื่อแลกกับอิสรภาพของทหารของตนหากถูกจับกุมตัวโดยกลุ่มติดอาวุธ ไม่ว่าทหารผู้นั้นจะยังมีชีวิตหรือเสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งถือเป็นเสมือนฝันร้ายของรัฐยิว

    ในปี 2006 กองกำลังติดอาวุธที่เป็นพันธมิตรกับกลุ่มฮามาสได้ข้ามพรมแดนจู่โจม และสามารถจับกุมทหารยิวได้ 1 นาย และถูกนำตัวไปกักขังในกาซาในฐานะเชลย และได้รับอิสรภาพเมื่อรัฐบาลอิสราเอลยอมแลกตัวกับนักโทษปาเลสไตน์ 1,000 คน ในปี 2011

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “รพ.จอห์นส์ ฮอปกินส์ ” จ่ายค่าปรับสูง 190 ล้านดอลลาร์ หลังคนไข้เกือบหมื่นฟ้องแพทย์แอบใช้กล้องปากกาเก็บภาพจิมิ๊ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 กรกฎาคม 2557 18:14 น.

    [​IMG]

    เอเจนซีส์ - เมื่อวานนี้(21)โรงพยาบาลจอห์นส์ ฮอปกินส์ ในรัฐแมริแลนด์ตกลงยอมจ่ายค่าปรับ 190 ล้านดอลลาร์ หลังจากคนไข้สตรีราว 8,000 คน ร่วมฟ้องเอาผิดนายแพทย์ นิกิตา เลวี ( Dr Nikita Levy )นรีแพทย์ของโรงพยาบาลที่ลอบใช้กล้องปากกาเก็บภาพอวัยวะเพศของคนไข้ และพวงกุญแจอิเลกทรอนิกในการบันทึก และพบว่าเลวีได้ปลิดชีวิตตนเองในปีที่ผ่านมาหลังจากถูกไล่ออกจากงานได้ 10 วัน

    โจนาธาน โชขอร์ (Jonathan Schochor) ทนายความโจทย์คนไข้สตรีจำนวน 8,000 คนให้สัมภาษณ์หลังคดีสิ้นสุดว่า เหล่าคนไข้หญิงทุกคนต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน สิ่งที่พวกตนประสบล้วนเป็นสิ่งที่ป่าเถือนมาก และถือเป็นการทรยศต่อความไว้ใจในฐานะแพทย์เจ้าของไข้

    นอกจากนี้เหล่าคนไข้หญิงต่างร้องเรียนว่า พวกเธอถูกเลวีสั่งให้ตรวจภายในเป็นจำนวนมากจนผิดสั่งเกต และมีการสัมผัสร่างกายคนไข้อย่างไม่เหมาะสม

    สื่ออังกฤษรายงานเมื่อวานนี้(21) พบว่าการตกลงยอมความครั้งนี้ถือว่ามีมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯที่มีมูล่าถึง 190 ล้านดอลลาร์

    นอกจากนี้เอพียังรายงานเพิ่มเติมว่า คนไข้หญิงจำนวน 8,000 คนได้ยื่นฟ้องนายแพทย์นิกิตา เลวี ( Dr Nikita Levy )นรีแพทย์ประจำโรงพยาบาลจอห์นส์ ฮอปกินส์ ในการแอบถ่ายภาพและวิดีโอคลิปอวัยเพศของพวกเธอโดยไม่ได้รับอนุญาต และพบหลักฐานวิดีโอคลิปจำนวนถึง 1,200 ชิ้น และรูปถ่ายอีก 140 รูป เก็บในคอมพิวเตอร์ของเลวีในช่วงการสอบสวน

    จากประวัติพบว่า เลวีทำงานให้กับโรงพยาบาลจอห์นส์ ฮอปกินส์ เมืองบัลติมอร์ รัฐแมริแลนด์ มานานกว่า 25 ปี เขาได้ปลิดชีวิตตนเองลงในอีก 10 วันถัดมาหลังจากถูกไล่ออกจากงานในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2013 ที่เลวีถูกเพื่อนร่วมงานจับได้ว่า แอบใช้กล้องปากกาที่สวมอยู่ที่คอเพื่อถ่ายวิดีโอคลิป และรูปภาพของสงวนคนไข้

    นอกจากนี้ ในการฟ้องร้องยังมีการโยงถึงต้นสังกัดของเลวีว่า โรงพยาบาลจอห์นส์ ฮอปกินส์สมควรที่จะสืบรู้เรื่องนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่โดนัลด์ ดีอูวีริซ(Donald DeVries) ทนายความของโรงพยาบาลปฎิเสธในเรื่องนี้ โดยอ้างว่าไม่เกี่ยวข้อง “เพียงเพราะจำเลยทำงานให้กับโรงพยาบาล แต่ไม่ได้หมายความว่าทางหน่วยงานต้นสังกัดต้องรับผิดชอบในการกระทำของเขา” USAToDay สื่อสหรัฐฯรายงาน โดยดีอูวีริซยืนยันว่าทางโรงพยาบาลไม่ทราบถึงพฤติกรรมของเลวีมาก่อนหน้านี้

    และถึงแม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันได้ว่า เลวีสมคบคิดร่วมกับคนอื่นในการกระทำผิด หรือเขาได้แชร์ภาพหรือคลิปเหล่านี้กับคนอื่น และในการสอบสวนไม่พบว่าเลวีบันทึกรูปภาพคนไข้ที่อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่กระนั้นแรงจูงใจของเลวีในการกระทำผิดก่อนที่จะฆ่าตัวตายหลังจากนั้นยังคงเป็นปริศนา

    ทางโรงพยาบาลจอห์นส์ ฮอปกินส์ได้ออกแถลงการณ์มีใจความว่า “ทางโรงพยาบาลหวังว่าการตกลงยอมความทางคดีในครั้งนี้ รวมไปถึงความจริงที่ได้จากการสอบสวนที่พบว่า “ไม่มีการเผยแพร่รูปต่อ” จะช่วยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ”

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ชาวบ้านร้องน้ำทะเลแหลมฉบัง-อ่าวอุดม เป็นสีน้ำตาลและมีกลิ่นเหม็น (ชมคลิป)
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 กรกฎาคม 2557 14:38 น.

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ศูนย์ข่าวศรีราชา - ชาวบ้านบริเวณแหลมฉบัง-อ่าวอุดม ร้องน้ำทะเลเป็นสีน้ำตาล มีกลิ่นเหม็น ทำให้เกิดอาการแสบตาแสบจมูก นอกจากนั้น ยังพบว่ามีปลาริมชายฝั่งตายจำนวนมาก

    นายอัมพร เพชรรัตน์ ประธานชุมชนแหลมฉบัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี กล่าวว่า เมื่อค่ำวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา ช่วงเวลา 19.00 น. ตนได้รับแจ้งจากชาวบ้านแหลมฉบัง ว่า น้ำทะเลบริเวณร้านอาหารน้องไผ่ และอ่าวแหลมฉบัง น้ำทะเลมีสีน้ำตาล มีกลิ่นเหม็นมาก โดยลักษณะของน้ำทะเลจะเป็นฟองด้วย นอกจากนั้น ปลาบริเวณชายฝั่งตายเป็นจำนวนมากด้วยซึ่งไม่ทราบเกิดจากสาเหตุใด และชาวบ้านบางรายมีการแสบตา แสบจมูก

    จากการตรวจสอบในเบื้องต้นในช่วงค่ำที่ผ่านมา ไม่ใช่น้ำที่ไหลมาจากการนิคมอุตสาหกรรม หรือจากบนฝั่งอย่างแน่นอน เพราะตรวจสอบเส้นทางการไหลของลำคลอง น้ำที่ไหลลงมาปกติ ดังนั้นเป็นการเกิดขึ้นจากในทะเลอย่างแน่นอน แต่ไม่สามารถทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไรในขณะนี้ ล่าสุด เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้ประสานกับเทศบาลนครแหลมฉบัง ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาเก็บน้ำทะเลที่ตนตักไว้ไปตรวจสอบหาสาเหตุแล้ว

    นายอัมพร กล่าวต่อไปว่า ในช่วงแรกที่เกิดขึ้นในช่วงบ่ายวานนี้ มีชาวบ้านพูดว่าเป็นภาวะแพลงก์ตอนบูม หรือปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ ซึ่งตนยืนยันว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน เพราะน้ำทะเลเปลี่ยนสีในครั้งนี้มีอาการแสบตา แสบจมูก ซึ่งปกติแล้วปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬจะไม่ทำให้แสบตา แต่ในครั้งชาวบ้านที่มีบ้านพักอาศัยอยู่ริมทะเล ผู้สูงอายุ และเด็ก ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ต้องหนีไปพักอาศัยยังบ้านญาติที่อยู่ห่างจากนั้นหลายกิโล อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือประชาชนที่อยู่ริมทะเล เพราะหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยๆ พวกเราคงจะใช้ชีวิตกันลำบาก

    ล่าสุด ในวันนี้สภาพน้ำทะเลที่เป็นสีน้ำตาลได้หายไปหมดแล้ว โดยหลงเหลือบริเวณแอ่งน้ำริมชายหาด และคราบสีน้ำตาลที่เกาะติดตามเสาบ้าน และโขดหิน พร้อมยังพบซากปลาตายหลงเหลือเพียงไม่กี่ตัว

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=EMfthKA-u_Y]ชาวบ้านร้องน้ำทะเลแหลมฉบัง-อ่าวอุดม เป็นสีน้ำตาลและมีกลิ่นเหม็น - YouTube[/ame]

    <iframe width="640" height="390" src="//www.youtube.com/embed/EMfthKA-u_Y" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สุดสลด! พบเต่ามะเฟืองตายอนาถที่ทะเลกระบี่ (ชมคลิป)
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 กรกฎาคม 2557 18:24 น.

    [​IMG]

    กระบี่ - สลด! พบซากเต่ามะเฟืองขนาดใหญ่ที่ จ.กระบี่ ตายอนาถ สภาพกะโหลกร้าว คาดอาจถูกเรือชน หรือคลื่นซัดกระแทกโขดหิน

    เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (22 ก.ค.) นายประเวช อวิรุทธพานิชย์ ประมงอำเภอเมืองกระบี่ ได้รับแจ้งจาก นายวิฑูรย์ เตบบุตร ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเกาะกวาง ม.3 ต.หนองทะเล อ.เมือง จ.กระบี่ ว่า พบซากเต่าขนาดใหญ่ ถูกคลื่นซัดลอยมาติดอยู่ในคลองเกาะกวาง หลังรับแจ้งจึงดินทางไปตรวจสอบ พบว่า ภายในลำคลองมีซากเต่ามะเฟืองขนาดใหญ่ถูกคลื่นซัดเข้ามาติดอยู่กับกิ่งไม้บริเวณในลำคลอง เริ่มส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วบริเวณ

    จึงได้นำเรือออกมาทำการตรวจสอบ พบว่า เป็นเต่ามะเฟือง เพศเมีย มีความยาว 1.60 เมตร กว้างประมาณ 1 เมตร น้ำหนักประมาณ 150 กิโลกรัม คาดว่าตายมาแล้วไม่ต่ำกว่า 4-5 วัน เริ่มมีสภาพที่เน่าเปื่อย ที่บริเวณหัวของซากเต่าพบมีบาดแผลจนทำให้กะโหลกแตก ซึ่งเจ้าหน้าที่คาดว่าน่าจะถูกคลื่นซัดมากระแทกกับโขดหิน หรือถูกเรือชน เนื่องจากช่วงนี้ในพื้นที่มีคลื่นลมแรง เต่าอาจว่ายบนผิวน้ำถูกคลื่นซัดชนโขดหินชายฝั่ง หรือถูกเรือชนได้ เจ้าหน้าที่จึงได้ช่วยกันเอาผูกไว้ที่ตัวเต่า และลากมาบริเวณท่าเรือ ท่ามกลางความสนใจของชาวบ้านและนักท่องเที่ยวกำลังยืนมุงดูอยู่จำนวนมาก เนื่องจากซากเต่าดังกล่าวมีขนาดใหญ่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

    นายวิฑูรย์ เตบบุตร ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเกาะกวาง กล่าวว่า ที่ผ่านมาในรอบ 50 ปี ตนไม่เคยเห็นเต่ามะเฟืองขึ้นมาวางไข่ในบริเวณหาดเกาะกวาง เคยได้ยินแต่คำบอกเล่าจากพ่อแม่ หรือคนแก่ว่าบริเวณชายหาดเกาะกวาง เคยมีเต่ามะเฟื่องขึ้นมาวางไข่แต่นานมากแล้ว และในชีวิตของตนก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ตอนนี้ตนอายุ 50 กว่าปีแล้ว ได้เห็นเต่ามะเฟืองในพื้นที่ชายหาดเกาะกวางก็กลายเป็นซากเต่าไปแล้ว จึงรู้สึกเสียดายมาก

    นายประเวช อวิรุทธพานิชย์ ประมงอำเภอเมืองกระบี่ กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่เคยพบเต่ามะเฟืองในทะเลพื้นที่จังหวัดกระบี่มาก่อน และครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี ที่มีการพบเต่ามะเฟือง ส่วนมากแล้วจะพบในพื้นที่จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต โดยส่วนใหญ่ในพื้นที่จังหวัดกระบี่ จะพบเต่าชนิดอื่น คาดว่าในพื้นที่ท้องทะเลกระบี่อาจจะมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเลมากขึ้น ทำให้เต่าชนิดนี้ว่ายน้ำเข้ามาหากิน เบื้องต้นได้ประสานไปยังสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน ภูเก็ต มานำซากไปตรวจหาสาเหตุการตายที่แน่ชัดอีกครั้ง

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=ncOD1yeImrM]สลด ! เต่ามะเฟืองลอยขึ้นอืดที่กระบี่ - YouTube[/ame]

    <iframe width="640" height="390" src="//www.youtube.com/embed/ncOD1yeImrM" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>


     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คลิปแรก! นักวิทย์ลงสำรวจในหลุมปริศนาที่ไซบีเรีย
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 กรกฎาคม 2557 10:33 น.

