@@..คำครู ผู้ชี้-นำ-อุปถัมภ์ สู่พระโพธิญาณ & เรื่องเล่าจากกัลยาณมิตร.@@

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 10 กรกฎาคม 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    c_oc=AQlSw3kLw5VPHh-BTENY_igYNmUnyKAlIWV27ZB0yDnMowb23RHMkwwVEr-xk7RV0Fs&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg

    ใครก็ตามที่ทำพระคาถาเงินล้านเป็นกรรมฐานอย่างสม่ำเสมอ ความข้องขัดในการดำเนินชีวิตจะมีน้อยกว่าคนอื่นเขา ขอยืนยันคำว่าจริงจังและสม่ำเสมอ เพราะว่าเรื่องคาถาเป็นพื้นฐานของอภิญญา คนจะเป็นอภิญญาได้จะต้องมีความจริงจังและสม่ำเสมอ ไม่ใช่ทำ ๆ ทิ้ง ๆ เมื่อท่านทั้งหลายได้ทำจริงจังและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะทำในจำนวนที่มาก อย่างเช่นว่าอาจจะภาวนาวันละ ๑๐๘ จบ เป็นต้น ก็จะมีความสะดวกคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา

    การท่องใช้วิธีท่องอย่างช้า ๆ โดยจับลมหายใจภาวนาไปด้วย เป็นการเน้นคุณภาพ ไม่ใช่จ้ำ ๆ ให้จบไป สักแต่ว่าเอาปริมาณ เรื่องของคาถาถ้าทำด้วยความเคารพ จริงจังและสม่ำเสมอแล้ว ไม่เกิน ๒ เดือนผลก็จะเกิดขึ้น
    ....................................

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    c_oc=AQnI5ClmNuHwraDFmNVwPcF1m1GWx3JATZErgcvU7pq7gqzpgMuD7iKKycH14dajvp0&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    นางสุปปิยา ยอดสตรีผู้ถวายทานด้วยเนื้อตนเอง

    ครั้งพุทธกาล มีสตรีนางหนึ่งนามว่า สุปปิยา เธอได้ชื่อว่าเป็นผู้มีศรัทธาอันยิ่งใหญ่ และมีสัจจะที่น่าชื่นชม แม้เธอจะไม่ได้สร้างสิ่งก่อสร้างใหญ่โตให้โลกประจักษ์ ทว่าศรัทธาอันสูงส่งที่เธอมี ทำให้เธอตัดสินใจทำในสิ่งที่คนทั่วไปไม่กล้าทำ และคงไม่มีใครทำมาก่อน

    นางสุปปิยาผู้นี้มีสามีชื่อ สุปปิยะ ทั้งสองคนเป็นชาวเมืองพาราณณีสองสามีภรรยาคู่นี้ มีความเลื่อมใส ศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า หนึ่งในกิจวัตรประจำวันของทั้งสอง คือ การเดินทางไปถวายภัตตาหารแด่ภิกษุสงฆ์ตามวัดวาอารามต่าง ๆ

    วันหนึ่งถือเป็นคราวโชคดีของสามีภรรยา เมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาแสดงพระธรรมเทศสนาโปรดชาวพาราณณี และเพียงครั้งแรกที่นางสุปปิยาได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์... นางก็บรรลุโสดาบันทันที

    จะเป็นด้วยความปรารถนานับแต่อดีตชาติ นานนับแสนกัป ที่นางปรารถนาจะสร้างกุศลกรรม ให้พระศาสนาได้มากที่สุด หรือความมุ่งมั่นตั้งใจในชาติปัจจุบันก็สุดจะเดา จึงทำให้นาง สุปปิยา มีจิตเมตตาภิกษุผู้อาพาธ คอยไต่ถามทุกข์ สุขและอาการอาพาธของภิกษุในทุก ๆ วัด เพื่อหาทางช่วยเหลือเยียวยาอยู่เสมอ

    ครั้งหนึ่งนางสุปปิยาได้ทราบว่า มีภิกษุรูปหนึ่งอาพาธจากการดื่มยาถ่ายและต้องการฉัน "น้ำต้มเนื้อ" เพื่อบำรุงกำลัง เมื่อเห็นว่าไม่เกินกำลังแต่อย่างใด นางจึงตกปากรับคำภิกษุรูปนั้น เป็นมั่น เป็นเหมาะว่า "ลูกจะนำมาถวายพระคุณเจ้าในเช้าวันพรุ่งนี้" พูดจบนางก็รีบมอบหมายให้สาวใช้ไปหาซื้อเนื้อที่ตลาดทันที

    วันนั้นแม้หญิงสาวใช้จะเพียรหาเนื้อจนทั่ว แต่ก็ไม่มีร้านไหน มีเนื้อขายเลย เพราะเหตุว่าเป็นวันห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หญิงรับใช้จึงกลับมาแจ้งนางสุปปิยา และอาสาจะไปหาซื้อให้อีกครั้ง ในเช้าวันรุ่งขึ้น

    นางสุปปิยาคิดใคร่ครวญกลัวไม่ทันกาลหากต้องรอ "เนื้อ" จนเวลาเช้าเพราะกว่าจะเตรียมการทุกอย่างเสร็จ นางก็คงนำน้ำเนื้อต้มไปถวายไม่ทัน อย่างที่ได้รับปากไว้อย่างแน่นอน และหากเป็นเช่นนั้นจริง อาการอาพาธของภิกษุรูปนั้นก็อาจกำเริบมากขึ้นไปอีก สร้างความทรมานไม่รู้จบสิ้น.. ก่อเป็นบาปกรรมได้

    เมื่อมองไม่เห็นทางอื่นที่จะได้เนื้อมา นางสุปปิยา จึงกลับเข้าไปในห้องก่อนจะกลั้นใจใช้มีด แล่เนื้อที่ขาขวาออกมาหนึ่งชิ้น และยื่นให้หญิงรับใช้นำไปปรุงอาหาร เมื่อทุกอย่างแล้วเสร็จ นางสุปปิยาจึงวานให้นายสุปปิยะผู้เป็นสามีนำน้ำเนื้อต้มไปถวายภิกษุอาพาธในเช้านั้นแทนนางเพราะตัวนางเองเกิดป่วยกะทันหัน

    พระพุทธองค์ทรงทราบ ถึงเหตุแห่งศรัทธานั้น เช้าวันนั้นต่อมา พระองค์และพระสาวกจึงออกบิณฑบาตผ่านหน้าบ้านสองสามีภรรยา เมื่อเห็นดังนั้น นายสุปปิยะจึงถือเป็นโอกาสอันดียิ่ง ที่จะนิมนต์พระพุทธองค์ และพระสาวกขึ้นรับภัตตาหารบนเรือน ครั้งนั้นแม้นายสุปปิยะจะแจ้งว่า นางสุปปิยาป่วยนอนพักอยู่ในห้อง แต่พระพุทธองค์ก็ยังคงตรัสเรียกให้นางออกมาอยู่หลายครั้ง

    วินาทีนั้นเอง ได้เกิดอัศจรรย์ขึ้นที่ขาข้างขวาของนาง.. เนื้อที่หายไปเริ่มเติมเต็มขึ้นมา ผิวหนังบริเวณที่นางตัดเนื้อออกไปกลับสมานเรียบดังเดิม หนำซ้ำนางยังมีผิวพรรณผ่องใส ยิ่งกว่าเก่าเสียอีก

    นางสุปปิยา สามารถก้าวเดินออกจากห้องได้เป็นปกติ และคลานเข้ามากราบพระพุทธองค์ด้วยความปลาบปลื้มยินดียิ่งนัก

    เมื่อพระพุทธองค์ตรัสถามถึงสาเหตุ ของอาการไข้ นางสุปปิยาจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดถวายโดยไม่ปิดบัง สร้างความตื่นตะลึงให้ทุกคน ณที่นั้น และด้วยอานุภาพแห่งศรัทธานี้ พระพุทธองค์ได้ทรงยกย่องว่า..

