ความมหัศจรรย์ฺของ "พระอรหันต์กลางกรุง" พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ)

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย ลูกพ่อลิงดำ, 9 มกราคม 2009.

  1. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    ภิกษุอรหันต์รู้วันมรณภาพ

    [​IMG]

    คงเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ธมฺมวิตกฺโก ภิกษุผู้เคร่งครัดต่อธรรมวินัย ยากยิ่งจะหา
    ภิกษุสงฆ์ในปัจจุบันนี้ปฏิบัติได้เสมอเหมือนท่านเจ้าคุณนรรัตนฯหาได้ไม่ ผู้ที่ได้พบประสนทนา และได้ยิน
    กิตติศัพท์ของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ต่างก็โมทนาสาธุยกย่องให้ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เป็นภิกษุอรหันต์ในยุคนี้
    เพราะพฤติการณ์ต่างๆ ที่ปรากฏแก่สายตาทั้งทางด้านธรรมวินัย และทางด้านอภินิหารนับเป็นปรากฏการณ์
    ประหลาดมหัศจรรย์ยิ่ง แม้แต่เกจิอาจารย์ผู้คงแก่เรียนในยุคนี้ก็ไม่สามารถกระทำได้เยี่ยงอย่าง ท่านเจ้าคุณ
    นรรัตนฯ หาได้ไม่ และท่านเจ้าคุณนรรตันฯ ท่านก็เป็นภิกษุสงฆ์ที่ตัดแล้วด้วยกิเลสนานาประการ ยศถา
    บรรดาศักดิ์ทางสงฆ์ ท่านก็มิได้ปรารถนาผิดกับภิกษุสงฆ์บางรูป พอเริ่มห่มผ้าเหลืองเพียงไม่กี่พรรษา เป็น
    ที่นับหน้าถือตาของบรรดาญาติโยม ก็เพียรพยายามหายศประดับบารมีเสียแล้ว แม้แต่จะต้องเสียเงินเสียทอง
    เพื่อได้ตำแหน่งยศมาประดับบารมีก็ยังต้องยอม และยิ่งมีญาติโยมก้มกราบเรียกขานว่า "ท่านอาจารย์" หรือ
    "หลวงพ่อ" ด้วยแล้วมีความปลาบปลื้มปิติยินดีอย่างล้นพ้น ผิดกับท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ไม่ว่าใครที่เข้าไป
    พบประสนทนา จะเรียกขานท่านว่า "ท่านอาจารย์" หรือ "หลวงพ่อ" แล้วท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จะเอ่ยปาก
    บอกญาติโยมทันทีว่า

    "ที่นี้ไม่มีอาจารย์และไม่มีหลวงพ่อหรอกโยม ที่มีอาจารย์และหลวงพ่อนั้นมีที่วัดอื่น
    ไม่ใช่ที่วัดเทพศิรินทร์"

    นี่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า ตลอด ๔๕ พรรษาที่ครองเพศบรรพชิตของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มิได้
    มีอะไรด่างพร้อยให้ปรากฏในวงการพุทธศาสนาเลยแม้แต่น้อย กลับเป็นตัวอย่างอันดีงามของภิกษุสงฆ์
    ที่ครองเพศบรรพชิตควรยืดถือ เป็นเยี่ยงอย่างอีกด้วยและท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ธมฺมวิตกฺโก รูปนี้ก็ยังรู้วัน
    มรณภาพของท่าน ดังปรากฏการณ์ที่ข้าพเจ้าจะนำมาเล่าสู่กันฟังต่อไปนี้

    เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ท่านเจ้าคุณนรรัตนได้ถูกโรคร้ายเข้าแทรกซึมในร่างกาย อีกครั้งหนึ่ง
    นั่นก็คือฝีปรากฏขึ้นที่คอด้านซ้าย เป็นเม็ดแดงระเรื่อ แต่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ กลับรู้สึกเฉยๆ เหมือนไม่มี
    อะไรเกิดขึ้นกับตัวท่านเลย ถ้าเป็นอย่างมนุษย์ปุถุชนเช่นเรา-ท่านละก็ต้องร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
    อย่ารวดร้าวแสนสาหัสทีเดียว และจะต้องวิ่งเข้าโรงพยาบาลอย่างไม่มีปัญหา แต่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ
    ไม่อนาทรร้อนใจด้วยโรคร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวท่านเลย ท่านใช้กระแสร์จิตอันแก่กล้าและญาณขั้นสูงสุด
    พินิจพิจารณา ท่านก็สามารถทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

    ลูกศิษย์ลูกหาที่เป็นนายแพทย์ชั้นปริญญาหลายท่านได้แสดงความปริวิตก และต่างก็ขันอาสา
    พยาบาลกันมากมาย แต่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ได้ปฏิเสธไปทุกรายมิยอมฉันหยูกยาใดๆ ทั้งสิ้นที่มีผู้นำ
    มาให้ ได้แต่บอกแก่ผู้หวังดีทุกคนไปว่า

    "ฝีที่เกิดขึ้นเรียกว่าฝีสบาย เขามาอาศัยร่างอาตมาอยู่เท่านั้น เมื่อถึงกำหนดฝีนี้ก็จะแตกเอง
    และหายไปพร้อมกับอาตมา ขอให้ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง"

    ด้วยคำพูดที่เป็นปริศนาและให้คิดเป็นการบ้านของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ประโยคนี้เอง ทำให้พระภิกษุ
    สงฆ์สามเณรในวัดเทพศิริทร์และประชาชนที่เลื่อมในศรัทธาท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ต่างปริวิตกไปตามๆกัน
    และก็เฝ้ารอวินาทีที่ฝีแตกจะเกิดขึ้น

    ผลที่สุดวินาทีวิกฤตที่ทุกคนเฝ้ารอคอยก็ปรากฏขึ้นในปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ฝีที่คอท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ
    แตกแล้ว แต่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็มิได้แสดงความเจ็บปวดรวดร้าวอะไรออกมาให้ญาติโยมพบเห็น
    เลยแม้แต่น้อย ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ยังปฏิบัติลงโบสถ์ทำวัตรเช้า-เย็น และสนทนาปราศรัยกับญาติโยม
    ธรรมดา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    ศาสตราจารย์นายแพทย์ที่เลื่อมใสศรัทธาเจ้าคุณนรรัตนฯ หลายท่าน ต่างก็ยื่นความจำนงขอเป็นผู้รักษา
    หาหยูกยามาถวาย ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ตอบปฏิเสธอีกเช่นเคย และไม่ยอมฉันหยูกยาเลยแม้แต่อย่างเดียว
    ไม่แต่บอกว่า

    "สิ่งที่มันเกิดขึ้นมาเองได้ มันก็ต้องหายไปเองได้เช่นกัน"

    ความเรื่องนี้ได้ล่วงไปถึงพระกรรณของสมเด็จพะนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถมีความประสงค์
    จะให้ศาสตราจารย์นายแพทย์มาทำการรักษาให้ ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯก็ได้ตอบปฏิเสธอีกเช่นเคย

    ครั้งที่สองสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมส่วนพระองค์
    พร้อมด้วยเจ้าฟ้าหญิงและราชองครักษ์ เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ คราวนี้ท่านเจ้าคุณนรรัตน
    ได้กราบบังคมทูลเป็นลางว่า

    "อาตมาเห็นจะต้องขอลาแล้ว"

    นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนสามารถล่วงรู้วันมรณภาพของท่านด้วยญาณชั้นสูงจริงๆ

