ตายแล้วไม่สูญตายแล้วไปหน เล่าโดยหลวงพ่อ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย mahaasia, 16 พฤศจิกายน 2007.

  1. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    <!-- following code added by server. PLEASE REMOVE --><LINK href="http://us.geocities.com/js_source/div.css" type=text/css rel=stylesheet><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.geocities.com/js_source/div03.js"></SCRIPT> <!-- preceding code added by server. PLEASE REMOVE -->
    เรื่องที่ ๖๓

    ท่านท้าวเทพกษัตรีกับท่านท้าวศรีสุนทรได้มาบอกว่าท่านอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    “..ถ้าใครไปเที่ยวจังหวัดภูเก็ต ผ่านอำเภอถลางจะเห็นอนุสาวรีย์ของวีรสตรี ๒ ท่าน คือ ท่านท้าวเทพกษัตรีกับท่านท้าวศรีสุนทร ประวัติของท่านมีดังนี้ ท่านท้าวเทพกษัตรี เดิมชื่อ จัน กับน้องสาวคือ ท่านท้าวศรีสุนทร เดิมชื่อ มุกเป็นชาวเมืองถลาง จังหวัดภูเก็ต เกิดในสมัยรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ บิดาเป็นเจ้าเมืองถลาง คุณจันกับคุณมุกได้ฝึกฝนวิชาต่อสู้ด้วยอาวุธอย่างคล่องแคล่วชำนาญและมีความกล้าหาญ เมื่อเจ้าเมืองถึงแก่กรรม คณะกรรมการเมืองก็แต่งตั้งสามีคุณจันขึ้นเป็นเจ้าเมืองถลาง <o:p></o:p>
    ต่อมาสามีคุณจันถึงแกกรรม พม่าก็ยกทัพมาตีเมืองถลาง ทั้งสองท่านได้ประชุมปรึกษากับคณะกรรมการเมือง โดยคิดอุบายลวงข้าศึก ได้รวบรวมผู้หญิงราว ๕๐๐ คน ให้แต่งตัวเป็นผู้ชายโพกศีรษะ พอถึงเวลากลางคืนใช้ทางมะพร้าวทำเป็นอาวุธถือเดินแปรขบวนระหว่างค่ายทุกวัน ตอนกลางวันก็เข้าทำเป็นกองหนุนเข้าสมทบในค่าย จนข้าศึกคิดว่าไทยมีกำลังหนุนอยู่เสมอ จึงนำทัพถอยร่นไป คุณจันจึงสั่งระดมยิงปืนใหญ่เข้าไปในกองทัพพม่า พม่าตกใจต่างหนีลงเรือแล่นออกจากอ่าวไป เมื่อศึกสงบแล้วรัชกาลที่ ๑ โปรดให้แต่งตั้งคุณจันเป็น ท้าวเทพกษัตรีและคุณมุกน้องสาวเป็น ท้าวศรีสุนทร<o:p></o:p>
    วีรกรรมของท่านทั้งสองจึงเป็นเกียรติประวัติแก่ชาติไทยสืบมาจนทุกวันนี้ อนุสาวรีย์ของวีรสตรีทั้งสองท่านตั้งอยู่ที่ตำบลท่าเรือ สี่แยกเมืองถลาง จังหวัดภูเก็ต องค์พี่จูงมือน้องสาว มือขวาถือดาบ นุ่งโจงกระเบนใส่เสื้อแขนกระบอกมีตะเบ็งมาน ผมทรงดอกกระทุ่ม เป็นสำริดสีดำทั้งสององค์<o:p></o:p>
    เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ อาตมาเดินทางไปภาคใต้ ได้นั่งรถผ่านอำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เห็นอนุสาวรีย์ของวีรสตรีทั้งสองท่าน จึงคิดว่าเรามาอยู่บนแผ่นดินของท่านทั้งสองผู้มีพระคุณใหญ่ที่รักษาผืนแผ่นดินนี้ไว้ ถ้าเวลานั้นไม่มีท่านทั้งสองก็ยังไม่แน่นักว่าจังหวัดภูเก็ตจะเป็นของเราหรือเป็นของใคร ก็เลยมีความคิดว่าท่านทั้งสองตายแล้วไปอยู่ที่ไหน ถ้าพบได้ก็จะดี พอคิดเพียงเท่านี้ก็ปรากฏว่าท่านทั้งสองมาปรากฏอยู่ที่ข้างรถพอดี มายกมือไหว้ให้เห็นรูปร่างหน้าตาของท่านในสมัยที่ท่านเป็นแม่ทัพ ท่านบอกว่า ท่านอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ <o:p></o:p>
    อาตมาจึงถามว่า การสงครามต้องฆ่าคนตายไปสวรรค์ด้วยหรือท่านยิ้มแล้วก็ถามว่า ท่านก็เคยเป็นแม่ทัพมาเคยเป็นทหารมา เคยฆ่าคนมาเป็นอันมากและก็เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาเป็นอันมาก ทำไมถึงไม่ลงนรกบ้างล่ะอาตมาตอบว่า เรื่องก่อนเกิดจำไม่ได้และเรื่องของท่านจะรู้ได้อย่างไร ให้เล่าว่าเป็นคนวางนโยบายฆ่าคนเป็นจำนวนมากแล้วไปดาวดึงส์ได้อย่างไรท่านก็ตอบว่า ฉันทำบาปได้ฉันก็ทำบุญได้ การทำบาปคราวนั้นฉันพลีชีวิต เลือดเนื้อ สติปัญญา กำลังกายกำลังใจ ก็เพื่อความสันติสุขของประชาชนส่วนมาก ฉันไม่ได้ทำเพื่อส่วนตัว จะตั้งฉันเป็นตำแหน่งอะไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่องของพระราชาผู้ตั้ง เวลาทำฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น เมื่อทำแล้วฉันรู้ว่าเป็นบาปก็เลยทำบุญทำกุศล ทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว เวลาตายแล้วก็ไปสวรรค์ท่านพูดแล้วท่านก็ยิ้ม อาตมามองไปที่อนุสาวรีย์แล้วก็มองรูปโฉมลักษณะของท่านที่มาปรากฏให้เห็นแต่งตัวเป็นแม่ทัพในสมัยนั้น คล้ายคลึงรูปจริงๆ ของท่านมาก แสดงว่าท่านทั้งสองคงดลใจให้คนปั้นรูปท่าน ปั้นได้คล้ายคลึงความเป็นจริงของท่านมาก<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>

    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>
    </SPAN></STYLE></NOSCRIPT></TABLE></SCRIPT></APPLET><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://geocities.com/js_source/geov2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>geovisit();</SCRIPT>[​IMG] <NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>[​IMG]
     
  2. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    <!-- following code added by server. PLEASE REMOVE --><LINK href="http://us.geocities.com/js_source/div.css" type=text/css rel=stylesheet><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.geocities.com/js_source/div03.js"></SCRIPT> <!-- preceding code added by server. PLEASE REMOVE -->
    เรื่องที่ ๕๙