    [​IMG]
    @หลุมปริศนาในไซบีเรีย

    [​IMG]
    @นักวิทยาศาสตร์รัสเซียลงพื้นที่สำรวจ

    [​IMG]
    @วัดความกว้างหลุม

    [​IMG]
    @ทะเลสาบน้ำแข็งที่เบื้องล่างของหลุม

    <iframe width="420" height="315" src="//www.youtube.com/embed/tDAVtjSadGg" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    สื่อรัสเซียเผยคลิปแรกนักวิทย์ลงสำรวจหลุมปริศนาในไซบีเรีย โดยเข้าไปภายในได้แต่ยังวิธีลงสู่เบื้องล่างไม่ได้ เบื้องต้นคาดเป็นหลุมที่เกิดจากแรงกระทำจากใต้ดินมากกว่าแรงกระทำจากภายนอก

    ทั้งนี้ หลุมปริศนาในแหลมยามาล (Yamal Peninsula) ที่ปรากฏในแถบไซบีเรียของรัสเซียได้สร้างความงุนงงแก่คนทั่วโลก พร้อมข้อสันนิษฐานมากมาย บ้างว่าเป็นผลงานเอเลี่ยน บ้างว่าอุกกาบาตถล่ม ขีปนาวุธถล่ม หรือไม่ก็เป็นแรงระเบิดจากก๊าซนานาชนิดที่เป็นจากภาวะโลกร้อน

    ล่าสุดเดอะไซบีเรียไทม์ได้เผยว่าทีมนักวิทยาศาสตร์ของรัสเซียได้ลงสำรวจภายในหลุมปริศนาดังกล่าว แต่ยังหาวิธีลงสู่เบื้องล่างไม่ได้ ทว่าได้เก็บรวบรวมตัวอย่างทั้งดินและน้ำ รวมถึงตัวอย่างอื่นๆ ในบริเวณดังกล่าวไปตรวจสอบ รวมถึงใช้ภาพถ่ายดาวเทียมของรัสเซียเพื่อระบุเวลาที่หลุมดังกล่าวก่อตัวขึ้น

    ทีมนักวิทยาศาสตร์พบว่า หลุมที่ลึกถึง 70 เมตรนั้นมีทะเลสาบน้ำแข็งอยู่ข้างล่าง และพบน้ำไหลตามผนังดินน้ำแข็งที่มีสภาพถูกกัดกร่อน และพบว่าหลุมดังกล่าวกว้างเพียง 50-100 เมตร ซึ่งไม่ได้กว้างมากอย่างที่ประเมินจากทางอากาศ

    แอนเดรย์ ปเลคานอฟ (Andrey Plekhanov) นักวิจัยอาวุโสจากศูนย์วิจัยอาร์กติกในท้องถิ่นกล่าวว่า ลักษณะของหลุมเป็นวงรีมากกว่าวงกลม ทำให้ยากจะคำนวณเส้นผ่านศูนย์กลาง แต่ตอนนี้ประมาณได้ว่ากว้าง 30 เมตร และถ้ารวมเนินดินรอบๆ ด้วยก็วัดเส้นผ่านศูนย์กลางได้ประมาณ 60 เมตร และหลุมเต็มไปด้วยน้ำแข็งถึง 80%

    ทั้งนี้ ทีมวิจัยยืนกรานว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่ต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่ออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น โดยปเลคานอฟเผยว่า พวกเขากำลังศึกษาภาพถ่ายดาวเทียมด้วย เพื่อหาเวลาที่แน่ชัดของการเกิดหลุมนี้ เบื้องต้นระบุได้ว่าหลุมดังกล่าวเพิ่งเกิดขึ้นได้ 1-2 ปี ไม่ได้นานเป็นสิบปี

    ส่วนจะเชื่อมโยงกับภาวะโลกร้อนหรือไม่ยังต้องวิจัยต่อเพื่อหาคำตอบในเรื่องนี้ โดยหน้าร้อนในปี 2012 และ 2013 นั้นเป็นปีที่ค่อนข้างร้อนในยามาล ซึ่งนั่นอาจส่งอิทธิพลให้เกิดหลุมดังกล่าว แต่ทีมวิจัยขอทดสอบและวิจัยก่อนที่จะระบุได้อย่างแน่ชัด

    "ทฤษฎีที่ดีที่สุดตอนนี้คือหลุมก่อตัวขึ้นจากแรงภายใน ไม่ใช่ ภายนอก ตอนนี้เราพูดได้แน่ๆ ว่าจากกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในมีการพ่นออกมาจากดินน้ำแข็ง (permafrost) ผมอยากจะเน้นว่า นั่นไม่ใช่การระเบิด แต่เป็นการพุ่งออก จึงไม่มีความร้อนปลดปล่อยออกมาอย่างที่เกิดขึ้น" ปเลคานอฟกล่าว


     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จริง-ไม่จริงใน “พิภพวานร” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 กรกฎาคม 2557

    [​IMG]
    @ภาพจาก บีบีซี

    ภาคต่อของภาพยนตร์ชุด “พิภพวานร” กลับมาโลดแล่นบนจอหนังอีกครั้ง ซึ่งนอกจากความสนุกและความน่าตื่นเต้นของหนังแนว “แอคชั่นดราม่า” เรื่องนี้แล้ว นักวานรวิทยายังมีแง่มุมทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย

    บีบีซีนิวส์นำเสนอมุมมองของ ฟรานซ์ เดอ วาล (Fran de Waal) นักวานรวิทยาชาวดัตช์ ประจำมหาวิทยาลัยเอโมรี (Emory University) สหรัฐฯ ผู้คลุกคลีอยู่ในวงการพฤติกรรมวิทยาของลิงมามากกว่า 40 ปี และเป็นผู้สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมของเหล่าไพรเมต (Primate) ที่คู่ขนานไปกับสังคมมนุษย์

    เดอ วาล บอกว่าเขาไม่ค่อยพึงพอใจเท่าไรนักที่กับวิธีที่เรามักนำเสนอเรื่องราวของ “ลิง” ซึ่งเป็นญาติของเราในภาพยนตร์ หากนำเสนออย่างให้เกียรติก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่พวกมันมักถูกทำให้เป็นตัวตลก ซึ่งไม่ค่อยจะเป็นผลดีในแง่การอนุรักษ์ หรือในแง่จริยธรรมเท่าไรนัก

    ภาพยนตร์เรื่อง รุ่งอรุณพิภพวานร (Dawn of the Planet of the Apes) ที่กำลังฉายอยู่ในโรงขณะนี้ เป็นภาพต่อของ กำเนิดพิภพวานร (Rise of the Planet of the Apes) ที่ฉายเมื่อปี 2011 ซึ่งเผยให้เห็นไพรเมตที่ได้รับการดัดแปลงพันธุกรรมกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นมาต่อต้านเจ้านายที่เป็นมนุษย์

    สำหรับภาพยนตร์ภาคใหม่นี้เป็นเรื่องราวต่อเนื่องของ “ซีซาร์” (Caesar) ชิมแปนซีที่ปราดเปรื่องซึ่งเป็นตัวการก่อกบฏ ควบคู่ไปกับเรื่องการคุกคามของไวรัสที่มนุษย์สร้างขึ้นในหมู่ประชาชนมนุษย์ ท่ามกลางซากปรักหักพังของอารยธรรมมนุษย์ที่ล่มสลาย ฝูงเอปก็ลุกขึ้นมาก่อสร้างสงครามต้านประชากร โฮโมซาเปียนส์ (Homo sapiens) ที่มีอยู่เพียงหยิบมือ เพื่อขึ้นเป็นผู้ครองพิภพ

    “ปกติผมไม่ค่อยชอบหนังบู๊เท่าไร แต่นี่เป็นหนังที่ผมรู้สึกสนใจจริงๆ เอปในเรื่องนี้เหมือนมนุษย์มากไป พวกมันเดิน 2 ขา คุยกัน และเช็ดน้ำตา แต่ในความเป็นจริงแล้วลิงก็ร้องไห้และกรีดร้องบ่อยเช่นกัน แต่มันไม่มีน้ำตาเหมือนพวกเรา” เดอ วาล กล่าว

    อย่างไรก็ดี พฤติกรรมอื่นๆ ในภาพยนตร์ก็มีในชีวิตจริง โดย เดอ วาลอธิบายว่า ชิมแปนซีนั้นดุร้ายและหวงอาณาเขต อีกทั้งยังร่วมก่อสงคราม และยังรู้จักใช้เครื่องไม้เครื่องมือ ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจใช้อาวุธได้ด้วย โดยเขาอ้างคำพูดของเพื่อนร่วมงานว่า หากให้ปืนชิมป์พวกมันก็จะใช้

    นอกจากนี้ ยังมีพฤติกรรมในภาพยนตร์ที่คล้ายคลึงชีวิตจริงอื่นๆ อีก เช่น ฉากที่ซีซาร์ปรองดองกับโกบา (Koba) ตัวละครลิงโบโนโบที่เคยต่อสู้กัน เผยถึงความสัมพันธ์ระหว่างลิงเอปที่จะโค้งคำนับต่อจ่าฝูงที่พวกมันยอมรับ ซึ่ง เดอ วาลอธิบายต่อว่า ในฝูงเอปจริงๆ เมื่อตัวผู้ที่เป็นหัวหน้าฝูงปรากฏตัวขึ้น ตัวอื่นๆ จะประจบประแจงและทำตัวให้เล็กลง ถึงอย่างนั้นก็มีความขัดแย้งระหว่างภาพยนตร์และความจริง ขณะที่ซีซาร์ถูกวางให้เป็นตัวละครที่สุขุม แต่โกบาซึ่งเป็นลิงโบโนโบกลับดุร้าย ซึ่งในความเป็นจริงลิงโบโนโบจะรักสงบมากกว่าชิมแปนซี

    นอกจากนี้ยังมีตัวละครเป็นอุรังอุตังที่ถูกวางบทบาทให้สนใจในการสอนและตำรา คล้ายกับภาพอุรังอุตังในภาพยนตร์ยุค 60 และยุค 70 ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นนักบวชในโลกของเอป รวมถึงในนวนิยายที่แต่งโดย ปิแอร์ บูลี (Pierre Boule)นักเขียนขาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นต้นแบบของภาพยนตร์เหล่านั้น แต่ในความเป็นจริงอุรังอุตังเพศผู้นั้นค่อนข้างรักสันโดษ แต่ในฐานะนักแสดงเป็นอุรังอุตังในภาพยนตร์ชุดพิภพวานรถึง 2 ภาค แคริน โคโนวัล (Karin Konoval) เธอเข้าใจดีว่าทำไมอุรังอุตังจึงถูกวางให้เป็นผู้เฒ่าเคร่งวิชา

    “พวกมันเป็นนักสังเกตที่สามารถประเมินทุกอย่างได้ พวกมันไม่เคยทำอะไรที่ไม่จำเป็น” แครินเผยแก่บีบีซีนิวส์ และบอกวาอุรังอุตังเท่าที่เธอเคยรู้จักนั้นไม่ทำสิ่งไร้สาระให้เห็น ทุกการตัดสินใจของพวกมันเจาะจงและชัดเจน

    เพื่อให้การแสดงบทมอริซ (Maurice) อุรังอุตังที่ซีซาร์ไว้วางใจได้อย่างสมบทบาท แครีนต้องศึกษาวิดีโอและหนังสือทุกอย่างที่เกี่ยวกับเอป เพราะการเคลื่อนไหวของอุรังอุรังเพศผู้นั้นจะมีลักษณะที่เฉพาะมาก และในฐานะนักแสดงหญิงที่หนักเพียง 120 ปอนด์ แต่ต้องรับบทเป็นอุรังอุตังเพศผู้ที่หนักถึง 250 ปอนด์ ทีมงานจึงต้องถ่วงน้ำหนักเพิ่มให้แขนต่อของเธอ

    นอกจากนี้แครีนยังเข้าไปเรียนรู้ชีวิตของอุรังอุตังอีก 5 ตัวในสวนสัตว์วูดแลนด์ปาร์ค (Woodland Park Zoo) ซึ่งให้ประสบการณ์ล้ำค่าที่เธอนำมาปรับใช้กับการแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ และเธอได้ชมการวาดภาพของ “ตวน” (Tuan) อุรังอุรังเพศผู้วัย 40 ปี เธอนั่งมองตวนวาดภาพลงบนผ้าแคนวาสอยู่เป็นชั่วโมง และตระหนักว่านั่นไม่ใช่การป้ายสีธรรมดา มันคือศิลปะจริงๆ ซึ่งทำให้เธอทึ่งมาก

    เดอ วาล ยังให้ความเห็นอีกว่า หากผู้สร้างภาพยนตร์อยากจะทำเรื่องแนวนี้อีก เขาแนะนำให้เพิ่มตัวละครเอปเพศเมียและลูกเอป ซึ่งจะให้ความรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของฝูงเอปจริงๆ โดยในป่านั้นกอริลลาและอุรังอุตังเพศผู้จะมีความร่วมมือกันน้อยอย่างที่เห็นในภาพยนตร์ แต่สำหรับชิมแปนซีไม่เป็นอย่างนั้น และเมื่อได้รับคำถามว่า จะเป็นเช่นไรหากมีเอปที่คิดจะยึดอำนาจมนุษย์เพื่อขึ้นครองโลก ซึ่งเขาออกตัวว่าไม่ “โลกสวย” และมองว่าหากเป็นชิมแปนซีเพศผู้ที่ปกติร้าย คงต่างจากภาพยนตร์ที่มีซีซาร์เป็นเหมือนเทพบุตรผู้รักสันติ แต่ถ้าเป็นลิงโบโนโบก็น่าจะมีความสงบสุขมากกว่า และไม่สงครามกับสัตว์อื่นเหมือนที่ลิงชิมแปนซีทำ

    นอกจากนี้ เดอ วาลยังชื่นชมการใช้เอฟเฟกต์เสมือนจริง เพราะเขาคือผู้ต่อต้านการใช้ไพรเมตจริงๆ ในการแสดงเพื่อโฆษณา ภาพยนตร์หรือโทรทัศน์ พร้อมแสดงความเห็นว่าการใช้แค่เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์อย่างเดียวสร้างพิภพวานรได้เหมือนจริง ก็พิสูจน์ได้ว่าอุตสาหกรรมบันเทิงไม่จำเป็นต้องใช้ไพรเมตรจริงๆ และหวังว่าการใช้ไพรเมตเพื่อการแสดงจะหมดไปอย่างสิ้นเชิง

    “ในภาพยนตร์พิภพวานรภาคแรกได้ตั้งคำถามเชิงปรัชญาว่า อะไรคือจริยธรรมในการขังมนุษย์ไว้ในกรง? ซึ่งคำถามนั้นได้ย้อนกลับมายังประเด็นที่เรากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ อะไรคือจริยธรรมในการขังเอปไว้ในกรง?” เดดอ วาล จุดประเด็น

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ดีเอ็นเอไขปริศนา “บิ๊กฟุต” ที่แท้แค่...
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 กรกฎาคม 2557 20:28 น.

