ข้อเขียนที่เก็บไว้ส่วนตัว แต่อยากให้อ่านกัน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย tidti2005, 25 สิงหาคม 2011.

  1. น้องนีล

    น้องนีล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +279
    ขออนุโมทนาครับ อยากให้เขียนต่อ เป็นข้อเขียนที่ให้ทั้งความรู้และข้อคิดที่ดีทางธรรม
     
  2. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ยินดีกับทุกท่านครับ ที่ติชม ออกความคิดเห็นกันมา นึกว่าโพสอ่านคนเดียวซะอีกแน่ะ.....ยังไงก็ขอยกผลบุญทั้งหลายส่งกลับไปยังทุกท่าน ทุกคนด้วยนะครับจากการอ่านหรือจะไปเผยแผ่ต่อ ยังมีอีกเยอะพอสมควรครับที่จะโพสให้อ่านกัน หากไม่เบื่อกันซะก่อนครับ สำหรับคืนนี้(วันนี้)คงจะจบแค่นี้ก่อนครับ ได้เวลาสวดมนต์ เจริญสมาธิแล้วครับ

    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านครับ

    ภควัณตัง
     
  3. คนดีเมืองหาดใหญ

    คนดีเมืองหาดใหญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +243
    ติดตามอ่านด้วยคน ขอบคุณมากค่ะ
     
  4. Red people

    Red people เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +153
    ขอบพระคุณมากครับ

    .
     
  5. wacaholic

    wacaholic เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2010
    โพสต์:
    502
    ค่าพลัง:
    +214
    อนุโมทนาครับ ขอให้มีแต่ความสุข ความสบาย ยิ่งๆขึ้นไปครับ
     
  6. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    วันนี้มาเล่าต่อครับ


    เป็นหมอปราบผีเพราะความจำเป็น

    เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว ในโลกยุคดิจิตอล หรือยุค2009 เพราะไม่น่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว จะว่าตั้งแต่สมัยเมื่อ20กว่าปีมาแล้วก็ไปอย่าง แต่มาเกิดเอาตอน2-3เดือนที่แล้วนี้เอง

    ใครๆก็อยากมีบ้านเป็นของตนเอง แม้จะมีรายได้นิดหน่อยหรือแทบไม่พอจะกิน เพราะเป็นความฝันของคนทั่วไปคือ เมื่อมีเงินสักหน่อย อยากมีบ้าน-มีรถ(แม้จะไม่ค่อยมีเงินเติมน้ำมัน)มีเครื่องใช้ไม้สอย อุปโภคบริโภค ถือว่าเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ แต่ก็มีส่วนมากที่ยังไม่มีและตั้งท่าพยายามที่จะมี หากว่าโอกาศอำนวยหรือพอมีปัญญาอยู่บ้าง เหมือนดังเช่นครอบครัวญาติห่างๆของผู้เขียนที่จะเล่าต่อไปนี้

    ครอบครัวนี้มี พ่อ-แม่-ลูก ครบ ลูกอายุประมาณ3-4ขวบ แต่สิ่งที่ขาดคือบ้าน(มีรถแล้ว) จึงพยายามไขว่คว้าหาบ้านสักหลัง เพื่อจะได้มีชีวิตที่สมบูรณ์ แต่จะไปซื้อบ้านใหม่ก็คงไม่มีปัญญา เพราะรายได้หลักก็มีสามีเพียงคนเดียว และต้องผ่อนรถเก๋งด้วย ส่วนภรรยามีอาชีพเป็นลูกจ้างค้าขายเล็กๆน้อยๆ บางวันก็ไปแต่บางวันก็ไม่ได้ไป ตามแต่นายจ้างจะจ้าง(รับจ็อบ)

    ครอบครัวนี้สนิทกับครอบครัวผู้เขียนค่อนข้างมาก เรียกแทนกันว่าน้า-หลาน เพราะเป็นรุ่นเดียวกับหลานผู้เขียน ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งผู้เขียนได้ทราบข่าวว่าครอบครัวนี้ได้ซื้อบ้านใหม่ โดยเป็นบ้านมือ2 อยู่แถวๆวัดโขด(เลยแยกทับมาไปทางมาบตาพุด) รับรู้โดยที่ฝ่ายสามีครอบครัวหลานคนนี้โทรมาบอก และชวนให้ผู้เขียนไปเที่ยวบ้าน

    เมื่อผู้เขียนไปถึงก็ได้พูดคุยกันเหมือนเช่นปกติ และแสดงความยินดีด้วยที่มีบ้านเป็นของตัวเองสักที จะได้ไม่ต้องเช่าเขาอยู่ ทราบว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านมือ2 ที่ปิดประกาศขาย และขายค่อนข้างถูก ราคาประมาณ 250000 บาท ซึ่งหาไม่ได้อีกแล้วกับบ้านสภาพนี้ ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น มีรั้วและบริเวณบ้านสำหรับปลูกต้นไม้พอสมควร เจ้าของบ้าน(สามีหลาน)ก็ออกไปซื้อเบียร์มากินกับผู้เขียน

    ระหว่างคอยการกลับมาของหลาน ผู้เขียนประสาคนคุ้นเคยกันก็ลองเดินสำรวจบริเวณบ้านและรอบๆ พบว่าด้านซ้ายของตัวบ้านปลูกต้นจำปีต้นใหญ่พอสมควร(สูงขนาดหลังคาบ้าน) ด้านขวาเป็นช่องแคบๆ สำหรับแขวนราวตากผ้าได้

    เดินเข้ามาสำรวจภายในบ้าน ก้าวแรกที่เท้าเหยียบเข้าในตัวบ้าน รู้สึกเย็นวูบ ขึ้นถึงหัว มองขึ้นไปด้านบนชั้นสอง มีผ้าแดงผูกอยู่ มีรอยเจิมเป็นรูปยันต์สามเหลี่ยม ตามความคิดของผู้เขียนคิดว่า อาจจะเป็นเสาเอกตอนขึ้นเสาบ้าน ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่ยังคิดสังหรณ์ในใจว่า บ้านจัดสรรค์อย่างนี้ ยังมีพิธีขึ้นเสาเอกอีกหรือ ก็หยุดความคิดไว้แค่นั้น