    ปลูกต้นมะม่วงล้อมวิหาร ตายจากคนไปเกิดเป็นนางฟ้าบนแดนสวรรค์

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    “..วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๓๑ เวลา ๓.๐๐ น. หลังจากเดินจงกรมแล้ว จึงหยิบหนังสือพระไตรปิฎกมาอ่าน พอเปิดก็พบวิมานวัตถุพอดี อ่านดูแล้วคิดว่าดี ท่านอ้างว่าเป็นปฏิปทาของ พระโมคคัลลาน์ เรื่องการเที่ยวสวรรค์ นรกนี้เป็นปกติธรรมดาของทุกท่านที่ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ถ้ามุ่งเอาจริงตาม อิทธิบาท ๔ แล้วไม่พ้นความสามารถ ท่านเขียนไว้อย่างนี้<o:p></o:p>
    ท่านพระโมคคัลลาน์ท่านไปสวรรค์ ท่านไปพบเทพธิดาองค์หนึ่ง ร่างกายเธอมีแสงสว่างไปทั่วจักรวาล มีสวนมะม่วงรื่นรมย์ เป็นสวนที่มีต้นมะม่วงแพรวพราวสว่างไสวมากเหมือนเอาเพชรมาประดับไว้ ภายในสวนมีวิมานใหญ่ มีโคมดวงใหญ่สว่างไสวมาก มีเสียงดนตรีและนางเทพอัปสรมาก ท่านโมคคัลลาน์ถามนางฟ้าองค์นี้ว่า อยากทราบว่าเมื่อเป็นมนุษย์ เธอทำบุญอะไรไว้จึงมีทิพยสมบัติประเสริฐอย่างนี้เธอตอบว่า สมัยเป็นมนุษย์ฉันมีจิตเลื่อมใสได้สร้างวิหารถวายสงฆ์แล้วปลูกต้นมะม่วงล้อมวิหารนั้น (วิหารคือ กุฏิใหญ่) เมื่อสร้างเสร็จจึงฉลอง ล้อมต้นมะม่วงด้วยผ้า เอาผ้าทำเป็นผลมะม่วงแล้วประดับด้วยโคมไฟไว้ที่ต้นมะม่วง นิมนต์พระมาฉันภัตตาหาร แล้วถวายวิหารแด่พระสงฆ์ ด้วยบุญเพียงเท่านี้จึงมีสวนมะม่วงน่ารื่นรมย์ มีวิมานใหญ่กว้างขวางในสวนมะม่วงนั้น มีเสียงกึกก้องด้วยเสียงดนตรี และเกลื่อนกล่นด้วยนางเทพอัปสร และวิมานนี้มีประทีปดวงใหญ่ประจำ มีแสงสว่างไสวมาก เพราะถวายแสงสว่าง ด้วยบุญแบบนี้ฉันจึงมีวรรณะคือ ผิวงามและแสงสว่างออกจากกายไปทั่วทุกทิศ”<o:p></o:p>
    ที่อาตมาเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ก็เพราะเห็นว่าทุกท่านทำบุญอย่างนี้แล้ว จึงต้องการให้ทราบอานิสงส์ที่จะพึงได้ เมื่อยังไปพระนิพพานไม่ได้ก็จะได้ทราบว่ามีที่พักบนสวรรค์น่ารื่นรมย์ใจอย่างนี้ แต่ทางที่ดีควรไปพระนิพพานดีกว่า ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดพบกับความทุกข์อีกต่อไป..<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>

    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>
    </SPAN></STYLE></NOSCRIPT></TABLE></SCRIPT></APPLET><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://geocities.com/js_source/geov2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>geovisit();</SCRIPT>[​IMG] <NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>[​IMG]
     
  3. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    <!-- following code added by server. PLEASE REMOVE --><LINK href="http://us.geocities.com/js_source/div.css" type=text/css rel=stylesheet><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.geocities.com/js_source/div03.js"></SCRIPT> <!-- preceding code added by server. PLEASE REMOVE -->
    เรื่องที่ ๕๔

    ตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นพระกาล เป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    “..อาตมาขึ้นไปที่เทวสภาเพื่อไปหาพระกาลตามที่พระยายมราชบอก ก็พอดีท่านพระกาลออกมาจากที่ประชุมตอนนี้ท่านไม่แต่งชุดสีน้ำเงินแก่ ท่านแต่งเป็นเทวดาสวยมาก เพชรแพรวพราวเป็นระยับเต็มองค์ทั้งหมด เสื้อผ้าทั้งหมดที่จะว่างจากเพชรไม่มี และมีแสงสว่างมาก การมีเพชรก็ต้องสังเกตว่า ถ้าธรรมดาๆ เพชรจะสว่างไม่มาก แต่ถ้าเป็นพระอริยเจ้าเพชรจะสว่างมากขึ้น แต่ว่าท่านพระกาลท่านเป็นเพชรขนาดพระอนาคามี ก็มีความดีใจเพราะเห็นพระอริยเจ้า อาตมาจึงถามท่านว่า เวลาท่านไปบอกว่าจะตาย ทำไมไม่ตายตามเวลา เทวดามีการโกหกด้วยหรือท่านก็ตอบว่า ผมไม่ได้โกหก ที่ผมไปบอกผมเห็นท่านไม่เกรงความตาย จะได้ตั้งใจให้มันแน่วแน่หลังจากบอกท่านแล้วท่านก็ปกติ ท่านก็ยอมรับว่าพร้อมแล้วเรื่องการตาย” <o:p></o:p>
    ท่านบอก ไม่ใช้คำว่าตายเขาใช้คำว่าไป ไปจากที่นี่ไปที่โน่นท่านบอกอีกว่า ท่านไปนอนอยู่ที่นิพพานสบายใจผมก็เห็น ถึงเวลาตี ๓ ท่านลงมาผมก็เห็นจึงถามว่า เทวดาไม่หลับกันหรือท่านก็บอกว่า เมืองเทวดาก็ดี เมืองพรหมก็ดี เมืองนิพพานก็ดี ไม่มีกลางคืนกลางวัน เพราะไม่มีแสงอาทิตย์ ไม่มีแสงจันทร์ มันสว่างตลอดเวลา สามแดนนี่ไม่มีการเหน็ดเหนื่อยไม่ต้องทำงานทำการ มีงานทางใจอย่างเดียว นึกจะไปไหนมันก็ถึงที่นั้นนึกอยากจะได้อะไรมันก็ปรากฏ ใช้ใจอย่างเดียว เมืองที่ดีจริงๆ ก็คือเมืองนิพพาน มีความสุขตลอดกาลไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง” <o:p></o:p>
    ท่านบอกอีกว่า หน้าที่ของผมที่จะพึงรับทราบว่าใครจะเกิดหรือใครจะตายใครจะจนหรือใครจะรวย ใครตายแล้วไปอยู่ที่ไหนเป็นหน้าที่ของผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบัญชีที่ต้องการให้รู้จริงๆ คือบัญชีที่ท่านพระยายมราชเพราะบันทึกไว้ทั้งบุญและบาป แต่บัญชีของผมบันทึกไว้แต่เฉพาะบุญอย่างเดียว ใครจะขึ้นมาอยู่สวรรค์ชั้นไหนผมรู้หมด และก่อนที่เขาจะขึ้นมาผมก็รู้ และใครจะตายเมื่อไรผมก็รู้ถามว่า ท่านเป็นพระกาลเพราะอะไรท่านบอกว่า ตามวิสัยของผม สมัยเมื่อเป็นมนุษย์ผมก็เป็นนักบวชอย่างท่าน ผมบวชได้ไม่นานนักเพียงแค่ ๑๐ พรรษาผมก็ต้องตายในขณะเป็นพระถามว่า สมัยที่บวชได้อะไรท่านตอบว่า สมัยที่บวชผมได้อภิญญา โดยเฉพาะความเป็นพระอริยเจ้าก็แค่พระสกิทาคามี เมื่อตายไปแล้วก็ปฏิบัติตนถึงพระอนาคามี และเวลาที่บวชอยู่ก็ดี เป็นฆราวาสก็ดีผมชอบรู้กาลเวลาของคนและของ เวลาไหนใครจะไปไหน เรียกว่าเป็นหมดดู ผมใช้ทิพย์จักขุญาณเป็นเครื่องดู รอบรู้ไปหมด ไอ้ตัวอยากรู้อยากเห็นอย่างนี้ เมื่อตายแล้วเขาเกณฑ์ให้เป็นพระกาลเพราะนิสัยเดิมชอบอย่างนั้น และผมเองก็ชอบรู้ทั้งหมด คนทั้งโลกผมรู้หมดแต่ไม่มีหน้าที่จะพูด” <o:p></o:p>
    ถ้าบรรดามนุษย์มาคุยกับผมได้ จะสนุกมาก ผมชอบคุยแต่ทว่าไม่มีใครมาคุยกับผม คนที่เขาเป็นพิสูจน์เขาบอกว่า นรกสวรรค์พิสูจน์ไม่ได้ ผมฝากไปบอกเขาด้วยว่า ถ้าอยากพิสูจน์ได้อย่างอ่อนเอาอย่างเล็กๆ เบาๆ ให้ฝึกสองในวิชชาสามให้ได้ ก็จะเห็นรกได้ เห็นเปรตได้ เห็นอสุรกายก็ได้ เมืองมนุษย์อยู่ขอบเขตแค่ไหนก็เห็นได้ สวรรค์ก็เห็นได้ พรหมโลกก็เห็นได้ ถ้าจิตสะอาดเห็นพระนิพพานได้ นี่อย่างเด็กๆ เห็นได้แล้วแต่ไปไม่ได้ ถ้าอยากจะไปให้ได้ด้วยก็ต้องฝึกอภิญญาอย่างอ่อนแล้วก็อย่างแก่ อย่างผมนี่สมัยที่เป็นมนุษย์เวลาจะไปไหนผมลิ่วลอยไปทั้งตัวเลย ไม่ใช่ไปเฉพาะอทิสสมานกาย แต่การไปทั้งตัวอย่างเข้มแข็งมันไม่ดี เพราะมันเหนื่อยต้องไปสู้แดด สู้ฝน สู้ลม สู้แบบถอดจิตหรือถอดกายภายในไปไม่ได้ อันนี้ดีกว่ามากไม่มีใครเห็นและก็ไม่ต้องใช้นีลกสิณไปบังไม่ให้เขาเห็น อย่างนี้ก็ไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว ไม่นั่งตักเขายังไม่รู้เลย เขานั่งคุยกันสองคน เราไปนั่งกลางเขายังไม่รู้เลย อย่างนี้ดีกว่า อย่างท่านมานี่ท่านก็มาแต่กายในไม่ใช้กายนอกมา กายนอกนอนแหงแก๋อยู่ที่กุฏิ นั่นดูสิ กายนอกมันบิดไปบิดมา ตะคริวกินเห็นไหมก็เลยบอกว่า ปล่อยให้ตะคริวมันกินเข้าไป มันอยากจะกินเนื้อดิบๆ ก็กินเข้าไปเถอะตามใจมัน ฉันไม่สนใจมันหรอก ถ้ามันตายเมื่อไรฉันก็ไม่กลับเมื่อนั้นถามท่านว่า ต่อไปประเทศไทยจะเป็นอย่างไรท่านตอบว่า ไทยยังคงเป็นไทยตลอดไปอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย เพราะคนไทยมีคนที่มีบุญมากปกครองอยู่ถามว่า ใครท่านบอกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ถ้าพระโพธิสัตว์ครองที่ไหนรุ่งเรืองที่นั่น<o:p></o:p>
    ท่านพระกาลได้บอกกับอาตมาว่า เวลานี้ผมเป็นพระอนาคามี เป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ผมไม่กลับไปเกิดอีกแล้ว ผมจะต่อนิพพานโดยตรงถามว่า นานไหมท่านบอกว่า ไม่นานหรอก ท่านตายแล้วไม่กี่วันผมก็ตามไป”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>

