ความมหัศจรรย์ฺของ "พระอรหันต์กลางกรุง" พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ)

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย ลูกพ่อลิงดำ, 9 มกราคม 2009.

  1. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,560
    [​IMG]


    ดวงชะตาพระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 00664_0.jpg
      00664_0.jpg
      ขนาดไฟล์:
      88.9 KB
      เปิดดู:
      7,649
  2. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,560
    [​IMG]

    รูปโมเดิร์นอาร์ต

    เป็นรูปอธิฐานจิตปี 2495 ครับ ถ่ายโดยพระมหาสงัด ท่านนั่งตั้งแต่ 6 โมงเย็น จนถึง
    6 โมงเช้าเลยครับภาพนี้เมื่อมหาสงัดเอาไปให้ท่านดูท่านบอกว่า เป็นรูป"โมเดิร์นอาร์ต"

    ข้อความและรูปภาพจาก
    http://www.212cafe.com/boardvip/view.php?user=saktalingchan&id=233
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มีนาคม 2009
  3. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,560
    [​IMG]
    วาทะพระภิกษุพระนรรัตนราชมานิต

    รวมรวมโดย คุณสมชาย ปรางค์นวรัตน์

    1
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 00059_0.jpg
      00059_0.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50.2 KB
      เปิดดู:
      2,446
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 ตุลาคม 2012
  4. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,560
    หลวงปู่มหาอําพันกับหลวงปู่ธัมมวิตักโก (พระยานรรัตน์ราชมานิต)
    [​IMG]
    หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่บวชได้ 8 เดือน หลวงปู่ธัมมวิตักโกก็มาบวช เมื่อครั้งยังเป็นพระบวชใหม่ ท่านทั้งสองสนิทกันมาก หลวงปู่เคยเล่าให้ฟังแต่ขอร้องไม่ให้บอกใคร แต่บัดนี้ท่านทั้งสองก็มรณภาพแล้วจึงจะขอเปิดเผย หลวงปู่ธัมมวิตักโกบอกกับท่านว่า "ถึงท่านจะบวชก่อนผมแต่ท่านอายุน้อยกว่าผม (น้อยกว่า 5 ปี) ผมก็รักท่านเหมือนน้อง" ทุกเย็นหลังจากสวดมนต์ทำวัตรเสร็จท่านทั้งสองจะเดินชมบริเวณวัดด้วยกัน ท่านทั้งสองมีความชำนาญในภาษาอังกฤษ ในบางครั้งท่านจะสนทนากันเป็นภาษาอังกฤษ
    หลวงปู่ธัมมวิตักโกท่านสำเร็จกรรมฐานกสิณสีขาวมาตั้งแต่เป็นฆราวาส และท่านยังชำนาญโหราศาสตร์โดยการดูลายมือ ถ้าท่านดูลายมือแล้วพบเห็นอะไรท่านจะใช้กสิณสีขาวดูรายละเอียดให้ลึกเข้าไป เท่าเล่าให้หลวงปู่ฟังว่าสมัยท่านยังรับราชการอยู่ในวัง วันหนึ่งมีสนมนางหนึ่งขอร้องให้ท่านช่วยดูลายมือให้ท่านดูแล้วพบว่าสนมคนนี้ประพฤติมิดีมิชอบ ท่านก็ใช้กสิณเพ่งดูก็รู้ว่าเหตุการณ์เกิดเมื่อไร ท่านทำนายไปถูกต้องนางสนมคนนี้ถึงกับเที่ยวไปบอกใครต่อใครว่า อย่าให้พระยานรรัตน์ ฯ ดูหมอนะรู้หมดไส้หมดพุง หลวงปู่ขอเรียนกสิณสีขาวกับหลวงปู่ธัมมวิตักโก ซึ่งถ้าใครเคยเข้าไปในห้องนอนหลวงปู่จะพบแผ่นทำกสิณสีขาวติดอยู่ที่ข้างฝา
    หลวงปู่บอกว่า หลวงปู่ธัมมวิตักโกมีเมตตากับหลวงปู่มากเมื่อครั้งหลวงปู่เป็นโรคเกาต์ (Gout) ไม่สามารถไปลงโบสถ์ได้ หลวงปู่มีความรู้สึกว่าหลวงปู่ธัมมวิตักโกช่วยรักษาให้ และเมื่อหลวงปู่ค่อยยังชั่วจึงไปหาหลวงปู่ธัมมวิตักโกก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะหลวงปู่ธัมมวิตักโกบอกหลวงปู่ว่า " I am sending you a supply of metal force or power , which will invigorate and heal you." (ผมกำลังส่งพลัง หรืออำนาจจิตไปยังท่านเพื่อจะช่วยให้ท่านมีกำลังและช่วยรักษาท่าน) และด้วยเมตตาของหลวงปู่ธัมมวิตักโก หลวงปู่ก็หายจากโรคครั้งนั้นทำให้ท่านเดินได้ตามปกติ
    หลวงปู่เล่าให้ฟังว่านอกจากหลวงปู่ธัมมวิตักโกจะฝึกกสิณสีขาวแล้ว ท่านยังฝึกลมปราณแบบโยคะ มีอยู่วันหนึ่งหลังจากฟังพระเทศน์ในวันพระ เมื่อหลวงปู่ธัมมวิตักโกเดินกลับกุฏิกำลังจะก้าวขึ้นบันไดไปชั้นบน รู้สึกว่าร่างกายซีกซ้ายของท่านหมดแรงไปแถบหนึ่ง ท่านทรุดลงนั่งเอามือขวาคลำที่หัวใจ และตรวจดูชีพจรก็ยังเต้นดี ท่านใช้วิธี Direting the Circulation โดยหายใจให้มีอัตราเร็วเท่ากับชีพจร แล้วเดินลมปราณมายังซีกข้างซ้าย ต่อมารู้สึกร่างกายทางซีกซ้ายค่อย ๆ อุ่นขึ้นจนเป็นปกติเดินขึ้นข้างบนได้ หลวงปู่บอกว่าเสียดายลืมถามท่านว่าการหายใจให้มีอัตราเร็วเท่ากับชีพจรทำอย่างไร และใช้อย่างไร
    วันหนึ่งมีพระฝรั่งมาเรียนถามหลวงปู่ธัมมวิตักโกถึงวิธีในการระงับกามวิตกเพื่อทำให้จิตสงบ หลวงปู่ธัมมวิตักโกได้ให้โอวาทพระฝรั่งจนเป็นที่เข้าใจ หลวงปู่ธัมมวิตักโกได้เล่าเรื่องนี้ให้หลวงปู่ฟัง หลวงปู่ฟังแล้วชอบใจจึงขอร้องให้หลวงปู่ธัมมวิตักโกเป็นผู้บอกแล้วหลวงปู่จดตามเป็นภาษาอังกฤษ และขอให้ท่านช่วยบอกเป็นภาษาไทยด้วยเพื่อบันทึกไว้จะได้เป็นประโยชน์แก่พุทธศาสนิกชน หลวงปู่มักจะสอนลูกศิษย์เสมอว่า ถ้าใครอยากจะเป็นพระอนาคามีต้องอ่านและปฏิบัติตามคำสอน "หน่ายกาม" ของหลวงพ่อเจ้าคุณนร ฯ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
    Sensual craving arises through unwise thinking on the agreeable and delightful.
    กามฉันท์หรือกามตัณหา เกิดขึ้นจากความไม่ฉลาด หลงคิดเห็นอารมณ์ต่าง ๆ เป็นที่ถูกใจ และน่ายินดี
    It may be suppressed by the following 6 methods :-
    สามารถข่มไว้ได้ด้วยวิธีทั้ง 6 ดังต่อไปนี้.-
    1. Fixing the mind upon an idea that arouses disgust.
    เพ่งใจให้เห็นอสุภารมณ์ คือ อารมณืที่ปฏิกูลน่าเกลียดไม่งามของสังขารร่างกายจนให้เกิดความเบื่อหน่าย คลายความรักใคร่ หายความกำหนัดยินดี
    2. Meditation upon the impurity of the body.
    เพ่งพินิจพิจารณาความปฏิกูลของร่างกาย (แยกออกเป็นอาการ 32 ที่เรียกว่า กายคตาสติภาวนา มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น)
    3. Watching over the six doors of sense.
    ใช้สติสำรวมอินทรีย์ เฝ้าระวังทวารทั้ง 6 (คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อได้ประสบพบเห็นรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะและธรรมารมณ์ อย่าให้ความรักใคร่กำหนัด ยินดียินร้ายเกิดขึ้นภายในจิตใจ)
    4. Moderation in eating.
    ให้รู้จักประมาณการบริโภคอาหาร อย่าให้อิ่มมากจนเกินไป จะเป็นเหตุให้เกิดความกำหนัดทางกายและลุกลามเข้าไปถึงจิตใจให้เกิดความเศร้าหมองด้วยฉันทราคะ
    5. Cultivating friendship with the good.
    ทำความวิสาสะคบหาสมาคมสนทนาปราศรัยสนิทสนมคุ้นเคยกับกัลยาณมิตรเพื่อนผู้ดีงาม ที่จะชักชวนให้สนทนาไปในทางที่จะให้เสื่อมคลอยหายความรักใคร่กำหนัดยินดีและยินร้าย ในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะและธรรมารมณ์
    6. Right instruction.
    ฝึกฝนปฏิบัติตนในทางที่ถูกตรงตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
    1. พยายามกำจัดตัดกิเลสเครื่องเศร้าหมองอย่างหยาบ ที่ล่วงออกมาทางกายวาจาด้วยศีล
    2. พยายามกำจัดตัดกิเลสเครื่องเศร้าหมองอย่างกลาง คือ นิวรณ์ทั้ง 5 มี กามฉันท์ พยาบาท ถีนะมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ด้วยสมาธิ ย่นย่อนิวรณ์ 5 ลงเป็น 3 คือ
    ุ 1. ราคะโลภะ
    ุ 2. โทสะ
    ุ 3. โมหะ
    1. กามฉันทนิวรณ์ ความพอใจในกามเป็นฝ่ายราคะโลภะ
    2. พยาบาลนิวรณ์ ความขึ้งเคียด โกรธเคือง เป็นฝ่ายโทสะ ที่เหลืออีก 3 คือ
    3. ถีนะมิทธะ ความหดหู่ง่วงเหงา
    4. อุทธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญและ
    5. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยทั้ง 3 นี้เป็นฝ่ายโมหะ
    3. พยายามกำจัดตัดกิเลสอย่างละเอียด ที่เกิดทางทิฏฐิความเห็นด้วยปัญญา ด้วยการพิจารณาเห็นความเป็นจริงของสังขาร ซึ่งมีลักษณะเกิดขึ้น เสื่อมสิ้นดับไป ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา
    The sensual craving is for-ever destroyed upon the entrance into Anagamiship.
    กามฉันท์หรือกามตัณหานี้ สลัดกำจัดตัดได้อย่างเด็ดขาด ต่อเมื่อเข้าสู่กระแสพระอนาคามิมรรค บรรลุถึงพระอนาคามิผล
    หลวงปู่ธัมมวิตักโกมิได้มีเมตตาเฉพาะองค์หลวงปู่เท่านั้น แม้แต่ลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่ท่านก็เมตตาสงเคราะห์ขจัดเป่าทุกข์โศกให้ ดังจะยกตัวอย่างที่หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า มีลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งอยากจะเรียนแพทย์แต่สอบเข้าไม่ได้ เผอิญมีคนมาชวนให้ไปเรียนที่เยอรมัน ลูกศิษย์ท่านนี้จึงมาหาหลวงปู่ หลวงปู่บอกว่าฉันจะให้เจ้าคุณนร ฯ ล้างสมองแกให้ดู หลวงปู่จึงพาลูกศิษย์ท่านนี้ไปกราบหลวงปู่ธัมมวิตักโก ซึ่งท่านก็ให้โอวาทและให้ระลึกถึงท่านอยู่เสมอ หลวงปู่บอกว่าลูกศิษย์ท่านนี้ก่อนไปเรียนภาษาเยอรมันที่เมืองไทยแค่ 24 ชั่วโมง และไปเรียนต่อที่เยอรมันอีกไม่เท่าไร ถ้าผมจำไม่ผิด คือประมาณ 6 สัปดาห์ ลูกศิษย์ท่านนี้ก็สามารถเข้าศึกษาแพทยศาสตร์ที่เยอรมันจนจบ
    หลวงปู่บอกพวกเราลูกศิษย์อยู่เสมอว่า ให้ระลึกถึงหลวงปู่ธัมมวิตักโกอยู่เสมอ เพราะว่าเมื่อครั้งที่ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านก็ให้ระลึกถึงท่านอยู่เสมอ มีลูกศิษย์หลวงปู่ท่านหนึ่งเป็นตำรวจได้เข้าไปหาหลวงปู่ธัมมวิตักโกเพื่อขอเหรียญ หลวงปู่ธัมมวิตักโกบอกว่าจะเอารูปทำไม รูปสูญหายได้เอานามซิ นับตั้งแต่นั้นมาลูกศิษย์ท่านนั้นก็มักจะภาวนา "ธัมมวิตักโก" อยู่เสมอ วันหนึ่งขณะกำลังนั่งสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ตำรวจด้วยกันมีคนมาบอกว่า มีนักเลงกำลังลวนลามผู้หญิงที่ตรอกไข่ ลูกศิษย์ท่านนี้ก็รีบไปกับเพื่อน ๆ อีกสองคน เมื่อไปถึงเพื่อนคนหนึ่งชักปืนออกมายิงแต่ยิงไม่ออกเพราะปืนไม่มีลูกกระสุน พวกนักเลงก็ได้ใจเข้ามารุมทำร้ายทั้งสามคน ลูกศิษย์ท่านนี้เสียทีถูกจับ พวกนักเลงจึงเอามีดมาเชือดคอ ขณะจะถูกเชือดลูกศิษย์ท่านนี้ภาวนา "ธัมมวิตักโก ๆๆ " เมื่อผู้ร้ายเชือดคอลูกศิษย์ท่านนี้เสร็จก็พากันหนีไป ลูกศิษย์ท่านนี้เอามือกุมคอ แต่ก็ยังมีสติไปช่วยประคองเพื่อนที่ถูกรุมทำร้ายเสียสะบักสะบอม เรียกสามล้อให้นำมาส่งที่โรงพยาบาลกลาง ก่อนจะขึ้นเตียงเพื่อเย็บแผล ลูกศิษย์ท่านนี้เห็นจีวรสีเหลืองผ่านแว้บ และได้ยินเสียงว่าให้แพร่เมตตาให้กับวิญญาณที่เสียชีวิตที่เตียงนี้ และเมื่อขึ้นเตียงไปแล้วรู้สึกอึดอัดก็มีเสียงแว่วให้ขอแอมโมเนีย ท่านก็ขอแอมโมเนียทำให้ดีขึ้น ผลปรากฏว่าแผลไม่ลึก โชคดีที่ไม่ถูกเส้นเลือดใหญ่ หลวงปู่มักเล่าเรื่องนี้ให้ลูกศิษย์คนอื่นฟังเสมอ และก็มีหลายท่านที่ถึงคราวคับขันจะภาวนานึกถึงหลวงปู่ธัมมวิตักโกก็รอดพ้นอันตรายมาได้
    เมื่อหลวงปู่ได้เป็นพระครู หลวงปู่ธัมมวิตักโกได้พูดล้อเล่นว่า "ไม่อยากเข้าใกล้ท่านพระครู เหม็นสาบจีวรไม่ได้ซัก" ในปีนั้นลูกศิษย์หลวงปู่ก็ร่วมกันจะจัดฉลองสมณศักดิ์ แต่หลวงปู่ไม่ยอมเพราะสมเด็จ ฯ พระอุปัชฌาย์ได้เป็นสมเด็จ ฯ ท่านยังไม่ฉลอง ลูกศิษย์ลูกหาจึงขอจัดงานวันเกิดแทนและเงินที่เหลือได้นำไปพัฒนาวัดที่เห็นสมควร ซึ่งต่อมาก็ได้เลือกพัฒนาวัดสนามรัตนาวาส หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ธัมมวิตักโกได้ทำนายว่าหลวงปู่จะได้สร้างโบสถ์ และเมื่อสร้างเสร็จหลวงปู่ก็จะมรณภาพ ทั้ง ๆ ที่ในขณะนั้นเงินที่หลวงปู่ได้รับยังไม่สามารถจะสร้างโบสถ์ ซึ่งต่อมาอีกสิบกว่าปีหลวงปู่จึงได้สร้างโบสถ์จนเรียกว่าเสร็จแล้วหลวงปู่ก็มรณภาพจริง ๆ
    หลวงปู่มีศรัทธาต่อหลวงปู่ธัมมวิตักโกเสมอมา แม้หลวงปู่ธัมมวิตักโกจะบวชทีหลัง แต่หลวงปู่ก็ให้ความนับถือหลวงปู่ธัมมวิตักโก ในฐานะอาจารย์ด้วยความซาบซื้ง ในพระคุณของหลวงปู่ธัมมวิตักโก หลวงปู่จะยกมือไหว้ทุกแห่งที่มีรูปจำลองของหลวงปู่ธัมมวิตักโก ไม่ว่าจะเป็นกุฏิที่ท่านเคยอยู่ โกดังเก็บศพที่ท่านเคยนั่งกรรมฐาน โดยเฉพาะมณฑปเก็บอัฐิหลวงปู่ธัมมวิตักโก ถ้าใครนำดอกไม้ พวงมาลัยมาถวายหลวงปู่ ๆ จะให้นำไปสักการะที่มณฑปเก็บอัฐิหลวงปู่ธัมมวิตักโกเสมอ และบอกทุกคนที่มากราบท่านเสมอว่า "ต้องไปกราบหลวงพ่อเจ้าคุณนร ฯ นะ ของดีวัดเทพฯ " แล้วจะให้ธูปไปพร้อมเสร็จ ก่อนหลวงปู่ธัมมวิตักโกจะมรณภาพ ท่านเป็นมะเร็งที่ขากรรไกรล่าง หลวงปู่บอกว่าก็เห็นแต่หลวงปู่ธัมมวิตักโกนี้แหละ ที่เป็นมะเร็งแล้วไม่แสดงอาการทุรนทุราย มีขันติต่อโรคาพยาธิ หลังจากหลวงปู่ธัมมวิตักโกมรณภาพ ทุกวันศุกร์ซึ่งจะตรงกับวันมรณภาพของหลวงปู่ธัมมวิตักโก หลวงปู่จะถวายสังฆทานเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้สมเด็จ ฯ พระอุปัชฌาย์ และ หลวงปู่ธัมมวิตักโกมิเคยขาดเป็นเวลาเกือบ 20 ปี นอกจากนี้ด้วยความซาบซึ้งในพระคุณของสมเด็จ ฯ พระอุปัชฌาย์ และ หลวงปู่ธัมมวิตักโก หลวงปู่ได้สร้างโบสถ์วัดสนามรัตนาวาส เพื่อประดิษฐานรูปจำลองของท่านทั้งสอง และที่หน้าบันด้านหลังจารึกนามของท่านทั้งสองไว้
     
  5. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,560
    [​IMG]

    คําเตือนสติและโอวาทพระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต(ธมฺมวิตกฺโก)

    จาก พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ ( หลวงปู่มหาอําพัน บุญหลง )



    เห็นเสือหมอบ อย่าเชื่อ ว่าเสือไหว้
    เผลอเมื่อไร เสือกิน สิ้นทั้งขน
    เป็นคนต้อง เกรงเยงยำ น้ำใจคน
    เขาถ่อมตน อย่าเหมา ว่าเขากลัว
    เขาไม่สู้ อย่าเหมา ว่าเขาแพ้
    คชสีห์แท้ หรือจะสู้ หมูชั่ว
    วางตนสม คมประจักษ์ ในฝักตัว
    ชาติคนชั่ว หลบลู่ อย่าสู้มัน
    เมื่อน้ำไหว ไหลเชี่ยว เป็นเกลียวกล้า
    เอานาวา ขวางไว้ ภัยมหันต์
    เรื่องของคน ปนยุ่ง นังนุงครัน
    ต้องปล่อยมัน เป็นไป ใจสบาย
    อวดฉลาด พูดออก บอกว่าโง่
    ฟังเขาโอ้ อวดอ้าง อย่าขวางเขา
    ขัดคอเขา เขาโกรธ พิโรธเรา
    เป็นเรื่อง เร่าร้อนใจ ไม่เป็นการ
    ใครมีปาก อยากปูด ก็พูดไป
    เรื่องอะไร ก็ช่าง อย่าฟังขาน
    เราอย่าต่อ ก่อก้าว ให้ร้าวราน
    ความรำคาญ ก็จะหาย สบายใจ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 00246_9.jpg
      00246_9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      21.1 KB
      เปิดดู:
      4,177
  6. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,358
    แสกนมาให้ชมแล้วนะครับ

    พระพ่อแม่ธรณีปฐมวีธาตุ

    ของ ท่านเจ้าคุณนรฯ ครับ [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  7. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,358
    จะสังเกตุเห็นว่า ปฐวีธาตุ ของท่านเจ้าคุณนรฯ นั้นไม่ได้มีลักษณะกลมใสเหมือนของ ลป.คำพันธุ์ ครับ ของท่านนั้นจะเป็นเหมือนก้อนกรวดครับ ต้องอ่านในประวัติการอธิษฐานจิต ปฐวีธาตุของท่านครับ เพราะ คุณโกศล หลานชายแท้ๆของท่านเป็นคนไปเก็บที่ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ครับ เพราะท่านเจ้าคุณเป็นคนบอกให้ไปเก็บที่นั่นเองครับ

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  8. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,358
    ต่อนะครับ

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  9. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,560
    อนุโมทนา สาธุ ครับ พี่บอย
    กับรูป "พระพ่อแม่ปฐวีธาตุ"
     
  10. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,358
    อีกสักนิดครับ

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  11. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,358
    ใครมีเยอะแบ่งผมบ้างก็ดีนะครับ อิอิ

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  12. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,560
    พี่บอยจ้า พระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุกับพระเกศาเจ้าคุณนรนึ้เป็นของคุณหมอสุเมตคนทําหนังสือตามรอยครับ อย่างที่พี่บอยบอกปฐวีธาตุของเจ้าคุณนรก็คือก้อนกรวดธรรมนึ้เองแต่เจ้าคุณนรได้แพร่พลังจิตบรรจุในก้อนกรวดทําให้กันนิวเครียส์ได้ ซึ่งการจะปลุกเสกปฐวีธาตุยากกว่าปลุกเสกพระหลายล้านเท่าอย่างที่หลวงปู่คําพันธ์บอกต้องผู้เป็นเดิน"สายวิปัสสนาล้วนเท่านั้น" ซึ่งหาพระอย่างงี้ยากมาก อานุภาพของปฐวีธาตุสุดจะหาประมาณมิได้เพราะบวกด้วยพลังจิตของเจ้าคุณนรแล้ว นิวเครียส์ขีปนาวุธ เชื้อโรค อุบัติเหตุ ต่างๆๆกันได้หมดสังเกตคนทีทําปฐวีธาตุมีไม่กี่ท่าน อย่างคุณแม่บุญเรือนท่านก็ทําปฐวีตุที่สามารถกันนิวเครียส์แต่เรียกว่า ศิลาน้ำ คือถ้าใครเอาไปแช่น้ำจะทําให้กายป็นกายทิพย์กันรังสีนิวเครียส์บวกท่านโรคภัยไข้เจ็บได้ วึ่งพูดตามตรงไม่มีใครที่จะสามารถแยกได้ว่าเจ้าคุณนรเสกหรือไม่เพราะเป็นก้อนกรวดธรรมดานึ้เองแต่ได้มาจากบางบ่อ ถ้าจะเอาสิ่งที่ชี้แนะได้คือต้องได้มาจากคนที่ได้มาจากท่านโดยตรงและที่มาแน่นอน คนที่ตรงที่สุดและชัวส์ที่สุด 100 เปอร์เซ็นต์ คือ "คุณโกศล" พี่บอยผมได้ยินมาว่าตอนหลังคุณโกศลออกให้บูชาเพื่อไปทําสาธารณะประโยชรณ์ทางพระพุทธศาสนาตอนแรกคุณลุงให้บูชา 1000 บาทเมื่อนานมาแล้วเพื่อสร้างอะไรจําไม่ได้ ตอนหหลังได้ข่าวแว่วๆๆมาว่า ถ้าใครอยากได้ต้องมีเงินไม่ต่ำกว่า 40000 บาท เนื่องจากปฐวีธาตุมีน้อยและหายากมากครับ แต่ที่แน่ๆๆถ้าใครอยากได้ต้องมีปัจจัยพอควรและต้องติดต่อคุณลุงโกศล ครับ