    น้า น้า มาแล้ว ออกมากินกัน

    ผู้เขียนก็ออกไปนั่งกินเบียร์กับหลาน ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหินอ่อนด้านนอกตัวบ้าน โดยมีภรรยาของหลานคอยเสริฟกับแก้มและของกินเป็นช่วงๆ ผ่านไปราว1 ชั่วโมง ภรรยา(หลาน)ก็ขอตัวบอกขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะ รู้สึกปวดท้อง จะเอาอะไรเพิ่มก็ไปหยิบเอาเองแล้วกัน ผู้เขียนกับหลานก็ไม่ได้สนใจ คงยังนั่งคุยและกินเบียร์กันต่อ

    ผ่านไปราว 1 ชั่วโมง เบียร์ที่ซื้อมาหมด ผู้เขียนจึงบอกกับหลาน(ผู้ชายว่า) ไปตามเมียเอ็งสิ เบียร์หมดแล้ว ให้ออกไปซื้อให้หน่อย ทำไมเข้าส้วมนานจังเลยวะ ฝ่ายสามี(หลาน)ก็ลุกออกไปเข้าไปในบ้านเพื่อตามเมีย ไม่เกิน3นาที ที่หลานเข้าไปดูเมีย เสียงตะโกนโหวกเหวกออกมาเรียกเสียงดังว่า

    น้า น้า ช่วยที เมียผมลื่นหัวแตก สลบอยู่ในห้องน้ำ

    ผู้เขียนรีบวิ่งเข้าไปในบ้านตรงไปที่ห้องน้ำ เพื่อช่วยเหลือ สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือ หลานผู้หญิงนอนคว่ำหน้าอยู่ในห้องน้ำ มีเลือดออกนองพื้น โดยมีหลานผู้ชาย(สามี)พยายามยกร่างให้หงายขึ้น สันนิฐฐานตามที่เห็นคือ ลื่นแล้วพลาดคว่ำหน้าลงกับพื้น(เป็นอุทาหรณ์อย่างหนึ่งสำหรับคนที่ชอบใช้สบู่เหลวในการอาบน้ำ เพราะสบู่เหลวเมื่อฟอกแล้วล้างออก คราบของสบู่ที่ไหลลงพื้นยังมีอยู่มากกว่าสบู่ก้อน คราบน้ำมีความลื่นมากหากว่าราดน้ำน้อย จึงควรระมัดระวัง หากใช้สบู่เหลว)

    เมื่อผู้เขียนเข้าไปใกล้ สิ่งที่ต้องตกใจตามมาคือ หลาน(ผู้หญิง)สบัดหน้าลืมตาขึ้นทันที แล้วพูดออกสำเนียงตะคอกและห้วนๆ(ซึ่งปกติหลานจะไม่เคยพูดแบบนี้)ใส่ผู้เขียนว่า

    มึงอย่าเข้ามาใกล้กู ออกไป มึงเข้ามาบ้านกูทำไม พวกมึงพากันออกไปให้หมด

    ผู้เขียนรับรู้โดยทันทีจากการที่เคยรับรู้มาว่า อาการแสดงอย่างนี้ แสดงว่าถูกผีเข้า ชัวร์ เพราะหลานไม่เคยแสดงอาการแบบนี้มาก่อน ช่วงขณะนั้นผู้เขียนทำอะไรไม่ถูก คิดอะไรไม่ออก กับเหตุการณ์เฉพาะหน้าแบบนี้ จึงตัดสินใจบอกหลานผู้ชายไปว่า

    เอ็งจับเมียเอ็งให้ดีนะ เดี๋ยวรอแป๊บ ไปเอาของที่รถก่อน

    ผู้เขียนรีบวิ่งไปที่รถ ไปคว้ามีดหมอของหลวงพ่อเดิม ปกติก็จะเก็บเอาไว้บนรถ(แต่บางครั้งก็จะเอาลงหากว่านำรถไปล้าง)เพราะความศรัทธาและเชื่อมั่นในพระพุทธคุณ จึงนำติดตัวอยู่เสมอ เสร็จแล้วเดินไปหยิบกระปุกน้ำในตู้เย็น เปิดฝาออก(อนุมานเอาแทนขันน้ำมนต์) นำมีดหมอจุ่มลงตั้งนะโม3จบ

    เสร็จแล้วกล่าวคาถามีดหมอหลวงพ่อเดิม อาราธนาพระพุทธคุณหลวงพ่อเดิม มาสถิตย์อยู่ที่มีด กลั้นใจวนมีดหมอในกระปุกน้ำ3รอบ เสร็จแล้วเดินตรงไปที่ร่างหลานผู้หญิงซึ่งขณะนั้นหลานผู้ชายกำลังจับรออยู่ เมื่อไปถึงนำน้ำที่อนุมานเอาว่าเป็นน้ำมนต์ราดลงบนหัวหลานสาวคนนี้

    สิ่งที่น่าจะจบ แต่กลับไม่จบ แถมกลับลุกลามใหญ่โตกว่าเดิม หลานสาวแสดงอาการสบัดตัวทีเดียว หลานผู้ชาย(สามี)กระเด็นหลุดหลุดออกจากการจับตัว กระเด็นไปติดถังอาบน้ำ ดีที่ห้องน้ำไม่กว้างมาก จึงปะทะกับกำแพงห้อง

    อาการหลานสาวยิ่งอาละวาดหนักกว่าเดิม แถมชี้มือมาทางผู้เขียนด้วยอาการกร้าวร้าวมากกว่าเก่า ตะโกนใส่ด้วยเสียงอันดังว่า

    กูไม่กลัวมึง ฮ่า ฮ่า ฮ่า มึงทำอะไรกูไม่ได้ มึงศีลไม่ครบ มึงทำอะไรกูไม่ได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า

    แถมทำท่าเหมือนกับจะกระโจนใส่มาทางผู้เขียน ท่าทางเอาเรื่อง

    ขณะนั้นผู้เขียนตกตะลึง คาดไม่ถึง ยืนตะลึงอยู่กับที่ ในใจคิดว่าน่าจะจบ แต่ทำไปทำมากลับกลายเป็นแบบนี้ได้ไง ความศรัทธาในพระพุทธคุณของมีดหมอก็เต็มเปี่ยม เคยอ่านมาจากหนังสือ ตำรามีดหมอว่าสามารถปราบผีหรือไล่ผีได้ แต่ทำไมปราบหรือไล่ผีไม่ได้ หรือเราท่องคาถาผิด หรือท่องไม่ครบ มารับรู้ทีหลังจากการไปสอบถามหลวงพ่อ(พระ)ที่นับถือถึงสาเหตุว่า ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ หลวงพ่อกล่าวว่า

