จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ธรรมทานจากการบ้านลูกศิษย์(deejai)(deejai)(deejai)

    - บางช่วงเวลานึกถึงพระได้ดีเลยค่ะ แต่บางทีเหมือนจิตเขาไม่ยอมเลย
    บางทีภาพพระ จะขึ้นมาไม่ยอมหยุด แก้โดยการขยับตัวให้เห็นความเคลื่อนไหวชัดเจน
    แต่วันนี้ดีกว่าเมื่อวานนะค่ะ
    - เมื่อวานได้เจอพระภิกษุที่เป็นญาติกัน ก็มองอย่างพิจารณา พอรู้สึกสงสัย ก็หยุดคิดทันที
    กลับมาพิจารณาตัวเอง ไม่เอาจิตออกไปรับรู้ วางเฉย

    - อาการ อารมณ์ตอนจับภาพพระ นิ่งดีค่ะ มีส่ายไปมาช่วงที่จิตเข้าดึงดันจะแช๋ที่ภาพพระ
    วันนี้ช่วงเช้ามีอาการตื้นตันต้องกลั้นน้ำตาไว้ เพราะอยู่ทีทำงาน เดี๋ยวเพื่อนตกใจ


    พรจะทำตามที่ครูแนะนำ เรื่องกฎไตรลักษณ์ ศีล อินทรีย์5 บารมี10

    กราบขอบพระคุณนะค่ะ อนุโมทนา สาธุค่ะ
    พรค่ะ

    คุณพร ภาพพระที่ลอยขึ้นมาไม่ยอมหยุดนั้น เป็นภาพเดียวกับที่เรานึกถึงบ่อยๆ ใช่มั้ยค่ะ
    - ใช่ค่ะ
    แล้วภาพพระก็ลอยขึ้นโผล่ขึ้นมาในจิตเองโดยที่เราไม่ได้นึกถึงเลยใช่มั้ย
    - ใช่ค่ะ รวมทั้งเมื่อคืนที่ผ่านมา ตื่นมาสลึมสลือ(ประมาณตี3) ภาพพระมาตลอด จะนอนก็นอนไม่หลับ

    อาการ อารมณ์ตอนจับภาพพระ วันนี้นิ่งดีค่ะ วันนี้รู้สึกง่วงค่ะ แต่ไม่หลับ ไม่มีอาการห่อเหี่ยว(เหมือนคนนอนน้อย) แค่รู้สึกว่าง่วงตาแห้งๆ พูดคุยกับคนรอบข้างได้ปกติ พรอธิบายงงเปล่าค่ะครู เหมือนข้างในมันปกติดีค่ะ
    ไม่งงค่ะ เพราะอาการเหล่านี้ครูก็เคยเป็นมาก่อน สนามรบนี้เราเคยรบมาก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นจะมาสอน มาแนะนำคุณพรได้รึ อาการที่เล่ามาเป็นอาการข้างเคียงจากจิตที่เกิดสมาธิเกิดฌาณ จากที่คุณพรหมั่นฝึกสติเกาะพระมาจนติดเป็นอัตโนมัติแล้วยังไงค่ะ สติได้ปลุกจิตให้ตื่นขึ้นมาพร้อมที่จะเข้าสู่การวิปัสสนาแล้ว คุณพรได้สมถะที่จะนำเข้าสู่การวิปัสสนาในขั้นต่อไปแล้วน่ะ ซึ่งตรงนี้แหล่ะ ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายโหยหาและพยามไขว่คว้ามาก เพราะสมถะมันคือบันไดขั้นแรกที่จะนำไปสู่การปฏิบัติขั้นสูงต่อๆ ไปได้... จิตเกาะพระ ไม่ใช่แค่สมถะธรรมดาๆ เหมือนตอนที่นั่งหลับตาปี๋ๆ แค่ชั่วโมง สองชั่วโมงน่ะ แต่เป็นกำลังสมถะที่มีกำลังมากมายตลอด 24 ชม. มากพอที่จะส่งจิตให้มีพลังออกมาวิปัสสนาเองได้ ซึ่งตรงนี้แหล่ะค่ะ เป็นจุดเด่นของกรรมฐานจิตเกาะพระ ที่แตกต่างจากกรรมฐานกองอื่นๆ....ฉะนั้น...ถ้าเปรียบ สมถะ เหมือนน้ำ ตอนนี้คุณพรต่อน้ำเข้าบ้านคุณได้แล้วน่ะ อย่ามั่วเปิดน้ำทิ้งไปเสียเปล่าๆ โดยไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์น่ะจ๊ะ ขอให้คุณพรขยันและหมั่นทำในสิ่งที่ครูได้บอกไปแล้วในเมล์ฉบับที่แล้ว หมั่นพิจารณาจากสิ่งสมมุติทั้งหลาย หมั่นทำย้ำๆ ซ้ำๆ บ่อยๆ แล้วสิ่งสมมุตินี้แหล่ะ ที่จะนำพาไปสู่วิมุตติได้ในที่สุด...

    โมทนาสาธุ

    ครูเกษ
    ปล. ส่วนอาการปิติ ถ้ายังมีขึ้นมาอยู่ก็มีสติดูจิตไปค่ะ ปล่อยให้เค้าได้อิ่มไปกับความปีติตื้นตันที่มีต่อคุณงามความดี ความเมตตาของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์นี้ซะให้พอ เดี๋ยวจิตเค้าอิ่มไปกับอาการนี้แล้ว เค้าจะทิ้งและเดินผ่านไปเองค่ะ

    - ก่อนนอน นั่งคิดถึงพระจนง่วงแล้วก็ล้มตัวนอน
    - ก่อนตื่นนอน ไม่มีภาพพระขึ้นมาค่ะ มีภาพพระช่วงสลึมสลือ(ตอนตี3)
    - ส่วนอาการปิติไม่เอาสติไปตัดแล้วค่ะ

    วันนี้อ่านคำแนะนำของครูเกียรติและครูเกษ หลายรอบเลยค่ะ
    กราบขอบคุณค่ะครู พรจะทำให้ดีที่สุด อนุโมทนา สาธุ
    พรค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 เมษายน 2014
  2. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    วันนี้ขออนุญาตจัดเต็มน่ะค่ะ อิๆๆ เริ่มเบื่อกันรึยังเอ่ย....chearrchearrchearr

    - ครูค่ะ เมื่อวันอังคารจ้านายให้คิดคำนวนแบบก่อสร้างใหม่อีกรอบ ซึ่งแบบก่อสร้างอันนี้พรคิดแล้วผิดไม่ตรงกับเจ้านาย พรคำนวณยังไง ดูแบบยังไงก็ไม่ตรงกันค่ะ วันนี้ตั้งใจจะทำอย่างจริงจัง อยู่ๆก็มีความรู้สึกว่าต่อให้ยังไงแล้ววันนี้พรก็จะทำไม่ได้ แต่พรไม่เชื่อความรู้สึกค่ะ เพราะว่านั้นเท่ากับเราอู้งานเอาเปรียบนายจ้าง ไม่ดีแน่ เลยพยายามนั่งทำสุดท้ายก็ทำไม่ได้จริงๆ ปัญหาอยู่ที่ว่าพรไม่อยากไปติดหรือเชื่อในความรู้สึก จนขาดการพิจารณา เหมือนที่ครูเคยบอกว่าอย่าไปหลงกับดอกไม้ข้างทาง

    - ตอนนี้ที่ทำงานเขาให้พรเขียนบิลปลอมเยอะๆ พรไม่อยากทำเลย แต่นายสั่งมาก็ต้องทำ ถ้าไม่ทำคงต้องหางานใหม่
    - วันนี้เหมือนว่าตัวเองรู้ตัวตลอดเวลาค่ะ อย่างเช่น รู้ตัวว่าตัวเองกำลังคิดอะไร อ่านอะไรอยู่ ความรู้สึกตอนนี้เอียงไปทางไหน เมื่อก่อนจะรู้สึกว่ามี 2 คนในตัวเรา แต่วันนี้มีคนเดียว
    - ส่วนอาการปิติวันนี้มาบ่อยเลยค่ะ พรเลยปล่อยจิตให้ปิติเต็มที่เลยค่ะ ตอนเช้าน้ำตาร่วงเลยครู
    - ภาพพระวันนี้คิดถึงท่านได้น้อยค่ะ แต่พรรู้สึกนิ่งมาก
    - วันนี้อยู่ดีๆท้องผูก ทุกข์เลยค่ะครู ท้องเสียก็ทุกข์ ท้องผูกก็ทุกข์ มวลท้องเป็นระยะ สุดท้ายมาถ่ายออกตอน 3 ทุ่ม

    กราบขอบคุณสำหรับคำสอนและแนะนำนะค่ะ พรจะทวนสิ่งที่ครูสอนเรื่อยๆค่ะ อนุโมทนา สาธุ _/\_


    สวัสดีค่ะ
    ในเคสนี้เหมือนคุณพรไปท้าทายกับความรู้สึกที่มันรู้ขึ้นมา คือไม่เชื่อ แล้วก็ลงไปเล่นกับมัน จิตมันสั่งไว้แล้วว่า ทำไม่ได้ แต่สติบอกไม่เชื่อ ฉันจะทำดูว่ามันจะได้มั้ย

    - ใช่เลยค่ะครู พรลงไปเล่นทันที เพราะรู้สึกมันไม่ถูกต้อง ต่อไปจะวางมันให้ได้ค่ะ
    นี้โดนไอ้ตัวดีหลอกล่อเข้าให้แล้วมั้ยล่ะ สติหลุดจนทำให้ไหลไปกับความคิดปรุงแต่งที่ว่าไม่ถูกต้องนั่นแหล่ะ อย่าลืม ผู้ที่วางคือ จิตน่ะ ไม่ใช่สติ แต่สติจะต้องช่วยจิตให้วางให้ได้ คือ มีสติแค่รู้ เห็นเฉยๆ นี้แหล่ะ แล้วหมั่นบอกน้องจิตบ่อยๆ ด้วยว่า ไอ้ที่มรึงไปรู้ๆๆๆ อยู่ตอนนี้เนี่ย มันยังไม่ใช่ของดีเด่อะไรเล๊ย ยังมีอะไรที่ต้องให้รู้ดีกว่านี้อีก ฉะนั้น อย่าไปยึดติดมันมาเป็นตัวเป็นตนเป็นตุเป็นตะเลยน่ะน้องจิตเอ๋ย...ถ้าไม่วาง จิตจะเดินมรรคต่อไม่ได้ค่ะ ถ้าเปรียบก็เหมือน ล้อรถติดหล่มติดตมนั่นแหล่ะจ้า...

