ข้อเขียนที่เก็บไว้ส่วนตัว แต่อยากให้อ่านกัน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย tidti2005, 25 สิงหาคม 2011.

  1. Noinea

    Noinea เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    172
    ค่าพลัง:
    +1,902
    อ้อค่ะ^-^ อิอิ ติดตามต่อไป ;9k
     
  2. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    [COLOR="Black[COLOR="Blue"]"]“น้องไม่ต้องการอะไรมาก น้องขอให้พี่อธิษฐาน ปลดคำอธิษฐานของน้องที่มีต่อพี่เท่านั้นก็พอ น้องก็จะได้ไปสู่ภพภูมิใหม่จ๊ะ”[/COLOR]

    ผู้เขียนพยักหน้า แต่ก็ยังรู้สึกข้องใจกับการที่เราได้จับพลัดจับผลูมาเจอกันได้ยังไง จึงถามออกไป

    “แล้วจับพลัดจับผลู ได้มาเจอกับพี่ได้ยังไง ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น ไม่เคยมาเข้าฝันหรือสะกิดใจมาก่อนเลย แล้วเธอไปเป็นนางตะเคียนได้ยังไง ไหนว่าอยู่วนเวียนรอคอยพี่อยู่ที่นี่ไง”

    “เรื่องมันค่อนข้างยาวจ๊ะ แรกเริ่มเดิมที น้องก็มารอพี่อยู่ที่นี่นั่นแหละจ๊ะ หลายภพหลายชาติที่ผ่านมาน้องก็เฝ้ารอคอยว่าเมื่อไหร่จะได้เจอกับพี่อีก พร้อมทั้งสวดมนต์อ้อนวอนองค์พระปฎิมา พยายามบำเพ็ญเพียรบารมีน้องคิดว่าสักวันหนึ่ง สิ่งที่น้องเฝ้าสวดอ้อนวอนเพื่อขอที่จะได้สมหวังได้อยู่กับพี่อีกครั้ง คงจะสำเร็จสักวันหนึ่ง เมื่อถือกำเนิดชาติภพใหม่น้องก็ปฏิบัติอยู่อย่างนี้หลายภพหลายชาติ จนชาติหนึ่งได้ไปเกิดเป็นเทพบนชั้น จาตุมหาราชิกา แต่สิ่งหนึ่งที่น้องพึงระลึกอยู่เสมอ และตลอดเวลาคือ คำสัญญาที่พึงมีต่อพี่ไม่เสื่อมคลาย จนภพนี้ได้ลงมาจุติที่ต้นตะเคียนจนได้พบกับพี่นี่แหละจ๊ะอาจจะถือว่าเป็นบุพกรรมส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังถือว่าเป็นเทพระดับหนึ่ง ไม่ใช่ภูตผีปีศาจอย่างที่พี่เข้าใจจ๊ะ”

    “และสิ่งที่พี่เห็นเป็นภูตทั้ง 3 ตนนั้น ความจริงไม่ใช่ผีดังที่พี่เข้าใจจ๊ะ แต่เป็นเทพระดับหนึ่งที่ได้ลงมาจุติยังเบื้องล่างโลกมนุษย์ ได้บำเพ็ญเพียรบารมีมาระดับหนึ่งจ๊ะ มีหน้าที่ดูแลรักษาต้นไม้ ทั้งน้อยและใหญ่ มีวิมานอยู่ที่ต้นไม้นั้นจ๊ะ สิ่งที่พี่เห็นคือร่างจำแลงของท่าน เพื่อให้เกิดความหวาดกลัว แต่ความจริงพวกเขานั้นล้วนมีกายเป็นทิพย์และใจดีจ๊ะ แต่ที่ทำแบบนั้นก็เพราะมีความโกรธแค้นที่เจ้าของบ้านหลังนั้นรวมถึงพรรคพวก ได้ไปทำลายวิมานของพวกเขา คือไปตัดเขามา รวมทั้งของตัวน้องเองด้วยจ๊ะ ตอนนี้วิมานของพวกเราจึงถูกทำลาย จึงต้องสิงสถิตย์อยู่ในต้นไม้ต้นดังกล่าวที่ถูกนำมา”

    “ เดิมทีพวกเขารวมถึงตัวน้องอยู่ในเขตชายแดนเขมรในป่าลึก พวกเราบำเพ็ญเพียรบารมีกันอยู่ที่นั่น แต่เจ้าของบ้านได้ไปตัดพวกเรามาเพื่อมาสร้างบ้านหลังนั้นโดยไม่ทำพิธีขอขมากรรม ความโกรธแค้น ชิงชัง จึงบังเกิดขึ้นกับทุกคนที่นำเรามาและแม้แต่พวกมนุษย์ที่เกี่ยวข้องโยงใยกันจ๊ะ แม้กระทั่งเจ้าของบ้านหลังนั้น ที่ถูกสาปแช่งดลบันดาลด้วยฤทธิ์จากเทพทั้ง 3 จนขณะนี้ใกล้จะถึงวาระต้องชดใช้วิบากกรรมที่ได้กระทำไปแล้วจ๊ะ ที่ผ่านมาพวกที่สมคบกันกับเจ้าของบ้านหลังนั้น ก็ถูกเทพทั้ง 3 เอาตัวมาเป็นบริวารหลายต่อหลายคนแล้วจ๊ะ ที่บ้านหลังนั้น จึงไม่ได้มีเฉพาะแค่เทพทั้ง 3 แต่ยังมีบริวารอีกหลายตนที่ต้องรับวิบากกรรมที่ได้กระทำร่วมอยู่ด้วยจ๊ะ”

    “เทพที่บอกเขาเรียกว่าเทพารักษ์น่ะหรือ”ผู้เขียนเอ่ยขึ้น

    “ใช่แล้วจ๊ะ”

    “พวกนี้ เมื่อเป็นมนุษย์มีศีล 5 ทำบุญทำทานรักษาศีลได้ระดับหนึ่งจ๊ะ เมื่อเสียชีวิตไปแล้ว ก็ได้ไปจุติในภพภูมิหนึ่งที่สูงกว่ามนุษย์ธรรมดาและมีกายเป็นทิพย์จ๊ะ สามารถดลบันดาลบางสิ่งบางอย่างได้ตามบารมี แต่เทพระดับนี้ก็ใช่ว่าจะตัดขาดจากกิเลศได้ทั้งหมด ยังมี รัก โลภ โกรธ หลง อาจจะมีความโกรธมากหน่อย ตามบารมีของแต่ละตน และมีฤทธิ์ตามระดับบารมีจ๊ะ” เธอพยายามอธิบายบอกผู้เขียน

    “ส่วนเรื่องทำไมน้องถึงได้มาเจอพี่ได้ ก็เพราะน้องใช้ฤทธิ์อำนาจดังที่บอก ช่วยให้เจ้าของรีสอร์ทนั้นยอมให้พวกพี่เข้าพัก ทั้งๆที่บ้านหลังนั้นเจ้าของไม่เคยให้คนอื่นมาพักได้ อาจจะเป็นด้วยบุพกรรมที่น้องได้เฝ้าอธิษฐานให้ได้เจอกับพี่ก็อาจเป็นไปได้จ๊ะหรืออาจจะหมดวาระหมดกรรม ที่น้องต้องอยู่ตรงนี้เพื่อจะก้าวไปสู่ภพภูมิใหม่ก็ได้จ๊ะ”

    ผู้เขียนพึ่งจะถึงบางอ้อ แม้จะไม่เข้าใจหมดทุกเรื่อง แต่ก็พอจะได้ใจความบ้าง ถึงความเป็นมาเป็นไปในสิ่งต่างๆ

    “เมื่อเธอต้องการหลุดพ้นจากตรงนั้น ก็เอาสิ เธอจะได้ไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานกับสิ่งที่ผ่านมาอีกและพี่ก็ขออนุโมทนากับสิ่งที่เธอทำให้ทั้งหลายทั้งปวงที่ผ่านมา”

    “ถึงแม้ที่ผ่านมาจะทุกข์ทรมานมากมายแค่ไหนก็ตาม แต่น้องก็เต็มใจในสิ่งที่อธิษฐานตลอดมาจ๊ะ น้องรู้สึกมีความสุขเมื่อได้มาเจอกับพี่และได้มาอยู่ใกล้ชิดกับพี่อีกครั้ง อยากให้เป็นอยู่แบบนี้ตราบนานเท่านาน ให้สมกับการรอคอยของน้องที่มีต่อพี่ แม้ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่น้องอาจจะได้เจอกับพี่ก็ตามจ๊ะ แต่เมื่อไหร่ที่พี่ได้มีโอกาสบำเพ็ญบุญบารมี จนได้ไปจุติเป็นเทพอยู่เบื้องบน เมื่อนั้นน้องคงจะได้มีโอกาสได้เจอกับพี่อีกครั้งจ๊ะ น้องจะรอน๊ะจ๊ะ”

    เธอยืนยันเจตนารมณ์ของเธอเป็นมั่นเป็นเหมาะ พร้อมๆกับกุมมือผู้เขียนเอาไปแนบกับแก้มเธอ ความอบอุ่นจากพวงแก้มเหมือนจะพุ่งซ่านจากมือมาถึงหัวใจผู้เขียน เหมือนการอาลัยอาวรณ์จากเธอ ผู้เขียนจึงเริ่มแก้คำอธิษฐานนั้นแก่เธอ แม้จะรู้สึกเสียดาย รู้สึกเจ็บปวดใจ แต่ก็จำเป็นต้องตัดใจ เพื่อต้องการให้เธอนั้นพ้นจากคำอธิษฐานนั้น เพื่อสู่ภพภูมิใหม่ที่ดีกว่าปัจจุบันที่เป็นอยู่ และต้องการที่จะให้เธอนั้นหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานและหลุดพ้นจากบ่วงกรรมที่เธอมีอยู่ ผู้เขียนจึงลุกขึ้นนั่ง ประนมมือกล่าวนำให้เธอนั้นประนมมือกล่าวตาม

    "ข้าพเจ้าชื่อผกาวดี ขออาราธนา ขอพระเมตตาบารมีขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระมหาจักรพรรดิทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ พระอริยสงฆ์ อริยบุคคล ครูบาอาจารย์สืบ ๆ กันมา ครูบาอาจารย์ที่เคารพ เป็นที่สุด

    ด้วยข้าพเจ้าเคยประมาทพลาดพลั้ง เป็นผู้มีมิจฉาทิฐิด้วยความไม่รู้ ข้าพเจ้าขอถอน คำอธิษฐาน และพันธนาการทั้งปวงที่เคยได้กระทำมาทั้งกาลในครั้งนี้ และในกาลครั้งก่อน ตลอดทั้งชาติภพนี้ และชาติภพก่อนหน้านั้น ขอให้ข้าพเจ้าหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งปวง หากแม้นข้าพเจ้าเคยร่วมอธิษฐานครองคู่กับผู้ใดมาก็ตาม หรือทุกการอธิษฐานที่เป็นเหตุให้เกิดความเสื่อม เกิดบาปและอุปสรรคทั้งปวง ข้าพเจ้าขอยกเลิกคำอธิษฐานทั้งหลาย เพื่อให้ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกัน และอโหสิกรรมให้แก่บุคคลเหล่านั้น เพื่อให้มีดวงตาเห็นธรรม สู่ภพภูมิที่ดี บรรลุมรรคผลและพระนิพพานในถึงที่สุด

    ด้วยผลบุญแห่งการให้อภัยทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้า เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ขอให้ได้พบแต่กัลยาณมิตร ให้ห่างจากคนพาลทั้งหลาย และได้พบกับเนื้อคู่ในลำดับต้นที่มาจากบุญเท่านั้น ด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำมาอย่างดีแล้วตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ตลอดจนภพภูมิที่ผ่านๆมา ขอให้คำอธิษฐานของข้าพเจ้าจงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ ๆ ทุกประการเทอญ…”


    เมื่อเสร็จสิ้นจากคำขอขมาอธิษฐานกรรม ลมเย็นวูบหนึ่งพัดเข้ามา กลิ่นหอมประหนึ่งกลิ่นหอมจากสรวงสวรรค์ ไม่สามารถเปรียบเทียบกับกลิ่นหอมที่เราเคยได้กลิ่นมาก่อน มันหอมเย็นชื่นใจเมื่อสูดดมเข้าไปลึกๆ รู้ถึงว่าทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า มันสดชื่นอย่างที่ไม่เคยได้กลิ่นใดๆมาก่อน

    เธอคนที่ผู้เขียนนอนหนุนตักอยู่หลับตาพริ้มยิ้มอย่างมีความสุข ลืมตาหันมามองผู้เขียนดวงตาเป็นประกาย พร้อมเอี้ยวตัวจูบที่หน้าผากผู้เขียน เสมือนกับขอบคุณในสิ่งที่ผู้เขียนมอบให้เธอ กลิ่นกายเธอช่างหอมชวนให้ติดตรึงใจยิ่งนัก ยากนักที่จะลืมเลือน

    “เขาพากันมารอรับน้องแล้วจ๊ะ”

    เธอบอกกับผู้เขียน พร้อมทั้งชี้มือขึ้นไปบนท้องฟ้า ผู้เขียนมองตามมือนั้นไปแต่ก็ไม่เห็นอะไร อาจจะเป็นเพราะบุญวาสนาเราคงยังไม่ถึง จึงไม่สามารถมองเห็นอีกมิติหนึ่งได้ เห็นแต่ท้องฟ้าสีฟ้าขาวใส มีปุยเมฆปกคลุมบางๆเห็นลิบๆอยู่ไกลๆ

    “เธอจะไปแล้วใช่ไม๊”

    ผู้เขียนถาม ในขณะที่กำลังหันกลับมามองเพ่งพินิจในตัวเธอ

    “จ๊ะ”

    เธอตอบในขณะที่อมยิ้ม เอียงคอมองผู้เขียน เหมือนผู้ใหญ่ที่ใจดีพูดคุยอยู่กับเด็กเล็กๆ ดวงหน้าผุดผ่องขาวใสไร้ริ้วรอย ชุดสไบเฉียงที่เธอใส่พลิ้วปลิวตามลม ผมยาวสลวยลู่ไปตามแรงลมที่พัดมา ส่วนหนึ่งปลิวมาเคลียคลออยู่ที่บริเวณใบหน้าผู้เขียน ซึ่งนั่งอยู่แนบกัน

    “พี่สัญญาก่อนสิจ๊ะว่าในภพภูมิต่อไป พี่จะขึ้นไปหาน้องข้างบนโน้น”
    เธอพูดพร้อมกับชี้มือขึ้นไปข้างบนท้องฟ้า

    “จ๊ะ หากว่าเป็นไปได้นะ พี่จะพยายาม”

    ผู้เขียนตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก เธอยิ้มอย่างพอใจ พลางแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง

    “น้องไปละนะ อย่าลืมล่ะ หากเรามีวาสนาร่วมกัน คงจะได้พบเจอกันอีกน๊ะจ๊ะ”

    สิ้นเสียงนั้นเหมือนลมเย็นวูบหนึ่งพัดค่อนข้างแรง เข้ามาปะทะผู้เขียนโดยตรง จนสะดุ้งตกใจตื่น อย่างแรกเลยคือ เอี้ยวตัวหันไปมองข้างเตียง ทุกสิ่งว่างเปล่า ความสับสนว้าวุ่นใจจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่ยังไม่จางหายไป กลิ่นกายของเธอ ยังคงอบอวลอยู่ที่จมูก

    หันมองไปที่ประตู ประตูก็ปิดสนิท แสงไฟจากด้านนอกห้อง ส่องเข้ามาตามช่องประตูที่ไม่สนิท ทำให้มองเห็นภายในห้องรางๆ เอี้ยวตัวหันไปมองภรรยา ก็ยังเห็นหลับสนิทอยู่ เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่อยู่หัวเตียงเพื่อมากดดูเวลาว่า ตอนนี้เวลาเท่าไหร่ ที่เราเผลอหลับไป เพราะกวาดตามองไปรอบๆก็เหมือนว่ายังมืดอยู่

    05.00น. คือเวลาในขณะนั้น ผู้เขียนตัดสินใจลุกขึ้นเพื่อออกไปด้านนอกห้อง เอื้อมมือจับลูกบิดประตู หมุนออกลูกบิดไม่ได้ล็อค ทั้งๆตอนที่ผู้เขียนเข้าห้องน้ำครั้งสุดท้ายเมื่อคืนจำได้ว่าได้กดล็อคลูกบิดประตูแล้วนี่ แต่ไม่เป็นไร เราเองอาจจะหลงลืมไปก็ได้ พยายามคิดว่าที่ผ่านมาเป็นแค่เพียงความฝันเท่านั้น

    เปิดประตูห้องออกไป ห้องโถงกลางกระจัดกระจาย เกลื่อนไปด้วยเศษกระดาษ เป็นพวกหนังสือพิมพ์ นิตยสารต่างๆ ที่เจ้าของบ้านหรือเจ้าของรีสอร์ทจัดวางไว้ให้อ่านหรืออ่านเอง หล่นลงมากระจัดกระจายเต็มพื้นห้อง ที่ชวนให้แปลกใจหนักกว่านั้นคือ ตู้เก็บหนังสือ (ตู้ปิดทึบและใส่กุญแจ จึงไม่ทราบว่าด้านในนั้นใส่อะไรไว้) ที่เคยตั้งอยู่บริเวณทางเข้าห้องนอนผู้เขียน ถูกลากเอาไปไว้อีกมุมหนึ่ง ซึ่งอยู่คนละฝั่งกัน ผู้เขียนคิดตามว่า สิ่งนี้นี่เองที่เป็นเสียงลากอะไรซักอย่างเมื่อคืนนี้นั่นเอง

    ผู้เขียนค่อยๆมองสำรวจความเสียหาย จากพื้นเรื่อยขึ้นไปด้านบนฝ้าเพดาน เสา(ซุง)กลางบ้านด้านบนเหมือนมีน้ำอย่างหนึ่งไหลย้อยลงมาจนถึงกลางลำต้น ดำเป็นมันวาว(มองจากฝ้าที่กั้นลงมา) เสา(ซุง)ทางเข้าประตูบ้านทั้ง 2 ต้นก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน และยิ่งแปลกไปใหญ่ ก็ตรงที่ด้านบนของเสาทั้ง 3 ต้น(ติดฝ้า) มีการลงอักขละสีขาว แต่จางมากแล้วอาจจะเป็นด้วยระยะเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ตอนสร้างบ้านใหม่ๆ หากไม่สังเกตดีๆ ก็จะมองไม่เห็น

    ผู้เขียนตัดสินใจเดินออกไปยังชานด้านนอก ก็ต้องสะดุ้งโหยง ลูกทัวร์ที่มาด้วยกันทั้งหมด(ญาติ)พากันมานั่งออกันอยู่บริเวณชานบ้านและตรงบริเวณบันได เหมือนเตรียมพร้อมที่จะลงหรือออกจากบ้านหลังนี้ทันทีหากเกิดอะไรขึ้น

    ก่อนที่ผู้เขียนจะพูดถามอะไรต่อ พี่สาวก็เป็นคนที่เอ่ยขึ้นก่อน เมื่อเห็นผู้เขียนโผล่ออกไปจากประตูทางเข้า

    “ไม่ไหวว่ะ นอนไม่หลับทั้งคืน มันอะไรนักหนาก็ไม่รู้ มึงหลับได้ยังไงวะ”