    โยม ต่อให้โยมมีสิ่งศักสิทธิ์คุ้มครอง ต่อให้มีพระเต็มคอ หากแต่โยมศีลไม่ครบหรือละเมิดศีล ในศีลห้าหรือศีลแปดก็ตาม สิ่งศักสิทธิ์ที่คุ้มครองช่วยเหลือตัวโยมอยู่ ย่อมลดความขลังหรือความศักสิทธิ์ลงไปหรืออาจจะไม่คุ้มครองเลย หากว่าโยมขาดซึ่งศีลมากเกิน ดังนั้นโยมต้องรักษาศีลให้มากหากต้องการความขลังความศักสิทธิ์ของสิ่งที่โยมเคารพเลื่อมใส ศรัทธา

    พึ่งถึงบางอ้อว่าเป็นแบบนี้เอง ไม่ใช่ว่าท่องบทสวดผิดหรอก แต่เราเองศีลไม่ครบนั่นเอง จึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้

    ตัดสินใจอีกครั้ง ตะโกนบอกหลานผู้ชายให้จับหลานผู้หญิง(ภรรยา)อีกครั้ง เพื่อขอลองใหม่อีกที คิดว่า หากครั้งใหม่นี้ไม่ได้เรื่องอีกละก็ ตัวใครตัวมันละทีนี้ หมดปัญญาช่วยแล้ว และตัวผู้เขียนคงจะอยู่ไม่ได้ด้วย คงต้องเผ่นออกไปจากที่นี่ เพราะดูจากอาการของสิ่งที่สิงอยู่ในตัวหลานแล้ว ท่าทางจะเอาเรื่องผู้เขียนแน่ๆ หลานผู้ชายตรงเข้าจับล็อคหลานผู้หญิงอีกครั้ง

    กลั้นใจยกมีดหมอขึ้นพนมอีกครั้ง ตัดสินใจเป็นไงเป็นกัน ตั้งนะโม3จบ กล่าวบทพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังคคุณ ขออาราธนาสิ่งศักสิทธิ์มาช่วยด้วย

    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะภะคะวะโตอะระหะโตสัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะภะคะวะโตอะระหะโตสัมมาสัมพุทธัสส

    กล่าวบทชุมนุมเทวดา เริ่มต้นด้วย

    สะรัชชัง สะเสนัง สะพันธุง นะรินทัง
    ปะริตตานุภาโว สะทา รักขะตูติ ผะริตวานะ
    เมตตัง สะเมตตา ภะทันตา อะวิกขิตตะจิตตา
    ปะริตตัง ภะณันตุ
    สัคเค กาเม จะรูเป คิริสิขะระตะเฏ
    จันตะลิกเข วิมาเน ทีเป รัฏเฐ จะ
    คาเม ตะรุวะนะคะหะเน เคหะ
    วัตถุมหิ เขตเต ภุมมา จายันตุ เทวา
    ชะละถะละ วิสะเม ยักขะคันธัพพะนาคา
    ติฏฐันตา สันติเกยัง มุนิวะระวะ จะนัง
    [FONT=Tahoma, sans-serif]
    [/FONT]สาธะโว เม สุณันตุ [FONT=Tahoma, sans-serif]
    [/FONT]ธัมมัสสะวะ นะกาโล อะยัมภะทันตา

    กล่าวบทคาถามีดหมอ

    สักกัสสะวชิราวุทธัง เวสสุวันนะสะคะราวุทธัง
    อาฬาวะกะธุสาวุทธัง ยะมะสะนัยนาวุทธัง
    ณารายยะสะ จักกะราวุทธัง ปัญจะอาวุทธานัง
    ภัคคะ ภัคขา วิจุณนัง วิจุณนาโลมัง
    มาเมนะ พุทธะ สันติ คัจฉะอะมุมหิ โอกาเสติ ฐาหิ

    กล่าวบทคาถาพยายม

    ปะโตเมตัง ปะระชีวินัง สุขะโตจุติ จิตะเมตะ นิพพานัง สุขะโตจุติ

    กล่าวบทคาถาชินบัญชร

    ปุตตะกาโมละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง
    อัตถิกาเยกายะญายะ เทวานังปิยะตังสุตตะวา
    อิติปิโสภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ
    มรณังสุขัง อะระหังสุคะโต นะโมพุทธายะ
    ชะยาสะนากะตา พุทธา เชตวา มารัง สะวาหะนัง
    จะตุสัจจาสะภัง ระสัง เย ปิวิงสุ นะราสะภา.ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา
    สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเกเต มุนิสสะรา.สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน
    สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร.หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปุตโต จะทักขิเณ
    โกณฑัญโญ ปิฏฐิภาคัสมิง โมคคัลลาโน จะ วามะเก. ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะ ราหุโล
    กัสสะโป จะ มะหานาโม อุภาสุง วามะโสตะเก. เกสันเต ปิฏฐิภาคัสมิง สุริโย วะ ปะภังกะโร
    นิสินโน สิริสัมปันโน โสภิโต มุนิปุงคะโว

    และอีก2-3บท ในใจคิดว่าคาถาเท่าที่มีและท่องได้เท่าไหร่ ขนเอามาอาราธนาให้หมด ต้องมีโดนเข้าซักคาถาแหละ

    เสร็จแล้วเดินตรงไปที่หลานสาวที่ยังถูกหลานชายรัดอยู่ เมื่อเดินตรงเข้าไปครั้งใหม่นี้ หลานสาวแสดงอาการเปลี่ยนไป จากอาการกร้าวร้าวใส่ กลับถอยหลังไปยันกับอ่างอาบน้ำทันที