    ตรงนี้ ขอให้คุณพรวางกำลังใจให้ถูกน่ะ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรมก็จริง แต่ถามว่า เรามีเจตนาที่ทำเองมั้ยล่ะ มันเป็นหน้าที่ที่ต้องทำตามคำสั่ง เราผู้ปฏิบัติธรรมย่อมรู้สึกตะขิดตะขวางใจเป็นธรรมดากับสิ่งเหล่านี้ แต่อย่าให้จิตมันไปหดหู่กับความเลวของคนอื่นเลยน่ะ ให้กลับเข้ามาหาความเลวในตัวเราเองดีกว่า

    ถ้าเราต้องทำตามหน้าที่ โดยที่มิได้มีใจเห็นดีเห็นงามด้วยแล้ว โอเคครับ ส่วนร่างกายนั้น เป็นของหนักครับ เป็นภาระอันใหญ่หลวง เป็นกรรม
    ร่างกายบีบคั้นเราตลอดเวลา เป็นกรรมที่ทำให้เราหลงผิดได้ง่าย หลายคนทำเรื่องเลวร้ายก็เพราะตอบสนองร่างกายและความรู้สึกตัวกูนี้
    ครูหนุ่ม

    - เข้าใจแล้วค่ะ พรจะปฎิบัติตามค่ะ

    ส่วนอาการปิติเป็นอารมณ์ประมาณไหนค่ะ เล่ามาให้ฟังได้มั้ย พรรณนามาได้เลยค่ะ
    - ในครั้งแรกจะรู้สึกว่าพระพุทธเจ้ารู้และเห็นสิ่งที่เราทำตลอด ทำให้เราตื้นตันว่าท่านเมตตาจังยังเห็นคนตัวเล็กๆอย่างเรา
    - ครั้งต่อมา พรขอเปรียบกับ เด็กหลงทางกับพ่อ อารมณ์ประมาณเจอพ่อตัวเอง ครูคงเคยเห็นว่าเด็กจะดีใจมากๆ กอดพ่อ
    แน่นไม่ปล่อยเลย ดีใจที่เจอพ่อ เสียใจที่พลัดหลงกัน
    - ตอนนี้ หลังที่พลัดหลงกันไปนาน(เกิดตายไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ เบื่อแล้ว) รู้สึกว่าพ่อชวนเรากลับบ้านด้วยกัน อบอุ่นใจค่ะ

    โมทนาสาธุ นี้...ต้องให้มันได้อารมณ์ประมาณนี้เลยค่ะ ผู้ฝึกจิตเกาะพระ ที่จิตผ่านขั้นปีติต้องได้อารมณ์ความรู้สึกอย่างนี้ค่ะ พากันจำเอาไว้น่ะ ลูกศิษย์ทั้งหลายเอ๋ย...ตอนที่เราฝึก เป็นอยู่แบบนี้เกือบอาทิตย์ได้มั่ง เห็นภาพพระไม่ได้ น้ำตาไหลพรากๆๆๆ จนสะอื้นเฮือกๆ เลย ด้วยความคิดถึงพ่อ คิดถึงบ้านพระนิพพาน สาธุ

    การพิจารณาร่างกาย
    วันนี้ช่วง 11 โมงเช้า อยู่ๆก็ปวดท้องก็นั่งดูจนมันหายปวดเบื่อกายค่ะครู อยากปวดก็ปวดไม่มีสาเหตุ จะตามดูและตามรู้ไปเรื่อยๆค่ะ

    ให้ตามดูทุกวัน ในสิ่งที่มันเกิดขึ้นเป็นปกติอยู่ในทุกวันนี้แหล่ะค่ะ ไม่ใช่ พอเกิดอาการป่วย ปวดโน้นนี้นั่น ถึงจะเห็นที ไม่ใช่น่ะ พอป่วย ปวดขึ้นมาจะเห็นได้ชัด แล้วถ้าเป็นปรกติอยู่ล่ะ เห็นอะไรในความเป็นปกตินั้นมั้ย....อย่าลืม มาเฉลยให้เราฟังน่ะ ว่าตามดูแล้ว เห็นอะไรขึ้นมาบ้าง

    ขอให้คุณพรเดินไปหาท่านพ่อ ที่ยืนรออยู่บนปากทางกลับบ้านพระนิพพานในเร็วไวที่สุดนี้ด้วยเถิด สาธุ
    ครูเกษ

    ครูค่ะขอบคุณครูทุกท่านมากๆนะค่ะ พรจะปฎิบัติเต็มที่ค่ะ อนุโมทนา สาธุค่ะ _/\_
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 เมษายน 2014
  3. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ธรรมทานจากการบ้านลูกศิษย์:z4:z4:z4
    สวัสดีค่ะครู
    - วันนี้ที่ทำงานมีปัญหาส่วนตัวกันส่วนพรต้องไปเป็นพยาน ทั้งที่ไม่อยากจะยุ่งเลย ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่พอใจ คน2กลุ่มมีปัญหากันแต่เอาเรามาเป็นพยานส่วนใหญ่พยานจะซวยทั้งขึ้นทั้งร่อง แต่วันนี้พรยิ้มรับกับปัญหา ถ้านายเรียกไปถามก็จะพูดความจริง
    ผลจะออกมายังไงก็ยอมรับได้ค่ะไม่กังวล เป็นอย่างที่ครูบอกเลย จิตมาบอกทันที ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างนี้นะ พรก็นั่งยิ้มรับรู้และก็เฉยๆค่ะ และก็ทำอย่างที่ครูบอก
    ไอ้ที่มรึงไปรู้ๆๆๆ อยู่ตอนนี้เนี่ย มันยังไม่ใช่ของดีเด่อะไรเล๊ย ยังมีอะไรที่ต้องให้รู้ดีกว่านี้อีก ฉะนั้น อย่าไปยึดติดมันมาเป็นตัวเป็นตนเป็นตุเป็นตะเลยน่ะน้องจิตเอ๋ย

    - เมื่อเช้าคุยเรื่องคำนวณแบบก่อสร้างกับพี่ชาย ทั้งรู้และเห็นตอนนั้นเลยค่ะว่าตัวเองงี่เง่า อารมณ์ขึ้น พรเลยพิจารณาทันที อ๋อติด ตัวเราของเรา นี่เอง
    สาธุจ้า อือ เริ่มใช้ได้แร๊ะ ถ้าเริ่มเห็๋นความเลวของตนเอง ปัญญาเริ่มเกิดแล้วเห็นมั้ย สติเร็วขึ้นมากแล้วน่ะ ให้พิจารณาธรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้แหล่ะ สำคัญที่สุด

    ระหว่างเดินทางมาทำงาน คิดถึงหลวงพ่อขอปัญญาแก้ปัญหาให้หนูทีเหอะ
    สุดท้ายมีคนมาช่วยอธิบายงานให้เข้าใจค่ะ ^^ แต่ก็ยังคำนวณไม่ตรงกับของนายค่ะ ทุกปัญหามีทางออกของมันเสมอ
    สติมา ปัญญาเกิดน่ะจ๊ะ อย่าลืม

    การพิจารณาร่างกาย
    - วันนี้ไม่มีอาการป่วยค่ะปกติดี สิ่งที่ได้จากการพิจารณาคือ
    สังขารไม่เที่ยงวันนี้ดี พรุ่งนี้ป่วย ไม่แน่นอน อิ่มก็ปวด หิวก็ปวด กินสิ่งที่ดีสักเท่าไหร่เข้าไป พอออกมากลับเป็นสิ่งปฎิกูล ของเน่า ของเหม็น ไม่ยักจะดีเหมือนตอนเข้าเลย
    พอจะเริ่มเห็นบ้างรึยังว่า ไอ้เจ้าร่างกายนี้มันเป็นแค่เพียงถุงยางถุงหนึ่ง
    ที่มันยืดได้หดได้ มีปากรูบนกับปากรูล่าง ป้อนอาหารเข้ารูบน แล้วก็ออกรูล่าง
    อยู่อย่างนี้ตลอดทุกวันแรมเดือนแรมปีหลายปี ที่เรายังต้องยุ่งยากทำงานนี้
    ออกงานนั้น ก็เพราะต้องหาเลี้ยงไอ้เจ้าถุงทุกข์ถุงขี้ซึมนี้แค่นั้นเอง
    ไม่ว่าอาหารจะเลิศเลอเพอเฟค ราคาแพงแสนแพงสักปานใด สุดท้ายมันก็มาออกรูล่าง
    กลิ่นก็เหม็นเหมือนกันกับที่กินข้าวราดแกงจานละ 30 บาท กว้างแค่ศอก ยาววา
    หนาคืบ ทำไมต้องหาบ้านราคาแพงๆ รถแพงๆ ให้มันนั่ง ทั้งๆ ที่พอตอนมันตาย แม้แต่โลงที่ใส่ไปยังเอาไปไม่ได้เลย กิเลสคนหน๋อ กิเลสคน มันช่างร้ายเหลือคณานับจริงๆ


    - จิตเราไม่ได้แกว่งเหมือนเมื่อก่อน คือป่วยแค่กาย แต่จิตปกติดี
    อารมณ์ก็ไม่ได้แกว่ง สิ่งที่ได้ตอนช่วงที่ป่วยคือ เราสามารถแยกกายกับจิตออกจากกันได้โดยไม่น่าเชื่อ

    สาธุจ้า นี้เป็นเพราะสติตัวเดียวเท่านั้นค่ะ สติ เป็นผู้แยกกาย กับจิต
    ออกจากกันให้เราเห็น หมั่นทำไปเรื่อยๆ จ้า เดี๋ยวจะมีสิ่งที่ไม่น่าเชื่อค่อยๆ
    เกิดขึ้นมาให้เห็นอีกเรื่อยๆ น่ะจ๊ะ


    - อารมณ์ จะไม่ปล่อยผ่าน จะพิจารณาว่าเกิดจากอะไร ทำไม แล้วจะทำอย่างไงต่อ
    อาการปิติ
    - ยังมีอยู่ค่ะ พอนึกถึงพระ พร้อมกับประโยค "กลับบ้านเถอะลูก" มีก้อนมาจุกที่คอเลยค่ะ
    สาธุจ้า มามะ มากลับบ้านไปหาท่านพ่อไปพร้อมๆ กันกับพวกเรากันเถอะ
    เพราะเดินกลับบ้านคนเดียวเหงาแย่เลย...


    กราบขอบคุณครูทุกท่านนะค่ะ อนุโมทนา สาธุค่ะ _/\_
    พรค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 เมษายน 2014
  4. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ธรรมทานจากการบ้านลูกศิษย์
    :cool::cool::cool:

    > - วันนี้มีรอบเดือนค่ะ มีอาการปวดหลัง ปวดท้อง เป็นปกติ สวดมนต์ยังไม่เสร็จ ก็เล่นงานเราทันทีเลยค่ะ ปวดท้องต้องเขาห้องน้ำเดี๋ยวนั้น ระหว่างอยู่ในห้องน้ำนั้นก็พิจารณากายไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าร่ายกายนี่ไม่ใช่ของจริง ตายไปแล้วก็หมดไป กายเราจริงๆแล้วไม่มี
    ถ้ากายนี่สิ้นไป ก็เหลือแต่จิตดวงเดียว พอคิดถึงตรงนี้ ก็เหมือนได้ยิน "ไม่มีสุขไหนเท่าบ้านนิพพาน" ตอนนั้นคิดว่าเป็นเสด็จพ่อมาบอก เท่านั้นแหละ ร้องไห้เลยค่ะ

    > สาธุค่ะ กายนี้มันก็เป็นเพียงแค่ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่มาประชุมรวมกันเท่านั้นแหล่ะค่ะ ถ้าเปรียบก็เหมือน เสาปูน นั้นเอง ที่เกิดจาก ปูน ทราย ก้อนกรวด และน้ำ นำมาผสมรวมกันขึ้น และสิ่งที่เราดื่มกินเข้าไป ก็เป็นเพียงธาตุสิ่ ดิน น้ำ ไฟ ลม เช่นกัน ลองตามพิจารณาดูซิ ถ้าไม่เชื่อ กายนี้ตายไป ก็เหมือนท่อนฟืนท่อนหนึ่งเท่านั้นเอง

    - ครูค่ะ วันนี้พรอยากอ่านธรรมมะ จะอ่าน แต่เหมือนจิตเค้าไม่ยอมอ่าน ก็เลยดูว่าทำไมถึงไม่อยากอ่าน (ไม่กล้าท้าทายเหมือนวันนั้นแล้วค่ะ) พยายามกล่อมว่าอ่านแล้วดีนะ จะได้กลับบ้านนิพพานกันไง
    ดีแล้วค่ะ ทำถูกแล้ว ตามรู้ซื่อๆ ดูเฉยๆ ด้วยใจเป็นกลาง

    ระหว่างกล่อม เมล์ของครู ก็มาช่วยจิตทันที ยังคิดเลยว่าแก(จิต)รู้มากจริงๆ เพราะเวลาส่งการบ้านครู พรจะต้องตั้งใจ ต้้งสติ เพื่อรายงานผลของการปฏิบัติให้ได้มากที่สุด ส่วนคำตอบที่ได้คือ ตอนนี้พรลด (สิ่งบันเทิงเริงใจทั้งหลาย) เหมือนกับเด็กที่เคยกินขนมมาทุกวัน ลดขนม(กิเลส)ก็แย่แหละ ยังจะมาบังคับให้กินผัก(ธรรมมะ) ไหนจะโดนฝึกจิตอีก พอรู้ว่าจิตรู้สึกอย่างนี้
    ก็ได้แต่ดูและรับรู้อย่างเดียวค่ะ พรก็เลยทำการบ้านส่งครูดีกว่า
    > สาธุจ้า การปฏิบัติต้องเริ่มที่ตัวศรัทธาก่อน ต่อจากนั้นต้องเคร่งครัด และสร้างวินัยให้ตัวเอง ความดีทุกอย่างมันต้องฝืนก่อนค่ะ ช่วงแรกๆ อย่าพยายามปล่อยสติและจิตให้ไปอยู่กับทางโลกๆ มากนัก เพราะสติยังอ่อนหัดอยู่ แล้วมันก็เป็นตัวถ่วงในการปฏิบัติธรรมไม่ให้ก้าวหน้าพอสมควร แต่ต่อไปเมื่อเราฝึกสติได้เข้มแข็งมากขึ้นๆ แล้วเนี่ย จากที่เคยหลบหลีก จะเปลี่ยนเป็นต้องกลับมาวิ่งท้าชน(กิเลส สิ่งยั้วเย้า ล่อตา ล่อใจ) แล้วน่ะ เพราะมันเป็นการทดสอบจิต ทดสอบผลการปฏิบัติของเราได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ ว่าผ่าน หรือ ไม่ผ่าน ของจริงมันต้องท่าพิสูจน์ เพราะกิเลสมันไม่ได้มาตอนที่กำลังนั่งหลับตานิ ใช่ป่ะจ๊ะ?