    “สงสัยมันมีผีน่ะน้า ดูสิ มันอาละวาดทั้งคืนเลย น้าไม่ได้ยินเสียงบ้างเหรอ จะให้ตานี่(สามีหลาน)ออกไปดู ก็เมาซะไม่รู้เรื่องเลย บอกตั้งแต่หัวค่ำแล้วว่าอย่ากินมากๆ ก็ไม่ฟัง เกิดเรื่องอะไรร้องเรียกไม่รู้เรื่องเลย ปล่อยให้นอนกลัวอยู่ได้”

    หลานผู้หญิงอีกคนรีบพูดเสริมต่อ พร้อมทั้งหันไปต่อว่าผัวตัวเอง

    “ไม่ใช่ผีละมั้ง ได้ยินอยู่เหมือนกัน นึกว่าหมามันขึ้นมาบนบ้านน่ะ อาจจะมาหาของกินที่เมื่อคืนทิ้งไว้ก็ได้”

    ผู้เขียนพยายามพูดกลบเกลื่อน เพื่อทั้งหมดจะได้ไม่เกิดความกลัวซ้ำเข้าไปอีก กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา

    “หมาบ้านมึงน่ะสิ มันลากตู้หนังสือได้ ตู้นั้นสงสัยเจ้าของบ้านมันเก็บกระดูกผีไว้หรือเปล่า ดูสิ มันอาละวาดข้าวของกระจุยกระจายหมดเลย เดี๋ยวคงต้องช่วยกันเก็บกวาดซะหน่อยก่อนย้ายออก ไม่งั้นเจ้าของมาเห็นเข้า มันว่าเราทำของมันเสียหายแน่ ส่วนไอ้ตู้ผีนั่น ปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละ กูไม่ไปช่วยลากมันกลับหรอก น่ากลัวชิ......หาย”

    พี่สาวเอ่ยขึ้นดักคอผู้เขียน พร้อมทั้งทำท่าสยอง

    “เมื่อคืนมึงไม่ได้ยินเสียงโครม โครมเหรอ กูนึกว่ามึงจะออกมาดูซะอีก ทีแรกนึกว่าใครซักคนในพวกเราเมาเหล้า แล้วอาละวาด ทะเลาะกันกับเมีย”

    พี่สาวยังข้องใจหันมาถามผู้เขียนอีกครั้ง

    “ก็ออกมาดูเหมือนกัน แล้วก็เข้าห้องน้ำ ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่นะ ตอนแรกน่ะ”

    ผู้เขียนก็ตอบไปตามความเป็นจริง

    “กูว่าที่นี่มันทะแม่งๆตั้งแต่เจ้าของมันให้เข้าพักโดยไม่เก็บเงินตั้งแต่ทีแรกแล้ว ว่ามันต้องมีอะไรซะอย่าง สงสัยมันเลี้ยงผีไว้นี่เองหรือไม่ก็ที่นี่เคยมีคนตายมาก่อน เลยไม่ให้ใครเข้ามาพัก แต่เห็นว่าพวกเราจะพักให้ได้ เลยจำใจให้อยู่ส่งเดช แบบว่า พักได้ก็พักไป อยู่ได้ก็อยู่ไป ไอ้ตัวเจ้าของมันคงไม่กล้ามาอยู่หรอก ปลูกบ้านไม้หายากดุ้นโตๆทั้งหลัง ถ้าบารมีไม่ถึง มันอยู่ไม่ได้หรอกมึงว่าหรือเปล่า ไม้ต้นโตๆพวกนี้ในบ้านเราไม่มีหรอก คงจะไปขโมยตัดมาจากเขมรแน่ๆ บ้านห่าอะไร น่ากลัวชิบ…….”

    ผู้เขียนไม่ตอบว่าอะไร อยากจะบอกและเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมดที่ผู้เขียนไปพบเจอมาว่า ที่พี่สาวบอกมานั้นใกล้เคียงแต่ไม่ใช่ซะทีเดียว ก็คงบอกไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะหาว่าผู้เขียนเพี้ยนไปใหญ่ ทั้งเรื่องเสาที่ตกน้ำมัน มีรอยเจิมยันต์ที่เสา และสิ่งที่ผู้เขียนพบเจอมาตั้งแต่เมื่อคืนเต็มๆ เพราะมันมากยิ่งกว่าการที่ได้ยินเสียงอย่างเดียวแน่ๆ

    “สว่างแล้ว....... ไป......รีบไปช่วยกันเก็บกวาด รีบอาบน้ำอาบท่า จะได้รีบเช็คเอ้าท์ออกจากบ้านผีนี่ซะที ไม่ไหวว่ะ ยิ่งอยู่นานยิ่งขนลุก”

    “ เอ้อป๊า...... เดี๋ยวตอนชั้นอาบน้ำ ไปยืนคอยอยู่หน้าห้องน้ำด้วยนะ เผื่อมีอะไรจะได้เรียกทัน”

    พี่สาวรีบไล่ทุกคนให้รีบไปกันทำความสะอาดและเรียกสามีเธอให้ไปคอยเฝ้าที่หน้าห้องน้ำ ทำเอาผู้เขียนจะขำก็ขำไม่ออกเพราะเหมือนไม่มีใครจะมาขำด้วย

    ต่างแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวและช่วยกันเก็บกวาดอย่างเร่งรีบ เพราะคงยังไม่หายกลัวกัน แต่ที่ต้องออกมานั่งพร้อมกันตั้งแต่ยังไม่สว่างคงเพราะไม่กล้านอนต่อ ด้วยความกลัวในสิ่งที่ได้ยินและออกมาเห็น ผู้เขียนจึงเดินกลับเข้าห้องนอนเพื่อไปปลุกภรรยาให้รีบลุก

    “เธอออกไปไหนมา”

    ภรรยาผู้เขียนถามขึ้นทันทีที่ผู้เขียนโผล่เข้าประตูไป

    “ก็ออกไปข้างนอกมา”

    “ชั้นกลัวจะตาย เธอทิ้งชั้นให้อยู่คนเดียวได้ไง ทำไมไม่ปลุกชั้นออกไปด้วย”

    สภาพท่าทางเธอคงจะกลัวจริงๆเพราะนั่งเอาผ้าห่มคลุมซะมิดเลย โผล่ออกมาแต่หน้า

    “จะไปกลัวอะไร มีอะไรให้กลัว”

    ผู้เขียนพยายามกลบเกลื่อน โดยที่ยังไม่เล่าเรื่องภายนอกที่ออกไปเจอมาให้ฟัง เพราะกลัวว่าเล่าไปแล้วเดี๋ยวจะกลัวกันไปใหญ่

    “เมื่อคืนชั้นเห็นนะ ผีที่นั่งอยู่ข้างเธอชั้นก็เห็น”เธอรีบพูดโพล่งออกมา

    “อ้าว..........เธอเห็นด้วยเหรอ”

    “ทำไมจะไม่เห็นล่ะ ผีอีก 3 ตัว ชั้นก็เห็น”

    ผู้เขียนจึงสรุปกับตัวเองเลยว่า เราไม่ได้บ้าหรือฝันอยู่คนเดียวนี่หว่า เรามีพยานยืนยัน ทั้งตัวบุคคลและวัตถุสิ่งของด้วยนี่หว่า

    “เธอรีบไปอาบน้ำเถอะ ข้างนอกเขาจะไปกันแล้ว”

    ผู้เขียนรีบสรุปบอกภรรยา เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นมาเพิ่มดีกรีความกลัวให้กันเปล่าๆ แต่ถึงจะไม่บอกก็คงไม่ทันแล้ว เธอกระโดดลงจากเตียงก่อนที่ผู้เขียนจะพูดจบประโยค โกยแน่บออกจากห้องไปแล้ว

    เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนประสพพบเจอมากับตัว (ดังนั้นไม่ต้องถามกันมาอีกนะครับว่าเรื่องจริงหรือเปล่า ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงที่ประสพพบเจอมากับตัวเองและมีพยานยืนยันในเรื่องครับ และเป็นเรื่องจริงเรื่องหนึ่งในหลายๆเรื่องที่เขียนครับ) ไม่ใช่นิยายที่จะเขียนให้อ่านเอามันอย่างเดียว ที่ยังพอมีหลักฐานยืนยันในบางสิ่ง ที่ว่าด้วยสิ่งเร้นลับหรืออีกมิติหนึ่งยังคงมีปรากฏให้เราได้เห็นบ้าง ทั้งยังพอมีพยานและหลักฐานประกอบ ว่าบางสิ่งเราจะทำดีหรือทำไม่ดี บางครั้งทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ย่อมอาจจะส่งผลถึงตัวเราเอง ทั้งครอบครัว ทั้งคนใกล้ชิด ให้ได้ต้องพลอยรับวิบากกรรมไปด้วย ดังตัวอย่างของเรื่องนี้ ตัวเราเองย่อมตระหนักรู้ตัวเองเสมอว่าได้กระทำสิ่งใดไป ทั้งดีหรือไม่ดี คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ก็ยังมีสิ่งที่เร้นลับที่อาจจะมองเห็นหรือไม่เห็นรู้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นการจะปิดบังความไม่ดีเพื่อไม่ให้คนอื่นเห็นอาจจะปิดได้ แต่คงไม่สามารถปกปิดตัวเองและอีกมิติหนึ่งให้เห็นได้เลย


    ภควัณตัง[/COLOR]​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0403.jpg
      IMG_0403.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.2 MB
      เปิดดู:
      154
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มิถุนายน 2013
  3. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ตรงลูกศรชี้คือบริเวณหน้าต่างบ้านที่หลานสาวเห็นเหมือนคนชะโงกมองดู ในขณะที่ทีมผู้เขียนกำลังขนของเพื่อย้ายออกมาจากรีสอร์ทและเมื่อนับจำนวนคนที่ไปด้วย ก็ไม่มีคนอยู่ข้างบนอีก ต่างชี้ให้กันดูว่ามีคนอยู่ข้างบนอีก แต่กล้องที่ผู้เขียนใช้ถ่ายให้เห็นนี้คือตอนแรกที่ย้ายเข้าพัก

    ภควัณตัง​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0403.jpg
      IMG_0403.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.2 MB
      เปิดดู:
      188
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มิถุนายน 2013
  4. udorn

    udorn สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +19
    กรรมที่แตกต่างสินะ....พบเรื่องราวที่แตกต่าง..อนุโมทนาด้วยครับ
     
  5. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    นรก-สวรรค์


    งานเขียนนี้เป็นหนึ่งในหลายๆงานเขียนที่ได้นำมา Rewind ใหม่ ในนามปากกา "ภควัณตัง" สาเหตุที่ได้นำกลับมาลงใหม่ เพราะมีหลายๆคนร้องขอมาว่า ของเก่าที่เคยได้เขียนลง อ่านไม่ทัน-ยังไม่ได้อ่าน-ยังไม่รู้ว่ามี หรือยังไม่ได้ Copy ก็เลยนำเอามาลงให้ใหม่อีกครั้ง เผื่อจะเกิดประโยชน์อะไรบ้างไม่มากก็น้อย

    หลังจากผู้เขียนหยุดเขียนไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก็มีเสียงสอบถามและมีเมล์มาถึงผู้เขียน จากสหายมิกธรรมส่งเมล์สอบถามกันเข้ามาค่อนข้างหลายฉบับอยู่ว่า ทำไมไม่เขียนต่อ หรือเห็นว่ามีคนอ่านเยอะแล้วเล่นตัวหรือว่าหมดมุขที่จะเขียนแล้ว ก็ขอบอกว่าไม่ใช่อย่างนั้นหรอก แต่ช่วงที่หยุดไปก็เพราะมีงานเข้าทั้งงานราษฏรงานหลวงเลยจำเป็นต้องเบรคงานเขียนลงชั่วคราว ทั้งๆที่ได้เตรียมข้อมูลที่จะเขียนต่อไว้แล้ว และยังติดงานเทศกาลเข้าไปอีก เลยต้องเบรกยาว

    เพราะบางทีก็ต้องทำเพื่อปากท้องก่อน แต่ต่อไปก็จะพยายามลงให้อ่านกันเรื่อยๆตามโอกาศจะอำนวยแล้วกัน มีหลายคนที่พลาดโอกาศได้อ่านครั้งก่อนๆ เมื่อมีโอกาศก็จะลงให้ใหม่แล้วกันนะครับ

    และผู้เขียนเอง มีความยินดีรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจเป็นบุญอย่างทวีคูณที่ได้ทราบมาจากทางเมล์หนึ่งว่า มีวัดๆหนึ่งได้ขออนุญาตนำเอาข้อเขียนที่ได้ลงไว้ก่อนหน้านั้น เอาไปสอนญาติโยมที่มาปฏิบัติธรรมในวัด ก็ถือเป็นบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้เขียนเป็นอย่างมาก ที่สามารถสานฝัน สืบต่อเจตนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แม้จะมีสอดแทรกคำสอนขององค์ท่านเพียงเล็กน้อยจากทั้งหมดที่เป็นคำสอนให้ปฏิบัติที่มีมากมายมหาศาล แต่ผู้เขียนก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งแล้ว

    การจะเขียนหรือพิมพ์อะไรลงไปจึงต้องระมัดระวังเพิ่มมากกว่าปกติและบางคราวอาจจะเน้นเนื้อหามากกว่าเก่าเป็นช่วงๆไป การเขียนเรื่องนรก-สวรรค์ในบทนี้ มีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องค้นคว้าและหาข้อมูลค่อนข้างมากพอสมควรในการที่จะเขียนลง เพราะคงจะเขียนอะไรส่งเดชไม่ได้ จำเป็นต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องถึงจะเขียนลง บางคราวต้องอาศัยการค้นคว้าจากหนังสือหลายๆเล่มมาเปรียบเทียบถึงจะได้ข้อมูลที่ครบพอสมควร

    มีหลายตอนที่เอาของใหม่มาใส่เพิ่มในของเก่า และเอาของเก่าไปจับยัดใส่ในของใหม่ คือเหมือนเรียบเรียงใหม่ให้อยู่ในเครสเดียวกัน จะได้อ่านได้ง่ายและเกิดความปะติดปะต่อเนื่องกัน จากที่อยากจะเขียนเรื่องไหนก็เขียนๆลงไปตามแต่อารมณ์พาไปหรือตามแต่ว่าจะคิดเรียบเรียงได้ จึงขอให้เอาใหม่ (ขอเป็นแพนเค้กไม่ได้เหรอ ใหม่รู้สึกว่าจะแก่ไปนะ... 555)

    แต่บางครั้งในขณะเขียนอยู่ก็เกิดอาการล่มกลางคัน เพราะกิเลศเข้าครอบงำ นึกอะไรไม่ออกเกี่ยวกับพล็อตเรื่องราวของตัวเอง ว่าจะเริ่มมาจากตรงไหนดี ยิ่งเหลือบตาเห็นชายกระโปรงสั้นๆ เดินไปเดินมาผ่านหน้า ทำให้เกิด (ความคิด) กิเลศเข้าครอบ ซึ่งขณะนั้นนึกออกได้อย่างเดียว (คงไม่ต้องบอกหรอกนะ) ทำไปทำมาเขียนเกี่ยวกับเรื่อง xxx คงจะง่ายกว่านะ555

    บางคนบอกว่า ตั้งแต่ได้อ่านมาตั้งแต่ครั้งแรกๆที่ลงให้อ่าน ก็ติดตามอ่านเรื่อยมา(สงสัยหลงเสน่ห์จากเรา) จนรู้สึกว่า หลังจากที่ได้ติดตามอ่านมาเรื่อยๆ อ่านบ่อยๆเข้าทำท่าเหมือนจะเป็นคนดีไปซะงั้น ทำให้รู้สึกตัวว่าดีขึ้น (ดีนะที่ไม่บอกว่ารู้สึกตัวว่าแย่ลง.......ไม่อย่างนั้นคงต้องเลิกเขียนตลอดชีวิตเป็นแน่ หรือเก็บเอาไว้อ่านคนเดียวดีกว่า) หรือบอกว่า อ่านแล้วติดใจในลีลาการเขียนที่แฝงไปในทางที่ดี สอดแทรกหลายสิ่งให้ได้อ่านกัน (เรื่องชั่วคงไม่ต้องเขียนหรอกมั้ง เพราะทำง่ายน่ะ อ่ะ อ่ะ)

    บางคนบอกว่า ชอบอ่านแนวอภินิหารหรือแนวผีสาง เทวดา นางฟ้า ก็ลองอ่านๆดู อาจจะมีตรงบ้างไม่ตรงบ้างตามแต่พล็อตเรื่องที่ประสพพบเจอมา หากแต่เป็นเรื่องที่ไม่พบเจอเอง หรือเมค (make) เรื่องเอง ก็คงจะยากอยู่เหมือนกัน เพราะไม่ใช่วิญญาณนักเขียนเข้าสิงน่ะ บ้างก็บอกว่า ชอบอ่านแนวตลกๆหรือบางคนชอบแนวทางธรรมมะธรรมโม ก็เลยเหมือนเป็นการเปิดช่องทางให้ผู้เขียน เขียนดะ คือ นึกอยากเขียนเรื่องไหน ก็เขียนๆๆๆๆ โดยที่ไม่ค่อยได้ปะติดปะต่อนัก เอาเป็นว่าหากอยากอ่านแนวไหนก็โพสมาบอกกันบ้างแล้วกัน ผู้เขียนจะได้เรียบเรียงให้ตรงตามเจตนา แต่ต้องเป็นเรื่องที่ผู้เขียนเคยประสพหรือพบเจอมานะ และต้องมีประโยชน์แฝงด้วยคำสอนในการอ่านด้วย เรื่องอื่นหรือนอกเรื่องที่ไม่เคยเจอมาก็คงเขียนไม่ได้ เพราะหากเป็นเรื่องที่ make เอาเองคงต้องไปหาซื้ออ่านตามแผงหนังสืออ่านะ

    ทำไปทำมาก็ไม่ค่อยได้ต่อเนื่องกันสักเท่าไหร่ กลายเป็นออกไปหลายแนว แต่คนก็ยังชอบอ่าน(เออ...แปลกแฮะ)เพราะสังเกตได้ว่า ช่วงไหนที่หยุดเขียนลงไปนานๆ เริ่มจะมีส่งเมล์มาทวงซะงั้น ว่าทำไมไม่ลงหรือเขียนให้อ่านอีก เขียนน่ะเขียนไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้เอาลงเท่านั้นเอง บางทีก็มีอาการขี้เกียจเหมือนกันเน้อ......เพราะไม่ได้สตังส์ ไม่มีสปอนเซอร์สนับสนุนนี่นะ เขียนให้อ่านฟรี ยังจะมาทวงกันอีกแน่ะ ไอ้เราก็บ้ายอซะด้วยล่ะ

    เอาละมาเข้าเรื่องต่อไปกันดีกว่า คำว่านรกสวรรค์มีจริงหรือไม่ หากไม่มีจริง ทำไมในหนังสือไตรภูมิจึงกล่าวถึงเรื่องนรก-สวรรค์ มีการบรรยายถึงลักษณะของแดนนรก-สวรรค์อยู่หลายหน้าและในพระไตรปิฏก จึงมีกล่าวถึงเรื่องนรก-สวรรค์ และในประวัติคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า จึงมีกล่าวถึงเรื่องนรก-สวรรค์ประกอบในคำสอนสาวกตราบเท่าทุกวันนี้