    ผู้ที่ปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดท่านเจ้าคุณนรรัตนเห็นจะไม่มีใครเกิน ปลัด อำเภอ โท โกศล ปัทมะสมุนทร
    บุตรชายนางเลื่อน ปัทมะสมุนทร ซึ่งเป็นน้องสาวของท่านเจ้าคุณนรรัตนนั่นเองเมื่อปลัดโกศลได้ทราบ
    ข่าวว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฝีที่คอแตกแล้ว ก็ได้เดินทางมาปรนนิบัติรับใช้อย่างใกล้ชิดในพระอุโบสถ
    วัดเทพศิรินทร์ทุกวันมิได้ขาดเลยแม้แต่วันเดียว นับวันฝีคอของท่านเจ้าคุณนรรัตน ก็ได้แตกลุกลาม
    เป็นที่น่าสังเวชแก่ผู้ที่พบเห็นยิ่งนัก ท่านเจ้าคุณนรรัตนจึงได้เอ่ยปากถามหลานชายโกศลว่า

    "ทำการชำระแผลให้อาตมาได้ไหม"

    ปลัดโกศลหลายชายจึงตอบรับคำว่าทำได้ทันที แล้วจึงรีบเดินทางไปขอคำแนะนำจาก พ.ต.ไพบูลย์
    บุษปธำรง นายแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า พร้อมกับปรับน้ำยาชำระแผลมาทำการชำระแผล ให้แก่
    เจ้าคุณลุงท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ทุกวันจนกระทั่งต่อมาเมื่อวันที่ ๒ ม.ค. พ.ศ. ๒๕๑๔ หลังจากที่คุณโกศล
    ได้ทำการชำระแผลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงได้เอ่ยปากกับคุณโกศลว่า

    "หลานอยากได้ของดีจากอาตมาก็ให้ไปเก็บก้อนกรวดที่อำเภอบางบ่อมาอาตมาจะเสกให้"

    ปลัดโกศลเมื่อได้ยินท่านเจ้าคุณลุงเอ่ยเช่นนั้นก็นึกแปลกใจ เพราะแต่ก่อนก็เคยได้ยินกิติศัพท์ว่าของดี
    ที่ท่านคุณลุงปลุกเสกมีอภินิหาร ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแก่มหาชนเป็นจำนวนมาก ตัวเขาเองก็เคยมา
    ขอจากเจ้าคุณลุง เจ้าคุณลุงก็บอกว่าตัวท่านก็ไม่มีเลยถ้าอยากได้ก็ขอให้ไปขอจากท่านเจ้าคุณอุดมเป็นผู้สร้าง
    และเจ้าคุณลุงก็ยังกำชับอีกว่าไปเอาของเขาฟรีๆ นะบริจาคเงินด้วยเพื่อจะได้ไปสร้างกุศล แต่มาวันนี้เจ้าคุณลุง
    กลับบอกให้ไปเก็บก้อนกรวดมา เจ้าคุณลุงจะเสกของดีให้ ปลัดโกศลจึงนึกแปลกใจและดีใจระคนกัน จึงได้
    ตอบไปว่า ที่บางบ่อไม่มีกรวดทรายครับจะไปเอาที่เมืองชลหรือสมุทรสงครามได้ไหม? เจ้าคุณนรรัตนฯ
    ได้ตอบว่า จะไปเอาที่อื่นไม่ได้เพราะชื่อไม่ดีต้องที่บางบ่อ เพราะเป็นบ่อเงินบ่อทองและจังหวัดสมุทรปราการ
    ก็เป็นชื่อไพเราะและเป็นศิริมงคล ให้ไปเที่ยวหาดูต้องมีแน่นอน

    รุ่งขึ้นวันอาทิตย์คุณโศลจึงขับรถเที่ยวตะเวนหาก้อนกรวดจนทั่ว บางบ่อก็หาไม่พบเลยจนกระทั่งขับรถ
    มาบริเวณทางเข้าบางบ่อ ใกล้สะพานคลองเจ้าจึงก้อนทรายกองอยู่ จึงเข้าไปค้นหาดูได้ก้อนกรวดมาถุงหนึ่ง
    รุ่งขึ้นวันจันทร์จึงนับไป ๙ ก้อน จึงนำไปให้เจ้าคุณนรรัตนฯ ปลุกเสกท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงได้ปลุกเสกอยู่
    ประมาณ ๑๕ นาทีก็มอบให้คุณโกศลและมอบให้ไปแจกลูกๆ หลานๆ เพื่อห้อยคอไว้แล้วก็บอกให้นำก้อนกรวด
    มาให้อีกจะเสกให้