    ผู้เขียนตรงไปเมื่อได้จังหวะ ตีมีดหมอลงไปที่หัวหลานสาวทันที หลานสาวหงายหลังลงทันที นิ่งเงียบเหมือนคนสลบไป ผู้เขียนเกิดอาการโล่งอกที่ได้ผลในครั้งนี้ เพราะหากไม่ได้ผลก็คงต้องปฏิบัติเหมือนดังที่บอกข้างต้น คือเผ่นสถานเดียว นับว่าเป็นที่น่าพอใจและรู้สึกถึงความขลังศักสิทธิ์ของมีดหมอในครั้งนี้เอง

    เรื่องยังมีต่อ เพราะหลังจากนั้น ผู้เขียนได้บอกหลานชายให้นำตัวหลานสาวส่งโรงพยาบาล ซึ่งหลังจากนอนอยู่ในโรงพยาบาลแล้ว ปรากฏว่า อาการหลานสาวเหมือนคนเป็นอัมพาตไปครึ่งซีก ด้านซ้ายขยับเขยื้อนไม่ได้ทั้งซีก ขนาดเอามือหยิกแขนยังไม่รู้สึกว่าเจ็บ หมอในโรงพยาบาลสัณนิษฐานว่า เกิดจากการที่ล้มลงไป ทำให้เป็นอัมพาต ต้องพักฟื้นและทำกายภาพบำบัด

    ผู้เขียนรู้สึกสังหรณ์ใจว่าน่าจะมาจากบ้านหลังนั้นทำเหตุมากกว่า(ที่หลานซื้อ)และที่เป็นอาการแบบนี้ น่าจะมาจากผีตนนั้นทำเอาจึงบอกให้หลานชายนำดอกไม้ธูปเทียนไปจุดขอขมาเสาต้นที่มีผ้าแดงผูก ว่าไม่ได้มีเจตนาลบหลู่หรืออย่างไร ที่มาซื้ออยู่เพราะไม่รู้มาก่อนว่าเคยมีเหตุการณ์อะไรมาก่อนหน้านี้ ขอโปรดให้อภัยในความไม่รู้และขออย่าเอาผิดเลย

    สิ่งที่น่าแปลกคือ หลังจากนั้นประมาณ3วัน หลานสาวอาการดีขึ้นเรื่อยๆ จากที่ขยับด้านซ้ายไม่ได้ ก็เริ่มขยับได้จนหายเป็นปกติ โดยที่ไม่ต้องทำกายภาพบำบัดสักครั้งเดียว ขนาดหมอในโรงพยาบาลยัง งง ว่า เป็นไปได้ยังไง คนไข้อาการดีขึ้นเอง

    จึงเป็นเรื่องน่าแปลกอีกเรื่องที่ผู้เขียนประสพมากับตัวเอง และก็ไม่อยากเล่าให้ใครฟัง เพราะเหมือนเป็นสิ่งลึกลับ เหลือเชื่ออย่างมาก คาดว่า บ้านหลังนั้น เจ้าของเดิมน่าจะหวงมากและไม่ต้องการให้ใครมาอยู่หรือพักอาศัย บ้านหลังนั้นปัจจุบันได้ปล่อยให้ธนาคารยึดและปิดประกาศขายเรียบร้อย หลานก็ได้ไปซื้อบ้านหลังใหม่อยู่

    สิ่งที่เล่ามานี้ ไม่ได้มีเจตนาจะอวดสรรพคุณของมีดหรืออวดว่าตัวเองเก่งแต่อย่างไร เพราะเมื่อนำกลับมาเล่าให้ภรรยาผู้เขียนฟังถึงเหตุการณ์ กลับโดนภรรยาบ่น3วัน3คืนว่า หากคราวหน้าเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวและห้ามทำอีกอย่างเด็ดขาด เพราะผู้เขียนเองไม่ได้เป็นอาจารย์หรือหมอปราบผี ไม่ได้มีวิชาอาคมขลัง

    การไปทำอย่างนั้นจึงเสี่ยงกับการถูกสิ่งที่มองไม่เห็นทำร้ายเอาได้ หากว่าสิ่งนั้นมีความอาฆาตพยาบาทรุนแรง

    เรื่องนี้จึงเป็นการเล่าเพื่อเป็นอุทาหรณ์สำหรับคนที่คิดจะซื้อบ้านมือสองอยู่สักหลังว่า ต้องตรวจดูด้วยถึงความเป็นไปของบ้านที่จะซื้อว่ามีความเป็นไปก่อนหน้ายังไงบ้างก่อนที่จะตกลงซื้อ ไม่ใช่ว่าเห็นแต่ความถูกเงินอย่างเดียว คงต้องตรวจดูหรือสอบถามข้างเคียง ประวัติความเป็นไปของบ้านก่อนหน้านั้นด้วยครับ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

    ภควัณตัง
     
  7. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ประสพการณ์จากความฝัน


    เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นประสพการณ์ความฝันส่วนตัว ตั้งแต่ปี50 จึงจำเป็นต้องนำมาปะติดปะต่อเรียบเรียงใหม่ นึกย้อนกลับไปทีละช่วง ๆในสิ่งที่จำได้บ้างไม่ได้บ้าง

    บางช่วงจำได้ลางเลือนก็คงจำเป็นต้องข้ามไป ไม่เอามาเล่า เพราะกลายเป็นว่าต้องมาหาช่วงเสริมเข้าไปใหม่ จุดประสงค์คือไม่ได้ต้องการเล่าเพื่อสนุกสนานหรืองดงามหรืออวดอ้างแต่ประการใด แต่เป็นการนำมาเล่าเพื่อนำมาวิเคราะห์หาสาเหตุหรือเทียบเคียงกับโลกปัจจุบัน และย้อนอดีตมากกว่า

    จึงไม่ได้สนใจว่า ใครจะคิดยังไงแบบไหน จะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับใครหรือแอบอ้างใคร

    เมื่อประมาณกลางๆปี50(จำวันที่ไม่ได้)แต่จำได้ว่าวันนั้นออกกะเช้าสุดท้ายไปพอดี ซึ่งวันรุ่งขึ้นก็จะเป็นวันหยุดของผู้เขียน2วัน ไปเข้ากะดึกอีกครั้งของวันที่3 วันนั้นภรรยาผู้เขียนไม่อยู่ กลับไปเยี่ยมบ้านเธอที่ต่างจังหวัด จะกลับมาก็ประมาณวันที่3ที่ผู้เขียนจะต้องไปเข้ากะดึก