    > ครูเกษ
    ปล. ถ้าจะให้บารมี10 ครบถ้วนทุกครั้งในการสวดมนต์ ขอให้คุณพรปิดท้ายด้วยการนำเงินมาใส่บาตรวิริยะด้วยน่ะ จะไส่ไว้วันละบาท หรือ เท่าไรก็ได้ตามสะดวก พอบาตรเต็มแล้วเราก็นำเงินนั้นไปทำบุญที่วัดได้บุญอีกต่อหนึ่งด้วยค่ะ สาธุ


    พรจะไปหาบาตรมาค่ะครู สาธุค่ะ
    กราบขอบคุณนะค่ะครู อนุโมทนา สาธุค่ะ_/\_
     
  5. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ธรรมทานจากการบ้านลูกศิษย์(f)(kiss)(f)

    - ก่อนนอน เมื่อคืนแม้จิตจะกังวลเรื่องความกลัว กลัวอะไรค่ะ นี้แสดงว่า สติหลุดปล่อยให้จิตไหลไปอยู่กับความกลัว จนลืมตามดูความกลัวให้จิตเห็นแจ้งถึงความจริงในความกลัวนั้น คราวหน้าอย่าปล่อยให้จิตไหลไปจับกับความกลัวอีกล่ะ เอาชนะมันให้ได้น่ะ เจ้าความกลัวนี้ อย่าวิ่งหนีไปเกาะแต่พระล่ะ แต่ก็คิดถึงพระจนหลับไปค่ะ

    - ก่อนตื่นนอน ไม่มีภาพพระค่ะ แต่พอตื่นแล้วภาพพระก็มา แล้วก็คิดว่าความกลัวที่อยู่กับเราเมื่อวานยังอยู่ไหม ปรากฏว่าไม่อยู่แล้ว หายสาบสูญ
    เห็นมั้ยค่ะ สุดท้ายทุกอย่างก็หนีไม่พ้นกฎของไตรลักษณ์ สุดท้ายทุกสิ่งอย่างมันก็เป็นอนัตตา แล้วไยเจ้าไปมัวให้จิตหลงยึดไปกับเจ้าความกลัวนั้นอยู่ทำไมกัน รีบปลดละวางมันออกจากความกลัวนั้นโดยเร็วไวซะน่ะ โดยมีสติเห็นมันบ่อยๆ น่ะ

    - อาการ อารมณ์ตอนจับภาพพระ วันนี้มีอาการแปลกค่ะ เหมือนอกมันจะระเบิดเลยค่ะ ศีรษะเหมือนโดนดูดขึ้น ดูอยู่สักพักก็หายคะ อารมณ์โดยรวม ก็จะนิ่ง โปร่ง ค่ะ
    ทำงานอยู่ ก็นั่งดูคนนั้นคนนี้เดินไปมา รู้สึกว่าทุกอย่างที่เห็นตรงหน้า มันไม่มีตัวตน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตอนกินข้าวกลางวัน ได้เห็นว่าจิตไม่ได้หิวนะ กายนี้ต่างหากที่หิว กายนี้กินแล้วอิ่ม
    สาธุจ้า ทำไปๆๆๆๆๆ นี้แหล่ะ เป็นอาการของจิตที่เค้าออกมาวิปัสสนาจ้า ค่อยๆ เห็นไปทีละอย่างสองอย่าง ทีละเรื่องสองเรื่องน่ะ เดี๋ยวเมื่อจิตมันเข้าใจเห็นแจ้งด้วยตัวของมันเองแล้ว มันก็จะค่อยๆ วางลงไปทีละอย่างสอง เช่นกันจ้า...

    ตอนดูละคร ที่เคยเล่าให้ครูฟัง เหมือนแค่เห็นภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า
    สาธุ ตรงนี้เราเข้าใจค่ะ มันไม่มีอารมณ์ร่วมใดๆ เข้าไปเลยใช่มั้ย คือ ดูแล้วไม่อินเลย มันเหมือนอยู่กันคนละโลกเลยเน้อ มันเป็นอาการอย่างหนึ่งของการแยกกาย แยกจิต เป็นอาการของจิตที่เค้าเข้าสมาธิในขณะที่ลืมตาค่ะ เข้าใจกับคำว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น รึยังค่ะ ประมาณอย่างนี้แหล่ะ

    - ภาพพระ วันนี้เห็นเป็นองค์เต็ม มีรัศมีสีขาว มีอยู่ช่วงหนึ่งเห็นมีนางอัปสรมาโปรยดอกไม้ด้วย ตอนนั้นคิดว่าเ อ้ย..มาได้ไงฟุ้งซ่านแล้ว พอรู้ตัวก็ดูเฉยๆ ไม่ไปยุ่ง อย่างนี้แหล่ะค่ะ ที่เค้าเรียกว่า รู้-วาง น่ะ สักพักก็หายไป แล้วก็เห็นภาพพระเหมือนเดิม

    การพิจารณาเจ้าถุงทุกข์ถุงขี้ซึม(ร่างกาย) จากที่รายงานเข้ามา ใช้ได้แล้วค่ะ ให้มันได้อย่างนี้ซิ ให้พี่สติช่วยน้องจิตตามดูไปเรื่อยๆ น่ะ แล้วเดี๋ยวน้องจิตเค้าจะค่อยๆ เห็นแจ้งถึงความจริงแห่งธรรมชาติของก้อนธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม นี้เองค่ะ เดี๋ยวสักวันมันจะโป๊ะเช๊ะขึ้นมาเองน่ะ ่สาธุ

    ส่วนการอ่านการบ้าน และรายงานการบ้าน บอกหลายครั้งแล้วว่า อย่าใช้สมองอ่านหรือเขียน ให้ใช้จิตอ่านและเขียนยังไงล่ะจ๊ะ แล้วให้กลับไปอ่านทวนดูในสิ่งที่ควรปฏิบัติดูซิว่ามีอะไรบ้าง

    สิ่งที่รายงานเข้ามาก็ดีอยู่แล้วค่ะ แต่ต่อไปขอให้เพิ่มการรายงาน กิเลสในแต่ละวันของตัวเองเข้ามาด้วยน่ะว่ามีอะไรบ้าง เมื่อมีสิ่งที่เข้ามากระทบอายตนะทั้ง 6 (หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ) แล้วเป็นยังไงบ้าง มี รัก โลภ โกรธ หลง ใดๆ ขึ้นมา ได้มีสติไปเห็นทันมันมั้ย...ประมาณนี้ค่ะ

    โมทนาสาธุ

    ครูเกษ

    ขอบคุณค่ะครู ที่อดทนและเมตตากับพร จะทำให้ดีที่สุดค่ะครู
    อนุโมทนา สาธุค่ะ_/\_
     
  6. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ธรรมทานจากการบ้านลูกศิษย์...และแล้วก็มาถึงฉบับสุดท้าย(ดีกว่า) มากไปกว่านี้เดี๋ยวจะเฝื่อกันไปซะก่อน...ก็พอเป็นน้ำจิ้มค่ะ พอหอมปากหอมคอกันแค่นี้ก่อนน่ะค่ะ นี้เป็นตัวอย่างบางตอนในการฝึกจิตเกาะพระของดวงจิตดวงนี้ค่ะ ที่นำมาลงพร้อมกันหลายๆ ฉบับ ท่านจะได้เห็นถึงความก้าวหน้าและพัฒนาการของจิตดวงนี้ เป็นลำดับๆ ไป ที่กว่าจะกระเทาะกิเลสออกไปจากจิตดวงนี้ให้ค่อยๆ ใสขึ้นๆ ได้นั้นต้องมีวินัย ใส่ความเพียรในการฝึกสติอย่างไรกันบ้าง เชิญโมทนาบุญกับความเพียรชอบของดวงจิตดวงนี้กันให้ชุ่มปอดฉ่ำจิตเลยค่ะ สาธุ:z8:z8:z8

    -ตา วันนี้ไปเชียงเม้งมาค่ะ ตื่นแต่เช้า ตั้งแต่ออกเดินทางรู้สึกพอตาเห็นคำถามที่เกิดถึงตลอดการเดินทางคือมันเที่ยงไหม เห็นต้นไม้ สิ่งปลูกสร้าง มันจะดับหายไปไหม จะอยู่อย่างนี้ไปอีกนานไหม จะหายไปตามกาลเวลาไหม คำตอบที่ได้ทุกครั้งคือไม่มีอะไรที่คงอยู่ได้ตลอดไปแม้แต่ธรรมชาติเองก็ตามที เป็นอยู่อย่างนี้จนเดินทางกลับค่ะ
    ขอถาม ไอ้อาการที่เล่ามา มันผุดขึ้นมาถามเองตอบเองเออเองพิจารณาเองโดยที่เราไม่ได้ตั้งท่าตั้งใจใส่คำถามมันเข้าไปเลยใช่มั้ยค่ะ

    -จมูก+ลิ้น กินข้าว ขนม เหมือนผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้ติดรสชาติ แต่กินด้วยความเคยชิน เช่นร้อน อยากกินน้ำอัดลม ไปหนองมน ต้องกินข้าวหลาม

    -หู+ใจ ระหว่างทางเปิดเพลงฟัง จากที่เคยฟังว่าเพราะ 100% ตอนนี้เหลือ 50 % มีบางช่วงไม่ฟังเลย โดยปกติ ความอยากจะนำให้เราทำโน้นนี่นั้น แต่วันนี้รู้สีึกว่าเราทำสิ่งต่างๆจากความเคยชิน สาธุค่ะ เมื่อจิตละเอียดขึ้น สติเข้มแข็งขึ้น มันจะเห็น และสามารถแยกแยะเรื่องอย่างนี้ออกมาได้เองค่ะ มีความอยากแทรกเข้ามาน้อยกว่าทุกวัน วันนี้รู้ตัวเลยว่าจิตพอเข้าได้เห็นในสิ่งที่ทุกอย่างล้วนดับลง ไม่มีความเที่ยง เหมือนเขาเบื่อค่ะ แต่พรเองกลับคุยเล่นได้ปกติค่ะ
    อือ..เข้าใจค่ะ ก็คุณพรฝึกสติมาจนสามารถแยกกาย(ทางโลก) แยกจิต(ทางธรรม) ได้ในระดับหนึ่งแล้วยังไงค่ะ ยินดีด้วยค่ะ จิตคุณพรกำลังเดินหน้าไปอีกก้าวแล้วน่ะค่ะ ไอ้ตรงที่เห็นมากๆ เข้าแล้วเริ่มเบื่อนี้แหล่ะค่ะ

    อารมณ์ที่เข้ามากระทบ ความกลัวคือกลัวเขาโกรธ กลัวเขาว่าเอา ทั้งที่พรก็ดูนะค่ะ ยังคิดเลยว่าจะกลัวทำไม ตามดูไปเรื่อยๆ เลยเห็นว่า กลัวว่าถ้าคนๆนี่โกรธ เราจะทำงานลำบาก กลัวว่าจะต้องหางานใหม่ กลัวเพราะตอนนี้ตัวเองยังมีภาระค่าใช่จ่าย
    บางคนบอกพรเป็นคนหัวอ่อน ก็อาจจะจริง แต่ตอนนี้คิดว่าการเกิดขึ้น ทุกอย่างมันมีเหตุแห่งกรรม กฎแห่งกรรมเที่ยงธรรมเสมอ ถ้ายอมแล้วจบกันพรยอม ไม่อยากเปลี่ยนจากคนรู้จักมาเป็นเจ้ากรรมนายเวรกัน ให้จบกันในชาตินี้
    สาธุค่ะ แรงของกรรมมันบีบให้คนๆหนึ่งต้องตัดสินใจ หรือกระทำไปตามอย่างที่ไม่อาจคาดคิดได้เสมอ แรงกรรมมันสามารถปิดหูปิดตาปิดใจให้คนฉลาดกลายเป็นคนโง่ หูหนวก ตาบอด หัวอ่อน ใจเสาะได้...แต่สำหรับความโกรธจากที่เขียนมานั้น มันเป็นอาการของการส่งจิตออกนอกกายนอกใจตัวเองมากไปค่ะ เพราะตัวสังขารขันธ์ คือ เจ้าความคิดปรุงแต่งมันทำงาน สติหลุดปล่อยให้จิตไหลไปกับความคิดกังวลที่ยังมาไม่ถึง งานนี้ขาดทุนล้วนๆ เพราะทุกข์ไปล่วงหน้าแล้วกับสารพัดความกลัวที่ยังมาไม่ถึง แถมยังไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ซะด้วยซ้ำ จริงมั้ย?