    รุ่งขึ้นคุณโกศลก็นำก้อนกรวดใส่ถุงมาถุงหนึ่งให้เจ้าคุณนรรัตนฯ เสกอีก หลังจากทำวัตรเย็นและชำระแผล
    เสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อท่านเจ้าคุณนรรัตนฯทำการปลุกเสก ก้อนกรวดเสร็จแล้ว จึงได้บอกหลานชายโกศลว่า

    "ของนี้เป็นของดี มีคุณค่ามากเรียกว่าพ่อแม่ธรณีปัฐวีธาตุ ซึ่งมีจิตเมตตาใครจะเหยียบย่ำทำสิ่งไรก็ไม่ว่า
    ประดุจกับพ่อแม่ของเราที่รักลูกและเมตตากรุณาลูกทุกคน ฉะนั้นก้อนกรวดนี้จึงมีอนุภาพศักดิ์สิทธิ์มากสามารถ
    กันนิวเคลียร์ได้อีกด้วย และจะมอบให้กับใครก็จงให้แก่ผู้ที่เขาเลื่อมใสศรัทธาให้เอาก้อนกรวดนี้วางไว้ตรงรูป
    ใบโพธิ์ เขียนตัว "น" และเขียน อุ ไว้บนตัว น. แล้วเขียนชื่อเจ้าของก้อนกรวดไว้ข้างใต้ให้เลี่ยมห้อยคอไว้
    จะเกิดศิริมงคล"

    " พอเจ้าคุณลุงมอบก้อนกรวดเสกให้ผมลูกศิษย์ลูกหาของท่านเจ้าคุณที่นั่งอยู่ในโบสถ์ก็รุมเข้ามาขอกันใหญ่
    ผมก็แจกให้ทุกคน และเจ้าคุณลุงก็บอกให้ผมไปเอามาอีกจะเสกให้ ผมก็ขับรถไปที่บางบ่อ เอามาให้เจ้าคุณลุง
    เสกอีก แต่ผมไม่กล้าให้มากเพราะกลัวเจ้าคุณลุงหนัก เพราะท่านต้องยกอุ้มไว้ในมือต่อมาเมื่อวัน พฤหัสบดีที่
    ๗ ม.ค. หลังจากที่เจ้าคุณลุงเสกก้อนกรวดเสร็จแล้วเจ้าคุณลุงก็บ่นว่าวันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบายเหนื่อยเหลือเกิน
    เจ้าคุณลุงจึงรีบกลับกุฎิทันที พอรุ่งขึ้นเช้าที่ ๘ ม.ค. ๑๔ ลูกชายและลูกสาวผมไปส่งอาหารเป็นประจำ
    เจ้าคุณลุงไม่รับปิ่นโตบอกว่าวันนี้ไม่ฉัน และให้ไปบอกพระข้างกุฎิด้วยว่าวันนี้ไม่ลงโบสถ์ ลูกชายลูกสาว
    กลับไปบ้านโทรบอกผม ผมก็ใจหายวูบทันที เพราะท่านเจ้าคุณลุงเคยบอกว่าวันไหนที่ท่านไม่ลงโบสถ์ ก็
    หมายถึงท่านได้สิ้นชีวิตเสียแล้ว พอตกเย็น ผมก็รีบไปที่โบสถ์เพื่อชำระแผลให้เจ้าคุณลุงเป็นกิจวัตร แต่ก็ไม่
    พบท่านเจ้าคุณลุง ผมจึงสังหรณ์ใจว่าท่านเจ้าคุณลุงมรภาพอย่างแน่นอน "