    ขอขอบคุณพี่บอยที่เมตตานําภาพมาเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาธานน่ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มีนาคม 2009
  13. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,560
    [​IMG]



    <TABLE width=960><TBODY><TR><TD class=smalltext>
    ศาสนาเป็นเรื่องของศรัทธา เป็นความเชื่อ บางครั้งก็เชื่อเพราะมีเหตุผล บางทีก็ไม่ต้องมีเหตุผลมาเกี่ยวข้อง เพราะคนเรามีหลายประเภท การที่จะให้คนเรานับถือศาสนาเดียวกันหมดทั้งโลกนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถึงเป็นไปได้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีงามอะไร และศาสนาที่มีคนนับถือกันมากที่สุดในโลก ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นศาสนาที่ดีที่สุดในโลกเช่นกัน คนเราบางคนเมื่อตนเองมีความศรัทธาในศาสนาที่ตนเองนับถือแล้ว ก็อยากจะให้มีคนอื่น ๆ มานับถือเหมือนตน คิดว่าศาสนาของตนเองนั้นเป็นสิ่งที่ดีงามหรือถูกต้องที่สุด จึงต้องการให้คนทั้งโลก หรือให้คนจำนวนมากที่สุดมานับถือศาสนาเดียวกับตนเองให้ได้ เมื่อมีอำนาจก็ใช้อำนาจบังคับ ใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อไปต่าง ๆ นา ๆ ทำไปเพื่ออะไรกัน ความคิดเช่นนี้เป็นความเขลา ปัญญาอ่อน ไม่ต่างจากพวกเด็กช่างกลที่บ้าสถาบันของตัวเอง ผลที่ตามมาของการบังคับให้คนมีศรัทธานั้นก็คือ สงคราม หาใช่ความเจริญไม่


    ในเมื่อคนเรายังมีความคิด มีปัญญา มีความสามารถไม่เหมือนกัน แล้วจะให้หันมานับถือศาสนาเดียวกันหมดทั้งโลกจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ถึงคนทั้งโลกจะนับถือศาสนาเดียวกันหมด มีพระเจ้าองค์เดียวกันหมด ก็ไม่ได้ทำให้คนกลายเป็นคนดีเหมือนกันหมดทั้งโลกได้ ศาสนาทุกศาสนามีหลักคำสอนที่ทำให้คนเป็นคนดี แต่เหตุที่โลกต้องมีหลายศาสนาก็เพราะ ความแตกต่างของคนในแต่ละภูมิประเทศ แต่ละเชื้อชาติ แต่ละประเพณีความนิยม แต่ละความคิด จึงจำเป็นต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจที่แตกต่างกันไปตามความเหมาะสม คนเราจึงควรที่จะปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนาที่ตนเองนับถือให้ดีที่สุดก็เพียงพอแล้ว ตนเองยังไม่สามารถปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนาได้อย่างครบถ้วน แต่ดันทุรังต้องการให้คนอื่น ๆ หันมาเข้าร่วมนับถือศาสนาเดียวกันกับตนเอง เป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี

    คนแต่ละคนมีผลกรรมติดตัวมาตั้งแต่เกิด ถูกกำหนดแล้วว่าจะต้องเกิดมานับถือศาสนาไหน จะเกิดมารวยหรือจน ก็ล้วนแต่เป็นผลกรรมที่ตนเองสั่งสมมาแล้วทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าท่านยังเปรียบเทียบประเภทของคนไว้ว่าเหมือนกับดอกบัวสี่เหล่า สี่ประเภท ต่อให้คนทั้งสี่ประเภทนับถือศาสนาพุทธเหมือนกันหมด แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใจธรรมได้เช่นเดียวกันหมด แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะให้คนทั้งหมดในโลกหันมานับถือศาสนาเดียวกัน โลกเรานี้จึงต้องมีหลายศาสนา
    การเผยแพร่ศาสนาเป็นสิ่งที่ดี เป็นเรื่องประเสริฐ เพราะเป็นการนำแสงสว่างมาสู่หมู่มวลมนุษย์ จะเป็นการดีมากที่จะนำพาศาสนาอันประเสริฐของตนเองไปประกาศแก่ผู้ที่ไม่มีศาสนา ผู้ที่ไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้หันมาเคารพศรัทธาในศาสนาเพื่อทำสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ถูกต้อง เพื่อให้เกิดความสงบสุขขึ้นในโลกนี้ แต่การที่คนเรายังมีความโง่เขลา ขาดการนำสติปัญญามาใช้ให้ถูกวิธี จึงคิดได้เพียงแค่ว่า ศาสนาที่ตนเองนับถือนั้นเป็นศาสนาที่ดี วิเศษที่สุดในโลก และอยากให้คนหันมานับถือกันมาก ๆ โดยที่ตนเองยังไม่เคยรู้จักหลักคำสอนที่แท้จริงของศาสนาอื่น ๆ เลย แล้วพากันป่าวประกาศให้พรรคพวกของตนพากันเข้าใจไปว่า ศาสนาอื่น ๆ ในโลกนี้ไม่ใช่ศาสนาที่ดี มนุษย์คนไหนในโลกที่ไม่ได้นับถือศาสนาเดียวกันกับศาสนาที่ตนเองนับถือนั้น เป็นคนบาป ต้องลงนรก ไม่ได้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองดูว่า ถ้าคนผู้นั้นถึงแม้ว่าจะนับถือต่างศาสนา มีความเชื่อคนละแบบ นับถือพระเจ้าคนละองค์กัน แต่เป็นคนที่มีศีล มีธรรม ประพฤติตนเป็นคนดี มีความกตัญญูรู้คุณคน ทำตนเป็นประโยชน์แก่สังคม คนผู้นั้นสมควรที่จะต้องลงนรกจริง ๆ หรือ

    หลักธรรมในศาสนาพุทธนั้น ไม่ได้สอนให้คนเราเคารพนับถือเพียงอย่างเดียวแล้วจะขึ้นสวรรค์ได้ ต้องปฏิบัติซึ่งก็แตกต่างจากศาสนาอื่น ๆ ในโลกนี้ พระพุทธเจ้าท่านยังแบ่งการปฏิบัติตน หรือ ศีล สำหรับพระภิกษุสงฆ์ สามเณร และฆราวาส ไว้เป็นจำนวนแตกต่างกันมากมายทีเดียว การกราบของพระในธิเบต ก็ไม่เหมือนพระสงฆ์ในประเทศไทย การสวดมนต์ของพระสงฆ์ในแต่ละประเทศ ก็ย่อมแตกต่างกัน แค่ในพระพุทธศาสนาศาสนาเดียวยังมีข้อแตกต่างกันขนาดนี้ แล้วจะให้คนทั้งหมดในโลก หันมานับถือปฏิบัติเหมือนกันหมดได้อย่างไรกัน จำนวนไม่สำคัญเท่าคุณภาพ ประเทศไทยมีผู้ที่นับถือศาสนาพุทธเป็นจำนวนมากที่สุด แต่คนที่นับถือศาสนาพุทธทั้งหมดในประเทศไทยนั้น จะมีสักกี่คนที่ไปถึงนิพพานตามทางที่พระพุทธเจ้าทรงชี้แนะไว้ ศาสนาต่าง ๆ ก็เปรียบเสมือนมหาวิทยาลัยแห่งโลก ที่จะคอยชี้แนะแนวทางไปสู่จุดหมายปลายทางของชีวิตในภพหน้า ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ยังมีสาขาวิชาให้เลือกเรียนหลายคณะ ทั้งยาก ง่าย แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน หนทางในการปฏิบัติของศาสนาพุทธอาจจะยากยิ่งสำหรับบางคน แล้วจะไม่มีทางเลือกอื่น ๆ ให้เขาเลยหรือ เหตุนี้โลกเราจึงจำเป็นที่จะต้องมีหลายศาสนา




    คัดลอกมาจาก http://www.uamulet.com/BoardDetail.aspx?bid=1&qid=13925


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    จากกระทู้ธรรมะของพระภิกษุที่ผมนับถือมากที่สุดรูปหนึ่งครับ เขียนโดย คุณ anchalit
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มีนาคม 2009
  14. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,358
    ถ้ามีบุญคงจะมีโอกาศเอง อิอิ
     
  15. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,560
    [​IMG]

    จิตตานุภาพ คืออานุภาพของจิต แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มีนาคม 2009
  16. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,560
    <TABLE width="90%"><TBODY><TR><TD class=smalltext><TABLE width=560><TBODY><TR><TD> </TD></TR><TR><TD>[​IMG]


    ประวัติพระภิกษุพระนรรัตนราชมานิต


    เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๐ ตรงกับวันเสาร์
    ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีระกา ซึ่งเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
    เพราะเป็นวันมาฆะบูชา บุตรชายคนหัวปีของเจ้าคุณพระนรนาฏภักดี
    นายอำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรีก็ได้คลอดมาจากครรภ์มารดา
    ลืมตามองดูโลกอันโสภี ยังความโสมนัสให้แก่ผู้เป็นบิดามารดา และ
    บรรดาญาติเป็นอย่างยิ่งท่านนายอำเภอบางปลาม้าได้ตั้งชื่อบุตรชาย
    คนหัวปีของท่านว่า "ตรึก"

    เมื่อทารกผู้ได้นามว่า "ตรึก" นี้เจริญวัยขึ้น ในฐานะเด็กน้อย
    เรือนร่างแบบบางผิวพรรณละเอียดอ่อนเปล่งปลั่งเป็นน้ำเป็นนวล
    อันเป็นลักษณะที่บ่งบอกว่าเป็นผู้มีบุญวาสนาสูง เมื่อวัยถึงขั้นสมควร
    เล่าเรียนหนังสือก็ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนในพระนคร ต่อมาจึงเข้าเรียน
    ที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร ศึกษาอยู่ที่โรงเรียนนี้จนสอบได้ชั้นสูงสุด

    นาย "ตรึก" มีความปรารถนาที่จะเรียนเป็นนายแพทย์ต่อไป เพื่อ
    อนาคตข้างหน้าจะได้ช่วยเพื่อนมนุษย์ทางเจ็บไข้ได้ป่วยแต่ท่านบิดา
    ซึ่งเป็นนายอำเภอนักปกครองต้องการให้บุตรชายเป็นนักปกครอง
    เจริญรอยตามบิดา นาย "ตรึก" เป็นเด็กว่านอนสอนง่ายและมีจิตใจ
    สูงด้วยความเคารพต่อผู้มีอุปการคุณ จึงต้องทำตามความประสงค์
    ของบิดา นายตรึกจึงเข้าศึกษาต่อวิชารัฐศาสตร์ที่โรงเรียนกฏหมาย
    ซึ่งสมัยนี้ยังรวมอยู่กับจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย นายตรึกเป็นผู้มี
    สติปัญญาเฉลียวฉลาดสามารถเรียกสำเร็จรัฐศาสตร์เป็นรุ่นแรก
    ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับท่านเจ้าคุณสุนทรพิพิธ

    [​IMG]

    เมื่อนายตรึกได้เรียกสำเร็จรัฐศาสตร์แล้วก็หาได้ไปเป็นนายอำเภอ
    และเจ้าเมืองสังกัดกระทรวงมหาดไทย ตามเจตนารมณ์ของท่านบิดา
    เพราะในระหว่างศึกษาวิชารัฐศาสตร์อยู่นั้น เป็นรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
    พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ได้มีงานเลี้ยงเป็นพิธีในพระบรม
    มหาราชวัง เป็นงานใหญ่ที่จำนวนมหาดเล็กเด็กชายมีไม่พอ สำหรับ
    ตำแหน่งพนักงานเดินโต๊ะและรับใช้อื่นๆ นักเรียนรัฐศาสตร์ที่มีหน้าตา
    และหน่วยก้านดีจึงถูกเกณฑ์ไปช่วยในหน้าที่ดังกล่าว นักเรียนรัฐศาสตร์
    ที่ถูกเกณฑ์ไปในครั้งนี้ก็ได้มีนายตรึกรวมอยู่ด้วยผู้หนึ่ง

    เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ได้ทอด
    พระเนตรเห็นรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณและหน่วยก้านของหนุ่มน้อยตรึกเข้า
    ก็ทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทรงรับสั่งให้เข้าเฝ้า แล้วทรงไต่ถาม
    ถึงเหล่ากองพงศ์พันธุ์เมื่อพระองค์ทราบจะแจ้งดีแล้วก็ดำรัสว่า

    "เมื่อเรียนจบแล้วมาอยู่กับข้า"

    [​IMG]

    โดยเหตุนี้เองเมื่อหนุ่มตรึกเรียนสำเร็จรัฐศาสตร์แล้วแทนที่จะได้เป็นข้าราชการกระทรวงมหาดไทย
    ตามวิชาที่เรียนสำเร็จ และเป็นไป ความประสงค์ของบิดาผู้เป็นนักปกครอง กับไพล่ไปเป็นข้าราชสำนัก
    สังกัดกระทรวงวัง ในตำแหน่งหน้าที่มหาดเล็กรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ซึ่งพระบาทสมเด็จ
    พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ก็ทรงโปรดปรานเป็นอย่างมาก และพระราชทานนามสกุลให้ว่า "จินตยานนท์"

    หนุ่มตรึกรับราชการอยู่ใต้เบื้องยุคบาทเพียงไม่ทันถึงปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ก็
    พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น "หลวงศักดิ์นายเวร" ต่อมาไม่ช้ามินานก็ได้เลื่อนขึ้นเป็น "เจ้าหมื่น
    ศรีสรรเพชร"พออายุ ๒๕ปี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงโปรดเกล้าฯ เลื่อนบรรดาศักดิ์
    ขึ้นเป็น พระยาพานทอง ราชทินนามว่า "นรรัตนราชมานิต" ซึ่งเป็นพระยาหนุ่มที่สุดในสมัยนั้น

    พร้อมกับที่พระราชทานบรรดาศักดิ์ชั้นพระยาพานทองให้นี้ได้พระราชทานที่ดิน เพื่อให้ปลูกบ้าน
    อยู่อาศัยแทนเช่าอยู่ ที่ดินที่พระราชทานให้นั้นมีจำนวนถึง ๔ ไร่ อยู่ตรงเชิงสะพานราชเทวี ตรงที่มีซอยชื่อ
    "ซอยนรรัตน" ปัจจุบันนี้

    ในการพระราชทานที่ดินให้นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ได้พระราชทานให้พร้อมกัน
    ถึง ๔ คน อีก ๓ คนคือท่านเจ้าพระยารามราฆพ พระยาอนิรุธเทวา และอีกท่านหนึ่งข้าพเจ้าต้องขออภัย
    ที่ค้นคว้าหาชื่อไม่ได้

    [​IMG]

    พระยานรรัตนราชมานิต ได้รับตำแหน่งเป็นต้นห้องพระบรรทมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    รัชกาลที่ หน้าที่ของท่านคืออยู่รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ในที่รโหฐานและเป็นผู้บังคับบัญชามหาดเล็ก
    ห้องพระบรรทมคนอื่นๆ ซึ่งมีอยู่หลายคนด้วยกัน

    ขณะที่รับราชการอยู่ใต้ เบื้องยุคลบาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ พระยานรรัตน์
    ราชมานิต ก็มิได้ปล่อยเวลาว่างจากรับหน้าที่ราชการค้นคว้าศึกษาวิชาต่างๆ อยู่เสมอ เช่นวิชาลักธิโยคี
    ทางดูลายมือและรูปร่างลักษณะบุคคล สั่งตำราจากอังกฤษ, อเมริกา มาค้นคว้าจนมีความชำนิชำนาญ
    ทางด้านดูลายมือและรูปลักษณะบุคคลและศึกษาภาษาฝรั่งเศส จากมองซิเออ.เอ.เค. จนกระทั่งแตกฉาน
    สามารถแปลตำราภาษาฝรั่งเศสได้อย่างแคล่วคล่อง ส่วนทางด้านภาษาอังกฤษนั้น พระยานรรัตน
    ท่านมีความชำนิชำนาญเป็นพิเศษอยู่แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ จึงทรงโปรดปรานมาก
    และทรงชุบเลี้ยงเป็นอย่างดี พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์เอาเป็นธุระเรียกสถาปนิกฝีมือเยี่ยมจากอิตาเลียน
    ผู้หนึ่งมาออกแบบ เพื่อทรงสร้างที่อยู่ให้แก่พระยานรรัตนซึ่งปล่อยที่ดินที่พระราชทานให้รกร้างหญ้าพง
    ขึ้นเต็มที่ดิน มิเหมือนกับพระยาคนอื่นๆ พอได้รับพระราชทานที่ดินก็เริ่มก่อสร้างที่พักเสียจนหรูเพื่อ
    ประดับเกียรติ อย่างเช่นท่านพระยารามราฆพก็ได้สร้างคฤหาส์นอันโอ่อ่าด้วยหินอ่อนอิตาเลียน แล้วตั้งชื่อ
    คฤหาส์นหลังนั้นว่า "บ้านนรสิงห์" (ปัจจุบันเป็นทำเนียบของรัฐบาล) พระยาอนิรุธเทวาก็ได้สร้างขึ้นอย่าง
    โอฬารเหมือนกัน แล้วตั้งชื่อว่า "บ้านบรรทมสินธุ์" (ปัจจุบันเป็นบ้านสำหรับรองรับแขกเมืองของรัฐบาล)
    อีกท่านหนึ่งก็ได้สร้างขึ้นอย่างโอ่อ่าอีกหลังหนึ่งและให้ชื่อว่า "บ้านมนังคศิลา" มีแต่พระยานรรัตน์ฯ ผู้เดียว
    เท่านั้นที่มิได้ยินดียินร้ายต่อที่ดินที่พระองค์ท่านพระราชทานให้เลย พระองค์ท่านจึงยื่นพระหัตถ์เอาเป็นธุระ
    แต่พระยานรรัตนนฯ กลับปฏิเสธในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖
    โดยสิ้นเชิง ถึงแม้แต่พระองค์จะทรงกริ้วก็สุดแล้วแต่พระกรุณา จึงได้กราบบังคมทูลขอให้ยับยั้งพระราช
    ประสงค์ หากทรงสร้างคฤหาสน์ขึ้นบนที่ดินที่พระองค์ทรงพระราชทานให้ แม้จะเอาตัวท่านไปประหารชีวิต
    ท่านก็จะทูลเกล้าฯ ถวายคืนทั้งคฤหาสน์และที่ดินที่พระองค์ทรงพระราชทานให้ล้นเกล้าฯ จึงต้องตามใจ
    พระยานรรัตนฯ

    พระยานรรัตนราชมานิตได้รับใช้ใต้เบื้องยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖
    ด้วยความจงรักภักดีเรื่อยมาจนกระทั่งล้นเกล้าฯ เสด็จสวรรคตลงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
    รัชกาลที่ ๗ ก็ขึ้นเถลิงราชสมบัติสืบต่อมา ก็มีพระราชประสงค์อยากจะได้ตัวพระยานรรัตนมานิตไว้ใน
    ราชการ จึงรับสั่งให้เจ้าคุณไพชยนเทพ (ทองเจือ ทองใหญ่) ไปติดต่อเพื่อขอชุบเลี้ยงเยี่ยงรัชกาลที่ ๖
    แต่พระยานรรัตนราชมานิตผู้ยึดมั่นในคติที่ว่า "ข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย" นั้นไม่ดีแน่ จึงได้กราบบังคมทูล
    แก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ไปว่า

    " ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ได้ทรงชุบเลี้ยงอย่างใดก็เท่ากับเอาทองคำไปลงยาฝังเพชรเท่านั้น"

    ถึงแม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ จะทรงให้ใครมาติดต่อกับพระยานรรัตนฯ หลายครั้ง
    หลายหน แต่พระยานรรัตนก็มิได้ตอบตกลงสักครั้งเดียว จนกระทั่งถึงวันถวายพระเพลิงพระมหาธีรราชเจ้า
    รัชกาลที่ ๖ เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ พระยาท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตจึงได้สละทรัพย์สมบัติ
    มอบที่ดิน ๔ ไร่ และทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดแก่วัดเทพศิริทราวาส ซึ่งเป็นวัดที่ท่านพระยานรรัตนฯ
    อุปสมบทแต่นั้นเป็นต้นมา เพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ผู้ทรงชุบเลี้ยงตน
    มาเป็นอย่างดีซึ่งยากจะหาบุคคลเยี่ยงพระยานรรัตนราชมานิตนี้อีกไม่ได้แล้วในยุคปัจจุบันนี้

    ส่วนในด้านความรักนั้นเล่า

    พระยานรรัตนราชมานิตก็มิได้ผิดแปลกแตกต่างไปกว่าหนุ่มรุ่นเดียวกันไม่ พระยานรรัตนราชมานิตก็ได้
    มีสาวคนรักไว้ปลุกปลอบใจด้วยเหมือนกัน และก็ได้ทำพิธิหมั้นากันเรียบร้อยแล้วเสียด้วย แต่เนื่องด้วย
    พระมหากรุณาธิคุณของล้นเกล้าฯรัชกาลที่ ๖ นั้นมากล้นเหลือคณา พระยานรรัตนราชมานิตสละได้เช่นกัน
    สาวคู่หมั้นของพระยานรรัตนราชมานิตผู้มีนามว่า ชุบ เมนะเศวต ปัจจุบันรับอาชีพเป็นแม่พิมพ์ของชาติอยู่ที่
    โรงเรียนราษฎร์แถวสามย่าน พระนคร นี้เองและก็ได้มาฟังสวดพระอภิธรรมศพท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต
    อยู่เสมอ ซึ่งยังคงครอบเพศพรหมจรรย์ตลอดมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ เพราะเธอได้ยึดมั่นในอุดมคติที่ว่า
    "รักเดียวใจเดียว" ซึ่งก็ยากจะหาหญิงใดมาเปรียบเทียบเสมอได้เช่นกัน

    ส่วนในด้านการปฏิบัติงานของพระยานรรัตนราชมานิต ข้าพเจ้าได้รับการบอกเล่าจากพระภิกษุ
    กมฺพโล วัย ๗๘ แห่งวัดมหาชยราม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ผู้ได้เคยรับราชการใต้เบื้องยุคลบาทของ
    มหาธีราชเจ้ารัชกาลที่ ๖ พร้อมกับพระยานรรัตนราชมานิตมาแล้วได้บอกกับข้าพเจ้าว่า พระยานรรัตน-
    ราชมานิตเป็นผู้ที่เคร่งครัดต่อหน้าที่การงานยากที่ใครเสมอเหมือนได้ และเป็นผู้ทีค่ทำอะไรทำจริงไม่ถือตัว
    และแบ่งชั้นวรรณะแม้แต่เครื่องแต่งกายก็สวมใส่อย่างธรรมดาคือ เสื้อขาว กางเกงขาว มักจะชอบเดิน
    ไปไหนมาไหนเสมอ พระยานรรัตนราชมานิตให้ข้อคิดในการเดินว่า นั่นคือการออกเอ๊กเซอไซด์ไปในตัว
    บางครั้งพระยานรรัตนฯก็จะนั่งรถลาก หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "รถเจ๊ก" สมัยนั่นคนจีนมีอาชีพรับจ้าง
    ลากรถเป็นส่วนมาก และถ้าวันไหนเกิดอารมณ์ดีนึกครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมา ขณะที่พระยานรรัตนฯ นั่งอยู่
    บนรถลากมองเห็นคนจีนลากรถเหนื่อยหอบท่านเจ้าคุณก็จะลงมาสับเปลี่ยนกับคนจีนลากรถแทนคนจีน
    ลากรถเสียเอง ก็ยังมีความแปลกใจให้แก่เจ้านายชั้นผู้ใหญ่และผู้ที่พบเห็นทุกคน เลยกลายเป็นเสียง
    ซุบซิบเล่าสู่กันฟังจนหนาหู แต่พระยานรรัตนฯ ก็มิได้สนใจต่อข่าวลือที่เป็นมงคล และอัปมงคล
    แต่ประการใดเลย

    และในด้านโหราศาสตร์นั้นเล่า พระยานรรัตนราชมานิตก็เป็นผู้หนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญและทำนาย
    ทายทักได้อย่างแม่นยำมาก แต่เป็นที่น่าเสียดายต่อมาภายหลังพระยานนรรัตนฯ ได้เผาตำหรับตำรา
    โหราศาสตร์จนหมดเกลี้ยง พระภิษุกมฺพโล บอกกับข้าพเจ้าว่า เป็นเพราะไปทำนายทายทักอะไรผิดพลาด
    เพียงเล็กน้อยให้แก่ล้นเกล้าล้นกระหม่อมรัชกาลที่ ๖ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น พระยานรรัตนราชมานิต
    จึงเลิกทำนายทายทักแต่นั้นเป็นต้นมา

    พระยานรรัตนราชมานิต มีพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกัน ๒ คน คนรองเป็นผู้หญิงชื่อ เลื่อน ปัทมะสุนทร
    คนสุดท้องเป็นชายชื่อ ตริ จินตยานนท์ น้องทั้งสองปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่

    [​IMG]

    ต่อไปนี้คือข้อความในหนังสือพระราชทานบรรดาศักดิ์ ของพระยานรรัตนราชมานิต ตามต้นฉบับเดิม

    ฉบับที่ ๑

    สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ

    มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เจ้าหมื่นสรรเพชภักดีเป็นพระยานรรัตนราชมานิต
    จางวางมหาดเล็ก ถือศักดินา ๓๐๐๐ ทำราชการตามตำแหน่งตั้งแต่บัดนี้ไปจงเว้นการควรเว้น หมั่นประพฤติ
    การควรประพฤติ สมควร ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต แก่ตำแหน่งทุกประการ ตามอย่างธรรมเนียมข้าราชการ
    ทั้งปวง ขอให้มีสุขสวัสดิ์เจริญเทอญ.