    คุณพร...คุณพรรักพระรัตนตรัยมั้ย และเชื่อมั่นในแก้ว 3 ประการนี้มั้ยค่ะ ถ้าคุณพรรัก เชื่อมั่น ศรัทธาในพระรัตนตรัยแล้ว ขอให้มั่นใจในทุกๆ สิ่งที่คุณพรทำอยู่และประสบอยู่ ถ้ามันอยู่ในศีลในธรรมแล้ว จงเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองปฏิบัติอยู่น่ะ ว่าความดีที่ตนเองทำอยู่จะปกปักรักษาคุ้มครองเราให้พ้นจากหายนะ และคนไม่ดี รวมทั้งศรัตรูหมู่มารทั้งหลายได้ค่ะ ถ้าทำได้อย่างนี้กำลังใจมันจะแน่นขึ้นมาก เจออะไรๆ ก็ไม่กลัวแล้วค่ะ แม้แต่ความตาย....ชีวิตเราผ่านอะไรมาเยอะ ผ่านมามากกว่าคุณพรเสียอีก เราผ่านมาได้ก็ด้วยพลังของแก้ว 3 ประการนี้แหล่ะค่ะ พลังมันจะมากน้อยแค่ไหน มันก็จะขึ้นอยู่กับความรัก ความเชื่อมั่นศรัทธาของคุณพรเองที่มีต่อแก้ว 3 ประการมากน้อยแค่ไหนค่ะ

    โมทนาสาธุ
    ครูเกษ


    ขอบคุณนะค่ะครูที่คอยเตือน อนุโมทนา สาธุค่ะ _/\_


    ขอถาม ไอ้อาการที่เล่ามา มันผุดขึ้นมาถามเองตอบเองเออเองพิจารณาเองโดยที่เราไม่ได้ตั้งท่าตั้งใจใส่คำถามมันเข้าไปเลยใช่มั้ยค่ะ
    ใช่ค่ะครู แค่คิดว่าระหว่างทางเราคิดถึงพระไปเรื่อยๆดีกว่าเน๊อะ แค่คิดเท่านี้เอง คำถามมาเรื่อยๆเลยค่ะ เห็นอะไรก็ถาม อันนี้เที่ยงไหม แล้วอันนั้นละจะเที่ยงไหมส่วนคำตอบเขาก็มาของเขาเอง พรยังงงๆเลยค่ะ แต่ก็ได้แต่รู้แล้ววางค่ะ
    สาธุ ทำถูกแล้วค่ะ ให้พี่สติตามดู รู้จิตเค้าทำงานไปด้วยใจเป็นกลางอย่างนี้แหล่ะ นี้เป็นอาการของจิตที่เค้ากำลังวิปัสสนาน่ะ

    ความเชื่อมั่นศรัทธาของคุณพรเองที่มีต่อแก้ว 3 ประการมากน้อยแค่ไหนค่ะ
    เชื่อมันมากที่สุดเลยค่ะ
    ถ้าคุณพรเชื่อมั่นมากที่สุด ก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้วค่ะ ให้นึกถึงคุณของพระรัตนตรัยเข้าไว้ค่ะ แล้วเดี๋ยวพระท่านจัดให้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ถ้าเราอยู่ในศีลในธรรมแล้ว คนดีๆ ที่ทำดีอย่างไม่ถอย แล้วไม่หลงดีด้วยน่ะ ยังไงท่านก็ไม่ให้อดตายหรอกค่ะ ถึงแม้จะไม่ได้ร่ำรวยก็เถอะ ขอบอกว่า การทำดี มันจะมีสิ่งเข้ามาวัดกำลังใจในการทำความดีของเราเสมอๆ ค่ะ

    ส่วนความกลัว พรจะไม่ปล่อยจิตให้ไหลตามมันไปอีกค่ะ มีสิ่งเดียวที่จะช่วยควบคุมจิตได้คือ สติค่ะ ถ้ามันคิดขึ้นมาปุ๊ป เห็นปั๊บ อย่างนี้บ่อยๆ เรื่อยๆ สติก็จะกลายเป็นกำแพงกั้นจิตไม่สามารถปล่อยให้จิตไหลออกมาได้ค่ะ ทำไปๆๆๆ

    ก่อนนอน เมื่อคืนเหมือนไม่ได้นอนเลยค่ะ หลับๆตื่นๆตลอด บางทีหลับแต่เหมือนไม่หลับค่ะ ตอนประมาณ 5 ทุ่ม พรว่าตัวเองหลับอยู่นะค่ะ แต่รู้ตัวว่ามีคนเดินอยู่ในครัว ก็เลยลืมตาดูปรากฎว่า พี่ชายกลับมาบ้าน 2 วันแล้วที่นอนน้อย วันนี้ช่วงบ่ายมีอาการง่วงนอน แต่ไม่หลับนะค่ะ
    เป็นอาการของจิตตื่น จากการฝึกสติจนเกาะพระติดเป็นอัตโนมัติแล้วค่ะ แต่ตื่นมาก็ไม่เพลียใช่มั้ยค่ะ

    ก่อนตื่นนอน ไม่มีภาพพระค่ะพอตื่นแล้วภาพพระก็มาทันทีค่ะ

    หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ
    ครูค่ะ ยอมรับเลยว่าวันนี้พรมีความอยากแต่ไม่อยากมาก เช่นตื่นมาอยากดู อยากรู้ ข่าวการเมือง จะอินมาก ดูจากที่บ้านไม่พอค่ะ มาดูข่าวต่อที่ทำงาน ประมาณอยากรู้ทุกแง่มุม แต่วันนี้ดูแค่รู้ และไม่ได้ไปค้นต่อที่ทำงานอีก พอดูข่าวเสร็จ ก็มาคิดว่ารู้แล้วยังไงต่อเหรอ วางเถอะ
    อ่า...สติไปเห็นความอยากแล้วใช่มั้ยล่ะ ถ้าเมื่อก่อนไม่ฝึกสตินี้จะมองไม่เห็นมันน่ะ จริงมั้ย? ความอยากก็จะมีอิทธิพลต่อจิตมาก จนเห็นเป็นเรื่องปกติ เพราะเกิดจากที่เราทำเป็นประจำ ส่งจิตออกนอกตลอดซะจนเคยตัวจนรู้สึกเป็นเรื่องธรรมดา ก็อย่างนี้แหล่ะ ที่คนทางโลกอ่ะ จะเที่ยวไปรู้เรื่องของชาวบ้านเขาไปโหม้ด แต่มีอยู่อย่างเดียวที่ไม่เคยรู้เลย คือ เรื่องของตัวเอง

    อารมณ์ที่มากระทบระหว่างวัน ความอยากรู้ อยากดู ความอยากทั้งหลาย ที่มากระทบ พอได้รู้ ได้เห็นแล้ว เกิดอาการ ได้รู้แล้วไง ได้เห็นแล้วไง สนองความอยากแล้วไง มันไม่ได้รู้สึกซาบซ่า ดีใจ เหมือนเมื่อก่อน พรรู้สึกเฉยๆค่ะ
    555 ชีวิตชักจะเป็นเหมือนแกงจืดเข้าไปทุกวันๆแล้วใช่มั้ยค่ะ อิๆๆ ถ้ามีความรู้สึกอย่างนี้แล้ว เริ่มใช้ได้ๆ ขึ้นมาทุกทีแล้วค่ะ ^_^ ..จุ๊ๆๆ แต่ขอบอกว่าเป็นแกงจืดที่รสชาดกลมกล่อมได้โดยไม่ต้องใส่ผงชูรสเลยน่ะ

    ภาพพระ ตอนแรกก็เป็นภาพพระที่เราคิดถึงประจำแต่ว้นนี้เห็นเป็นสมเด็จองค์ปฐมบ่อยๆค่ะ
    สาธุๆๆ บอกแล้วไงจ๊ะ ว่าจิตเค้าจะเป็นคนเลือกภาพพระของเค้าเอง ตอนนี้ให้จิตจับภาพสมเด็จองค์ปฐมองค์นี้เลยน่ะ ใช้แทนภาพเก่าได้เลยค่ะ แล้วท่านเป็นองค์สีอะไรค่ะ

    โมทนาสาธุ
    ครูเกษ
    ปล. เออ..เดี๋ยวเราจะเอาการบ้านของคุณพรลงกระทู้เพื่อเป็นธรรมทานสักหน่อยน่ะจ๊ะ

    ขอบคุณค่ะครู อนุโมทนา สาธุค่ะ
    พร
    chearrchearrchearr
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 เมษายน 2014
  7. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]

    *** ควรจะเป็นคนรู้ตัวดีกว่า อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัว ***
    ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง


    มีบางคนตัดพ้อ บางรายบอกว่าบุญก็ทำ ผ้าป่าก็ทอด กฐินก็ทอด บาตรก็ใส่ ทำไมยังป่วยไข้ไม่สบาย มีความเจ็บไข้เรื่อย มีเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามาเป็นทุกข์ทำให้เกิดความเดือดร้อน ถึงกับเบื่อหน่ายในการทำบุญทำกุศล โทษพระพุทธศาสนาว่าไม่ช่วย อันนี้ฉันได้ฟังบ่อยๆ

    คนประเภทนี้ไม่ไหวหรอก ชาตินี้เป็นทุกข์ แล้วชาติหน้าก็ยังเป็นทุกข์ ทุกคนควรจะรู้ตัวว่า การเกิดมานี้เราไม่ได้เกิดมาดีกันนี่ ถ้าเราเป็นคนดีเราจะมาเกิดทำไม เราก็ไปนิพพานแล้ว ไอ้ที่เรายังเกิดอยู่ เพราะเรายังมีเลวอยู่มาก ควรจะรีบชำระสะสางความเลวให้สิ้นไป ควรจะเป็นคนรู้ตัวดีกว่า อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัว ไอ้คนรู้ตัวกับคนเห็นแก่ตัวมันต่างกัน
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุ ทั้งครูผู้สอน(ครูเกษ) ทั้งศิษย์

    หากผู้ปฎิบัติได้อ่านแล้ว น่าจะได้อะไรๆดีกลับไปเยอะทีเดียว
    นับว่ามีประโยชน์มากสำหรับผู้ปฎิบัติ
    เมื่ออ่านแล้ว เราจะสัมผัสจิตเขาได้เลยว่า จิตเขาจะพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ
    ผ่านกรรมฐานแรกไปแล้ว ต่อไปจะต้องผ่านวิปัสสนากรรมฐานด้วย
    เพราะคำว่าปล่อยวาง จักต้องใช้กรรมฐานกองสุดท้าย
    กองแรกไม่ใช่ ไม่มีประโยชน์ ไม่มีความสำคัญนะ
    สำคัญเลยทีเดียว สมาธิหรือฌานก็เปรียบเสมือนบันไดที่จำเป็นต้องขึ้นไปที่สูง นั่นเอง
    เมื่อไปถึงแล้ว บันไดนั้นก็หมดประโยชน์ทันที หมายถึงเราไม่ไปยึด ไปเกาะอีกต่อไป

    เพราะฉะนั้น หากเราไม่ลงมือทำเอง ย่อมไม่มีทางรู้และเข้าใจแน่
    โดยเฉพาะ คำว่า ปัจจัตตัง!