    เมื่อผู้เขียนกลับมาถึงบ้านก็ประมาณ3 ทุ่มเศษ ทำภารกิจส่วนตัว เช่น แปรงฟันอาบน้ำเสร็จ ก็จะนั่งสวดมนต์ นั่งสมาธิ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเป็นกิจวัตรประจำวันเหมือนเช่นปกติ เมื่อเสร็จแล้วก็เข้านอน ขณะหลับไปเหมือนเช่นปกติทุกวัน ซึ่งคนเราทุกคนก็อาจจะมีความฝันกันได้ มากบ้างน้อยบ้างเป็นเรื่องราวบ้างไม่เป็นเรื่องบ้าง ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

    แต่สำหรับตัวผู้เขียนฝันครั้งนี้เหมือนจะไม่ปกติ เพราะมันเป็นเรื่องเป็นราวและใช้เวลายาวนานกว่าปกติธรรมดามากกว่าที่ควรจะเป็น

    ในความฝันครั้งนั้น จำได้ว่าเมื่อขณะกำลังนอนอยู่ เหมือนตัวเองถูกผลักให้หลุดออกมาจากร่างที่นอนอยู่บนเตียง เพราะหันไปมองก็เห็นตัวเองยังนอนหลับอยู่ (กาย)แต่อีกตัวหนึ่งกลับหลุดออกมายืนมองอยู่ข้างๆซะงั้น(น่าจะเป็นวิญญาน) มองดูอยู่เป็นครู่ พร้อมกับนึกว่า เอ๊ะ ตัวเราหลุดออกมาได้ยังไง หรือว่าเราตายไปแล้ว เพราะเท่าที่ทราบจากที่เคยรับรู้บอกเล่ามาว่า วิญญานมันต้องอยู่กับกาย

    ] แต่เมื่อไหร่ที่วิญญานไม่อยู่กับกาย หรืออยู่ต่างที่กัน นั่นแสดงว่า ตัวเราคงจะตายแล้ว ในใจขณะนั้นรู้สึกเศร้าหมอง รู้สึกเป็นกังวลว่า แล้วจะทำอย่างไรต่อดี ทำไมเราถึงต้องตาย และตายด้วยสาเหตุอะไร

    นึกเปรียบเทียบในขณะนั้นว่า คนที่ตาย เมื่อวิญญานออกจากร่าง ก็คงจะมีลักษณะอย่างนี้กระมัง คงไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่ นึกเป็นกังวล นึกเสียใจ และทำอะไรไม่ถูก ที่นึกเสียใจก็เพราะเหมือนกับว่า เรายังไม่ได้ประสพผลสำเร็จในชีวิตอะไรมากเลย ก็มาด่วนตายเสียก่อน แล้วต่อจากนี้จะทำยังไงต่อไป ลูกเมียจะอยู่กันยังไง เพราะยังไม่ได้เอ่ยปากร่ำลากันเลย แต่มาตายเสียก่อนปุบปับ
    ใช้เวลาคิดวนเวียนขณะมองดูร่างตัวเองนอนอยู่แบบนั้นหลายนาที พลันเสียงหนึ่งดังขึ้นและพูดค่อนข้างดังเหมือนมีพลังอำนาจที่พอเราได้ยินปุ๊บเหมือนกับต้องเชื่อฟังทันทีทันใด ความตกใจในขณะนั้น ใจหล่นวูบลงทันที

    ตามมาทางนี้ อย่ามัวลีลา เวลามีน้อย

    ผู้เขียนในขณะนั้นเมื่อหันมองรอบตัวเพื่อจะหาต้นตอของเสียงว่าคือใครและอยู่ตรงไหน ก็มองไม่เห็นใครสักคน แต่เมื่อสังเกตุรอบๆตัวอีกครั้ง บริเวณรอบๆตัวกลับค่อยๆมัว(มืด)ลงๆจากที่สว่างเมื่อครู่ แต่กลับมีแสงสว่างเหมือนเป็นอุโมงค์ช่อง ทอดไปยาวไกล จุดประสงค์คงต้องการเพื่อให้เดินไปตามช่องทางนั้น ผู้เขียนจึงก้าวขาเดินไปตามช่องทางที่เห็นว่าสว่างอยู่

    เดินตรงไปตามทางนั้นแหละ และอย่าหยุด

    เมื่อผู้เขียนเริ่มเดิน ก็มีเสียงสำทับดังๆห้วนๆบอกมาอีกครั้ง เสียงนั้นดังและมีพลังอำนาจที่จะต้องปฏิบัติตามโดยอัตโนมัติ

    เท่าที่รู้สึกตัวในขณะนั้นคือ เดิน เดิน และเดิน แสงที่ทอดยาวเป็นทางให้เดิน เหมือนกับจะทอดส่งต่อไปเรื่อยๆมองไม่เห็นว่าจะไปสิ้นสุดที่ไหน และเมื่อเดินผ่านมาแล้วหันกลับไปมองด้านหลัง แสงที่ส่องเป็นทางเดินมาเมื่อครู่ กลับหดตามหลังมาเรื่อยๆ ด้านหน้าก็สว่างนำไป ด้านหลังก็หดกลับตามมา

    ในขณะที่เดินก็รู้สึกกลัวว่า จะเดินไม่ทันแสงที่หดตัวไล่หลังมาเรื่อยๆ จึงจำเป็นต้องเร่งฝีเท้าเพื่อจะให้ทัน จากที่เดินช้าๆทอดน่อง ก็จำเป็นต้องเร่งเดินเร็วขึ้นๆเรื่อยๆ

    ในขณะเดินไปพลางคิดไปพลางว่า จะเดินไปถึงไหน และจุดสิ้นสุดมันอยู่ตรงไหน แล้วจะเอายังไงต่อดี จะเดินหรือจะหยุดเดินเพียงแค่นี้ เสียงเดิมก็ดังขึ้นทันทีทันควัน ทำให้ต้องสะดุ้งสุดตัว ใจหายวาบเหมือนกับจะหยุดเต้น