    ในหนังสือคัมภีร์หลายๆคัมภีร์ล้วนแต่มีการกล่าวถึงเรื่องนรก-สวรรค์ ตามผนัง-ฝ้า-เพดานโบสถ์บางแห่งจึงมีงานเขียนจิตรกรรมเกี่ยวข้องกับนรก-สวรรค์ และตำราหลายๆเล่มจึงมีงานเขียนเกี่ยวกับนรกสวรรค์

    หากไม่มีจริง สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดเกิดขึ้นได้อย่างไร รูปร่างหน้าตานรก-สวรรค์เป็นอย่างไร นี่คือข้อกังขาสำหรับชาวพุทธบริษัทหลายๆคนที่ส่ง MAIL มาถามผู้เขียนหลายคนและขอให้อธิบายในสิ่งที่ข้องใจมาโดยตลอด สรุปว่านรก-สวรรค์มีจริงหรือมีปลอม หากไม่มีจริง แล้วสิ่งที่อ้างอิงในตอนต้นล้วนเอามาจากไหน ทำไมถึงสามารถบรรยายลักษณะของนรก-สวรรค์ได้ว่าสวรรค์มีกี่ชั้นและนรกมีกี่ขุม ในแต่ละชั้นแต่ละขุมมีอะไรบ้างเป็นจุดสังเกตุ

    ในตอนนี้เราจะมาคุยถึงเรื่องนรกกันก่อน เพราะมีหลายคนจากที่ได้พูดคุยกันบอกกับผู้เขียนว่า อยากไปนรกมากกว่าไปสวรรค์ เหตุเพราะเท่าที่รู้มาคือสวรรค์มีแต่เรื่องน่าเบื่อ คนมีน้อย หากได้ไปอยู่อาจรู้สึกเหงา ว้าเหว่ วันๆมีแต่ความอิ่มเอิบสุขสำราญบานใจ ไม่มีทุกข์ ไม่มีโศรก ไม่มีโรค ไม่มีภัย(จริงหรือเปล่า) เมื่อไปอยู่นานๆอาจจะรู้สึกเบื่อ จึงอยากไปนรกแทน

    เพราะเข้าใจว่า นรกต้องไม่ว้าเหว่แน่ คนต้องมีเยอะแน่ๆ และถือเป็นรสชาติของชีวิต(ว่าไปนั่น) ความจริงสิ่งที่กล่าวมาน่าจะใกล้ความจริงเกือบทั้งหมด แต่หากพูดเล่นๆละก็คงได้ แต่ถ้าจะเอาจริง คิดว่าควรทบทวนดูก่อนอีกสักครั้ง เพราะเข้าใจว่าคนพูดยังไม่ได้ไปเห็นหน้าค่าตาของนรกโดยแท้ว่าจริงๆเป็นอย่างไร มีความน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน เมื่อเห็นแล้วอาจจะไม่คิดจะย่างกลายเข้าไปใกล้ก็อาจเป็นไปได้

    รอบนี้เลยขอไปในแนววิชาการนิดหนึ่งนะ เดี๋ยวจะหาว่าเขียนเป็นแต่เรื่องอภินิหาร บางทีน่าจะได้ความรู้บ้างแหละน่า ไม่มากก็น้อยละ แต่ถ้าคนไหนรู้แจ้งแล้วหรือเคยผ่านมาหลายรอบแล้ว ก็อ่านผ่านๆไปแล้วกันเหมือนกับเป็นการเตือนความจำอีกครั้งก็ได้ เผื่อจะนึกภาพที่เคยผ่านมาออก

    ผู้เขียนจึงขอบุญกุศลทั้งหลายทั้งปวงจากงานเขียนครั้งนี้ส่งผลให้คนที่ได้มีโอกาศเข้ามาอ่านจากงานเขียนที่ผ่านๆมาขอให้ได้รับอานิสงส์ผลบุญด้วยกัน อีกทั้งส่งผลถึงเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงจงรับซึ่งอานิสงส์ในครั้งนี้โดยถ้วน ทั่วกันเทอญ

    ขอโมทนา

    ภควัณตัง​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 มิถุนายน 2013
  6. Noinea

    Noinea เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    172
    ค่าพลัง:
    +1,902

    "ข้าพเจ้าชื่อผกาวดี ขออาราธนา ขอพระเมตตาบารมีขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระมหาจักรพรรดิทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ พระอริยสงฆ์ อริยบุคคล ครูบาอาจารย์สืบ ๆ กันมา ครูบาอาจารย์ที่เคารพ เป็นที่สุด

    ด้วยข้าพเจ้าเคยประมาทพลาดพลั้ง เป็นผู้มีมิจฉาทิฐิด้วยความไม่รู้ ข้าพเจ้าขอถอน คำอธิษฐาน และพันธนาการทั้งปวงที่เคยได้กระทำมาทั้งกาลในครั้งนี้ และในกาลครั้งก่อน ตลอดทั้งชาติภพนี้ และชาติภพก่อนหน้านั้น ขอให้ข้าพเจ้าหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งปวง หากแม้นข้าพเจ้าเคยร่วมอธิษฐานครองคู่กับผู้ใดมาก็ตาม หรือทุกการอธิษฐานที่เป็นเหตุให้เกิดความเสื่อม เกิดบาปและอุปสรรคทั้งปวง ข้าพเจ้าขอยกเลิกคำอธิษฐานทั้งหลาย เพื่อให้ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกัน และอโหสิกรรมให้แก่บุคคลเหล่านั้น เพื่อให้มีดวงตาเห็นธรรม สู่ภพภูมิที่ดี บรรลุมรรคผลและพระนิพพานในถึงที่สุด

    ด้วยผลบุญแห่งการให้อภัยทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้า เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ขอให้ได้พบแต่กัลยาณมิตร ให้ห่างจากคนพาลทั้งหลาย และได้พบกับเนื้อคู่ในลำดับต้นที่มาจากบุญเท่านั้น ด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำมาอย่างดีแล้วตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ตลอดจนภพภูมิที่ผ่านๆมา ขอให้คำอธิษฐานของข้าพเจ้าจงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ ๆ ทุกประการเทอญ…”


    ขออนุญาตคุณภควันตัง copyคำกล่าวถอนคำอธิษฐานหน่อยนะคะ :cool: ดีมากๆเลยค่ะ

    ขอบคุณมากค่ะ (f)
     
  7. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631


    ด้วยความยินดีเป็นอย่างสูงครับ สิ่งไหนในข้อเขียนที่คิดว่านำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ ยินดีมอบให้แก่ทุกท่านเลยครับ เป็นจุดมุ่งหมายที่สุดของผู้เขียนแล้วครับ
    คำกล่าวถอนคำอธิษฐานนี้ ผู้เขียนถอดออกมาจากภาษาบาลีน่ะครับ เอาไว้เผื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้ในภายภาคหน้าครับ และยังเป็นมนต์ที่ดีอีกด้วย หากแปลกลับให้เป็นภาษาบาลีหรือจะไว้ท่องเป็นคำที่ผู้เขียนแปลไว้ก็ได้ครับ จะได้ไม่ต้องสะกดยาก

    ภควัณตัง​
     
  8. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    นรกคืออะไร


    ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับนรกกันก่อน ว่านรกคืออะไร ทำไมถึงเรียกว่านรก กล่าวคือ สถานที่มนุษย์ทั้งหลายจะต้องเวียนว่ายตายเกิด มีอยู่ 31 ภูมิ หากอยากรู้ว่าตายแล้วไปไหนหรืออยากรู้ว่าตัวเองนั้นหากต้องตายแล้วจะไปที่ใด ไปสวรรค์หรือนรกก็ให้สังเกตว่า เมื่อตอนเรามีชีวิตอยู่ ชอบทำอะไรมีพฤติกรรมอย่างไร ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในชีวิตประจำวันอย่างไร มีความเกรงกลัวต่อบาปมากน้อยแค่ไหน มีจิตใจฝักใฝ่ในทางกุศลหรืออกุศลมากน้อยเพียงไร เมื่อตายแล้วก็ต้องไปรับผลแห่งการกระทำของตัวเองอย่างนั้น

    เรียกได้ว่า เมื่อละสังขารหรือตายไปแล้วจากโลกนี้ จักได้ไปรับผลของการกระทำนั้นต่อไป เป็นที่น่าสังเกตว่า ในโลกปัจจุบัน ผู้คนมีความเสื่อมในศีลธรรมจรรยามากขึ้น ไม่ค่อยเกรงกลัวต่อบาป หมั่นสร้างบาปมากกว่าสร้างบุญ พากันยึดมั่นถือมั่น วัตถุสิ่งของในการบำรุงบำเรอตนเองและครอบครัวตลอดจนญาติพี่น้องมากจนเกินพอดีหรือเกินไป จนลืมนึกถึงเรื่องบาปบุญคุณโทษ พากันเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นเพื่อให้มาซึ่งสิ่ง ที่ตนเองต้องการ มากจนเกินความพอดีในการดำรงค์ชีวิตของมนุษย์ โดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องบาป-บุญคุณโทษ สิ่งไหนที่ถูกหรือสิ่งไหนที่ผิด ตามความจำเป็น หรือความสมดุลพอดี

    มนุษย์จำพวกนี้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์อยู่คงยังเสวยผลบุญเก่าอยู่ก็ไม่สู้เดือดร้อนอะไร นึกลำพองใจแต่เมื่อใดที่ละสังขารหรือตายไปแล้ว ภพภูมิใหม่ที่รออยู่เบื้องหน้าย่อมหมายถึงนรกทั้ง 8 ขุมสถานเดียว ไม่มีอย่างอื่น เรื่องจะไปสู่สวรรค์นั้นเลิกนึกเลิกฝันได้เลย

    นรกทั้ง8 ขุม​

    นรกขุมที่1.นั้นเรียกว่า สัญชีวนรก เป็นสถานที่สำหรับพวกชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ชอบทำร้ายผู้อื่น ชอบบี้มด ตบยุงเป็นประจำ หรือฆ่ามนุษย์ด้วยกันเอง รวมถึงการฆ่าตัวตายด้วย มีจิตใจคับแคบ สกปรก คิดแต่ในทางเห็นแก่ได้ ตายแล้วก็ต้องไปตกยังนรกขุมนี้

    ซึ่งนรกขุมนี้เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นการรองรับผู้ที่ชอบประพฤติปฏิบัติเยี่ยงนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นหากเราไม่ต้องการที่จะตกไปยังนรกขุมนี้ จึงจำเป็นต้องพยายามหลีกเลี่ยงพฤติกรรมดังกล่าว หรือไม่ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น สำหรับการลงโทษนั้น กระทำโดยนักการยมบาลบังคับให้นอนราบลงกับพื้น ใช้ล้อเหล็กที่มีหนามแหลมคมลากถูไปบนร่าง โดยสัตว์นรกลากทับกลับไปกลับมาจนร่างแหลกเหลว แล้วกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ก็บังคับให้นอนราบลงกับพื้นเหมือนเดิม ทำกลับไปกลับมาอยู่เช่นนั้นตลอดกาลนาน จนกว่าจะเสวยกรรมจนหมดสิ้น เป็นที่น่าสังเวชใจยิ่งนัก

    นรกขุมที่2. หรือที่เรียกว่า กาลสุตตนรก นรกขุมนี้เอาไว้ต้อนรับสำหรับพวกที่ชอบลักโขมยเป็นกิจวัตร หรือพวกที่ชอบฉ้อโกง เบียดบัง เอาเปรียบผู้อื่น เห็นคนอื่นไม่มีความดีเท่าตัวเอง จึงมีความหวั่นๆว่าพวกเจ้าขุนมูลนายทั้งหลายแหล่ หมิ่นเหม่ที่จะตกนรกขุมนี้ค่อนข้างสูง หากไม่ประพฤติปฏิบัติตัวในทางกุศลบุญหรือมีจิตใจใฝ่ในธรรม

    บุคคลจำพวกนี้จึงหลีกเลี่ยงที่จะตกนรกขุมนี้ค่อนข้างยาก ผู้ที่มียศ-ตำแหน่งหน้าที่ที่สูงกว่าบุคคลทั่วไปมีเปอร์เซ็นต์ที่จะตกนรกขุมนี้ค่อนข้างมาก แม้ในปัจจุบันจะเสวยสุขแต่ฝ่ายเดียว คนพวกนี้มีจิตใจที่คิดแต่จะเอาเปรียบผู้อื่นเป็นทุน เพื่อประโยชน์ต่อตนเองเป็นที่ตั้ง แต่เมื่อตายไปอาจจะเสวยทุกข์ในนรกขุมนี้แทน

    สำหรับการลงโทษโดยนักการยมบาลใช้มีดกรีดควักเอาหัวใจออกมาโยนให้สัตว์นรกกิน ทำกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้นหรือที่หนักหน่อยก็ให้เอามือทั้งสองข้างวางบนเขียง ใช้มีดสับจนแหลกขาดกลับไปกลับมาอยู่แบบนั้นจนขาดใจตาย เมื่อตายแล้วก็กลับฟื้นมาใหม่ ถูกกระทำเยี่ยงเดิมซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น

    นรกขุมที่3. เรียกว่าสังฆาฏนรก นรกขุมนี้เอาไว้สำหรับพวกที่ชอบประพฤติผิดในกามคุณโดยเฉพาะ พวกชอบประพฤติผิดผัวผิดเมียของคนอื่น ดูถูกให้ร้ายผู้เป็นครูบาอาจารย์ อกตัญญูเนรคุณ สำหรับนักท่องราตรี จึงมีเปอร์เซ็นต์ค่อนข้างสูงที่จะตกนรกขุมนี้ (แบบว่าเลี่ยงยาก ว่างั้นเถอะ)

    การลงโทษโดยการจับหัวให้ห้อยลงใช้เหล็กตะขอเกี่ยวขาหรือเท้า ห้อยหัวอยู่อย่างนั้นตลอดวันตลอดคืนจนกว่าจะขาดใจตาย หัวที่ห้อยลงมา ก็จะถูกสัตว์นรกรุมแทะจนขาดใจตาย เมื่อกลับมาฟื้นใหม่ก็กระทำเยี่ยงเดิมซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น ส่วนที่หนักหน่อยก็ให้นั่งแล้วให้หนูกัดแทะเครื่องเพศจนขาดทั้งหญิงและชาย (นึกแล้วเสียว) หรือที่ทราบกันคือนักการยมบาลบังคับให้ปีนขึ้นไปยังต้นงิ้วที่มีหนามแหลมคมรอบๆสูงหาประมาณไม่ได้ ถูกหนามนั้นทิ่มแทงจนเลือดออกท่วมตัว หากไม่ขึ้นไปก็จะถูกหอกแหลมจากนักการยมบาลรุมทิ่มแทงจนขาดใจตายหรือถูกสัตว์นรกรุมทึ้งกัดจนตาย

    หากขึ้นไปจนสุดแล้วก็จะถูกสัตว์นรกบินเข้ามารุมจิกตี เป็นที่น่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง สำหรับนรกขุมนี้ แต่ก็ยังมีคนต้องการที่จะไปกันมากในปัจจุบันเท่าที่สังเกตุดู ก็เป็นเรื่องน่าแปลกดี ชอบผิดผัวผิดเมียหรือแก่งแย่งในคู่ครองกันเสมอๆเพื่อให้ได้มาซึ่งการสมสู่(พวกที่เลียนแบบละครทีวีช่วงเย็น ก็พึงระวัง)

    นรกขุมที่4. เรียกว่าโรรุวนรก เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบปากอยู่ไม่สุข ชอบพูดเพ้อเจ้อ พูดโกหก หลอกลวงผู้อื่น พูดคำหยาบ พูดส่อเสียดหรือพูดไปในทางที่ไม่ดี แก่ตนเองและผู้อื่น ชอบยุแยงให้ผู้อื่นทะเลาะกัน เมื่อตายไปแล้วก็ต้องไปตกยังนรกขุมนี้(พวกนักการเมือง รู้สึกจะไม่น่ารอดน่านะ)

    สำหรับการทรมานโดยนักการยมบาล ใช้น้ำร้อนลวกปากให้เนื้อหนังหลุด เปื่อย เหลือแต่กระดูก เจ็บปวดทรมานแสนสาหัส (ขนาดเรากินกาแฟร้อนยังต้องเป่าเลย) กลับไปกลับมา

    ที่หนักหน่อยก็ให้อมลูกเหล็กมีหนามแหลมคม(หากรู้ว่าจะตกนรกขุมนี้ ก่อนตายผู้เขียนแนะนำให้ซื้อพวกลูกอมไปเยอะๆ จะได้ขอยมบาลอมแทน ไม่รู้ว่าใช้แทนกันได้เปล่า) โดยใช้ตะขอเกี่ยวปากให้อ้าออกแล้วนำลูกเหล็กที่มีหนามแหลมบังคับยัดใส่เข้าไปในปาก จนกว่าจะขาดใจตาย เมื่อฟื้นขึ้นมาก็กระทำเยี่ยงเดิมกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น

    นรกขุมที่5. เรียกว่ามหาโรรุวนรก เป็นนรกที่เอาไว้ต้อนรับพวกที่เสพสิ่งเสพติด ยาเสพติดหรือสุราเมรัย ทั้งพวกที่ขายหรือพวกที่เสพ จึงตั้งข้อสังเกตุว่า พวกที่ชอบเที่ยวกลางคืนบ่อยๆหรือเป็นประจำ นอกจากจะตกนรกขุมที่ 3 แล้วยังต้องมาตกนรกขุมนี้อีกด้วย เรียกว่าซวยซับซวยซ้อนหรือ 2 เด้งเลย

    การจะได้กลับมาเกิดใหม่จึงมีโอกาศค่อนข้างยากและยาวนานกว่าปกติทั่วไป การลงโทษโดยนักการยมบาลใช้ตะขอเหล็กเกี่ยวปากให้อ้าออก แล้วนำเอาน้ำมันนรกที่กำลังเดือดพล่านเทกรอกใส่ปากกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น ผู้โดนกระทำพยายามดิ้นรนหนีร้องโหยหวนอยู่ตลอดเวลาแต่ก็หนีไม่ออก เพราะไม่รู้จะหนีไปไหนดี นอนรออ้าปากอยู่แบบนั้นแหละ

    นรกขุมที่6. เรียกว่า ตาปนนรก มีเอาไว้สำหรับพวกที่ชอบเล่นการพนันทุกชนิด จึงสมควรที่จะระมัดระวัง สำหรับการลงโทษโดยนักการยมบาลใช้เหล็กแหลมทิ่มแทงจนขาดใจตายพรุนไปทั้งร่าง แล้วกลับฟื้นขึ้นมาก็โดนเหมือนเก่าหรือใช้ตะขอเหล็กแหลมเกี่ยวมือแขวนเอาไว้อย่างนั้นจนกว่าจะขาดใจตาย เมื่อตายแล้วก็พลันเกิดมาใหม่ แล้วก็กลับไปโดนเหมือนเก่าอีก เป็นอยู่อย่างนั้น จนกว่าจะหมดกรรม

    นรกขุมที่7. เรียกว่า มหาตาปนรก เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบเที่ยวกลางคืนเป็นกิจวัตร มีความมัวเมาลุ่มหลงในอบายมุขต่างๆ เรียกว่ารวมเลยทีเดียว เมื่อตายไปก็ต้องไปสู่นรกขุมนี้ ผู้ที่ตกนรกขุมนี้ โดยนักการยมบาลนำร่างนั้นนอนลงกับพื้น ให้สัตว์นรกรุมกัดแทะจนขาดใจตาย เมื่อฟื้นขึ้นมาก็กระทำเยี่ยงเดิมกลับไปกลับมา