    นี้ก็เป็นปรากฏการณ์อีกอย่างหนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ธมฺมวิตกฺโก ได้ล่วงรู้วันมรณภาพ
    ของท่านเองได้

    และก็เป็นจริงดังที่ปลัดโกศลคิดไว้ ภิกษุสามเณรในวัดเทพศิรินทร์ได้ทำวัตรเย็นและทราบว่าท่านเจ้าคุณ
    นรรัตนฯไม่ลงทำวัตรเย็น ต่างก็ปริวิตกไปต่างๆนาๆ ว่าเจ้าคุณนรรัตนฯคงถึงมรณภาพอย่างแน่นอน เพราะ
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เคยพูดเสมอว่า "ถ้าอาตมาขาดทำวัตรเมื่อใด นั้นก็หมายความว่าอาตมาสิ้นลมหายใจแล้ว"

    ครั้นมาถึงเวลา ๑๙.00 น. เศษ ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ จึงได้ปรึกษากับท่านมหาเสริม พ.ต. ไพบูลย์
    บุษปธำรง และปลัดโกศลว่า สมควรจะขึ้นไปเยี่ยมท่านเจาคุณนรรตัน ทุกคนต่างก็ลงความเห็นกัน
    จึงได้พากันไปกุฏิท่านเจ้าคุณนรรัตนทันที
    เมื่อท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณได้พากันเดินไปถึงกฎิท่านเจ้าคุณ
    นรรัตนก็ได้ผลักประตูชั้นล่างเข้าไป ปรากฏว่าประตูมิได้ลงกลอน
    ครั้นขึ้นไปชั้นบนก็เห็นประตูปิดอยู่เมื่อเอามือผลักดูปรากฏว่าเปิดได้ง่าย
    มิได้ลงกลอนเช่นเดียวกัน และได้พบท่าน เจ้าคุณนรรัตนนอนอยู่ในมุ้ง
    อย่างสงบเงียบอยู่ในท่านอนหลับปกติ ครั้นท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ
    เอามือไปจับท่านเจ้าคุณนรรัตนก็ยังมีไออุ่นอยู่ พ.ต.ไพบูลย์ บุษปธำรง
    ได้เข้าไปตรวจดูจึงได้ทราบว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนสิ้นลมหายใจเสียแล้ว
    เมื่อเวลาประมาณ๑๑.๐๐น. เศษ ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ จึงได้จัดการ
    รดน้ำศพในวันรุ่งขึ้น ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๔ ได้มีแขกผู้มีเกียรติ
    และบรรดาญาติมิตรและผู้ที่เลื่อมใสศรัทธามารดน้ำศพ กันอย่างคับคั่ง
    ต่างหลั่งน้ำตาด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อท่านเจ้าคุณนรรัตน นับเป็น
    ภาพเหตุการณ์ที่เศร้าสลดอย่างสุดซึ้งที่จะหาดูอีกไม่ได้แล้ว

    [​IMG]

    หลังจากได้จัดการรดน้ำศพท่านเจ้าคุณนรรัตนเสร็จเรียบร้อยก็ได้นำศพ
    ท่านเจ้าคุณนรรัตน บรรจุในหีบศพของท่านเจ้าคุณนรรัตน และทางพิธีหลวง
    ก็ได้จัดนำโกฎชั้นพระยามาตั้งประดับไว้ที่ศาลาละมูล มีนะนันท์ กุฎิของท่าน
    เจ้าคุณอุดมสารโสภณนั่นอง และได้มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นายตำรวจ
    นายทหาร ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน มาแจ้งความจำนงขอเป็นเจ้าภาพ
    สวดพระอภิธรรมศพท่านเจ้าคุณนรรัตนทุกวันจนครบ ๑๐๐ วัน แม้แต่สมเด็จ
    พระนางเจ้า ฯ บรมราชินีนาถ ก็ยังเสด็จพระราชดำเนินมาเป็นเจ้าภาพสวด
    พระอภิธรรมศพท่านเจ้าคุณนรรัตนด้วยเหมือนกัน