    ตั้งแต่ ณ วันที่ ๓๐ ธันวาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๕ เป็นปีที่ ๑๓ ในรัชการปัตยุบันนี้

    ฉบับที่ ๒

    สมเด็จพระรามาธิบดีสินทรมหาวชิราวุธ เอกอัครมหาบุรุษบรมราธิราชพินิตประชานารถมหาสมมตวงษ์
    อติศัยพงษ์วิมลรัตน์ วรขัตติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ ปรเมนทรธรรมิกมหาราช
    ธิราชบรมนารถบพิตร์ พระมงกุฎเกล้าเจ้ากรุงสยาม

    ขอประกาศแก่ท่านทั้งหลายทั้งปวง ฤาผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งจะได้พบอ่านคำประกาศนี้ให้ทราบว่า เราได้ตั้ง
    ให้หัวหมื่น พระยานรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ท.จ. จ.ม. บ.ช. ว.ม.ล. ว.ป.ร. ๓, เป็นที่รักใคร่
    ไว้วางใจของเราเป็นองคมมนตรี รับปฤกษาราชการในตัวเรา เพิ่มศักดินาขึ้นอีก ๑๐๐๐ เพื่อจะได้ช่วยเรา
    คิดทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นคุณ เป็นประโยชน์ มีความเจริญสมบูรณ์ แลราษฎรทั้งปวงให้มีความสุขความ
    เจริญขึ้นโดยชอบธรรมอันดี ขอจงตั้งอยู่ในสัตย์สุจริตกตัญญูตะเวที ประพฤติให้ต้องตามพระราชบัญญัติ
    แลข้อคำสาบาลทุกประการ ตำแหน่งยศที่ตั้งนี้ จงเป็นไปตลอดเวลาความประสงค์ของเราพระเจ้ากรุงสยาม
    ปัตยุบันนี้ และตามกฏหมายข้อพระราชบัญญัติซึ่งได้ตั้งไว้สำหรับองคมนตรีแลรัฐมนตรีทุกประการ
    ขอให้มีความเจริญสุขสวัสดิ์ทุกประการเทอญ.

    พระราชทานที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ณ วันที่ ๔ เมษายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ เป็นปีที่ ๑๕
    ในรัชกาลปัตยุบันนี้

    ฉบับที่ ๓

    สมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก มหันตเดชนดิลกรามาธิบดีเทพยปรียมหาราชรวิวงศ์
    อสัมภินพงศพรีกษัตร บุรุษรัตนราชนิกโรดม จตุรันตบรมมหาจักรพรรดราชสังกาศฯ ปรมินทรธรรม
    มิกมหาราชาธิราชบรมนาถบพิตร พระปกเกล้าเจ้ากรุงสยาม

    ขอประกาศแก่ท่านทั้งหลายทั้งปวง ฤาผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งจะได้พบอ่านคำประกาศนี้ให้ทราบว่า เราได้ตั้งให้
    จางวางตรี พระยานรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ป.ม. ท.จ. บ.ช. ว.ม.ล. ว.ป.ร. ๓ ซึ่งเป็นที่รักใคร่
    ไว้วางใจของเราเป็นองคมนตรี รับปฤกษาราชการในตัวเราเพิ่มศักดินาขึ้นอีก ๑๐๐๐ เพื่อจะได้ช่วยเราคิด
    ทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นคุณประโยชน์มีความเจริญสมบูรณ์ และราษฎรทั้งปวงให้มีความสุขความเจริญขึ้น
    โดยชอบธรรมอันดี ขอจงได้ตั้งอยู่ในสัตย์สุจริตกตัญญูกตะเวที ประพฤติให้ต้องตามพระราชบัญญัติ
    แลข้อคำสาบาลทุกประการ ตำแหน่งยศที่ตั้งนี้ จงเป็นไปตลอดเวลาความประสงค์ของเราพระเจ้ากรุงสยาม
    ปัตยุบันนี้ แลตามกฏหมายข้อพระราชบัญญิตซึ่งได้ตั้งไว้สำหรับองคมนตรีทุกประการ ขอให้มีความเจริญ
    สุขสวัสดิ์ทุกประการเทอญ.

    พระราชทาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ณ วันที่ ๔ เมษายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๘ เป็นปีที่ ๒
    ในรัชกาลปัตยุบันนี้


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,560
    [​IMG]

    ชีวิตในเพศบรรพชิต
    พระยานรรัตนราชมานิต ได้อุปสมบทเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ.
    ๒๔๖๘ มีอายุครบ ๒๘ ปี ที่ วัดเทพศิรินทราวาส โดยมีท่านเจ้าประคุณ
    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นอุปัชฌาย์ มีฉายาว่า ธมฺมวิตกโก

    หลังจากท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ธมฺมวิตกฺโก
    ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้ว ท่านก็ศึกษาปฏิบัติธรรมวินัยอย่าง
    เคร่งครัด ออกบิณฑบาตรโปรดสัตว์ไปตามท้องถนนเยี่ยงพระนวกะทั่วไป
    จนครบหนึ่งพรรษา

    [​IMG]

    ครั้นย่างเข้าพรรษา ๒ ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตจึงงดบิณฑบาตร
    โปรดสัตว์แต่นั้นเป็นต้นมา และเริ่มฉันจังหันเพียงมื้อเดียวเท่านั้น โดยมี
    ญาติเป็นผู้นำปิ่นโตมาถวาย อาหารที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตฉันนั้น
    ก็ล้วนเป็นอาหารเจทั้งสิ้นคือไม่มีเนื้อสัตว์ และสิ่งที่ขาดเสียมิได้ก็คือ
    มะขามเปียกกับกล้วยน้ำว้า ครั้นพรรษาต่อไปท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต
    จึงได้งดฉันจังหันในวันพระทุกวันพระอีกด้วย ซึ่งท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ปฏิบัติเรื่อยมาเป็นประจำจนกระทั่งได้มรณภาพลง กิจวัตรที่ท่านเจ้าคุณ
    นรรัตนฯ จะขาดเสียมิได้นั่นก็คือการลงอุโบสถทำวัตร เช้า-เย็นเป็นประจำ
    ท่านบอกกับภิกษุสงฆ์ในวัดเสมอว่า

    "ถ้าท่านขาดทำวัตรครั้งใด นั่นก็หมายความว่า ท่านต้อง
    อาพาธหนัก หรือได้มรณภาพไปแล้ว"

    และก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้ขาดลงอุโบสถ เพราะท่านเดินมาลงโบสถ์และเหยียบ
    ถูกงูเห่า งูจึงกัดที่เท้าท่าน ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ยังลงโบสถ์ทำวัตรต่อไป โดยมิยินดียินร้ายต่อเขี้ยว
    ของอสรพิษแต่อย่างใด ถ้าเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ ก็จะต้องรีบเข้าสถานเสาวภา
    อย่างไม่มีปัญหา แต่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ กลับเห็นเป็นเรื่องธรรมดา โดยมิต้องวิ่งไปหาหมอหรือหาหยูก
    หายามาฉันเลยแม้แต่อย่างเดียวท่านกระแสร์จิตอันแก่กล้า ของท่านเท่านั้นที่ดับพิษร้ายของงูเห่าไม่ให้
    ทำอันตราย ต่อองค์ท่านได้ แต่ถึงกระนั้นก็เล่นเอาท่านแทบแย่เหมือนกัน เท้าข้างที่ถูกงูกัดบวมเต่งตึง จะนั่งลุกก็แสนจะลำบากเมื่อเวลาทำวัตรสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ทรงเห็นเข้าจึงได้ขอร้องให้ท่านเจ้าคุณ
    นรรัตนฯ งดลงทำวัตรจนกว่าเท้าจะหายบวมด้วยความเกรงใจและระลึกเคารพต่อผู้มีพระคุณฝังจิตใจ
    ของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ อยู่นั้น ท่านเจ้าคุณจึงได้งดลงโบสถ์ ๑ วัน รุ่งขึ้นเท้าข้างที่บวมเต่งตึงก็อันตรธาน
    หายไปอย่างปลิดทิ้ง เกิดความมหัศจรรย์แก่ผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง เสียงโจษจรรเล่าลือจึงระบือไปทั่วว่า
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มีกระแสร์จิตแก่กล้าสามารถระงับพิษให้เหือดหายไปเอง โดยไม่ต้องไปหามดหาหมอ
    และฉันยาแต่อย่างใดเลย และเคล็ดลับการปฏิวัติร่างกายให้แข็งแรง ต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บนั้นก็ได้มีผู้ทราบ
    ว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เมื่อครั้งเป็นฆรวาสได้ปฏิบัติทางโยคะศาสตร์ จนสามารถระงับโรคภัยไข้เจ็บมิให้
    เกิดขึ้นได้ ครั้นเจ้าคุณนรรัตนฯอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ผ่านไปเพียง ๑ พรรษาเท่านั้น
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯจึงได้เขียนหนังสือวิธีปฏิบัติทางโยคะศาสตร์ ถวายแด่อุปัชฌาย์ท่านเจ้าคุณพระสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
    เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๙ โดยมีใจความดังต่อไปนี้


    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร)
    พระอุปัชฌาย์ของท่านเจ้าคุณนรฯ
    [​IMG]

    ๒๕ มิถุน ๖๙

    ขอประทานกราบเรียน พระคุณเกล้าฯ ขอประทานถวายวิธีบริหารร่างกายประจำวัน ซึ่งเกล้าฯ
    มั่นใจว่าถ้าไม่มีอดีตกรรมตามสนองแล้ว การบริหารร่างกายที่ถูกต้องตามกฏของธรรมดาโดยสม่ำเสมอ
    จริงๆ จะช่วยส่งเสริมให้รูปขันธ์นี้เป็นเรือนอันแข็งแรงมั่นคง และทนทาน เป็นที่อาศัยของนามขันธ์
    ได้อย่างวัฒนาถาวร ห่างจากโรคพยาธิ์มีโอกาสใช้ชีวิตช่วยยังประโยชน์ให้แก่โลกได้ยืดยาวจนสุดเขตขัย
    แห่งอายุ

    เกล้าฯ เป็นเด็กขี้โรคมาแต่เดิม โยมผู้หญิงผู้ชายขี้โรค ทั้งเกล้าฯ ได้เคยกรากกรำอดหลับอดนอน
    จนร่างกายทรุดโทรมมาครั้งหนึ่งแล้วในระหว่างรับราชการ ถึงกับเป็นโรคเส้นประสาทอ่อน (Neurasthenia)
    มีร่างกายผอมซีดสามวันดีสี่วันไข้ จนสมเด็จพระบรมบพิต พระราชสมภารเจ้ารัชกาลที่ ๖ ทรงออก
    พระโอษฐว่า "เกรงจะเป็นฝีในท้อง Consumption เสียแล้ว" เกล้าฯ ต้องถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาล
    จุฬาลงกรณ์ แต่การรักษาด้วยวิธีแลยาต่างๆ หลายอย่างหลายชนิดไม่เป็นผลเลย เกล้าฯ ได้พยาบาล
    บริหารร่างกายด้วยหันเข้าหากฏของธรรมดา ตามวิธีที่กราบเรียนถวายมานี้โดยสม่ำเสมออย่างที่เรียกว่า
    "เมื่อจะทำอะไรต้องทำกันจริงๆ" จนได้รับผลดี มีร่างกายสงบสบายเรื่อยมาจนบัดนี้ไม่ต้องใช้ยา ไม่ต้อง
    ไต่ถาม หรือปรึกษาหมอในเรื่องโรคภัยส่วนตัวอีกเลยฯ

    กำหนดบริหารร่างกายประจำวัน

    ๑. ตอนตื่นลุกขึ้นจากที่นอน ดัดตน ๔ ท่าดังนี้

    ๑. ยืด (Srretch)
    ๒.แขม่วท้อง (Pumping)
    ๓.เตะขึ้น(Kick up)
    ๔.บดท้อง (Ehuming)

    ๒. ลุกขึ้นจากที่นอนแล้ว ไปยืนที่หน้าต่างที่เปิดตรงช่องลม หายใจยาวสุดอากาศสดๆ (Fresh Air)
    เข้าปอดให้เต็มที่ ๔ ท่าดังนี้

    ๑.อัดลม (Paching)
    ๒.หายใจยาวสูดลมเข้าปอดตอนบน (Upper Chcst Breathing)
    ๓.หายใจยาวอัดลมดันให้ท้องโป่งพอง (Abdominal Breathing)
    ๔.หายใจยาวสูดลมเข้าอกให้ซี่โครงกาง (Bostal Breathing)

    ในขณะที่ทำท่าเหล่านี้ควรหลับตา และตั้งใจเป็นสมาธิอยู่ในท่าที่กำลังกระทำอยู่นั้น เมื่อจบท่าแล้ว
    จึงลืมตา เวลาลืมตานั้นต้องลืมจริงๆ คือเพ่งมองไป แล้วค่อยๆ หลับกลอกไปกลอกมา ขึ้นข้างบน ลงข้างล่าง
    กลอกข้างซ้ายกลอกขวา และกลอกเป็นวงกลมนี่เป็นการบริหารลูกตาอีกส่วนหนึ่งฯ

    ๓. ดื่มน้ำ ๑ ถ้วยแก้วเต็มๆ น้ำที่จะใช้ดื่มนี้ สำหรับผู้ที่จะมีอายุล่วงเข้าเขตปัจฉิมวัยแล้วไม่ควรดื่มน้ำเย็น
    ในตอนตื่นตอนเช้าๆ ท้องว่างๆ ควรดื่มน้ำต้มเดือดแล้วอุ่นๆ ถ้าดื่มน้ำเปล่าๆ ไม่ได้ควรเลือกเจือชานิดหน่อย
    พอมีกลิ่นชวนให้ดื่มได้ แต่อย่าให้มากนักเพราะมีธาตุที่ให้โทษแก่ร่างกายอยู่บ้างไม่เหมาะสำหรับดื่ม
    ในเวลาท้องว่างตื่นนอนใหม่ๆ ตอนเช้า

    ๔. ไปถ่ายอุจจาระ ถ้าเราเกรงจะเสียเวลาช้าไป ควรเอาหนังสือติดมือไปอ่านด้วย ต่อไปนี้ลงมือทำงาน
    (Work) ได้

    ๕ เมื่อหยุดงานแล้ว ก่อนรับประทานอาหารควรดัดตน ๓ ท่าดังนี้

    ๑. ยืนกางแขนบิดตัว เอามือแตะปลายเท้าทีละข้าง (Ticklc toe)
    ๒. เขย่าตัว (Pep hop)
    ๓. จ้องดาวและบิดคอ (Star Gazer และ Hen peck)

    แล้วดื่มน้ำ ๑ ถ้วยแก้วก่อนรับประทานอาหารสัก ๑๕ นาทีเมื่อรับประทานอาหารแล้วใหม่ๆ ไม่ควรอ่าน
    หนังสือหรือใช้สมองคิดเลย ควรคุยหรือเดิน หยิบโน่นหยิบนี่นิดๆ หน่อยๆ เป็นดี และไม่ควรดื่มน้ำรอไว้
    จนกว่าอาหารย่อยเรียบร้อยจนเบาท้อง แล้วจึงดื่มน้ำให้มากๆ

    ๖. ก่อนจะอาบน้ำเข้านอนตอนกลางคืน ควรดัดตนอีกครั้งหนึ่ง ๗ ท่า ดังนี้

    ๑. ยืด (Stretch)
    ๒.แขม่วท้อง (Pumping)
    ๓.เตะขึ้น (Kick up)
    ๔.บดท้อง (Ehuming)
    ๕.ยืดกางแขนบิดตัวเอามือแตะปลายเท้าทีละข้าง (Tickle toe)
    ๖.เขย่าตัว (Pep Hop)
    ๗.จ้องดาวและบิดคอ (Star gazer และ Heh Peck)

    ท่าดัดตนเหล่านี้ ถ้าทำให้มากเกินไปก็ให้โทษหรือไม่ให้คุณ ที่จะให้คุณจริงๆ คือพอควรอยู่ระหว่าง
    กลาง ไม่ไปทางที่สุดโด่งทั้งสองข้างควรมิควรประการใดสุดแล้วแต่จะโปรด

    เกล้าฯ ธมฺมวิตกฺโก

    เมื่อท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ได้รับจดหมายรายงานการปฏิบัติแบบโยคะศาสตร์ของท่าน
    เจ้าคุณนรรัตนฯ แล้วก็ได้นำไปปฏิบัติ เมื่อสงสัยในข้อหนึ่งข้อใดแล้วก็ทรงเรียกท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เข้าไปสอบ
    ถามเป็นส่วนตัวและฝึกหัดตามท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ไปด้วย ผลที่สุดท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
    ก็เห็นผลปรากฏจากหลักวิธีโยคะศาสตร์ที่สามารถช่วยขจัดโรคภัยต่างๆ ได้จริงๆ ถ้าทำให้ถูกต้องและสม่ำเสมอ
    คุณผู้อ่านถ้าสนใจก็ไปทดลองฝึกดูก็ได้นะครับ



    ถือสันโดษ

    [​IMG]
    คราวนี้ข้าพเจ้าขอพาคุณผู้อ่านเข้าไปชมภายในกุฎิที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ พำนักซึ่งผิดแผกแตกต่าง
    กับภิกษุสงฆ์องค์อื่นๆ อย่างฟ้ากับดินทีเดียว ยากที่จะหาภิกษุรูปใดในปัจจุบันนี้เสมอเหมือนเยี่ยงท่าน
    เจ้าคุณนรรัตนฯหาได้ไม่ เพราะท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ท่านเป็นภิกษุสงฆ์ที่ถือสันโดษ ตัดกิเลสหมดทุกอย่าง
    แม้แต่เงินตราที่ใช้แลกเปลี่ยนตามกฏหมาย ในปัจจุบันนี้ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็มิเคยเห็นและแตะต้อง
    ด้วยซ้ำไป เครื่องตบแต่งเพื่อประดับบารมีภายในกุฏิก็หามีสิ่งมีค่ามาตั้งโชว์ให้รกหูรกตาแม้แต่สิ่งเดียว
    สิ่งที่ประดับบารมีของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ นั้นก็คือตำหรับตำราและหนังสือธรรมวินัยต่างๆ เป็นจำนวนมาก
    ส่วนที่จำวัดนั้นก็เป็นเฉพาะองค์ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เท่านั้น โดยมีผ้าจีวรเก่าๆ ปูกับพื้นเพียง ๒-๓ ผืน และ
    มีมุ้งหลังเล็กๆ อยู่หลังเดียวเท่านั้น และสิ่งที่สดุดตาและเตือนใจแก่ผู้พบเห็นนั่นก็คือโครงกระดูกและหีบศพ
    ๑ หีบ หีบที่วางไว้ให้เป็นเครื่องขบคิดโครงกระดูกที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ นำเข้าไปไว้ในกุฏิของท่าน
    ก็เพื่อไว้นั่งพิจารณาและปลงอนิจจัง ว่าสังขารของมนุษย์เรานั้นมันไม่เที่ยงแท้ มี เกิด, แก่,เจ็บ, ตาย ผลที่สุดก็เหลือแต่โครงกระดูก แล้วก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปในที่สุด

    [​IMG]

    ส่วนหีบศพนั้นเล่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้สั่งให้ญาติซื้อมาไว้เมื่อบวชได้พรรษา ๒ และท่านได้บอก
    กับญาติโยมให้ทราบว่า การที่สั่งให้ต่อหีบศพมาไว้นั้นก็เพื่อที่จะไว้ใส่ตัวท่านเอง เมื่อเวลาดับขัณฑ์
    จะมิต้องทำความยุ่งยากลำบากให้แก่ผู้อยู่ข้างหลังและหีบศพใบนี้ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็เคยลงไปทำ
    วิปัสสนากรรมฐานบ่อยครั้งนัก นับเป็นสถานที่ที่สงบแห่งหนึ่งที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ปฏิบัติธรรม

    [​IMG]

    [​IMG]

    ในกุฏิของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จะหาไฟฟ้าใช้แม่แต่ดวงเดียวก็ไม่มี แม้แต่น้ำที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ
    ใช้ดื่มฉันอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นแต่น้ำฝนทั้งสิ้น และภาชนะที่ท่านใช้ก็เป็นกะลามะพร้าวขัด ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ
    ท่านชี้แจงว่าของสิ่งนี้เป็นของสูง ไม่มีมลทินอะไรติดอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว และท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้ให้
    เหตุผลอย่างน่าฟังว่า "ธรรมชาติได้สร้างมนุษย์เราเป็นที่พอเพียงอยู่แล้วจะวุ่นวายกันไปทำไม ยิ่งเป็นภิกษุ
    สงฆ์ผู้ปฏิบัติอยู่ในธรรมวินัยก็ยิ่งลำบาก น้ำฝนเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ ดื่มฉันก็เกิดอาบัติน้อยมาก ยิ่งไฟฟ้าด้วย
    แล้วก็ถือว่าไม่เป็นสำคัญเลย เพราะดวงอาทิตย์ได้ให้แสงสว่างแก่โลกมุนษย์เราตั้งแต่ ๖ โมงเช้าถึง
    ๖ โมงเย็น เราจะทำอะไรก็ควรรีบๆ ทำเสียเมื่อพระอาทิตย์สิ้นแสงแล้วก็หมดเวลาที่เราจะทำอย่างอื่น
    นอกเสียจากทำสมาธิ เจริญวิปัสสนากรรมญานแต่เดียวเท่านั้น"

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ด้วยเหตุนี้เองกุฏิของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงปิดเงียบมืดมิดผิดกว่ากุฏิพระภิกษุสงฆ์องค์อื่นๆ และ
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯภิกษุผู้เคร่งครัดต่อธรรมวินัยรูปนี้เองได้มีประชาชนจำนวนมาก เลื่อมใส่ศรัทธา
    ใคร่อยากจะพบปะสนทนาด้วย ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็มิได้รังเกียจ เปิดโอกาสให้ญาติโยมพบปะสนทนา
    เป็นอย่างดี ตอนที่ท่านลงทำวัดเช้าและเย็นเสมอชั่วระยะเวลาหนึ่ง ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จะไม่ยอม
    ให้ใครเข้าพบเป็นอันขาดที่กุฏิของท่าน ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่หรือกระยาจนเข็นใจคนใดทั้งสิ้น
     
  18. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,560
    [​IMG]

    อภินิหารย์มหัศจรรย์ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต

    หลังจากที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ธมฺมวิตกฺโก ได้ครองเพศบรรพชิตเรื่อยมา
    ด้วยการเคร่งครัดต่อธรรมวินัย และค้นคว้าศึกษาทางวิปัสสนากรรมฐานจนแตกฉานกระแสร์จิตแก่กล้า จนเป็น
    ที่ประจักษ์แก่สายตา ของพระภิกษุสงฆ์ และประชาชนมาแล้วเมื่อครั้งถูกอสรพิษกัด ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็สามารถใช้กระแสร์จิตรักษาพิษร้ายของอสรพิษให้เหือดหายไปเองได้ โดยมิต้องไปหาหมอและฉันยาเลย
    แม้แต่อย่างเดียว

    ต่อมาท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ได้ถูกโรคร้ายที่ประชาชน และนายแพทย์กลัวนักกลัวหนาเข้าคุกคามได้
    นั้นก็คือโรคมะเร็ง ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้เป็นโรคมะเร็งกามช้างจนเน่าเฟะแต่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯก็มิได้
    แสดงความเจ็บปวดรวดร้าว ให้ปรากฏแก่สายตาผู้ภิกษุสงฆ์ และประชาชนที่พบเห็นเลยแม้แต่น้อย
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯมีอาการเป็นปกติธรรมดาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ได้อุโบสถ
    ทำวัตรเช้า-เย็น เป็นประจำเสมอมิได้ขาดเลย แต่แล้วอยู่ๆ โรคร้ายที่เกาะกุมท่านเจ้าคุณนรรัตนฯจน
    เป็นที่สังเวรแก่ผู้พบเห็นก็อันตรธานหายไปเอง โดยท่านเจ้าคุณนรรัตนฯมิได้ไปหาแพทย์ให้รักษาหรือ
    ฉันหยูกยาแต่ประการใดเลย

    "โรคมันเกิดขึ้นมาเอง มันก็ต้องหายไปเองได้เช่นกัน" ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯพูดอยู่เสมอ
    แก่ผู้ที่ไต่ถามท่าน

    ยิ่งนับวันเสียงลือเสียงเล่าอ้างทางด้านอภินิหารต่างๆ ของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตก็แพร่สะพัด
    ไปทั่วทุกสารทิศว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เป็นพระภิกษุสงฆ์รูปเดียวในปัจจุบันนี้ที่สำเร็จอรหันต์แล้ว
    จึงมีประชาชนจำนวนมากใคร่อยากจะเข้าพบเพื่อนมัสการ แต่ก็หาเวลาพบท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้เพียง
    ๒ เวลาเท่านั้น คือตอนทำวัตรเช้าและเย็น ซึ่งก็มีเวลาสนทนากันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนมาก
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จะคุยเรื่องธรรมะและอบรมสั่งสอนให้ประกอบและประพฤติในทางดีทั้งสิ้น ผู้ใด
    ได้เข้าพบปะสนทนากับเจ้าคุณนรรัตนฯแล้ว ผู้นั้นจะรู้สึกจิตใจสดชื่นเบิกบานแจ่มใสอย่างบอกไม่ถูก
    เสมือนกับได้เข้าพบกับพระอรหันต์ฉะนั้น

    เสียงลือเสียงเล่าอ้างอันนี้เองที่ล่วงรู้ถึงหูชาวจีนผู้หนึ่ง ซึ่งยากจนข้นแค้นอยากจะเข้าพบนมัสการ
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯบ้าง พยายามเพียรมาพบที่พระอุโบสถหลายครั้งแต่ก็เข้าไม่ถึงตัวท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ
    เลยสักครั้ง ท่านจีนผู้นั้นจึงได้ตัดสินใจมาดักพบที่กุฏิตอนเช้าก่อนที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯจะลงทำวัตรเช้า
    เมื่อพบท่านเจ้าคุณนรรัตนฯชาวจีนผู้นั้นก็ก้มลงกราบที่หน้าประตูและกล่าวว่า "อยากจะมาขอพร เพราะ
    อยากจนเหลือเกิน ทำมาค้าขายก็มีแต่ขาดทุน"

    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯได้ฟังชาวจีนพูดจบลงแล้ว ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงเอากะลาขัดตักน้ำมาพรม
    ให้ชาวจีน และพูดว่า " ไปได้คราวนี้จะรวยใหญ่"

    และก็เป็นจริงอย่างที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯให้พรทุกประการ เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมาชาวจีนผู้นั้น
    ก็ทำมาค้าขายเจริญงอกงามขึ้นเป็นลำดับจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้

    ดังได้กล่าวไว้แล้ว ผู้ที่เข้านมัสการท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มักจะได้ฟังแต่เรื่องธรรมะและคำตักเตือน
    สั่งสอนให้ประกอบแต่ความดี ผู้นั้นจะมีความสุข ข้าพเจ้าจึงขอเอาข้อเขียนของคุณ "ภิญโญ เอกอธิคมกิจ"
    ซึ่งได้รับฟังคำจากท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มาลงไว้ ณ ที่นี้เพื่อเป็นข้อยืนดังต่อไปนี้

    เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๑ คุณ ภิญโญ เอกอธิคมกิจ ยังเป็นนิสิตปีสุดท้ายได้พาเพื่อนนักศึกษา
    ๓ คน เข้านมัสการท่านเจ้าคุณนรรัตนฯเมื่อตอนเย็นวันหนึ่งหลังจากท่านเจ้าคุณนรรัตนฯได้ทำวัตรเย็น
    เสร็จเรียบร้อยแล้วและได้สนทนากันอยู่พักหนึ่งท่านเจ้าคุณนรรัตนฯได้ไต่ถามคุณภิญโญ และเพื่อนว่า
    มีอาชีพอะไรเมื่อท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้ทราบว่าทั้งสี่คนนั้นเป็นนิสิตปีสุดท้าย ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ
    ก็เริ่มอธิบายธรรมให้ฟังทันทีโดยเริ่มว่า

    "ที่มาหาพระที่นี่น่ะ, ดีแล้ว เพราะพระแปลว่า ดี หรือประเสริฐ ฉะนั้นการมาหาพระ
    คุยกับพระก็ได้ของดีของประเสริฐกลับไป"

    เพื่อนคนหนึ่งของคุณภิญโญได้เรียนถามถึงเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ของพระเครื่องท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ
    ก็ได้อธิบายให้ฟังว่า

    "ความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอยู่กับความศรัทธา อาศัยกำลังจิตเป็นสำคัญบางครั้งทหารที่ไปรบ
    เวียดนามเชื่อมั่นคุณพระที่ห้อยคอไป อาจทำให้เกิดนะจังงังก็ได้ข้าศึกมองไม่เห็นตัว
    หรือยิงไม่ถูก"

    แล้วท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ยังได้ยกอุทาหรณ์ให้ฟังต่อไปอีกว่า เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๕ พระพุทธเจ้าหลวง
    เคยเสด็จออกเยี่ยมพสกนิกรที่ชนบทแห่งหนึ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็นบ้านชาวจีนคนหนึ่งนำปุ้งกี๋มาไว้บูชา
    บนหิ้ง จึงได้รับสั่งถามชาวจีนผู้นั้นว่า เอามาบูชาเพื่ออะไร ชาวจีนผู้นั้นได้ทูลถึงความเชื่อมั่นของตน
    ซึ่งเริ่มต้นมาจากปุ้งกี๋จนทำให้เขาร่ำรวยขึ้นมาได้ จึงนำมาไว้บูชาและเก็บไว้เป็นที่ระลึก พระพุทธเจ้าหลวง
    จึงได้ตรัสชมว่า "ดีแล้ว" นี่ก็แสดงว่า ความเชื่อมั่นเท่านั้นที่จะปรากฏผลให้เห็นเมื่อท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ
    ได้อรรถาธิบายจบแล้ว เพื่อนอีกคนหนึ่งของคุณภิญโญจึงได้เรียกถามท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ต่อไปอีกว่า
    ตัวเขาทำไมจึงยากจนเหลือเกินไหนจะต้องหารายได้เพื่อมาเป็นทุนการศึกษา ไหนจะต้องหาเงินมา
    เลี้ยงแม่อีก จึงอยากจะมาขอพรจากท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เพื่อจะได้ทุกสักก้อนหนึ่งสำหรับไว้ไปศึกษาต่อ
    ยังต่างปรเทศ เมื่อจบการศึกษาในประเทศไทยแล้ว

    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงได้กล่าวสรรเสริญเพื่อนของคุณภิญโญว่าเป็นการกระทำที่ดีแล้ว พร้อมกับ
    อธิบายถึงความกตัญญูกตเวทิตาว่า

    "คนที่มีความกตัญญูกตเวทีแล้ว ไปไหนหรือจะทำอะไรย่อมไม่ตกต่ำและมักจะประสพ
    ความสำเร็จเสมอ เพราะคุณพระย่อมคุ้มครองคนมีที่คุณธรรมประจำใจ"

    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ยังได้อธิบายต่อไปอีกว่า

    "คุณธรรมอันเป็นเครื่องนำไปสู่ความสำเร็จในกิจการทั้งปวง อันได้แก่ อิทธิบาทสี่ แปลว่า
    ทางที่นำไปสู่ความสำเร็จไม่ว่าจะทำอะไร อิทธิ ซึ่งหมายถึงหนทางที่จะไป มีอยู่ ๔ ประการ" คือ

    ๑. ฉันทะ คือความพอใจในสิ่งที่เป็น วิลล์ออฟมาย หรือเป็นความตั้งอกตั้งใจที่จะทำจริง
    ๒. วิริยะ คือความเพียรพยายามโดยไม่ท้อถอย
    ๓. จิตตะ คือความเอาใจจดจ่อในสิ่งที่จะทำในกิจกรรมนั้นๆ โดยนึกอยู่เสมอ
    ๔. วิมัสสะ คือการพิจารณาไตร่ตรองหาเหตุผล

    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้ชี้แจงต่อไปอีกว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไร หากมีธรรม ๔ ประการนี้แล้ว
    ย่อมพบกับความสำเร็จอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเรียนหนังสือหรือการทำมาหากิน และท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ
    ยังย้ำต่อไปอีกว่า

    "จะไปนิพพานก็ได้นะ"

    หลังจากได้สนทนาธรรมกับเจ้าคุณนรรัตนฯ เป็นที่พออกพอใจแล้ว ทุกคนต่างก็จะกราบลากลับ
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงได้สั่งให้เพื่อของคุณภิญโญ ไปตักน้ำมนต์ในโอ่งหลังรูปปั้นสมเด็จพระพุทธ
    โฆษาจารย์ ๑ ถ้วย และรินใส่ถ้วยให้ดื่มทีละคนพร้อมกับให้ว่าคาถาตามท่านไปด้วย ดังนี้

    สิทธะมัตถุ สิทธะมัตถุ สิทธะมัตถุ อิทัง พลัง เอตัสสะมิง ระตะนัตตะ ยัสสะมิง สัมประสาทะ นะเจตะโส

    เมื่อทุกคนได้รับประทานน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เสร็จทั่วทุกคนแล้ว
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ได้กล่าวเป็นประโยชน์สุดท้ายว่า

    " จงประกอบแต่ความดีนะ จะได้มีความสุข"

    คาถาของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ บทนี้ ผู้ใดใคร่จดจำไว้ ข้าพเจ้าคิดว่าคงเกิดประโยชน์ไม่น้อย ยิ่งผู้ที่มี
    เครื่องรางของขลังของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ไว้บูชาด้วยแล้วก็คงเกิดพลังอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ให้ปรากฏขึ้น
    มาได้ ดังเช่นคาถาชินบัญชร ของสมเด็จพุฒจารย์โตดุจเดียวกัน



    ข้าพเจ้าได้นำเรื่องราวการสนทนาธรรมกับท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มาแล้ว ก็ใคร่จะขอนำ "โอวาท"
    ของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มาลงไว้ ณ ที่นี้ด้วย เพื่อเตือนสติแก่ผู้ที่กำลังประพฤติชั่ว หรือกระทำชั่วไปแล้ว
    ให้หันกลับมาประกอบกรรมแต่ความดี ละทิ้งความชั่วที่ทำหรือกำลังที่จะกระทำนั้นเสีย และผู้ที่ประกอบ
    กรรมแต่ความดีก็ให้รักษาความดีนั้นไว้ หรือยิ่งประกอบกรรมดียิ่งๆ ขึ้นไป ดังต่อไปนี้

    โอวาทของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต

    ๑. "PERSONAL MAGNET"

    เรื่องที่มีคนเมตตากรุณา เห็นอกเห็นใจนั้น เป็นเพราะ คุณธรรมความดี ของตนเอง หลายประการ
    ด้วยกัน เป็นต้นว่า วิริยะ อุตสาหะ บากบั่น เข้มแข็ง แรงกล้า และจิตใจเมตตากรุณา ไม่เย่อหยิ่งจองหอง เป็นเหตุให้ผู้ที่แวดล้อมอยู่เกิดความเมตตากรุณารักใคร่เห็นอกเห็นใจ คิดที่จะช่วยเหลือคนซึ่งมี กิริยา
    มารยาทอ่อนโยน สุภาพนิ่มนวล ย่อมเป็นที่เสน่หารักใคร่ของคนที่ได้พบเห็นและพยายามที่จะช่วยเหลือ
    นี่เป็น Personal Magnet คือเสน่ห์ในตัวของตัวเอง เพราะฉะนั้น จงพยายามรักษาคุณสมบัติดังกล่าวนี้ไว้
    จะเป็นเครื่องช่วยตัวเองให้บรรลุความสำเร็จสมประสงค์ทุกประการ ทุกกาลเวลา ทั้งปัจจุบันและอนาคต

    ๒. เมตตา

    อย่ากลัว จงรักษาตัวให้บริสุทธิ์ ไม่มีอะไรทำอันตรายได้จงจำไว้ว่า ถ้าปรารถนาความเมตตาและ
    ความเห็นอกเห็นใจจากผู้อื่น ก็ควรส่งกระแสใจที่ประกอบด้วยความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจ
    ไปยังท่านเหล่านั้น แล้วก็จะได้รับความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจจากท่านเหล่านั้นเช่นเดียวกัน
    นี่เป็นกฏของจิตตานุภาพแล้วความสำเร็จทั้งหลายที่ปรารถนา ก็จะบังเกิดแต่ตนสมประสงค์ทุกประเด็น
    แน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย.

    ๓. สบายใจ

    คำว่า "ไม่สบายใจ" อย่าใช้ และอย่าให้มีขึ้นในใจต่อไป Let it go, and get ti out!" ก่อนมันจะเกิด
    ต้อง Let it go! ปล่อยให้มันผ่านไปอย่ารับเอาความไม่สบายใจไว้ ถ้าเผลอไปมันแอบเข้ามาอยู่ในใจได้
    พอมีสติรู้สึกตัวว่าความไม่สบายใจเข้ามาแอบอยู่ในใจ ต้อง Get it out! ขับมันออกไปทันที อย่าเลี้ยงเอา
    ความไม่สาบายใจไว้ในใจมันจะเคยตัว ทีหลังจะเป็นคนอ่อนแอออดแอดทำอะไรผิดพลาดนิดๆ หน่อยๆ
    ก็ไม่สบายใจเคยตัว เพราะความไม่สบายใจนี้แหละเป็นศัตรู เป็นมาร ทำให้ใจไม่สงบประสาทสมองไม่ปกติ
    เป็นเหตุให้ร่างกายผิดปกติ พลอยไม่สงบไม่สบายใจไปด้วย ทำให้สมองทึบไม่ปลอดโปร่ง เป็น habit
    ความเคยชินที่ไม่ดี เป็นอุปสรรคกีดกั้นขัดขวางสติปัญญาไม่ให้ปลอดโปร่งแจ่มใส ต้องฝึกหัดแก้ไข
    ปรับปรุงจิตใจเสียใหม่ ทั้งก่อนที่จะทำอะไร หรือกำลังกระทำอยู่ และเมื่อเวลากระทำเสร็จแล้ว ต้องหัดให้
    จิตใจแช่มชื่นรื่นเริงเกิดปิติปราโมทย์เป็นสุขสบายอยู่เสมอ เป็นเหตุให้เกิดกำลังกายกำลังใจ Enioy living
    มีชีวิตอยู่ด้วยความเบิกบาน สมองจึงจะเบิกบาน จะศึกษาเล่าเรียนก็เข้าใจจำได้ง่าย เหมือนดอกไม้ที่แย้ม
    เบิกบานต้อนรับหยาดน้ำค้าง และอากาศอันบริสุทธิ์ฉะนั้น

    พระพุทธเจ้าสอนว่า "นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ" สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี"

    หมายความว่า ความสุขอื่นมี เช่นความสุขในการดูละคร ดูหนัง ในการเข้าสังคม Soial ในการมีคู่รัก
    คู่ครอง หรือในการมีลาภยศได้รับความสุข สรรเสริญ และได้รับความสุขจากสิ่งเหล่านี้ ก็สุขจริง

    ๔. สันติสุข

    แต่ว่า สุขเหล่านี้มีทุกข์ซ้อนอยู่ทุกอย่าง ต้องคอยแก้ไขปรับปรุงกันอยู่เสมอไม่เหมือนกับความสุข
    ที่เกิดจากสันติความสงบ ซึ่งเป็นความสุขที่เยือกเย็นและไม่ซ้อนด้วยความทุกข์ และไม่ต้องแก้ไข
    ปรับปรุงตกแต่งมากเป็นความสุขที่ทำได้ง่ายๆ เกิดกับกายใจของเรานี่เอง อยู่ในที่เงียบๆ คนเดียวก็ทำได้
    หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมสังคมก็ทำได้ ถ้าเรารู้จักแยก ใจ หาสันติสุข กายนี้เพียงสักแต่ว่าอยู่ในที่ระคน
    ด้วยความยุ่ง สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นไม่ยุ่งมาถึงใจ แม้เวลาเจ็บหนัก มีทุกข์เวทนาปวดร้าวไปทั่วกาย
    แต่เรารู้จักทำใจ ให้เป็นสันติสุขได้ ความเจ็บนั้นก็ไม่สามารถจะทำให้ ใจ เดือดร้อนตามไปด้วย
    เมื่อ ใจ สงบแล้วกลับจะทำให้กายสงบ หายทุกขเวทนาได้ด้วยและประสบสันติสุข ซึ่งไม่มีสุขอื่น
    ยิ่งกว่าสันติสุขนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้ฝึกเป็น ๓ ทาง คือ

    ๑. สอนให้สงบกาย วาจา ด้วย ศีล ไม่ทำโทษทุจริตอย่างหยาบที่เกิดทาง กาย วาจา เป็นเหตุให้เกิดสันติสุขทางกาย วาจา เป็นประการต้น

    ๒. สอนให้ฝึกหัดให้เกิดสันติสุขทางใจด้วย สมาธิ หัดใจไม่ให้คิดถึงเรื่องความกำหนัด
    ความโกรธ ความโลภ ความหลง ความกลัว ความฟุ้งซ่านรำคาญ ความลังเลใจ
    ทำให้ใจไม่เด็ดเดี่ยว ไม่เด็ดขาด เมื่อละสิ่งเหล่านี้ได้ เป็นเหตุให้ใจสงบ เป็นสันติสุขทางจิตใจ
    อีกประการหนึ่ง

    ๓. ทรงสอนให้ฝึกหัดให้เกิดสันติสุขทางทิฏฐิ ความเห็นด้วย ปัญญา พิจารณาให้เห็นว่าสรรพสิ่ง
    ทั้งหลายไม่แน่นอน เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง คงทนอยู่ไม่ได้ ต้องเสื่อมสิ้นแปรปรวน ดับไป เรียกว่าเป็น ทุกข์
    ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา อ้อนวอน ขอร้อง เร่งรัด ให้เป็นไปตามความประสงค์ ท่านเรียกว่า อนัตตา
    เมื่อเรารู้เห็นความเป็นจริงเช่นนี้ จะทำให้จิตใจของเราเข้มแข็ง มั่นคง เด็ดเดี่ยวไม่หวั่นไหวไปตาม
    เหตุการณ์ทั้งหลาย เพราะรู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาว่าสิ่งเหล่านั้นมันไม่แน่นอนมันคงอยู่ไม่ได้
    ต้องเปลี่ยนแปลง เสื่อมสิ้นดับไปไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาฝ่าฝืนของเราอย่าไปเร่งรัดให้เสียกำลังใจ
    คงรักษาใจให้เป็นอิสระมั่นคงอยู่เสมอไม่หวั่นไหวไปตามเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นเหตุให้ใจตั้งอยู่ในสันติสุข
    เป็นอิสระเกิดอำนาจทางจิต Mind Power ที่จะใช้ทำกรณียะอันเป็นหน้าที่ของตนได้สำเร็จสมประสงค์

    "นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี"

    It meeds a Peaceful Mind to support a Peaceful Body, and itneeds a Peaceful Body to
    support a Peaceful Mind, and, st it needs Both Pescaful Body and Mind to attain all succes
    that wbich you wish.