    นรกขุมที่8. เรียกว่า อเวจีนรก เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ทำอนันตริยกรรม เช่น ฆ่าบิดามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำสงฆ์ให้แตกแยกกันหรือทำพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ถึงแม้ว่าจะทำเพียงแค่ครั้งเดียวก็ตาม ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม ทั้งตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ก็ถือว่าได้กระทำกรรมหนักมากต้องตกอเวจีมหานรกสถานเดียว ได้รับทัณฑ์ทรมานอย่างแสนสาหัส มีอายุยาวนานกว่านรกขุมอื่นๆหลายเท่า

    การทรมานโดยนักการยมบาลใช้เหล็กแหลมไล่ทิ่มหรือให้สัตว์นรกไล่กัดเพื่อต้อนให้ลงกระทะน้ำมันเดือดจนเนื้อตัวเปื่อยยุ่ยเหลือแต่กระดูกแล้วกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ ก็จะถูกกระทำกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น เป็นที่น่าสะพรึงกลัว

    ในทางตรงกันข้าม ถ้าหมั่นให้ทาน หมั่นรักษาศีล นั่งสมาธิเจริญภาวนา หรือหมั่นทำบุญกริยาวัตถุ10ประการ ก็จะมีสวรรค์ 6 ชั้น พรหม 16 ชั้น อรูปพรหม 4 ชั้น เป็นที่ไปเสวยผลบุญหลังจากละสังขารไปจากโลกมนุษย์แล้ว ไม่ต้องไปทุกข์ทรมานในนรกภูมิ

    สำหรับคนที่เป็นประเภทวัดก็เข้าเหล้าก็กิน ศีลก็ไม่ครบ บุญก็ทำบาปกรรมก็สร้าง อย่างนี้คงต้องไปประเมินผลกันตอนใกล้จะละสังขารอีกครั้ง ขึ้นอยู่ว่าบุคคลนั้นมีจิตเกาะเกี่ยวไปในทางบุญหรือบาปมากกว่ากัน

    อันนี้สำคัญมากนะจะบอกให้ หากนึกถึงบุญหรือความดีที่ทำไว้ได้ มีจิตใจผ่องใสในขณะใกล้สิ้นลม ก็อาจจะได้ไปสู่สุคติภูมิก่อน(ส่วนบาปกรรมที่ทำไว้ไม่ใช่จะไม่ส่งผล แต่จะส่งผลในภายหลังหรือรับกรรมกันในภายหลัง อาจจะขึ้นสวรรค์ก่อนแล้วค่อยมาลงนรกใช้กรรมนั่นเอง) แต่หากว่าช่วงก่อนสิ้นลมหายใจนั้น จิตใจหวนคิดแต่สิ่งที่ทำไม่ดีไว้ มีแต่ความอาฆาต พยาบาท จองเวร รวมทั้งมีจิตใจมัวหมองเศร้าหมอง มีแต่กิเลศเข้าครอบงำ มีแต่ความอยากได้ อยากเป็น อยากมี ก็จะส่งผลให้เข้าสู่ทุคติภูมิก่อน ส่วนผลบุญต่างๆคงย้อนส่งในภายหลังเช่นกัน


    ภควัณตัง​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มิถุนายน 2013
  9. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ปรโลกและชีวิตหลังความตายคืออะไร​

    คำว่าปรโลก หมายความว่า โลกหน้าหรือโลกอื่นที่ไม่ใช่โลกมนุษย์นี้นั่นเอง โลกนี้และโลกหน้ามีทั้งหมด 31 ภูมิ เป็นสถานที่อยู่ของชีวิตหลังความตาย และเป็นของทุกคนที่จะต้องไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา อุปมาเหมือนกับผู้ที่ทำผิดกฏหมายแล้วต้องเข้าไปใช้ชีวิตในคุก เข้าออกเวียนว่ายตายเกิดใน 31 ภูมินี้ จนกว่าจะหมดซึ่งจากกิเลศและเข้าสู่พระนิพพาน

    แดนปรโลกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆคือ แดนสุคติภูมิและแดนทุคติภูมิ เป็นสถานที่หมุนเวียนให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่ประกอบกุศลกรรมและอกุศลกรรม ได้วนเวียนไปมา มีสุขบ้างทุกข์บ้าง ตามแต่กุศลและอกุศลที่ได้ทำมาเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์

    ปรโลกฝ่ายสุคติภูมิ คือสถานที่ใครได้ไปอยู่แล้วย่อมมีแต่ความสุขสบาย สงบ แบ่งออกเป็น27 ภูมิได้แก่

    1.มนุสสภูมิ เป็นภูมิที่อยู่อาศัยของมนุษย์เราเอง และเป็นที่อยู่ของผู้ที่มีจิตใจสูง เพราะมนุษย์มีความรู้จักผิดชอบชั่วดี ถ้าทำดีก็จะได้ดีถึงที่สุด สามารถไต่ขึ้นสู่ภพภูมิที่สูงกว่าดีกว่าได้ง่าย หากทำชั่วก็จะได้ชั่วอย่างถึงที่สุดเช่นกัน สามารถลงสู่ภพภูมิที่ต่ำกว่าหรือนรกได้ง่ายกว่าภพภูมิอื่นเช่นกัน ซึ่งมนุสสภูมินี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียมากกว่าภพภูมิอื่นๆดังที่กล่าว

    2. เทวภูมิหรือสวรรค์ มี6 ชั้นได้แก่ จาตุมหาราชิกา -ดาวดึงส์-ยามา -ดุสิต -นิมมานรดี -ปรนิมมิตวสวัตดี ซึ่งแต่ละชั้นยังสามารถแบ่งย่อยลงไปอีก ตามแต่บุญบารมี ซึ่งจะได้กล่าวในบทต่อๆไปในเรื่องสวรรค์

    3.รูปภูมิ แบ่งออกเป็นรูปพรหม 16 ชั้นได้แก่ พรหมปาริสัชชาภูมิ /พรหมปุโรหิตาภูมิ /มหาพรหมาภูมิ /ปริตตาภาภูมิ /อัปมาณาภาภูมิ /อาภัสราภูมิ /ปริตตสุภาภูมิ /อัปมาณสุภาภูมิ /สุภกิณหาภูมิ /เวหัปผลาภูมิ /อสัญญีสัตตาภูมิ /อวิหาสุทธาวาสพรหมภูมิ /อตัปปาสุทธาวาสพรหมภูมิ /สุทัสสาสุทธาวาสพรหมภูมิ /สุทัสสีสุทธาวาสพรหมภูมิ /อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมภูมิ

    4.อรูปภูมิ แบ่งออกเป็นอรูปพรหม 4 ชั้นได้แก่ อากาสานัญจายตนภูมิ /วิญญานัญจายตนภูมิ /อากิญจัญญายตนภูมิ /เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อย จะได้กล่าวในคราวต่อๆไป

    ปรโลกฝ่ายทุคติภูมิ คือสถานที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เรียกว่า อบายภูมิ มี 4 แห่ง การแบ่งภูมิต่างๆในฝ่ายทุคติภูมิเปรียบได้กับการแบ่งแดนนักโทษต่างๆภายในเรือนจำนั่นเอง ซึ่งเป็นการแบ่งตามความผิดหนักเบาของนักโทษ ดังนี้

    นรกหรือนิรยภูมิ จัดอยู่ในอบายภูมิอันดับแรก เป็นดินแดนที่ปราศจากความสุขสบาย สัตว์ที่ตกลงไปในนรกที่บาปกรรมที่ตนเองสร้างไว้เป็นอาจิณกรรม เมื่อตกลงไปแล้วจะได้ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ไม่มีเวลาว่างเว้นจากทัณฑ์ทรมาน นรกมีที่ตั้งอยู่ใต้เขาตรีกูฏ มีทั้งหมด 8 ขุมใหญ่ที่เรียกว่า มหานรก และยังมีขุมบริวารที่เรียกว่า อุสสทนรก อีก 128 ขุม ในอุสสทนรกยังแบ่งย่อยลงไปอีก 320 ขุม เรียกว่า ยมโลก

    เปรตหรือเปตติวิสยภูมิ จัดอยู่ในอบายภูมิอันดับที่ 2 เป็นดินแดนที่มีแต่ความเดือดร้อนอดอยาก และหิวกระหาย เปรตแบ่งออกเป็นหลายประเภท แต่ที่นิยมแบ่งกันมากคือ เปรต 12 ตระกูล ที่อยู่ของเปรตนั้นอยู่ที่ซอกเขาตรีกูฏ และก็มีมาปะปนอาศัยอยู่กับมนุษย์โลกด้วย

    แต่มีภพภูมิ(กาย)ที่ละเอียดกว่ามนุษย์ เหตุที่ทำให้ได้มาเป็นเปรตเพราะได้ทำอกุศลกรรมประเภทตระหนี่ ถี่เหนียว หวงแหนในทรัพย์สมบัติของตนเองเป็นหลัก เมื่อตายไปหรือเสียชีวิตไป จึงไม่ไปสู่ภพภูมิอื่น เฝ้าวนเวียนหวงแหนในสมบัติของตนเองอยู่อย่างนั้น การเกิดเป็นเปรตแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ ผ่านมาจากมหานรก --อุสสทนรก--ยมโลก อีกลักษณะหนึ่งคือเกิดจากมนุษย์ที่ทำอกุศลกรรมในขณะเป็นมนุษย์ เมื่อละจากโลกไปแล้วก็ให้เกิดไปเป็นเปรต

    อสุรกายภูมิ จัดอยู่ในอบายภูมิอันดับที่ 3 เป็นดินแดนที่ปราศจากความร่าเริง สดใสหรือความสุขสบาย อสุรกายมีลักษณะคล้ายเปรตมาก แยกแยะได้ยาก และสามารถดำรงค์อยู่ในภพภูมิเดียวกันกับเปรต คือบริเวณซอกเขาตรีกูฏ

    อสุรกายมีรูปร่างผิดแปลกแตกต่าง เช่นมีหัวเป็นหมูแต่ลำตัวเป็นคน มีความเป็นอยู่ที่แสนอยากลำบาก และมีความหิวกระหายเช่นเดียวกับเปรต แต่หนักไปในทางกระหายน้ำมากกว่าประเภทอาหาร ที่ต้องเกิดมาเป็นอสุรกายเพราะมีความโลภอยากได้ของผู้อื่นโดยความไม่ชอบ ชอบเอาของคนอื่นมาเป็นสมบัติตัวเอง

    ติรัจฉานภูมิ เป็นอบายภูมิอันดับสุดท้าย มีความทุกข์ทรมานน้อยกว่าสัตว์ที่เกิดใน นรกภูมิ -เปรต และอสุรกายภูมิ ที่ชื่อว่าเดียรัจฉาน เพราะมีลำตัวไปทางขวาง อกขนานไปกับพื้น และจิตใจก็ขวางกับหนทางนิพพานด้วย ที่อยู่ของสัตว์เดียรัจฉานนั้น สามารถดำรงชีวิตอยู่ปะปนกับมนุสสภูมิได้ด้วย

    ยมโลก อุสสทนรก และมหานรก มีความแตกต่างกันอย่างไร

    มหานรก เป็นนรกขุมใหญ่มีทั้งหมด 8 ขุม อยู่ลึกไปตามลำดับจากขุมที่ 1 ซึ่งมีขนาดเล็กสุดไปถึงขุมที่ 8 ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด สภาพของมหานรกมีความร้อนแรงมาก ไฟในมหานรกนั้นร้อนแรงมากกว่า อุสสทนรกและยมโลกเป็นล้านๆเท่า ไฟในยมโลกยังมีสีสรรค์คล้ายกับไฟในเมืองมนุษย์คือพอจะมองออก แต่ไฟในมหานรกนั้นเปลวไฟจะเป็นสีดำ

    ภพภูมิของมหานรกนั้นก็ใหญ่กว่า อายุของสัตว์นรกก็ยืนยาวกว่า หากเปรียบเทียบกันแล้ว อุสสทนรกกับยมโลก เป็นสถานที่ที่มนุษย์หรือสัตว์ไปรับผลกรรมที่เป็นเศษของกรรมเท่านั้น แต่ในมหานรกนั้นไปรับผลของกรรมเต็มๆ

    ผู้ที่โชคดีได้ตกลงไปในมหานรกนั้น คืออดีตมนุษย์หรือสัตว์ที่กระทำกรรมชั่วหนักๆหรือกระทำเป็นประจำ เมื่อเสียชีวิตหรือตายไป กระแสบาปจะดึงดูดกายละเอียดลงไปเกิดในมหานรกทันที ไม่ได้มีใครมารับเอาตัวไปเหมือนกับการไปยมโลก

    สัตว์นรกในมหานรกจะถูกลงทัณฑ์ที่แตกต่างหลากหลาย ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส มีนายนิรยบาลหรือนางนิรยบาล ซึ่งเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความเวทนาสงสารเกิดขึ้นด้วยอำนาจของบาปอกุศล ร่างกายใหญ่โตมโหฬารสูงใหญ่ปานภูเขา มีผิวสีดำมืดเหมือนกับถ่าน นอกจากนั้นยังมีเหล่าบริวารอสูรกายคอยช่วยเหลือ คอยลงทัณฑ์ทรมานสัตว์นรก โดยไม่มีเวลาหยุดพักแม้แต่วินาทีเดียว จนสิ้นอายุขัยของสัตว์นรกนั้น(ไม่มีเสาร์ อาทิตย์ และนักขัตฤกษ์)

    การที่จะพ้นจากมหานรกนั้น ก็มีระยะเวลายาวนานมาก ตั้งแต่ 1,620,000 ล้านปีมนุษย์ จนถึง 1 อันตรกัลป์ (ไม่สามารถคำนวนได้ว่าเท่าไหร่) เมื่อชดใช้กรรมในมหานรกเสร็จแล้วก็ต้องไปชดใช้กรรมในอุสสทนรกและยมโลกต่ออีกซึ่งเป็นขุมบริวาร

    อุสสทนรก เป็นนรกขุมบริวาร ซึ่งมีขนาดเล็กกว่ามหานรก อยู่รอบๆมหานรกขุมใหญ่ทั้ง 4 ทิศ มีทั้งหมด 128ขุม การลงทัณฑ์ทรมานก็จะเบาบางกว่า เช่น เป็นนรกอุจจาระเน่า นรกขี้เถ้าร้อน นรกป่าไม้งิ้ว นรกป่าไม้หอกดาบหรือของมีคม เป็นต้น สัตว์นรกที่มาตกในนรกขุมนี้จึงถูกลงทัณฑ์น้อยกว่ามหานรก มีความทุกข์กายทุกข์ใจน้อยกว่า ไฟนรกที่เผาผลาญร้อนแรงน้อยกว่า และยังมีเวลาว่างเว้นจากการถูกลงทัณฑ์บ้างเล็กน้อย (ได้พักหายใจบ้าง)

    ผู้ที่อยู่ในอุสสทนรก มาจากผู้ที่ใช้กรรมในมหานรกมาเบาบางลงแล้ว จึงมาใช้เศษกรรมในอุสสทนรกต่อ เมื่อได้รับทัณฑ์ทรมานในอุสสทนรกจนกรรมเบาบาง ก็จะผ่านไปสู่ยมโลกอีกต่อหนึ่ง เพื่อจะได้ไปวินิจฉัย บุญ-บาป ในยมโลกต่อไป

    ยมโลก เป็นนรกขุมย่อยๆอยู่รอบนอกรอบๆอุสสทนรก มีทั้งหมด 320 ขุม นอกจากจะเป็นที่ลงทัณฑ์ทรมานแล้ว ยังมีความพิเศษมากกว่า มหานรกและอุสสทนรกคือ

    เป็นสถานที่วินิจฉัยบุญบาปของสัตว์นรกที่มาจากอุสสทนรกว่า จะให้ไปรับทัณฑ์ที่นรกขุมไหนต่อของยมโลก จากทั้งหมด 320 ขุม หรือให้ไปเกิดยังภพภูมิต่างๆ เช่นให้ไปเกิดในมนุสสภูมิหรือไปเกิดในติรัจฉานภูมิ --เปรต--อสุรกาย เป็นต้น

    เป็นสถานที่ตัดสินบุญ-บาป ของผู้ที่ตายจากเมืองมนุษย์ ที่ใจไม่เศร้าหมองแต่ก็ไม่ผ่องใส(แบบไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี) เมื่อตัดสินแล้วก็จะส่งให้ไปเกิดยังภพภูมิต่างๆเช่น ให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ใหม่หรือไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน –เปรต- -อสุรกาย --สัตว์นรก หรือชาวสวรรค์เป็นต้น

    หากมีมนุษย์ผู้ใดทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว แต่ผู้ตายยังอยู่ในภพภูมิที่ยังไม่สามารถรับผลบุญที่อุทิศให้ได้ บุญนั้นจะมารอคอยอยู่ที่ยมโลกเพื่อรอส่งผลจากการชดใช้กรรมจนหมดสิ้นแล้ว โดยเฉพาะวันขึ้น 15 ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง

    ในยมโลกจะหยุดการลงทัณฑ์ลงชั่วขณะหนึ่ง หากมีคนในเมืองมนุษย์ทำบุญอุทิศส่วนกุศลมาให้ บุญนั้นก็จะส่งผลถึงสัตว์นรกในทันที ทำให้ระยะเวลาที่ได้รับการลงทัณฑ์สั้นลงไปเรื่อยๆ หรืออาจจะพ้นกรรมไปเกิดยังแดนมนุษย์หรือไปเกิดในภพภูมิอื่นๆต่อไป



    ภควัณตัง
     
  10. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    เราอาจจะถือได้ว่ายมโลกเป็นศูนย์กลางแห่งการเชื่อมต่อ ระหว่างภพมนุษย์กับภพอื่นๆก็ได้ เพราะเป็นที่รองรับสัตว์นรกที่มาจากอุสสทนรกและรองรับกายละเอียดที่ตายมาจากเมืองมนุษย์ เพื่อมาตัดสินบุญ--บาป เพื่อที่จะส่งต่อไปยังภพภูมิต่างๆ

    เมื่อมนุษย์ตายลงไม่ใช่ว่าจะมีเจ้าหน้าที่จากยมโลกจะมารับตัวทุกรายเสมอไป ผู้ใดทำบุญหรือบาปไว้มาก กำลังบุญหรือบาปที่ทำไว้จะมาดึงหรือดูดไปสู่ภพภูมิที่เหมาะสมเอง แต่ถ้าบุญก็สร้างบาปกรรมก็ทำปะปนกันไปในขณะใกล้ตาย จิตไม่ถึงกับเศร้าหมองแต่ก็ไม่ผ่องใส หรือตายด้วยอุบัติเหตุไม่ทันได้รู้ตัวเอง กายละเอียดจะหลุดออกมายืนมองตนเอง พูดกับใครก็ไม่มีใครพูดด้วยหรือเสวนาด้วย เมื่อนั้นจึงรู้โดยสัญชาตญานว่าตนเองได้ตายไปแล้ว