    [​IMG]
    @ศ.ไบรอัน ไซค์ส กับตัวอย่างดีเอ็นเอของสัตว์จากหิมาลัยที่เตรียมทดสอบ (เอพี)

    ใครที่เชื่อเรื่อง บิ๊กฟุต, เยติ, มนุษย์ภูเขา หรือสิ่งมีชีวิตเทือกๆ นี้ อาจผิดหวังต่อข่าวนี้ เมื่อผลทดสอบดีเอ็นเอของตัวอย่างที่ระบุว่า คือชิ้นส่วนของมนุษย์ลึกลับดังกล่าวที่มีตำนานอยู่ทั่วโลก ระบุว่าตัวอย่างเหล่านั้น แท้จริงเป็นแค่ขนของหมี แพะ เลียงผา สมเสร็จ และบางตัวอย่างก็เป็นแค่...ขนคน

    เอเอฟพีรายงานผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ลงวารสารโพรซีดิงออฟเดอะรอยัลโซไซตี บี (Proceedings of the Royal Society B) ที่เผยผลทดสอบดีเอ็นเอจากตัวอย่างที่อ้างว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า บิ๊กฟุตหรือเยติ และสิ่งมีชีวิตลึกลับอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน โดยระบุชื่อตัวอย่างที่นำมาทดสอบว่า “ไพรเมตประหลาด” สำหรับแทนสิ่งมีชีวิตตามตำนานลึกลับ

    ตัวอย่างไพรเมตประหลาดที่นักวิทยาศาสตร์นำมาศึกษามี ทั้งตัวอย่างของสิ่งมีชีวิตที่อ้างว่าเป็นบิ๊กฟุตหรือเยติตามความเชื่อของชาวเมริกาเหนือ อัลมาตี (almasty) มนุษย์ลึกลับที่ชอบซ่อนตัวตามความเชื่อของชาวเอเชียกลาง รวมถึง โอรัง เปนเดะห์ (orang pendek) มนุษย์ลึกลับตามความเชื่อของชาวมาเลเซียที่ซ่อนตัวอยู่ตามป่าบนภูเขา

    มีทฤษฎีสนับสนุนการกล่าวอ้างว่าพบเห็นเยติรวมถึงสิ่งมีชีวิตลึกลับอื่นๆ ในเครือนั้นหลากหลายทฤษฎี ทั้งทฤษฎีว่านีแอนเดอร์ทัลมนุษย์อีกสายพันธุ์หนึ่งหรือตระกูลย่อยของมนุษย์สายพันธุ์อื่นที่ยังหลงเหลือ ไปจนถึงทฤษฎีเกี่ยวกับลิงเอปยักษ์สปีชีส์ “ไจแอนโทพิธิคัส” (Gigantopithecus)

    ในรายงานการวิจัยระบุว่า มีรายงานระบุการพบเห็นสิ่งมีชีวิตลึกลับนี้ด้วยตาตัวเอง หรือร่องรอยของรอยเท้า ซึ่งชี้ถึงการมีตัวตนของไพรเมทขนาดใหญ่ที่ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจน กระจายอยู่หลายพื้นที่ของโลก แต่อีกส่วนหนึ่งก็ไม่พบร่างหรือฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตดังกล่าวที่รับรองได้ว่าเป็นของจริง และวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ก็เลี่ยงที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้

    เมือ่ปี 2012 ทีมเสาะหาความจริงที่นำโดย ศ.ไบรอัน ไซค์ส (Bryan Sykes) จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (University of Oxford) ได้ยืนคำขอตัวอย่างของ “ไพรเมทประหลาด” จากพิพิธภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงนักสะสม และนักปีนเขาที่โด่งดัง นามว่า ไรน์โฮลด์ เมสเนอร์ (Reinhold Messner) โดยได้ตัวอย่างขนทั้งหมด 30 ตัวอย่างที่เอื้อต่อการหาลำดับยีน

    ในจำนวนนั้นมีตัวอย่างที่อ้างว่ามาจากเยติ 3 ตัวอย่าง แต่เมื่อทดสอบว่าตัวอย่างหนึ่งมาจากสัตว์ตระกูลแพะของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เรียกว่าเลียงผา หรือ คาปริคอร์นิส สุมาตราเอ็นซิส (Capricornis sumatraensis) ตามชื่อวิทยาศาสตร์ ส่วนอีก 2 ตัวอย่างนั้นมาจากเมืองลาดักห์ในอินเดียและภูฏาน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับธนาคารดีเอ็นเอแล้วพบความเชื่อมโยงกับหมีขั้วโลก หรือ เออร์ซัส มาริทิมัส (Ursus maritimus) โดยคล้ายว่าสิ่งมีชีวิตนั้นเป็นญาติห่างๆ กับหมีขั้วโลก หรือ เป็นหมีท้องถิ่นที่ผสมข้ามพันธุ์กับหมีสีน้ำตาล

    รายงานวิจัยระบุว่าหากหมีเหล่านี้กระจายอยู่ทั่วเทือกเขาหิมาลัย ก็สอดคล้องตามพื้นฐานทางชีววิทยาของตำนานเยติ โดยเฉพาะรายงานจากพรานล่าสัตว์ที่ยิงสัตว์คล้ายเยติได้ในลาดักห์ที่ระบุว่า พวกมันเข้าโจมตีมนุษย์อย่างเหี้ยมโหดมากกว่าหมีท้องถิ่นสปีชีส์อื่นๆ

    อีก 8 ตัวอย่างที่อ้างว่าคืออัลมาสตีนั้นก็กลายเป็นขนจากหมีสีน้ำตาล วัว ม้าและแรคคูน ส่วนอีกตัวอย่างที่เชื่อว่าเป็นตัวอย่างของโอรังเปนเดะห์นั้นถูกตรวจพบว่า เป็นขนของสมเสร็จมาเลเซีย หรือ ทาปิรัส อินดิคัส (Tapirus indicus) ขณะที่บิ๊กฟุต 18 ตัวอย่างนั้นแท้จริงเป็นขนจากหมีดำอเมริกัน แรคคูน วัว เม่น หมาป่า หมาป่าโคโยตี หรือ สุนัขธรรมดา และที่น่าผิดหวังที่สุดคือตัวอย่างบิ๊กฟุตที่อ้างว่าพบในเท็กซัส แต่กลับเป็นแค่ขนของมนุษย์ชาวยุโรป

    ทีมวิจัยสรุปการศึกษาครั้งนี้ว่าเป็นหลักฐานเพื่อหักล้างความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตลึกลับ และเทคนิคที่นำมาใช้นี้ก็เป็นการปิดฉากความเคลือบแคลงเกี่ยวกับการจำแนกสปีชีส์ของตัวอย่างไพรเมทลึกลับ และสร้างมาตรฐานอันเข้มงวดเพื่อใช้ในการตรวจสอบการกล่าวอ้างอื่นๆ ที่จะตามมาอีกในอนาคต



    เตรียมสืบค้นดีเอ็นเอล่าต้นตอ “เยติ”
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 พฤษภาคม 2555 14:04 น.

    [​IMG]
    @ผู้เชื่อในเรื่องเยติเชื่อว่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้คือลิงใหญ่ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว (บีบีซีนิวส์)

    ทีมวิจัยอังกฤษ-สวิส เตรียมใช้การทดสอบดีเอ็นเอ เพื่อสืบหาต้นตอซากชิ้นส่วนที่อ้างว่ามาจากตัวเยติหรือไอ้ตีนโต “บิกฟุต” โดยโครงการวิจัยนี้จะตรวจเส้นผม กระดูก และวัสดุอื่นๆ จากวัสดุอื่นๆ ที่เก็บรวบรวมโดยนักชีววิทยาสวิส รวมถึงจะเชื้อเชิญการส่งตัวอย่างจากที่อื่นด้วย

    ทั้งนี้ จากรายงานของบีบีซีนวิส์ ระบุว่า มีหลายวัฒนธรรมที่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตำนานสิ่งมีชีวิตคล้ายคนขนรุงรังที่ซ่อนตัวอยู่ตามป่าและพบเห็นได้ยาก แต่ยังไม่เคยมีชิ้นส่วนที่อ้างว่ามาจากสิ่งมีชีวิตดังกล่าวถูกส่งเข้าไปตรวจตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน

    ศ.ไบรอัน ไซค์ส (Prof. Bryan Sykes) จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (Oxford University) อังกฤษ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นงานท้าทายทางวิชาการกับการรับมือกับความหวาดกลัว และเป็นรายงานที่เต็มไปด้วยเรื่องคนประหลาดและการหลอกลวงอย่างสิ้นเชิง

    ทั้งนี้ ทีมนักวิจัยจะประยุกต์ใช้กระบวนการเป็นขั้นเป็นตอนที่ทำซ้ำได้ และใช้การทดสอบทางพันธุกรรมที่ล้ำหน้าล่าสุด โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งผลการวิจัยตีพิมพ์ยังวารสารวิทยาศาสตร์ทีมี่การตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ

    นักพันธุศาสตร์จากออกซ์ฟอร์ดผู้นี้ ยังให้ข้อมูลผ่านทางรอยเตอร์ ว่า มีการทดสอบดีเอ็นเอของสิ่งที่อ้างว่าเป็นตัวเยติ แต่มาถึงปัจจุบันการทดสอบดีเอ็นเอ โดยเฉพาะการทดสอบเส้นขนนั้นได้รับการพัฒนาไปมาก อันเป็นผลจากความก้าวหน้าของนิติวิทยาศาสตร์

    ศ.ไซค์ส ซึ่งเป็นผู้นำของโครงการที่ร่วมมือกับ ไมเคิล ซาร์โทริ (Michel Sartori) ผู้อำนวยการจากพิพิธภัณฑ์สัตววิทยาโลซานน์ (Lausanne Museum of Zoology) กล่าวว่า การทดสอบปัจจุบันนั้นสามารถให้ผลที่ถูกต้องแม้ทดสอบจากชิ้นส่วนของความยาวเส้นผม

    ย้อนกลับไปเมื่อปี 1951 คณะสำรวจเทือกเขาเอเวอเรสต์ได้เดินทางกลับมาพร้อมภาพถ่ายของรอยเท้าขนาดยักษ์บนพื้นหิมะ จุดกระแสให้เกิดการใคร่ครวญเรื่องมนุษย์ยักษ์แห่งหิมาลัย ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการวิทยาศาสตร์ และนับจากนั้นก็มีรายงานพยานพบเห็นสิ่งมีชีวิตคล้ายๆ กันอีกจำนวนมาก จากหลายพื้นที่ทั่วมุมโลก

    มนุษย์ประหลาดดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า “เยติ” (yeti) หรือ มิกอย (migoi) ในแถบเทือกเขาหิมาลัย “บิกฟุต” (bigfoot) หรือ “แซสควอทช์” (sasquatch) ในแถบอเมริกาเหนือ “อัลมาสตี” (almasty) ในเทือกเขาเคาคาซัส และ “โอรังเปนเดะก์” (orang pendek) ในเกาะสุมาตรา และอื่นๆ อีกมาก

    ตัวอย่างที่จะนำมาศึกษานั้นเป็นสิ่งที่เก็บสะสมไว้ในพิพิธภัณฑ์โลซานน์ ซึ่งรวบรวมโดย เบอรืนาร์ด ฮูเวลมันส์ (Bernard Heuvelmans) นักชีววิทยาสวิส ผู้ทำการสืบสวนรายงานการพบเห็นเยติ ตั้งแต่ปี 1950 ถึงปี 2001 ที่เขาเสียชีวิต ส่วนสถาบันอื่น หรือหน่วยงานเอกชนที่มีชิ้นส่วนของเยติก็จะได้รับการร้องขอจากทีมวิจัยให้ส่งรายละเอียดมาให้

    นอกเหนือจากการไขปริศนาเรื่องเยติแล้ว ศ.ไซค์ส คาดหวังว่า โครงการนี้จะเพิ่มเติมองค์ความรู้เรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์สปีชีส์ต่างๆ ในอดีต ซึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้วมีความชัดเจนในเรื่องการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างมนุษย์โฮโมซาเปียน (Homo sapiens) และนีแอนเดอทัล (Neanderthal) โดยประชากรในยุโรปแต่ละคนมีดีเอ็นเอของนีแอนเดอทัลประมาณ 2-4%

    ส่วนผู้ที่หลงใหลในเรื่องมนุษย์ที่ยังไม่ได้รับการอธิบายอย่างชัดเจนนั้น กล่าวว่า เยติ และโอรังเปนเดะก์ อาจเป็นกลุ่มที่เหลือรอดของ “โฮโมอิเร็กตัส” (Homo erectus) หรือ โฮโมฟลอเรเซียนซิส (Homo floresiensis) ซึ่งในอินโดนีเซีย เรียกว่า “ฮอบบิท” (Hobbit) หรือไจแอนโทพิเธคัส (Gigantopithecus) ลิงใหญ่ไม่มีหางที่ครั้งหนึ่งเคยอาศัยอยู่ในป่าของเอเชียตะวันออก ก็เป็นได้ และจากแนวคิดนี้จึงเกิดศาสตร์ที่เรียกว่า “คริปโตซูโลจี” (cryptozoology) เพื่ออธิบายเรื่องการค้นหาสัตว์ประหลาดเหล่านี้

    ขณะเดียวกัน ก็มีคนจำนวนมากที่กังขาต่อตำนานเหล่านี้และตระหนักว่าศาสตร์ดังกล่าวไม่ควรค่าพอต่อการศึกษาทางวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง และเมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงโอกาสของความสำเร็จของโครงการนั้น ศ.ไซค์ส กล่าวว่า เขาเองก็ไม่ทราบแน่อยู่แล้วว่าจะสำเร็จหรือไม่ แต่หากไม่ทดลองเราก็จะไม่มีทางรู้

    http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9550000063338
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รู้ไหมว่า...จิงโจ้ใช้หางเป็นขาที่ 5 โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 กรกฎาคม 2557 06:45 น.