    ๕. ทำอะไรไม่ผิดเลย ก็คือคนไม่ทำอะไรเลย "DO NO WRONG IS DO NOTHING"

    จงระลึกถึงคติพจน์ ว่า "Do no wrong is do nothing!" "ทำอะไรไม่ผิดเลย ก็คือไม่ทำอะไรเลย!"
    ความผิดนี้แหละ เป็นครูอย่างดี ควรจะรู้สึกบุญคุณของตัวเองที่ทำอะไรผิดพลาด และควรสบายใจที่ได้พบ
    กับอาจารย์ผู้วิเศษ คือความผิด จะได้ตรงกับคำว่า "เจ็บแล้วต้องจำ!" ตัวทำเองผิดเอง นี้แหละเป็นอาจารย์
    ผู้วิเศษ เป็น Good example ตัวอย่างที่ดี เพื่อจะได้จดจำไว้สังวรระวังไม่ให้ผิดต่อไป แล้วตั้งต้นใหม่
    ด้วยความไม่เลินเล่อเผลอประมาท อดีตที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านพ้นล่วงไปแล้ว แต่อาจารย์ผู้วิเศษยังคงอยู่
    คอยกระซิบเตือนใจเสมอทุกขณะว่า "ระวัง! อย่าประมาทนะ! อย่าให้ผิดพลาดเช่นนั้นอีกนะ!"

    ผิดหนึ่งพึงจดไว้ ในสมอง
    เร่งระวังผิดสอง ภายหน้า
    สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก เพื่อนเอย
    ถึงสี่อีกทีห้า หกซ้ำอภัยไฉน!

    จงสังเกตพิจารณาดูให้ดีเถิด จะเห็นได้ว่า นักค้นคว้าวิทยาศาสตร์ทางโลกก็ดีและทางผู้วิเศษที่เป็น
    ศาสดาจารย์ในทางธรรมทั้งหลายก็ดีล้วนแต่ผ่านพ้นอุปสรรคความผิดพลาดนับครั้งไม่ถ้วนมาแล้วด้วยกัน
    ทุกท่าน

    ๖. สติสัมปชัญญะ (ความระลึกได้ และความรู้ตัว)

    ที่จะทำอะไรไม่ผิดนั้น ข้อสำคัญอยู่ที่สติ ถ้ามีสติคุ้มครองกายวาจาใจอยู่ทุกขณะจำทำอะไร
    ไม่ผิดพลาดเลย ที่ผิดพลาดเพราะขาดสติ คือ เผลอ เหม่อ เลินเล่อ ประมาท ระเริง หลงลืม จึงผิดพลาด
    จงนึกถึงคติพจน์ว่า " กุมสติต่างโล่ห์ป้อง อาจแกล้วกลางสนาม" ธรรมดาชีวิตทุกชนิด ทั้งมนุษย์และสัตว์
    ตลอดทั้งพืชพันธุ์ พฤษาชาติ เป็นอยู่ได้ด้วยการต่อสู้ ตรงกับคำว่า "Life id fighting" "ชีวิตคือการต่อสู้"
    เมื่อต่อสู้ไม่ไหวขณะใจก็ต้องถึงที่สุดแห่งชีวิต คือ death ความตาย เพราะฉะนั้นยังมีสติอยู่ตราบใด
    ถึงตายก็ตายแต่กาย เช่นกับชีวิตพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ท่านมีสติไพบูลย์อยู่ทุกขณะจิต
    ท่านจึงทำอะไรไม่ผิดและถึงซึ่งอมตธรรม คือธรรมที่ไม่ตาย ตรงกับคำว่า immortal จึงเรียกว่า ปรินิพาน
    คือนามรูปสังขารร่างกายที่เรียกว่าเบญจขันธ์ ขันธ์ ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    แตกดับไปเท่านั้น เพราะฉะนั้น ความฝึกฝนสติ (ความระลึกรู้ก่อนทำ ก่อนพูด ก่อนคิด) สัมปชัญญะ
    (รู้ตัวทุกขณะที่กำลังทำอยู่ พูดอยู่ คิดอยู่) เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็มีสติตรวจตาพิจารณาดูว่าบกพร่องอย่างไร
    หรือเรียบร้อยบริบูรณ์ดี ถ้าบกพร่องก็รีบแก้ไขเพื่อให้สมบูรณ์ต่อไป ถ้าเรียบร้อยดีอยู่แล้ว ก็พยายามให้
    เรียบร้อยดียิ่งๆ ขึ้นไปจนถึงที่สุด

    ๗. อานุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

    ด้วยอนุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้แล จึงชนะข้าศึก คือ กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง
    และอย่างละเอียดได้!

    ๑. ชนะความหยาบคาย ซึ่งเกิดกิเลสอย่างหยาบที่ล่วงทางกายวาจาได้ ด้วยศีลชนะความยินดียินร้าย
    หลงรัก หลงชัง ซึ่งเป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดในใจได้ด้วยสมาธิ

    ๒. ผู้ใดศึกษาและปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้ โดยพร้อมมูล บริบูรณ์สมบูรณ์แล้ว
    ผู้นั้นจึงเป็นผู้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ เป็นแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย! เพราะฉะนั้น จึงความสนใจ เอาใจใส่
    ตั้งใจศึกษา และปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้ทุกเมื่อเทอญ.

    ๘. ดอกมะลิ

    ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่ถูกรับรองแล้วว่าเป็นดอกไม้ที่หอมเย็นชื่นใจที่สุดและขาวบริสุทธิ์ที่สุด
    ในบรรดาดอกไม้ทั้งหลายชีวิตมนุษย์ที่เป็นอยู่เช่นเดียวกับการเล่นละคร ขอให้เป็นตัวเอกที่มีชื่อเสียงที่สุด
    เช่นเดียวหรือลักษณะเดียวกับดอกมะลิ อย่าเป็นตัวผู้ร้ายที่เลวที่สุด และให้เห็นว่าดอกมะลินี้จะบานเต็มที่
    เพียง ๒-๓ ก็จะเหี่ยวเฉาไป ฉะนั้นขอให้ทำตัวให้ดีที่สุด เมื่อยังมีชีวิตอยู่ให้หอมที่สุดเหมือนดอกมะลิ
    ที่เริ่มแย้มบานฉะนั้น."จงเลือกทำแต่กรรมที่ดีๆ"

    ๙. ทำดี ดีกว่าขอพร

    "จงเลือกทำแต่กรรมที่ดีๆ นะ!เตือนให้เตรียมตัวไว้ดำเนินชีวิตต่อไปเป็นคำแทนคำอวยพรอย่างสูงสุด
    ประกอบด้วยเหตุผล เมื่อทำกรรมดีแล้ว ไม่ให้พรก็ต้องดี เมื่อทำชั่วแล้วจะมาเสกสรรปั้นแต่งอวยพร
    อย่างไรก็ดีไม่ได้ ทำชั่วเหมือนโยนหินลงน้ำหินจะต้องจมทันที ไม่มีผู้วิเศษใดๆ จะมาเสกเป่าอวยพร
    อ้อนวอนขอร้องให้หินลอยขึ้นมาได้ ทำกรรมชั่วจะต้องเล่นจมป่นปี้เสียราศีเกียรติคุณชื่อเสียงเหมือน
    ก้อนหินหนักจมลงไปอยู่กับโคลนใต้น้ำ ทำดีเหมือนน้ำมันเบาเมื่อเทลงน้ำย่อมลอยเป็นประกายมันปลาบ
    อยู่เหนือน้ำ ทำกรรมดี อย่อมมีสง่าราศี มีเกียรติคุณชื่อเสียง มีแต่คนเคารพนนับถือยกย่องบูชา เฟื่องฟุ้งฟู
    ลอยน้ำเหมือนน้ำมันลอยถึงจะมีศัตรูหมู่ร้ายจงใจเกลียดชังมุ่งร้ายอิจฉาริษยาแช่งด่าให้จมก็ไม่สามารถ
    จะเป็นไปได้ กลับจะแพ้เป็นภัยแก่ตัวเอง ขอให้จงตั้งใจกล้าหาญพยายามทำแต่กรรมดีๆ โดยไม่มี
    ความเกรงกลัวหวั่นไหวต่ออุปสรรคใดๆทั้งสิ้น ผู้ที่มีความเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัย ผู้ที่มีโชคดี
    ผู้ที่มีความสุขและผู้ที่มีความเจริญประสงค์ใดสำเร็จสมประสงค์ ก็คือผู้ที่ประกอบกรรม ทำแต่ความดี
    อย่างเดียวนั่นเอง
     
  19. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,560
    [​IMG]

    ภิกษุกายทิพย์

    ดังได้กล่าวแล้วว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตน ธมฺมวิตกฺโก เป็นภิกษุรูปเดียวที่เคร่งครัดต่อธรรมวินัย หาภิกษุ
    ใดในยุคปัจจุบันนี้เสมือนท่านเจ้าคุณนรรัตนหาได้ไม่ นั่นแต่ท่านบรรพชาอุปสมบทมา ๓๐ กว่าพรรษา
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนยังมิเคยย่างกรายออกนอกเขตบริเวณวัดเทพศิรินทร์เลย แม้แต่ครั้งเดียว หลังจาก
    ได้บวชผ่านไปแล้ว ๑ พรรษา และไม่เคยรับนิมนต์จากญาติโยมคนใดทั้งสิ้น แต่แล้วก็ได้มีปรากฏการณ์
    ประหลาดเกิดขึ้นบ่อยครั้งที่มีผู้พบท่านเจ้าคุณนรรัตน ไปปรากฏองค์ท่านให้เห็น ทั้งในประเทศ และ
    ต่างประเทศซึ่งข้าพเจ้า จะขอนำเอาเหตุการณ์ ประหลาดเหล่านี้มาเล่าสู่คุณผู้อ่านดังต่อไปนี้

    เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ตรงกับวันที่ ๑๗ พ.ย. ทางกรมการรักษาดินแดนได้จัดสร้างเหรียญ ร.๖ ขึ้นเพื่อ
    แจกจ่ายให้แก่ประชาชนนำไปบูชาและได้ทำการพุทธาภิเศกตามวันดังกล่าวนี้ โดยนิมนต์พระคณาจารย์
    ที่มีชื่อเข้าร่วมทำพิธีปลุกเศก คือหลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาณมิตร, หลวงพ่อปู่อาคม วัดสุทัศน์ฯ, หลวงพ่อเงิน
    วัดดอนยายหอม, หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม, หลวงปู่นาค วัดระฆัง, พระสุธรรมธีระคุณ วัดสระเกศ, หลวงพ่อ
    คล้าย วัดจันดี, หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก, และพระอาจารย์ผ่อง จินดา วัดสามปลื้ม ยังได้กระทำพิธี
    อัญเชิญดวง พระวิญญาณของอดีตพระมหากษัตริย์ไทยแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ ร.๑ ถึง ร.๘
    มาประทับทรงในร่างของนายทหารและนายตำรวจ เพื่อทรงเป็นประธานและสักขีพยาในพิธีปลุกเศกนี้ด้วย

    ในการกระทำพิธีพุทธาภิเศกเหรียญ ร.๖ ครั้งนี้ คณะกรรมการทุกคนจะลืมนินมต์ท่านเจ้าคุณนรรัตน
    เสียมิได้ เพราะท่านเจ้าคุณนรรตันเป็นภิกษุรูปหนึ่งที่จงรักภักดีต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่๖ จนปวารณาตัวบวช
    ไม่ยอมสึก และล้นเกล้ารัชกาลที่๖ ก็ทรงโปรดปรานเจ้าคุณนรรัตนเช่นเดียวกัน เมื่อมีการสร้างเหรียญ ร.๖
    ขึ้นครั้งนี้ คณะกรรมการจึงได้เดินทางไปนินมต์ท่านเจ้าคุณนรรัตนให้เข้าพิธีพุทธาภิเษกด้วย แต่คณะ
    กรรมการ ก็ได้รับความผิดหวัง เพราะท่านเจ้าคุณนรรัตนไม่ยอมรับนิมนต์ออกนอกเขตวัดท่านเจ้าคุณนรรัตน
    ได้บอกกับคณะกรรมการชุดนั้นว่า

    "อาตมาจะขอนั่งปรกปลุกเสกอยู่ในกุฏินี้เพื่อส่งกระแสร์จิตไปร่วมพุทธาภิเศกด้วยในครั้งนี้
    จนกระทั่งเสร็จพิธี"

    คณะกรรมการสร้างเหรียญ ร.๖ ชุดนี้จึงได้นำชื่อท่านเจ้าคุณนรรัตนประกาศให้ประชาชนทราบทั่วกัน
    ว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนได้ส่งกระแสร์จิตเข้าร่วมพิธีพุทธาภิเศกเหรียญ ร.๖ ในครั้งนี้ด้วย

    เมื่อประชาชนได้ทราบข่าวว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนส่งกระแสร์จิตปลุกเศกเหรียญ ร.๖ ต่างก็ทะยอย
    มาสั่งจอง กันเป็นจำนวนมาก แม้บางรายยังไม่เคยเห็นรูปลักษณะเหรียญ ร.๖ เลยก็ยังสั่งจองกันมากมาย
    ชั่วเวลาเพียงไม่ถึงสิบวัน ก็มีประชาชนสั่งจองเหรียญ ร.๖ ถึง ๔ หมื่นเหรียญ และเมื่อเสร็จพิธีพุทธาภิเศก
    ก็ได้นำออกแจกจ่ายให้ประชาชนบูชาเพียงไม่นานนักเหรียญ ร.๖ ก็หมดเกลี้ยงอย่างไม่มีใครคาดถึง
    ทั้งนี้ก็เป็นเพราะบารมีกระแสร์จิตของท่านเจ้าคุณนรรัตนที่เข้าร่วมปลุกเศกด้วยนั่นเอง

    เมื่อประชาชนจำนวนมากรับเหรียญ ร.๖ ไปพกติดตัว ต่างก็ปรากฏอภินิหารต่างๆ นานา ทั้งทางอยู่ยง
    คงกระพันและโชคลาภ จนโจษขานกันทั่วอยู่พักหนึ่ง ปรากฏการณ์สิ่งนี้เองที่มีประชาชนจำนวนมากได้
    ประจักษ์กันว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนมีกระแสร์จิตอันแก่กล้า สามารถส่งมาร่วมพิธีพุทธาภิเษกได้ แต่ไม่เพียง
    กระแสจิตเท่านั้น ท่านเจ้าคุณนรรัตนยังสามารถถอดกายทิพย์ออกไปให้ผู้อื่นพบเห็นได้อีกด้วย

    ผู้ที่พบท่านเจ้าคุณนรรันไปปรากฏองค์ให้เห็น ก็คือมีนายทหารกลุ่มหนึ่งซึ่งมีความเลือมใสศรัทธา
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนมาก เมื่อครั้งได้รับคำสั่งทางราชการให้เดินทางไปสมรภูมิเวียดนาม จึงได้เดินทางมาหา
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนเพื่อขอศีลขอพร และให้ท่านเจ้าคุณนรรัตนประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้เพื่อเป็นศิริมงคล
    ครั้นได้เดินทางไปประจำอยู่ในสมภูมิเวียดนาม ก็ได้ปะทะกับพวกเวียดกงหลายครั้ง บางครั้งอยู่ในภาวะ
    คับขันหวุดหวิดจะได้รับอันตราย ก็ได้พบท่านเจ้าคุณนรรัตนมาปรากฏร่างช่วยเหลือคลี่คลายสถานการณ์
    จนพ้นภาวะคับขันไปได้ทุกครั้ง จนเป็นที่กล่าวขานกันอย่างมากมายในกลุ่มทหารกองพลเสือดำมาแล้ว

    ส่วนทางด้านสหรัฐอเมริกาก็ได้มีผู้พบเห็นท่านเจ้าคุณนรรัตนไปปรากฏมาแล้วเหมือนกัน กล่าวคือ
    มีชาวอเมริกันผู้หนึ่งซึ่งได้เคยรู้จักกับ พ.ต.อ.ชลอ อุทกภาชน์ ได้เขียนจดหมาย เล่าเรื่องราวประหลาด
    มหัศจรรย์แก่ พ.ต.อ. ชลอ ว่า ได้มีเศรษฐีอเมริกันผู้หนึ่งอยู่ในนครนิวยอร์ค ได้ล้มป่วยด้วยโรคร้ายแรง
    โรคหนึ่ง ได้รักษาเสียเงินเสียทองมาแล้วอย่างมากมายโรคร้ายนั้นก็ไม่หาย แต่เศรษฐีอเมริกันผู้นี้
    เป็นผู้ใจบุญสุนทาน และประกาศตนเป็นพุทธมามะกะมาแล้ว เมื่อเสียเงินเสียทองรักษาตัวทางแพทย์
    ปัจจุบันมาแล้วหลายแห่ง โรคร้ายนั้นก็ไม่ยอมหาย จึงหันมาระลึกถึงพุทธคุณทางพุทธศาสนาอยู่เสมอ
    ปรากฏว่าวันหนึ่งได้มีพระภิกษุไทยรูปหนึ่ง ได้ไปเยี่ยมที่บ้านของเศรษฐีผู้นั้น และแสดงความจำนงค์ขอ
    ช่วยรักษาโรคร้าย ให้โดยการใช้กระแสร์จิตรักษา เศรษฐีผู้นั้นก็ยินยอมให้ภิกษุไทยรูปนั้นรักษาให้ และ
    หลังจากพระภิกษุไทยรูปนั้นใช้กระแสร์จิตรักษาแล้ว ปรากฏว่าอาการป่วยของเศรษฐีผู้นั้นก็เริ่มทุเลาลง
    เป็นอันดับ พระภิกษุไทยรูปนั้นจึงได้บอกชื่อว่า พระภิกษุเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต พำนักอยู่ที่วัดเทพศิรินทร์
    กรุงเทพฯ ประเทศไทย ทำให้เศรษฐผู้นั้นงุนงงเป็นอันมาก และหลังจากนั้นไม่นานนักอาการของเศรษฐี
    นั้น ก็ค่อยทุเลาและหายเป็นปกติ จึงได้บอกเพื่อนชาวอเมริกันที่คุ้ยเคยกับคนไทยในกรุงเทพฯให้ช่วย
    เขียนจดหมายมาถามดูว่าที่ในกรุงเทพฯ มีวัดเทพศิรินทร์ และพระภิกษุชื่อเจ้าคุณนรรัตนหรือไม่?
    เพื่อนของเศรษฐีอเมริกันผู้นั้นซึ่งคุ้นเคยกับ พ.ต.อ. ชลอ ก็ได้เขียนตอบไปแล้วว่ามีจริงดังที่ถามมา
    ทุกประการ

    อีกรายหนึ่ง ที่พบท่านเจ้าคุณนรรัตน ธมฺมวิตกฺโก ไปปรากฏร่างให้เห็นก็คือ พ.ต.ท. นายแพทย์สุภัค
    บรรฑุรัตน์ หัวหน้าแผนกนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ได้เล่าว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนเคยไปเยี่ยมถึงบ้าน
    และพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันเป็นเวลานานจึงได้ลากลับ นายแพทย์สุภัคถึงกับงุนงง เพราะเป็น
    ผู้หนึ่งที่เลื่อมใสศรัทธาท่านเจ้าคุณนรรัตนมาก และก็ทราบว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนมิเคยย่างกรายออกจาก
    วัดเทพศิรินทร์เลยแต่เหตุไฉนที่นเจ้าคุณนรรัตน จึงได้ไปเยี่ยมเยียนและพูดคุยกับตนถึงบ้านได้ ท่าน
    เจ้าคุณนรรัตนต้องถอดกายทิพย์ไปอย่างแน่นอน

    เพื่อให้คุณผู้อ่านได้ทราบถึงเรื่องราวของ "กายทิพย์" ว่า มีจริงหรือไม่? ข้าพเจ้าก็ขอนำเอาข้อเขียน
    ของ พ.ต.อ. ชลอ อุทกภาชน์ ธบ.น.บ.ท ผกก ตำรวจสันติบาล แผนก ๔ ผู้เชี่ยวชาญการค้นคว้าทาง
    วิญญาณ และทางโยคะศาตร์ซึ่งเขียนไว้ในหนังสือ "แว่นส่องจักรวาล" มาลงไว้ ณ ที่นี้ด้วย

    ก่อนอื่นที่จะกล่าวถึงกายทิพย์ของมนุษย์นั้น เราได้ศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ทางฟิสิกส์ทางด้านกายภาพ
    และชีวภาพกันมาแล้ว แต่ตามหลักวิชาวิทยาศาสตร์ทางฟิสิคดังกล่าวหาได้กล่าวถึงเรื่องกายทิพย์ของ
    มนุษย์ ซึ่งมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์แต่อย่างไรไม่ และนักวิทยาศาสตร์ทางจิตทั่วโลก
    ก็หาได้กล่าวถึงเรื่องราวของกายทิพย์ของมนุษย์-แต่อย่างไรไม่ ในเรื่องกายทิพย์ของมนุษย์นั้น คงมี
    กล่าวไว้ในโยคะศาสตร์เท่านั้น และเป็นวิชาสำคัญสาขาหนึ่งในโยคะศาสตร์ ซึ่งผู้ที่ศึกษา โยคศาสตร์ชั้นสูง
    จะต้องศึกษาวิชาว่าด้วย กายทิพย์อย่างละเอียดถี่ถ้วนส่วนในพุทธศาสนานั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรง
    ตรัสเรื่องกายทิพย์ของมุนษย์ ไว้เป็นหลักฐานวในสามัญญผลสูตร ซึ่งพระองค์ทรงตรัสว่า

    "ผู้ที่สามารถถอดกายทิพย์ออกจากายหยาบของตนได้นั้น เสมือนหนึ่งการถอดไส้ของหญ้าปล้อง"

    ส่วนธรรมชาติของสภาวะของกายทิพย์นั้น ข้าพเจ้าได้ค้นคว้าจากหลักฐานในพระไตรปิฏกตอนใด
    ของพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงเรื่องราวของกายทิพย์ ของมุนษย์อย่างละเอียด อย่างที่ได้กล่าวไว้ในโยคะ
    ศาสตร์ ส่วนหลักโยคะศาสตร์นั้นได้เรียก"วิชากายทิพย์ของมนุษย์ว่า ฮูเลียราบัด" และแบ่งออกดังนี้ คือ

    ๑. กายทิพย์ของมนุษย์คืออะไร?
    ๒. กายทิพย์เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับปฏิสนธิวิญญาณอย่างไร?
    ๓. กายทิพย์มีหน้าที่เกี่ยวสัมพันธ์กับปฏิสนธิวิญญาณอย่างไร?
    ๔. กายทิพย์มีหน้าที่เกี่ยวข้อง สัมพันธ์กับกฏแห่งกรรมอย่างไร?
    ๕. ทรรศนะของพุทธศาสนา ยอมรับเรื่องกายทิพย์ของมนุษย์ว่าเป็นความจริง
    ดังกล่าวไว้ในหลักของโยคะศาสตร์ หรือไม่เพียงใด

    ก่อนที่ข้าพเจ้าจะอธิบายวิชากายทิพย์ ตามหลักโยคะศาสตร์ โดยละเอียดนั้นข้าพเจ้าอยากจะกล่าวถึง
    ปรากฏการณ์ต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นแก่ชีวิตของท่านเองหรือญาติมิตรของท่าน แต่ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่มีผู้ใด
    ตอบได้ตามเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ หากท่านได้ศึกษาโยคะศาสตร์มาบ้างแล้ว ท่านอาจตอบปัญหา
    ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ได้ทันที ทั้งนี้เพราะวิชากายทิพย์ของมุนษย์นั้น ตามหลักโยคะศาสตร์ถือว่าเป็นวิทยาการ
    ว่าด้วยสภาวะธรรมชาติส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ จึงจำต้องศึกษาค้นคว้าให้รู้ถึงธรรมชาติอย่างแท้จริงของมัน
    แต่วิชากายทิพย์นี้เป็นเรื่องยาก สำหรับประชาชนทั่วไปจะศึกษาค้นคว้าเข้าไปถึง ผู้ที่สามารถศึกษาเรื่องราว
    เหล่านี้ ก็จะต้องฝึกจิตทางสมาธิให้บรรลุฌาณสมาบัติขึ้นสูง หรือบรรลุชั้นญาณโยคีเสียก่อน จึงจะสามารถ
    ศึกษาค้นคว้าวิชาอันเร้นลับเหล่านี้ได้ หากผู้ที่ไม่เคยฝึกจิตทางสมาธิเลย หรือฝึกจิตทางสมาธิเพียงขั้นต้น
    บุคคลเหล่านี้ก็ยังสามารถจะศึกษาสภาวะธรรมชาติของกายทิพย์ได้