    นางสุปปิยา เป็นอุบาสิกาผู้เป็นเลิศกว่าอุบาสิกาทั้งปวง ในการเป็นอุปัฏฐายิกาภิกษุที่อาพาธ

    ต่อมาภายหลังพระพุทธองค์ มีรับสั่งให้มีการประชุมสงฆ์ และได้สอบถามความจากภิกษุอาพาธรูปนั้นจนทราบว่า "ท่านรับฉันน้ำเนื้อมนุษย์ต้มจริง ๆ " พระพุทธองค์ทรงติติง พร้อมกับชี้แจงว่า เป็นเรื่องไม่น่าเลื่อมใสศรัทธาแก่พุทธศาสนิกชนเป็นอย่างยิ่ง ทั้งแต่นี้และต่อไปในภายภาคหน้า

    ด้วยเหตุนี้จึงเกิด พุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อมนุษย์ ตามด้วยเนื้อสัตว์ ๙ ชนิดได้แก่ ช้าง ม้า สุนัข งู สิงโต เสือโคร่ง เสือเหลือง เสือดาว และ หมี นับแต่นั้นมา
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    c_oc=AQlgtjmFMcKVtK_z_M53Qn0mnO7IoADXwCUYXrgHQDyr549Niv_zuGw9t5K38XHjjVs&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    หลายท่านอยู่ในลักษณะของบุคคลที่แสวงหาครูบาอาจารย์ไปเรื่อย ๆ ขอบอกว่าถ้ายังหาไปเรื่อย ก็ไม่ได้อะไรสักทีเหมือนกัน เพราะว่าครูบาอาจารย์แต่ละท่านเหมือนกับเจ้าของกิจการ จะเป็นกิจการใหญ่เล็กอย่างไรก็ตาม อย่างค่ายโทรศัพท์ของเอไอเอส หรือว่าจะเป็นซีพี จะเป็นซีเมนต์ไทย การบินไทย ล้วนแต่เป็นกิจการของคนอื่นทั้งสิ้น

    เราไปก็คือไปชมสมบัติเศรษฐี ถึงเวลาท่านก็บอกเราว่าทำอย่างไรถึงจะรวย แต่เราไม่ได้ทำเสียที มัวแต่ไปขอดูของคนอื่นไปเรื่อย ๆ ในเมื่อเราชมสมบัติเศรษฐีไปเรื่อย ๆ เราก็ไม่มีสมบัติเป็นของตัวเองเสียที

    คำสอนพระอาจารย์เล็ก เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน
    อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    c_oc=AQnRqKG49KZQBktMhKj_Xj0bDtIK3g81KEkk5OEGpiG6onygBhggHzCIgLkrsRpQPYA&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    กำลังใจของพระโพธิสัตว์

    ถาม :
    พระโพธิสัตว์ที่รอตรัสรู้กำลังใจท่านเทียบเท่าพระอรหันต์หรือเปล่า ?
    ตอบ : ถ้าหากท่านที่บารมีเต็ม รอตรัสรู้จริง ๆ ส่วนใหญ่อารมณ์ใจจะเทียบเท่าพระอรหันต์ แต่ละเอียดกว่ากันเยอะนะ เพียงแต่ว่ารู้เท่าทันกิเลส สามารถป้องกันไม่ให้กิเลสเกิดขึ้นในใจได้ของท่านเท่ากับพระอรหันต์เพียงแต่ไม่ได้ตัดขาดทีเดียว

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    กระโถนข้างธรรมมาสน์
    ฉบับที่ ๓๐ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
    ที่มา: เว็บวัดท่าขนุน
    ภาพโดยคุณหมอเสือ
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    +++ โดนผีหลอก +++

    พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนเวลาไปกราบหลวงพ่อพุธ วัดป่าสาลวัน คุยไปเรื่อย #คราวนี้พระปฏิบัติเวลาคุยท่านก็จะภาวนาไปด้วย #สำหรับท่านยิ่งดึกสมาธิยิ่งดี ส่วนพวกเรายิ่งดึกก็ยิ่งแย่ จะหัวทิ่มพื้นอยู่แล้ว หลวงพ่อท่านก็ยังคุยไม่เลิก จนต้องกราบเรียนว่า “หลวงพ่อครับ...พวกผมยังต้องเดินทางอีกไกล ขออนุญาตกราบลาก่อนครับ” ท่านรู้สึกว่าคุยหน่อยเดียว ที่ไหนได้..ตั้งหลายชั่วโมง

    โดยปกติแล้วถ้าเป็นคำถามเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติ #ท่านคุยได้เป็นวันเป็นคืน แต่ถ้าถามเรื่องทำมาหากิน เรื่องลูก เรื่องผัว เรื่องเมีย ฯลฯ บางทีท่านไม่คุยด้วยเลย ต้องไปให้ถูกท่าถูกจังหวะ กราบเรียนถามว่า “หลวงพ่อครับ #หลวงพ่อธุดงค์มามาก #เคยโดนผีหลอกไหมครับ ?” ท่านก็ชะงักนิดหนึ่ง “เดี๋ยว...ขอผมคิดก่อน มันเป็นอุตริมนุสธรรม” “หลวงพ่อครับ #อันนั้นเขาอวดชาวบ้านครับ ไม่ใช่พระด้วยกัน” “อ๋อ...ถ้าอย่างนั้นได้”

    ท่านก็เลยเล่า ท่านบอกว่าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่เจอนั่นใช่ผีหรือเปล่า นั่งเล่าไปเถอะ..เป็นสิบ ๆ เรื่อง...ผีทั้งนั้น แต่ท่านก็ออกตัวก่อน..ไม่รู้ว่าผีหรือเปล่า”

    รายแรกที่ท่านเจอ เป็นโยมทายกที่รู้จักกัน เขาตายตอนเย็น เวลา ๔ ทุ่มกว่า ๕ ทุ่มท่านเดินจงกรมอยู่ในป่า ท่านบอกว่าเขาเดินมาหา "ครั้งแรกผมก็คิดว่าคนดี ๆ รูปร่างหน้าตาก็ยังเหมือนเดิมก่อนตาย แต่พอมองไปข้างหลังแล้ว #หลอดไฟที่ติดอยู่ที่ศาลาไกล#ส่องมองทะลุตัวไปเห็นได้ อ๋อ...ไอ้นี่ผีแน่ ๆ"

    ท่านธุดงค์ไปในป่า ท่านบอกว่าตอนเย็นสรงน้ำเสร็จ แต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ ไหว้พระสวดมนต์แล้วก็นั่งภาวนา มีเสียงวี้ดมาแต่ไกล แล้วก็มาเกาะต้นยางใหญ่ที่อยู่ใกล้ ๆ ที่ปักกลด ท่านก็ไม่สนใจ ภาวนาไปเรื่อย #เจ้านั่นก็พุ่งจากยอดยางลงมาในลำธารตรงข้างหน้า เสียงดังโครม...! ท่านก็ไม่สนใจ..ภาวนาไปเรื่อย เจ้านั่นก็ตะกายปีนต้นยางกลับขึ้นไปข้างบน แล้วก็พุ่งลงมาอีก #เหมือนเด็กโดดน้ำเล่น กระโดดอยู่ครึ่งค่อนคืน

    ไปนึกถึงที่ตัวเองเจอมาก็คล้าย ๆ กัน เวลาเขาลองก็ลองเป็นครึ่งค่อนคืน #อาตมาไปปักกลดที่ด่านช้าง เป็นกระต๊อบเล็ก ๆ สำหรับคนงาน เวลาตัดอ้อยจะได้เอาไว้นอน สักประมาณ ๒ ทุ่มกว่า ๓ ทุ่ม มีเสียงเหมือนหนูตัวเล็ก ๆ วิ่งเข้ามา ตึก ๆ ๆ ๆ แล้วก็เงียบไปเฉย ๆ อีกสักพักวิ่งใหม่ ตึก ๆ ๆ ๆ อ้าว...แล้วทำไมมาทิศนี้วะ ? เหมือนวิ่งเป็นกากบาท #แต่ตอนที่อ้อมไปทำไมเราไม่ได้ยิน ? ก็ไม่ได้ใส่ใจ...ภาวนาไปเรื่อย

    สักพักหนึ่งเสียงก็ดังขึ้นอีก ไม่ใช่หนูแล้ว น่าจะใหญ่ประมาณแมว วิ่งตึง ๆ ๆ ๆ อาตมาไม่สนใจ..ภาวนาไปเรื่อย เจ้านั่นก็ตึง ๆ ๆ ๆ พอภาวนาไป ๆ เห็นว่าอาตมาไม่สนใจแน่ ๆ #คราวนี้อย่างกับหมาทั้งฝูงไปกัดกันอยู่บนหลังคา ตึงตังโครมคราม อาตมาก็...เรื่องของมึง ภาวนาจนครบสบายใจตามที่ต้องการก็ชักจีวรคลุมหัว กูนอนแล้ว ตื่นขึ้นมาอีกทีตี ๒ กว่า เงียบไปตอนไหนไม่รู้ เออ...ไม่เก่งจริงนี่หว่า #ถ้าเก่งจริงต้องหลอกได้ยันสว่าง...!"