    ดังได้กล่าวแล้วว่า เครื่องรางของขลังที่ได้ผ่านการปลุกเสกจากท่าน
    เจ้าคุณนรรัตนแล้วจะเกิดพลังอานุภาพ ศักดิ์สิทธิ์ให้ปรากฏอยู่เสมอ ดังนั้น
    ปัฐวีธาตุที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนปลุกเสกให้แก่หลานปลัดโกศลก็เช่นกัน ก็ได้
    ก่ออภินิหารให้ปรากฏ กล่าวคือ หลังจากท่านเจ้าคุณนรรัตนปลุกเสกปัฐวีธาตุ
    ให้แก่ปลัดโกศลแล้ว ปลัดโกศล ได้นำแจกจ่ายแก่ผู้เลื่อมใสศรัทธาใน
    จำนวนนี้มีภรรยาของ พล.อ.ต. ชู สุทธ์โชติ เจ้ากรมอากาศโยธินผู้หนึ่งที่ได้
    รับปัฐวีธาตุไปบูชาใส่ไว้ในพานรวมอยู่กับแก้วโป่งข่าม ที่หน้าโต๊ะหมู่บูชา
    เพียงวันเดียวเท่านั้นก็ปรากฏการณ์ประหลาดขึ้น เมื่อภรรยา พต.อ.ต. ชู
    ได้เข้าไปบูชาพระเป็นกิจวัตรทุกเย็นก็ได้พบปัฐวีธาตุตกลงมากองอยู่กับพื้น
    ข้างล่าง ภรรยา พล.อ.ต. ชู ก็มิได้เกิดความสงสัยประการใด คงเข้าใจว่า
    เด็กรับใช้ทำความสะอาดอาจทำตกลงมาก็ได้ จึงได้หยิบปัฐวีธาตุขึ้นใส่พาน
    ไว้อย่างเดิม รุ่งขึ้นตอนเย็นก็เข้าห้องบูชาพระอย่างเคยก็พบปัฐวีธาตุตกลงมา
    กองอยู่กับพื้นข้างล่างอีก จึงเกิดเอะใจขึ้นแต่ก็มิได้แพร่งพรายให้ใครทราบ
    แล้วเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ก็ปรากฏขึ้นอีกเสมอ จนภรรยา พต.อ.ต. ชู
    เกิดความสงสัยจึงนำความเรื่องนี้ไปบอกกับสามี และปรึกษากันว่า ปัฐวีธาตุนี้
    เป็นของสูงมิคู่ควรจะอยู่รวมกับแก้วโป่งข่าม จึงได้ตัดสินใจนำเอาแก้วโป่งข่าม
    ออกจากพาน นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาปัฐวีธาตุมิได้ตกลงมากองกับพื้นขั้นล่าง
    อีกเลย

    และปัฐวีธาตุที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนปลุกเสกให้แก่หลานปลัดโกศลก่อนจะถึงวันมรณกรรมเพียงวันเดียว ปลัดโกศลได้มอบให้นางจำเนียนภรรยาทูลเกล้าถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อคราวเสร็จ
    พระราชดำเนินมาเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมศพเจ้าคุณนรรัตน เมื่อวันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๔ สมเด็จ
    พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้มีกระแสร์รับสั่งว่า "ขอบใจจ๊ะ" เพราะทรงทราบว่าเป็นของที่ท่านเจ้าคุณ
    นรรัตนปลุกเสกเอง



    บูรพาจารย์วัดเขาบางทรายของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นวัดพี่วัดน้องของวัดเทพศิรินทราวาส


    ท่านเจ้าคุณเฒ่า พระชลโธปมคุณมุนี (พุฒ)
    อาจารย์ปู่ของท่านเจ้าคุณนร
    [​IMG]