    อนึ่งพวกเราชาวพุทธมักจะได้ยินข่าวเรื่องราวพระภิกษุบางรูป ซึ่งเป็นคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงรู้วัน
    มรณะกรรมของตัวเอง ล่วงหน้าอย่างถูกต้อง และได้แจ้งวันเวลาเหล่านี้ให้ศิษย์หรือผู้ใกล้ชิดทราบล่วงหน้า
    ตั้งแต่ ๓-๗ วัน ครั้นเมื่อถึงกำหนดเวลาดังกล่าว ท่านก็มรณะภาพจริงๆ พระคณาจารย์เหล่านี้ตามประวัติ
    ของท่านแทบทุกองค์ล้วนแต่ได้ฝึกจิตทางสมาธิมาเป็นเวลาช้านาน และสามารถแสดงปรากฏการณ์ทางจิต
    ได้หลายอย่างหลายประการจนกระทั่ง ได้รับการยกย่องจากประชาชนว่า ท่านเหล่านี้เป็นบุคคลชั้น"คณาจารย์"
    ซึ่งเป็นการแน่นอนเหลือเกินว่าพระคณาจารย์เหล่านี้ย่อมสามารถรู้สภาวะธรรมชาติของกายทิพย์ของท่านเอง
    ท่านย่อมสามารถหยั่งรู้วันมรณะกรรมล่วงหน้าของท่านได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้เพราะกายทิพย์ของคณาจารย์ผู้นั้น
    จะเป็นผู้แจ้งเหตุล่วงหน้าวันมรณะภาพให้คณาจารย์ผู้นั้นทราบ

    หากผู้ที่มิได้ฝึกทางสมาธิ และยังมิได้บรรลุฌาณสมาบัติขั้นสูงแล้วกายทิพย์ของผู้นั้น จะบอกเหตุ
    เกี่ยวกับการมรณะกรรมของบุคคลผู้นั้นให้ทราบเหมือนกัน แต่การบอกเหตุล่วงหน้าของกายทิพย์นั้น
    จะแสดงออกเป็นรูปปรากฏการณ์ต่างๆ เช่นดลใจให้บุคคลผู้นั้นกล่าวอำลาตายแก่ญาติมิตรหรือผู้ใกล้ชิด
    หรือกล่าวเป็นทำนองว่า จะต้องจากไปโดยไม่มีวันกลับมาอีก หรือดลใจให้ผู้นั้นรับประทานอาหารมากมาย
    ผิดปกติ ซึ่งคนไทยเราเรียกว่า กินสั่ง หรือแสดงปรากฏการณ์ทางใบหน้าของบุคคลผู้นั้น โดยทำให้สีหน้า
    ของบุคคลผู้นั้นดำหมองคล้ำผิดปกติ และต่อมาอีก ๒-๓ วัน บุคคลผู้นั้นถึงมรณะกรรมโดยปัจจุบันทันด่วน
    โดยไม่มีผู้ใดนึกฝันมาก่อนเลย ปรากฏการณ์ของกายทิพย์ซึ่งแสดงออกในลักษณะต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้ว
    เป็นการแสดงออกของกายทิพย์ของบุคคลผู้นั้นแจ้งเหตุล่วงหน้า ให้แก่บุคคลผู้นั้นทราบในทางร้าย
    ชาวไทยเราเรียกว่า "ลางร้าย" หากผู้นั้นจะได้รับโชคลาภหรือตำแหน่งหน้าที่ กายทิพย์ก็จะบอกเหตุ
    ให้ทราบล่วงหน้าเช่นเดียวกัน เช่นแสดงอออกทางใบหน้า หน้าตาผู้นั้นจะแจ่มใส่เบิกบานหรือแสดงออก
    ทางร่างกาย ผู้นั้นจะรู้สึกขนลุกซู่ซ่าบางขณะชั่วขณะหนึ่ง หรือแสดงออกทางฝ่ามือ เช่นจะได้รับโชคลาภ
    ผู้นั้นมักจะรู้สึกคัน ที่ฝ่ามือเป็นระยะๆ หรือจะปรากฏผุดแดงขึ้นในฝ่ามือเหล่านี้เป็นต้น ชาวไทยเราเรียก
    "ลางดี"

    ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า ธรรมชาติของกายทิพย์ของมนุษย์นั้น มีสภาวะธรรมชาติเกี่ยวข้องกับชีวิต
    ของบุคคลแต่ละบุคคล ตั้งแต่เข้าปฏิสนธิถึงวันมรณะ และจะแสดงให้ทราบถึง อดีตวิบากกรรม ทั้ง กรรมดี
    และกรรมชั่วโดยแสดงปรากฏการณ์ในลักษณะต่างๆ ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว ซึ่งท่านผู้อ่านทั้งหลาย
    คงได้ประสบเหตุเหล่านี้มาบ้างไม่มากก็น้อย เว้นแต่เราไม่สนใจในเรื่องราวเหล่านี้ จึงมองข้ามไปเสีย หากผู้ใดได้ศึกษาสภาวะธรรมชาติของกายทิพย์ของมุนษย์แล้ว เมื่อประสพการณ์ใดๆ ย่อมจะทราบได้
    ทันทีว่า จะมีอะไรเกิดขึ้น แก่ตนเองหรือผู้อื่น เรื่องราวลึกลับของกายทิพย์ดังกล่าวมาแล้ว จึงได้เกิดวิชา
    พยากรณ์ชีวิตทางลายมือขึ้น และวิชาพยากรณ์ทางลายมือนี้ได้แผ่ขยายไปทั่วโลกในปัจจุบัน การปรากฏ
    การณ์ในเส้นลายมือของบุคคลทุกคนในลักษณะแตกต่างกันนั้น กายทิพย์ของบุคคลผู้นั้นจะแสดงให้เห็น
    ผลของอดีตกรรม, ปัจจุบันกรรม ประกอบกับทุกๆวัน ฉะนั้นหากผู้ใดสามารถศึกษาค้นคว้าสัญญาลักษณ์ต่างๆ
    ที่ปรากฏในฝ่ามือของบุคคลย่อมจะสามารถพยากรณ์ชาตาชีวิต ของบุคคลแต่ละบุคคลได้ใกล้เคียงความจริง
    ดังตัวอย่างซึ่งข้าพเจ้าจะยกมากล่าวประกอบ เรื่องราวลึกลับของกายทิพย์ นักพยากรณ์ลายมือที่มีชื่อเสียง
    ที่สุดในโลก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองความสามารถและยอมรับว่า วิชาพยากรณ์ลายมือนั้นเป็น
    ศาสตร์ที่ลึกลับศาสตร์หนึ่งหาก ศึกษาค้นคว้าให้ทราบถึงหลัก อันแท้จริงแล้ว สามารถจะล่วงรู้เหตุการณ์
    เกี่ยวด้วยชีวิตในอดีตและอนาคตของบุคคลๆ ได้ถูกต้องใกล้เคียงความจริง นักพยากรณ์ลายลักษณ์
    ในฝ่ามือผู้นี้คือ มร. ไคโร

    มร. ไคโร ผู้นี้นักวิทยาศาสตร์ได้พิมพ์มือบุคคลสำคัญ ๆในสหรัฐอเมริกาประมาณ ๓๐ ราย บางราย
    เป็นนายแพทย์ที่มีชื่อเสียงแต่ภายหลังได้ทำการฆาตกรรมภรรยา และต้องลงโทษตามคำพิพากษาของศาล
    ให้ประหารชีวิตไปแล้ว บางรายก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงบางรายก็เป็นนักการเมืองคนสำคัญของสหรัฐฯ
    บางรายก็เป็นนักธุระกิจขั้นมหาเศรษฐีของสหรัฐฯ นักวิทยาศาสตร์ได้ส่งรายมือเหล่านี้ไปให้ มร.ไคโร พยากรณ์
    โดยไม่บอกชื่อและประวัติของเจ้าของลายมือเลยแม้แต่รายเดียว ครั้นเมื่อได้รับคำพยากรณ์ลายมือเหล่านี้จาก
    มร.ไคโร แล้ว ได้นำมาสอบประวัติของเจ้าของรายมือเพื่อเปรียบเทียบกับ คำพยากรณ์ของ มร.ไคโร ปรากฏ
    การณ์พยากรณ์ของ มร.ไคโร ถูกต้องใกล้เคียงความจริงกับชีวะประวัติของบุคคลเจ้าของลายมือ ประมาณ
    ร้อยละเก้าสิบห้า โดยที่ มร.ไคโร ไม่เคยรู้จักว่าบุคคลที่ตนพยากรณ์ไปนั้นเป็นผู้ใด แม้แต่นักโทษที่ถูก
    ประหารชีวิตในบั้นปลายชีวิต มร.ไคโร ก็พยากรณ์ได้ถูกต้อง และนักโทษอุกฉกรรจ์ที่ต้องโทษจำคุกตลอด
    ชีวิตและตัวยังมีชีวิตอยู่ มร.ไคโร ก็พยากรณ์ได้ถูกต้องแม่นยำ การที่ มร.ไคโรสามารถพยากรณ์เหตุการณ์
    ต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตของแต่ละบุคคลที่ถูกต้อง จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์ยอมรับวิชาพยากรณ์ลายมือ
    เป็นศาสตร์ๆ หนึ่งนั้น ก็เพราะ มร.ไคโรสามารถอ่านลายลักษณ์ต่างๆ ในฝ่ามือของบุคคลแต่ละคน
    ซึ่งกายทิพย์ของบุคคลนั้น แสดงปรากฏการณ์ไว้อย่างละเอียดถูกต้อง

    ๑. กายทิพย์คืออะไร? (ASTRAL BODY OR SUBTLE BODY)

    ธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ (PHYSICAL BODY) นั้นต่างหลักวิทยาศาสตร์ ทางฟิสิคส์ทางกายภาพ
    และชีวะภาพนั้น ได้ศึกษาค้นคว้าเพียงร่างกายหยาบ (PHYSICAL BODY) ของมนุษย์เท่านั้นส่วนกายทิพย์
    (ASTRAL BODY OR SUBTLE BODY) ของมนุษย์ซึ่งซ้อนอยู่ในกายหยาบอีกชั้นหนึ่งทางวิทยาศาสตร์
    ยังศึกษาค้นคว้าเข้าไปไม่ถึง กายทิพย์ของมนุษย์ก็คือ กายอีกกายหนึ่งได้ซ้อนอยู่ภายในกายหยาบ
    ของมนุษย์นั่นเองและกายทิพย์นี้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เกี่ยวด้วยสภาวะชีวิตของบุคคลแต่ละคน
    ปรากฏการณ์เกี่ยวกับกายทิพย์ของมนุษย์นี้ ทางวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถให้คำตอบได้โดยตรง เพียงแต่
    ให้ข้อสมมุติฐานว่าเกิดจากอำนาจจิตบ้าง เกิดจากอำนาจของประสาทที่หกบ้าง แม้นักวิทยาศาสตร์ทางจิต
    เช่นศาสตราจารย์ เจ. บี ไรน์ แห่งมากวิทยาลัยดุคย์และคณะ ซึ่งได้ค้าคว้าไปถึงขึ้นปรจิตวิทยา
    (PARAPSYCHOLOGY) ก็ตาม แต่ก็ได้ให้คำตอบเกี่ยวกับปรากฏการณ์ของกายทิพย์ ให้บางกรณีว่าเกิด
    จาก อำนาจญาณพิเศษ (EXTRA SFNSORYPERCEPTION)นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ได้ประพันธ์วิทยานิพนธ์
    เกี่ยวด้วยเรื่องปรจิตวิทยา (PARA PSYCHOLGY) ไว้หลายเล่นด้วยกัน ซึ่งวิทยานิพนธ์เหล่านี้ สถาบันทาง
    วิทยาศาสตร์ทางจิตทั่วโลกยอมรับรอบแล้วก็ตาม แต่ข้อความในวิทยานิพนธ์เหล่านี้เท่าที่ข้าพเจ้าได้ศึกษา
    ค้นคว้ามาแล้ว ไม่ปรากฏว่าได้กล่าวถึงกายทิพย์ของมนุษย์ไว้ตอนใดเลย

    แต่ตามหลักโยคะศาสตร์นั้น ถือว่าวิชากายทิพย์ หรือฮูเลียราบัด นี้เป็นวิทยาการสำคัญที่สุดสาขาหนึ่ง
    เกี่ยวด้วยสภาวะธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ และผู้ที่ศึกษาวิชาโยคะศาสตร์ชั้นสูง ตั้งแต่ญาณโยคีขึ้นไป
    จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องศึกษาค้นคว้า วิชากายทิพย์ของมนุษย์โดยละเอียด ลักษณะของกายทิพย์ของมนุษย์
    (ASTRAL BODY)นั้นมีลักษณะเป็นกายละเอียด เป็นรูปการรวมตัวของอีเทอร์ (ETHEREAL FORM)
    หรือการรวมของอนู เป็นรูปวัตถุโปร่งแสงไม่อาจจับต้องได้ และไม่อาจแลเห็นด้วยตาเปล่า เว้นแต่บุคคล
    บางคนฝึกจิตทางสมาธิจนกระทั่ง จิตของบุคคลผู้นั้นบรรลุถึงวิสุทธิจิตขั้นโลกียฌาณขั้นสูง (CPSMIC SUPER
    CONSCIOUSNESS) หรือบรรลุขั้นญาณโยคี จึงจะสามารถมองเห็นกายทิพย์ของตนเองและของผู้อื่นได้และ
    บางคนหากฝึกจิตให้มีพลังงานเข็มแข็ง อาจจะส่งกายทิพย์ของตนไปให้ผู้อื่นเห็นได้ทั้งเวลาหลับและตื่น ใน
    ระยะไกลเท่าใดก็ได้โดยไม่จำกัดระยะทาง ดังตัวอย่างศาสตราจารย์พอลบรันตั้น (PAUL BRUNTON) ได้
    เดินทางไปค้นคว้าความลึกลับในประเทศอินเดีย ได้ประสพการณ์โยคีองค์หนึ่งชื่อมหาฤาษีได้ถอดกายทิพย์ จากอาศรม เชิงเขาหิมาลัย มาพบกับศาสตร์จารย์พอลบรันตั้นเวลาตื่นๆ ณ ที่พักในโรงแรมแห่งหนึ่งในเวลา
    กลางคืนและกายทิพย์ของโยคีผู้นั้น ได้สนทนาปัญหาเรื่องปรัชญา กับศาสตร์จารย์พอลบรันตั้น ต่อจากตอน
    ที่ได้สนทนากันเมื่อตอนกลางวัน ท่านอาจารย์ผู้นี้ ได้กล่าวถึงเรื่องราวลึกลับเหล่านี้ไว้เป็นหลักฐาน ในหนังสือ
    เรื่อง A Search In Secret India

    ร่างกายของมนุษย์เรา (PHYSIBAL BODY) ตามหลักโยคะศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า ธรรมชาติได้แบ่ง
    ร่างกายมนุษย์ไว้ ๓ ขั้นคือ

    ก. กายหยาบ หรือร่างกายของเราซึ่งสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า และสามารถจับต้องได้(PHYSICAL BODY)

    ข. กายทิพย์ (ASTRAL BODY OR SUBTLE BODY) คือกายละเอียดแบบรูปอนูรวมตัวหรือรูป แบบอีเทอร์
    (ETHEREAL FORM) กายทิพย์ของมนุษย์นั้นได้ตั้งซ้อนอยู่ภายในกายหยาบอีกชั้นหนึ่ง และธรรมชาติ
    ของกายทิพย์นี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับกายหยาบและชีวิตของมนุษย์ทุกคน และกายทิพย์ของมนุษย์
    จะแสดงปรากฏการณ์ของวิบากกรรม ทั้งในปัจจุบันและอนาคตให้บุคคลผู้นั้นทราบล่วงหน้า ก่อนที่บุคคล
    ผู้นั้นจะได้รับผลแห่งกรรมนั้นทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว และพลังงานของวิบากกรรมของผู้นั้นจะเป็นแรงส่ง
    ให้กายทิพย์พาวิญญาณผู้นั้นไปเกิดในภพใหม่ เมื่อหลังจากมรณะกรรมไปแล้ว นอกจากนั้นพลังงาน
    ของอดีตกรรมจะให้ผลในทางปรุงแต่งกายทิพย์ ของบุคคลที่สร้างกรรมดีให้มาเกิด ในรูปร่างสวยสดงดงาม
    และสง่าผ่าเผย ส่วนผู้ที่สร้างกรรมชั่วผลแห่งกรรมย่อมปรุ่งแต่งกายทิพย์ ที่จะมาเกิดในภพใหม่ให้มีรูปชั่ว
    ขาดบุคคลิกภาพ เมื่อพลังงานของอดีตกรรมปรุงแต่งกายทิพย์ ที่จะมาเกิดในภพใหม่ให้มีรูปชั่วขาดบุคลิกภาพ
    เมื่อพลังงานของอดีตกรรมปรุงแต่งกายทิพย์ในลักษณะใดแล้ว กายหยาบของผู้นั้นย่อมมีสภาพเช่นเดียว
    กับกายทิพย์ทุกประการ นอกจากนั้นกายทิพย์ของบุคคลนั้น ยังมีหน้าที่เป็นพาหะ และเปลือกของปฏิสนธิ
    วิญญาณในการที่จะนำจุติและปฏิสนธิอีกด้วย

    ค. ดวงวิญญาณ หรือปฏิสนธิวิญญาณของมนุษย์ หรือคันธัพโพ (SPIRIT, SOUL, EGO, PSYCHICAL
    ELFMENT) ซึ่งตั้งซ้อมภายในกายทิพย์และสิงสถิตย์อยู่ที่ต่อม "นอสูรนลาห์" ต่อมนี้แพทย์แผนปัจจุบัน
    เรียกว่า "ต่อมเมดัลลา" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมันสมองเหนือท้ายทอย

    ง. กายทิพย์ของมนุษย์นั้น จะขยายตัวให้เล็กหรือใหญ่ได้โดยอัตโนมัติขณะที่เป็นพาหะนำปฏิสนธิวิญญาณ
    เข้าปฏิสนธิในครรภ์มารดานั้น กายทิพย์และวิญญาณของบุคคลนั้นจะเข้ารวมตัวกับเซลของตัวอ่อนของทารก
    และกายทิพย์ของบุคคลผู้นั้นจะช่วยปกปักรักษาเซลของตัวอ่อนของทารกให้เจริญเติบโต จนกระทั่งครบ
    กำหนดคลอด และเซลของทารกนี้จะวิวัฒนาการกลายมาเป็นต่อมนอสูรนลาห์ หรือเมดัลลาในภายหลัง
    และเมื่อทารกได้คลอดออกจากครรภ์มารดาในระยะ ๑ ถึง ๔๕ วัน กายทิพย์ของทารกผู้นั้นก็จะคอยคุ้มครอง
    ทารกผู้นั้นอยู่ตลอดเวลา การปรากฏการณ์ของกายทิพย์ของทารกในระยะคลอดใหม่ๆ ชาวไทยเราสมมุติ
    ชื่อให้ว่า "แม่ซื้อ" การปรากฏการณ์ของกายทิพย์ต่อทารกในระยะนี้จะสังเกตุเห็นกริยาของทารก บางครั้ง
    มีกิริยายิ้มแย้ม แสดงความพึงพอใจ ประหนึ่งว่ามีผู้มาหยอกล้อ

    ๒. กายทิพย์ของมนุษย์นั้นมีหน้าที่เกี่ยวข้องความสัมพันธ์กับกายหยาบของบุคคลนั้น
    ตลอดเวลาที่ผู้นั้นมีชีวิตอยู่และมีหน้าที่แจ้งเหตุการณ์ต่างๆ ให้ผู้นั้นทราบล่วงหน้า หากวิบากกรรมดีหรือกรรม
    ชั่วจะให้ผลแก่บุคคลผู้นั้น โดยวิบากกรรมของบุคคลผู้นั้นจะสร้างภาพต่างๆ ให้กายทิพย์ทราบโดยทางนิมิต
    บางครั้งก็แสดงปรากฏออกทางใบหน้าท่าทางต่างๆ ผิดปกติหรือบางครั้งก็แสดงปรากฏการณ์ต่างๆ ทางฝ่ามือ
    หรือ ณ ที่แห่งอื่นๆ ของกายหยาบ

    ๓. กายทิพย์ของมนุษย์มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับปฏิสนธิวิญญาณของบุคคลผู้นั้น คือเป็นเปลือก
    (SHEEL) และพาหะ (SPRITUAL CONVEYANCE) ของปฏิสนธิวิญญาณของบุคคลผู้นั้น และมีหน้าที่นำ
    ปฏิสนธิวิญญาณ ของบุคคลผู้นั้นจุติและปฏิสนธิอยู่ตลอดไป หากบุคคลผู้นั้นยังไม่บรรลุถึงนิพพาน ระหว่างที่
    กายทิพย์พาวิญญาณออกจาร่างกหยาบในขณะที่บุคคลผู้นั้นจะตื่นหรือหลับก็ตาม จะมีสายใยชีวิตเชื่อมโยง
    ระหว่างกายทิพย์กับกายหยาบ(VITAL EOREC CORD) หากสายใยชีวิตซึ่งเชื่อมโยงระหว่างกายทิพย์
    กับกายหยาบ ขาดออกจากกันเมื่อใด แล้วบุคคลผู้นั้นจะถึงแก่กรรมทันที

    ๔. กายทิพย์มีหน้าที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับกฏแห่งกรรมดังต่อไปนี้คือ