    [​IMG]
    @จิงโจ้ที่ได้รับการฝึกให้เดินผ่านทางเดินที่ติดเซนเซอร์วัดแรง

    นอกจากมีกระเป๋าหน้าท้องเป็นลักษณะพิเศษแล้วจิงโจ้ยังมีความพิเศษอีก เมื่อนักวิทยาศาสตร์พบว่า สัตว์ประจำถิ่นของออสเตรเลียนี้ใช้หางทำหน้าที่เสมือนขาที่ 5 อันทรงพลัง

    <iframe width="420" height="315" src="//www.youtube.com/embed/_uEF6wnhW3g" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    งานวิจัยดังกล่าวเป็นความร่วมมือของนักวิจัยจากหลายสถาบัน ได้แก่ มหาวิทยาลัยโคโลราโดในโบลเดอร์ (University of Colorado Boulder) สหรัฐฯ, มหาวิทยาลัยไซมอนฟราเซอร์ (Simon Fraser University in Burnaby) ในเบอร์นาบี แคนาดา, และมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ (University of New South Wales) ในซิดนีย์ ออสเตรเลีย โดยผลการศึกษาในจิงโจ้แดง นักวิจัยพบว่า พวกมันใช้หางช่วยในการผลักตัวไปข้างหน้าเสมือนเป็นขาอีกข้าง

    “เราพบว่าเมื่อจิงโจ้เดิน พวกมันใช้หางเป็นเหมือนข้างหนึ่ง พวกมันใช้หางช่วยผยุง ช่วยผลักและสร้างกำลังในการเคลื่อนไหว ในความจริงพวกมันแสดงการทำงานเชิงกลศาสตร์ด้วยหางเหมือนกับที่เราใช้ขาของเรา” ผศ.แม็กซ์เวลล์ ดันแลน (Maxwell Donelan) จากมหาวิทยาลัยไซมอนฟราเซอร์ หนึ่งในทีมวิจัยระบุ

    ด้าน ผศ.ดร.รอดเจอร์ คราม (Rodger Kram) จากมหาวิทยาลัยโคโลราโดในโบลเดอร์ เสริมว่า พวกเขาต้องการทราบว่า จิงโจ้ใช้หางเพื่อวางท่าในการเดิน หรือเพื่อใช้เป็นแกนค้ำยัน หรือ ใช้นั่งพัก ทว่าพวกเขาค้นพบสิ่งที่ไม่คาดคิดคือหางจิงโจ้สร้างพลังอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นที่พวกเขาค่อนข้างประหลาดใจ

    ข้อมูลประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยโคโลราโดในโบลเดอร์ ระบุว่าโจ้แดงนั้นเป็นจิงโจ้สปีชีส์ที่ใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย โดยขณะลิมหญ้าพวกมันก็เคลื่อนขาหลังไปข้างหน้าพร้อมกัน ในขณะที่ขาหน้าและหางจะช่วยพยุงร่างกายพวกมันไว้ เมื่อเปรียบเทียบกับการเคลื่อนไหวของคน เท้าหลังของเราเปรียบเสมือนคันถีบ ขณะที่เท้าหน้าที่หน้าที่เบรค ซึ่ง ดร.ครามกล่าวว่าไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าใด เขายังเปรียบเทียบหางจิงโจ้กับผู้เล่นสเก็ตบอร์ดที่ใช้เท้าอีกข้างเตะพื้นเพื่อสร้างแรงส่ง ซึ่งหางจิงโจ้ก็ใช้ในการกดพื้นหลังเพื่อเพิ่มแรงส่งไปข้างหน้าเช่นกัน

    ดันแลนซึ่งเป็นอดีตลูกศิษย์ของ ดร.ครามกล่าวอีกว่า ไม่มีสัตว์อื่นนอกจากจิงโจ้ที่ใช้หางทำงานเหมือนขา โดยหางของพวกมันมีกระดูกถึง 20 ชิ้น และทำหน้าที่เหมือนกับเท้า น่องและต้นขาของคนเรา และหางของจิงโจ้ยังมีพลัง ยืดหยุ่น และสรางสมดุลระหว่างการกระโดด และเสริมสมดุลเมื่อจิงโจ้ตัวผู้ต่อสู้กันเพือแย่งตัวเมียผสมพันธุ์ โดยการดึงกันโดยใช้หน้าอกและไหล่ประชิดกัน ก่อนตั้งหลังตรงแล้วเตะกันที่ท้อง

    ในการศึกษาครั้งนี้ทีมวิจัยได้บันทึกภาพวิดีโอการเดินของจิงโจ้แดง 5 ตัว ภายในห้องปฏิบัติการที่ซิดนีย์ โดยจิงโจ้เหล่านั้นได้รับการฝึกมาอย่างดีให้เดินตรงไปข้างหน้าบนแถบที่ใช้วัดแรง ซึ่งมีเซนเซอร์ที่ใช้วัดแรงกด แรงที่ผลักไปข้างหน้าและแรงที่ผลักไปข้างหลัง ทั้งจากขาและหางของจิงโจ้ จิงโจ้ที่เดินตรงไปข้างหน้าจะได้รับรางวัลเป็นขนมหวาน

    นอกจากจิงโจ้แล้วตลอดชีวิตการทำงานของคราม เขายังได้ศึกษาการเดินของสัตว์อื่นๆ อาทิ เต่า ช้าง ลามะ นกกระจอกเทศไปจนถึงแมลงปีกแข็ง ส่วนงานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ลงวารสารไบโอโลจีเลตเตอร์ส และได้รับทุนสนับสนุนจากสภาวิจัยวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมของแคนาดา, รวมถึงสภาวิจัยออสเตรเลีย และทุนสมทบในความร่วมมือวิจัยระดับนานาชาติจากสมาคมชีวกลศาสตร์นานาชาติ รวมถึงวารสารวิชาการเจอร์นัลออฟเอกซ์เพอริเมนทัลไบโอโลจี

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2014
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทำไมตัวละครซีรีส์ดัง...พูดได้แค่ “โฮดอร์” ?
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 มิถุนายน 2557 06:27 น.

    [​IMG]
    โฮดอร์ ลูกยักษ์ใจดีในซีรีส์ดัง Game of Thrones ที่เปล่งเสียงได้แค่ "โฮดอร์" แต่สื่อในหลายความหมาย

    หลายคนอาจไม่รู้จัก “โฮดอร์” ...แต่สำหรับแฟนๆ ซีรีส์มหาศึกชิงบัลลิงก์ “เกมออฟโธรนส์” แล้ว ลูกยักษ์ใจดีตนนี้เป็นหนึ่งในตัวละครที่หลายคนหลงใหลและเอ็นดู ด้วยลักษณะยักษ์ร่างใหญ่แต่อ่อนโยนต่อเด็กและคนทั่วไป ทว่ากลับสื่อสารได้ด้วยคำๆ เดียวคือชื่อตัวเอง

    <iframe width="560" height="315" src="//www.youtube.com/embed/0LUIRDBM2yA" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    ดร.อินเดร วิสกอนทาส นักประสาทวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในซานฟรานซิสโก สหรัฐฯ เขียนบทความแสดงความเห็นผ่านเว็บไซต์มาเธอร์โจน์ เพื่ออธิบายถึงพฤติกรรมของ “โฮดอร์” (Hodor) ลูกยักษ์ในซีรีส์มหาศึกชิงบัลลังก์ “เกมออฟโธรนส์” (Game of Thrones) ที่พูดได้เพียงคำว่า “โฮดอร์” ในหลากหลายอารมณ์และความหมาย

    ดร.วิสกอนทาส สันนิษฐานตามองค์ความรู้ทางด้านประสาทวิทยาศาสตร์ว่า พูดสื่อสารได้เพียงคำเดียวนั้น คล้ายคลึงกับอาการบกพร่องทางภาษาเนื่องจากการบาดเจ้บทางสมองที่เรียกว่า “โบรกาอะเฟเซีย” (Broca's aphasia) ชื่ออาการที่ตั้งตามแพทย์ทางประสาทชาวฝรั่งเศสชื่อ พอล โบรกา ที่มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 19

    ผู้ป่วยคนหนึ่งของหมอโบรกาซึ่งได้รับบาดเจ็บที่สมองซีกซ้ายด้านหน้า พูดได้เพียงประโยคเดียวคือคำว่า “แทน” (Tan) แต่คำดังกล่าวก็ไม่ใช่ชื่อของผู้ป่วยคนดังกล่าว ซึ่งเป็นลักษณะที่คล้ายคลึงกับโฮดอร์ ที่พูดคำเดียวเพื่อสื่อสารในหลายๆ ความหมาย แต่ ดร.วิสกอนทาส ให้ความเห็นว่า จอร์จ เจเจ มาร์ติน ผู้แต่งนิยายต้นกำเนิดซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้อธิบายให้พอสรุปได้ว่า ลูกยักษ์โฮดอร์นั้นเคยได้รับบาดเจ็บทางสมองในวัยเด็กหรือไม่

    สิ่งที่นักประสาทวิทยาศาสตร์ได้รู้จากกรณีของแทนที่ใส่ความหมายให้แก่คำๆ เดียวในหลายความหมายนั้น อย่างแรกคือ ความเข้าใจในภาษาและการสร้างภาษานั้นถูกควบคุมด้วยสมองหลายส่วน ซึ่งแม้บางส่วนจะถูกทำลายไป แต่ก็ไม่กระทบต่อความความสามารถอื่นๆ และการพูดนั้นก็ซับซ้อนมากว่าแค่การเรียงร้อยคำเข้าด้วยกัน รวมถึงข้อมูลที่เราได้จากการพูดนั้นก็ไม่ได้ขึ้นกับคำศัพท์นั้นๆ

    ******************

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทัพฟ้ามะกันจ่อส่ง 2 ดาวเทียมตรวจการณ์ หมายแกะรอยดาวเทียมชาติอื่น - เฝ้าระวัง “ภัยทางอวกาศ” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 กรกฎาคม 2557 13:51 น.

    [​IMG]
    @(ภาพจากแฟ้ม) จรวดแอนทาเรส ของบริษัทออร์บิทัล ไซส์ คอร์ป ขณะเตรียมนำส่งยานขนเบียง "ซิกนัส" ไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ (ไอเอสเอส) เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม

    เอเอฟพี - เหล่าเจ้าหน้าที่อเมริกันระบุว่า กองทัพอากาศสหรัฐฯ จะส่งดาวเทียม 2 ดวงใหม่ขึ้นสู่วงโคจรวันนี้ (23 ก.ค.) เพื่อติดตามแกะรอยดาวเทียมของชาติอื่นๆ และรับมือกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นกับยานอวกาศของแดนอินทรี

    [​IMG]
    @(ภาพจากแฟ้ม) จรวด "ฟอลคอน 9" ของบริษัทสเปซเอ็กซ์ซึ่งบรรทุกอุปกรณ์สำหรับดาวเทียมสื่อสาร ออร์บคอมม์ ถูกส่งขึ้นจากศูนย์อวกาศ ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ บนแหลมคานาเวอรัล เมื่อวันที่ 14 กรกฏาคม ที่ผ่านมา
    ดาวเทียม 2 ดวงนี้มีกำหนดถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรระดับสูงเป็นครั้งแรก โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่ถูกเก็บเป็นความลับทางราชการอย่างเข้มงวด ก่อนจะถูกเปิดเผยเมื่อไม่กี่เดือนก่อน

    ดาวเทียมทั้ง 2 ดวงจะถูกส่งขึ้นสู่วงโคจร โดยจรวด “เดลตา 4” จากศูนย์อวกาศของกองทัพอากาศ บนแหลมคานาเวอรัล มลรัฐฟลอริดา เพื่อขึ้นไปยังวงโคจรโลกสมวาร (geosynchronous belt) ซึ่งอยู่สูงขึ้นไปจากโลก 35,900 กิโลเมตร ซึ่งเป็นจุดที่มีดาวเทียมอเมริกันดวงสำคัญๆ โคจรอยู่

    พล.อ. วิลเลียม เชลตัน ผู้บังคับการการกองบัญชาการอวกาศกองทัพอากาศสหรัฐฯ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “ดาวเทียม 2 ดวงซึ่งมีหน้าที่สอดส่องพื้นที่โดยรอบ จะช่วยปกป้องทรัพย์สินอันมีค่าของเราในวงโคจรค้างฟ้า (วงโคจรที่ในระดับสูง ซึ่งวัตถุที่ถูกส่งขึ้นไปจะปรากฏนิ่งในตำแหน่งเดิมตลอดเวลา) โดยดาวเทียมคู่นี้จะเฝ้าสังเกตเทคโนโลยีที่ผลิตขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ร้าย ที่ชาติอื่นๆ อาจพยายามส่งขึ้นสู่ระบบวงโคจรที่สำคัญอย่างวงโคจรค้างฟ้า”

    เชลตันล่าวว่า ดาวเทียมเหล่านี้จะช่วยให้กองทัพสหรัฐฯ เห็นภาพการจราจรดาวเทียมในวงโคจรโลกสมวารได้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น ขณะที่ดาวเทียมคู่ใหม่จะเข้าใกล้วงโคจรที่อยู่ในระดับสูงขึ้นไป ยิ่งกว่าเดิม

    ในปัจจุบัน ภารกิจเฝ้าระวังทางอวกาศกระทำจากพื้นโลก หรือจุดที่อยู่ต่ำกว่าวงโคจรโลกสมวาร แต่อยู่สูงกว่าพื้นโลกขึ้นไปเพียงไม่กี่ร้อยไมล์

    โครงการดังกล่าวซึ่งมีชื่อว่า “โครงการเฝ้าระวังสถานการณ์ในวงโคจรโลกสมวาร” (Geosynchronous Space Situational Awareness Program หรือ GSSAP) ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณชนครั้งแรกเมือเดือนมีนาคม

    เชลตันกล่าวว่า ตอนนี้กองทัพสหรัฐฯ พร้อมที่จะชี้แจงรายละเอียดของโครงการบางส่วน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ต้องการส่งสัญญาณให้ประเทศต่างๆ ที่วางแผนบ่อนทำลาย หรือสร้างความเสียหายให้แก่เครือข่ายดาวเทียมอเมริกันได้รู้ตัว”