    ท่านเจ้าประคุณพระเขมทัสสีชลธีสมานคุณ (เอี่ยม) อดีตเจ้าอาวาสวัดเขาบางทราย
    [​IMG]

    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ)
    พระอุปัชฌาย์และพระอาจารย์ของท่านเจ้าคุณนรฯ
    [​IMG]

    รูปถ่ายที่หาดูได้ยากของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ตอนเป็นเณร
    [​IMG]

    พระครูชลโธปมคุณ (ปุ่น อังคะนาวิน)
    พระเลขาและศิษย์ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
    และท่านเจ้าประคุณพระเขมทัสสีฯ รุ่นน้องของท่านเจ้าคุณนรฯ
    ศิษย์รุ่นพี่สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชฯ
    และสมเด็จพระวันรัต (นิรันดร์) วัดเทพศิรินทร์
    ท่านได้มรณภาพแล้วสังขารไม่เน่าเปื่อย
    หัวใจไม่ละลายไม่ไหม้ไฟหลังจากพระราชทานเพลิงศพท่านแล้ว
    [​IMG]


    คัดลอกประวัติพระถิกษุพระยานรรัตนราชมานิตมาจาก http://www.uamulet.com/BoardDetail.aspx?bid=1&qid=13925





    จากกระทู้ธรรมะของพระภิกษุที่ผมนับถือมากที่สุดรูปหนึ่งครับ เขียนโดย คุณ anchalit
     
  2. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    ของดี ที่ยากจะเอื้อมถึง

    [​IMG]

    พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต(ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ)

    [​IMG]

    น้ำสรงพระศพพระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต(ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ) กับสําลีที่ใช่ไว้ทําความสะอาดอาโปธาตุ(น้ำเหลือง)


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 00699_0.jpg
      00699_0.jpg
      ขนาดไฟล์:
      53 KB
      เปิดดู:
      2,629
    • 00246_9.jpg
      00246_9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      21.1 KB
      เปิดดู:
      1,343
  3. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    [​IMG]


    จากภาพขวดแก้วใสบรรจุของเหลวสีน้ำตาลเข้มทั้งสองขวดคือน้ำสรงศพหรือเรียกง่ายๆภาษาชาวบ้านคือน้ำอาบศพท่าน
    เจ้าคุณนรฯ หลังจากที่ท่านมรณภาพลงในวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๑๔
    และภายหลังจากนั้นอีกหนึ่งวันจึงมีการกระจายข่าวและเคลื่อนย้ายศพท่านมายังศาลาเพื่อเตรียมตั้งศพบำเพ็ญกุ
    ศล ก่อนที่จะจัดสภาพศพให้เรียบร้อยก็จะต้องมีการสรงน้ำศพครับ


    ภาพและข้อมูลจาก The Encyclopedia

    http://www.212cafe.com/boardvip/view.php?user=saktalingchan&id=699
     
  4. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    [​IMG]


    รูปสุดท้ายนี้คือสำลีที่เคยใช้ชุบชำระน้ำเหลืองจากแผลบริเวณคอท่านเจ้าคุณนรฯ
    ที่เป็นมะเร็งแล้วแตกออกที่ท่านเรียกของท่านว่าฝีสบายซึ่งเมื่อแตกออกแล้วจะมีเลือด
    น้ำเหลืองและหนองไหลซึมออกมา ทำให้ท่านต้องซักจีวรทุกวันหลังจากที่ฝีสบายนี้แตกออก
    ทราบมาว่ามีพระในวัดสมัยนั้นบางรูปได้เข้าไปบอกท่านถึงเรื่องกลิ่นเหม็นจากแผลของท่าน
    โดยเฉพาะพระรูปที่นั่งทำวัตรสวดมนต์บริเวณรอบที่ท่านนั่ง
    ปรากฏว่าท่านได้หยิบเอาผ้าที่พันซับไว้มาดมและกล่าวว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...