    ก. กายทิพย์ของมนุษย์นั้น ตามหลักของโยคะศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่าอยู่ปัจจุบันกรรมอยู่ตลอดเวลา
    เนื่องจากกระแสร์คลื่นของกรรมแต่ละบุคคลได้เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ การเปลี่ยนแปลงของกะแสร์คลื่น
    ของกรรมนี้เองกายทิพย์ย่อมจะรู้ล่วงหน้าว่า กระแสร์คลื่นแห่งกรรมเหล่านี้จะให้ผลแก่ผู้ก่อกรรมเมื่อใด
    เมื่อกายทิพย์ทราบเหตุล่วงหน้าของกระแสร์ของวิบากกรรมจึงแจ้งเหตุเหล่านี้มายังกายหยาบ ของบุคคล
    ผู้นั้นทันที หากบุคคลผู้นั้นฝึกจิตบรรลุฌาณสมบัติขึ้นสูง กายทิพย์จะบอกเหตุการณ์เหล่านั้นโดยปรากฏ
    การณ์ต่างๆ ทางจิตให้ผู้นั้นทราบ ตัวอย่างเช่น คณาจารย์บางท่านทราบวันมรณะภาพของตนได้อย่างถูกต้อง
    หากบุคคลผู้ฝึกจิต ยังไม่บรรลุฌาณสมบัติขึ้นสูง หรือบุคคลทั่วไป กายทิพย์ของบุคคลผู้นั้นจะบอกเหตุ
    ล่วงหน้าโดยทางฝัน หรือปรากฏการณ์อื่นๆ ดังได้กล่าวมาแล้วเมื่อใกล้จะมรณะพลังงานของวิบากกรรม
    ของบุคคลผู้นั้น จะสร้างภาพกรรมนิมิตให้ ปฏิสนธิ วิญญาณยึดเหนี่ยวก่อนกายทิพย์จะพาปฏิสนธิวิญญาณ
    ของบุคคลผู้นั้น ไปเกิดในภพใหม่และอิทธิพล ของคลื่นกระแสร์กรรมนี้ จะเปลี่ยนแปลงรูปร่างของกายทิพย์
    ในทางดีหรือทางเลวในขณะปฏิสนธิในภพใหม่ด้วย การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของกายทิพย์ของผู้นั้นจะมีผล
    ทางกายหยาบของผู้ที่มาเกิดในภพใหม่ เช่นผลของวิบากกรรมของบุคคลผู้นั้นส่งผลในทางชั่ว กายทิพย์
    ของผู้นั้นก็จะวิกลวิกาล กายหยาบของบุคคลผู้นั้นเกิดมาย่อมมีรูปร่างลักษณะวิกลวิกาลด้วย หากผลของ
    วิบากกรมให้ผลในทางดี กายทิพย์ของบุคคลผู้นั้นจะมาเกิดในภพใหม่ย่อมมีรูปร่างงดงามสง่า มีบุคคลิก
    ลักษณะดี กายหยาบของบุคคลผู้นั้นย่อมรูปร่างงดงามสง่าและมีบุคลิกดีด้วย บางขณะกายทิพย์ของบุคคล
    บางคนได้ออกจากร่างในขณะที่ผู้นั้นยังตื่นอยู่และไปเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นจริง ครั้นกายทิพย์ของบุคคลผู้นั้น
    กลับเข้ากายหยาบบุคคลผู้นั้นได้สติบางรายถึงกับร้องเอะอะโวยวาย ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เหมือน
    หนึ่งกายหยาบของตนได้ไปประสพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ตัวอย่างเช่นนางเอม่า สจ๊อต มีภูมิลำเนาอยู่
    ณ เมือนแอนโตนิโอ มลรัฐเท็กซัสสหรัฐอเมริกา ในต้นปี ค.ศ. ๑๙๓๘ นาย ซี.พี. สจ๊อต สามีของนาง
    มีอาชีพเป็นต้นหนของเรือเดินสมุทรลำหนึ่งเดินทางระหว่างสหรัฐอเมริกากับอเมริกาใต้ ครั้นวันที่ ๓๐ ตุลาคม
    ค.ศ. ๑๙๓๘ นางสจ๊อตกำลังนั่งเย็บผ้าในห้องนั่งเล่นเวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น. นางสจ๊อตได้เห็นภาพสามีตน
    ถูกกลาสีในเรือเดินสมุทรลำนั้นใช้อาวุธปืนสั้นยิงศีรษะถึงแก่กรรมในห้องเก็บพัสดุ นางจึงลุกขึ้นร้องโวยวาย
    ขอร้องให้ชาวย้านใกล้เคียงช่วยเหลือ ขณะที่นางเห็นภาพเหตุการณ์ ซึ่งสามีของนางประสพเคราะห์กรรมนั้น
    เรือเดินสมุทรลำนั้นกำลังเดินทาง ห่างจากฝั่งของสหรัฐอเมริกาประมาณ ๒๐๐ ไมล์เศษครั้นต่อมาหลังจากที่
    นางได้เห็นเหตุการณ์ของสามีประมาณ ๔ ชั่วโมง นางจึงได้รับโทรเลขแจ้งข่าวร้ายจากเรือเดินสมุทรลำนั้นว่า
    สามีของนางได้ถูกกลาสีเรือใช้ปืนยิงถึงแก่ความตาย ในวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๑๙๓๘ เวลา ๑๑.๐๐ น. จริง
    ข่าวของนางสจ๊วตได้เห็นภาพสามีประสพเคราะห์กรรมในเรือเดินสมุทร ซึ่งเดินทางห่างจากฝั่งถึง ๒๐๐๐
    ไมล์นั้นนักวิทยาศาสตร์ทางจิตแห่งสหรัฐอเมริกาได้บันทึกไว้เป็นหลักฐานในเอกสารของสมาคมค้นคว้า
    ทางจิต และวิจัยมีความเห็นว่านางสจ๊วตเห็นเหตุการณ์ครั้งนี้เพราะประสาทที่หกของนาง ส่วนนักจิตวิทยา
    ในกลุ่มของศาสตราจารย์ เจ.บี. ไรน์ มีความเห็นว่าการเห็นภาพเหตุการณ์ของสามีของนางได้ถูกต้องตรง
    กับความจริงนั้น เพราะญาณพิเศษ (EXTRASENSORY PERCEPTION) ของนาง แต่ตามหลักโยคะศาสตร์
    ให้คำตอบได้ว่า "ขณะที่สามีของนางถูกยิงก่อนวิญญาณจะออกจากร่างได้โทรจิตติดต่อมาให้นางทราบ
    ขณะที่มีโทรจิตติดต่อมานั้นกระแสร์จิต ของสามีของนางมีความแรงกว่าปกติเป็นเพราะกระแสจิตครั้งสุดท้าย
    ก่อนที่วิญญาณจะออกจากร่าง เมื่อนางสจ๊วตได้รับสัมผัสทางกระแสร์จิตจากสามีแล้วกายทิพย์ของนาง
    จึงแยกออกจากกายหยาบ โดยนางไม่รู้สึกตัวและกายทิพย์ของนางติดตามกระแสร์จิตของสามีไปยังที่
    เกิดเหตุ ในทันทีทันใด นางจึงเห็นภาพสามีถูกฆาตรกรรมเหมือนกับกายหยาบไปเห็นเหตุการณ์มาด้วย
    ตนเอง ครั้งกายทิพย์กลับเข้ากายหยาบตามเดิมแล้ว นางจึงรู้สึกตัวร้องเอะอะโวยวายของความช่วยเหลือ
    จากเพื่อนบ้างใกล้เคียง

    ประเพณีโบราณของชาวอินเดียวบางกลุ่มใช้วิธีต้อนรับกายทิพย์ด้วยบายศรีษะและผูกข้อมือด้วยสาย
    สิญจน์ ประเพณีเหล่านี้ได้ตกทอดมายังประเทศไทย ซึ่งบางจังหวัดในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ
    ได้ต้อนรับบุคคลสำคัญ หรือผู้มีอายุบางคนด้วยพิธีสู่บางศรีและผูกสายสิญจน์ข้อมือ การที่ต้อนรับบุคคล
    บางคนด้วยบายศรีและสายสิญจน์นั้น ตามหลักโยคะศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า บายศรีเป็นเครื่องสูง และเป็น
    เครื่องสัการะบูชาเทพย์เท่านั้น หากบุคคลผู้ใดได้รับการสักการะบูชาด้วยบายศรีแล้ว กายทิพย์ของบุคคลผู้นั้น
    จะบังเกิดความอิ่มเอิบปิติยินดีเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันผู้นั้นจะเกิดพลังงานลึกลับทางจิตโดยผู้นั้น
    ไม่รู้สึกตัว เช่นเกิดความรู้สึกว่าร่างกายพองใหญ่ขึ้นกว่าเดิม บางขณะประเพณีของอินเดียโบราณได้กล่าว
    มาแล้ว มักจะกระทำการต้อนรับแก่บุคคลสำคัญๆ เท่านั้น เช่นกษัตริย์ผู้ครองนคร หรือกุฏราชกุมารหรือมเหษี
    ของพระมหากษัตริย์เป็นต้น นอกจากนั้นมักจะทำพิธีต้อนรับนักรบที่กระทำการรบได้ชัยชนะแก่ข้าศึก แต่
    บางกรณีใช้พิธีแก้ผู้เสียขวัญโดยประสพการณ์บางอย่างและเกิดความตกใจกลัวถึงขนาด ก็อาจใช้พิธีต้อนรับ
    กายิพทย์ด้วยบายศรีบ้างเหมือนกัน ส่วนสายสิญจน์ที่ใข้ผูกข้อมือนั้นก็เพื่อใช้เป็นสื่อติดต่อ กับายศรีเท่านั้น
    ทั้งนี้ก็เพื่อให้กายทิพย์ของบุคคลนั้นได้รับรู้ว่าตนถูกต้อนรับบูชาด้วยบายศรี

    ผู้ที่ฝึกจิตทางสมาธิจนกระทั่งบรรลุฌาณสมาบัติชั้นสูงแล้ว อาจจะถอดกายทิพย์ของตนเอง ออกจาก
    กายหยาบและสามารถท่องเที่ยวไปในระยะทางไกลๆ โดยไม่จำกัดระยะทางและสามารถพากายทิพย์ของ
    ผู้อื่นออกจากกายหยาบออกไปท่องเที่ยวไปในอวกาศได้ ดังตัวอย่างศาสตราจารย์พอลบรันตั้นได้ประสพ
    เหตุการณ์เหล่านี้ด้วยตัวเองมาแล้ว กล่าวคือโยคีมหาฤษีได้ถอดกายทิพย์ของศาสตราจารย์พอลบรันตั้น
    ขึ้นไปท่องเที่ยวในอวกาศ ชั่วขณะหนึ่ง ท่านศาสตราจารย์ผู้นี้ได้กล่าวไว้เป็นหลักฐานในหนังสือชื่อ
    A SEARCH IN SECRET INDIA

    ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วเบื้องต้นว่า ตามหลักโยคะศาสตร์กล่าวว่า ระหว่างที่มนุษย์มีชีวิตอยู่ในขณะที่
    กายทิพย์พาวิญญาณออกจากร่าง ทั้งเวลาหลับเวลาตื่นก็ดี จะมีสายใยชีวิต (VITAL FORCE CORD)
    เชื่องโยงระหว่างกายทิพย์และกายหยาบเหมือนเส้นใยแมลงมุม และเส้นใยชีวิตนี้จะยืดออกไปไกลได้
    โดยไม่จำกัดระยะความยาว และเส้นใยชีวิตนี้จะบังคับปราณต่างๆ ในร่างกายให้ทำงานโดยปกติ เช่น
    หัวใจก็จะสูบฉีดโลหิตไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้ทำงานโดยปกติ ปอดก็จะทำหน้าหายใจตามปกติ เว้นแต่
    ผู้ฝึกจิตบรรลุสมาบัติขั้นสูงแล้ว หากจะบังคับกายทิพย์ของตน ออกจากร่างกายหยาบในเวลาตื่นๆ หัวใจก็ดี
    ปอดก็ดี วงจรของโลหิตของบุคคลผู้นั้นจะทำงานน้อยกว่าปกติ หากผู้ใดฝึกจิตทางสมาธิบรรลุถึงขึ้นจตุถฌาณ
    แล้ว เวลาถอดกายทิพย์ออกจากกายหยาบ ปอดของบุคคลผู้นั้น ทำงานน้อยที่สุด เกือบจะหยุดเอาเลย
    หัวใจก็เกือบจะหยุดเต้น วงจรของโลหิตก็จะหมุนเวียนช้าลง พวกโยคีที่บรรลุถึงขั้นจตุถฌาณสามารถบังคับ
    ปอดและหัวใจของตนให้หยุดทำงานได้นั้น ข้าพเจ้าเคยฟังจากปากคำมหาเศรษฐีทอดสลิค เมื่อคราวที่มหา
    เศรษฐีผู้นี้เดินทางเข้าพบกับข้าพเจ้า และนายแพทย์เชียรฟังว่า ท่านได้ทดลองให้โยคีบางองค์ในอินเดีย
    บังคับปอดให้หยุดทำงานโดยใช้เครื่องอีกเล็คตรอนิค และนายแพทย์ในคณะของท่านตรวจสอบ ปรากฏว่า
    โยคีเหล่านี้สามารถบังคับปอดให้หยุดทำงานครั้งหนึ่ง เป็นเวลาถึง ๑ ชั่วโมง ขณะที่ปอดของโยคีผู้นั้น
    หยุดหายใจนั้น นอกจากจะใช้เครื่องมือทางอีเล็คตรอนิคตรวจสอบแล้วยังได้ใช้แผนกกระจกรองที่รูจมูก
    ของโยคีผู้นั้นตลอดเวลา ปรากฏว่าที่แผ่นกระจกไม่มีไอน้ำออกมาเลย แสดงว่าโยคีผู้นั้นสามารถบังคับปอด
    ของตนให้หยุดทำงานได้จริงๆ และต่อมานายทอมสลิคขอให้โยคีผู้นั้นบังคับหัวใจให้หยุดเต้นโดยใช้
    เครื่องมืออีเล็คตรอนิค วัดการเต้นของหัวใจประกอบ และให้นายแพทย์คอยจับชีพจรของโยคีผู้นั้นอยู่
    ตลอดเวลา ปรากฏว่าเข็มซึ่งแสดงการเต้นของหัวใจในเครื่องมืออีเล็คตรอนิคหยุดสนิทไม่เต้นขึ้นเต้นลง
    เป็นเส้นขีดไปเฉยๆ และการตรวจสอบชีพจรของนายแพทย์ก็ปรากฏว่าชีพจรของโยคีผู้นั้นเต้นแผ่วเบาลง
    จนกระทั่งหยุด แสดงว่าหัวใจของโยคีผู้นั้น หยุดสนิทลงเป็นเวลากว่า ๓๐ นาที และต่อจากนั้นเมื่อโยคี
    ผู้นั้นลืมตาขึ้นปอดและหัวใจก็เริ่มทำงานเป็นปกติ นายแพทย์ผู้ที่ได้ร่วมทดสอบกับนายทอมสลิคได้ตรวจ
    อาการของโยคีผู้นั้น ในเวลาต่อมาก็ไม่ปรากฏว่ามีอาการผิดอย่างไรเกี่ยวกับร่างกายของโยคีผู้นั้น

    นายทอมสลิคได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าได้ถ่ายภาพยนต์เรื่องราวเหล่านี้ไว้โดยละเอียดทุกแง่ทุกมุม
    เพราะเป็นปรากฏการณ์ทางจิตชนิดหนึ่งซึ่งได้กล่าวไว้ในตำราโยคะศาสตร์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ทางจิต
    ทางตะวันตกยังไม่มีผู้ใดค้นคว้าเข้าไปถึง และไม่สามารถจะปฏิบัติได้เช่น พวกโยคีในประเทศอินเดีย
    การที่ท่านมหาเศรษฐีผู้นี้ได้เดินทางมาพิสูจน์อิทธิปาฏิหาริย์ ของพวกโยคีในอินเดียดังกล่าวมาแล้ว
    ก็เพราะท่านสนใจในเรื่องราวลึบลับนี้ตั้งแต่ท่านมีอายุได้ ๑๔ ปี และท่านได้ค้นคว้าประมาณ ๓๐ ปี
    และพยายามนำเครื่องทางวิทยาศาสตร์มาใช้ประกอบในการค้นคว้าทดลองด้วยทุกครั้ง การที่ข้าพเจ้า
    ไว้นำเรื่องราวการทดสอบของมหาเศรษฐีทอมสลิคมากล่าว ณ ที่นี้ก็เพื่อแสดงให้ให้เห็นว่าเรื่องราวต่างๆ
    ที่กล่าวไว้ในหลักโยคะศาสตร์นั้น สามารถพิสูจน์ทดสอบได้ทางหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ หาใช่เป็น
    เครื่องที่กล่าวไว้โดยปรากศจากมูลความจริงไม่ หลักฐานต่างๆ ซึ่งได้กล่าวไว้ในปรัชญาและคำสอน
    ของโยคะศาสตร์นั้น ท่านมหาเศรษฐีทอมสลิคผู้นี้ก็มีความสนใจเป็นอย่างมาก ถึงกับเดินทางมาพิสูจน์
    ข้อเท็จจริงเหล่านี้กับพวกโยคีในประเทศอินเดีย เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นเวลาถึง ๖๐ วัน โดยใช้
    นักวิทยาศาสตร์และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องประกอบในการพิสูจน์ด้วยทุกครั้ง และได้ข้อมูล
    หลักฐานมากมายที่เชื่อถือได้ หลักปัชญาและคำสอนต่างๆ ของโยคะศาสตร์ก็ดี ของพุทธศาสนาก็ดี
    ยังเป็นเรื่องราวลึกลับซึ่งไม่สามารถจะนำหลักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญาได้ยอมยกระดับไว้ในชั้นวิชา
    "ปรัชญา" (METAPHYSIC) ซึ่งเป็นหน้าที่ของพวกเราจะต้องค้นคว้าและนำออกมาตีปแผ่ต่อประชาชนต่อไป

    ๕. ทรรศนะของพุทธศาสนายอมรับว่ากายทิพย์มนุษย์มีจริงหรือไม่นั้น

    ข้าพเจ้าได้ค้นคว้าในหลักฐานพระสูตรต่างๆ ของพุทธศาสนาโดยละเอียดแล้วได้พบข้อความตอนหนึ่ง
    ในสามัญญผลสูตรซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสเรื่องราวเกี่ยวกับกายทิพย์ของมนุษย์ความว่า

    "บุคคลผู้ถอกกายทิพย์ของตนออกจากายหยาบได้นั้น เสมือนหนึ่งการถอดไส้ของหญ้าปล้อง"

    และกายทิพย์ของมนุษย์หรือกายทิพย์ของพวกโอปปาติกะนั้น ศัพย์ทางพุทธศาสนาเรียกว่า
    "อทิสมานกาย" หรือแปลว่ากายที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เรื่องราวของกายทิพย์ของมนุษย์นั้นทรรศนะ
    ของพุทธศาสนา ก็ยอมรับว่าเป็นความจริงตามที่ได้กล่าวไว้ในวิชาโยคะ ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะพระสัมมา
    สัมพุทธเจ้า ทรงเห็นว่าเป็นเรื่องของโลกียวิชา ไม่จำต้องนำมากล่าวไว้ในหลักธรรมของพุทธศาสนา
    และอีกประหนึ่ง เป็นเรื่องลึกลับยากที่บุคคลธรรมดาจะเข้าใจได้ เว้นแต่ผู้ที่ปฏิบัติจิตทางสมาธิ จนกระทั่ง
    บรรลุฌาณสมาบัติขั้นสูงแล้วเท่านั้น จึงสามารถล่วงรู้และเข้าใจสภาวะธรรมชาติของกายทิพย์ได้ ดังเช่น
    ตัวอย่างภิกษุในพุทธศาสนาบางองค์ซึ่งสามารถรู้วันมรณะกรรม ล่วงหน้าดังกล่าวมาแล้ว

    เรื่องสายใยชีวิตซึ่งเชื่อมโยงระหว่างกายหยาบและกายทิพย์ซึ่งข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วว่ามีความสำคัญ
    อย่างยิ่งในการที่จะบังคับปราณต่างๆ ให้ทำงาน ตามปกติในขณะที่กายทิพย์พาวิญญาณแยกออก หาก
    เส้นใยชีวิตขาดสบั้นออกจากกันเมื่อใดแล้ว ผู้นั้นจะถึงแก่กรรมทันที่ ฉะนั้นข้าพเจ้าใคร่ขอเตื่อนผู้ที่ฝึกจิต
    ทางสมาธิใหม่ๆ หรือผู้ที่ฝึกจิตทางสมาธิสมถกัมมัฏฐาน หรือวิปัสนากรรมมัฏฐานบางท่านกับคณาจารย์
    ที่ไม่มีความรู้ถึงสภาวะธรรมชาติของกายทิพย์ และวิญญาณของมนุษย์เมื่อศิษย์ของตนได้สมาธิเพียงขั้นต้น
    ก็เริ่มพากายทิพย์และวิญญาณออกท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ โดยใช้กายทิพย์ของตนเป็นผู้พา ครั้นศิษย์ผู้นั้น
    อยู่ลำพังก็เกิดการอย่างรู้อยากเห็นสิ่งต่างๆ ซึ่งตนไม่เคยเห็นด้วยตาเปล่า จึงถอดกายทิพย์ของตน
    ออกท่องเที่ยวโดยลำพัง หากศิษย์ผู้นั้นฝึกจิตทางสมาธิยังไม่ได้โดยสมบูรณ์ กายทิพย์ของศิษย์ผู้นั้น
    ได้ออกจากกายหยาบไปไกลเกินกว่าพลังงานของจิตจะควบคุมถึงสายใยของตนได้ เส้นสายใยชีวิตอาจจะ
    ขาดสบั้นลงได้ และศิษย์ผู้นั้นก็จะถึงแก่กรรมทันที ถึงเรามักจะได้ยินข่าวเสมอว่าบางท่านนั่งทางฝึกจิต
    ทางสมาธิตามหลักสมถกัมมัฏฐาน หรือวิปัสนากัมมัฏฐานได้ถึงแก่กรรมไปเฉยๆ ในขณะที่นั่งฝึกจิตทางสมาธิ
    ทั้งๆ ที่ท่านผู้นั้นไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อนเลย การชันสูตร์ศพตามหลักแพทย์แผนปัจจุบันก็คงสรุปความเห็นว่า
    ผู้นั้นถึงแก่กรรมโดยหัวใจวาย " แต่เรื่องราวซึ่งลึกลับซับซ้อนเกี่ยวกับสายใยชีวิตซึ่งเชื่อมโยงระหว่าง
    กายทิพย์กับกายหยาบได้ขาดสบั่นลง เนื่องจากบุคคลผู้นั้นออกท่องเที่ยวไปในระยะไกลเกินสมควร
    ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ทำให้ผู้นั้นมรณะกรรมนั้น แพทย์แผนปัจจุบันไม่มีทางทราบได้เลย แต่การมรณะกรรม
    ของบุคคลผู้เคราะห์ร้ายในแบบนี้ หากขอร้องให้ผู้เชี่ยวชาญทางฌาณสมาบัติตามกายทิพย์ผู้นั้นให้กลับคืน
    เข้ากายหยาบและต่อเส้นใยชีวิต ให้ติดตามเดินผู้นั้นอาจกลับฟื้นชีวิตขึ้นมาอีกก็ได้ บุคคลที่ประสพมรณะกรรม
    ลักษณะดังกล่าวมาแล้วอาจารย์โยคีของข้าพเจ้าท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเคยช่วยชีวิตบุคคลเหล่านี้ให้กลับฟื้น
    ชีวิตมาแล้วหลายรายด้วยกัน หากแจ้งเหตุให้ท่านทราบทันก่อนที่กายหยาบของบุคคลผู้นั้นจะเสื่อมสลาย
    เสียก่อน แต่สำหรับผู้ที่ฝึกจิตบรรลุถึงขั้นฌาณสมาบัติขั้นสูงแล้วย่อมมีพลังงานทางจิตควบคุมสายใยชีวิต
    ของตนได้ แม้กายทิพย์จะพาวิญญาณแยกออกจากกายหยาบเป็นระยะไกลสักเพียงใดก็ตาม สายใยชีวิต
    ของบุคคลผู้นั้นจะไม่มีวันขาดสบั้นอย่างเด็ดขาดเพราะสามารถบังคับควบคุมกายทิพย์ของตน ให้กลับเข้า
    ร่างกายหยาบเมื่อไรก็ได้ตามแต่จิตปราถนา