    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>
    </SPAN></STYLE></NOSCRIPT></TABLE></SCRIPT></APPLET><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://geocities.com/js_source/geov2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>geovisit();</SCRIPT>[​IMG] <NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>[​IMG]
     
  4. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    <!-- following code added by server. PLEASE REMOVE --><LINK href="http://us.geocities.com/js_source/div.css" type=text/css rel=stylesheet><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.geocities.com/js_source/div03.js"></SCRIPT> <!-- preceding code added by server. PLEASE REMOVE -->
    เรื่องที่ ๕๒

    ท่านมาฆมาณพตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นท่านพระอินทร์ หัวหน้าเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    “..พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีบริเวณล้อมรอบไปด้วยกำแพงแก้ว ๗ ประการ พื้นก็เป็นแก้ว ๗ ประการ มีพระแท่นแก้วใหญ่มาก และรอบๆ นั้นทางด้านทิศใต้และทิศเหนือก็มีสวนสวย บริเวณกว้างขวาง ทั้งหมดนี้เกิดด้วยอำนาจบุญบารมีของท่านพระอินทร์ในสมัยที่เป็นมนุษย์คือ ท่านมาฆมาณพ กับเพื่อนอีก ๓๒ คน พี่ช่วยกับปลูกต้นทองหลางไว้ และก็เอาหินมาวางเป็นแท่น เพื่อให้คนทั้งหลายที่เดินไปเดินมาระหว่างทาง มีความร้อนจะได้นั่งพักให้สบาย ต้นทองหลางบันดาลให้เกิดความเย็นและแท่นหินที่วางไว้ จะได้นั่งพักผ่อนให้หายเมื่อยแล้วก็เดินทางต่อไป เวลาที่ท่านตายจากมนุษย์มีผลคือ <o:p></o:p>
    อานิสงส์ที่ท่านปลูกต้นทองหลาง กลายมาเป็นต้นปาริชาต มีกลิ่นหอมมากเวลาที่มีดอกผุด ขึ้นมา <o:p></o:p>
    อานิสงส์ที่ท่านเอาหินมาวางเรียงรายรอบต้นทองหลาง กลายมาเป็นพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์<o:p></o:p>
    ท่านมาฆมาณพกับเพื่อนอีก ๓๒ คน รวมเป็น ๓๓ คน เห็นว่าการปลูกต้นไม้ให้เป็นที่พักมีความสบายก็จริง แต่ทว่ายังสบายไม่พอ สร้างศาลาให้คนเดินไปเดินมา เขาจะได้พักเขาจะได้นอนสบาย ก็เลยร่วมมือร่วมใจกันสร้างศาลาขึ้นหนึ่งหลัง เวลานั้นก็มีนายช่างอีกคนหนึ่งคือ ท่านวัฒกี และมีช้างตัวหนึ่งที่พระราชาให้มาเป็นพาหนะ เมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ให้เป็นที่พักของคนเพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ คนก็ได้พักอาศัย เมื่อคณะของท่านตายแล้ว อานิสงส์แห่งการสร้างศาลาเป็นสาธารณประโยชน์<o:p></o:p>
    ท่านมาฆมานพตายแล้วขึ้นมาเป็นท่านพระอินทร์ มีเวชยันตวิมานตั้งอยู่ตรงกลางเพื่อน เพื่อนอีก ๓๒ คนขึ้นมาเกิดเป็นเทวดา มีวิมานล้อมรอบเวชยันตวิมาน คนละหลังๆ ไม่ต้องไปอยู่หลังเดียวกัน ๓๓ คนนายช่างวัฒกี มาเกิดเป็น ท่านวิษณุกรรมเทพบุตร มีวิมานอีกหลังหนึ่ง ช้างที่ช่วยเป็นพาหนะบรรทุกไม้ ลากไม้ เป็นเครื่องทุ่นแรง ก็มาเกิดเป็นเทวดามีนามว่า เอราวัณเทพบุตร มีวิมาน ๑ หลังเหมือนกัน ไม่ต้องรวมกับใคร<o:p></o:p>
    นอกจากเวชยันตวิมานแล้ว ทางด้านทิศใต้มองข้ามสวนจิตรลดาวันไป จะพบสระโบกขรณี เป็นสระใหญ่มากมีท่าเป็นที่ลงมากมาย น้ำในสระก็แพรวพราวใสสะอาด มองแล้วคล้ายๆ กับแก้วต้องแสงอาทิตย์ดูระยิบระยับ สระนี้เกิดขึ้นจากอำนาจของ ๓๓ ท่าน มีท่านมาฆมาณพเป็นประธาน เมื่อสร้างศาลาแล้วก็มาคิดว่า คนเดินมาร้อนมานั่งที่ศาลาต้องการน้ำกิน จะอาบน้ำอาบท่า จะได้เกิดความสบายมากขึ้น ท่านก็พากันขุดสระขึ้น ขุดแล้วมีตานํ้า น้ำใสขึ้นมา คนที่มาพักที่ศาลาก็ได้กินได้อาบมีความสุข เมื่อเวลาที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นตายแล้วขึ้นมาเป็นเทวดา สระในเมืองมนุษย์ก็ตามมาเป็นสระโบกขรณีแต่เป็นสระที่ใหญ่กว่า มีนํ้าใสสะอาดกว่า สวยสดงดงามกว่า เป็นที่สบายของบรรดาเทวดาและนางฟ้าทั้งหลายชอบเล่นน้ำในสระนี้<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ที่มาของเทวสภา