    นายพลผู้นี้กล่าวว่า การเปิดเผยโครงการนี้จะเป็นการ “ป้องปราม” และเตือนศัตรูว่า “คุณอาจลงมือได้ แต่ปกปิดไม่สำเร็จ”

    [​IMG]
    @พล.อ. วิลเลียม เชลตัน ผู้บังคับการการกองบัญชาการอวกาศกองทัพอากาศสหรัฐฯ

    บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโส และเจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐฯ ต่างเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า จีนและชาติอื่นๆ อาจส่งอาวุธทางอวกาศ และอาวุธต่อต้านดาวเทียม ขึ้นไปเพื่อสร้างความเสียหายให้แก่ระบบสื่อสารที่สนับสนุนปฏิบัติการของกองทัพสหรัฐฯ

    เชลตันระบุว่า ดาวเทียมดวงใหม่จะช่วยยกระดับศักยภาพ ในการตรวจจับศัตรูของกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อดาวเทียมเตือนภัย และดาวเทียมที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ในวงโคจรระดับสูง

    อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่า สหรัฐฯ ต้องคิดค้นดาวเทียมในอนาคต ที่จะสามารถทนต่อสภาพการณ์ที่อันตราย และสร้างความมั่นใจว่า ยานอวกาศจะต้องมีกลไกเตือนภัยขีปนาวุธ และระบบสื่อสารที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น

    เชลตันกล่าวว่า “เราพบภัยคุกคามทางอวกาศมากมายมหาศาลในระดับความสูงใกล้กับวงโคจรโลกสมวาร พร้อมทั้งกล่าวว่า อวกาศไม่ใช่ “ที่หลบภัยอันสงบสุข” อีกต่อไป

    เชลตันกล่าวว่า สหรัฐฯ มีสิทธิดำเนินยุทธวิธีป้องกันภัยคุกคาม รอบประเทศ และเฝ้าระวังภัยที่อาจส่งผลร้ายต่อดาวเทียม อย่างปลอดภัย”

    อย่างไรก็ดี เป็นที่คาดหมายว่า ดาวเทียม GSSAP คู่ใหม่จะสามารถรักษา “ระยะห่าง” ที่ปลอดภัยในการเก็บภาพวัตถุต้องสงสัยหรือเป็นภัยอันตราย

    บริษัทผู้รับเหมา ที่เป็นหัวเรือใหญ่ของโครงการนี้คือ “ออร์บิทัล ไซส์ คอร์ป” (Orbital Sciences Corp) แต่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ยังต้องเปิดเผยรายละเอียดของงบโครงการต่อไป

    [​IMG]
    @ศูนย์อวกาศของกองทัพอากาศ บนแหลมคานาเวอรัล มลรัฐฟลอริดา

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ในลิเบีย “ฆ่าตัดคอ” คนงานฟิลิปปินส์ อ้าง สมควรตายเพราะ “มิใช่ชาวมุสลิม” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 กรกฎาคม 2557 12:33 น.

    [​IMG]

    เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-กลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ออกโรงประณามกลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ในลิเบีย หลังก่อเหตุลักพาตัวคนงานชาวฟิลิปปินส์ ก่อนลงมือ “ฆ่าตัดคอ” โดยให้เหตุผล ผู้ตาย “มิใช่ชาวมุสลิม” จึงไม่สมควรมีชีวิตอยู่

    กลุ่มเคลื่อนไหวที่ใช้ชื่อว่า “เครือข่ายข้อมูลสิทธิมนุษยชนอาหรับ” หรือ “เอเอ็นเอชอาร์ไอ” ออกคำแถลงในวันพุธ (23) ประณามการกระทำอันป่าเถื่อนของกลุ่มนักรบอิสลามิสต์ในลิเบีย หลังลักพาตัวพลเมืองฟิลิปปินส์รายหนึ่งไปกักขังเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ก่อนจะฆ่าตัดศีรษะโดยระบุ หนุ่มเคราะห์ร้ายจากแดนตากาล็อกสมควรตายเพราะมิใช่ชาวมุสลิม

    รายงานข่าวระบุว่า กลุ่มติดอาวุธของพวกมุสลิมนิกายสุหนี่หัวรุนแรงในลิเบียได้ก่อเหตุลักพาตัวคนงานต่างชาติรวม 3 คนไปเมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยคนงานทั้งสามเป็นชาวลิเบีย ปากีสถานและฟิลิปปินส์ ซึ่งถูกลักพาตัวไปจากรถยนต์คันหนึ่ง โดยในตอนแรกทางกลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรงดังกล่าวได้ติดต่อไปยังบริษัทที่แรงงานต่างชาติทั้ง 3 รายทำงานอยู่เพื่อเรียกค่าไถ่หัวละ 160,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.08 ล้านบาท)

    อย่างไรก็ดีในอีก 5 วันต่อมา ทางกลุ่มหัวรุนแรงได้ติดต่อกลับมายังบริษัทอีกครั้งเพื่อแจ้งให้ทางบริษัทส่งเจ้าหน้าที่ไปยังโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเพื่อรับศพของแรงงานชาวฟิลิปปินส์ซึ่งถูกฆ่าตัดศีรษะในระหว่างขั้นตอนการเจรจาเรียกค่าไถ่ โดยทางกลุ่มฯอ้างว่า จำเป็นต้องสังหารแรงงานหนุ่มเคราะห์ร้ายชาวฟิลิปปินส์ซึ่งไม่มีการเปิดเผยชื่อรายนี้ เนื่องจากเขามิได้เป็นชาวมุสลิม จึงไม่สมควรได้มีชีวิตอยู่ต่อไป สวนทางกับคนงานอีก 2 คนที่ถูกลักพาตัวไปพร้อมกันซึ่งรอดชีวิตเพราะเป็นชาวมุสลิม

    คำแถลงของกลุ่มเคลื่อนไหว “เอเอ็นเอชอาร์ไอ” ระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการก่ออาชญากรรมที่ป่าเถื่อนโหดร้าย พร้อมระบุว่า การมีเสรีภาพทางความเชื่อและศาสนาซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ไม่ควรถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความรุนแรง และขอให้ทางการลิเบียนำตัวผู้กระทำความผิดมารับโทษตามกฎหมาย

    ล่าสุด กระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ออกคำแถลงที่กรุงมะนิลา เรียกร้องให้พลเมืองชาวฟิลิปปินส์กว่า 13,000 คนที่อาศัยอยู่ในลิเบีย เร่งเดินทางออกจากลิเบียเป็นการด่วน เพื่อ “ความปลอดภัย” โดยขอให้เดินทางออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านของลิเบียอย่างอียิปต์และตูนิเซีย ก่อนที่ทางกระทรวงฯจะประสานให้ความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ ซึ่งรวมถึงการรับตัวกลับประเทศ ต่อไป

    [​IMG]

    [​IMG]
    @โฆษกกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ออกคำแถลงที่กรุงมะนิลา เรียกร้องให้พลเมืองชาวฟิลิปปินส์กว่า 13,000 คนที่อาศัยอยู่ในลิเบีย เร่งเดินทางออกจากลิเบียเป็นการด่วน

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทางการมาเลย์เผย “กล่องดำ MH17” จะถูกส่งไปวิเคราะห์ที่ห้องแล็บในอังกฤษ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 กรกฎาคม 2557 12:14 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี - กล่องดำที่กู้มาจากเครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส์ เที่ยวบิน MH17 ที่ตกในยูเครนตะวันออก จะถูกนำส่งให้กับทีมสืบสวนด้านการบินในอังกฤษเพื่อทำการวิเคราะห์ ทางการมาเลเซียเผย

    การตัดสินใจดังกล่าวของทีมสืบสวนอุบัติภัยครั้งนี้ที่นำโดยเนเธอร์แลนด์มีขึ้น หลังจาก กลุ่มกบฏที่ควบคุมพื้นที่ตกของเครื่องบินส่งมอบกล่องดำให้กับคณะเจ้าหน้าที่มาเลเซียเมื่อวานนี้ (22) ภายหลังเผชิญเสียงทักท้วงอย่างรุนแรงจากนานาชาติ

    รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม เลียว เตียงไล ของแดนเสือเหลือง กล่าวในถ้อยแถลงเมื่อวานนี้ (22) ว่า มันเป็นขั้นตอนตามปกติที่จะส่งกล่องดำนี้ ซึ่งบันทึกกิจกรรมในห้องนักบินและข้อมูลการบิน ไปให้กับห้องวิจัยที่อยู่ใกล้ที่สุดที่องค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ให้การรับรองแล้ว

    “ทีมสืบสวนนานาชาติที่นำโดยเนเธอร์แลนด์ได้ตัดสินใจแล้วว่า จะส่งกล่องดำเหล่านี้ต่อไปยังแผนกสืบสวนอุบัติเหตุทางอากาศของอังกฤษ เพื่อทำการวิเคราะห์ทางนิติวิทยาศาสตร์” เขากล่าว

    เลียว ระบุเสริมว่า กล่องดำ 2 ใบนี้จะถูกนำขึ้นเครื่องไปยังเมืองฟาร์นโบโร โดยมีเจ้าหน้าที่มาเลเซียและสมาชิกของทีมสืบสวนคนอื่นๆ ร่วมทางไปด้วย

    เมื่อวันพฤหัสบดี (17) ผู้โดยสารเที่ยวบิน MH17 ทั้ง 298 คน ซึ่งเป็นชาวเนเธอแลนด์ 193 คน เสียชีวิตด้วยกันหมดเมื่อเครื่องบินถูกยิงในภาคตะวันออกของยูเครนที่มีวิกฤติการณ์ความรุนแรงอยู่ ทั้งนี้ หลายฝ่ายเชื่อกันว่าเครื่องบินถูกขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศยิงตก

    เมื่อช่วงค่ำวันจันทร์ (21) ทางการมาเลเซียได้ประกาศให้ทราบถึงข้อตกลงผ่าทางตันที่ทำกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนจากสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์ ภายหลังการเจรจากันโดยตรง

    นอกจากเรื่องการส่งมอบกล่องดำแล้ว ข้อตกลงนี้ยังระบุว่า ศพผู้เสียชีวิตจะถูกส่งไปยังเนเธอร์แลนด์เพื่อทำการวิเคราะห์ ก่อนที่จะถูกนำกลับบ้าน พร้อมจัดเตรียมเส้นทางที่ปลอดภัยเข้าสู่พื้นที่ควบคุมของฝ่ายกบฏ

    ปัจจุบัน กลุ่มกบฏฝักใฝ่รัสเซียตกอยู่ในฐานะผู้ต้องหาที่ถูกสหรัฐฯ และอีกบางประเทศ กล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อวินาศกรรมเครื่องบิน ด้วยขีปนาวุธที่รัสเซียจัดหามาให้

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รายงานสถานการณ์รอบโลก/นอกโลก

    ชมสารคดีชุดพิเศษย้อนหลังเรื่อง มนุษย์ต่างดาวบนดวงจันทร์ : กับความจริงที่ถูกเปิดเผย

    [​IMG]

    สำหรับใครที่พลาดชมสารคดีชุดพิเศษเรื่องนี้ สามารถดูย้อนหลังได้แล้วนะครับ เห็นมีอยู่สองตอน 2 ชั่วโมงจบครับ พากย์:อังกฤษ ยังไม่มีไทยครับ (เครดิต :คุณหมู อวยชัย กุลพงษ์)

    ลิงค์ชมสารคดี

    http://www.ufo.in.th/2014/07/blog-post_22.html

    Aliens On The Moon.The Truth Exposed 2014. Part 1-2

    สำหรับใครที่พลาดชมสารคดีชุดพิเศษเรื่องนี้ สามารถดูย้อนหลังได้แล้วนะครับ เห็นมีอยู่สองตอน 2 ชั่วโมงจบครับ พากย์:อังกฤษ ยังไม่มีไทยครับ (เครดิต :คุณหมู อวยชัย กุลพงษ์)

    Part 1
    Aliens On The Moon.The Truth Exposed 2014. Part 1
    http://www.disclose.tv/swf/player.swf?config=http://www.disclose.tv/videos/config/xxx/180660.js

    Part 2
    Aliens On The Moon.The Truth Exposed 2014. Part 2
    http://www.disclose.tv/swf/player.swf?config=http://www.disclose.tv/vide
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผู้พเนจร จากฟากฟ้า

    [​IMG]

    เก็บตกเล็กน้อยเกี่ยวกับ MH17 ครับ
    พอดีรู้สึกว่ามันแปลกน่ะครับ ที่เพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังจากการประชุม BRICS ที่กำลังเดินหน้าเพื่อออนไลน์ เครื่องบินลำนี้ก็ถูกยิงตก และทุกคนก็จะชี้มือไปที่ปูติน ไม่ว่าจะเป็น จอห์น แมคเคน ,ฮิลลารี่ คลินตัน รวมทั้งสำนักข่าวกระแสหลักหลายแห่ง ต่างก็ออกมากล่าวหาว่ารัสเซียน่าจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ทั้งๆที่ยังไม่มีการสืบค้นหาหลักฐานที่เป็นรายละเอียดชัดเจนเลยด้วยซ้ำ แถมยังมีเสียงบทสนทนาที่อ้างว่าดักฟังได้จากฝ่ายกบฎที่รัสเซียหนุนหลังอยู่ ซึ่งถูกปล่อยออกมาเร็วมาก ยังไม่ทันจะข้ามวันเลย ซึ่งดูไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลเลยนะครับ ...
    .
    เราก็ทราบกันอยู่ว่าฝ่ายใดที่ได้ประโยขน์จากเรื่องนี้...ขณะที่รัสเซียเองก็กำลังต้องการความร่วมมือจากทั่วโลก และเค้าก็ไม่ได้มีผลประโยขน์ใดๆจากเหตุการณ์นี้เลย..ซึ่งไม่น่าจะมีส่วนรู้เห็นโดยตรงกับเรื่องนี้เลยนะครับ

    มีหลายครั้งที่ฝ่ายมืดสร้างสถานการณ์ขึ้นมา ซึ่งโอบาม่าเองก็ไม่ทราบเรื่องมาก่อน (แต่เค้าก็ได้กลายเป็นตัวแทนของเมกาสำหรับทั่วโลกไปแล้ว) วันที่เครื่องบิน MH 17 ถูกยิงตกนั้น "ปูติน" ก็โทรศัพท์ไปหา"โอบาม่า"ทันที่ ว่าเค้าไม่ได้เป็นคนทำ....(มีความรู้สึกนะครับว่า สองคนนี้เค้ารู้กันอยู่...)...เด๊๋ยวต้องดูกันต่อว่าเค้าจะเปิดเผยและจับกุมผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริงในเรื่องนี้กันอย่างไร...? เพราะการเปิดเผยความจริงเหล่านี้ มันกำลังใกล้จะเกิดขึ้นแล้ว......