    ตัวอย่างเช่นโยคีบางคนในประเทศอินเดียสามารถฝังตัวเองลึงลงใต้พื้นอินถึง ๑๐๐ ฟุต เป็นเวลาถึง
    ๖๐ วัน ครั้นเมื่อครบกำหนดแล้วสานุศิษย์ได้ขุดร่างโยคีผู้นั้นขึ้นมากระทำปฐมพยายาลเพียงชั่วครู่เดียว
    โยคีผู้นั้นก็กลับฟื้นคืนสติขึ้นมาตามเดิม การที่โยคีเหล่านี้สามารถฝังตัวเองอยู่ภายใต้พื้นดินที่ลึกถึง ๑๐ ฟุต
    เป็นเวลาถึง ๖๐ วัน และสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้นั้น เมื่อพิจารณาตามหลักวิทยาศาสตร์ทางฟิสิกส์กายภาพ
    และชีวะภาพแล้ว ย่อมจะไม่อาจให้คำตอบได้ว่า เหตุใดมนุษย์เราขาดอาหาร น้ำ และอ๊อกซิเย่นสำหรับ
    หายใจเป็นเวลาถึง ๖๐ วัน จึงยังไม่ถึงแก่กรรม เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องลึกลับมืดมนสำหรับหลักวิชาทาง
    วิทยาศาสตร์ หากเราได้ศึกษาค้นคว้าวิชาโยคะแล้วเราก็อาจให้คำตอบได้ทันที กล่าวคือการที่โยคีบางคน
    สามารถฝังตัวเอง อยู่ใต้ฟื้นดินลึก ๑๐ ฟุต เป็นเวลาถึง ๖๐ วัน โดยไม่ต้องรับประทานอาหารและน้ำและ
    ไม่ต้องการอาหารและน้ำ และไม่ต้องการอ๊อกซิเย่นสำหรับหายใจเลย แต่ก็มีชีวิตอยู่ได้ตลอดมา ก็เพราะ
    โยคีเหล่านี้ฝึกจิตของตนบรรลุฌาณสมาบัติขั้นสูง และสามารถแยกกายทิพย์และวิญญาณของตนออกจาก
    กายหยาบชั่วขณะหนึ่งระยะที่กายทิพย์และวิญญาณของโยคีผู้นั้นแยกออก ระหว่างกายทิพย์กับกายหยาบ
    บังคับให้ปราณในร่างกายทำงานตามปกติ แต่ทำงานอ่อนลงเกือบจะหยุด เช่นปอดและหัวใจทำงานช้าลง
    เกือบจะหยุด เมื่ออวัยวะส่วนสำคัญของร่างกายถูกบังคับให้ทำงานช้าลงและน้อยลงกว่าปกติหลายสิบเท่า ปอดก็ไม่ต้องการอ๊อกซิเย่นเพิ่มเติมไปเลี้ยงร่างกายอีก และหัวใจเต้นช้าลงเกือบจะหยุดวงจรโลหิตก็
    ไหลเวียนช้าลง ร่างกายจึงไม่ต้องการอาหารและน้ำเข้าหล่อเลี้ยงร่างกายชั่วขณะหนึ่ง ในระหว่างที่อวัยวะ
    ต่างๆ ถูกบังคับให้ทำงานช้าลงกว่าปกติหลายสิบเท่านั้น ก็ไม่ต้องการสิ่งที่ร่างกายต้องการเพิ่มเติมเข้าไปอีก
    แต่ในระยะนี้ร่างกายได้สิ่งต่างๆ ที่ร่างกายต้องการที่มีอยู่เดิมหล่อเลี้ยงร่างกาย ไปชั่วขณะหนึ่ง ในระหว่างนั้น
    ชีวิตของโยคีผู้นั้น จึงดำรงค์อยู่ได้ไม่แตกดับ ครั้นเมื่อครบกำหนดวันนัดหมายสานุศิษย์ได้ขุดร่างโยคีผู้นั้น
    มาจากพื้นดิน กายทิพย์และวิญญาณของโยคีผู้นั้นก็กลับเข้าในร่างเดิม อวัยวะทุกส่วนของร่างกายก็เริ่ม
    ทำงานตามปกติ โยคีผู้นั้นก็จะฟื้นคืนสติตามเดิม สิ่งสำคัญที่สานุศิษย์จะต้องช่วยเหลือโดยด่วน ก็คือการทำ
    ปฐมพยาบาล โดยใช้น้ำมันระกำชโลมให้ทั่วตัวเพื่อช่วยให้วงจรของโลหิตเดิมสะดวก และอาหารครั้งแรก
    ที่รับประทานก็คือน้ำส้มคั้น ผสมน้ำอุ่นๆ เพื่อ ช่วยกระตุ้นหัวใจและร่างกายทั่วไปให้เกิดความสดชื่น แต่มี
    บางรายเมื่อขุดจากพื้นดินเมื่อถึงกำหนดนัดแล้วโยคีผู้นั้นกลับถึงแก่กรรมไปเลยก็มี ทั้งนี้ เพราะโยคีผู้นั้น
    ยังมีกะแสร์จิตเข้มแข็งไม่พอจะบังคับสายใยชีวิตและกายทิพย์ของตนได้กายทิพย์และวิญญาณจึงกลับ
    เข้าร่างหยาบก่อนกำหนดวัดนัดหมายที่จะขุดร่างขึ้นจากพื้นดิน เมื่อกายทิพย์และวิญญาณกลับเข้าร่างหยาบ
    ในขณะที่ร่างยังถูกฝังอยู่ใต้พื้นดินนั้น อวัยวะในร่างกายของโยคีผู้นั้นก็เริ่มทำงานตามปกติร่างกายจึงต้องการ
    อาหาร น้ำ และอ๊อกซิเย่นไปหล่อเลี้ยง เมื่อขาดสิ่งเหล่านี้ร่างกายของโยคีผู้นั้นก็ทนอยู่ไม่ได้ต้องแตกดับ
    ไปในที่สุด

     
  20. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,560
    [​IMG]

    เครื่องรางของขลังท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ

    หลังจากท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ส่งกระแสร์จิตไปปลุกเสกเหรียญ ร.๖ที่
    กรมการรักษาดินแดนจนเกิดพลังอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ให้ปรากฏแก่ผู้นำไปบูชา
    แล้วเป็นจำนวนมาก ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเทพศิริทราวาส พระนครได้มีความดำริคิดจะสร้างโบสถ์
    วัดวังกระโจม อ.เมือง จ.นครนายกขึ้นแต่ยังมองหาทุนทรัพย์ไม่ได้ เพราะ
    ต้องใช้เงินในการก่อสร้างเป็นจำนวนมาก และมาจินตนาการที่จะหาของที่
    ระลึกมอบให้แก่ผู้มาร่วมกุศลสมทบทุนในการสร้างพระอุโบสถวัดวังกระโจม ในครั้งนี้ควรจะเป็นเครื่องรางของขลังเจ้าคุณนรรัตนฯ เพราะท่านเจ้าคุณ
    นรรัตนฯ เป็นผู้มีกระแสร์จิตเก่งกล้าและเคร่งครัดปฏิบัติทางวิปัสสนากัมฐาน
    จนเกิดปรากฏการณ์แปลกๆมหัศจรรย์มาแล้วหลายครั้งหลายหน เมื่อท่าน
    เจ้าคุณอุดมสารโสภณตัดสินใจได้จึงนำความประสงค์ของตน ไปปรึกษา
    ขอความอุปการะแก่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ทันที ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ยินดี
    รับอุปการะทุกประการเพราะเห็นดีด้วย ในการเสริมสร้างพุทธศาสนา
    ให้เจริญงอกงามต่อไป

    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ได้เริ่มประเดิมปั้นหุ่นพระประธานขึ้นเป็นองค์แรก ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ
    จึงได้สั่งช่างสร้างเหรียญ ภ.ปร. มงกุฎครอบ และเหรียญรูปเหมือน ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ลงยันต์และ ชื่อ
    ธมฺมวิตกฺโกด้านหลัง และอื่นๆ อีกมากเพื่อมอบให้เป็นที่ระลึกแก่ผู้ร่วมการกุศลสร้างพระอุโบสถวัดวังกระโจม
    และมอบเครื่องรางของขลังที่สร้างขึ้นครั้งนี้ให้ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ นั่งปรกปลุกเสกแต่ผู้เดียว หลังจากที่
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯได้ทำพิธีนั่งปรกปลุกเสกเครื่องรางของขลังเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้มีประชาชนจำนวน
    มาก แห่แหนมาบูชาเครื่องรางของขลังเจ้าคุณนรรัตนฯ กันอย่างมากมาย ในที่สุดเครื่องรางของขลังของ
    เจ้าคุณนรรัตนฯ ที่ปลุกเสกขึ้นในครั้งนี้ก็หมดเกลี้ยงไม่มีเหลืออยู่เลยแม้แต่สิ่งเดียว โบสถ์วัดวังกระโจม
    จึงได้สร้างสำเร็จขึ้นชั่วเวลาไม่นานนัก นับเป็นอุโบสถ์ที่สวยงามที่สุด ของจังหวัดนครนายก พระบาท
    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันได้เสด็จพระราชดำเนินไปตัดลูกนิมิตร มีประชาชนชาวจังหวัดนครนายก
    แห่แหนมาเฝ้าใต้เบื้องยุคลบาทกันอย่างคับคั่งเป็นประวัติการณ์
    ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณมีความปลาบปลื้มปิติยินดี ในงานชิ้นโบว์แดงที่สร้างพระอุโบสถวัดวังกระโจม
    ได้สำเร็จรวดเร็วเกินความคาดหมาย ทั่งนี้เป็นเพราะบารมีของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ทั่งสิ้น ท่านเจ้าคุณ
    อุดมสารโสภณ จึงได้ระลึงถึงอุปการคุณของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก
    เมื่อท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ ได้สร้างพระอุโบสถวัดวังกระโจมสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ก็มามองเห็น
    ว่าควรจะสร้างโรงเรียนให้แก่วัดวังกระโจม ขึ้นเพื่อช่วยเหลือเด็กนักเรียนจังหวัดนครนายกได้มีการศึกษา
    ต่อไปให้ถึงชั้น ม.ศ. ๓ จึงดำริคิดสร้างเครื่องรางของขลังเจ้าคุณนรรัตนฯขึ้นอีก จึงนำความเรื่องนี้ไปปรึกษา
    ขอความอุปการะจากเจ้าคุณนรรัตน ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็มิได้ปฏิเสธ อนุญาตให้ท่านเจ้าคุณอุดมโสภณ
    จึงถือวันอุดมมงคลฤกษ์ที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ ซึ่งตรงกับวันเสาร์ห้า ซึ่งถือว่าเป็นวันดีเหมาะสำหรับ
    ทำพิธีปลุกเสกเครื่องรางของขลัง ให้เกิดอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณจึงได้นิมนต์
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนทำพิธีนั่งปรกปลุกเสกเครื่องรางของขลังเป็นชุดที่สอง และชั่วเวลาไม่นานนักเครื่องราง
    ของขลังชุดที่สองที่ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณสร้างขึ้น ในครั้งนี้ได้มีมหาชนจำนวนมากหลั่งไหลเข้าบูชา
    กันอย่างคับคั่งจนหมดเกลี้ยงไม่มีเหลืออยู่เลย แต่เนื่องด้วยค่าก่อสร้างโรงเรียนที่วัดวังกระโจมเป็นตัวตึก
    ๓ ชั้นหลังใหญ่ แต่เนื่องด้วยค่าก่อสร้างโรงเรียนคิดจำนวนเงินเป็นล้านๆ บาท เครื่องรางของขลังที่สร้าง
    ให้มหาชนบูชาในครั้งที่สองได้ไม่พอเพียงค่าก่อสร้าง ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณจึงต้องไปขออนุญาต
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ สร้างเครื่องรางของขลังขึ้นอีกครั้ง เพื่อจะได้นำเงินรายได้ทั้งหมดไปสมทบทุน
    สร้างโรงเรียนให้แล้วเสร็จเป็นอันดับต่อไป ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็อนุญาติให้อีกเช่นเคย
    คราวนี้เหมือนจะเกิดแรงสังหรณ์ ท่านเจ้าคุณอุดมได้จัดสร้างเครื่องรางของขลังขึ้นอย่างมากมาย
    เหมือนกับจะรู้ว่าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่จะให้ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯทำพิธีปลุกเสก ของที่ท่านเจ้าคุณอุดม
    สารโสภณ จัดสร้างขึ้นมีพระพุทธรูปบูชาหน้าตัก ๕ นิ้ว และ ๙ นิ้ว เหรียญนาคปรก, เหรียญรูปเหมือน
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เหรียญรูปเหมือนใบโพธิ์, เหรียญนาคปรกใบโพธิ์ พระผงสมเด็จ พระผงนาคปรก
    และรูปหล่อท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เป็นต้น และถือวันอุดมมงคลฤกษ์นิมนต์ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ นั่งปรก
    ปลุกเสกในวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ คราวนี้ได้มีพระคณาจารย์หลายรูปนำเครื่องรางของขลัง
    เข้าพิธีในโบสถ์วัดเทพศิรินทร์จนแน่นโบสถ์ มีประชาชนเข้าชมพิธีอย่างคับคั่ง เมื่อท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ
    ทำพิธีนั่งปรกปลุกเสกเสร็จสิ้นผ่านไปเดือนเศษ ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงได้มรณภาพ เมื่อวันที่ ๔ มกราคม
    พ.ศ. ๒๕๑๔ ยังความเศร้าสลดเสียใจแก่บรรดาภิกษุสามเณรและมหาชนทั่วประเทศ
    ปัจจุบันโรงเรียนวัดวังกระโจมยังกำลังก่อสร้างไปเรื่อยๆ ผู้ใดจะร่วมการกุศลร่วมสมทบทุนในการสร้าง
    โรงเรียนวัดวังกระโจมให้แล้วเสร็จต่อไป ขอให้แจ้งความประสงค์แก่ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณผู้ช่วย
    เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทร์ โดยตรงหรือจะบูชาเครื่องรางของขลังท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ที่ท่านเจ้าคุณ
    อุดมสารโสภณเป็นผู้สร้างก็เท่ากับเป็นผู้ร่วมสมทบทุนการก่อสร้างโรงเรียนเช่นเดียวกัน แต่ข้าพเจ้าใคร่
    ขอกระซิบไว้ในที่นี้ด้วยว่าผู้ใดจะบูชาขอให้ไปบูชา กับท่านเจ้าคุณอุดมหรือคณะกรรมการที่กุฏิท่านเจ้าคุณ
    อุดม มิฉะนั้นท่านจะไม่ได้รับของแท้จะถูกของปลอมเข้า เพราะปัจจุบันนี้ได้มีผู้ทำปลอมขึ้นอย่างมากมาย
    และก็เป็นที่น่าปลาบปลื้มปิติยินดีอย่างสุดซึ้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้พระราชทานนาม
    โรงเรียนวังกระโจมนี้ว่า "โรงเรียน นวม ราชานุสรณ์"
    ในพิธีปลุกเสกเครื่องรางของขลังทุกครั้งมักจะเกิดเหตุการณ์ประหลาดมหัศจรรย์ให้ปรากฏเสมอ อาทิ
    เมื่อคราวท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ทำพิธีปลุกเสกเมื่อวันเสาร์ห้า ที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ เมื่อช่างภาพ
    ถ่ายภาพรูปในพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นำไปล้างและอัดรูปออกมาก็ปรากฏมีอยู่ภาพหนึ่ง เป็นภาพตอนที่
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ กำลังประพรมน้ำพุทธมนต์ แต่เป็นที่น่าประหลาดมหัศจรรย์ ไม้ที่ท่านเจ้าคุณประพรมนั้น
    กระจายออกเป็นแฉกๆ เหมือนกับประกายแสงแพรวพราว จึงนับเป็นปรากฏการณ์ที่ประหลาดมหัศจรรย์มาก

    [​IMG]

    อีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ทำพิธีนั่งปรกปลุกเสกเป็นครั้ง
    สุดท้าย ก็ปรากฏเหตุการณ์ประหลาด มหัศจรรย์ขึ้นอีก กล่าวคือเมื่อช่างภาพถ่ายภาพเรียบรอยแล้วนำ
    ฟิล์มไปล้าง เมื่ออัดภาพออกมาดูก็ปรากฏมีอยู่ภาพหนึ่ง ตรงหน้าที่บูชาพระประธานแสงเทียนที่จุดอยู่
    ได้พลิ้วไปเหมือนถูกลมพัด ทั้งๆ ที่ในโบสถ์ก็ปิดสนิทไม่มีลมพัดแม้แต่นิดเดียว จึงนับว่าเป็นเหตุการณ์
    ประหลาดอีกเช่นเคยทั้งนี้ทุกคนต่างก็ลงความเห็นว่า เกิดจากพลังอนุภาพกระแสร์จิตของท่านเจ้าคุณ
    นรรัตนฯ นั่นเอง ฉะนั้น เครื่องรางของขลังที่ผ่านการปลุกเสกจากท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงเกิดอานุภาพ
    ศักดิ์สิทธิ์ทางด้านแคล้วคลาด มหาอุด และเมตตามหานิยมทางโชคลาภต่างๆ นานา ดังข้าพเจ้า
    จะนำมากล่าวในที่นี้ จากการบันทึกของ พล.ต.ต. ชนะ วงค์ชอุ่ม จเรกรมตำรวจดังต่อไปนี้

    ส.ต.อ. สำเนาว์ วิเศษสังข์ ประจำใน ผ.๒ จต. พักอยู่บ้านเลขที่ ๑๘๗ ซอยอยู่เย็นเป็นสุข อ.บางเขน
    จ.พระนคร ได้รับเหรียญนาคปรกของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯไป ๕ เหรียญ เมื่อกลับไปถึงที่พักจึงได้ชวน
    ส.ต.อ. จำรัส ชุมวิสูตร ตำรวจกองดับเพลิงพญาไท และ ส.ต.ท. สุชาติ จัทนร์ศิริ ตำรวจกองบังคับการ
    ตำรวจป่าไม้บางเขน ได้นำอาวุธปืนลูกกรดขนาด .๒๒ และปืนขนาด .๓๘เพื่อทำการทดลองอภินิหาร
    เหรียญนาคปรก โดยได้อาราธนาตั้งนะโม ๓ จบ แล้วนำเหรียญไปว่างติดกับต้นไม้ที่เขตรั้วทหารหน้ากรม
    ป่าไม้บางเขน แล้วใช้อาวุธปืนลูกกรดขนาด .๒๒ ยิงไป ๓ นัด ปรากฏว่าปืนไม่ลั่นเลย จึงลองใช้ปืนขนาด
    .๓๘ ยิงอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าปืนไม่ลั่นอีกเช่นเคย จึงนับว่าเหรียญท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์
    ให้ปรากฏแก่สายตา

    ต่อไปนี้เป็นรายงานข่าว จากบุคคลและตำรวจจากจังหวัดต่างๆ ที่ประสบอภินิหารเครื่องรางของขลัง
    เจ้าคุณนรรัตนฯ ที่ท่านเจ้าคุณอุดมสร้างขึ้น เป็นครั้งสุดท้ายคือสุนัขกัดไม่เข้า ๑๓ ราย, รถจักรยานยนต์คว่ำ
    แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ๑ ราย รุเกงชนกับรถ ๑๐ ล้อพังยับ แต่ไม่มีใครรับบาดเจ็บเลย ๓ ราย รถยนต์ล้อหลุด
    ในขณะที่วิ่งไปด้วยความเร็วสูง แต่รถไม่คว่ำ ๑ ราย, ทหารทางด้านอรัญประเทศเหยียบกับระเบิด แต่
    ไม่ระเบิด ๑ ราย จึรีบลงมาบูชาเหรียญเจ้าคุณนรรัตนฯ ไป ๒๐๐ เหรียญ เพื่อแจกจ่ายแก่ทหาร ทดลองยิง
    ในเขตจังหวัดชลบุรีแต่ยิงไม่ออก ๒ ราย, เขตฉะเชิงทรา ๔ ราย, เขตนครศรีธรรมราช ๕ รายใช้ปืนเล็กยาว
    ยิงออกแต่ไม่ถูกเป้าหมาย ๒ ราย ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ยิงไม่ออก ๑ ราย

    ต่อไปนี้เป็นประสพการณ์จากตำรวจตระเวนชายแดนที่ถูกพวกก่อการร้ายดักยิง แต่ไม่ได้รับอันตราย
    เพราะเหรียญนาคปรกเจ้าคุณนรรัตนฯ คุ้มครองช่วยชีวิตไว้ เหตุการณ์รายนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม
    พ.ศ. ๒๕๑๔ ขณะที่ ร.ต.ท. เผื่อน ศิริสานต์ กับ จ.ส.ต. เฉลียว สัจจากุล และ ส.ต.อ. เสนาะ เล็กมณี
    แห่ง สภ. ชาติ ตระการ อ. นครไทย จ.พิษณุโลก ได้ออกตระเวนรักษาความปลอดภัยให้แก่ราษฎรมาถึง
    เขตตำบลบ้านป่าแดง กิ่ง อ.ชาติตระการ อ. นครไทย จ. พิษณุโลก เมื่อเวลา ๑๓.๐๐ น. เศษ ก็ได้ถูก
    ผู้ก่อการร้ายดักซุ่มยิงด้วยปืนยิงเร็ว จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้นอยู่พักหนึ่ง ผู้ก่อการร้ายจึงได้ล่าถอยไปผลปรากฏ
    ว่า ร.ต.ท. เผื่อน ศิริสานต์ ถูกกกระสุนปืนผู้ก่อการร้ายตายคาที่ ส่วน จ.ส.ต. เฉลียว สัจจกุล ถูกกระสุนปืนเร็ว
    ของผู้ก่อการร้ายถึง ๘ แห่งด้วยกัน คือ ที่หัวคิ้วด้านขวา . ที่คอด้านขวา , ที่คางใต้ริมฝีปาก และที่หน้าอก
    ด้านขวา ๕ แห่ง และ ส.ต.อ. เสนาะ เล็กมณี ถูกกระสุนปืนยิงเร็ว ของผู้ก่อการร้ายเช่นกัน คือข้างหลัง
    ด้านซ้าย ๒ แห่ง และข้างหลังด้านขวา ๑ แห่ง แต่ทั้งสองคนมิได้รับอันตรายแต่อย่างใด เพียงแต่เป็น
    รอยไม้เท่านั้นเอง เพราะทั้งสองคนมีเหรียญนาคปรกเจ้าคุณนรรัตนฯ ซึ่ง พล.ต.ต. ชนะ วงศ์อุ่ม จเรตำรวจ
    มอบให้พกติดตัวไว้นั่นเองส่วน ร.ต.ท. เผื่อน ที่ถึงแก่ความตายปรากฏว่าไม่มีเหรียญนาคปรก เจ้าคุณนรรัตนฯ
    พกติดตัวเลย

    ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๒ มีค. ศกนี้ ร.ต.อ. สุนันท์ ฐติกสิกร ผบ. กอง สภ. อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ได้นำ
    ตำรวจ ๘ นาย. ปลัดอำเภอ ๑ นาย และสิบเอกทหาร ๑ นาย ขึ้นรถออกตระเวนรักษาความปลอดภัยแก่
    ราษฎรในท้องที ได้ถูกผู้ก่อการร้ายดักซุ่มยิงด้วยปืนกลทั้ง ๒ ฟากทาง ปรากฏว่าตำรวจเสียชีวิตไป ๒ นาย
    นอกนั้นบาดเจ็บสาหัส แต่เป็นที่น่าประหลาดมหัศจรรย์ ร.ต.อ. สุนันท์ ฐติกสิกร ผู้เดียวเท่านั้นที่รอดจาก
    ห่ากระสุนปืนกล ของผู้ก่อการร้าย ทั้งๆ ที่พนักพิงที่ ร.ต.อ. สุนันท์ นั่งอยู่ก็มีรอยกระสุนปืนกลพรุนไปหมด
    ร.ต.อ. สุนันท์ ฐติกสิกรได้รอดตายคราวนี้มาได้อยากปาฏิหาริย์ก็เพราะมีเหรียญนาคปรกเจ้าคุณนรรัตนฯ
    พกติดตัวไว้นั่นเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...