    ท่านมาฆมาณพในสมัยที่เป็นมนุษย์ท่านมีภรรยา ๔ คน คนแรกชื่อ ท่านสุธรรมา คนที่สองชื่อ สุจิตรา คนที่สามชื่อ สุนันทา และคนสุดท้ายชื่อ สุชาดา อาศัยที่ท่านมีเมียมาก เมียคงจะทะเลาะกันมาก ท่านคงจะรำคาญเบื่อผู้หญิง คิดว่าต่อต่อแต่นี้ไปเราทำบุญอะไรก็ตาม เราจะไม่ให้ผู้หญิงร่วมต่อไป ในเมื่อท่านไม่ให้ทำ ท่านเมียใหญ่คือท่านสุธรรมามีความฉลาด เมื่อนายช่างทำศาลายังไม่เสร็จดี ศาลานี่ต้องมีช่อฟ้าจึงจะสวย จึงไปจ้างนายช่างทำช่อฟ้าให้พอเหมาะกับศาลาแล้วสลักชื่อว่า ศาลาสุธรรมา แล้วบอกว่า ต่อไปสร้างศาลาเสร็จ ถ้าพวกผู้ชายเขาต้องการช่อฟ้าก็อย่าทำให้นะ มาเอาช่อฟ้าของฉันนี่ไปใส่ ฉันให้เงินพิเศษ ๑ พันกหาปณะเงินมันเข้าใครออกใครที่ไหน นายช่างทำแล้วก็ปิดปากเงียบ เมื่อทำศาลาเสร็จ ท่านมาฆมาณพกับเพื่อนก็จะทำช่อฟ้า นายช่างบอกทำไม่ได้ไม้มันสด ช่อฟ้าต้องใช้ไม้แห้งๆ ทำถ้าเอาไม้สดๆ ไปทำต่อไปช่อฟ้าแห้งจะหมองดูไม่สวย ท่านก็บอกถ้าอย่างนั้นก็ไปหาซื้อ หาไปหามาก็หาไม่ได้ นายช่างก็แนะนำว่าบ้านของท่านสุธรรมามีช่อฟ้า ท่านมาฆมาณพก็บอกว่าไปขอซื้อเขา ท่านสุธรรมาบอกว่า ถ้าไม่ให้ร่วมบุญร่วมกุศลก็ไม่ขายแน่ท่านมาฆมาณพก็ไม่ยอมรับเพราะไม่อยากคบผู้หญิง แต่ในที่สุดท่านก็จนใจยอมรับ เอาช่อฟ้าของสุธรรมาไปสวมกับศาลาก็พอดี<o:p></o:p>
    ตอนนี้ท่านมาฆมาณพกับเพื่อนอีก ๓๒ คน รวมทั้งช่างอีกคนหนึ่งกับช้างรวมเป็น ๓๕ ทำกันเกือบตายไม่มีชื่อไปมีชื่อท่านสุธรรมาคนเดียว ใครไปใครมาก็เห็นเขียนชื่อท่านสุธรรมา เมื่อท่านสุธรรมาตายจากคนก็มาเป็นชายาของท่านพระอินทร์ ศาลาหลังนั้นก็ตามขึ้นมามีชื่อว่า ศาลาสุธรรมา เหมือนกัน เป็นศาลาที่ประดับประดาไปด้วยแก้ว ๗ ประการ มีแท่นที่ประทับของท่านพระอินทร์สวยสดงดงามมาก ศาลานี้เป็นที่ประชุมของเทวดา ที่เรียกว่า เทวสภา หรือ ธรรมสภา หรือ ศาลาสุธรรมา<o:p></o:p>
    รวมความว่าศาลาหลังนี้มีชื่อของท่านสุธรรมาชื่อเดียว แต่ท่านมาฆมาณพกับเพื่อนอีก ๓๒ คน รวมทั้งนายช่างและช้าง ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดามีวิมานกันคนละหลัง ทั้งที่ศาลาหลังนั้นไม่มีชื่อทั้ง ๓๓ คนเลย ท่านสุธรรมาเองตายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าก็มีวิมานอีก ๑ หลัง เจ้าของช่อฟ้าก็มีวิมาน ๑ หลังเหมือนกัน<o:p></o:p>
    ฉะนั้น บรรดาพุทธบริษัททุกคนที่สร้างแล้วไม่ชื่อที่ศาลา ที่กุฏิ ที่โบสถ์ ที่วิหารก็ตาม ก็อย่าไปสนใจเรื่องชื่อ สนใจเรื่องศรัทธาเป็นสำคัญ ศรัทธาเรามีแล้วเราบริจาคแล้ว เราทำแล้ว ชื่อในเมืองมนุษย์จะเป็นชื่อใครก็ตาม แต่ว่าอานิสงส์ทุกท่านย่อมได้เหมือนกัน<o:p></o:p>
    สวนจิตรลดา

    ท่านสุจิตราเป็นภรรยาคนที่ ๒ ท่านก็มานึกในใจว่า ท่านมาฆมาณพซึ่งเป็นสามี สร้างศาลา ปลูกต้นไม้ สร้างแท่นหิน ขุดสระ เป็นบุญสาธารณประโยชน์ ท่านสุธรรมาก็มีความฉลาดสร้างช่อฟ้าสวมศาลา เหมาศาลาหลังนั้นทั้งหมดแต่ผู้เดียว แต่อานิสงส์ได้ทุกคน ท่านก็คิดว่าอีกแถบหนึ่งของสระยังไม่มีสวนกับคนมาพักผ่อนที่ศาลาก็ดี อาบน้ำก็ดี อาจต้องการเดินเล่นในสวน ต้องการความสวยงาม ความสดชื่นจากดอกไม้และใบไม้ หรือดมดอกไม้หอมๆ เอาดอกไม้ไปนั่งดูบ้าง ทัดทรงบ้าง ติดอกบ้าง อย่างนี้ความสุขจะเพิ่มพูนขึ้น จึงได้สั่งคนไปปลูกสวนดอกไม้ไว้ใกล้ๆ กับสระ จัดสรรดอกไม้ที่ดีทุกประเภทมีไว้ให้ทุกอย่าง เมื่อดอกไม้ออกดอกงามสะพรั่งก็เป็นที่ชื่นใจของคนเดินทางมานั่งพักเห็นเข้าก็ชื่นใจ เมื่อท่านสุจิตราตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก เพราะอานิสงส์สร้างสวนดอกไม้ไว้เป็นสวนสาธารณะ เป็นเหตุให้ได้วิมานใหญ่โตสวยสดงดงาม ๑ หลัง และมีสวนจิตรลดาวันเป็นสวนดอกไม้ข้างๆ สระโบกขรณี เป็นที่ยินดีและชอบใจของเทวดาและนางฟ้า<o:p></o:p>
    สวนนันทวัน