    พอ หยุดอยู่ตรงนั้น เดี๋ยวจะมีคนมารับช่วงต่อ

    ขาที่กำลังก้าวเดินเร็วๆอยู่ พลันพร้อมใจกันหยุดกึกทันทีเหมือนกัน เมื่อสิ้นเสียงคำสั่งให้หยุด ทั้งๆที่ตัวผู้เขียนเองยังไม่ได้คิด(สั่ง)ให้หยุดสักหน่อย แต่ขากลับไปเชื่อฟังเสียงนั้นแทนซะงั้น ทำให้แทบจะเซถลา ต้องประคองตัวแทบไม่ทัน
    ผู้เขียนในขณะนั้นสังเกตุว่า เมื่อหยุดเดิน แสงที่ทอดนำหน้าเป็นช่องก็หยุดเหมือนกัน ก็เลยประเมินไม่ถูกว่าต่อไป จะตรงไปหรือจะเลี้ยวขวาหรือซ้าย เพราะเหมือนกับสิ้นสุดทาง(ถนน)ที่จะไปต่อ

    เมื่อยืนอยู่สักครู่ พยายามเพ่งสายตามองไปด้านหน้า เสียงหนึ่งที่ไม่ใช่เสียงเดิม ไม่ใช่เสียงตะคอกเหมือนเก่า แต่กลับเป็นเสียงราบเรียบนุ่มสบายหู และรู้สึกคุ้นหู มาก พูดเนิบๆ ก็กล่าวขึ้นว่า

    ไม่ต้องกลัวนะ ทำใจให้เป็นปกติหากว่าเห็นสิ่งใด แล้วค่อยๆเดินต่อไป เกือบจะถึงที่หมายแล้ว

    ภควัณตัง
     
  8. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ญาติธรรมที่เข้ามาใหม่ เพื่อให้ได้อรรถรสของการอ่าน ก็อ่านเริ่มตั้งแต่หน้าแรกก็จะดีครับ ผู้เขียนก็จะลงต่อๆไปเรื่อยๆครับ ขอบอกว่าจะลงให้ครั้งนี้ครั้งเดียว และที่เวปพลังจิตนี้ที่เดียวครับ จะไม่ลงที่อื่นๆอีก

    เหตุการณ์ที่ลงไปนั้น เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดกับตัวผู้เขียนเองจริงๆ มิได้ต้องการแต่งเรื่องให้เพียงแค่ให้อ่านสนุกเท่านั้น หรือไปคัดลอกของใครมาครับ

    ภควัณตัง
     
  9. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    สิ้นเสียงนั้น ลำแสงที่หยุดเมื่อครู่ก็ทอดแสงต่อไปอีกเป็นช่องทาง แต่แสงนั้นนุ่มนวลตาขึ้นไม่สว่างจ้าเหมือนเมื่อครู่ที่เดินตามมา เดินมาได้สักครู่ มีสิ่งหนึ่งเหมือนภูเขาขนาดย่อมๆทะมึนกั้นขวางอยู่ระหว่างทางที่จะเดินไป และแสงที่ทอดให้เดินไปนั้นก็ตรงไปสู่ภูเขาลูกนั้นพอดี ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ที่คิดว่าเป็นภูเขาแล้ว จนพอมองเห็นว่าเป็นรูปร่าง


    สิ่งที่มองเห็นตรงหน้า ทำให้ผู้เขียนแทบจะก้าวขาไม่ออก ขาทั้ง
    2ข้างสั่นเหมือนคนหนาวจัดที่สั่นไปทั้งตัว ใจหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มแทบจะหมดเรี่ยวแรงที่จะเดินต่อไป รู้สึกกลัวอย่างไม่เคยกลัวอะไรมาก่อน กลัวยิ่งกว่าเห็นผีตรงหน้า


    เพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้าคือ งูขนาดใหญ่ ใหญ่ขนาดภูเขาลูกย่อมๆ ลำตัวขดขนดเป็นวงกลมสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าขนาดต้องแหงนคอมอง ตามลำตัวมีเกล็ดสีปีกแมลงทับ(เขียวเข้ม)วางซ้อนกันเป็นชั้นๆเป็นเงาวาวสะท้อนเข้าตา ส่วนหัวมีหงอนลักษณะคล้ายหงอนไก่ทอดยาวลงมาถึงส่วนคอ ปลายยอดสุดของหงอนพับตกลงมา หงอนมีสีแดงเข้มดวงตาของงูยักษ์ที่ทอดมองมายังผู้เขียน เปล่งประกายเหมือนมีพลังอำนาจและดุดันและพร้อมที่จะทำร้าย หากว่าก้าวล่วงเข้าไปประชิดมากกว่านี้ พร้อมแผ่แม่เบี้ยขนาดใหญ่กว้างขนาดสนามฟุตบอล2-3สนามรวมกัน มีเขี้ยวโผล่ออกจากปลายปากทั้ง2ข้างยาวแหลมโง้ง ใหญ่ขนาดงาช้างตัวใหญ่ๆ สีขาวเป็นมันวาว ชูแม่เบี้ยนิ่งมองดูผู้เขียนที่จะก้าวเท้าเข้าไปใกล้

    เดินเลี้ยวไปทางซ้ายนะ อย่าเดินตรงไป เดี๋ยวท่านนาคราชจะโกรธเอา ที่ไปบุกรุกสถานที่

    เสียงเดิมที่นุ่มคุ้นหูบอกต่อ พลันผู้เขียนก็เดินเลี้ยวซ้ายไปตามเสียงที่บอก เดินไปเรื่อยๆสักครู่ เหมือนกับไปโผล่ที่ปากปลายอุโมงค์ อุโมงค์หนึ่ง จะเดินต่อก็คงไม่ได้เพราะเหมือนทางมันสิ้นสุดแค่ตรงนั้น เพราะเมื่อชะเง้อมองลงไป