    อยากให้คนที่มาฝึกจิตเกาะพระพูดเอง หรือมาบอกเล่าเก้าสิบกับพวกเราเองจะดีมากเลย
    โดยเฉพาะที่ยกจิตเป็นจิตบุญแล้ว
    จะได้เป็นแบบอย่างที่ดีกับผู้ปฎิบัติต่อไปฯ

    เราพูดไป ก็เหมือนไปโฆษณากรรมฐานแนวจิตเกาะพระของเรานี้ดีกว่าอีก
    มันรู้สึกไม่ดีนะ อยากให้ผู้ใช้หรือผู้ปฎิบัติที่เขารู้เห็นเอง มาพูดเองดีกว่า

    ขอให้ทั้งครูผู้สอนและก็ศิษย์ เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ
    อีกไม่นานหรอก เดี๋ยวก็ยกๆแล้ว
    โมทนาสาธุ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 เมษายน 2014
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จิตใหม่นี่มันแจ๋วจริงนะ ​

    อยู่กับทุกข์ แบบสบายใจจริงๆ..ไม่อยากจะเชื่อ
    รีบๆเข้าทุกท่าน อย่ารอให้ทุกข์มาเยือน ค่อยปฏิบัติ
    สายเกินไปขอบอก..ทำจิตให้พร้อมก่อนกฎแห่งกรรม จะมาถึง

    วันนี้มีความรัก..พรุ่งนี้อาจไม่มี
    วันนี้มีบ้านอยู่..พรุ่งนี้อาจไม่ใช่(ใครหว่า อิอิ)
    วันนี้คุณพ่อคุณแม่ยังอยู่กับเรา...พรุ่งนี้ท่านอาจจากไป
    วันนี้มีลูกน้อยให้ชื่นชม...พรุ่งนี้ลูกอาจไม่อยู่
    วันนี้มีหน้าที่การงาน...พรุ่งนี้อาจตกงาน
    วันนี้สุขภาพดี้ดี ...พรุ่งนี้อาจนอนicu..

    ทุกข์ทั้งนั้น...เอาจิตออกมาจากกองทุกข์ทั้งหลายเร็วๆ ไวๆ ค่ะ อย่ารอให้ถึงวันนั้นเลย

    ขอยืมซีน Nooboonsawan Siriharksopon จิตบุญ๑๔๑ ตอบธรรมะ
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    เจอใครที่ไหนก็มีแต่พูดว่าจะไปนิพพาน
    ขอเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
    เกิดเป็นพรหมไม่เอา เกิดเป็นเทวดานางฟ้าไม่เอา จะไม่ขอมาเกิดอีกแล้ว
    แต่มีใครที่จะทำจริงทำจังอย่างที่พูดไหมเล่าเพียงสักคน
    หรือสักแต่เพียงท่องให้เป็นนกแก้ว นกขุนทองไป
    ร้องป่าวประกาศไปให้คนได้รู้ได้ยินเพียงเท่านั้น

    ถ้ายังคิดอยู่...ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อีกนานแสนนาน
    ถ้ายังพูด ยังท่อง ยังร้องป่าวประกาศอยู่...ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อีกนานแสนนาน

    แต่ถ้าหากลงมือทำจริงทำจัง เอาชีวิตเข้าแลกแล้วไซร้ คงอีกไม่นาน
    ท่านจะเห็นหน้าเห็นหลังเอง

    https://www.facebook.com/pitsanu.kukhamu​
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เอ่อ! แรงดีแฮ๊ะ

    น่าจะโดนหลายคนอยู่นะ
    ธรรมะของคุณที่ใช้นามว่า..ณุ ขุนกระบี่เดียวดาย

    อย่าเอาแต่พูดๆ พร่ำๆ ว่าจะๆจะจริงๆจังๆสักทีนึง
    ป่านนี้ ก็ยังไม่ได้ลงมือปฎิบัติสักที
    คิดดีแล้ว ขอให้ลงมือทำด้วย
    ผลจะเกิดหลังการปฎิบัติ
    เพราะฉะนั้น ทั้งปฎิเวธ(ผล) ทั้งปริยัติ ล้วนต่างมาจากการปฎิบัติแทบทั้งสิ้น
    เพราะฉะนั้น คนที่ชอบเอาแต่อ่านหรือฟัง ไม่ยอมลงมมือปฎิบัติเลย
    ก็ได้แค่ท่องจำ ได้แค่ปริยัติเฉยๆ คือรู้เฉยๆ
    แต่ภายในคือเรา หาปล่อยวางได้ไม่
    ท่องปริยัติ จดจำกันเข้าไป เกิดมากี่ชาติก็เหมือนเดิม คืออวิชชาคือโง่เหมือนเดิม
    คนโง่ในทางธรรม มิใช่คำด่า แต่เป็นคนที่หลง จมปักกองกิเลสแห่งตน
    แปลว่า ปล่อยวางเองไม่เป็น หรือปล่อยวางเองไม่ได้ นั่นเอง

    ฉะนั้น คำว่า ปฎิเวธ คือผล ก็คือการละ ปล่อย วางกิเลสตนนั้น
    ต้องได้มาจากการปฎิบัติธรรมด้วยตนเองเท่านั้น
    จะไปเห็นคนอื่นบรรลุธรรม เห็นธรรม ตามเขาได้ไหม
    การเห็นธรรม มิใช่ ตาเนื้อเห็นกันนะ อย่าเข้าผิด
    แต่ผู้ที่เห็นธรรมนั้นก็คือ ตาใน คือจิตตนนั่นเอง
    จิตธรรมดาก็ไม่สามารถมองเห็นได้อีก เพราะกิเลสมันหนา..ตราช้าง!
    ไม่ใช่ หนาธรรมดา
    กิเลสตนมันพอกพูนมากี่ภพกี่ชาติแล้ว เราจะมาห่ำหั่นเอาไม่กี่วัน กี่เดือน กี่ปี อย่างนั้นหรือ
    เราเห็นแต่คนหลอกกัน เคยเห็นจิตตนเอง หลอกตนเองไหม
    โดยเฉพาะ ผู้ปฎิบัติธรรม มักพบเจอกันบ่อย
    ว่าเราแน่แล้วนะ ว่าเราเจ๋งแล้วนะ แต่ทำไม พอเผลอสตินิดเดียวเอง
    จิตตกเลย พบทุกข์ทันทีเลย
    นี่แสดงว่า ผู้ปฎิบัติ ยังวิปัสสนายังไม่ขาด
    ยังอยู่เหนือ คำว่ ความสุข ความทุกข์ของเราจริงๆ
    สรุปแล้ว ยังไม่อยู่เหนือ คำว่า ขันธ์๕ จริงๆ เป็นต้น

    แค่จิตปัญญา ยัง ยัง ยังไม่พอหรอก ที่เราจะไปละหรืออยู่เหนือรูปนามของตนเอง
    โดยเฉพาะ นามสองตัวสุดท้ายนั้นด้วยแล้ว
    เพราะฉะนั้น จิตปัญญาธรรมดา ยังปล่อยวางนามละเอียดสองตัวนี้..ไม่ได้
    แต่จะปล่อยวางได้ เราจะต้องเจริญปัญญาให้มันเข้มข้นกว่านี้
    อันได้แก่ ทรงเอกัคคตารมณ์จนเป็นนิสสัย ดั่งลมหายใจเป็นของกายหยาบเขา
    ถึงกายหลับ แต่เราก็ยังหายใจกันโดยอัตโนมัติ เอกัคคตาฯก็เช่นเดียวกัน
    ต้องเอากันจริง ต้องบ้าดีกันจริงๆนะ ถึงจะได้มา
    ทำไม ผู้ปฎิบัติ ไม่เอาแบบอย่างของหลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัว หลวงพ่อฤาษีฯ
    หรือครูบาอาจารย์ทั้งหลาย โดยเฉพาะพระอริยเจ้าหรือพระอรหันต์ทั้งหลายกันเล่า
    ดูประวัติแต่ละท่านสิ แลกมาด้วยอะไร ชีวิตใช่ไหม
    ตอนนี้กำลังใจของผู้ปฎิบัติ มันอยู่แค่ไหน มีมากแค่ไหน เท่านั้นเอง
    ตอนแรกก็เอาดีนะ พอดีไม่กี่วัน เอาอีกแล้ว แวะนู้น ชมนี่
    นี่เขาเรียกว่า เอาไม่จริง!
    ทำไม เราเอาแต่อ่านฟังแต่ธรรมะท่านเฉยๆหล่ะ ทำไม ไม่นำมาปฎิบัติให้จงได้กันหล่ะ
    ดูเหล่าพระอริยเจ้า พระอรหันต์ ท่านรักเคารพพระรัตนตรัยกันแค่ไหน
    ผู้ปฎิบัติลองกลับมาดูตนเองกันซะใหม่สิ การปฎิบัติของตนมันยังหย่อนยานตรงไหนมั่ง
    ทีหนังหน้าหย่อนนิดเดียว มองดูอยู่นั่นแหล่ะ ทียังงี้ สนใจกันจัง!
    พระท่านบอกว่าให้อยู่กับกายใจของตนเองมาก บางคนก็อยู่กับกายมากจริงๆ
    จ้องดูแต่กาย ดูแต่เนื้อหนังมังสาฯ แต่มิได้มองให้ลึกลงไปข้างใน
    เหมือนหลวงตามหาบัวฯ แสดงธรรมให้พวกเราทั้งหลายฟังกันไปหมดแล้ว
    ท่านบอกว่า คนเรามิได้ต่างกันเลย ผู้หญิง ผู้ชาย หนุ่มสาวหรือว่าแก่ขนาดไหน
    พอเลยหนังที่หุ้มเนื้อกันอยู่นี้ มันน่าดูทีไหน สกปรกเหมือนกันหมด
    ไม่ว่าคนรวย คนจน กินอาหารดีหรือไม่ดี ก็เหมือนกันหมดนั่นแหล่ะ

    ก็ด้วยเหตุนี้เอง คนที่ไม่มีตาใน ไม่มีดวงตาเห็นธรรม ดั่งพระอริยเจ้าเขา
    เราก็จะเห็นแค่ตาเนื้อ เท่านั้นเอง มันก็ถูกต้องของเขาแล้ว
    คือสิ่งที่เห็นน่ะ ก็ของจริง ไม่ใช่ของปลอม แต่เป็นสมมุติธรรม มิใช่ ปรมัตถธรรม
    ตามที่พระตถาคตตรัสสอนกันมา..สาธุ

    ภูทยานฌาน

    ภูทยานฌาน ว่าจะเปลี่ยนเป็น ภูทยานญาณ หรือภูทยานธรรม
    ไม่ทันแร๊ะ ชื่อนั้นก็แค่ สมมุติ
    ชื่อนี้มันมีเหตุ มีที่มา ตอนนี้กำลังบ้า คือบ้าบุญภายใน คือบ้าฌาน
    ตอนนั้น นึกว่าฌานนี่ดีถมไปแล้ว สำหรับเราเองนะ
    แต่หารู้ไม่ เหนือฌาน คือญาณ เหนืออภิญญา คือธรรม
    สิ่งภายนอกจะเป็นอะไรก็ช่างมัน เป็นนายก เป็นกรรมกร เป็นขอทาน
    คนรวย คนจนก็ช่างมันเห่อ เพราะยังไงๆ เจ้าของทั้งหมดนี้ก็คือ โลก
    คือตายเมื่อใด ไม่ฝังก็เผาเท่านั้นเอง ในที่สุดก็ต้องตกเป็นสมบัติของโลกอยู่ดี
    ป๊าดดด เราเกิดมาทำไมเนี๊ย ถ้ารู้แจ้งกระจ่างอย่างนี้ (เพิ่งจะรู้สึกตัวกัน)
    เพราะต่างมัวไปลุ่มหลงกับสิ่งไร้สาระมานานจนชิน ติดนิสัย เป็นสันดานกันมาตั้งนานนมแล้ว

    สรุปตอนนี้ ภู..ไม่อยากทยานกับสิ่งใดๆแล้ว
     
  12. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]