    เหตุการณ์เหล่านี้ถูกเรียกกันว่า "ธงเท็จ" ครับ (false flag) ซึ่งการสมคบดิดแบบนี้ ในอดีตก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง จนมาถึงเหตุการณ์ล่าสุดนี้ แน่นอนว่าฝ่ายมืด กำลังพยายามทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย หรือใส่ร้ายใครก็ตามที่ขวางทางเค้าอยู่ ด้วยการปล่อยข่าวผ่านสื่อที่เค้าควบคุม และพวกเขาก็กำลังหาเหตุผลต่างๆในการก่อสงครามให้ขยายวงออกไป เพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์ของเค้าเอาไว้ให้ถึงที่สุด (เพราะมันกำลังจะไปไม่รอดแล้ว) เราทำได้ก็เพียงแต่เชื่อมต่อจุดต่างๆเข้าด้วยกันคร่าวๆจากข้อมูลที่มีครับ

    ขณะนี้ประธานาธิบดีปูติน ก็กำลังออกเดินสายทัวร์ประเทศในแถบละตินอเมริกาหกวัน เพื่อจะสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงของธนาคาร BRICS และการลงนามในข้อตกลงการใช้พลังงาน ในขณะที่รัสเซียมีแต่จะสร้างพันธมิตร เพื่อจะตอบโต้อิทธิพลจากวัฒนธรรมตะวันตก.....

    Cr :Mead Watcharapon
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Waraporn Rot

    ฆ่าหมูกรรมสนอง

    [​IMG]

    เสียน ซื่อ เป็นพ่อค้าเนื้อหมูในอำเภออันวุย เขาฆ่าหมูมาเป็นเวลากว่า ๒๐ ปี จนมั่งคั่งร่ำรวย และมีบ้านใหญ่โตถึง ๓ หลัง รวมทั้งที่นาอีกหลายร้อยไร่

    เช้าตรู่ตอนตีห้าวันหนึ่ง ภรรยาของเขาได้ลุกไปเข้าห้องน้ำ ขณะที่เดินผ่านคอกหมูท่ามกลางแสงสลัวๆ นางได้มองเห็นร่างของผู้หญิงสองคนนอนเหยียดอยู่ในคอกไม่ว่าจะขยี้ตาอย่างไรภาพนั้นก็ยังคงปรากฎชัดเจนต่อสายตาของนาง ภรรยาพ่อค้าหมูตกใจมากรีบวิ่งไปบอกสามีว่า

    "มันเป็นลางไม่ดีเลย ต่อไปนี้เราควรเลิกอาชีพฆ่าหมูขาย เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นเสียจะดีกว่า"

    แต่ชายพ่อค้าหมูไม่เห็นด้วย เขายังคงยืนยันอย่างแข็งกร้าวว่าจะยึดอาชีพฆ่าหมูขายต่อไป ฝ่ายภรรยาของเขาก็ไม่ยอมแพ้ นางโมโหมากจึงเก็บเอามีดฆ่าหมูทั้งหมดไปโยนทิ้งลงในหลุมส้วม ชายผู้เป็นสามีหมดสิ้นความอดทนอีกต่อไป ทั้งสองจึงโต้เถียงกันอย่างรุนแรง ในที่สุดเมื่อไม่สามารถตกลงกันได้ จึงประกาศแยกทางกัน โดยเชิญพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายมาแบ่งทรัพย์สมบัติ

    ภรรยาของ เสียน ซื่อ รับเอาลูกคนเล็กไปอยู่ด้วย ส่วนลูกชายคนโตตัวเขาเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดู

    หลังจากแยกทางกันแล้ว เสียน ซื่อ ก็ยังคงฆ่าหมูเป็นอาชีพต่อไป อยู่มาไม่นานลูกชายคนโตก็ล้มป่วยเป็นไข้หนักตายไปต่อหน้าต่อตา และในเวลาไล่เลี่ยกันลูกชายคนเล็กที่อยู่กับภรรยาก็เป็นไข้ไม่สบายตายไปเช่นกัน!

    พ่อค้าหมูเสียอกเสียใจจนไม่อยากทำมาหากิน ทุกวันเขาใช้เงินไปหมกมุ่นอยู่กับการพนัน เพียงไม่กี่ปีต่อมาพ่อค้าหมูที่เคยมั่งคั่งร่ำรวยมากก็สิ้นเนื้อประดาตัว กลายเป็นคนยากจนต้องอดอยากถึงกับไม่มีจะกิน เขาจึงกลับไปรับจ้างฆ่าหมูอีก แต่มันน่าประหลาด เสียน ซื่อ รับจ้างฆ่าหมูได้ราว ๒๐ กว่าวัน เขาก็ป่วยเป็นโรคปากเน่า จมูกเน่ามีเลือดและน้ำหนองไหลอยู่ตลอดเวลา ส่งกลิ่นเหม็นเป็นที่น่ารังเกียจแก่ผู้คน พูดจาไม่รู้เรื่อง เวลาหายใจเข้าออก จะมีเสียงเหมือนกับหมูไม่มีผิด! เขาต้องทุกข์ทรมาณด้วยโรคร้ายอยู่ถึง ๑ ปี แล้วตายลงในที่สุด

    ที่มา นิทานปล่อยสัตว์100 เรื่อง
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ธรรม SLC

    [​IMG]

    เพื่อนส่งมาให้เห็นว่าเป็นประโยชน์ ครับ "เพิ่งไปประชุมเรื่องงานวิจัยโรคมะเร็งในคนไทย" ตอนนี้ไทยเป็นเบอร์หนึ่งของเอเซียแล้ว อัตรา 1คนจาก8คน สาเหตุเกิดจาก...

    1. กินเนื้อสัตว์ปิ้งย่าง
    2.กินอาหารกะทิค้างคืนที่มีเนื้อสัตว์ประกอบ เช่นแกงเขียวหวาน แกงเผ็ด เนื้อสัตว์จะทำปฎิกิริยาก่อสารมะเร็ง กินไม่หมดจงทิ้ง อย่าเก็บไว้กินมาอุ่น อันตรายมาก ถ้าซื้อมากินก้อต้องกินให้หมดในวัน
    3 กล้วยแขก เลิกกินเลย แป้งในกล้วยที่ทอดทำปฎิกิริยาเกิดสารก่อมะเร็ง รองลงมาคือปาท่องโก๋และขนมครก อันนั้นคือเลี่ยง แต่กล้วยแขกเลิกไปเลย
    4. ผัดผักค้างคืนกินไม่หมดจงทิ้ง อย่าเก็บมาอุ่นกิน โดยเฉพาะ จับฉ่าย อันตรายมากๆ อย่ากิน
    ข้อ5. เป็ดพะโล้ ห่านพะโล้ หมูสามชั้น กินได้ถ้าไม่ค้างคืน หมายถึงร้านทำเสร็จในวันนั้น แล้วเรากินในวันนั้น ถ้าค้างคืนคือต้องทิ้ง

    เหตุผลของเนื้อสัตว์ เพราะ เนื้อสัตว์ใช้เวลาย่อย2วันในกระเพาะ แต่มีความสดเพียงแค่1วัน เมื่อเริ่มเสียคือข้ามคืนไปอยู่ในกะเพาะก็จะเกิดเชื้อจากการเน่าเสียตกค้างในกะเพาะ ทำให้เกิดมะเร็งลำไส้

    เหตุผลของผัก เพราะอาหารผักค้างคืน ในระหว่างคืนจะเกิดเขื้อแบคทีเรีย ไวรัสก่อตัวในอาการ เมื่อกินเข้าไปในวันรุ่งขึ้นก็จะไปอยู่ในกะเพาะ ใช้เวลาย่อย4ชั่วโมง เชื้อก็จะไปตกค้างในกระเพาะเกิดมะเร็ง

    ส่วนปลา

    เนื้อปลาก็มีความสดเพียง1วันเมื่อทำเป็นอาหาร ระหว่างคืนก้อจะเกิดสารแบคทีเรีย ไวรัสในอาหาร พอมาอุ่นกินเชื้อก้อจะตกค้างในกะเพาะจ้ะ

    ถ้ากินอาหารถุงก้อต้องกินร้านที่ทำใหม่ทุกวัน พวกขายไม่ดีขายไม่หมดมาอุ่นขายใหม่ ก็อย่าได้ไปซื้อ เพราะก้อเหมือนเรากินของข้ามคืนทุกอย่าง

    สรุปง่ายๆ คือ สด ใหม่ ย่อยง่าย
    อย่ากินอาหารค้างคืน จงอย่าเสียดาย ทำหรือซื้อแต่พอกินในวันเท่านั้น เป็นมะเร็งแล้ว เสียเงิน เสียสุขภาพจิตมากกว่า — กับ Ratha Vann
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [​IMG]

    โจพุฒิพงศ์ ก้อนวิมล

    เรามาดูระบบการแจ้งเตื่อนภัยเมื่อเกิดแผ่นดินไหว สึนามิ พายุ ระหว่างญี่ปุ่นกับของประเทศไทยว่ามีอะไรบ้าง
    เมื่อมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นจะแรงหรือเบา จะเกิดการเตือน1. ที่มือถือ ไม่ว่าคุญจะใช้เครื่อค่ายอะไรในญี่ปุ่น พอแผ่นดินไหวปุ๊บจะมีข้อความดังเตื่อนขึ้นทันทีว่าขนาดนี้ได้เกิดแผ่นดินไหว ณ บริเวญนี้แล้ว แรงขนาดไหน เพื่อให้ผู้คนระมัดระวังหรือเตรียมตัวให้พร้อม ต่างกับของประเทศไทย ส่วนใหญ่จะมีแต่ข้อความเกมกับโฆษณาทั้งนั้น
    2.การเตื่อนภัยทางวิทยุในญี่ปุ่น เมื่อมีแผ่นดินไหว จะมีรายการเพลงอะไรก็ชั่ง จะเป็นเสียงข่าวด่วนอัตโนมัติขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ผู้คนรับมือทันทีแต่ถ้าในไทย เพลงกำลังมัน หรือกำลังโฆษณาให้สปอร์นเซอร์อยู่เรื่องอืนไม่ส่นใจ
    3.ทางทีวีเมื่อเกิดแผ่นไหวในญี่ปุ่นปุ๊บ ในขณะนั้นจะมีรายการหรือข่าวอะไรก็ชั่ง เขาจะตัดเพื่อเข้าข่าวด่วนยิ่งกว่าหรือจะมีข้อความขึ้นมาบังหน้าจอทันที แต่ถ้าเป็นเมืองไทยละครกำลังตบกันอยู่หรือรายการเกมโชว์กำลังสนุกอยู่ต้องเปิดให้มันจบก่อน
    ไม่ว่าจะมีภัยธรรมชาติ พายุ แผ่นดินไหว สึนามิ ที่กำลังจะเข้าถล่มประเทศ คนญี่ปุ่นจะรู้แบบชับไวมากต่างกับเมืองไทย ไม่เคยรู้อะไรคนไทยที่ดูดู ไม่เคยสนใจด้วยซำ ไม่เคยซ้อม ไม่เคยรับมือ รู้แค่ว่าวันนี้ฝนตกจบ แต่ถ้าเวลามันเกิดแล้ว บ่น ด่า โวยวายเป็นอย่างเดียว อยากถามว่า ตอนมันยังไม่เกิดคุณทั้งหลายเคยสนใจบ้างมัยละมองแต่เป็นเรื้องไกลตัว คนไทยสนใจแต่เรื้องแค่ชีวิตประจำวันเป็นอย่างเดียวและที่ข่าวอื้อชาวนะสนใจเป็นกระแสสังคมกันจริงๆ อีกอย่างไซเรนที่ติดกันเต็มชายฝั่งนะมันเตือนได้แค่ตอนสึนามิมาถึงฝั่งแล้วเท่านั้น นั้นหมายถึงตายหมด
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แผน... ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปาเลสไตน์ สู่การจัดระเบียบชนชาติยิว ถ่ายเทประชากรยิว
    วันอังคารที่ 22 กรกฏาคม 2014 เวลา 19:10 น. อีเมล พิมพ์ PDF

    สำนักข่าว IMM :การโจมตีฉนวนกาซาของยิวไม่ใช่การปกป้องคนยิว จากการโจมตีของกลุ่มฮามาส แต่เบื้องหลังแฝง คือ แผนฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จัดระเบียบชนชาติ ถ่ายเทประชากร แล้วขีดเส้นแผนที่พรมแดนในรอบใหม่ของยิวต่อจากเมื่อ 47 ปีที่แล้วปี ค.ศ.1967 คราวสงคราม 6 วันนั่นเอง แต่ครั้งนี้แยบยล แนบเนียนมาก เพราะโลกเปลี่ยนไป

    สมรภูมิเดือดที่ฉนวนกาซาบ้างเพราะดินแดนแถวนี้ติดต่อกันยาวไปถึงอิสราเอล ตอนนี้ กองกำลังติดอาวุธ ของปาเลสไตน์ ในฉนวนกาซ่า ที่เรียกกันว่า พันธมิตร มูญาฮิดีน ประกอบด้วย hamas Qassam และ al Qust anshar baitul maqdis ต่อสู้กับอิสราเอล กลุ่มฮามาส ถือว่าเป็นหัวหอก และเป็นผู้บัญชาการสูงสุดในครั้งนี้

    กองทัพอิสราเอล ได้ใช้กำลังอาวุธที่เหนือกว่ามาก ปืนใหญ่ 105 ถล่มใส่ปาเลสไตน์ ในฉนวนกาซ่าในเดือนรอมฏอนถือศีลอด จนทำให้มัสยิดทางศาสนาถูกทำลาย จึงต้องใช้เต็นท์ทำมัสยิดขึ้นชั่วคราว แต่แล้วยิ่งเป็นสิ่งที่สุดอัปยศ เมื่ออิสราเอลก็ยังยิงโจมตีทำลายมัสยิดชั่วคราวของประชาชนปาเลสไตน์เสียอีก จนแหลกเหลวไม่มีชิ้นดีลุกเป็นไฟ