    อีกที่หนึ่งเป็นพื้นที่ด่านช้างต่อกับศรีสวัสดิ์ของกาญจนบุรี ตื่นขึ้นมาภาวนาตอนตี ๒ กว่า เสียงเจ้าที่ตะโกนว่า “#ระวังผี...!” ไม่ทันแล้ว...มือผีมาถึงคอแล้ว รู้สึกว่าผียืนอยู่ข้างหลังเอามือรวบคอ มือเย็นเจี๊ยบเลย อาตมาก็พุทโธ ๆ ไป ‘ตายตอนนี้ก็ไปพระนิพพานละวะ’ #พอพุทโธ #ผีก็คลายมือออกหน่อยหนึ่ง พอหยุดภาวนาจะหันไปสนใจ มือก็รวบบีบเข้ามาอีก ลักษณะแบบนั้นแหละ..เท่ากับบังคับให้ภาวนา เพราะว่าจะหยุดหันไปคุยด้วย หยุดทีไรโดนบีบคอทุกที ท้ายสุดตอนตี ๕ ครึ่งจะ ๖ โมงก็เลยบอกว่า “พอ ๆ ๆ ต่างคนต่างไป เดี๋ยวจะไปสรงน้ำเตรียมบิณฑบาตแล้ว” ผีก็ไป ว่าง่ายดีเหมือนกัน

    #เรื่องพวกนี้เวลาเล่าให้คนอื่นฟังก็สนุก แต่ถ้าเจอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังใจคนอื่นจะเป็นอย่างไร #อาตมาเองเลิกกลัวของพวกนี้ไปนานแล้ว แต่เวลาเจอรู้สึกสันหลังเย็นวาบ ๆ พยายามดูใจตัวเอง อ๋อ...ที่แท้ก็ยังกลัวอยู่ แต่กลัวแล้วไม่หนีเท่านั้นเอง"

    "ไปที่ป่าศรีสัชนาลัยเขตต่อลำปาง ภาวนาอยู่ประมาณ ๕ ทุ่มกว่า #มีเสียงเด็กโดดน้ำโครม..! อาตมาปักกลดอยู่ไม่ห่างจากลำห้วยเท่าไร...ลืมคิดไป คือพอได้ยินเสียงดังโครมแล้วเห็นเด็กคว่ำหน้าลอยตุ๊บป่อง ๆ อยู่ในน้ำ #ก็รีบวิ่งพรวดพราดลงไปคว้าคอเสื้อดึงขึ้นมา ตั้งใจจะช่วยแต่ลืมไปว่า..อันดับแรก อาตมาปักกลดอยู่ห่างจากลำห้วยตั้งไกล แล้วเวลา ๕ ทุ่มกว่า มืดจนมองนิ้วตัวเองไม่เห็น แล้วเห็นเด็กชัดขนาดนั้นได้อย่างไร ? ตอนนั้นคิดที่จะช่วยอย่างเดียว ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่น

    พอคว้าขึ้นมา #เด็กหันหน้ามานี่...#โล้นเลี่ยนไปหมดทั้งหน้า มีแต่ตาใหญ่ ๆ อยู่ ๒ ดวง จมูกปากอะไรก็ไม่มี พอเห็นก็ "อ๋อ...มึงหลอกกู" ตั้งใจจะหากระบอกไม้ หาขวด หาอะไรมาสักใบ ยัดแล้วสะกดไว้สัก ๑๐๐ - ๒๐๐ ปี เอาให้เข็ด..! ปรากฏว่าหาไม่ได้ พอหาไม่ได้ก็เลยทุ่มลงน้ำไป พอตกตูมลงไปในน้ำ #ก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา..!

    คราวนี้ไอ้ที่เห็นสว่าง ๆ ก็มืดตามปกติ ต้องควานหาทางกลับกลด นั่งคิดอยู่นั่นแหละ กลดของกูอยู่ทางด้านไหนวะ ? ตอนวิ่งมากูมาทางไหน ? พยายามงมกลับไปที่เดิม #กว่าจะถึงก็ครึ่งค่อนชั่วโมง จนต้องจำไว้ขึ้นใจเลยว่า ต่อไปถ้าผีหลอกนี่ต้องหิ้วไปให้ถึงกลดก่อน ไม่อย่างนั้นเสียเวลางมหาทาง #คือเวลาเขามานี่จะเห็นเหมือนอย่างกับกลางวันสว่าง ๆ แต่ตอนไปแล้วดันมืดเหมือนเดิมสิ กว่าจะงมกลับได้ถึงกับล้มลุกคลุกคลาน

    นั่นแหละ...โดนลักษณะอย่างนั้นบ่อย ๆ แล้วจะรู้ว่า จริง ๆ ไม่มีอะไรเกินคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เลย #ใจก็จะเกาะพระแน่นขึ้นไปเรื่อย ๆ"

    แรก ๆ เวลาฝึกใหม่ ๆ ก็กลัวผี กลัวอย่างชนิดเหงื่อแตกพลั่ก แต่พอนานไป ๆ สภาพจิตก็เริ่มยอมรับ พอมาทีหลังก็รู้ว่าผีก็ไม่ได้หลอก #ส่วนใหญ่ต้องการความช่วยเหลือจากเราเขาถึงมา ไม่รู้ว่าหายกลัวตอนไหน บอกไม่ถูก

    พอไปรู้ว่าเขาต้องการความช่วยเหลือเขาถึงมา ก็เลยทำให้เห็นว่า ในเมื่อเขามาหาแล้วเราช่วยเขาได้ #เหมือนกับเราเป็นคนรวย #คนจนเขามาขอความช่วยเหลือ ไม่จำเป็นต้องไปกลัว จึงไม่รู้ว่าหายกลัวไปตอนไหน"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๓

    -------------------
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    c_oc=AQntxcC_Hmchu9CAM9RNdTKeCREVUIQ-Vlr4WkrJcjRy3WYlrSsdbmdTYCcvGJ0BU2U&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    วิธีใช้วัตถุมงคลให้เกิดประโยชน์สูงสุด

    วันนี้มีผู้ถามเกี่ยวกับเรื่องของการใช้เครื่องรางของขลังให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ซึ่งจะว่าไปแล้วในเรื่องของวัตถุมงคลหรือเครื่องรางของขลังนั้น โบราณาจารย์ท่านสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นการสอนให้เราปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง

    เพราะว่าการใช้วัตถุมงคลจะมีข้อห้ามข้อปฏิบัติต่าง ๆ ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็คือศีล มีคาถาในการอาราธนา นั่นคือการที่ให้เราสร้างสมาธิให้เกิดขึ้น ส่วนปัญญานั้น ถ้าเราเห็นทุกข์เห็นโทษว่า การดำรงชีวิตอยู่มีแต่โทษภัยที่น่ากลัว ทำให้เราหาวัตถุมงคลมาคุ้มครองตนเอง ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาในโลกนี้ที่เต็มไปด้วยเภทภัยต่าง ๆ ไม่เป็นที่พึงปรารถนาของเราอีกแล้ว ถ้าหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือว่าเกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ถึงแก่ชีวิตก็ดี เราขอไปอยู่ที่พระนิพพานแห่งเดียว ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าท่านใช้ปัญญาในการใช้เครื่องรางของขลังหรือวัตถุมงคลด้วย