    ด้านล่างเหมือนเป็นเหวลึกกว้างสุดสายตา มีลมจากด้านล่างพัดขึ้นมาปะทะจนรู้สึกหนาว บริเวณรอบๆเห็นแต่ปุยเมฆ-หมอกปกคลุมจางๆทั่วทั้งหมด เมื่อเพ่งมองลงไป ด้านล่างเหมือนเป็นแอ่งกะทะขนาดใหญ่ มีต้นไม้เขียวคลึ้มขึ้นเต็มไปหมด บางส่วนใบเป็นสีเหลืองทอง บางส่วนเป็นสีแดงเข้ม บางส่วนเป็นสีชมพูจางๆสวยงามจนบอกไม่ถูก ตรงกลางแอ่งเหมือนมีหนองน้ำขนาดใหญ่ มีบัวสารพัดสีขึ้นอยู่กระจายอยู่ทั่วไปเป็นกลุ่มๆมากบ้างน้อยบ้าง บางกลุ่มดอกเป็นสีแดงสด -เหลืองทอง-ขาวนวล-ชมพูเข้ม/อ่อน ดอกค่อนข้างใหญ่กว่าปกติที่เคยเห็นมา2-3เท่าตัว


    ใบของบัวจากการคาดคะเนเมื่อมองลงมาจากที่สูง ไม่น่าจะต่ำกว่าเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ4-5เมตรต่อใบ น้ำในสระนั้นเขียวใสมรกตเมื่อสะท้อนกับแสง ไม่สามารถคำนวนความลึกได้ว่าลึกประมาณไหน รอบๆบริเวณสระนั้น มีสิ่งหนึ่ง บินว่อนอยู่ทั่วไป คล้ายผีเสื้อมองเห็นแต่ไกลๆ


    นั่นคือสระอโนดาต บริเวณรอบๆนี้คือป่าหิมพานต์ สถานที่ที่มนุษย์ส่วนใหญ่ใฝ่ฝันที่จะมาไง

    เสียงนั้นอธิบายบอกกับผู้เขียนต่อ เหมือนจะอ่านใจผู้เขียนออกว่า ผู้เขียนจะถามว่าที่นี่คือที่ไหน และอยู่ตรงส่วนไหนของโลกเรา

    บริเวณรอบๆหิมพานต์นี้ มีภูเขาปิดล้อมทั้ง5ชั้น ยากนักที่มนุษย์หรืออมนุษย์จะย่างกายเข้ามาได้ ยอดเขาแต่ละลูกจะโน้มเข้ามาบรรจบชนกันปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่างทั้งแสงอาทิตย์และแสงจันทร์ไม่ให้ส่องลงมาตรงๆได้ มีทั้งหมด5ยอด

    คือยอดสุทัสสะนะ-ยอดจิตตะ-ยอดกาฬะ-คันธมาทธ์และยอดสูงสุดคือยอดเขาไกลาสที่อยู่ของพญาครุฑ สระที่เห็นเป็นเพียงสระหนึ่งยังมีอีก6สระ บริเวณรอบๆหิมพานต์นี้ สระอโนดาตนี้เป็นที่สรงสนานแห่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ รวมถึงผู้มีฤทธิ์ เช่น ฤษี วิทยาธร ยักษ์ นาค ปลายสายน้ำแห่งสระอโนดาตนี้ไหลลงสู่โลกมนุษย์5สายคือ แม่น้ำคงคา- แม่น้ำยมุนา-แม่น้ำอจิรวดี-แม่น้ำสรภู-แม่น้ำมหิ ผู้ที่มีตาทิพย์เท่านั้นที่จะมองเห็นต้นน้ำแห่งนี้

    ผู้เขียนได้ฟังคำอธิบายแค่นี้ก็อึ้ง พูดไม่ออก ได้แต่ยืนมองไปรอบๆตามคำอธิบายนั้น เปรียบเสมือนมีสระน้ำ6สระอยู่ครงกลาง มีภูเขาล้อมรอบเป็นชั้นๆสลับกัน โดยที่ยอดของแต่ละลูกโน้มเข้ามาบรรจบกันตรงกลาง เว้นช่องด้านข้างให้น้ำไหลเข้าออกสลับกัน โดยที่ไม่ให้ไหลออกตรงๆ


    ผู้ที่จะผ่านเข้ามาถึงใจกลางได้จึงเป็นการยาก แม้จะมีปีกบินก็ตาม หากจะเข้ามาถึงได้ คงต้องบินลัดเลาะแทรกเข้ามาระหว่างภูเขาแต่ละลูกๆ ซึ่งก็ยากอยู่ดี เพราะเขาแต่ละลูกล้วนมีผู้รักษาดูแล คงไม่ให้ผ่านเข้ามาได้ง่ายๆหรอกกระมัง
    เหมือนกับจะอ่านใจผู้เขียนออกว่าคิดอะไร เสียงนั้นจึงอธิบายต่อไปว่า

    จะว่าออก-เข้า ไม่ได้ทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา ก็มีกินรี-กินนร แอบลัดเลาะออกไปเที่ยวยังโลกมนุษย์ เพราะสถานที่นี้เป็นรอยเชื่อมต่อระหว่าง โลกทิพย์และโลกมนุษย์ จึงอาจมีลักลอบออกไปเที่ยวได้ แต่มาระยะหลังนี้ โลกมนุษย์ไม่ค่อยสะอาด จิตใจคนเปลี่ยนไป พวกนี้จึงไม่ออกไปอีก และหากฝืนออกไป อาจจะถูกนาคหรือครุฑจับกินได้ หากว่าพบเจอ

    ผู้เขียนในขณะนั้นก็พยักหน้ารับรู้ และคล้อยตาม เพราะ นานมาแล้ว ที่ไม่เคยมีใครได้เคยเจอะเจอทั้งกินรีและกินนรในโลกมนุษย์อีกเลย คยได้ฟังมาจากคนรุ่นก่อนๆเท่านั้น ที่บอกว่าพรานบุญได้ใช้บ่วงบาศน์จับได้

    ที่เห็นบินอยู่ด้านล่างคือเหล่ากินรีและกินนรทั้งหลาย รวมทั้งสัตว์หิมพานต์อื่นๆ เมื่อมีโอกาศต่อไป เราจะพาลงไปด้านล่างอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีเวลาไม่มากนัก

    ไม่ว่าผู้เขียนจะคิดหรือนึกว่าจะถามสิ่งใด ยังไม่ทันจะถามหรือพูด เสียงนั้นก็จะชิงตอบมาก่อนทุกครั้ง เท่ากับว่าเสียงนั้น สามารถอ่านใจผู้เขียนได้ทุกอย่าง เพราะเพียงแค่นึกเท่านั้น ก็จะตอบมาทันที