    ที่น่าสลดสุดๆ ก็คือ ในฉนวนกาซ่า โรงพยาบาลไม่มีที่รับคนเจ็บ ไม่มีเตียงและยาจะรองรับผู้บาดเจ็บอีก ในเมืองเดร์ข่าน ฉนวนกาซ่า อิสราเอลถล่มยับโดยไม่สนใจว่าใครจะเป็นเช่นไร จนเมืองนี้ได้กลายเป็นทะเลเพลิง การถล่มอาวุธจากยิวตลอดทั้งคืนส่งผลให้เด็กๆ เสียชีวิตจำนวนมากมาย เครื่องปั้มหัวใจชีวิตน้อยๆ ในโรงพยาบาลยังทำงานหนัก

    อิสราเอลไม่สนกระแสต่อต้าน ยังคงส่งขบวนรถบรรทุกรถถัง ยุทโธปกรณ์หนักทางทหารเคลื่อนไปยังชายแดนฉนวนกาซ่า อย่างต่อเนื่อง ที่สุดจะอึ้งคือ คนยิวกำลังเอาเก้าอี้มานั่งบนยอดเขาสูง เพื่อมองลงไปดูการยิงอาวุธใส่เข่นฆ่าเด็กปาเลสไตน์แบบสนุกสนาน และเด็กยิวก็เขียนข้อความตามผู้ใหญ่สอนลงบนหัวลูกปืนใหญ่ที่ส่งไปยิงใส่เด็กปาเลสไตน์

    จากการที่อิสราเอล จู่ๆ ก็สั่งกำลังทหารยิว ทั้งทางอากาศ บก เรือ หน่วยพิเศษ พร้อมบรรดาอาวุธหนักข้ามพรมแดนประเทศตนเองมา และปิดล้อมสังหารเข่นฆ่าลูกเด็กเล็กแดงชาวปาเลสไตน์แบบไม่สนใจชาวโลก โดยมีรัฐบาลมะกันส่งอาวุธร้ายแรงให้ และยืนตบมือเชียร์แบบออกหน้าออกตานั้นมีวัตถุประสงค์แฝง คือ

    [​IMG]

    1- ทหารยิวเลือกไม่โจมตีชาวปาเลสไตน์ กลุ่มฟาร์ตะห์ หรือ PLO เดิม ที่อยู่ในเขตเวสแบ๊งค์ ที่พรมแดนติดกับจอร์แดน

    2- ยิวสั่งโจมตีเฉพาะชาวปาเลสไตน์กลุ่มฮามาส ในเขตฉนวนกาซาที่พรมแดนติดอียิปต์ และทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่มีพื้นที่นิดเดียว

    3- ทหารยิวทิ้งระเบิด และปืนใหญ่ใส่จุดนี้ที่อยู่ตอนไต้ของฉนวนกาซา มากกว่า 1,400 จุด ในเวลา 8 วัน นั่นหมายถึงต้องใช้ระเบิดมากกว่า 2,000 ลูก หย่อนลงพื้นที่เล็กๆ เพื่อทำลายตึก อาคาร โรงเรียน โรงพยาบาล ทุกแห่งนั่นเอง

    4- ทหารยิวบีบบังคับให้คนปาเลสไตน์จุดนี้หลายหมื่นคนทิ้งถิ่นฐาน อพยพขึ้นเหนือไปรวมกันในค่าย ที่เมืองกาซา เมืองเอกของย่านนี้

    อิสราเอลมีประชากรราว 8.2 ล้านคน ในนี้แบ่งเป็นคนยิวที่นับถือศาสนายิว (ไม่ใช่คริสต์) จำนวน 73% ที่เหลืออีก 27% ส่วนใหญ่เป็นคนอาหรับนับถือศาสนาอิสลาม และที่เหลือนับถือศาสนาคริสต์อีกเล็กน้อย และมีกลุ่มชาติพันธุ์อีกหลายชนชาติ เช่น ครูช เบดูอิน ฯลฯ

    จากจุดเมืองกาซา ที่ยิวอ้างว่ากลุ่มฮามาสใช้จรวดโจมตีไปทางทิศเหนือยังกรุงเทลอาวีฟ เมืองหลักทางการเงินนั้น มีระยะพิกัดราว 65 กม. ซึ่งจรวดของฮามาสเกินระยะหวังผลแล้ว และจากเมืองกาซาไปเยรูซาเลม เมืองใหญ่ยิวระยะพิกัด 77 กม. จรวดฮามาสเกินระยะหวังผลเช่นกัน และถูกระบบ ไอออนโดมมิสไซน์ทำลายหมด

    เมืองเยรูซาเลม ยิวกำหนดให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอลแต่นานาชาติกลับไม่ยอมรับ แถมเมืองนี้ศาสนาคริสต์ และ อิสลาม ต่างก็อ้างว่าศาสดาของตนขึ้นสวรรค์ที่เมืองนี้ ซึ่งอยู่ติดกับเขตเวสแบ็งค์ ของชนชาติปาเลสไตน์ กลุ่มฟาร์ตะห์

    นั่นหมายความว่าอะไร ?? มันคือ การบีบกลุ่มฮามาสไปรวมกันในค่ายอพยพของเมืองกาซา แล้วก็จะจัดการฆ่าล้างเผ่าพันธุปาเลสไตน์หัวแข็งแบบเบ็ดเสร็จ อาจใช้อาวุธชีวภาพที่ยิวถนัด หรือรูปแบบการปล่อยให้อดอาหารตาย เหมือนฮิตเลอร์ เคยใช้วิธีนี้กับค่ายกักกันชาวยิว

    หากมีเหลือรอดก็จะย้ายปาเลสไตน์หัวอ่อนไปรวมกันที่เขตเวสแบ็งค์ ที่ยิวควบคุมสั่งซ้ายขวาหันได้ และชนชาติปาเลสไตน์จะแย่ลงไปกว่านี้อีก เพราะเขตเวสแบ็งค์ไม่มีทางออกทะเล ประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล จะเจริญได้ยากเพราะการค้าขายสินค้า ขนส่งน้ำมัน แก๊ส ในปริมาณมาก ล้วนต้องอาศัยท่าเรือทั้งสิ้น

    จากนั้นยิว และมะกัน คงมีแผนจะบีบชาวโลกนานาชาติให้ยอมรับเมืองเยรูซาเลม เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล โดยชูเรื่องดินแดนแห่งพระเจ้ามอบให้ ยิวจะจูงใจทำให้ชาวคริสต์คล้อยตามตน แต่ยิวก็เหยียดหยันชาวคริสต์อีก

    ส่วนฉนวนกาซา ยิวคงจะประกาศขยายเขตแดนตนเองเหมือนที่เคยทำสมัยสงคราม 6 วัน ที่อียิปต์เป็นแกนนำ แล้วยิวชนะ เพื่อที่ยิวก็จะสามารถจ่อทหารไปติดยันชายแดนอียิปต์ได้อีกแนวหนึ่ง และได้ชายฝั่งน่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพิ่มแนวยาว เพื่อใช้ประโยชน์เชิงอุตสากรรม พลังงานน้ำมัน แก๊ส และการเกษตร

    แล้วคงจะขนย้ายชาวยิว ที่กระจัดกระจายทั่วโลกมาอาศัยแทนปาเลสไตน์ กลุ่มฮามาส ถ้าวิเคราะห์สถานการณ์จุดอื่นของอาหรับด้วย เช่น ซีเรีย อิรัก เลบานอน ที่ยิว กับ อเมริกา หนุนกลุ่มติดอาวุธต่างๆ วางแผนจะยุบประเทศอิรักกับซีเรีย แล้วขีดเส้นพรมแดนเสียใหม่เป็น 3 ประเทศ คือ สาธารณรัฐอิสลามสุนีย์ สาธารณรัฐชีอะห์ และสาธารณรัฐเคิร์ด

    ทั้งหมดก็เพื่อความมั่นคงของอิสราเอลนั่นเอง นี่คงเป็นไปตามแผนการจัดระเบียบโลกใหม่ ที่ยิวกลุ่มลัทธิไซออนนิสม์ โดยกลุ่มชาวยิวปัญญาชนและพ่อค้ายิวที่ทำมาหากินจนร่ำรวยจากทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะบนแผ่นดินอเมริกาและยุโรป มีจุดประสงค์เพื่อนำชาวยิวกลับมาตั้งถิ่นฐาน สร้างชาติยิวขึ้นมาใหม่ บนแผ่นดินปาเลสไตน์ ซึ่งกลุ่มไซออนนิสต์ยึดมั่นในพระคัมภีร์ที่ว่า “พระเจ้าได้ประทานดินแดนแห่งนี้ให้กับชาวยิว”

    ผู้นำของอิสราเอล มีแผนการบีบบังคับให้ชาวปาเลสไตน์ ต้องออกจากดินแดนของพวกเขาไป เพื่อตนจะได้เข้าไปครอบครองแทนที่ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของลัทธิไซออนนิสต์ ซึ่งตั้งใจจะให้ประเทศนั้นกลายเป็นชาวยิวโดยเฉพาะเท่านั้น

    จุดมุ่งหมาย คือ ชาวยิวยึดประเทศปาเลสไตน์ให้ได้ การแก้ปัญหาปาเลสไตน์ ก็คือต้องกำจัดชาวอาหรับออกไปจากมาตุภูมิของพวกเขาให้หมดสิ้น ดังนั้นจึงมีความคิดในเรื่อง “การถ่ายเทประชากร” ที่ฝังหัวอยู่ในสมองของพวกไซออนนิสม์เสมอ

    ยิวไซออนนิสม์ จะถูกทำให้เชื่อเสมอตั้งแต่ตั้งประเทศเมื่อ 56 ปีที่แล้วว่า ในประเทศนี้ไม่มีเหลือพอที่คนสองชาติจะอยู่ร่วมกันได้ เขาย่อมจะไม่บรรลุถึงเจตนาที่จะเป็นอิสระชนได้ ถ้ามีชาวอาหรับอยู่ด้วยในประเทศเล็กๆ นี้ วิธีแก้ปัญหาวิธีเดียวก็คือต้องไม่ให้มีคนอาหรับอยู่ด้วย ไม่มีวิธีอื่นที่จะทำได้มากไปกว่าต้องย้ายชาวอาหรับจากที่นี่ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ย้ายไปให้หมด ไม่ให้เหลือแม้แต่หมู่บ้านเดียวหรือเผ่าเดียว

    นี่ไม่ใช่การปกป้องคนยิว จากการโจมตีของกลุ่มฮามาส แต่เบื้องหลังแฝง คือ แผนฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จัดระเบียบชนชาติ ถ่ายเทประชากร แล้วขีดเส้นแผนที่พรมแดนในรอบใหม่ของยิวต่อจากเมื่อ 47 ปีที่แล้วปี ค.ศ.1967 คราวสงคราม 6 วันนั่นเอง แต่ครั้งนี้แยบยล แนบเนียนมาก เพราะโลกเปลี่ยนไป

    เข้าใจคนปาเลสไตน์หรือยัง ? อกเขาอกเรา เหมือนชาวบ้านบางระจันของไทยนั่นแหละ สู้กับพม่าที่เหนือกว่ามาก แต่ก็ต้องสู้ เพราะไม่รู้จะไปไหนอีกแล้ว , หรือเวียดกงสู้กับทหารมะกัน อาวุธห่างชั้นกันฟ้ากับเหว มะกันใช้ระเบิดนาปาม ฝนเหลือง ห่าระเบิดที่ทิ้งจากเครื่องบิน B52 แต่เวียดกงมีขวาก ไม้แหลม หลุมหลบภัย ผู้หญิงเวียดกงสู้ไม่ได้ก็เอาใบมีดโกนใส่ในช่องคลอด พอถูกทหารมะกันข่มขืน ลองคิดภาพตาม ??..ฆ่ากันซะดีกว่าอีก !!

    กลุ่มฮามาส ปาเลสไตน์เขาถึงสู้หัวชนฝา แม้เขาจะรู้ว่าเขาคงไม่มีโอกาสชนะสงครามนี้เลย แต่เขาไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะยิวจะไล่เขาอพยพไปอยู่ที่ไหนอีก แผ่นดินของเขาเองถูกยิวชิงไปเสียหมดขนาดนั้น อย่าว่าแต่พวกเขาเลย หากเป็นเราเองก็คงทำแบบพวกเขาเช่นกัน "เพราะสู้ก็ตาย ไม่สู้ก็ตาย "

    ตอนนี้อียิปต์ ขอให้รัฐยิว กับ กลุ่มฮามาสหยุดยิงชั่วคราว นับเป็นเรื่องที่ดีแต่จะเป็นผลหรือไม่ เพราะฮามาสเขาสูญเสียมาก ความแค้นมันฝังเจ็บปวดมาก สู้ก็ตาย ไม่สู้ก็ตาย ไม่เหลือทางเลือกให้เลย การสู้รบนี้คงจะเกิดขึ้นอีกประปรายในต่อไป แต่จะนานเท่าไรบอกได้ยาก

    เพราะการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนปาเลสไตน์จำนวนมากนั้น ทั้งยิว และอเมริกา คงต้องใช้เวลาอีกพอสมควร ในยามที่อิสราเอล ซึ่งเป็นชาติพันธมิตรของอเมริกา อ้างว่าถูกกลุ่มฮามาสโจมตึด้วยจรวดจากฉนวนกาซา คณะกรรมาธิการชุดหนึ่งของวุฒิสภาอเมริกัน ได้อนุมัติเงินช่วยเหลือ 50 เปอร์เซ็นต์ให้แก่อิสราเอล เพื่อนำไปพัฒนาระบบต่อต้านขีปนาวุธ “ไอออนโดม”

    อเมริกาจะต้องจัดหาเงิน 2 หมื่นล้านบาท ให้แก่โครงการต่อต้านขีปนาวุธของอิสราเอล ในปีงบประมาณ 2015 ซึ่งจะเริ่มต้นในเดือนตุลาคม 57 นี้ โดยเงิน ราว 1.1 หมื่นล้านบาท ในกองทุนนี้จะถูกนำไปใช้พัฒนาระบบต่อต้านขีปนาวุธพิสัยใกล้ไอออนโดม ซึ่งกำลังถูกทดสอบประสิทธิภาพอย่างหนักหน่วงในช่วง 9 วันทีผ่านมากับจรวดของฮามาส