    ส่วนตัวของอาตมาเองนั้นมักจะใช้ในลักษณะของการจับภาพวัตถุมงคลเป็นกสิณ ถ้าตามที่เคยทำมา เมื่อถึงเวลาก็จะตั้งรัตนบัลลังก์ขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตัวรัตนบัลลังก์นั้นประกอบขึ้นมาจากแหวนจักรพรรดิและมีดหมอชาตรี เบื้องบนก็คือธงมหาพิชัยสงคราม หลังจากนั้นก็กราบอาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมเสด็จประทับนั่งยังรัตนบัลลังก์นั้น

    หลังจากนั้นก็อาราธนาวัตถุมงคลอื่น ๆ ที่ติดตัวอยู่ อย่างเช่นว่า พระสมเด็จคำข้าวอาราธนาไว้ที่หน้าผาก พระสมเด็จหางหมากอาราธนาไว้ที่ปาก พระหลวงปู่ปานเอาไว้ที่หน้าอก พระรอดเอาไว้ที่ท้อง เป็นต้น

    เมื่อถึงเวลาภาวนาไป ถ้ากลัวกำลังใจจะฟุ้งซ่าน ก็ค่อย ๆ กำหนดภาพวัตถุมงคลแต่ละจุด อย่างเช่นว่า หายใจเข้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมสว่างครอบคลุมกายของเราเอาไว้ หายใจออกภาพของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมสว่างครอบคลุมกายเรา หายใจเข้าพระสมเด็จคำข้าวสว่างขึ้น หายใจออกพระสมเด็จคำข้าวสว่างขึ้น หายใจเข้าพระสมเด็จหางหมากสว่างขึ้น หายใจออกพระสมเด็จหางหมากสว่างขึ้น เป็นต้น

    ถ้าหากสภาพจิตของเราจดจ่ออยู่เช่นนี้ นอกจากจะเป็นการปลุกเสกวัตถุมงคลไปในตัวแล้ว ยังเป็นการที่สภาพจิตของเราเกาะอยู่กับคุณพระรัตนตรัย ไม่ฟุ้งซ่านไปกับนิวรณ์ต่าง ๆ ดังนั้น..ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายพกวัตถุมงคลชนิดใดชนิดหนึ่งก็ตาม ท่านก็สามารถที่จะทำเช่นนี้ได้ ถ้ากำหนดภาพหลาย ๆ อย่างให้ชัดเจนพร้อมกันไม่ได้ ก็ให้ท่านทั้งหลายกำหนดทีละอย่างเดียวก่อน เมื่อได้ชัดเจนแจ่มใสแล้วค่อยขยับไปอย่างที่สอง อย่างที่สาม จนเกิดความคล่องตัวแล้ว ต่อให้เราพกวัตถุมงคลอยู่เป็นสิบ ๆ อย่าง เราก็สามารถกำหนดภาพให้ชัดเจนเอาไว้ได้ เท่ากับว่าเราปฏิบัติในกสิณในพุทธานุสติ ในสังฆานุสติ

    คำว่า "กสิณ" ก็คือการกำหนดภาพ ไม่ว่าจะเป็นภาพของวัตถุที่เป็นองค์กสิณก็ดี ภาพของพระก็ดี ถือว่าจัดอยู่ในหมวดกสิณทั้งนั้น พุทธานุสติก็คือวัตถุมงคลส่วนใหญ่เป็นภาพพระพุทธอยู่แล้ว สังฆานุสติก็คือวัตถุมงคลบางอย่างที่เป็นรูปของครูบาอาจารย์ที่เราเคารพกราบไหว้เป็นปกติอยู่ ถ้าระลึกถึงคำสอนของท่านก็ได้ในส่วนของธัมมานุสติด้วย ถ้าหากว่ามีข้อห้ามอย่างหนึ่งอย่างใดอยู่ก็ถือว่าเป็นสีลานุสติด้วย ดังนี้เป็นต้น

    ถ้าทำดังนี้ ก็จะได้ชื่อว่าท่านทั้งหลายใช้วัตถุมงคลหรือเครื่องรางของขลังให้เกิดประโยชน์สูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้อย่างที่ญาติโยมได้ถามมา

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
    วันเสาร์ที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
    ภาพและที่มา : เว็บวัดท่าขนุน
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477

    คิดถึงหลวงพ่อฤาษีลิงดํา

    คาถาที่หลวงพ่อบอกในคลิป (เมตตัญจะสัพพะโล)

    เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง อุทธัง อะโธ จะ ติริยัญจะ อะสัมพาธัง อะเวรัง อะสะปัตตัง ติฏฐัญจะรัง นิสินโน วา สะยาโน วา ยาวะตัสสะ วิคะตะมิทโธ เอตัง สะติง อะธิฏเฐยยะ พรัหมะเมตัง วิหารัง อิธะมาหุ ทิฏฐิญจะ อะนุปะคัมมะ สีละวา ทัสสะเนนะ สัมปันโน กาเมสุ วิเนยยะ เคธัง นะ หิ ชาตุ คัพภะเสยยัง ปุนะเรตีติ ฯ

    ...คาถาบทเต็ม... ชื่อคาถาเรียกว่า กะระณียะเมตตะสุตตัง

    กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ ยันตัง สันตัง ปะทัง อะภิสะเมจจะ สักโก อุชู จะ สุหุชู จะ สุวะโจ จัสสะ มุทุ อะนะติมานี สันตุสสะโก จะ สุภะโร จะ อัปปะกิจโจ จะ สัลละหุกะวุตติ สันตินทะริโย จะ นิปะโก จะ อัปปะคัพโภ กุเลสุ อะนะนุคิทโธ นะ จะ ขุททัง สะมาจะเร กิญจิ เยนะ วิญญู ปะเร อุปะวะเทยยุง สุขิโน วา เขมิโน โหตุ สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา เย เกจิ ปาณะภูตัตถิ ตะสา วา ถาวะรา วา อะนะวะเสสา ทีฆา วา เย มะหันตา วา มัชฌิมา รัสสะกา อะณุกะถูลา ทิฏฐา วา เย จะ อะทิฏฐา เย จะ ทูเร วะสันติ อะวิทูเร ภูตา วา สัมภะเวสี วา สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา นะ ปะโร ปะรัง นิกุพเพถะ นาติมัญเญถะ กัตถะจิ นัง กิญจิ พะยาโรสะนา ปะฏีฆะสัญญา นาญญะมัญญัสสะ ทุกขะมิจเฉยยะ มาตา ยะถา นิยัง ปุตตัง อายุสา เอกะปุตตะมะนุรักเข เอวัมปิ สัพพะภุเตสุ มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง อุทธัง อะโธ จะ ติริยัญจะ อะสัมพาธัง อะเวรัง อะสะปัตตัง ติฏฐัญจะรัง นิสินโน วา สะยาโน วา ยาวะตัสสะ วิคะตะมิทโธ เอตัง สะติง อะธิฏเฐยยะ พรัหมะเมตัง วิหารัง อิธะมาหุ ทิฏฐิญจะ อะนุปะคัมมะ สีละวา ทัสสะเนนะ สัมปันโน กาเมสุ วิเนยยะ เคธัง นะ หิ ชาตุ คัพภะเสยยัง ปุนะเรตีติ ฯ (จบคาถา)

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน)วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    ?temp_hash=ad66cb485a925482888b4e358369ec8f.jpg
    หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านแนะนำเอาไว้ ท่านบอกว่าจะมากจะน้อย ขอให้มีเงินติดตัวไว้ บาทหนึ่งสลึงหนึ่งก็ยังดี ถ้าใช้คาถาเงินล้านของท่าน "อย่าพูดคำว่าไม่มีเงิน" อย่างไรก็ต้องมี

    ถ้าหากว่าโยมมีเหรียญที่ไม่ได้ใช้ ก็ใส่ ๆ กระเป๋าไว้บ้าง อย่างไรก็ให้มีเงินติดกระเป๋าอยู่ เป็นการแก้เคล็ด...