    ท่านสุนันทาเป็นภรรยาคนที่ ๓ เห็นท่านสุจิตราปลูกสวนดอกไม้ท่านก็คิดว่าคนที่เดินทางมาอาจจะหิว ในเมื่อมีศาลาพัก มีนํ้ากินนํ้าอาบ มีดอกไม้ทัดทรง แต่ยังขาดอีกอย่างหนึ่งคือความอิ่ม ท่านจึงสั่งให้คนปลูกสวนผลไม้มีทุกประเภทที่คนนิยมเวลานั้น มาปลูกข้างๆ สระเป็นสวนใหญ่มาก เมื่อคนเดินทางไปมาหิวก็จะได้กินผลไม้แล้วได้พักผ่อน ก็มีความอิ่มหนำสำราญดี เป็นที่ชอบใจของคนเดินทาง เมื่อท่านสุนันทาตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานใหญ่โตสวยสดงดงาม ๑ หลัง และมีสวนนันทวันเป็นสวนผลไม้ปลากดขึ้นใกล้ๆ กับสระโบกขรณี อยู่ทางทิศตะวันออกของเวชยันตวิมาน ภายในสวนมีผลไม้ทิพย์ทุกอย่าง<o:p></o:p>
    การสร้างวิหารทาน

    การปลูกต้นไม้ในวัด จะเป็นไม้ดอกหรือไม้ผลก็ตาม กับปลูกในที่สาธารณะมีอานิสงส์ต่างกัน เพราะวัดเป็นเขตของสงฆ์ เป็นพุทธเขต เป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีลทรงธรรม ฆราวาสสร้างให้เป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีลทรงธรรมแต่ผู้อยู่จะทรงศีลทรงธรรมหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของส่วนบุคคล แต่จริง ๆ แล้วบรรดาพุทธบริษัทอุทิศตรงเพื่อพระพุทธศาสนาจึงจัดว่าเป็นของสงฆ์โดยตรงเป็นของพระพุทธศาสนาโดยตรง การไปซ่อมแซมวัดก็ดี บำรุงวัดก็ดี สร้างวัดก็ดี สร้างสวนผลไม้ในวัดก็ดี สร้างสวนดอกไม้ในวัดก็ดี ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีส่วนบำรุงวิหารทาน ร่วมในการสร้างวิหารทาน คือร่วมกันสร้างกุฏิวิหารเป็นที่อยู่มีความสุข สวนผลไม้ทำให้อิ่มหนำสำราญ มีความสุขดอกไม้สร้างความชื่นใจให้เกิดขึ้นมีความสุข จึงจัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิหารทาน<o:p></o:p>
    ฉะนั้น อานิสงส์การสร้างในเขตของวัด ก็เหมือนกับท่านอินทกะ ถวายทานแด่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนามีอานิสงส์มาก สำหรับสวนสาธารณะใครก็ได้ คนมีศีลมีธรรมก็ใช้ได้ คนมีศีลมีธรรมกระพร่องกระแพร่งบ้างใช้ก็ได้ คนไร้ศีลไร้ธรรมก็ใช้ได้ ฉะนั้นอานิสงส์ที่จะพึงได้ก็เหมือนท่านอังกุรเทพบุตร แต่ว่าบรรดาพุทธบริษัทก็จงอย่าเลือกเฉพาะผลใหญ่อย่างเดียว จงเลือกทั้งผลเล็กและผลใหญ่ สิ่งใดใกล้มือคว้าไว้ก่อนหมายความว่าถ้าสวนสาธารณะเขาต้องการต้นไม้ดอกไม้ เราก็ไปร่วมกับเขา อย่าลืมว่าข้าวแต่ละจานย่อมมีค่า ข้าว ๑ กาละมังใหญ่ก็มีค่า ข้าวแต่ละจานแม้จะน้อยกว่ากาละมัง แต่หลายๆ จานเข้าก็สามารถเต็มกาละมังได้ฉันใด บุญกุศลที่ท่านทั้งหลายทำบุญกับสวนสาธารณะ หรือที่สาธารณประโยชน์ถึงแม้ว่าจะไม่อยู่ในเขตสงฆ์ ถ้ามีโอกาสทำบ่อยๆ ก็ชื่อว่าจะเป็นการสั่งสมบุญให้เต็มที่ได้เหมือนกัน<o:p></o:p>
    อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ฝนตกที่ละหยาดๆ สามารถทำภาชนะให้เต็มได้ฉันใด บุญกุศลที่เราทำแล้วไซร้แม้จะครั้งละน้อยๆ แต่ว่าทำบ่อยๆ ก็สามารถจะทำให้บุญบารมีของเราเต็มบริบูรณ์ได้ <o:p></o:p>
    ฉะนั้นขอทุกคนจงอย่างเลือกเฉพาะที่สงฆ์อย่างเดียว ส่วนใดที่จะเป็นประโยชน์กับประชาชนไม่จำกัด หมายความว่าเป็นสาธารณะ ให้ทำด้วยน้อยก็เอามากก็เอา อย่างนี้เราจะไม่เสียทีในการเกิด เพราะเป็นปัจจัยของความสุข ความสวยสดงดงามเป็นการให้ความสุขแก่คนที่เห็น คนได้ใช้ ได้ดม ได้กิน ผลอย่างนี้ถือเป็นทาน..”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>

    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>
    </SPAN></STYLE></NOSCRIPT></TABLE></SCRIPT></APPLET><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://geocities.com/js_source/geov2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>geovisit();</SCRIPT>[​IMG] <NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>[​IMG]
     
  5. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    <!-- following code added by server. PLEASE REMOVE --><LINK href="http://us.geocities.com/js_source/div.css" type=text/css rel=stylesheet><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.geocities.com/js_source/div03.js"></SCRIPT> <!-- preceding code added by server. PLEASE REMOVE -->
    เรื่องที่ ๕๕

    ก่อนตายนึกถึงพระพุทธเจ้าตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    “..เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๓๑ พูดถึงคนไปสวรรค์ คือตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดบนสวรรค์โดยไม่ต้องผ่านสำนักพระยายมราช เพราะการไปสวรรค์จริงๆ ถึงแม้ว่ากำลังใจจะไม่เข้มข้น หรือว่าทำบุญมาไม่มากนักก็ตาม จะเป็นการทำบุญชั่วจับพลัดจับผลูนิดหน่อยประเดี๋ยวเดียว หรือชั่วขณะหนึ่งแต่ว่ามีความตั้งใจจริงและยิ่งกว่านั้นการตั้งใจเพื่อทำบุญอาจจะไม่ตรงนัก อาจตั้งใจเพื่อประโยชน์อย่างอื่นแต่บังเอิญไปตรงจุดของบุญเข้าอย่างนี้บุญก็บันดาลให้คนนั้นไปสวรรค์ได้ โดยไม่ต้องผ่านสำนักพระยายมราช ไม่ต้องมีการสอบสวน ดังตัวอย่าง<o:p></o:p>
    ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร

    ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ท่านเกิดในตระกูลที่นับถือศาสนาพราหมณ์ พราหมณ์นั้นแบ่งเป็น ๒ พวกคือ พวกที่นับถือศาสนาพราหมณ์โดยตรง ไม่ยอมเคารพนับถือพระพุทธศาสนา กับพราหมณ์ที่มีเหตุมีผลยอมรับนับถือเห็นว่าองค์สมเด็จพระทศพลทรงสอนตรงตามความเป็นจริง แต่ตระกูลพราหมณ์ของท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรเป็นตระกูลที่ไม่ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า บิดาของท่านอยู่ในฐานะคหบดี เป็นคนรวยมากและเป็นคณาจารย์ใหญ่ของพราหมณ์ ท่านมีลูกชายคนเดียว คือ ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร สมัยเป็นมนุษย์ท่านชื่ออะไรก็ไม่ทราบแต่สมัยที่เป็นเทวดาท่านมีต่างหูเกลี้ยง จึงได้นามว่า มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร<o:p></o:p>
    ต่อมาท่านป่วย ท่านพ่อแสนจะขี้เหนียว จะซื้อยาหรือจะหาหมอมารักษาให้ลูกชายก็สามารถทำได้เพราะเป็นคหบดีมีทรัพย์นับเป็นสิบโกฏิ แต่ท่านไม่ทำเนื่องจากเสียดายสตางค์ที่มีอยู่ กลับไปถามหมอว่า ลูกชายฉันเป็นโรคผิวเหลือง จะรักษาด้วยยาอะไรดีหมอก็บอกยากลางบ้านแบบธรรมดาๆ เมื่อได้ตำรายากลางบ้านมาแล้วก็นำมาให้ลูกชายกิน ก็ไม่หายไข้ ทรุดลงตามลำดับ เมื่อลูกชายไข้ทรุดมาก ท่านก็มีความรู้สึกว่า เวลานี้ลูกชายนอนอยู่ในห้องสวยๆ ข้างในมีทรัพย์สินมาก มีเครื่องประดับประดามาก ถ้าบังเอิญญาติของเรารู้ข่าวว่าลูกชายของเราป่วย ก็จะพากันมาเยี่ยม และคนที่มาเยี่ยมนั้นถ้ามาเห็นของที่ชอบใจแล้วเกิดขอ ถ้าไม่ให้ก็จะเป็นการขัดใจกัน ทางที่ดีเพื่อเป็นการหลบเรื่องนี้ จึงเอาลูกชายมานอนที่ระเบียงบ้าน ซึ่งไม่มีทรัพย์สินอะไรเป็นเครื่องประดับ<o:p></o:p>
    ต่อมาอาการป่วยทรุดหนักขึ้นทุกวัน แม้แต่แขนขาก็ยกไม่ขึ้น ท่านพ่อก็ไม่ยอมทำยาอย่างดีมารักษาโรคให้ เมื่อความตายปรากฏชัด แต่ทว่าท่านมัฏฐกุณฑลีก็ยังไม่อยากจะตาย จึงไม่มีความรู้สึกว่าเวลานี้จะต้องตาย คิดในใจแต่เพียงว่าเราต้องหายจากโรคนี้ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปมาโท มัจจุโน ปทัง แปลว่า ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย ความจริงอาการตายปรากฏชัดแต่ท่านยังไม่คิดว่าจะตาย จะหันไปหาพ่อแม่ก็หมดทางที่ท่านทั้งสองจะช่วยเหลือ เพราะท่านไม่สนใจท่านสนใจแต่ทรัพย์สินที่มีอยู่ ในที่สุดทุกขเวทนาเครียดมาก จึงมีความรู้สึกว่าชาวบ้านเขาลือกันว่า สมเด็จพระสมณโคดมท่านเป็นพระใจดีมาก มีเมตตาสูง พระองค์สงเคราะห์ไม่ว่าใคร เวลานี้เราป่วยหนักอยากจะให้พระองค์มารักษา เราจะได้หายจากโรค”<o:p></o:p>
    ให้พิจารณาความรู้สึกของท่านมัฏฐกุณฑลีว่า ไม่ได้มีความรู้สึกยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าในด้านของความดีอย่างอื่น แต่ท่านมีความรู้สึกแต่เพียงว่าพระพุทธเจ้ามีความเมตตาไม่เลือกบุคคล และใจของท่านเวลานั้นก็นึกอยากจะให้พระองค์มาช่วยรักษาโรคเท่านั้น อาศัยที่เจตนาตั้งใจยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าเพื่อให้เป็นหมอรักษาโรค ความจริงถ้าดูกันจริงๆ แล้วมันไม่ตรงกับบุญนัก ถ้าตรงกับบุญก็ต้องยอมรับนับถือในความดีและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านแต่นี่ท่านไม่ได้คิดอย่างนั้น ท่านต้องการเพียงให้มาช่วยรักษาโรคให้หายเท่านั้น<o:p></o:p>
    นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนตาย

    แต่พระพุทธเจ้าก็มีพระมหากรุณาธิคุณ ในตอนเช้าทรงเสด็จมาบิณฑบาตกับพระอานนท์ ผ่านบ้านพราหมณ์ บ้านนั้นเขาไม่ยอมใส่บาตร และไม่ยอมยกมือไหว้เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านไป เวลานั้นท่านมัฏฐกุณฑลีนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาฝา เห็นแสงสว่างประกายพุ่งมาเข้าตาของท่าน ก็สะดุดใจกลับตัวเหลียวไปเห็นองค์สมเด็จพระบรมศาสดากับพระอานนท์กำลังเดินบิณฑบาต ท่านจับภาพพระพุทธเจ้าขณะเดินบิณฑบาตกับภาพพระอานนท์ กับแสงที่ปรากฏกับตาของท่าน นึกถึงพระพุทธเจ้า ขอพระองค์จงสงเคราะห์ให้ข้าพเจ้าหายจากโรคเดี๋ยวนี้เถิด ขณะที่ท่านนึกอยู่อย่างนั้น แทนที่จะหายจากโรคกลับหายจากความเป็นคน นั่นก็คือ ตายจากความเป็นคนเวลานั้น ก็ไม่ผ่านสำนักของท่านพระยายมราช เพราะนึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่ จึงตรงไปสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ได้วิมานทองคำสูงใหญ่มาก แล้วท่านก็เป็นเทวดาอยู่ในวิมานนั้น มีต่างหูเกลี้ยงจึงมีนามว่า มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวาร <o:p></o:p>
    หลังจากลูกชายตาย ปรากฏว่าตอนเช้าๆ ท่านพ่อไปที่หลุมฝังศพของลูก ไปยืนพรรณนาขอให้ลูกชายกลับมาเกิดใหม่ เพราะเป็นลูกคนเดียว ต่อไปจะไม่มีใครรับมรดกเป็นผู้ปกครองทรัพย์สมบัติ ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรเห็นท่านพ่อไปยืนพรรณนาให้กลับมาเกิดเป็นลูกใหม่ ก็มีความรู้สึกในใจว่า ท่านพ่อของเราเป็นคนพาลคำว่า พาล แปลว่า โง่ เป็นคนพาลคือเป็นคนโง่ เวลาเรามีชีวิตอยู่ก็แสนจะขี้เหนียว มีเท่าไรเก็บหมด ไม่ค่อยจะกินจะใช้ เวลาเราป่วยไข้ไม่สบาย ค่ายาค่าหมอเป็นของไม่มากนัก ก็ไม่ยอมเสียสละเงินเพื่อรักษาเรา ปล่อยให้เราต้องนอนทนทุกขเวทนา ให้กินยากลางบ้านซึ่งไม่ถูกกับโรค ในที่สุดเราก็ต้องตาย <o:p></o:p>
    แต่ด้วยอาศัยสมเด็จพระสมณโคดมทรงสงเคราะห์เราขณะที่เสด็จไปทรงบิณฑบาตแผ่แสงให้ปลากดชัด จึงได้มีความยอมรับนับถือขอให้พระองค์ทรงช่วยให้หายจากโรค แต่อาการของร่างกายมันเกินวิสัยที่จะทรงอยู่ ด้วยบุญเพียงเล็กน้อยเท่านี้ก็สามารถทำให้เราเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีเครื่องประดับเป็นทิพย์มีร่างกายเป็นทิพย์ มีความเป็นอยู่อย่างเป็นทิพย์ มีความสุขมาก มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวาร แต่ท่านพ่อของเราจมปรักอยู่กับความโง่ เราต้องไปทำให้ท่านพ่อเป็นสัมมาทิฐิ คือมีความเห็นถูกคลายจากความโง่ ให้มีความรู้สึกเคารพยอมรับนับถือในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า <o:p></o:p>
    เมื่อท่านคิดอย่างนี้แล้ว จึงแปลงลงมาเป็นคนเหมือนรูปร่างเดิม เห็นท่านพ่อยืนร้องไห้อยู่ปากหลุมศพ ท่านจึงมายืนร้องไห้บ้างใกล้ๆ ท่านพ่อ พอท่านพ่อเห็นก็คิดว่าชายผู้นี้เหมือนลูกชายเราถ้าได้ไว้เป็นลูกจะดีมาก จึงเข้าไปใกล้ถามว่า เธอร้องไห้ทำไมท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็ถามว่า คุณลุงร้องไห้ทำไมท่านพ่อก็ตอบว่า ฉันร้องไห้คิดถึงลูกชายของฉัน ลูกชายของฉันกำลังเป็นหนุ่มแน่น เป็นคนน่ารัก เป็นคนดีมาก แต่ทว่าเธอต้องมาตาย ซึ่งอายุยังน้อย ฉันมีลูกคนเดียวไม่มีใครปกครองทรัพย์สิน ถ้าลูกของฉันอยู่ก็จะมีโอกาสได้ปกครองทรัพย์สิน แต่ถ้าลูกของฉันกลับมาได้ ฉันก็จะให้ปกครองทรัพย์สินใหม่ ถ้าเธอไม่รังเกียจเป็นลูกบุญธรรมของฉัน ฉันก็จะให้ปกครองทรัพย์สินแทนลูกชายของฉัน ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ได้ฟังดังนั้นก็นึกในใจว่า พ่อของเราเมื่อเรามีชีวิตอยู่ ไม่ยอมซื้อยาแพง ไม่ยอมหาหมอมารักษา ขี้เหนียวที่สุด แต่เวลานี้กลับเห็นเราซึ่งเป็นคนอื่น จะมอบทรัพย์สมบัติให้บุคคลนั้นท่านพ่อได้ถามท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรว่า เธอร้องไห้ทำไมท่านจึงตอบว่า ฉันร้องไห้เพราะว่าฉันมีรถทองคำอยู่คันหนึ่งสวยมาก แต่ยังหาล้อที่เหมาะสมไม่ได้ท่านพ่อก็ถามว่า เธอต้องการล้อเงินหรือล้อทอง ฉันจะจัดให้ตามความประสงค์ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็คิดว่า นี่เราเป็นคนอื่น ท่านพ่อจะให้ล้อเงินกับล้อทอง แต่เวลาที่เรามีชีวิตอยู่ไม่ยอมรักษาโรคให้ทรัพย์สมบัติก็ไม่ให้จึงแกล้งบอกว่า ฉันต้องการดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์มาเป็นล้อทั้งสองข้างท่านพ่อก็คิดว่า ไอ้เจ้าเด็กนี่บ้าก็เลยบอกว่า เธอบ้า เพราะว่าดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ใครจะนำมาได้ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรจึงบอกว่า ในเมื่อฉันต้องการดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์เป็นสิ่งที่ฉันเห็นได้ แต่ท่านต้องการลูกชายที่ท่านเห็นไม่ได้ ใครจะบ้ามากกว่ากัน”<o:p></o:p>
    เป็นอันว่าท่านพ่อก็ยอมรับว่าบ้ามากกว่า ในที่สุดท่านมัฏฐกุณฑลีก็แสดงตนเป็นเทวดาประกาศให้ทราบว่าท่านคือลูกชาย เวลานี้ไปเกิดอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ท่านพ่อก็ถามว่า ไปได้เพราะเหตุใดท่านก็ตอบว่า ก่อนจะตายเห็นสมเด็จพระสมณโคดมกับพระอานนท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านนึกถึงสมเด็จพระสมณโคดมขอให้พระองค์มาช่วยรักษาโรคให้หาย แต่บังเอิญตายเสียก่อน เมื่อตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวาร ท่านจึงแนะนำท่านพ่อว่า ต่อนี้ไปขอพ่อโปรดเคารพองค์สมเด็จพระบรมครู จงถวายทานในสำนักของท่าน จงรักษาศีล จงฟังเทศน์ ตายแล้วจะไปสวรรค์แล้วท่านก็ลากลับไป<o:p></o:p>
    เมื่อท่านพ่อกลับไปบ้านด้วยความดีใจบอกภรรยาว่า วันนี้ฉันจะไปนิมนต์สมเด็จพระสมณโคดมกับพระสาวกมาฉันภัตตาหารที่บ้าน ทำกับข้าวให้มากครั้นเมื่อไปพบองค์สมเด็จพระจอมไตร เวลานั้นมีชาวบ้าน ๒ พวก เป็นพวกของพราหมณ์กับพวกที่นับถือพระพุทธศาสนา ต่างคนต่างตามไป พวกของพราหมณ์ก็คิดว่า วันนี้เราจะดูอทินกบุพกพราหมณ์ คือท่านพ่อของท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ย่ำยีสมเด็จพระสมณโคดมสำหรับบรรดาพุทธบริษัทก็คิดว่า วันนี้จะดูลีลาพระพุทธเจ้าทรงสอนพราหมณ์ที่เป็นมิจฉาทิฐิให้เป็นสัมมาทิฐิทั้งสองฝ่ายต่างก็ไปยืนรวมกันที่นั่น เมื่อไปถึงแล้วท่าน อทินกบุพกพราหมณ์ก็ยกมือไหว้องค์สมเด็จพระบรมครูแล้วกล่าวว่า ผมอยากจะทราบว่า คนที่ไม่เคยใส่บาตรกับพระองค์ ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยรักษาศีล ไม่เคยยกมือไหว้นึกถึงชื่อพระองค์อย่างเดียว ตายแล้วไปสวรรค์มีไหมองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า คนที่ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยยกมือไหว้ นึกถึงชื่อตถาคตอย่างเดียว ตายแล้วไปสวรรค์ไม่ใช่นับร้อย นับพัน นับเป็นโกฏิ” <o:p></o:p>
    หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงเรียกท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรให้มาพร้อมวิมาน ท่านก็ลงจากวิมานมากราบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์โปรด เมื่อเทศน์จบ ท่านมัฏฐกุณฑลีก็เป็นพระโสดาบัน คนที่ยืนฟังอยู่ที่นั่นต่างก็บรรลุมรรคผลไปตามๆ กัน<o:p></o:p>
    การที่นำเรื่องท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร มาเล่าให้ฟังก็เพื่อต้องการให้ท่านทั้งหลายทราบว่า คนที่ตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็น พุทธานุสติกรรมฐาน ถึงแม้ว่าในกาลก่อนจะไม่เคยยอมรับนับถือ แต่เวลาก่อนจะตายถ้านึกถึงชื่อขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา อย่างท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรอย่างนี้ตายแล้วไปสวรรค์แน่นอนโดยไม่ต้องผ่านสำนักพระยายมราช แต่ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายได้เปรียบกว่าท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรมาก เพราะว่าทุกคนยอมรับนับถือพระพุทธเจ้ามาในกาลก่อนและปัจจุบันก็ยังยอมรับนับถือ มีความเคารพในองค์สมเด็จพระบรมครู ถ้าหากว่าทุกท่านจะซ้อมความรู้สึกนึกถึงพระพุทธเจ้า คือตื่นขึ้นจากที่นอนสัก ๒-๓ นาที ว่ายอมรับนับถือในความดีของพระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจ และก็ตั้งใจรักษาความดีอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นตั้งใจจะให้ทานก็คิดในใจว่าเราต้องการให้ทานถ้าโอกาสจะพึงมีเพียงเท่านี้จิตใจของท่านจะตั้งอยู่ในพุทธานุสติกรรมฐานกับจาคานุสติกรรมฐาน เวลาตายบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อย่างเลวที่สุดก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ถ้าอย่างสูงที่สุดเห็นจะต้องไปพระนิพพาน เพราะว่า พระพุทธโฆษาจารย์ รจนาวิสุทธิมรรค ท่านกล่าวว่า บุคคลใดเจริญพุทธานุสติกรรมฐานเป็นประจำ บุคคลนั้นไปพระนิพพานง่ายที่สุด..<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>