    เมื่อปีที่แล้วรัฐสภาอเมริกาได้จัดสรรเงินช่วยเหลือ ราว 7.5 พันล้านบาท เพื่อสนับสนุนระบบไอออนโดมนี้มาแล้ว และรัฐบาลอเมริกาได้ทำเรื่องขอเงินราว 5.6 พันล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบต่อต้านขีปนาวุธในปี 2015 แต่สมาชิกสภาไซออนิสต์ทั้งหลาย ตัดสินใจเบิ้ลเพิ่มวงเงินเป็น 2 เท่าไปเลย รัฐสภาอเมริกันมักจะเพิ่มเงินสนับสนุนโครงการด้านความมั่นคงของอิสราเอล ที่ประธานาธิบดีอเมริกาเป็นผู้ผลักดันอยู่ประจำ

    การมอบเงินช่วยเหลือถือเป็นส่วนหนึ่งของคำขอของรัฐบาลอเมริกัน ส่งความช่วยเหลือทางการทหารมูลค่า ราว 1 แสนล้านบาทให้แก่อิสราเอล ซึ่งเป็นชาติที่ได้รับผลประโยชน์รายใหญ่ที่สุด จากกองทุนช่วยเหลือต่างประเทศของอเมริกา

    มาตรการดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของรายจ่ายทั้งหมดของกระทรวงกลาโหม คณะอนุกรรมาธิการฯ ได้ให้คำมั่นว่าจะอนุมัติเงิน ราว 18 ล้านล้านบาท ให้แก่ปฏิบัติการทหารในปี 2015 ทำให้ช่วยรักษาโครงการของเพนตากอน หลายโครงการ เช่น อากาศยานปราบรถถัง A-10 เป็นอาวุธสนับสนุนทางอากาศที่ดีที่สุดในคลังแสงของอเมริกา

    ทำให้ตอนนี้ประเทศมุสลิมที่ทนไม่ไหว เช่น เลบานอน นามิเบีย ตุรกี สหรัฐอาหรับอิมิเรต ส่งทหารไปช่วยปาเลสไตน์ ที่ฉนวนกาซ่าแล้ว ที่อึ้งก็คือ กองทัพอินโดนีเซีย กลุ่มอาเซียนเพื่อนบ้านไทย ที่มีประชากร 160 ล้านคน ส่งกองกำลังทหารจำนวน 1,500 นาย ไปยังฉนวนกาซ่า เพื่อปกป้องชาวอาหรับด้วยกันแล้วเช่นกัน

    ความจริงของโลกสำหรับพื้นที่คนอาหรับ และปาเลสไตน์ ที่เต็มไปด้วยน้ำมันและแก๊ส มันไม่ใช่ “ศูนย์กลางของการก่อการร้าย” ที่อเมริกา และ EU กล่าวหาพวกเขา แต่ความจริงมันคือ “ศูนย์กลางการโดนอเมริกันกดขี่และทำร้าย” มากกว่า เพราะ “ผู้ก่อการร้าย” ในโลกแห่งความจริง คือ อเมริกา EU ที่ชักใยโดยยิงไซออนิสต์นั่นเอง

    กลิ่นฉุนๆ กึกเข้าจมูก ของสงครามโลกครั้งที่ 3 ใกล้มาแล้ว..รอเพียงแต่ใครจะเป็นผู้กดปุ่มระเบิดนิวเคลียร์ก่อนเท่านั้น !!

    @ เสธ น้ำเงิน4

    ที่มา / www.facebook.com/thailandcoup

    - See more at: แผน... ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปาเลสไตน์ สู่การจัดระเบียบชนชาติยิว ถ่ายเทประชากรยิว

    แผน... ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปาเลสไตน์ สู่การจัดระเบียบชนชาติยิว ถ่ายเทประชากรยิว
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กอร์ดอน ดูฟ “สหรัฐฯ ผู้ตระเตรียมอาวุธเคมีฟอสฟอรัสขาวให้อิสราเอลสังหารชาวปาเลสไตน์” วันพุธที่ 23 กรกฏาคม 2014 เวลา 00:33 น. อีเมล พิมพ์ PDF

    สำนักข่าว IMM :เมื่อวันอาทิตย์ 20/7/57 ที่ผ่านมา กอร์ดอน ดูฟ (Gordon Duff) บรรณาธิการอาวุโสของสำนักข่าว Veteran’s Today จากรัฐโอไฮโอชาวสหรัฐอเมริกากล่าวให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเพรสทีวีว่า “สหรัฐอเมริกาคือผู้ตระเตรียมอาวุธเคมีฟอสฟอรัสขาวให้กองทัพอิสราเอล ใช้เป็นอาวุธเข่นฆ่าสังหารพลเรือนปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา”

    สำนักข่าวเพรสทีวี PRESS TV รายงานว่า เมื่อวันอาทิตย์ 20/7/57 ที่ผ่านมา กอร์ดอน ดูฟ (Gordon Duff) บรรณาธิการอาวุโสของสำนักข่าว Veteran’s Today จากรัฐโอไฮโอชาวสหรัฐอเมริกากล่าวให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเพรสทีวีว่า “สหรัฐอเมริกาคือผู้ตระเตรียมอาวุธเคมีฟอสฟอรัสขาวให้กองทัพอิสราเอล ใช้เป็นอาวุธเข่นฆ่าสังหารพลเรือนปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา”

    กอร์ดอน ดูฟ (Gordon Duff) บรรณาธิการอาวุโสของสำนักข่าว Veteran’s Today จากรัฐโอไฮโอชาวสหรัฐอเมริกากล่าวว่า “การตระเตรียมอาวุธเคมีให้กับกองทัพอิสราเอลเพื่อเข่นฆ่าสังหารพลเรือนผู้บริสุทธิ์ไร้หนทางสู้ในฉนวนกาซาปาเลสไตน์ โดยสหรัฐอเมริกา คือหนึ่งจากพฤติกรรมอันชั่วร้ายต่างๆ ของสหรัฐอเมริกา ในการสนับสนุนการก่ออาชญากรรมของอิสราเอล”

    [​IMG]

    กอร์ดอน ดูฟ ยังได้กล่าวอีกว่า “รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้จัดการเตรียมอาวุธเคมีจำนวนมากให้กับกองทัพอิสราเอล และอาวุธเคมีฟอสฟอรัสขาวที่อิสราเอลใช้สังหารชาวปาเลสไตน์ คืออาวุธที่สหรัฐอเมริกาตระเตรียมไปให้ ซึ่งในเวลานี้ได้คร่าชีวิตเด็กๆ ผู้บริสุทธิ์ชาวปาเลสไตน์ไปเป็นจำนวนมากแล้ว”

    กอร์ดอน ดูฟ ยังได้กล่าวอีกว่า “พฤติกรรมอันนี้ของสหรัฐอเมริกา ถูกกระทำอย่างเปิดเผย เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนสนธิสัญญาที่มีอยู่ในอนุสัญญาเจนีวา (Geneva Conventions) ซึ่งสหรัฐอเมริกาจะต้องมีคำตอบในเรื่องนี้”

    ทั้งนี้มีรายงานล่าสุดว่า กองทัพอิสราเอลทั้งกองทัพบก และกองทัพอากาศ ใช้ระเบิดที่มีส่วนผสมฟอสฟอรัสขาวโจมตีบ้านเรือนพลเมืองในเขตฉนวนกาซา ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะสารชนิดนี้จะก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บจากการเผาไหม้ที่ผิวหนังอย่างรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตภายในเวลาอันรวดเร็ว

    “ฟอสฟอรัสขาว” เป็นสารที่มีลักษณะ คล้ายขี้ผึ้ง มีสีขาวใสออกเหลือง มีกลิ่นคล้ายกระเทียม จะทำการสันดาปอย่างรวดเร็วเฉกเช่นเดียวกับออกซิเจน จะทำให้เกิดประกายไฟและควันสีขาว และเมื่อได้เจอกับความชื้นจะทำปฏิกิริยาจนเกิดกรดฟอสฟอริก เมื่อสัมผัสผิวหนังของมนุษย์ จะไหม้ทั้งผิวหนังและเนื้อทุกส่วนจนเหลือแต่ซากกระดูกเท่านั้น

    แพทย์อาสาสมัครท่านหนึ่งชาวนอร์เวย์ในเขตฉนวนกาซา ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า “ล่าสุดกองทัพของอิสราเอลได้โจมตีทั้งทางบกและทางอากาศในเขตฉนวนกาซา ที่มีพลเรือนอาศัยจำนวนมาก และเป็นเขตอาศัยของพลเรือน ด้วยระเบิดที่มีฟอสฟอรัสขาว และระเบิดสารก่อมะเร็งแล้ว”

    ที่มา / PRESS TV

    - See more at: กอร์ดอน ดูฟ “สหรัฐฯ ผู้ตระเตรียมอาวุธเคมีฟอสฟอรัสขาวให้อิสราเอลสังหารชาวปาเลสไตน์”

    กอร์ดอน ดูฟ “สหรัฐฯ ผู้ตระเตรียมอาวุธเคมีฟอสฟอรัสขาวให้อิสราเอลสังหารชาวปาเลสไตน์”
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    BBTV Channel7

    [​IMG]

    เผย! แมงมุมในไทย 4 ชนิดที่มีอันตรายถึงชีวิต ได้แก่ 1.แมงมุมเขี้ยวยาว 2.แมงมุมชนิดแม่หม้าย ไม่ว่าจะเป็น แม่หม้ายดำ, แม่หม้ายน้ำตาล ฯลฯ 3.แมงมุมกระโดด 4.บึ้งต่างๆ ติดตามรายละเอียดจากรายงานข่าวค่ะ

    เผยแมงมุมในไทย 4 ชนิดที่มีอันตรายถึงชีวิต Post dated: 23 ก.ค 2014 เวลา 07:42 AM -

    เช้านี้ที่หมอชิต - เผยมีแมงมุมในไทย 4 ชนิดที่มีอันตรายถึงชีวิต ขณะที่มีผู้ให้ข้อมูล ที่ถูกต้องเกี่ยวกับแมงมุมแม่หม้ายน้ำตาลที่ไม่ได้มีพิษร้ายแรง อย่างที่เป็นข่าว

    กรณีข่าว เกี่ยวกับแมงมุมพิษสีน้ำตาลกัดคน จนทำให้เกิดรอยแผลบวมขนาดใหญ่จนน่ากลัว เพราะไม่ได้เข้ารับการรักษาในทันที ทำให้หลายคนเกิดความหวาดกลัวและอยากรู้ว่าแมงมุมของไทยแต่ละชนิดแบ่งออกเป็น อย่างไร ล่าสุดมีการรวบรวมมาว่า มีแมงมุม 4 ชนิดในไทยทีมีอันตรายถึงชีวิต ได้แก่ แมงมุมเขี้ยวยาว เมื่อถูกกัดทำให้ปวดบวม ผลข้างเคียงจากการถูกกัด คือโลหิตเป็นพิษจากการติดเชื้อแบคทีเรียทางบาดแผลที่สกปรกและติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น บาดทะยัก ชนิดที่สอง แมงมุมชนิดแม่หม้าย ไม่ว่าจะเป็น แม่หม้ายดำ, แม่หม้ายน้ำตาล ฯลฯ เมื่อถูกกัดจะมีผลต่อระบบประสาท ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกร็งจนเป็นอัมพาต ซึ่งสาเหตุการเสียชีวิต จะเกิดจากกล้ามเนื้อกระบังลมและกล้ามเนื้อหัวใจหยุดทำงาน ชนิดที่สามคือ แมงมุมกระโดด ชนิดที่สี่ ได้แก่ บึ้งต่างๆ ทำให้มีอาการปวดและบวม

    ทั้งนี้แพทย์เตือนว่า สาเหตุจากที่ช่วงนี้ เป็นช่วงหน้าฝน ทำให้สัตว์จำพวกแมลงมีพิษต่างๆ มักจะหลบซ่อนเข้ามาตามบ้านเรือน ดังนั้น จึงควรทำความสะอาดและตรวจสอบที่นอนก่อนนอนเสมอ เพื่อความปลอดภัย ขณะเดียวกัน มีผู้ให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง กรณี แมงมุม แม่หม้ายสีน้ำตาล ที่ถูกระบุว่ามีพิษแรงกว่างูเห่า3เท่า ว่าแท้ที่จริงแล้ว พิษแรงกว่างูเห่า 3 เท่า หรือแรงว่าแมงมุมแม่หม้ายดำ 2 เท่า เฉพาะในปริมาตรเท่ากัน ซึ่งปกติแมงมุม 1ตัว มีพิษราว 1 ไมโครลิตร

    ส่วน การแพ้รุนแรง จะเกิดใน 4 ต่อ 1 แสนคน และ แผล เหวอะหวะ ด้วยความลึกเขี้ยว 1 มิลลิเมตร ซึ่งต้องเป็นแมงมุมเพศเมียที่โตเต็มวัยเท่านั้น ที่สามารถกัดทะลุผิวหนังคนได้ ส่วนการเป็นแผลตุ่มหนองอาจเกิดได้ ถ้าไม่ล้างแผลเลย ยังไม่มีการวิจัยที่พบว่าแมงมุมชนิดนี้มีพิษต่อระบบภูมิคุ้มกัน และระบบเลือด ยกเว้นบางชนิด ซึ่งไม่พบในบ้านเรา

    แต่แมงมุมแม่หม้ายน้ำตาล มีพิษต่อระบบประสาทจริง คือสามารถใช้แมงมุมแม่หม้ายน้ำตาลตัวเต็มวัย 4 ตัว กัดหนูทดลองและนานจนปล่อยพิษทั้งหมดที่มี หนูจะตายได้ 50% ของหนูที่โดนกัด และไม่มีเซรุ่มแก้พิษ เพราะยังไม่เคยมีใครตายเพราะพิษ
    - See more at: คลิปเผยแมงมุมในไทย 4 ชนิดที่มีอันตรายถึงชีวิต


    คลิปเผยแมงมุมในไทย 4 ชนิดที่มีอันตรายถึงชีวิต
     

แชร์หน้านี้

Loading...