    ในระหว่างที่ตายไปแล้ว 7 วันนั้น ถ้ากายละเอียดของผู้ตายนึกถึงแต่บุญกุศลที่ได้เคยทำไว้ กายก็จะผ่องใส ได้ไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่เป็นสุคติ แต่ถ้านึกถึงบุญไม่ออก พอครบกำหนด 7 วัน ก็จะมีเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นกุมภัณฑ์ นุ่งผ้าหยักรั้งสีแดง ถือโซ่ตรวนและหอกแหลมมารับเอาตัวไป(เราอาจเรียกว่ายมทูต)

    ถ้ากายละเอียดขัดขืน กุมภัณฑ์ซึ่งมีกำลังมากกว่า จะทุบตีและลากจูง พาเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็จะผ่านอุโมงค์ทะลุมิติไปถึงหน้าประตูยมโลก ไปถึงลานที่ตัดสินซึ่งมีสภาพมืด บรรยากาศทึมๆร้อนอบอ้าวมาก แต่ก็มืดและร้อนน้อยกว่าในอุสสทนรกและในมหานรกหลายล้านเท่า ทั้งสองข้างทางจะมีเจ้าหน้าที่ยืนเรียงราย ถืออาวุธสลับกับโคมไฟที่ร้อนแรง น่าสะพรึงกลัว หดหู่และน่าสยดสยอง(ผู้เขียนถึงได้บอกตั้งแต่ต้นไงว่า ก่อนตายให้ระลึกให้ดี)

    พอไปถึงยังลานสถานที่พิพากษา กุมภัณฑ์ก็จะบังคับให้นั่งคุกเข่าต่อหน้าพระยายมราช ซึ่งปกครองในแดนยมโลก เพื่อทำการไต่ถาม เพื่อให้นึกถึงบุญที่เคยทำไว้ให้ได้ เสร็จแล้วเจ้าหน้าก็จะพาไปเกิดใหม่ในสุคติภูมิ แต่ถ้านึกถึงเรื่องบุญไม่ออกและยังมีบาปที่ตนเองทำไว้ ก็จะถูกส่งไปเกิดในทุคติภูมิ ให้เป็นสัตว์เดียรัจฉาน เปรต อสุรกาย หรือไปรับโทษทัณฑ์ทรมานในขุมนรกยมโลก โดยมีกุมภัณฑ์ที่มีหน้าที่ลงทัณฑ์ทรมาน

    สำหรับกุมภัณฑ์เหล่านี้เป็นยักษ์ จำพวกหนึ่งที่อยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาหรือสวรรค์ชั้นแรก หมุนเวียนกันสับเปลี่ยนกันลงมายังยมโลก เพื่อคอยรับบัญชาอีกที

    รวมทั้งหมดนรกมี 456 ขุม เป็นภพละเอียดอยู่ลึกลงไปใต้เขาพระสุเมรุ ที่มีเขาตรีกูฏ3ลูกรองรับอยู่ เกิดขึ้นด้วยกระแสบาปของมนุษย์ เป็นแดนสำหรับลงทัณฑ์ทรมานกายละเอียดของอดีตมนุษย์ที่กระทำบาปอกุศลในขณะยังมีชีวิตอยู่

    ส่วนผู้ใด ในเวปพลังจิต ต้องการที่จะไปสู่นรกขุมใด ตอนนี้ก็สามารถลงชื่อติดต่อจองคิวล่วงหน้าไว้ก่อนได้ จะได้ไม่ผิดคิว เพราะเท่าที่อ่านๆดู น่าจะมีหลายคนที่ไม่น่าจะพลาดโอกาสนี้(ล้อเล่นน่า)



    …..............ภควัณตัง.......................... ​
     
  11. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    บททดสอบ​

    หลังจากหยุดเขียน(โพส)ไปซะหลายวัน เพราะบังเอิญติดภารกิจหลายอย่างพอดี ความจริงตั้งใจจะเขียน(โพส)เรื่องสวรรค์ต่อจากเรื่องนรกครั้งที่จบไปก่อนหน้านั้น แต่บังเอิญว่า วันหนึ่งภรรยาผู้เขียนได้ชวนไปทำบุญใส่บาตรพระที่มาปาฏิวาสกรรม (พระมาจากที่ต่างๆมารวมกัน) ที่วัดๆหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆแถวบ้านที่ผู้เขียนอยู่ (ความจริงก็ไม่ใกล้หรอกนะ เพราะห่างจากบ้านไปก็ประมาณ20-30กิโล แต่ที่บอกว่าใกล้เพราะเห็นว่าอยู่ในจังหวัดเดียวกัน) เห็นว่ามีพระเดินทางมารวมกันเป็นจำนวนมากพอสมควร (60-70รูป) ก็เลยตั้งใจทำกับข้าวกับปลาเพื่อที่จะนำไปร่วมถวายทำบุญ เพื่อจะได้พอกับการฉัน เพราะพระมีเยอะ จะได้ใส่บาตรได้เยอะๆ เพราะปกติใส่บาตรแถวบ้านตอนเช้าก็จะได้1-2รูปเท่านั้น

    เมื่อเดินทางไปถึงระหว่างรอใส่บาตรผู้เขียนก็ได้มีโอกาสสนทนากับท่านเจ้าอาวาสของวัดนั้นก็ได้ทราบว่า ท่านมัคทายกของวัดที่นำพระสวดหรืออาราธนาศีลได้ป่วยลง จึงไม่มีใครกล่าวนำพระแทน ท่านเจ้าอาวาสของวัดดังกล่าวเลยกล่าวกับผู้เขียนว่า

    “โยมว่างหรือเปล่า หากว่ากล่าวนำอาราธนาศีลได้ ก็รบกวนหน่อยเถอะ เพราะเท่าที่ดูแล้ว ยังไม่มีใครทำหน้าที่นี้แทนเลย เพราะมีคนมาบวชพราหมณ์อยู่หลายสิบคน ก็ได้รู้มาบ้างว่า โยมสามารถทำแทนได้”

    ความจริงจากที่ผู้เขียนเดินทางไปทำบุญตามวัดต่างๆบ่อยครั้ง ทางวัด(บางวัด)จึงพอจะรู้จักและคุ้นหน้าผู้เขียนอยู่บ้าง และมีหลายครั้งที่ผู้เขียนทำหน้าที่โฆษกและประกาศแทนมัคทายกวัดอยู่บ้าง หากวัดไหนที่ขาดโฆษกหรือกล่าวนำพระ คือพอจะแทนได้บ้างในบางครั้งแต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้ง เพราะหน้าที่นี้ต้องรับผิดชอบค่อนข้างสูงและต้องมีความคุ้นเคยกับวัดนั้นๆบ้าง ผู้เขียนจึงรับอาสาชั่วคราวที่จะทำแทนในครั้งนี้ให้

    “ถ้าเป็นไปได้นะโยม อยากให้โยมรับหน้าที่นี้ตลอดช่วงการปาฏิวาส 9 วันจนเสร็จสิ้น ถ้าได้ก็คงจะดีไม่น้อยนะโยม ถือว่าเป็นการร่วมบุญด้วย”

    เอาละสิ ผู้เขียนนึกในใจ เพราะผู้เขียนยังติดเรื่องต้องไปทำงานเพราะยังไม่ได้ลางานเลย จึงกล่าวบอกท่านเจ้าอาวาสไปว่า

    “คือทำแทนน่ะพอทำได้ครับหลวงพ่อ แต่ผมยังไม่ได้ลางานเลย เพราะตั้งใจมาใส่บาตรเฉยๆ เมื่อเสร็จก็จะกลับ แต่หากว่าต้องอยู่ประจำก็ต้องโทรไปลางานก่อนครับ ไม่รู้ว่าจะลาได้หรือเปล่า”

    ผู้เขียนพยายามทักท้วง

    “ก็ลองโทรไปลาดูสิโยม อาตมาว่าน่าจะลาได้นะ”

    เหมือนกับว่าหลวงพ่อท่านจะทราบมาก่อน หลังจากที่ผู้เขียนโทรไปลาก็สามารถลาได้ โดยที่ต้องไปทำใช้วันลาในวันหลัง

    “ไหนๆโยมก็มาอยู่ที่วัดแล้ว โยมก็ถือโอกาศบวชพราหมณ์ไปด้วยเลยแล้วกัน เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเที่ยวนะ”


    สรุปแล้วผู้เขียนจึงต้องทำหน้าที่มัคทายกของวัดนั้น คอยอาราธนาศีลโดยปริยาย โดยมิได้นัดหมาย พร้อมทั้งบวชพราหมณ์ไปในตัว เสร็จสิ้นกระบวนการตลอด 9 วัน

    วันหนึ่งหลังจากเสร็จภารกิจในช่วงเช้าแล้ว ผู้เขียนจึงว่าง พวกพราหมณ์ที่บวชและพระ ต่างก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติภาระกิจของตน ผู้เขียนจึงเดินถือหนังสือสวดมนต์ กะว่าหาที่สงบๆหน่อย อ่านหนังสือสวดมนต์แล้วก็จะของีบพักสักหน่อย เล็งหาที่อยู่นาน สายตาก็เหลือบไปเห็นต้นโพธิ์ต้นใหญ่ต้นหนึ่ง ขนาด3คนโอบอยู่บริเวณข้างๆกุฏิเล็กๆของพระและยังไม่มีใครไปจับจอง จึงเดินมุ่งหน้าไปนั่งใต้ต้นนั้น พบว่าบริเวณโดยรอบต้นถูกกวาดสะอาดดี คงจะเป็นพระที่นี่ที่ได้มาปัดกวาดไว้ก่อนหน้านั้น และยังมีการเทปูนไว้โดยรอบต้น เพื่อให้สามารถนั่งพักหรือนอนเล่นได้

    ผู้เขียนหยุดนั่งพัก แล้วนำหนังสือสวดมนต์กางออกเพื่ออ่านและหัดท่อง ก็ท่องตามหนังสือไปเรื่อยๆโดยไม่เจาะจงว่าจะเป็นบทไหน

    “สวัสดีค่ะ รบกวนหรือเปล่าคะ”

    ผู้เขียน สะดุ้งโหยงเพราะกำลังเพลินกับการท่องบทสวดในหนังสือ จนไม่ได้สังเกตว่าใครจะเข้ามาหา ทำให้ตกใจ

    “เอ้อ..........ไม่รบกวนหรอกครับ มีอะไรให้ช่วยเหลือหรือครับ”

    ภาพที่ผู้เขียนเห็นและทักทายในขณะนั้นคือ ภาพของสุภาพสตรีนางหนึ่ง ใส่ผ้าซิ่นลายขวางสีเขียวแดงแต่ดูเรียบร้อย ใส่เสื่อคอปกแขนกระบอกถึงข้อศอกสีขาว ผิวพรรณขาวสะอาดรูปร่างท้วมนิดๆดูมีฐานะ อายุประมาณ30เศษ ยืนคู่อยู่กับผู้ชาย ดูท่าทางมีอายุแล้วเช่นกัน สังเกตจากผมที่แซมขาวแต่หวีเรียบร้อยดี แต่งกายด้วยเสื้อคอปกสีขาวคล้ายเสื้อจากธรรมกาย กางเกงขายาวสีขาว

    “ท่องบทสวด ฟังเพลินเลย ขอนั่งคุยด้วยกับท่านพราหมณ์ได้ไหม”

    สุภาพสตรีคนนั้นเอ่ยตัดจังหวะที่เห็นผู้เขียนนั่งมองอยู่ เมื่อเห็นผู้เขียนพยักหน้าก็เดินมานั่งตรงข้างผู้เขียน รวมทั้งผู้ชายคนที่มาด้วยกันนั่งถัดออกไป

    “คือมีเรื่องอยากจะถามพราหมณ์ว่า จากที่มีข่าวลือต่างๆนาๆในตอนนี้เกี่ยวกับเรื่องพระในทางที่ไม่ค่อยดีนัก พราหมณ์มีความคิดเห็นเป็นอย่างไรบ้าง”

    เอาละสิ มาถามคำถามแบบนี้ผู้เขียนนึก จะให้ตอบว่าอย่างไรดีล่ะ

    “เรื่องแบบนี้มันค่อนข้างยาวน่ะครับ กลัวว่าผมจะตอบได้ไม่ดีพอ ไม่ลองเข้าไปกราบหลวงพ่อ(เจ้าอาวาส)เรียนถามท่านล่ะครับ อาจจะได้คำตอบที่ดีกว่าผมตอบก็ได้ครับ” ผู้เขียนพยายามเลี่ยงที่จะไม่ตอบ

    “อ๋อ..........ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ ไม่อยากจะเข้าไปรบกวนหลวงพ่อท่านหรอกจ๊ะ อยากจะคุยถามความคิดเห็นของพราหมณ์มากกว่า ว่าพราหมณ์คิดยังไงกับเรื่องนี้ เพราะตอนนี้มีข่าวออกมามากเสียเหลือเกิน จนญาติโยมเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีกับการเข้าวัดทำบุญเหมือนเช่นที่เคยปฏิบัติมาน่ะจ๊ะ”

    ผู้หญิงคนนั้นพยายามที่จะให้ผู้เขียนตอบให้ได้ ผู้เขียนจึงเอ่ยว่า

    “คือว่า เรื่องแบบนี้ มันอยู่ที่จิตใจคนเราน่ะครับ อยู่ที่ความศรัทธา อยู่ที่ความยึดมั่นแห่งองค์พระรัตนตรัย ทุกวันนี้เราเข้าวัด เราทำบุญ เราใส่บาตรแล้วน้อมคิดถึงใครล่ะ เรานึกถึงหน้าพระสงฆ์ที่เราใส่บาตรหรือว่าเรานึกถึงองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ คือที่ทำน่ะใช่ แต่จริงๆแล้วเรายึดถือคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาต่างหาก เรานึกถึงพระองค์ท่าน นึกถึงคำสอนของท่าน นึกถึงความดีงาม

    ในกรณีของพระสงฆ์หากจะเรียกให้ถูกก็คือ สมมุติสงฆ์ คือเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าที่คอยช่วยเผยแผ่คำสอน เผยแผ่พระธรรม การจะให้พระสงฆ์นั้นดีเสียทุกรูปตามที่เรานึกคิดก็คงไม่ใช่ เปรียบกับตัวเราเอง เราลองมองตัวเราเองดูซิว่า ตัวเราเองดีทุกเรื่องหรือเปล่า ก็เปล่าเลย เฉกเช่นเดียวกัน พระสงฆ์ก็มีทั้งศีลครบและศีลไม่ครบ มีทั้งดีมาก และดีไม่มาก ปะปนกันไปเหมือนเช่นเดียวกันกับคนเรา ที่ปฏิบัติดีบ้างไม่ดีบ้าง มากบ้าง น้อยบ้าง

    การจะทำบุญนั้น อยู่ที่ใจของแต่ละคน ไม่ได้ให้ยึดถือ เอาตัวตน ถือเป็นการบริจาคทาน สิ่งที่เราคิดและยึดถือในขณะทำบุญก็คือ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า การปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของพระองค์ คำสอนของพระองค์ พระที่สอนก็นำเอาคำสอนของพระองค์มาสอน ไม่ใช่พระคิดขึ้นมาสอนเอง ดังนั้น พระท่านจึงเป็นแค่ตัวแทนที่จะถ่ายทอดคำสอนเพียงเท่านั้น ไม่ได้เลิศประเสริฐไปเสียทุกอย่างตามที่เราคาดหวังว่า พระต้องเป็นแบบโน้นแบบนี้ พระต้องดีในสายตาเราทุกรูป เพราะเราตั้งความหวังกับพระท่านมากเกินไป จึงเป็นบางครั้งที่อาจจะทำให้เรารู้สึกเสียความตั้งใจ กระทำบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่ชอบ ที่เราไม่ต้องการ

    การทำบุญนั้นก็คือการบริจาคทาน ให้ในส่วนที่เราให้ไปแล้ว ตัวเราเองไม่เดือดร้อน ให้โดยความบริสุทธิ์ใจ ให้โดยไม่มีข้อแม้จึงจะเป็นการทำบุญ ไม่ใช่ให้โดยตั้งความหวัง หวังว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ให้โดยตั้งข้อแม้ว่า เมื่อให้ไปแล้ว จะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะต้องเอาไปใช้ในสิ่งที่คนให้ต้องการ แบบนั้นไม่เรียกว่าการให้ แต่เป็นการใช้ให้เป็นไปหรือเป็นการเจาะจงมากกว่า ดังนั้นเมื่อเราให้ไปแล้ว พระท่านจะเอาไปใช้อย่างไร จะไปซื้อเครื่องบิน ซื้อรถ ซื้อสิ่งของ สร้างวัด สร้างวิหาร ก็คงเป็นสิทธิ์ของท่าน เพราะเราได้ให้ไปแล้ว จะมาบงการให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ตามแต่ใจเราต้องการ ก็คงเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะสิ่งที่เราให้ไปนั้น คือทาน คือการทำทานคือการบริจาคให้ไปแล้ว

    เพราะการไปยึดติดในสิ่งที่ให้ไปแล้วนั่นเอง คนจึงสับสนในตัวเอง ไม่พยายามแยกแยะให้ออกจากกัน ว่านี่คือให้ทาน นี่คือการใช้ให้ทำ พอเห็นพระไม่เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ จึงรู้สึกไม่สบอารมณ์

    หากว่าการที่เราให้ การที่เราทำบุญ การที่เราบริจาค รู้สึกว่าเราเองจะเดือดร้อน ก็คงไม่ต้องให้ ไม่ต้องทำ ไม่ต้องบริจาค เพราะบริจาคแล้ว เราเก็บเอามาคิด เก็บเอามาบงการ ก็คงไม่เกิดประโยชน์สักเท่าไหร่ สู้อยู่เฉยๆนิ่งๆ สวดมนต์ภาวนาอยู่กับบ้านดีกว่า น่าจะมีประโยชน์มากกว่า

    ดังนั้นตามความเห็นของผมจึงพอจะสรุปได้บ้างว่า แม้จะมีข่าวคราวเกี่ยวกับพระแบบไหน ยังไง หากใจเราไม่ยึดติดในข่าว แต่เรายึดติดในพระพุทธองค์ ยึดติดในพระธรรมคำสั่งสอน ยังไงเสีย สิ่งต่างๆก็ไม่สามารถมาทำให้จิตใจเราหลงไปกับสิ่งนั้นได้

    คนทุกวันนี้ยึดติดกับสื่อมากจนเกินไป โดยไม่พยายามคิดให้กว้าง หรือคิดให้ลึกซึ้ง คิดแต่มุมแคบๆยึดติดอยู่กับสื่อต่างๆมากจนเกินเหตุ ทำให้จิตใจคล้อยตามได้ง่าย ใครพูดอย่างไร ว่าอย่างไร ก็คล้อยตามหรือเอาตาม โดยไม่ฉุกคิดพิจารณาให้ดีก่อน จึงเกิดเรื่องไม่ดีงามต่างๆนาๆตามที่เราได้รับรู้กันอยู่ตลอดเวลานั่นเอง หากเรารู้จักแยกแยะ หรือพิจารณาก่อน ก็คงไม่เกิดปัญหาที่จะตามมา”