    ถ้าหากคนเรามองดูเห็นความตายอยู่ใกล้ตนแล้ว
    ก็จะรีบขวนขวายสร้างคุณงามความดี
    ให้เกิดให้มีขึ้นแก่ตนเองได้
    ถ้าบุคคลไม่เจริญมรณานุสติกรรมฐานไม่ระลึกถึงความตายในวันหนึ่งวันหนึ่ง
    ไม่รู้ว่าตนเองจะตายในวันใดวันหนึ่งแล้วก็ย่อมเป็นคนประมาท
    เป็นคนที่หลงระเริงเพลิดเพลินอยู่ว่า
    ชีวิตของเรานี้จะอยู่ได้ยืนยาวนาน
    ไปหลายวันหลายเดือนหลายปี ก็จะมีความประมาท


    พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
     
  13. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    กำเนิดพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ กับ ตำนานแม่ย่ากาเผือกในภัทรกัป

    ตามประวัติเดิมๆ ในครั้งอดีตกาล ได้มีเรื่องเล่ากล่าวขานสืบทอดต่อๆ กันมาจนกลายเป็นตำนานสืบทอดต่อๆ กันจนถึงยุคปัจจุบัน เขาเล่ากันว่าในยุคต้นของโลกธาตุมีพญากาขาวอยู่ ๒ ตัว ผัวเมียอยู่กินด้วยกันมาด้วยความสงบสุขร่มเย็น ท่ามกลางมวลหมู่สัตว์นานาพันธุ์ ซึ่งมีจิตทิพย์ จิตประเสริฐ ก็จะมารวมตัวกันอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน รวมกันอยู่เป็นสังคมใหญ่

    ในกาลครั้งนั้นพระแม่กาขาวจึงได้ออกไข่จำนวน ๕ ฟอง แม่กาขาวเป็นผู้ฟูมฟักไข่ พ่อกาขาวก็จะเป็นผู้ที่จะออกหาอาหารมาให้อยู่กินกันมาด้วยความสงบสุข อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่พ่อกาขาวออกไปหาอาหารตามปกติ แม่กาขาวก็กกไข่อยู่บนรัง ณ ยอดไม้ใหญ่ใกล้ๆ กับชายทะเล ซึ่งต้นไม้ชนิดนี้มีชื่อว่า “ต้นโพธิ์ทะเล” ตามลำต้นโพธิ์ทะเลจะมีหนามขึ้นอยู่โดยรอบ มีใบคล้ายกับใบโพธิ์

    [​IMG]

    เมื่อพ่อกาขาวบินออกจากไปได้พักใหญ่ ท้องทะเลในบริเวณเกิดการแปรปรวนวิปริตผิดกว่าทุกๆ วัน ท้องฟ้าในทะเลเริ่มตั้งเค้าจับตัวกันเป็นพายุใหญ่ ลมจากทะเลเริ่มพัดเข้าสู่ชายฝั่งด้วยความรุนแรงและทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นลมพายุใหญ่เรียกว่า “ลมกรด” พัดหมุนเข้าสู่ชายฝั่งทะเล ด้วยกระแสที่รุนแรงมากพร้อมที่จะทำลายทุกๆ สรรพสิ่งที่กำลังขวางทางของมันอยู่ให้พินาศไปในพริบตา ต้นไม้ใหญ่น้อยริมชายฝั่งทะเลถูกลมพายุพัดกระหน่ำจนโค่นล้มลงมาทำให้ฝูงสัตว์ในบริเวณใกล้เคียงต่างก็หนีเอาตัวรอด เสียงสัตว์ร้องโอดครวญโหยหวนไปทั้งป่า เพราะต้นไม้มิได้โค่นล้มเพียงอย่างเดียว ฟ้าร้องฟ้าผ่าสายฟ้าฟาดลงมาจนทำให้เกิดเปลวไฟเริ่มที่จะลุกลามแผ่ออกไปเป็นรัศมีวงกว้าง ผู้ที่หนีรอดพ้นไปได้ก็วิ่งไปในฟากฟ้าป่าหิมพานต์ กระแสลมอันแรงกล้าได้โหมกระหน่ำเข้าสู่ต้นโพธิ์ทะเลถิ่นอาศัยของแม่กาขาว ซึ่งกำลังกกไข่อยู่ด้วยหัวใจที่กำลังแตกสลายกับเหตุการณ์ซึ่งกำลังเกิดขึ้น ไฟกำลังไหม้ป่าอยู่ด้านล่างฝูงสัตว์น้อยใหญ่ต่างก็หนีตายไปคนละทิศคนละทางไอร้อนจากด้านล่างก็แผดเผาขึ้นมาจนถึงข้างบน ลูกนก ลูกกาและสัตว์ป่านานาพันธุ์ก็ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือกันระงมไพรจนแม่กาขาวทนดูความเวทนาของสรรพสัตว์ไม่ไหว จึงตัดสินใจทิ้งลูกน้อยทั้งห้า ซึ่งกำลังฟักตัวเอาไว้แต่เพียงลำพังเมื่อกระแสของลมกรดโหมกระหน่ำเข้าสู่ต้นโพธิ์ทะเลใหญ่ได้หอบเอารังพร้อมกับไข่ทั้งห้าลอยไปกับกระแสของลมหวน กระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง

    [​IMG]

    ฝ่ายแม่กาขาวผู้มีสติปัญญาเมื่อบินออกจากรังไปก็พยายามที่จะหาทางช่วยหมู่สัตว์ ก็แลเห็นน้ำจึงพิจารณาเล็งเห็นว่าน้ำกับไฟไม่ถูกกัน ก็บินโฉบลงไปในหนองน้ำใหญ่ พุ่งตัวลงไปในหนองน้ำเพื่อที่จะเอาหางเอาขนดูดซับน้ำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ปากก็อมน้ำอีกส่วนหนึ่งเอาไว้ แล้วก็บินขึ้นสู่ท้องฟ้าพยายามที่จะสลัดปีก สลัดขนพ่นน้ำลงสู่กองไฟใหญ่ แต่น้ำน้อยย่อมที่จะแพ้ไฟ ไม่สามารถที่จะช่วยเหลืออะไรได้แล้ว ใจก็นึกพะวงถึงลูกของตนเมื่อคิดขึ้นได้ดังนั้นจึงบินกลับสู่รัง แต่ปรากฏว่าแม่กาขาวไม่สามารถที่จะหารังของตนพบได้ เพราะบริเวณในแถบนั้นโดนลมพายุพัดพินาศเสียหายเป็นวงกว้าง แม่ย่ากาขาวจึงรู้ได้ว่าไข่ทั้งห้าฟองโดนลมพายุใหญ่พัดพาไปหมดแล้ว ก็ปริ่มว่าจะขาดใจตายไปพร้อมกับลูกทั้ง ๕ แม่กาขาวจึงได้รำพึงอยู่ในใจว่า“ชีวิตของเรานี้หาประโยชน์อันใดมิได้เสียแล้ว ในเมื่อลูกทั้ง ๕ ของเราก็ได้พลัดพรากจากเราไปเสียแล้ว ถ้าอย่างนั้นเราจะขอใช้ร่างกายของเราให้เกิดประโยชน์กับเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เปรียบเสมือนลูกของเราเช่นกัน เพื่อให้สัตว์เหล่านั้นรอดพ้นจากภัยพิบัติในครั้งนี้”

    เมื่อคิดดังนั้นแล้วแม่กาขาวก็ตั้งจิตอธิฐานขอใช้น้ำเลือดทั้งหมดที่มีอยู่ในกายธาตุจงช่วยดับไฟเพื่อดับทุกข์เข็ญให้มวลหมู่สัตว์ทั้งหลาย พร้อมทั้งวิงวอนเทพาอารักษ์ ซึ่งอาศัยอยู่ในป่าอาศัยอยู่ตามต้นไม้ ขอจงมารวมพลังช่วยกันดับไฟเพราะเหล่าสรรพสัตว์กำลังเดือดร้อน กำลังจะถูกไฟคลอกตายเสียหมดเมื่ออธิฐานจิตเป็นที่เรียบร้อย แม่กาขาวก็พุ่งทะยานขึ้นไปบนนภากาศ แล้วก็บินดิ่งหัวพุ่งลงมาชนกับต้นไม้ใหญ่คอหักตาย ทำให้โลกธาตุเกิดการสั่นสะเทือนจากการกระทำ “ปรมัตถทาน” โดยการใช้ชีวิตทานเพื่อช่วยสรรพสัตว์เป็นที่สุดของการให้ทาน เมื่อตายไปแล้วแม่กาขาวก็ได้ไปเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาสอยู่ในวิมานคำปราสาททิพย์ ได้ชื่อว่า ฆฏิการพรหม และเมื่อลูกทั้งห้าได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ก็จะคอยนำเครื่องอัฐบริขารอันเกิดในดอกบัวทั้งห้าถวายเป็นทานแก่พระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ในมหาภัทรกัปนี้ซึ่งเป็นลูกที่เกิดจากไข่เมื่อครั้งที่ยังเป็นแม่กาขาว

    [​IMG]

    กล่าวถึงไข่ทั้งห้าที่ลอยกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทางก็ได้ลอยไปในสถานที่ที่ต่างกันและมีพญาสัตว์ทั้งห้าได้รับเลี้ยงไว้ดังนี้

    ไข่กาเผือกฟองที่ ๑ ไหลไปติดชายฝั่ง พอดีมีพญาไก่พร้อมด้วยบริวารออกมากินน้ำบริเวณนั้นได้พบไข่กาเผือกเข้าจึงเกิดความเมตตาได้เก็บเอาไข่กาเผือกฟองนั้นไปฟักและเลี้ยงไว้

    ไข่กาเผือกฟองที่ ๒ ลอยไปติดฝั่งเกาะชายหาดแห่งหนึ่ง พญานาคตนหนึ่งมาพบเข้าก็เกิดความสงสารมีความเมตตารักยิ่งกว่าลูกของตนจึงได้เก็บไปฟักและเลี้ยงดูไว้

    ไข่กาเผือกฟองที่ ๓ ลอยไปติดอยู่ที่หนึ่งซึ่งมีแม่เต่าตัวหนึ่งได้ไข่ลูกไว้ แม่เต่าหันมาเห็นไข่กาเผือกเข้ามีความยินดีมากได้เก็บไข่กาเผือกฟองนั้นไปพักและเลี้ยงรวมกับลูกของตัวเอง

    ไข่กาเผือกฟองที่ ๔ ลอยไปตามแม่น้ำคงคาไปติดอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง ยังมีแม่โคตัวหนึ่งได้ไปที่แม่น้ำก็เห็นไข่กาเผือกฟองนั้นใบใหญ่ขาวงาม และเป็นที่อัศจรรย์นักจึงได้เก็บไข่กาเผือกฟองนั้นไปฟักและเลี้ยงไว้

    ส่วนไข่กาเผือกฟองที่ ๕ ไหลไปตามแม่น้ำไปติดอยู่ที่แห่งหนึ่งมีแม่สิงห์ตัวหนึ่งพบเข้าในครั้งแรกจะเก็บไปกิน แต่เป็นที่อัศจรรย์ให้เกิดมีความเมตตาฟองไข่กาเผือกคิดว่าเป็นลูกของตนจึงเก็บไข่ฟองนั้นไปฟักและเลี้ยงไว้

    [​IMG]

    เมื่อแม่เลี้ยงทั้งห้านำไข่ไปฟักและคอยเลี้ยงดูจนไข่ฟักออกมากลายเป็นมนุษย์เพศชายทั้งหมดเป็นที่อัศจรรย์ แม่เลี้ยงทั้งห้าก็ได้เลี้ยงดูจนเติบใหญ่อายุได้ ๑๖ ปีจึงเกิดความสงสัยว่า “เรานี้เกิดมาจากไหนหนอ แม่ที่เลี้ยงเรามาจนเติบใหญ่อยู่ทุกวันนี้เป็นแม่บังเกิดเกล้าจริงหรือ ด้วยว่าแม่เราเป็นสัตว์ แต่เราเองเป็นมนุษย์” ทั้ง ๕ คนต่างก็คิดสงสัยเหมือนกันหมดทุกคนจึงตัดสินใจเข้าไปถามแม่เลี้ยงของตนถึงเหตุการณ์แต่หนหลังว่ามีความเป็นมาอย่างไร ทั้งแม่ไก่ แม่นาค แม่เต่า แม่โคและแม่ราชสีห์ ต่างก็เล่าและตอบถึงเรื่องราวเหตุการณ์ตั้งแต่หนหลังให้ลูกฟัง ลูกทั้ง ๕ เมื่อพิจารณาว่าอยู่กับแม่ต่อไปคงจะไม่มีประโยชน์อยากจะลาแม่เลี้ยงของแต่ละคนออกบวชเป็นฤๅษีอยู่ในป่า (เนื่องจากต่างคนต่างตั้งจิตอธิฐานจะแสวงหาทางดับทุกข์) จึงมาขอลาแม่เลี้ยงเพื่อออกบวชแต่แม่เลี้ยงไม่ให้ไป แต่ในที่สุดลูกทั้ง ๕ก็พูดจนแม่เลี้ยงยอมอนุญาตให้ไป โดยแม่เลี้ยงทั้งห้าได้ขอร้องอย่างหนึ่งว่า