    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>
    </SPAN></STYLE></NOSCRIPT></TABLE></SCRIPT></APPLET><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://geocities.com/js_source/geov2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>geovisit();</SCRIPT>[​IMG] <NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>[​IMG]
     
  6. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    <!-- following code added by server. PLEASE REMOVE --><LINK href="http://us.geocities.com/js_source/div.css" type=text/css rel=stylesheet><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.geocities.com/js_source/div03.js"></SCRIPT> <!-- preceding code added by server. PLEASE REMOVE -->
    เรื่องที่ ๕

    พระอัสสชิพระสาวกรุ่นแรกของพระพุทธเจ้า ก่อนที่จะนิพพานมีทุกขเวทนาอย่างหนัก

    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    “..คืนวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๓๒ เวลาประมาณ ๒๒.๐๐น. อากาศก็เริ่มร้อน อาตมามีอาการปวดท้องอย่างหนักมีอาการคล้ายเป็นบิด รู้สึกอุจจาระแข็งมาก เพราะไปซอยสายลมมาทุกคราวโรคที่มีอยู่ก็ทวีขึ้น ๓-๔ เท่า เนื่องจากต้องนั่งเครียดทั้งวันและมีการพูดตลอดเวลาที่รับแขก ต้องใช้ขันติอย่างหนัก ถ้าถามว่า ใช้ได้อย่างไรก็ขอตอบว่า ใช้ได้เท่าที่พึงจะใช้ได้ ถ้าเกินวิสัยจริงๆ ก็ลุกไม่ขึ้นเหมือนกัน ดูอย่างท่าน พระอัสสชิ ซึ่งเป็นพระสาวกรุ่นแรกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่จะนิพพาน ท่านก็เป็นโรคกระเพาะอย่างหนัก ทั้งปวดทั้งเสียด อึดอัดทนไม่ไหว ท่านจึงคิดในใจว่าเวลานี้เราเสื่อมจากความดีแล้วหรือ จึงให้พระไปตามพระพุทธเจ้ามา เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรเสด็จมาท่านจะลุกมาจากที่นอน พระพุทธเจ้าตรัสว่า อัสสชิ นอนตามนั้นเถิด ตถาคตจะนั่งในที่ที่เขาจัดให้นั่งตามสมควรท่านก็กราบทูลพระองค์ว่า เวลานี้ทุกขเวทนาหนักพระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าทนไม่ไหวพระพุทธเจ้าทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า อัสสชิ เธอระงับกายสังขารไม่อยู่หรือหมายถึงใช้อานาปานุสติ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ถ้าจิตเป็นสมาธิตามสมควร ทุกขเวทนาจะคลายตัว ท่านก็กราบทูลว่า ทนไม่ไหวพระเจ้าข้า ระงับไม่อยู่ ความดีที่ข้าพระพุทธเจ้าได้มาแล้ว คงจะสลายตัวไปแล้วพระพุทธเจ้าจึงตรัสถามว่า อัสสชิ เธอถือว่าร่างกายเป็นของเธอหรือท่านก็ตอบว่า ไม่ใช่พระเจ้าข้าพระองค์ถามว่า หรือว่าเธอเห็นว่าเธอมีในร่างกายพระอัสสชิก็ตอบว่า ไม่ใช่พระเจ้าข้าก็รวมความว่า ท่านอัสสชิยังถือว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เมื่อท่านตอบอย่างนี้แล้วพระพุทธเจ้าก็มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า อัสสชิ ความดีของเธอไม่เสื่อม ความดียังทรงตนอยู่หลังจากนั้นเมื่อพระอัสสชิพบองค์สมเด็จพระบรมครูแล้วไม่นานก็นิพพาน<o:p></o:p>
    แสดงให้เห็นว่าขึ้นชื่อว่า ขันติ มันจะทนได้ก็แค่พอจะทนไหว ถ้าเกินกำลังเมื่อไร อาตมาก็เช่นเดียวกับพระอัสสชิ แต่ทว่าท่านเป็นพระอรหันต์ในสมัยตอนต้นพุทธกาล เป็นพระอรหันต์ที่มีกำลังยิ่งยวดมาก เพราะยังไม่มีใครเป็นตัวอย่างเป็นแบบฉบับของพระอรหันต์ ฉะนั้นการเป็นอรหันต์เวลานั้นต้องใช้กำลังใจสูงมาก มีความฉลาดมาก มีความอดทนมาก มีความเข้มแข็งมาก<o:p></o:p>
    ขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัท มีความเข้าใจในร่างกายเป็นสำคัญ วิปัสสนาญาณทุกข้อก็คือร่างกาย ให้พิจารณาร่างกายตามความเป็นจริงว่า ร่างกายเป็นโทษ ร่างกายเป็นทุกข์ ร่างกายน่าเบื่อหน่าย ร่างกายนี้เราควรจะวางเฉย เพราะว่าขืนเอาจิตใจติดตามร่างกายคิดว่า ร่างกายจะไม่แก่มันก็ต้องแก่ คิดว่าร่างกายจะไม่ป่วยไข้ไม่สบายมันก็ต้องป่วย คิดว่าร่างกายจะไม่มีทุกขเวทนามันก็ต้องมีทุกข์ ถ้ากำลังใจเราฝืนเราก็มีทุกข์ กำลังใจเราไม่ฝืนก็ไม่มีทุกข์ ยอมรับมัน ถ้าความแก่เข้ามาถึงก็ยอมรับความแก่ เมื่อความป่วยเข้ามาถึงก็ยอมรับว่าธรรมดาของร่างกายมันจะป่วย ความตายจะเข้ามาถึงก็ยอมรับว่าเป็นธรรมดาของร่างกายมันต้องตาย และก็พยายามหนีร่างกายด้วยการคิดว่า ขึ้นชื่อว่าการเกิดอย่างนี้จะมีกับเราชาติเดียวเป็นชาติสุดท้าย ต่อไปการเกิดมีร่างกายที่ประกอบไปด้วยความทุกข์อย่างนี้เราจะไม่มีอีก<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>

    <o:p></o:p>
     
  7. want_lun

    want_lun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +967
    อนุโมทนาสาธุมาก ๆ ครับท่าน ขอให้สำเร็จไม่มีอุปสรรคใด ๆ ครับ
     
  8. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,439
    อนุโมทนาครับถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและในอนาคตไม่มีสิ้นสุดไม่มีประมาณพร้อมเหล่าพระสาวกของพระพุทธเจ้าทุกท่านทุกองค์ไม่มีสิ้นสุดไม่มีประมาณ สาธุมหาสาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...