    ผู้หญิงและผู้ชายที่นั่งฟังผู้เขียนพูดอยู่ ต่างพยักหน้ารับรู้ และกล่าวเสริมว่า

    “เราทั้งสองคน รู้สึกดีใจและปราบปลื้มใจที่ยังมีคนที่เข้าใจในพระรัตนตรัยและเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆที่คุณบอกเล่ามาในวันนี้เช่นคุณ เราทั้งสองคนจึงขออนุโมทนาในสิ่งที่คุณได้บอกแก่เราเมื่อสักครู่นี้ด้วยเถิด”

    ทั้งสองคนประนมมือไหว้ผู้เขียน ผู้เขียนรับไหว้ตอบแล้วจึงกล่าวว่า

    “ด้วยความยินดีครับที่ได้พูดคุยด้วยกัน เรื่องที่พูดถึงนั้นเป็นความคิดความเข้าใจของผมเท่านั้น แต่ไม่ใช่ว่าจะของคนทั้งหมด และผมก็คงพูดได้เท่าที่สติปัญญามีเท่านั้นครับ หากต้องการรู้แบบกระจ่าง คงต้องคุยกับหลวงพ่อท่านดู อาจจะได้ความรู้มากกว่าคุยกับผมก็ได้ครับ”

    “ยังไงแล้ว เราทั้งสองคนต้องขอตัวก่อนละนะ ไว้โอกาสหน้าคงได้คุยกันอีกจ๊ะ”

    ทั้งสองคนลุกขึ้นยืน เพื่อจะเดินจากไป ผู้เขียนยืนขึ้นรีบยกมือไหว้ลา ทั้งสองคนยกมือรับไหว้ แล้วพากันเดินลับจากไปทางด้านหน้ากุฏิ

    ผู้เขียนนั่งลงตามเดิม แล้วทำท่าจะลงนอน กะเอาว่าจะของีบพักสักหน่อย

    “เดี๋ยวสิโยม อย่าพึ่งนอน”

    ผู้เขียนรู้สึกหงุดหงิดว่า อะไรอีกวะ จะนอนเสียหน่อย ใครมาขัดจังหวะอีกล่ะทีนี้ เงยหน้าขึ้นดูพบว่าเป็นพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง ผู้เขียนจึงลุกขึ้นยืน พร้อมทั้งเชิญให้นั่ง

    “ไม่เป็นไรหรอกโยม ตามสบายเถอะ อาตมาอยู่ที่กุฏินี้ นั่งสังเกตมองดูโยมมาพักหนึ่งแล้ว เห็นโยมนั่งพูดอะไรอยู่คนเดียว เลยจะมาถามโยมว่า โยมคุยกับใคร”

    พระรูปนั้นพูดขึ้น พร้อมทั้งหันมองรอบๆว่ามีใครอยู่บริเวณนี้หรือเปล่า

    “เอ้อ..........ผมคุยอยู่กับ.......อ้าวลืมถามชื่อเลยว่าชื่ออะไร คือผมเห็นเดินมา2คน ผู้ชายคน ผู้หญิงคน มานั่งคุยด้วยน่ะครับ เลยคุยกันยาวเลย หลวงพี่เห็นหรือ”

    พระรูปนั้นส่ายหน้า พร้อมทั้งบอกกับผู้เขียนว่า

    “อาตมาไม่เห็นมีใครเดินมาเลย เห็นแต่โยมเดินมานั่งตั้งแต่แรกคนเดียว แล้วไม่เห็นมีใครเดินมาอีกเลย เห็นโยมนั่งพูดอยู่คนเดียว อาตมาสงสัย จึงเดินมาดูนี่แหละ ว่าคุยอยู่กับใคร”

    ผู้เขียนขนลุกซู่ทั้งตัว นึกในใจว่า เอาอีกซะแล้วเรา โดนซะอีกแล้ว โดนครั้งนี้ถือว่าเป็นบททดสอบภาคสนามก็แล้วกัน ว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน ท่านผู้อ่านว่าผู้เขียนผ่านหรือเปล่า เล่าสู่กันฟังบ้างนะ....

    ครั้งหน้าเรามาต่อกันเรื่องสวรรค์ที่ติดค้างกันอยู่นะครับ


    ภควัณตัง​
     
  12. veer

    veer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +356
    ขอขอบคุณครับ ที่มีบทความดีๆให้อ่าน ติดตามครับ
     
  13. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    สวรรค์​

    เรื่อง ของสวรรค์เป็นเรื่องของความเชื่อและเป็นอุบายธรรม ซึ่งคนโบราณมุ่งจะปลูกฝังสั่งสอนให้คนประพฤติดี ประพฤติชอบ ไม่กระทำบาป คือ ละความโลภ ละความโกรธ ละความหลง เพื่อให้ได้เป็นเทวดาเสวยสุขสมบัติ สวรรค์สมบัติ

    สวรรค์ คือภูมิอันเป็นที่อยู่ของเทวดา เป็นโลกที่อยู่อาศัยของกายละเอียดอันเป็นทิพย์ ที่มีรัศมีสว่างไสวรอบกายตลอดเวลาเหตุที่ทำให้มาเกิดเป็นเทวดาเพราะได้ สร้างบุญกุศลไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เมื่ออุบัติขึ้นก็ตั้งอยู่ในวัยหนุ่มสาวทันที งดงามตลอดเวลา จนกว่าจะถึงเวลาจุติ ไม่มีความแก่บังเกิดขึ้นเหมือนในเมืองมนุษย์

    วิมานปราสาทคือที่อยู่อาศัยของเทวดา ล้วนมีความวิจิตรงดงาม มีขนาดแตกต่างกันตามบุญบารมี มีความเป็นอยู่สะดวกสบาย มีอาหารทิพย์บังเกิดขึ้น มีบริวารคอยรับใช้ใกล้ชิด เสื้อผ้าเป็นทิพย์ วิจิตรงดงาม บังเกิดขึ้นให้สวมใส่ กิจกรรมแต่ละวันก็มีการเที่ยวเพลิดเพลินบันเทิงอยู่กับการชมสวน

    สวรรค์ชั้นต่างๆ​

    สวรรค์ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของเทวดา เป็นโลกที่อยู่อาศัยของกายละเอียดอันเป็นทิพย์ ที่มีรัศมีสว่างไสวรอบกายตลอดเวลา หลายคนอาจเข้าใจว่ามี 7 ชั้น แต่แท้จริงแล้วมีทั้งหมด 6 ชั้น เรียกว่า ฉกามาพจร

    ๑. สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา สวรรค์ชั้นต่ำสุด ตั้งอยู่เหนือจอมเขายุคันธร ซึ่งเป็นภูเขาที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ อยู่สูงกว่าแผ่นดินขึ้นไปเบื้องบน ๓๒๖,๐๐๐,๐๐๐ วา คิดเป็นโยชน์ได้ ๔๖,๐๐๐ โยชน์ มีเมือง ๔ เมือง มีความกว้างยาวเท่ากัน คือ ๔๐๐,๐๐๐ วา กำแพงล้อมรอบประกอบด้วยแก้ว ๗ ประการ สูง ๘,๐๐๐ วา บานประตูทำด้วยแก้ว มีปราสาททองอยู่เหนือประตูทุกด้าน แผ่นดินเป็นแผ่นดินทองคำ แวววาวงดงาม ราบเรียบเหมือนหน้ากลอง เหมือนปูด้วยผ้า แก้วที่ประดับพื้นนั้นถ้าเหยียบลงไปก็อ่อนนุ่มยุบลงเล็กน้อย แล้วก็เต็มขึ้นมาเหมือนเดิม ไม่ปรากฏรอยเท้าที่เหยียบ น้ำใสยิ่งกว่าแก้ว มีดอกบัว ๕ ชนิดบานสะพรั่ง น้ำมีกลิ่นหอมราวกับอบไว้ มีดอกไม้ต้นไม้งามเลิศ มีผลไม้รสอร่อยตลอดปี

    เทพยดา ในสวรรค์ชั้นนี้มีอาหารทิพย์ อาหารแห้ง หายเข้าสู่ร่างกาย ไม่มีกากมูลอุจจาระ ปัสสาวะ ไม่เจ็บป่วย อยู่กับครอบครัวลูกเมียเป็นสุขสบาย เทพยดานั้นจะย่อตัวขยายตัวได้ตลอด รูปโฉมโนมพรรณจะสดใสเป็นหนุ่มสาวอยู่ราว ๑๖ ปีตลอด ร่างกายบริสุทธิ์สะอาดหอมอยู่ตลอดเวลา ปราศจากมลทินใดใด

    สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีเทพยดาผู้เป็นใหญ่ คือ พระยาจตุโลกบาล ปกครองเหล่าเทพยดา ครุฑ นาค และยักษ์ทั้งหลาย คือ ท้าวธตรฐ ทิศตะวันออก ท้าววิรูปักข์ ทิศตะวันตก ท้าววิรุฬหก ทิศใต้ ท้าวไพรศรพณ์ ทิศหนือ ผู้ที่ได้จุติเป็นเทพยดาในสวรรค์ชั้นนี้ได้ ต้องกระทำบุญไว้มากพอ

    ๒. สวรรค์ชั้นดาวดึงษา เป็นสวรรค์ชั้นที่อยู่เหนือจาตุมหาราชิกาขึ้นไปอีก ๓๓๖,๐๐๐,๐๐๐ วา อยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ เป็นที่อยู่ของพระอินทร์ สวรรค์ชั้นนี้ มีอาณาเขตกว้าง ๘,๐๐๐,๐๐๐ วา มีเมืองชื่อไตรตรึงษ์ มีประตู ๑,๐๐๐ ประตู มีกำแพงแก้วล้อมเมือง ทุกประตูมียอดปราสาทแก้วงดงามวิจิตรพิสดารเวลาเปิดปิดประตู จะมีเสียงดังไพเราะราวกับดนตรี

    กลางเมืองนครไตรตรึงษ์ มีไพชยนต์ปราสาท สูง ๒๕,๖๐๐,๐๐๐ วา งดงามด้วยแก้ว ๙ ประการ เป็นที่ประทับของพระอินทร์

    ในทิศ ตะวันออก มีสวนทิพย์ ชื่อ นิภาวัน มีอาณาเขต ๘๐๐,๐๐๐ วา มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีปราสาทแก้วเหนือประตูทุกประตู มีอุทยาน ซึ่งมีสมบัติทิพย์ ต้นโสออกดอกมาก มีสระใหญ่ชื่อ นันทาโบกขรณีน้ำใสเหมือนแก้วอิภานิล (สีฟ้าเข้ม) มีแท่นแก้ว ๒ แท่น ชื่อ นันทปริฐิปาสาณ และ จุลนันทาปริฐิปาสาณ แผ่นหินแก้วมีรัศมีรุ่งเรือง เวลาจับต้องจะนุ่มราวกับแผ่นหนังเสือ

    ทิศใต้ มีอุทยาน ผารุสกวัน (ปารุสกวัน) อาณาเขต ๕,๖๐๐,๐๐๐ วา มีกำแพงแก้วและปราสาทเหนือประตู มีสระใหญ่ชื่อ ภัทรโบกขรณี สุภัทราโบกขรณี ริมฝั่งสระมีหินแก้ว ๒ ก้อน ชื่อเดียวกับสระ หินอ่อนนุ่ม

    ทิศตะวันตก มีอุทยานจิตรลดา อาณาเขต ๔๐๐,๐๐๐ วา มีสระ จิตรลดาโบกขรณี และ จุลจิตรลดาโบกขรณี มีแผ่นหินแก้ว ชื่อ จิตรปาสาณ

    ทิศ เหนือ มีอุทยานใหญ่มิสกวัน ต้นไม้ดอกไม้งดงามราวกับตกแต่งไว้ มีกำแพงแก้วและยอดปราสาททุกประตู อาณาเขต ๔๐,๐๐๐ วา มีสระใหญ่ชื่อ ธรรมาโบกขรณี และ สุธรรมาโบกขรณี แผ่นดินแก้วชื่อ ธรรมาปริฐิปาสาณ และ สุธรรมาปริฐิปาสาณ

    ทิศตะวันออก มีสวนใหญ่ ชื่อ มหาพน กำแพงล้อมรอบเป็นทองคำ มีปราสาทแก้วเหนือประตู อาณาเขต ๖๐๐,๐๐๐ วา มีปราสาททองคำ สวนมหาวัน สวนนันทวัน มีแท่นแก้ว กลดแก้วกางเหนือแท่นมีรถไพชยนต์ มีม้าแก้วเทียมรถทองคำ มีสร้อยมุกดาประดับพร้อมมาลัยดอกไม้ทิพย์ เวลาลมพัดได้ยินเสียงราวฆ้องกลองแตรสังข์ที่เทวดาบรรเลงในชั้นฟ้า

    ที่เขาพระสุเมรุ มีช้างทรงของพระอินทร์ ชื่อช้างเอราวัณ สูง ๑,๒๐๐,๐๐๐ วา มีเศียร ๓๓ เศียร เมื่อเวลาพระอินทร์จะประทับ ช้างจะเนรมิตกายสูงใหญ่ บนเศียรมีวิมาน มีปราสาท มีอุทยาน มีนางฟ้าร่ายรำ ช้าง ๓๓ เศียร มีงา ๒๓๑ งา สระ ๑,๖๑๗ สระ กอบัว ๑๑,๓๑๙ กอ ดอกบัว ๗๙,๒๓๓ ดอก ๕๕๔,๖๓๑ กลีบ นางฟ้าร่ายรำ ๓,๘๘๒,๔๑๗ นาง บริวารอีก ๒๗,๑๗๖,๙๑๙ นาง

    ในสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์นี้ยังมีคำอธิบายความงามมหัศจรรย์พันลึกมาก เช่น มีสระ มีพระจุฬามณีเจดีย์ มีต้นปาริชาต (ดอกทองหลาง) ๑๐๐ ปี ดอกจึงจะบาน ดอกที่บานมีแสงสว่างรุ่งเรืองแผ่รัศมีไปไกลถึง ๘๐๐,๐๐๐ วา

    ๓. สวรรค์ชั้นยามา สูงขึ้นไปจากดาวดึงส์ ๖๗๐,๐๐๐,๐๐๐ วา หรือ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ มีปราสาทแก้ว ปราสาททองเป็นวิมาน มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีอุทยานแก้ว สระโบกขรณี เทวดาในชั้นนี้มีหน้าตารุ่งเรือง กายสูง ๘,๐๐๐ วา ผู้เป็นใหญ่คือ ท้าวสยามเทวราช ไม่มีแสงอาทิตย์เพราะอยู่สูงมาก เทวดามองเห็นสรรพสิ่งได้ด้วยแสงรัศมีจากแก้วทั้งหลาย และรัศมีกายของเทวดาเอง จะรู้ว่าเช้าหรือค่ำ ดูได้จากดอกไม้ทิพย์ ถ้าเห็นดอกไม้บาน คือรุ่งเช้า ถ้าหุบเป็นเวลากลางคืน อายุเทพยดาในชั้นฟ้านี้ยืนถึง ๒๐๐ ปีทิพย์ หรือ ๑๔๔,๐๐๐,๐๐๐ ในเมืองมนุษย์

    ๔. สวรรค์ชั้นดุสิต สูงขึ้นไปจากยามา ๑,๓๔๔,๐๐๐,๐๐๐ วา หรือ ๑๖๘,๐๐๐ โยชน์ มีปราสาทแก้ว ปราสาททองเป็นวิมาน กำแพงแก้วล้อมรอบ มีความกว้างและสูงกว่าในสวรรค์ชั้นยามา มีสระ สวนสนุกยิ่งใหญ่งดงามรื่นรมย์เหมือนสวรรค์ชั้นอื่นๆ ผู้เป็นใหญ่ชื่อ พระสันดุสิตเทพยราช เทพยดาในชั้นนี้ รู้บุญ รู้ธรรม พระโพธิสัตว์ก่อนเสด็จมาเป็นพระพุทธเจ้าก็สถิตสร้างสมบารมีในชั้นฟ้านี้ อายุเทวดาในชั้นนี้ ยืน ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ หรือ ๕๗๖,๐๐๐,๐๐๐ ปีเมืองมนุษย์

    ๕. สวรรค์ชั้นนิมมานนรดี สูงขึ้นไปอีก ๒,๖๘๘,๐๐๐,๐๐๐ วา หรือ ๓๓๖,๐๐๐ โยชน์ มีสิ่งอำนวยความสุขเหมือนทุกชั้น มีความงดงามยิ่งขึ้นไปอีก เทพยดาในชั้นนี้มีความสุขสมบูรณ์มาก ปรารถนาสิ่งใดจะเนรมิตได้ตามความพอใจ

    ๖. สวรรค์ชั้นปรนิมิตวสวัตตี เป็นสวรรค์ชั้นสูงสุด ประเสริฐด้วยสุขสมบัติยิ่งกว่าชั้นฟ้าทั้งหลาย หากปรารถนาสิ่งใด เช่น อาหารทิพย์ ก็จะมีเทพยดาองค์อื่นคอยเนรมิตให้ทุกประการ สวรรค์ชั้นนี้ มีผู้เป็นใหญ่ ๒ องค์ คือ ปรนิมิตวสวัตตีเทวราช เป็นใหญ่ฝ่ายเทพยดา และพระยามาราธิราชเป็นใหญ่ฝ่ายมาร

    ภควัณตัง​
     
  14. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    การสิ้นชีวิตของเทพยดา มี ๔ อย่างคือ​

    ๑. อายุขัย ได้แก่ สิ้นชีวิตตามอายุในชั้นฟ้านั้น(ตามพลังแห่งบุญ)
    ๒. บุญญขัย สิ้นบุญก่อนถึงกำหนดอายุขัยในชั้นฟ้านั้น(ไม่ประกอบผลบุญเพิ่ม)
    ๓. อาหารขัย สิ้นชีวิตเพราะสนุกจนลืมกินอาหาร(เพลิดเพลินจนลืม)
    ๔. โกธาพละ สิ้นชีวิตเพราะความโกรธ ซึ่งหัวใจจะกลายเป็นไฟไหม้ตนเอง(รัก โลภ โกรธ หลง)

    ก่อนเทพยดาจะจุติ (สิ้นชีวิต) จะมีนิมิต ๕ ประการ คือ​

    ๑. เห็นดอกไม้ในวิมานของตนเหี่ยวและไม่หอม
    ๒. ผ้าทรงดูหม่นหมอง(สีไม่สดใส)
    ๓. อยู่ไม่มีความสุข มีเหงื่อไคลไหลจากรักแร้(รู้สึกร้อนรุ่ม)
    ๔. อาสนะร้อนและแข็งกระด้าง(ไม่นุ่มนิ่มเหมือนดังเก่า)
    ๕. กายของเทพยดานั้นเริ่มเหี่ยวแห้ง เศร้าหมอง ไม่มีรัศมี(หน้าตาหมองคล้ำ)

    ทำบุญอย่างไรจึงจะได้ไปสวรรค์แต่ละชั้น​

    การสังสรรค์กันระหว่างทวยเทพทั้งหลาย ส่วนจะอุบัติขึ้น ณ สวรรค์ชั้นไหน เป็น เทวดาประเภทใด และอยู่ในฐานะอะไรนั้น ก็ ขึ้นอยู่กับบุญที่ตัวเองสั่งสมมาเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ซึ่งได้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 37 เรื่อง ทานสูตร สรุปย่อได้ดังนี้