    “เมื่อลูกได้ตรัสรู้เป็นพระโพธิญาณพระพุทธเจ้าโปรดสรรพสัตว์เมื่อใดแล้ว แม่ก็ขอฝากชื่อของแม่ไว้ด้วย เพื่อเป็นอนุสรณ์ของแม่ไว้ในวันข้างหน้า”

    แม่ไก่ขอฝากชื่อของตนไว้กับลูกเมื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วว่า “กกุสันธะ”

    แม่นาคขอฝากชื่อของตนไว้กับลูกเมื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วว่า “โกนาคมนะ”

    แม่เต่าขอฝากชื่อของตนไว้กับลูกเมื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วว่า “กัสสปะ”

    แม่โคขอฝากชื่อของตนไว้กับลูกเมื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วว่า “โคตมะ”

    แม่ราชสีห์ขอฝากชื่อของตนไว้กับลูกเมื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วว่า “อริยเมตไตรยะ”

    หลังจากนั้นลูกทั้งห้าต่างก็ลาแม่ของตนออกเดินทางเข้าสู่ป่าเพื่อประพฤติพรหมจรรย์โดยย้อมผ้าเป็นสีฝาดบวชเป็นฤๅษี ปฏิบัติบำเพ็ญภาวนามิได้ขาด เพื่อเข้าถึงโลกียญาณ อภิญญา เพื่อเป็นเหตุให้บรรลุโลกุตรธรรม ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโปรดเวไนยสัตว์ มีอยู่วันหนึ่ง พระฤๅษีทั้งห้าองค์ได้เดินทางมาพบกันใกล้เชิงดอยแห่งหนึ่ง มีชื่อว่า ดอยสิงคุตตระ (สิงหกุตตระ)อันประเสริฐถัดไปนั้นจะมีต้นไม้นิโครธต้นหนึ่งซึ่งสวยงามล้ำเลิศมีสัตว์นานาชนิดอยู่อาศัย ในเวลานั้นพระฤๅษี ทั้งห้าองค์ต่างคนต่างเดินมาถึงต้นไม้นิโครธนั้น ต่างคนต่างพูดคุยกันและถามถึงที่เกิด บ้านเมืองที่อยู่ และพ่อแม่ วัน เดือน ปี เกิดของแต่ละคน ซึ่งแต่ละคนต่างบอกเล่าตามที่แม่เลี้ยงของตนเล่าให้ฟัง พระฤๅษีทั้งห้าองค์ก็ทราบในทันทีว่าทั้งห้าองค์เป็นพี่น้องกัน เกิดร่วมแม่เดียวกันซึ่งเป็นลูกแม่กาเผือก พี่น้องทั้งห้าต่างก็มีความปีติยินดีหลังจากนั้นต่างคนต่างพิจารณาก็ทราบว่าคนที่อยู่หัวน้ำเป็นพี่ ลำดับกันมาจนถึงคนที่อยู่ท้ายน้ำเป็นน้องคนสุดท้อง

    ดังนั้นพระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ พี่น้องจึงพากันตั้งจิตอธิษฐานปรารถนาขอให้แม่กาเผือกมาปรากฏต่อหน้า เพื่อที่จะได้ตอบแทนพระคุณของแม่ คำอธิษฐานของพี่น้องทั้งห้าก็ได้ยินไปถึงพรหมโลก ฆฏิการพรหมก็รู้ด้วยญาณ จึงได้เนรมิตตนเป็นสุวรรณราชา กาใหญ่ตัวหนึ่ง ผู้มีปีกหางล้วนขาวงามมาปรากฏต่อหน้าพระฤๅษีทั้งห้าองค์ พระฤๅษีซึ่งทรงศีลอันบริสุทธิ์ได้กล่าวกับแม่กาเผือกว่า

    [​IMG]

    “ดูก่อนแม่กา ผู้มีปีกหางขาวงามซึ่งมาปรากฏอยู่ข้างหน้าเป็นแม่กำพร้าแห่งตูข้าทั้งหลาย อันพลัดพรากหายไปหรือไม่”

    อันว่าแม่กาเผือกซึ่งเป็นแม่ได้ยินคำพูดของลูกทั้งห้าก็กล่าวว่า “ดูก่อนเจ้าลูกรักทั้งห้าเราเป็นแม่ของเจ้าทั้งห้า แม่ได้ยินคำอธิษฐานของพวกเจ้า แม่จึงได้ลงมาจากวิมานคำปราสาททิพย์เนรมิตตนเป็นแม่กา ผู้มีปีกหางขาวงามเข้าสู่ร่มไม้นิโครธ”

    ขณะนั้นพระฤๅษีทั้งห้าองค์ต่างก็ปีติยินดีเข้าไปกราบไหว้แม่บอกถึงสาเหตุอันพลัดพรากจากไปให้แม่แจ้งทุกประการ พระฤๅษีทั้งห้าองค์จึงได้ปรึกษากันว่าเราเกิดมาชาตินี้ยังไม่ได้กระทำสิ่งใดทดแทนคุณของแม่ อันมีคุณอันหาที่จะประมาณไม่ได้เราพี่น้องทั้งห้า ควรที่จะขอให้แม่ประทับรอยเท้าไว้เพื่อกราบไหว้และบูชาดังนั้นพระฤๅษีทั้งห้าต่างองค์ต่างขอให้แม่ประทับรอยเท้าไว้เพื่อเป็นบุญแก่ลูกทั้งหลายในภายหน้า ฆฏิการพรหม จึงกล่าวคำว่า

    “สาธุ ความสุขสวัสดีจงมีแก่ลูกทั้งห้าพระองค์ แม่จะประทับรอยเท้า (รอยตีนกา) ตามใจแห่งพวกเจ้า ให้ได้เฝ้ารักษานับแต่บัดนี้ในภายหน้าขอให้ลูกกำพร้าบำเพ็ญบุญตอบแทนพระคุณของแม่ โดยให้จัดทำประทีปตีนกาใส่ด้วยน้ำมัน จุดไฟเอาไว้เป็นที่กราบไหว้ และบูชาตราบจนพวกเจ้าได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภายหน้า ตีนแม่กำพร้าอย่าได้สูญหายให้คงไว้ในชมพูทวีปให้ปฏิบัติสืบกันอย่าได้สูญหาย ความสวัสดีจงมีแก่ผู้กระทำแต่ประทีปตีนกา แม่ขอให้พวกเจ้ารีบเข้าสู่มหานิพพานอย่าคลาดแคล้วได้สมดังปรารถนามั่นเที่ยงแท้ดีแล”

    พระโพธิสัตว์เจ้ายามนั้นอยู่ใต้ต้นโพธิ์ จึงได้กล่าวเป็นนัยคาถาว่า
    “มูลฺปทีโป อีสีนคโณ โพธิสัตโต มหานุภาโว พรหมฆฏิกา มหาราชาอิทธิปุญญเตชะวา”

    ส่วนฆฏิการพรหม ยังให้โอวาทสอนแก่ลูกทั้งห้าแล้วก็เสด็จเข้าสู่พรหมโลกอันเป็นทิพย์วิมานปราสาทราชมณเฑียรแห่งตน พระฤๅษีทั้งห้าก็มาปรึกษากันว่า สถานที่นี้เป็นที่ประเสริฐกว่าที่อื่นใดทั้งหลาย เราพี่น้องทั้งหลายได้มาประสบพบกันแล้ว และได้พบแม่และแม่แห่งเรายังได้ประทับรอยเท้าไว้ให้เป็นสถานที่อันประเสริฐกว่าในโลกทั้งมวล เราพี่น้องควรมาปฏิญาณแก่กันที่ใต้ร่มไม้นิโครธที่เป็นศูนย์กลางทั้งหลายว่าในภายหน้าเราพี่น้องทั้ง ๕ องค์ ถ้าใครได้เป็นพระพุทธเจ้าก่อนให้เอาอัฐบริขารธาตุหรือพระธาตุอันใดอันหนึ่งมาบรรจุไว้ ณ ที่นี้เพื่อให้เป็นที่กราบไหว้สักการะแก่มนุษย์และเทวดา ณ สถานที่นี้อันประเสริฐเลิศกว่าที่อื่น

    หลังจากนั้นต่างคนต่างเข้าสู่ที่พำนักของตนในบรรณศาลาประพฤติพรหมจรรย์และบำเพ็ญเพียรมิได้ขาด เพื่อบรรลุพระสัพพัญญูตญาณอันยิ่งยวดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโปรดเวไนยสัตว์มนุษย์และเทวดา และพระฤๅษีทั้งห้า จะมาพบกันและจุดประทีปตีนกาเพื่อมากราบไหว้แม่ ณ สถานที่แห่งนี้ เมื่อครบรอบ ๑ ปี ในเดือนยี่เป้ง (วันลอยกระทง) ตามคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับแม่ ซึ่งพระฤๅษีทั้งห้า ได้กระทำเช่นนี้ทุกปีไม่เว้นจนตราบสิ้นอายุขัยจึงได้ไปจุติในสวรรค์มีหมู่เทพเป็นบริวารอยู่นานห้าพันปีทิพย์จึงได้มาเกิดในมนุษย์โลกเวียนว่ายตายเกิดบำเพ็ญบารมีไปเรื่อยๆหลายอสงไขยกัป เมื่อบำเพ็ญบารมีครบแล้วก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าตามลำดับดังนี้

    พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ในภัทรกัปนี้ (ภัทรกัปคือกัปที่เจริญมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๕ พระองค์)

    ๑. พี่ชายคนโต ได้บำเพ็ญบารมีจนแก่กล้าก่อนจึงได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนพี่น้องทั้งหลายในมหาภัทรกัปได้นำชื่อแม่เลี้ยงของพระองค์ในอดีตชาติคือแม่ไก่มาขนานพระนามว่า “พระพุทธเจ้ากกุสันธะ” เพื่อเป็นสักขีนามกร เนื่องจากแม่เลี้ยงได้มีคำสั่งไว้ คนทั้งหลายจึงกล่าวว่า กกุสันธะ ตนยิ่งประโยชน์ (ตนที่มียศสูงศักดิ์องอาจ) มาโปรดเวไนยสัตว์ เพื่อเข้าสู่นิพพาน และพระพุทธองค์ได้ระลึกถึงในอดีตชาติเมื่อเป็นพระฤๅษีทั้งห้าพี่น้อง ตามที่ได้ให้สัจจะวาจาไว้จึงได้นำเอาธรรมกรก (ที่กรองน้ำ) เพื่อเป็นมิ่งขวัญแก่มนุษย์และเทวดาจะได้กราบไหว้และสักการบูชา ณ ที่ร่มไม้นิโครธ

    ๒. มาถึงพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง ในมหาภัทรกัปนี้ได้ลงมาเกิดประเสริฐกว่าโลกโลกามีพระนามตามนิมิตนามกรแม่เลี้ยงตนแต่ก่อนที่สั่งไว้คือ พญานาค จึงได้ชื่อว่า “พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ” พระองค์ปราบโลกนำเอาสรรพสัตว์ข้ามวัฏสงสารให้ถึงพระนิพพาน พระพุทธองค์ได้ทรงระลึกอดีตชาติเมื่อเป็นพระฤๅษีทั้งห้าพี่น้องได้ให้สัจจะวาจาไว้จึงได้นำ ธารพระกร (ไม้เท้า) มีด้ามทำด้วยทองคำไว้เป็นที่สักการะแก่มนุษย์และเทวดา