    ในสมัยของหลวงปู่ปาน มีลูกศิษย์ที่ทำคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ แล้วประสบผลสำเร็จเป็นตัวอย่างให้คนอื่นได้ พอมาถึงรุ่นหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านไม่ได้ยกตัวอย่าง แต่อาตมาก็ทำให้เห็นแล้วว่า ถ้าทำจริงก็มีผลจริง ๆ

    เหลือแต่พวกเราทั้งหลายว่า จะมีใครทุ่มเทจริงจัง เมื่อถึงเวลาแล้วจะได้ประกาศอย่างเต็มปากเต็มคำว่า เราปฏิบัติกรรมฐานแล้วได้ผล โดยเฉพาะในส่วนของคาถาเงินล้าน ที่มีอานิสงส์พิเศษก็คือ ความคล่องตัวในความเป็นอยู่

    อานิสงส์ของการภาวนานั้นเราได้พุทธานุสติเต็ม ๆ อยู่แล้ว เพราะเป็นคาถาที่พระพุทธเจ้าท่านมอบให้มา ถ้าเราต้องการไปนิพพานก็ภาวนาคาถาเงินล้านแล้วเอาใจเกาะพระนิพพานไว้ ในส่วนของการดำรงชีวิตอยู่ เราต้องการผลพิเศษของคาถา

    ไปทำจริง ๆ สักที เราต้องกล้าคิด กล้าทำ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าไม่มีใครกล้าเราก็ว่าเสียเอง ทำตัวเองให้เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์เสียเลย ถ้าเราทำได้ผล ถึงเวลาไปสอนคนอื่น ก็จะสอนได้อย่างเต็มปากเต็มคำอีกด้วย

    ในค่ำคืนนี้เวลา ๑๙.๐๐ น. ท่านสามารถร่วมสวดพระคาถาเงินล้านพร้อมกับคณะพระภิกษุสงฆ์ได้โดยผ่านทางลิงค์ที่อยู่ด้านล่างนี้ครับ

    https://web.facebook.com/permalink.php?story_fbid=698453644025959&id=393564001181593&notif_id=1583109872198103&notif_t=live_video_schedule_broadcaster&ref=notif
    .........................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ผู้ก่อตั้งสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    ........................................
    #รู้ว่าดีก็ทำ #รู้ว่าชั่วก็ละ #ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    ?temp_hash=cc320f4e65674af8f95f12cdb4c3070b.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    SE0M5CY9mox3ZtTGFUiX45C4uDZHT-jWjQu51VNfOSQHwY5u1VHrCzSPzVCWH9Av4pqx9CVA&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    ยิ่งสวดยิ่งหนัก...อะไรกันนักกันหนา-

    เชื่อว่าหลายคนต้องเคยตั้งคำถามนี้กับตัวเอง

    และบ่อยครั้งก็ได้ยินคำถามจากทางบ้านที่ส่งไปถามหลวงตา กับชุดคำถามที่คล้ายคลึงกันคือ ทำไมสวดแล้วยังพบกับความโชคร้าย

    ทำไมสวดแล้วก็ยังป่วย ยังเจ็บ ยังเจอคนคิดไม่ดี
    ยิ่งสวดยิ่งเจ็บตัว เปลืองตัวเปลืองน้ำตา

    * หากพิจารณาเป็นธรรมทาน เป็นประโยชน์กรุณาร่วมอนุโมทนา และแชร์แบ่งปันให้ผู้อื่น

    ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยตั้งคำถามนี้ในช่วงแรกๆ ที่ฝึก ซึ่งถือเป็น 6 เดือนแรกๆ ที่อยากรู้อยากลอง และก็ได้เจอกับตัว

    สำคัญคือเจอแล้วได้เรียนรู้อะไรบ้าง

    ก่อนจะมาพูดเนื้อหาเรื่องยิ่งสวดยิ่งเจ็บตัว
    ผมจะเล่าให้ฟังก่อนว่าเพราะอะไรถึงเขียน ทั้งที่เคยเขียนไปแล้วในตอนก่อนๆ

    เหตุผลก็คือ หลังจากที่ทำหนังสือ “บันทึกนักเรียน วิชาจักรพรรดิ สวด เปลี่ยน ชีวิต”

    ส่วนตัวมีความเชื่อส่วนบุคคลว่านี่คือ “บุญใหญ่” ที่ผมทำด้วยตัวของตัวเอง และทำเพียงลำพัง เทียบกับกฐินผ้าป่าอย่างไงอย่างงั้นเลย

    เพราะต้องทุ่มสรรพกำลัง กำลังใจ ความอดทน
    และนำเอาทักษะความรู้ไปแลกกับเงินเพื่อมาจุนเจือตนเองและแบ่งไปทำบุญสี่สิบเปอร์เซนต์

    เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ทำบุญใหญ่มักมีเรื่องมาทดสอบ

    มีอุปสรรคเพื่อทดสอบกำลังใจเสมอๆ”

    ส่วนตัวก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
    แต่ถึงตอนนี้หากถามว่าเชื่อไหม
    อยากตอบด้วยใบรับรองแพทย์เลยเชียว (ฮา)

    เพราะล่าสุดสองวันก่อน

    จู่ๆ เช้าตรู่ที่ตื่นมาตามปกติ ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของอาการเจ็บป่วยอันแปลกประหลาด

    ผมรู้สึกเจ็บที่หน้าอกเบาๆ โดยอาการนี้ทรงอยู่เบาๆ จนกระทั่งค่ำของวันเดียวกัน

    จากระดับเลเวลความเบา กลายเป็นเจ็บหนักจนหยิบโทรศัพท์ไม่ขึ้น หายใจเข้าไม่สุด

    และปวดจนแทบขับไปไม่ถึงโรงพยาบาล
    ผมเดินตัวงอเข้าห้องฉุกเฉิน โดยแอบกลัวตลอดว่าจะกลายเป็นโรคร้ายไม่พึงประสงค์เกี่ยวกับหน้าอก

    ปวดจนสวดมนต์อย่างไรก็ไม่หาย สมาธิและกำลังกระเจิดกระเจิง

    สรุปว่าหลังจากตรวจคลื่นหัวใจ คุณหมอวินิจฉัยแล้วพบว่า

    “กล้ามเนื้อซี่โครงอักเสบ” เดี๋ยวนะ แค่นอนผิดท่าหรือนอนตกหมอนนี่นะ

    การเจ็บป่วยครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบสัก 6 เดือนมาแล้วที่ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรแบบนี้

    ซึ่งมันก็ทำให้ผมนึกถึงประโยคที่ผมเคยถามตัวเองว่า “ทำไมยิ่งสวดยิ่งเจ็บตัว”

    เพราะเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
    ผมขอย้อนไปเมื่อ 1 ปีก่อนผมบันทึกว่า....