    ผู้ที่ได้เกิดบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกามีจาก หลายสาเหตุ คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญไม่ ค่อยเป็นไม่รู้หลักการทำบุญ และไม่ค่อยได้สั่งสม บุญ นานๆ ทำครั้งหนึ่ง เมื่อทำก็ทำน้อย หรือ ทำบุญเอาคุณ บุญที่ได้ก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่สมบูรณ์ บาปในตัวก็มีอยู่ แต่ว่าบุญมากกว่า เมื่อละโลกใจนึกถึงบุญก่อนก็ไปสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ ณ เชิงเขาสิเนรุ สวรรค์ชั้นนี้จะมีความหลากหลายมากที่สุด เพราะอยู่ใกล้ชิดกับพื้นมนุษย์มากกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ และมีบางส่วนที่มีที่อยู่ซ้อนกับภูมิมนุษย์ ที่ได้ชื่อสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เพราะมีเทพผู้เป็นใหญ่ครองสวรรค์ชั้นนี้อยู่ 4 ท่าน คือ ท้าวธตรฐ ปกครองเทวดา 3 พวก ได้แก่ คนธรรพ์ วิทยาธร กุมภัณฑ์ ท้าววิรุฬหก ปกครองพวกครุฑ ท้าววิรูปักษ์ ปกครองพวกนาค ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองพวกยักษ์

    เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์คือเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งดีงาม เป็นสิ่งที่ควรทำ กระทำแล้วก็สั่งสมบุญ สั่งสมเทวธรรม มีหิริ โอตตัปปะด้วย เมื่อละโลกก็จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าตัดของเขาสิเนรุ ที่ชื่อว่า ดาวดึงส์ เพราะเป็นที่อยู่ของเทพผู้ปกครองภพถึง 33 องค์ โดยมีท้าวสักกเทวราช หรือพระอินทร์ เป็นประธาน และที่สำคัญมีพระธาตุจุฬามณี ซึ่งทุกวันพระเทวดาจะมาประชุมกันที่สุธรรมาเทวสภา เพื่อรับฟังโอวาทจากท้าวสักกะ

    เกิดบนสวรรค์ชั้นยามาคือเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญเพราะอยากจะสืบทอดและรักษาประเพณีแห่งความดีงามนั้นไว้ ทำนองว่าวงศ์ตระกูลสร้างสมความดีมาอย่างไรก็อยากจะรักษาประเพณีไว้ หรือผู้หลักผู้ใหญ่สอนอย่างไร บรรพบุรุษทำมาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ทำกันไปตามธรรมเนียม เช่น เห็น ปู่ย่าสร้างโบสถ์ บำรุงวัด สร้างพระประธาน ก็ทำตามนั้นด้วย หรือพระภิกษุที่รักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ที่พระต้องมีหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนา เมื่อละโลกแล้ว ส่วนใหญ่จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ขึ้นไป

    เกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตคือ​

    เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ทำบุญเพื่อปรารถนาสงเคราะห์โลก ปรารถนาให้ชาวโลกมีความสุข มีความคิดที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพื่อตนเองอย่างเดียว แต่เพื่อสงเคราะห์โลก เพื่อนมนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วย เมื่อละโลกแล้วก็จะไปสวรรค์ ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงถัดจากสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไป

    เกิดบนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี​

    คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เห็นผู้อื่นทำบุญแล้วได้รับ การยกย่อง ส่งเสริม จึงอยากจะทำบุญนั้นบ้าง อยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง เมื่อละโลกแล้ว จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไป

    เกิดบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี​

    คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญด้วยความเลื่อมใส เคารพในทาน ทำแล้วมีความรู้สึกปลื้มใจ ในบุญที่ทำนั้น เมื่อละโลกแล้วจะบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดีขึ้นไป

    ความเป็นอยู่ของชาวสวรรค์แต่ละชั้น จะมีความประณีตยิ่งๆ ขึ้นไปตามลำดับชั้น ถ้าใครทำบุญมามาก จนครบทุกอย่างดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ปรารถนาจะไปอยู่ ณ ที่ใด ก็สามารถจะไปสวรรค์ชั้นที่ต้องการได้ เหตุแห่งการกระทำที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นสาเหตุหลักๆ เป็นภาพรวมของการทำบุญที่ทำให้ไปเกิดในสวรรค์ในแต่ละชั้นแต่อาจ จะมีองค์ประกอบและปัจจัยอย่างอื่นเสริมอีกด้วย

    ภควัณตัง​
     
  15. wan_winny

    wan_winny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +216
    เทพยดา มีโอกาสได้เลื่อนชั้นสวรรค์ไหมคะ หรือได้ไปนิพพานไหมคะ
     
  16. srisansuk

    srisansuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +201
    ขอขอบคุณสำหรับข้อคิดเห็นในการทำบุญ+ให้ทาน
    รวมถึงข้อคิด บทความต่างๆ
    ขออนุโมทนาบุญครับ
     
  17. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    สวรรค์ชั้นดุสิตหรือดุสิตบุรี ดีอย่างไร​

    ทำไมพระบรมโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและนักสร้างบารมีทั้งหลายถึงเลือกที่จะอยู่ชั้นนี้สวรรค์ชั้นดุสิตนี้ มีความกว้างใหญ่ไพศาลมาก มีท้าวสันดุสิต ซึ่งบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว เป็นผู้ปกครองภพ ที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดุสิตอยู่สูงขึ้นไปจากยอดเขาสิเนรุ อยู่ในอากาศเหนือสวรรค์ชั้นยามา 42,000 โยชน์ บนสวรรค์จะไม่มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ทำให้ไม่มีเงา ไม่มีมุมมืดบนสวรรค์ อยู่ได้ด้วยความสว่างจากวัตถุสิ่งของต่างๆ เช่น กายของเหล่าเทวดา วิมาน สวน สระ สิ่งแวดล้อมต่างๆ มีแต่ความสว่าง จึงไม่ต้องอาศัยดวงอาทิตย์

    ลักษณะของสวรรค์ชั้นดุสิต จะไม่ได้กลมอย่างโลกมนุษย์ แต่จะกลมแบบราบ ถ้ามองจากสวรรค์ชั้น ยามาขึ้นไป จะมองเห็นเป็นแสงสว่าง นุ่มเนียนตา และถ้ามองจากสวรรค์ ชั้นดุสิตขึ้นไป ก็จะเห็นแสงสว่างนุ่ม เนียนตาของสวรรค์ชั้นนิมมานรดี หรือถ้ามองลงไปที่ดาวดึงส์ก็จะเห็น ว่ามีขนาดเล็กนิดเดียว เพราะสวรรค์ชั้นดุสิตใหญ่กว่า

    โครงสร้างของสวรรค์ชั้นดุสิต มีวิมานของท้าวสันดุสิตเป็นศูนย์กลาง ของสวรรค์ชั้นนี้ แล้วแบ่งออกเป็น 4 เขต วนโดยรอบวิมานของท้าวสันดุสิต ดังนี้

    เขตที่ 1 เป็นที่อยู่ของพระอริยเจ้า คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี ซึ่งอยู่ชั้นในสุด

    เขตที่ 2 เป็นที่อยู่ของนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับการพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน ซึ่งวงบุญพิเศษของผู้ที่มีมโนปณิธานจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปสู่ฝั่งพระนิพพาน ให้หมดจนกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม ก็จะอยู่ในเขตนี้ด้วย

    เขตที่ 3 เป็นที่อยู่ของอนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับ พยากรณ์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังต้องสร้างบารมีอีกมาก

    เขตที่ 4 เป็นที่อยู่ของผู้ที่ทำกุศลมาก และมีกำลังบุญมากพอที่จะได้อยู่สวรรค์ชั้นดุสิตนี้ เป็นเขตทั่วไป นอกเหนือจาก 3 เขตแรก สวรรค์ชั้นดุสิตนี้ มีความพิเศษกว่าสวรรค์ชั้นอื่นอยู่หลายประการ หนึ่งในความ พิเศษนั้นก็คือ เป็นที่อยู่ของเหล่าพระบรมโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตจำนวนมาก และเหล่าเทพบุตรที่สร้างบารมีเป็นพระสาวก เพื่อตามพระบรมโพธิสัตว์ลงมาตรัสรู้ในอนาคต แล้วทำไมพระบรมโพธิสัตว์ หรือบัณฑิตทั้งหลายจึงปรารถนาที่จะได้มาบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ ทั้งที่กำลังบุญของแต่ละท่านนั้นมากมาย ปรารถนาที่จะไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นใดก็ได้ เหตุที่ท่านเลือกสวรรค์ชั้นนี้ มีข้อสังเกตอย่างน้อย 3 ประการ คือ

    1. พระโพธิสัตว์สามารถจุติ ลงมาได้ตามใจปรารถนา หมายความ ว่า โดยปกติเทวดามีเหตุแห่งการจุติ หลายประการ เช่น หมดบุญก็มี หมดอายุขัยก็มี จุติเพราะความโกรธก็มี แต่เหล่าพระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลาย ในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ เมื่อจะจุติลงมา สร้างบารมี หรือมาบังเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะนั่งทำสมาธิ อธิษฐานจิต สามารถดับวูบลงมาเกิด ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของ ชาวสวรรค์ชั้นอื่นๆ

    2. เนื่องจากสวรรค์ชั้นนี้ มีแต่บัณฑิต มีแต่พระบรมโพธิสัตว์ ล้วนแต่มีอัธยาศัยคล้ายคลึงกัน ที่จะฝึกฝนตนเองและช่วยสรรพสัตว์ไปสู่ฝั่งพระนิพพานไม่ประมาทในการดำรงชีวิตเหมือนชาวสวรรค์ชั้นอื่นๆ มักจะคบหาบัณฑิต พูดคุยสนทนาธรรมกันเพื่อความ เบิกบานใจ และหมั่นไปฟังธรรมในวันพระ ซึ่งท่านท้าวสันดุสิตจะเป็นผู้อัญเชิญพระบรมโพธิสัตว์ที่มีบุญบารมีมากมาแสดงธรรมให้ฟัง

    3. ขนาดอายุทิพย์ของสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ คือ 4,000 ปีทิพย์ ซึ่งไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป พอเหมาะพอดีที่จะเสวยสุข เพราะท่านจะต้องลงมาสร้างบารมีต่อ ถ้ามี อายุขัยนานเกินไปจะทำให้เสียเวลา

    โลกวิญญาณทิพย์มีหลายชั้น เบื้องสูง และเบื้องล่าง เป็นสถาบันทิพย์ แต่ละชั้นมีองค์กรสถาบันทิพย์ฝ่ายผู้สำเร็จทุกกระทรวง และฝ่ายคุณธรรมทางศาสนา ประจำอยู่ในแต่ละชั้นระดับต่าง ๆ เหมือนระบบสังคมบ้านเมืองของไทย ขอให้พิจารณาโลกกับธรรมเป็นของคู่กัน

    โลกวิญญาณทิพย์ดังกล่าวมีโครงสร้าง ประกอบด้วยวิญญาณสูตรธาตุธรรมทั้ง ๔ คือ อากาศดิน อากาศน้ำ อากาศลม อากาศไฟ แต่เป็นธาตุสำเร็จเบื้องสูง เป็นพลังชีวิตที่เป็นวิญญาณสำเร็จ มีอำนาจปกครองและปรุงแต่งสรรพสิ่งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต ตลอดวิญญาณทุกประเภทที่อยู่ในตัวโลกดวงนี้ ปกครองและปรุงแต่งแบบกระจายอำนาจกันลงมา โดยการแยกธาตุปรุงเชื้อสายของโลกวิญญาณเบื้องบน ให้มีติดตั้งไว้ในสังขาร วิญญาณ ทั้งมนุษย์ สัตว์ พืช เป็นเชื้อสายมาจากโลกวิญญาณ กระทรวงต่าง ๆ ให้เป็นตัวหน่วยย่อย หรือตัวแทนประจำอยู่ในกองสังขารเป็นสายโยงวาโยธาตุ สื่อสารถึงกันหมด ให้ประจำอยู่ในกองสังขารทุกตัวตน จะขอกล่าวโดยย่อในส่วนที่สัมพันธ์กับมนุษย์โดยเฉพาะคือ

    ๑. โลกวิญญาณมีสัญญา เป็นกฎหมายตราเป็นเครื่องจำหมายของวิญญาณแต่ละชั้น เช่นเดียวกับในกองสังขารวิญญาณมนุษย์เราก็มีสัญญา ประจำกองสังขาร ซึ่งอยู่ในหมวดขันธ์ ๕ สัญญาเกิด สัญญาตาย สัญญาเวียนว่ายให้มีกุศลธรรม และอกุศลธรรมติดตามปรุงแต่งเป็นสัญญาประจำตัวทุกคน สัญญาประจำกายตนของแต่ละบุคคล กำหนดให้ธาตุธรรมทั้ง ๔ เข้าจัดระเบียบปรุงแต่งในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๘ และบุญญาภินิหารส่วนบุคคลต่างกรรมต่างวาระกันไป

    เมื่อสัญญาปรุงแต่งมาเกิดแล้ว สัญญานั้นก็ควบคุมให้เกิดมีสุขมีทุกข์ในมนุษย์สมบัติต่างฐานะกันออกไป สัญญาประจำกองสังขารเชื่อมโยงผูกพันถึงสวรรค์สมบัติและนิพพานสมบัติด้วย เจ้าหน้าที่ฝ่ายโลกวิญยาณที่เป็นตัวน้อมนำการปรุงแต่งเรียกกันโดยทั่วไปว่า แม่ป้อ แม่ปั้นปุงลิงค์ แม่สื่อแม่กำเนิดเขาจะดูตามสัญญาที่เป็นเครื่องจำหมายของวิญญาณมนุษย์ตนหนึ่ง ๆ

    ๒. โลกวิญญาณทิพย์ มีภูมิลำเนาวิญญาณเป็นเมืองหลายเมือง เช่นเมืองสวรรค์ชั้นภูมิ (เทวภูมิ) สวรรค์เทวโลก เรียกว่าแดนสุขคติภูมิ สำหรับภูมิลำเนาวิญญาณชั้นต่ำ เป็นเมืองนรกมีลักษณะเป็นขุมต่าง ๆ หลายระดับชั้น เรียกว่าทุคติภูมิ โลกวิญญาณทิพย์มีภูมิลำเนาวิญญาณไว้รองรับคุณค่าการทำความดี ต่างระดับกัน ผู้ใดทำชั่วภูมิลำเนาวิญญาณชั้นต่ำก็รองรับ หลายระดับชั้นที่ซึ่งมีไว้ให้วิญญาณมนุษย์ไปเสพผลกรรมตามกุศลกรรม และอกุศลกรรม ในสัญญาแห่งโลกเวียนว่าย

    การเสพผลกุศลกรรมระดับสูงได้ขึ้นไปสู่ภูมิลำเนาวิญญาณ เมืองสวรรค์วิมานเทวโลก เสพผลอกุศลกรรมชั้นต่ำก็ตกไปสู่ภูมิลำเนาวิญญาณชั้นต่ำ มนุษย์ทั่วโลกจึงมีเชื้อสายเผ่าพันธุ์ การปรุงแต่งธาตุธรรมในวิญญาณของตน มาจากภูมิลำเนาวิญญาณต่างฐานะกัน ดังนั้นมนุษย์จึงต้องมีชนชั้นตามสภาพบุญตกแต่งตามค่าของวิญญาณ ตามภูมิลำเนาวิญญาณที่เคยไปสู่กรรมต่างชั้นกัน ทำให้มนุษย์มีกุศลมูลเดิมในกุศลธรรมปรุงแต่งตามภูมิลำเนาชั้นต่าง ๆ

    ดังนั้นมนุษย์จึงเข้าถึงคุณธรรมต่างชั้นต่างวาระกัน ผู้ปฏิบัติธรรมก็เข้าถึงอำนาจคุณธรรมองค์สำเร็จต่างระดับกันด้วย ในเมื่อโลกวิญญาณทิพย์มีภูมิลำเนาชั้นต่าง ๆ มีโครงสร้างเป็นเมือง เมื่อปรุงแต่งสังขารวิญญาณมนุษย์รวบรวมธาตุธรรมเป็นสังขตธรรม เป็นกายสังขารจึงมีเจ้าหน้าที่หน่วยย่อยของเมืองโลกวิญญาณมาติดตั้ง ประจำอยู่ในสังขารทุกตัวตน ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของโลกวิญญาณทิพย์เป็นสื่อสายโยงวาโยธาตุถึงกัน

    เจ้าหน้าที่หน่วยงานของเมืองสวรรค์ที่อยู่ในกายนครของมนุษย์ตัวหนึ่ง ๆ อาทิเช่น เทวทูต ยมทูต พระยาจิตราช ราชทูต มีเชื้อสายเทดา เชื้อสายอินทราธิราช เชื้อสายชั้นพรหมโลก เชื้อสายห้องพระนิพพาน ส่วนเจ้าหน้าที่หน่วยงานของเมืองนรก ก็มีติดตั้งไว้ในสังขารด้วยเหมือนกัน ใครทำดี ทำชั่ว แต่ยุคใดปางใด เวียนเกิดเวียนตายสักกี่ร้อยชาติ ตัวสื่อเรานี้จะบันทึกไว้หมด ดังนั้นโลกวิญญาณทิพย์จึงรู้เห็นการกระทำของมนุษย์ทุกตัวตน อยู่ทุกลมหายใจ เมื่อมนุษย์ถึงวาระทิ้งสังขารวิญญาณทำดีมามาก ฝ่ายดีเขาก็ดึงดูดสูงขึ้น วิญญาณใดทำชั่วมามาก ฝ่ายชั่วก็ดึงดูดให้จมลง เมื่อมนุษย์ทุกตัวตนมีสัญญาทันทึกตราบาปติดวิญญาณอยู่ จึงข้ามโลกเวียนว่ายไม่พ้น

    โลกวิญญาณทิพย์ ภูมิลำเนาเมืองหนึ่ง ๆ มีตราสัญญาเป็นกฎหมายประจำเมือง เป็นข้อกำหนดพันธะผูกพันทางวิญญาณ วิญญาณที่มาจากภูมิลำเนาวิญญาณเมืองนั้น ๆ มีตัวสื่อติดตั้งติดตัวมาไว้ในวิญญาณมนุษย์ตัวตนหนึ่ง ๆ กำหนดให้มีพันธะทางศีลธรรม พันธะทางกุศลมูลเดิม พันธะทางระบบเจ้าขุนมูลนาย เพื่อเป็นระบบปกครองสังคมมนุษย์บนพื้นโลก พันธะทางวัฒนะธรรมให้เชื่อมโยงถึงโลกวิญญาณทิพย์ พันธะทางกรรมสิทธิ์ พันธะทางกรรมสิทธิ์ถือครองรูปสังขาร

    ดังนั้นพันธะทุกอย่างที่ผูกพันอยู่ทางวิญญาณมนุษย์ทุกตัวตน มีอิทธิพลมาจากโลกวิญญาณทิพย์เบื้องบน มนุษย์ทุกคนทั้งโลกแต่ละประเทศ แต่ละกลุ่มชน จะพากันประกาศยกเลิกพันธะต่าง ๆ ในวิญญาณของตนเองเองมิได้ ดังนั้นสังคมมนุษย์จึงต้องมีระบบการปกครอง มีศาสนา มีวัฒนะธรรม มีข้อกำหนดกฎหมายเป็นไปตามหลักธรรมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องผูกพันกันกับโลกวิญญาณทิพย์อย่างแยกไม่ออก