    ๓. ถัดมาถึงพระพุทธเจ้าองค์ที่สาม ในมหาภัทรกัปนี้ลงมาเกิดในโลกก็ได้เอาชื่อแม่เลี้ยงของพระองค์ในอดีตชาติคือแม่เต่ามาตั้งชื่อจึงเรียกชื่อว่า “พระพุทธเจ้ากัสสปะ” นำเอาเวไนยสัตว์เข้านิพพาน เมื่อทรงระลึกถึงคำปฏิญาณในอดีตชาติ เมื่อครั้งเป็นพระฤๅษีทั้งพี่น้องจึงได้นำผ้าจีวรเหลืองใสงาม (ไม่หม่นหมองไม่มีมลทิน) มาไว้เป็นที่สักการะแก่มนุษย์และเทวดา

    ๔. ส่วนพระฤๅษีองค์ที่สี่ได้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารบำเพ็ญบารมีจนแก่กล้ากระทำบุญกริยาเต็มแล้วจึงได้มาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะราชา อายุ ๒๙ พรรษาได้ออกผนวชมีใจคิดโปรดเวไนยสัตว์ยามนั้น ฆฏิการพรหมซึ่งเป็นมารดาในอดีตชาติได้นำเอาเครื่องอัฐบริขารแต่ชั้นฟ้าลงมาถวาย พระองค์เล็งดูด้วยทิพยจักขุญาณจึงได้นำชื่อแม่เลี้ยงของพระองค์ในอดีตชาติคือแม่โคมาตั้งเป็นชื่อจึงได้ชื่อว่า “พระพุทธเจ้าโคตมะ” กาลนั้นเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๔๙ วัน ตปุสสะและภัลลิกะสองพี่น้องได้ถวายข้าวตูจำนวน ๔๙ ก้อนแด่พระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าโคตมะเมื่อทรงระลึกถึงคำปฏิญาณในอดีตชาติ จึงได้ประทานพระเกศาธาตุให้กับสองพี่น้องไปประดิษฐาน ณ ดอยสิงคุตตระ (สิงหกุตตระ) อันเป็นสถานที่อันประเสริฐ แล้วจะมีเทวดามาบอกถึงสถานที่พระศาสนาของพระองค์เป็นที่นักปราชญ์ มนุษย์และเทวดามากราบไหว้และสักการบูชาตราบจนสิ้น ๕๐๐๐ พระวัสสา ผู้ที่มากราบไหว้ใคร่ได้นิพพานก็จะสมดังปรารถนาเจตนาญาณบ่คลาดแคล้ว

    ๕. พระพุทธเจ้าโคตรมะได้กล่าวกับสองพี่น้องตปุสสะและภัลลิกะว่า “เมื่อศาสนาของพระตถาคตตั้งอยู่ครบ ๕๐๐๐ พระวัสสา ในอนาคตกาลยังมีน้องของพระองค์ที่ยังอยู่ในวัฏสงสารบำเพ็ญบารมีจนแก่กล้าจะได้มาเกิดในเมือง เกตุมดีราชธานี จะออกผนวชโดยฆฏิการพรหมจะเอาผ้าและบาตรลงมาถวายทานด้วยคำปฏิญาณรักลูก และพระองค์จะทรงบำเพ็ญทุกข์กิริยาจนได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปราบโลกทั้งสามได้นำชื่อแม่เลี้ยงของพระองค์ในอดีตชาติคือแม่สิงห์มาตั้งเป็นชื่อว่า “พระศรีอริยะเมตไตรย” และจะนำเอาพระมุนีธาตุอันวิเศษไปประดิษฐานไว้ในที่พระฤๅษีทั้งห้าพี่น้องมาชุมนุมกัน เทวดาจะผลัดกันเฝ้ารักษาสถานที่นี้มิได้ขาด แต่งเป็นพระมหาธาตุอันสูงส่งเป็นที่สักการบูชาแก่มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย

    ขอขอบพระคุณที่มาของบทความนี้ : แก้วอริยะ.คอม เปิดโลกพระศรีอริยเมตไตรย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2014
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    ห ม ด เ ว ร .. ห ม ด ก ร ร ม ..

    ผู้ที่หมดเวร หมดกรรมจริงๆนั้น ก็คือ..
    ผู้ที่ไม่มีความทุกข์ทางใจนั่นเอง

    เช่น คนที่เข้าถึงภาวนา เข้าถึงธรรม เข้าถึงพระรัตนตรัย เป็นต้น

    ถึงเรายังไม่ตาย ยังมีขันธ์๕หรือร่างกาย คือกองกิเลส คือกองแห่งทุกข์ของคนเรานี้
    มีแค่ทุกข์ทางกายเท่านั้น แต่ทุกข์ทางใจเรา ไม่มี

    ทุกข์คนเรานั้น ไม่มีผู้ใด จะหลีกหนีพ้น
    นอกจาก รู้และเข้าใจ คำว่า ทุ ก ข์ เท่านั้นเอง

    สรุปแล้วคือ นำจิตมาเดินมรรคมีองค์๘ จึงจะหลุดพ้นได้จริงๆ
    มิใช่ รู้แค่ทุกข์นั้น แปลว่าอะไร
    รู้ทางโลก มันรู้เฉยๆ แต่ถึงเวลาแล้ว ปล่อยวางไม่ได้หรอก
    สมองเรารู้ แต่จิตเรายังไม่รู้
    จิตรู้วางนั้นก็คือ จิตปัญญาหรือลำดับปัญญาของจิตเอง

    จิตปุถุชนหรือคนธรรมดา คือจิตผู้ที่มิได้ผ่านการภาวนาหรือฝึกจิตมาดี
    จิตมีสภาพรู้ลูกเดียว สงสัยลูกเดียว อยากรู้ อยากเห็นลูกเดียว
    จิตไม่ได้ฝึกมาดีก็เหมือนเด็กเล็ก นั่นไง เอาแต่ถามพ่อแม่ ยังช่วยเหลือตนเองไม่ได้

    เพราะฉะนั้น เราต้องทำจิตตนเป็นจิตอริยบุคคลให้ได้นะ
    สำหรับผู้ที่เป็นแล้ว เจริญแล้วและก็ทำต่อไป อย่าหยุดยั้ง
    ทำจนกว่าจะละขันธ์

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ..สาธุ

    ภูทยานฌาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 เมษายน 2014
  16. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]

    "อย่าไปพิจารณาในเวลาจิตที่สงบ ผิด จำให้ดีนะข้อนี้ มีผลเสียหายอยู่มากนะตอนนี้นะ ให้พากันจำ"


    หลวงตาตอบปัญหาจากเว็บไซต์หลวงตา
    เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖

    โยมกราบเรียนถาม : ความสงบของจิตที่เหมาะแก่การพิจารณาธรรม คือความสงบขั้นใด ขอท่านอาจารย์ได้โปรดเมตตาแสดงธรรมเพื่อเป็นหลักในการปฏิบัติแก่ลูกหลานด้วยนะขอรับ

    หลวงตาตอบ : เรื่องความสงบของจิตเรานี้ สงบขั้นใดเราก็พิจารณาปัญญาตามขั้นตามกำลังของเราได้ อย่างสงบเบาะๆ ธรรมดาจิตไม่ยุ่ง นี้ก็เรียกว่าจิตค่อยอิ่มอารมณ์เข้าไปแล้ว เมื่อจิตอิ่มอารมณ์เราพาพิจารณาทางด้านปัญญาก็เป็นไปได้ตามกำลังของเรา ถ้าจิตกำลังหิวโหยกับอารมณ์ดังที่ไม่มีสมาธิไม่มีความสงบเลย แต่จะพิจารณาปัญญาอย่างเดียวนั้น เรียกว่าเหลวไหลเลย ใช้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านถึงแสดงไว้ในบาทแห่งความหลุดพ้น ตั้งแต่ สีลปริภาวิโต แล้ว สมาธิปริภาวิตา และ ปญฺญาปริภาวิตํ ๓ ประเภท ศีลหนุนสมาธิให้จิตสงบเย็น สมาธิหนุนปัญญาให้เดินได้คล่องตัว ปัญญาซักฟอกจิตให้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ เป็นขั้นๆ อย่างนี้

    การพิจารณาทางด้านปัญญา เรามีความสงบแค่ไหนพิจารณาแค่นั้นก่อนถึงเวลาพิจารณา เวลาจิตสงบอย่าไปกวนนะ ถ้าจิตกำลังรวมสงบอยู่นี้ จะสงบกี่ชั่วโมงก็ตามอย่าไปกวน ปล่อยให้เป็นอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งจิตนี้ถอยออกมาแล้ว คิดอ่านไตร่ตรองอะไรได้แล้ว ค่อยนำจิตนี้ออกพิจารณาทางด้านปัญญา อย่าไปพิจารณาในเวลาจิตที่สงบ ผิด เข้าใจเหรอ จำให้ดีนะข้อนี้ มีผลเสียหายอยู่มากนะตอนนี้นะ ให้พากันจำ สมาธิคือความสงบนี้หนาแน่นขึ้นไปเท่าไร ก็ควรแก่ปัญญานี้เรื่อยๆ ไป


    ที่มา FB เหนือชีวิตคือธรรมหลวงตา​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 เมษายน 2014
  17. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]


    **บุคคลที่หลวงพ่อจะสอนได้**​


    สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า "สัมพเกษี เรื่องนี้ไม่มีหรอกลูก ลงไปเถอะ กิจของเจ้าที่จะพึงทำข้างหน้ามีมาก เพื่อพระพุทธศาสนาเพื่อลูกหลานของเจ้าเอง เพื่อคนของบิดาของเจ้าและเพื่อคนที่เขาเลื่อมใสในตถาคต บุคคลทั้งหมดที่จะต้องรับภารกิจจากเธอ หมายความว่าบุคคลที่มีศรัทธา

    ตอนนี้ก็หมายถึงว่าการที่จะสอนกันก็ต้องเป็นคนที่เนื่องถึงกัน คือ

    ๑. ลูกที่ยังอยู่ในโลกทั้งหมดมีประมาณแสนเศษ อันนี้สอนได้
    ๒. คนของท่านบิดา คือคนของท่านท้าวโกสียสักกเทวราช (พระอินทร์) อันนี้สอนได้

    แล้วอีกประการหนึ่ง คนขององค์สมเด็จพระจอมไตร คำว่า "คนของพระองค์"หมายความว่าคนที่ไม่ใช่ลูกและคนที่ไม่ใช่ญาติ คนที่ไม่เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน แต่ทว่าเคยทำบุญร่วมกันมาในชาติก่อนๆเราทำเขาก็ทำ เขาทำเราก็ทำ ต้องถือว่าเป็นพี่น้องกันในเรื่องของบุญเรื่องของกุศล อันนี้สงเคราะห์ได้

    แต่คนนอกจากนี้ ก็ต้องอาศัยคนที่เคยสืบเนื่องกันมา ไม่ได้หมายความว่าคนที่สืบเนื่องกับพระพุทธศาสนาทั้งหมด จะต้องมาหาเจ้า"
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "ต้องเป็นคนเฉพาะที่เคยร่วมบุญบารมีกันมา หรือว่าคนของตถาคต ก็หมายความว่าคนที่เขาเคารพตถาคต
    ในสมัยที่เธอเป็นมนุษย์เธอทำเขาทำ เขาทำเธอทำ


    อ้างอิง จากหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๓๙๕ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๗​


    ที่มา FB กายคตา เนย์​



    สัมพเกษี แปลว่า ผู้เป็นใหญ่ในสามโลก เป็นชื่อเดิมของหลวงพ่อ สมัยที่ท่านเป็นพรหม นาม"สัมพเกษีพรหม" ก่อนที่จะจุติลงมาสร้างบารมีและนิพพานในอัตภาพที่เป็นหลวงพ่อพระมหาวีระใน ปัจจุบันนี่

    ความหมายจากเวปพลังจิต
     
  18. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    ..
    .สาธุ สาธุๆ ชอบอ่านมากๆครับ อ่านแล้วสุขใจ..
     
  19. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    .
    .
    ..
    .ชอบมากๆเลยครับบบบบ
    ..อ่านแล้วก็รู้สึกพลังแห่งความแเมตตาของพระพุทธองค์...
    ..สาธุๆๆๆๆ
     
  20. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    ..
    ..ขออนุโมทนาสาธุๆๆ กับธรรมทานที่นำมาเผยแพร่ด้วยนะครับ
    ..สาธุๆๆๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...