    นอกจากสวดแล้วรู้สึกไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
    ไม่มีอะไรเป็นปาฏิหารย์ ไม่มีอะไรเหนือธรรมชาติ
    หนำซ้ำกลับต้องเจอโชคร้ายอีกด้วย
    มีช่วงหนึ่งผมป่วยติดๆ กันหลายครั้ง ในรอบ 2 เดือนทั้งที่เป็นคนแข็งแรง เล่นกีฬา

    และดูแลตัวเองพอสมควร ป่วย 3-4 รอบนั้นหนักๆ แทบทุกรอบก็แปลกประหลาด

    เช่น แฟนผมซื้อเสื้อยืดมาให้ตัวใหม่ ด้วยความเห่อก็เลยใส่ไปทำงานโดยไม่ซัก

    ผลคือค่ำของคืนนี้ผมจับไข้ ต้องขับรถไปโรงพยาบาลเช้าตรู่ไข้ขึ้นสูง

    หมอวินิจฉัยว่าผมติดเชื้อที่รักแร้ เพราะเสื้อตัวนั้น(ฮา)


    ถัดมาผมไปเที่ยวต่างประเทศเวียดนาม ทริปนี้ก็ควรจะมีความสุข เพราะได้ไปสวดมนต์ฝากกระแสที่ต่างประเทศ

    แต่วันสุดท้ายของทริปนี้ ผมก็เริ่มปวดตัว และหนาวสั่น ทันทีที่กลับถึงกรุงเทพ ผมต้องขับรถไปโรงพยาบาลอีกครั้ง

    ผลคือเป็นไข้หวัดใหญ่ต้องหยุดงาน 3 วัน (เกิดมาไม่เคยเป็นเลย)

    ความแปลกก็ควรจบลงแค่นั้น แต่ก็ไม่เลย เพราะวันหนึ่งหลังจากภาวนารัน ผมเริ่มเจ็บขา สุดท้ายพอตื่นเช้า ผมกลับเจ็บขาเหมือนราวไม่สามารถเดินได้อีก

    สรุปเคสนี้เอ็นร้อยหวายอักเสบ หยุดวิ่งไปราวๆ 1 เดือนเต็ม และใช้เวลา 2 เดือนถึงกลับมาวิ่งได้อีกทั้ง

    เมื่อได้ศึกษามาพอสมควรจึงพอจะมีคำตอบในใจในสาเหตุ

    ส่วนหนึ่งคือ ผมแผ่บุญดะ แผ่ตะพืดตะพือโดยไร้หลักการ เพราะคิดว่าเป็นสิ่งดีที่ทำ

    นั่นหมายความว่า ผมไม่ได้อาราธณาบารมีของพระพุทธ หรือหลวงปู่หลวงตาเป็นตัวนำ และเรารวมบารมีไปด้วย

    ผลคือกำลังและบารมีของตนเองก็มีไม่พอ ซึ่งอาจส่งผลต่อกำลังจิตกำลังใจของตนเองได้

    นั่นเป็นเหตุผลที่หลวงตา หรือครูบาอาจารจารย์ท่านสอนให้พึงพาบารมีพระก่อนบารมีตนเอง

    และอีกหนึ่งเหตุผลนั้นน่าจะมาจากกรรม เพราะศาสตร์นี้เกี่ยวข้องกับกรรม

    อย่างที่นักเรียนจักรพรรดิทราบดี ไม่มีอะไรบังเอิญในพุทธศาสตร์ และในศาสตร์นี้

    หากทำจริง จะรู้เอง เรื่องการรู้เองนี้ อธิบายยาก แต่รู้เองเหมือนได้คำตอบเอง

    เช่น นึกได้เอง ผุดมาเอง ได้คำตอบจากคำพูด หรือสิ่งที่เจอ

    เอ็งมีกรรม ทุกคนมีกรรม “อดีตคือปัจจุบัน และปัจจุบันคืออนาคต” กรรมมันส่งผล

    ถ้าเอ็งไม่สวด ไม่รู้ว่าเอ็งจะเป็นยังไง


    หลวงตาท่านพูดชัดว่า หนักแค่ไหนก็ต้องสวด เพราะขนาดสวดยังเจอเรื่องราวขนาดนี้

    ท่านตอบทุกรอบหากใครถามประเด็นนี้

    "ไม่สวดแย่แน่นอน"

    นั่นสินะ จากไข้หวัดใหญ่ ไม่รู้จะเป็นอะไร เอ็นร้อยหวายอักเสบจะกลายเป็นกระดูกหักไหม

    ทางหนึ่งก็แอบสงสัยนะว่า หรือการแผ่บุญไปทั่ว ทุกที่ที่ไป จะสร้างความไม่สบายใจให้ภพภูมิใดหรือไม่ พลันก็นึกถึงคำสอน

    บุญคือแสงสว่าง เมื่อเขาได้รับเขาก็ปรับภพภูมิ เขาก็โมทนา กรรมดีก็บรรลุผล

    ดังนั้น หากเคราะห์ร้ายยังเกิดขึ้นทั้งที่ยังทำดี คงเพราะกรรมในอดีตส่งผล

    ต้องไลน์ไปถามกรรมตัวเอง หรือโทรไปถามตัวเองในอดีตว่า

    ทำกรรมอะไรมานักหนา ถึงส่งผลไม่หยุดไม่หย่อน ไม่ผ่อนคันเร่งบ้าง

    ส่วนตัวแล้ว นึกไม่ออกว่าถ้าไม่สวดจะเป็นอย่างไรนะ หากไม่นับเคราะห์ร้ายที่ส่งผลตามวาระของมัน

    ง่ายๆ เลย เรารู้สึกเลยว่า ทุกสิ่งมันบรรเทาเบาบางจากที่ควรจะเป็น


    ส่วนไอ้เรื่องว่ามันกรรมจากไหน กรรมมาเพราะอะไร อย่าไปยุ่งกับมันเลย

    แค่ทำความดีต่อไป สวดมนต์แผ่บุญไป อย่าท้อ อย่าหยุด

    หลวงปู่ท่านให้อดทนทำความดีต่อไป


    เพราะทำดีย่อมดีแน่

    แค่รอเหตุและปัจจัยมาถึงเท่านั้นเอง


    สำหรับผมเองการเจ็บป่วยครั้งนี้ก็คงเช่นกัน

    สิ่งที่ทำได้คือสวดมนต์ต่อไป อย่าให้กำลัง(ใจ)ตก

    เพราะนี่ขนาดสวด และพยายามรักษาศีลแล้ว

    ยังต้องพบกับความโชคร้ายอยู่เลย


    การตั้งคำถามว่าทำไมสวดแล้วยังเจออะไรหนักๆ

    อาจต้องเปลี่ยนรูปประโยคสักนิดแล้วจะเข้าใจ


    ลองถามตัวเองดูนะ

    จากทำไมยิ่งสวดยิ่งเจ็บตัวเป็น...


    "ถ้าไม่สวดจะเจ็บตัว เจ็บใจแค่ไหนนะ"


    นี่ละมั้งที่หลวงตาท่านบอก

    ก็ใครละจะใหญ่เกินกรรม

    อย่างน้อยๆ ก็ขอให้คิดเสียว่า

    สวดมนต์แล้วก็ช่วยเร่งการลงโทษลงทันต์ให้รีบๆ จบไปด้วยโทษที่บรรเทาเบาบางไป

    ถ้ากรรมจากอดีตคือจำนวน 5 กระทงที่ติดตัวมา

    ก็จบมันไปแล้ว 3 กระทง


    อีก 2 กระทงถ้ากำลังมากพอ หรือบารมีมากพอ

    บางทีโจทก์หรือศาลท่านอาจพิจารณายกฟ้อง หรืออโหสิกรรมก็ได้

    ใครจะรู้....

    - มณี นพรัตน์

    หากพิจารณาเป็นธรรมทาน เป็นประโยชน์ เป็นกำลังใจให้ตนเอง และผู้อื่นโปรดร่วมอนุโมทนาและแบ่งปันแก่ผู้อื่น

    กดไลค์กดแชร์บทความห้องพระ

    เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนและเป็นธรรมทานของตัวคุณ

    "ใครจะรู้ว่าบางถ้อยคำอาจให้คำตอบใครบางคนก็ได้"

    นักเรียนจักรพรรดิตอนอื่นๆ และบทความธรรมะร่วมสมัยรวบรวมไว้ที่ ห้องพระ

    https://m.facebook.com/HongPra/

    นำบทความทั้งหมดมาทำคลิปเสียง

    https://m.youtube.com/channel/UCBd0G81NdA-IlkJPk8oHNnA
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    xox1ipt5YaW_dI_FQQV0BscxQc6Jbq2yQvyJnd8v7A85bHCPxX7RgRT4TRzUXVqfWxjpMC1u&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    +++ สวดคาถาขอฝน +++

    พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อเช้ามืด ทางด้านห้วยกระเจา - เลาขวัญ #เขาจัดสวดคาถาขอฝน ก็กำหนดใจตามไป #เจอท่านสุภูติเถระที่เขาอ้างถึง ท่านบอกว่า ถ้าขอแบบนี้ไม่ได้หรอก #เพราะเป็นการตั้งใจใช้ท่าน ท่านบอกว่าต้องสวดด้วยความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วอ้างถึงชื่อของท่าน #เพื่อขอให้คุณพระรัตนตรัยช่วยสงเคราะห์

    วางกำลังใจต่างกันนิดเดียว ในเมื่อท่านเมตตาบอก #ถึงเวลาก็จะไปกระซิบบอกเขาหน่อยว่าต้องทำอย่างนี้ ถ้าวางกำลังใจถูก พระหรือเทวดาท่านก็สงเคราะห์ได้ #วางกำลังใจผิด #จะกลายเป็นใช้พระอรหันต์ไป"

    "พระสุภูติเถระเป็นผู้เลิศกว่าผู้อื่น หรือที่บาลีเรียกว่า เอตทัคคะ ๒ ประการ ท่านอื่นส่วนใหญ่ได้ข้อเดียว พระสุภูติเถระได้ ๒ ข้อ #เป็นเอตทัคคะทางอยู่อรณวิหาร คืออยู่โดยปราศจากกิเลส พูดง่าย ๆ คือเข้านิโรธสมาบัติ #และเป็นเอตทัคคะทางทักขิไณยบุคคล คือเป็นบุคคลที่ควรแก่การถวายข้าวของต่าง ๆ รับการถวายข้าวของจากญาติโยม ก็แน่นอนแหละ...#เข้าแต่นิโรธสมาบัติ #ก็สมควรได้รับการถวาย

    ฉะนั้น...ถ้าหากว่าเอตทัคคะคือบุคคลที่เป็นเลิศทางด้านในด้านหนึ่ง ส่วนใหญ่จะได้ด้านเดียว มีพระสุภูติเถระได้ ๒ ด้าน พระอานนท์ได้ ๕ ด้าน นอกนั้นได้คนละ ๑ ด้าน

    ถึงเวลาเขาก็จะสวด สุภูโต จะ มะหาเถโร มะหากาโย มะโหทะโร นีละวัณโณ นีละวัณโณ มะหาเตโช นีละวัณโณ นี่ผิวดำมาก ดำจนเขียว #บางคนเขาเรียกคาถาพญาปลาช่อน...ซึ่งไม่ใช่"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๓
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    e6JLPpWolGGp01VN6fQ36hQcJiyti0w1DGtscl-opnrS0DyYxkkQeHRbeVjGBu1VBafOk2rP&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    #ท้าวมหาราชทั้ง

    การปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ พออาตมากราบอาราธนาบารมีพระและครูบาอาจารย์ ท้าวเวสสุวรรณท่านชี้ให้ดู มีรูปหล่อของท้าวมหาราชทั้ง ๔ ถ้าไม่ใช่ชื่อผิดก็อาวุธผิด ท่านบอกว่าส่วนนี้สงเคราะห์ให้ไม่ได้ เพราะว่าทำโดยที่ไม่ได้บอกไม่ได้กล่าวยังไม่พอ ยังทำโดยที่เรียกว่าไม่ศึกษาให้รู้เสียอีกว่าเป็นอย่างไร

    รูปท้าวมหาราชทั้ง ๔ ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่อาตมาบอก #ท้าวเวสสุวรรณถือพลองยาว ส่วนใหญ่เขาทำสูงเสมอไหล่ ท้าวธตรฐถือพระขรรค์ ท้าววิรุฬหกถือตะบองเกลียวสั้น แล้วก็ท้าววิรูปักษ์ ถ้าไม่ถือศรหัวพญานาค ก็จะถือกงจักร ให้เลือกเอาว่าจะเอาแบบไหน ?

    วันก่อนผ่านมาร้านขายเครื่องประดับสวน เขาทำท้าวมหาราชทั้งสี่ไว้ขาย ก็คิดว่าเออ...มึงใจถึง ปรากฏว่าท้าวเวสสุวรรณของเขาถือพลองยาวท่านี้ อาตมาจำได้ว่าท่านี้ ไอ้อู๋หมิงพระเอกในเรื่อง Hero เขาถือดาบ จำได้ไหม ? ที่บุกเดี่ยวไปสังหารจิ๋นซีฮ่องเต้ ถือดาบท่านี้ ไอ้เจ้านั่นก็ปั้นรูปท้าวเวสสุวรรณถือพลองยาวท่านี้ สงสัยว่าจะดูวิดีโอเกมมากเกิน..!

    คราวนี้ถ้าจัดท้าวมหาราชทั้ง ๔ อยู่รวมกัน สมมติว่าตั้งบูชาเรียงเป็นแถว #ซ้ายสุดของเราหรือขวามือของท่านคือท้าวเวสสุวรรณ ต่อด้วยท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ ก็แปลว่าท้าวเวสสุวรรณจะอยู่ซ้ายสุดของเรา ท้าววิรูปักษ์จะอยู่ขวาสุดของเรา

    ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ค่อยจะจำ ที่วัดท่าซุงด้วยความที่ปั้นถูกต้องแล้ว แต่พอหลวงพ่อวัดท่าซุงไปตรวจงาน วันนั้นมีหลวงพี่ประทีปกับหลวงพี่วิรัชไปด้วย อาตมาก็ติดตามไปพอดี ท่านก็ชี้ให้ช่างเสริฐดูบอกว่า “ตาเสริฐ แกติดชื่อท้าวมหาราชผิด..แก้ซะ” ปรากฏว่าหลังจากนั้นนอกจากงานวัดมากแล้ว หลวงพ่อท่านยังไม่สบายหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งไปวุ่นวายกันตอนท่านมรณภาพ ก็เลยไม่มีการแก้ไข

    อาตมายังไม่ได้ย้อนไปดูเลยว่าป่านนี้แก้ไขถูกต้องแล้วหรือยัง แต่ยังไม่ได้บอกท่านพระครูปลัดสมนึกไว้ งวดก่อนเพียงแค่บอกพระครูปลัดสมนึกว่ายันต์เกราะเพชรผิด เนื่องจากว่าคนเขียนก็เขียนเพลิน ‘คะ พุท ปัน ทู ธัม วะ คะ’ บรรทัดนี้เขาเขียนเป็น ‘ปัน นู’

    #ที่มา เก็บตกบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๓
    หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    iemJONrykZG7AsQ3CdAWBz63zOrzCa0tXsjr4-Rc5lQTxwGxpGwE8HY8JqxsmuwDJehu9DqS&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg .
    "ส่วนใหญ่แล้ว ญาติโยมเขาไม่รู้ว่าโทษของการปรามาสพระรัตนตรัยนั้นรุนแรงขนาดไหน เพราะฉะนั้น..ถึงเวลาแล้วก็นินทาพระนินทาเจ้าเป็นของสนุก อย่างหลวงพ่อพุทธอิสระเหมือนกัน ต่อให้สิ่งที่ท่านทำไม่ถูกต้องขนาดไหนก็ตาม ถ้าท่านยังรักษาศีลไม่บกพร่องอยู่ ระวังอย่าไปแตะต้องเข้า..!