    ดังนั้นโลกกับธรรมเป็นของคู่กันจึงเป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง จะเห็นว่าระบบสังคมใดที่ไม่พากันนับถือศาสนาปิดกั้นมิให้มนุษย์ในสังคมใช้เสรีภาพทางวิญญาณ เพื่อสร้างสรรค์คุณค่าแก่วิญญาณของแต่ละบุคคลสังคมนั้นจึงผิดทำนองครองธรรม ละเมิดสิทธิ์มนุษย์ชน โลกมนุษย์จึงยังไม่เป็นศีลธรรม มนุษยชาติแตกแยกไม่สามัคคีธรรม

    กล่าวโดยสรุปในเมื่อพันธะทางศีลธรรมผูกพันกับวิญญาณมนุษย์ มีอิทธิพลมาจากภูมิลำเนาวิญญาณที่ต่างระดับกัน มนุษย์จึงมีฐานะทางวิญญาณต่างชนชั้นกัน มีระดับจิตต่างระดับกัน ระดับคุณธรรมที่จะรับรองภาวะวิญญาณมนุษย์ผู้มีบุญ ก็มีวางไว้ตามมูลค่าแห่งกุศลมูลเดิมต่างวาระกันไปด้วย ดังนั้นพระองค์ต้นบรมครูจึงทรงบัญญัติองค์พระธรรมระดับต่าง ๆ เชื่อมสัมพันธ์กับวิญญาณมนุษย์ระดับต่าง ๆ ให้เชื่อมโยงสัมพันธ์กับโลกวิญญาณทิพย์เบื้องบนด้วย

    ๓. โลกวิญญาณทิพย์ สร้างพันธะทางวิญญาณผูกพันกับมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ เป็นสัญญากุศลมูลเดิม จึงบังเกิดเป็นพรสวรรค์ติดตัวอยู่ในวิญญาณมนุษย์ บ่งชี้ทางสามารถวิสัยเป็นความสามารถพิเศษ และลักษณะเด่นเฉพาะตัวในมนุษย์ที่มีวิญญาณมาจากภูมิลำเนาวิญญาณชั้นสูง วิญญาณกลุ่มมนุษย์ที่อยู่ในสถาบันทางสังคมชั้นสูงของไทย

    หลายสถาบันจึงมีภาวะวิญญาณเป็นทิพย์มานุส มีเชื้อสายของทวยเทพจุติลงมาสร้างบารมีในเมืองมนุษย์ ซึ่งเขาเหล่านั้นยังติอยู่ในโลกเวียนว่าย ต่างมีพรสวรรค์บ่งบอกกุศลมูลเดิมหลายฝ่ายเช่น สถาบันทางศาสนามีตัวองค์กรทางศาสนา ระดับสูงมีภาวะวิญญาณเป็นเทพปราชญ์ "เอกธรรม" เทพถ่ายทอดมรดกวัฒนะธรรมทางศาสนา ในถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นกลุ่มมนุษย์เทโวปกป้องบัลลังก์พระศาสนา เป็นเทพมหาอำนาจปกบ้านปกเมือง

    บรรดาขุนศึกชั้นผู้ใหญ่ก็เป็นเทพมหาอำนาจปกป้องราชบัลลังก์ ต่างมีเชื้อสายของวิญญาณฤทธาพญานครอยู่ในตัว เป็นองค์ประกอบอยู่เทพปกครองมนุษย์สัตว์ทั่วไป (เจ้าเมือง) เทพปราชญ์เอกโลก มีนักปราชญ์ทั้งหลายไว้ถ่ายทอดศิลปวิทยาและวัฒนะธรรมจากเบื้องสูงมาอบรมสั่งสอนมนุษย์ด้วยกัน ให้คล้องจองกับโลกวิญญาณทิพย์ เช่น เหล่าศาสตราจารย์ และนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย เทพโภคทรัพย์รับรอง เช่นมหาเศรษฐีคหบดีทั้งหลาย เทพโหรโลก เทพสื่อสารทูตลิ้นทอง เทพธัญญาหาร (เนื่องจากผู้เขียนไม่รู้จริงในเรื่องเทพ จึงไม่ได้กล่าวถึงเทพที่ลงสวมสังขารมนุษย์)

    บรรดามนุษย์ที่มีเชื้อสายเทพ ดังยกตัวอย่างมานี้ ภาวะวิญญาณมีความสัมพันธ์กับโลกวิญญาณทิพย์โดยไม่รู้ตัว ต่างสืบเชื้อสายมาจากเบื้องบน ต่างได้รับอิทธิพลมาจากโลกทิพย์เบื้องบน บันดาลลงมาสู่ภาคพื้นมนุษย์ให้จัดระบบบ้านเมือง คล้อยตามเบื้องบนสรวงสวรรค์ ให้มีบทบาทสืบทอดศาสนาและวัฒนะธรรมที่สูงที่สุดในโลก กลุ่มวิญญาณมนุษย์โวทั้งหลายนี้กุศลมูลเดิมมาก เพราะเวียนว่ายตายสร้างบารมีบนผืนแผ่นดินนี้มาหลายภพหลายชาติ สร้างคุณงามความดี


    ภควัณตัง​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มิถุนายน 2013
  18. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    สวรรค์ ๒๑ ชั้น มี ๓๑ ภูมิ (พิเศษที่ไม่สามารถนับได้ ๑ ภูมิ)
    อบายภูมิ ๔ ชั้น มี ๔ ภูมิ
    ๑ นรกยภูมิ
    ๒ เปตติภูมิ
    ๓ อสุรกายภูมิ
    ๔ ดิรัจฉานภูมิ

    มนุษย์ภูมิ ชั้น ๑ มี ๒ ภูมิ จำแนกโดยละเอียด
    (ตามพระไตรปิฏกนับเพียงภูมิเดียวถูกต้องแล้ว)
    ๑ เพศชาย
    ๒ เพศหญิง

    จาตุมหาราชิกาภูมิ ชั้น ๒ มี ๔ ภูมิ
    ๑ ภูมิดิน ท้าวธตรฐ เป็นผู้ปกครองสวรรค์ภูมินี้ ด้านทิศตะวันออก
    ๒.๑.๑ คนธรรพ์ ชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นต่ำ
    ๒.๑.๒ วิยาธร
    ๒.๑.๓ กุมภัณฑ์ชั้นสูง
    ๒.๑.๔ กุมภัณฑ์ชั้นล่าง

    2.ภูมิน้ำ ท้าววิรูปักษ์ เป็นผู้ปกครองสวรรค์ภูมินี้ ด้านทิศตะวันตก
    ๒.๒.๑ พญานาคตระกูลสีทอง (ตระกูลวิรูปกษ์)
    ๒.๒.๒ พญานาคตระกูลสีเขียว (ตระกูลเอราปถ)
    ๒.๒.๓ พญานาคตระกูลสีรุ้ง (ตระกูลฉัพพยาปุตตะ)
    ๒.๒.๔ พญานาคตระกูลสีดำ (ตระกูลกัณหาโคตรมะ)

    3.ภูมิไฟ ท้าวเวสสุวรรณ เป็นผู้ปกครองสวรรค์ภูมินี้ ด้านทิศเหนือ
    ๒.๓.๑ ยักษ์ชั้นสูง
    ๒.๓.๒ ยักษ์ชั้นกลาง
    ๒.๓.๓ ยักษ์ชั้นต่ำ
    ๒.๓.๔ ยักษ์น้ำ

    ๔.ภูมิลม ท้าววิรุฬหก เป็นผู้ปกครองสวรรค์ภูมินี้ ด้านทิศใต้
    ๒.๔.๑ ครุฑ
    ๒.๔.๒ ภุมมเทวา
    ๒.๔.๓ รุกขเทวา
    ๒.๔.๔ อากาสเทวา

    ดาวดึงส์ภูมิ ชั้น ๓ มี ๑ ภูมิ มีท้าวสักกะเทวราชเป็นประธาน
    ๓.๑ แดนแห่งเทพผู้ปกครองภพถึง ๓๓ องค์ (นับเป็นภูมิเดียว)

    ยามาภูมิ ชั้น ๔ มี ๑ ภูมิ
    ๔.๑ แดนแห่งเทพผู้ปราศจากความทุกข์

    ดุสิตาภูมิ ชั้น ๕ มี ๑ ภูมิ
    ๕.๑ แดนแห่งเทพผู้เอิบอิ่มด้วยศิริสมบัติของตน

    นิมมานรตีภูมิ ชั้น ๖ มี ๑ ภูมิ
    ๖.๑ แดนแห่งเทพผู้ยินดีในการเนรมิต

    ปรนิมิตวสวัตตีภูมิ ชั้น ๗ มี ๑ ภูมิ
    ๗.๑ แดนแห่งเทพ ผู้ยังอำนาจเป็นไป ในสมบัติที่มีผู้เนรมิตให้

    ปฐมฌานภูมิ ชั้น ๘ มี ๓ ภูมิ
    ๘.๑ ปาริสัชชา (สาวกภูมิ)
    ๘.๒ ปุโรหิต (ปัเจกภูมิ)
    ๘.๓ มหาพรหมา (พุทธภูมิ)

    ทุติฌานภูมิ ชั้น ๙ มี ๓ ภูมิ
    ๙.๑ ปริตตาภา (สาวกภูมิ)
    ๙.๒ อัปปมาณาภาภูมิ (ปัจเจกภูมิ)
    ๙.๓ อาภัสสรา (พุทธภูมิ)

    ตติยฌานภูมิ ชั้น ๑๐ มี ๓ ถูมิ
    ๑๐.๑ ปริตสุภา (สาวกภูมิ)
    ๑๐.๒ อัปปมาณสุภา (ปัจเจกภูมิ)
    ๑๐.๓ สุภกิณณหา (พุทธภูมิ)

    จตุตถฌานภูมิ ชั้น ๑๑ มี ๒ ภูมิ
    ๑๑.๑ เวหัปผลาภูมิ
    ๑๑.๒ อสัญญีสัตว์

    สุทธาวาสภูมิ ชั้น ๑๒ มี ๑ ภูมิ
    ๑๒.๑ อวิหา
    สุทธาวาสภูมิ ชั้น ๑๓ มี ๑ ภูมิ
    ๑๓.๑ อตัปปา
    สุทธาวาสภูมิ ชั้น ๑๔ มี ๑ ภูมิ
    ๑๔.๑ สุทัสสา
    สุทธาวาสภูมิ ชั้น ๑๕ มี ๑ ภูมิ
    ๑๕.๑ สุทัสสี
    สุทธาวาสภูมิ ชั้น ๑๖ มี ๑ ภูมิ
    ๑๖.๑ อกนิฏฐา

    อากาสานัญจายตนภูมิ ชั้น ๑๗ มี ๑ ภูมิ
    วิญญาณัญจายตนภูมิ ชั้น ๑๘ มี ๑ ภูมิ
    อากิญจัญญายตน ชั้น ๑๙ มี ๑ ภูมิ
    เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ ชั้น ๒๐ มี ๑ ภูมิ
    พระนิพพานภูมิ สุดท้ายแห่งจิต

    พรหมโลก นั้นเป็นภพภูมิที่อยู่ของผู้ที่เจริญสมาธิจนได้ ฌาณ ซึ่งมีอยู่อีก 20 ชั้น
    สวรรค์ หรือ เทวโลก มี 6 ชั้น ซึ่งเรียกว่า ฉกามาพจร มีดังนี้

    1. จาตุมหาราชิกา มีท้าวมหาราชทั้ง 4 เป็นผู้ปกครอง คือ
    -1. ท้าวธตรฐ ปกครองเทวดา 3 พวก ได้แก่ คนธรรพ์ วิทยาธร กุมภัณฑ์
    -2. ท้าววิรุฬหก ปกครองพวกครุฑ
    -3. ท้าววิรูปักษ์ ปกครองพวกนาค
    -4. ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองพวกยักษ์

    2. ดาวดึงส์ มีพระอินทร์ เป็นผู้ปกครอง
    3. ยามา มีท้าวสุยามเทวราช เป็นผู้ปกครอง
    4. ดุสิต มีท้าวสันดุสิตเทวราช เป็นผู้ปกครอง
    5. นิมมานรดี มีท้าวสุนิมมิตเทวราช เป็นผู้ปกครอง
    6. ปรนิมมิตวสวัตดี มีท้าวปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช เป็นผู้ปกครอง

    พรหมโลกมีทั้งหมด 20 ชั้น แบ่งเป็น รูปพรหม 16 ชั้น และ อรูปพรหม 4 ชั้น
    รูปพรหม 16 ชั้น

    1. พรหมปาริสัชชาภูมิ
    2. พรหมปุโรหิตาภูมิ
    3. มหาพรหมาภูมิ
    4. ปริตตาภาภูมิ
    5. อัปปมาณาภาภูมิ
    6. อาภัสราภูมิ
    7. ปริตตสุภาภูมิ
    8. อัปปมาณสุภาภูมิ
    9. สุภกิณหาภูมิ
    10. เวหัปผลาภูมิ
    11. อสัญญีสัตตาภูมิ
    12. อวิหาสุทธาวาสพรหมภูมิ
    13. อตัปปาสุทธาวาสพรหมภูมิ
    14. สุทัสสาสุทธาวาสพรหมภูมิ
    15. สุทัสสีสุทธาวาสพรหมภูมิ
    16. อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมภูมิ

    อรูปพรหม 4 ชั้น
    1. อากาสานัญจายตนภูมิ
    2. วิญญาณัญจายตนภูมิ
    3. อากิญจัญญายตนภูมิ
    4. เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ

    รายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆคงต้องหาอ่านเพิ่มเติมเอาเอง เพราะจะให้ลงอย่างละเอียดยิบไปเลย กลัวว่าจะเบื่อกันเสียก่อน จึงขอลงแบบสังเขปก็คงจะพอเพียงและได้ความรู้บ้างนิดหน่อยก็ยังดี จุดประสงค์จริงๆก็คือ ให้ตัวเราได้ตะหนักในการทำความดี ละเว้นจากความชั่ว เพื่อจุดมุ่งหมายในแต่ละคน ตามบุญบารมีที่สร้างสมกัน แม้จะมีอุปสรรคบ้างในการบำเพ็ญบุญ แต่ก็ขอให้อย่าเกิดความท้อแท้หรือเหนื่อยหน่ายในการทำ ค่อยๆสะสมไปทีละเล็กน้อย สิ่งที่จะส่งผลย้อนให้เราเมื่อละจากสังขาร ย่อมส่งผลในทางที่ดีแน่นอน

    ขอกุศลทั้งหลายทั้งปวงที่ท่านผู้อ่านติดตามมา จงส่งผลให้ประสพแด่สิ่งที่ปรารถนาในทุกภพทุกชาติด้วยเทอญ

    อนุโมทนาบุญ​

    ภควัณตัง​
     
  19. one-zee

    one-zee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    5,947
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,822
    ขอบคุณนะครับที่เขียนให้อ่าน....
     
  20. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    เรียนญาติธรรม

    ช่วงนี้กระแสข่าวเรื่องของพระมาแรงแซงฉิว จนกระทู้ต่างๆที่นอกเหนือจากเรื่องเกี่ยวกับพระ สังเกตุว่าร่วงกันลงระนาวไปอยู่ล่างๆสุด คือกระแสแรงมาก จนผู้เขียนจะโพสเรื่องลงต่อก็จะหาว่าขัดกับกระแส จึงต้องขอระงับซักนิดหน่อย เอาไว้เรื่องนี้ค่อยๆซาไป ก็จะลงให้อ่านกันต่อแล้วกันเนอะ ช่วงเวลานี้ก็อ่านเกี่ยวกับเรื่องดังว่าไปพลางๆก่อนแล้วกัน ขืนเอามาลงสวนกระแสทางแอดมิ้นจะหาว่า ตานี่เอามาลงสวนกระแสอยู่ได้ ไม่ดูตาม้าตาเรื่อว่าคนเขาสนใจเรื่องอะไรกัน

    วันหนึ่งไอ้ปลื้ดแถวบ้านเดินอาดๆมาหา แล้วโวยวายว่า

    "แย่ แย่ แล้วพี่ ศาสนาเสื่อมหมดแล้ว"

    "อะไรเสื่อม วะไอ้ปลื้ด"

    ผู้เขียนเอ่ยถาม

    "อ้าว พี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเหรอ ข่าวเขาออกมากันโครมๆ พี่ไปอยู่ที่ไหนมา ทั้งพระขี่เครื่องบิน พระสึกออกไปมีเมีย พระโดนตรวจสอบว่ารวยผิดปกติ พระมีทรัพย์สินมาก ผมละเสียความรู้สึกมากเลย อุตส่าห์ทำบุญทำทาน รู้อย่างนี้ไม่ทำดีกว่า"

    "เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ"

    ผู้เขียนกล่อม

    "คือ ที่เอ็งบอกว่าศาสนาเสื่อมนั้น ความเป็นจริงศาสนามันไม่ได้เสื่อมไปไหนหรอก ศาสนามันก็ยังอยู่เหมือนเช่นปกตินั่นแหละ แต่คนน่ะมันคิดว่าเสื่อมไปเอง เรามีศาสนาเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ ไม่ได้มีเพราะการอย่างอื่น ให้เรายึดถือในคำสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านสอนให้เป็นคนดี พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เรายึดในพระสงฆ์ พระสงฆ์นั้นก็มาจากคนธรรมดา ไม่ได้บรรลุอรหันต์ ดังนั้นพระบางรูปก็อาจจะมีทั้งดีมากและดีไม่มากต่างกัน มีรัก โลภ โกรธ หลง จะให้ดีทั้งหมดตามที่เราปรารถนาทุกคนทุกรูปก็คงไม่ได้หรอกนะ ยังไงเสียทั้งหมดทั้งมวล ก็คงไม่ใช่ว่าพระจะเสียไปหมดทุกรูปหรอกนะ ที่ดีที่ท่านไม่ออกมาผ่านสื่อก็ยังมีหรอกน่ะเชื่อเหอะ"

    เจ้าปลื้ดทำปากจู๋ ทำท่าอิดออดหลังจากฟังจากผู้เขียนบอกเหมือนกับไม่ค่อยแน่ใจ ผู้เขียนจึงกล่าวต่อว่า

    "เอางี้แล้วกัน ถามจริงๆเหอะ ที่เดินโวยวายมานี่น่ะ ถามจริงเหอะ ตั้งแต่ต้นปีมาถึงวันนี้ เคยเข้าวัดไปทำบุญกี่ครั้ง"

    เจ้าปลื้ดทำท่าไม่อยากตอบ พูดอ้อมแอ้มว่า

    "ก็มีบ้าง.........2ครั้งได้"

    ผู้เขียนจึงถามต่อว่า

    "แล้วตั้งแต่ต้นปีมานี่ เคยใส่บาตรพระกี่ครั้ง"

    เจ้าปลื้ดส่ายหน้า พร้อมบอกเหตุผล

    "จะใส่ทันได้ไงล่ะพี่ รถบริษัทมันมารับตั้งแต่ตีห้าครึ่ง ใครจะไปใส่ทัน"

    นี่แหละ เรื่องของเรื่องมันเป็นแบบนี้แหละ คือโวยไว้ก่อนคนไทย ตื้นลึกหนาบางไม่รับรู้ เอามันอย่างเดียว

    ภควัณตัง​
     

แชร์หน้านี้

Loading...