    โบราณท่านฉลาด ถึงได้บอกว่า ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ คนสมัยใหม่ไม่รู้โทษ แล้วก็ชอบอวดความรู้ของตนเอง โดยเฉพาะความรู้หลายส่วน เป็นความรู้ที่เกิดจากการประมาณการเอา ซึ่งไม่ใช่ความจริง ก่อให้เกิดโทษแก่ตัวเองเปล่า ๆ"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)

    เก็บตกบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    FD2NcsVcgZ0CJG3R4P_hmN9gaupLiYAXz1a11nkifWMwjoucBuLgdIPfwxAfUvzPV1e9AvYZ&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg


    #ประวัติพระอัฏฐารส

    เมื่อครั้งหล่อพระพุทธรูปนั้น พระเถระชื่อว่า นราจาริยะ เจ้าอาวาสวัดโชติการาม ใคร่ลองบุญญาภินิหารของท่าน กระทำสัตยาธิษฐานแล้วอุ้มเบ้าทองอันร้อนด้วยมือยกขึ้นตั้งเหนือศีรษะนำไปหล่อ เบ้านั้นก็ไม่ทำให้ร้อนไหม้ คนทั้งหลายเห็นแปลกดังนั้น ก็เกิดอัศจรรย์พากันสาธุการเอิกเกริกทั่วทั้งเวียง"

    #ในโคลงนิราศหริภุญชัย ได้กล่าวถึง พระอัฏฐารส ว่าเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่หล่อด้วยทองสำริดปิดทองคำเปลว ปางห้ามญาติ สูง ๑๖ ศอก (๒๓ ซม.) หรือ ๘.๒๓ เมตร พร้อมทั้งพระอัครสาวกทั้ง ๒ องค์ คือ พระอัครสาวกซ้ายคือ พระโมคคัลลานะ สูง ๔.๔๓ เมตร และพระอัครสาวกขวาคือ พระสารีบุตร สูง ๔.๑๙ เมตร หล่อโดยพระนางติโลกจุฑา พระมเหสีของพระเจ้าแสนเมืองมารัชกาลที่ ๗
    ราชวงศ์มังรายพระอัยกาของพระเจ้าติโลกราช รัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงศ์มังราย เมื่อพ.ศ.๑๙๕๕

    นอกจากทำการหล่อพระอัฏฐารส/พระอัครสาวกทั้งสององค์แล้ว ยังได้หล่อพระพุทธรูปปางต่างๆ จำนวนมาก ประดิษฐานรายล้อมพระอัฏฐารสอยู่ด้านหน้าและผินพระพักตร์สู่ทิศต่างๆ การหล่อพระพุทธรูปขนาดต่างๆ อีกจำนวนมากเมื่อปี พ.ศ.๑๙๕๔ ในครั้งนั้นต้องใช้เบ้าเตาหลอมทองจำนวนมากเป็นพันเตาพันเบ้า ต่อมาสถานที่ตั้งเตาหลอมทองหล่อพระพุทธรูปได้สร้างเป็นวัดและเรียกชื่อว่า วัดพันเตา "

    เมื่อครั้งหล่อพระพุทธรูปอัฏฐารสนั้น พระเถระชื่อว่า นราจาริยะ ผู้เป็นเจ้าอาวาสวัดโชติการาม (วัดเจดีย์หลวง) ใคร่ลองบุญญาภินิหารของท่าน กระทำสัตยาธิษฐานแล้วอุ้มเบ้าทองอันร้อนด้วยมือยกขึ้นตั้งเหนือศีรษะนำไปหล่อ เบ้านั้นก็ไม่ทำให้ร้อนไหม้ คนทั้งหลายเห็นแปลกดังนั้น ก็เกิดอัศจรรย์พากันสาธุการเอิกเกริกทั่วทั้งเวียง"

    #พระอัฏฐารสแปลว่า พระสิบแปด คือพุทธธรรม ๑๘ ประการ อันเป็นพระคุณสมบัติเฉพาะพระพุทธองค์ ไม่ได้หมายความว่าพระพุทธรูปสูง ๑๘ ศอกดังที่เข้าใจกัน องค์พระพุทธรูปปฏิมาอัฏฐารสอาจจะสูงตำกว่านั้นหรือจะสูง ๑๘ ศอกก็ย่อมได้ ที่ตั้งชื่อพระพุทธรูปเช่นนั้นก็เพื่อเป็นอุบายธรรมสื่อนำไปสู่ความเข้าใจในพุทธคุณอันประเสริฐของพระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นศาสดาของมนุษย์และเทพเจ้าทั้งหลาย ดังพระบาลีในอาฏานาฏิยปริตรว่า : " อุเปตาพุทธธัมเมหิ อัฏฐารสหิ นายกา พระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้เป็นนายกคือผู้นำ ทรงประกอบด้วยพุทธธรรม ๑๘ ประการ " คือ

    ๑. พระพุทธองค์ไม่มีกายทุจริต
    ๒. ไม่มีวจีทุจริต
    ๓. ไม่มีมโนทุจริต
    ๔. ทรงมีอตีตังสญาณ
    ๕. ทรงมีอนาคตังสญาณ
    ๖. ทรงมีปัจจุบันนังสญาณหยั่งรู้กาลทั้ง ๓ แจ่มแจ้ง
    ๗. กายกรรมของพระพุทธองค์เป็นไปตามพระญาณ
    ๘. วจีกรรมของพระพุทธองค์เป็นไปตามพระญาณ
    ๙. มโนกรรมของพระพุทธองค์เป็นไปตามพระญาณ
    ๑๐. ไม่มีความเสื่อมแห่งฉันทะ
    ๑๑. ไม่มีความเสื่อมแห่งวิริยะ
    ๑๒. ไม่มีความเสื่อมแห่งสติ
    ๑๓. ไม่มีเล่น
    ๑๔. ไม่มีพลั้ง
    ๑๕. ไม่มีพลาด
    ๑๖. ไม่มีความผลุนผลัน
    ๑๗. ไม่มีพระทัยย่อท้อ
    ๑๘. ไม่มีอกุศลจิต (สังคีติสุตตวรรณนา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค).

    นอกจากนี้ ภายในพระวิหารหลวงยังเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าแสนล้าน ศิลปะแบบทรงเครื่องล้านนา เนื้อสัมฤทธิ์ผสมเงินแท้ พระเกศโมลีทองคำแท้หนัก ๕๑ บาท องค์พระประดับด้วยอัญมณีแท้ทั้งองค์ ขนาดหน้าตัก ๒๙ นิ้ว จัดสร้างในโอกาสที่พระพุทธพจนวราภรณ์ (หลวงปู่จันทร์ กุสโล) เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง เจริญมงคลอายุครบ ๙๐ ปี ในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,477
    A8YqHdXBBS8bH0yHT7UQ1aXU5BT8m5v0t2OAiENfhOWXurTSMiy00rVZ8Lv6mVgJeVitscsV&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    ถาม : เจอเพื่อนหลายคนที่ชอบพูดจาแรง ๆ กระทบผู้อื่นโดยเขาให้เหตุผลว่า "เป็นคนตรง" ขอถามว่า การพูดจาตรงไปตรงมา ความหมายที่ถูกต้องคืออะไรกันแน่ ? เพราะสมัยนี้เขาตีความไปว่าคือการพูดจาแรง ๆ เปิดเผยความรู้สึกโดยไม่สนใจคนรอบข้าง ?

    ตอบ : พวกมนุษย์ป้ามักจะเป็นอย่างนั้น..! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า

    วาจาใดไม่เป็นที่ชอบใจ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น

    วาจาใดไม่เป็นที่ชอบใจ ก่อให้เกิดประโยชน์ ตถาคตรู้ว่าควรจะกล่าวเวลาไหน

    วาจาใดเป็นที่ชอบใจ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ตถาคตก็ไม่กล่าววาจานั้น

    วาจาใดเป็นที่ชอบใจ ก่อให้เกิดประโยชน์ ตถาคตจะกล่าววาจานั้นเสมอ


    เพราะฉะนั้น..ก็เลือกเอาก็แล้วกันว่า จะตรงไปตรงมาแล้วคนอื่นเขาเห็นว่าก้าวร้าวหรือว่าเกรียนดี หรือว่าจะรู้จักกาลเทศะเสียหน่อย หรือไม่ก็ใช้วาจาตรง ๆ แบบเดียวกันคืนไปบ่อย ๆ เดี๋ยวเขาก็รู้ตัวเอง

    ถาม : แต่ถ้าเขาทำเราก่อนแล้วเราพูดไปแรง ๆ จะเป็นอะไรไหมคะ ?

    ตอบ : เอาอย่างนี้แล้วกัน แขวนตะกรุดมหาสะท้อนแล้วภาวนา “เมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา” ไว้ทุกวัน..!

    ........................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ผู้ก่อตั้งสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    .......................................
    #รู้ว่าดีก็ทำ #รู้ว่าชั่วก็ละ #ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...