    ดูพอหรือยัง เรามีเวลาไม่มากนัก ยังต้องไปยังสถานที่อื่นต่ออีก

    ผู้เขียนรู้สึกเสียดายเหมือนกัน เพราะเพลินกับการชมสถานที่ที่สวยงามแบบนี้ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ใจหนึ่งไม่อยากจากไป อยากยืนดูนานๆ แต่เสียงที่บอกนั้นเหมือนกับตัดบทว่าจะต้องไปแล้ว จึงจำต้องหันกลับ

    เมื่อหันกลับมาสิ่งที่พบตรงหน้าคือ บุรุษกลางคนผู้หนึ่ง แต่งกายลักษณะคล้ายพาหมณ์ ชุดกางเกงยาวสีขาวคลุมถึงข้อเท้า ปลายขอบผ้ามีแถบกว้างประมาณ
    1คืบ ปักลวดลายดิ้นทอง ใส่เสื้อบางๆรัดรูปสีเหลืองทอง บนเสื้อมีลวดลายกนกรูปใบโพธิ์จางๆเหมือนกับปักดิ้นทอง ข้อเท้าและข้อมือทั้ง2ข้างสวมกำไรวงโตสีทอง สวมรองเท้าหุ้มข้อเท้าเหมือนทำจากผ้าสักหลาดสีเขียวสด

    ทรงผมเกล้ามวยผมออกสีดำแซมด้วยผมขาวทั้งหัว นัยตาใสเป็นประกายเหมือนนัยตาเด็ก ต่างกันกับอายุ ใบหน้าขาวใสเรียบเนียน เหนือรืมฝีปากบน มีหนวดเรียวเล็กโค้งยาวจรดแก้มทั้ง2ข้าง


    เราเป็นเทพ ไม่ใช่เทวดา มนุษย์ทุกคนมีเทพรักษา เว้นแต่ว่ามนุษย์ผู้นั้นไม่ได้ปฏิบัติธรรม หรือไม่เคารพศรัทธา เทพที่รักษาก็อาจจะค่อยๆจากไป

    บุรุษผู้นั้นชิงตอบก่อนที่ผู้เขียนจะถามอีกเหมือนกับสามารถอ่านใจได้ทุกเรื่อง เมื่อได้ฟังบอกเล่าอย่างนั้น ทำให้ผู้เขียนนึกไปถีงเกี่ยวคนโบราณบอกเกี่ยวกับเด็กเล็กๆว่า เด็กๆจะมีแม่ซื้อ หรือเทวดาดูแลก็คงจะจริงตามที่คนโบราณบอกนั่นเอง

    เราไปต่อกันเถอะ มีเวลาไม่มากแล้ว ยังมีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่านี้

    บุรุษผู้นั้นเอ่ยตัดบท และเหมือนกับต้องการตัดความคิดของตัวผู้เขียนด้วย พร้อมทั้งก้าวเดินนำหน้าไป เหมือนกับเบิกทาง เพราะทันทีที่เดินไปทางไหน ทางนั้นจะสว่างเป็นช่องทางไปเรื่อยๆ ผู้เขียนก็เดินตามต้อยๆไป เมื่อทดลองเร่งก้าวเร็วขึ้น ก็เหมือนบุรุษผู้เดินนำหน้านั้น ก็จะเดินเร็วนำตาม ไม่สามารถเดินเข้าประชิดตัวได้เลย

    เมื่อเดินมาได้สักครู่ลักษณะและบรรยากาศสองข้างทางเริ่มเปลี่ยนไป จากพื้นดินราบเรียบเปลี่ยนเป็นพื้นหินสลับสีวางซ้อนๆกันอย่างเป็นระเบียบแทน เหมือนกับเอาหินเป็นแผ่นๆมาวางเรียงต่อๆกัน

    แต่ละแผ่นต่อกันได้แนบสนิทเป็นช่องทางเดิน สองข้างทางเปลี่ยนจากโล่งๆเป็นป่าโปร่งและป่าทึบตามลำดับ ตลอดทางที่เดินมาเงียบสนิท ได้ยินแต่พื้นรองเท้าของผู้เขียนที่เดินเหยียบไปบนพื้นแต่ไม่มีเสียงเหยียบของบุรุษผู้นำทาง เหมือนกับจะเดินลอยๆไปไม่ได้เหยียบพื้นดิน

    ภควัณตัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 สิงหาคม 2011
  10. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    ผ่านไปชั่วครู่ พื้นหินเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวคล้ายหินอ่อน สองข้างทางมีต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้ามีดอกกล้วยไม้ติดอยู่เต็มลำต้นออกดอกดูสวยงาม สลับกับดอกไม้หลากสี เป็นกลุ่มๆทั้งแดง -เหลือง-ชมพู-ส้ม-ม่วง-ขาว ทำให้เดินไป ดูสองข้างทางเพลินจนลืมเหนื่อย

    ถึงแล้ว ที่นี่แหละ

    บทจะหยุดก็หยุด เล่นเอาผู้เขียนที่เดินมาเพลินๆเบรคแทบไม่ทัน หันไปมองรอบๆตัวอีกครั้งพบว่า ด้านหน้าเป็นเหมือนหมู่บ้านคน ปลูกอยู่เป็นหย่อมๆเล็กบ้างใหญ่บ้างสลับกันไป มองไปจนสุดตา

    บ้านแต่ละหลังมีลักษณะเป็นเรือนไทยทรงจั่วแหลมคล้ายๆกัน รอบๆบริเวณบ้านปลูกไม้ดอกสีสรรค์ดูพราวตา มีรั้วกั้นอาณาบริเวณของแต่ละหลังมากบ้างน้อยบ้าง บริเวณรอบๆบ้านดูสะอาดตาไม่รกรุงรัง บางบ้านแขวนไม้ดอกไม้ประดับบริเวณหน้าบ้านสีสรรค์แปลกตาน่าชวนมอง มีเสียงดนตรีไทยลอยมาแต่ไกลๆเหมือนมีงานรื่นเริงมโหสพที่ไหนสักที่หนึ่งในบริเวณนั้น

    บ้านของท่านหลังนั้น เข้าไปพักผ่อนให้หายเหนื่อยก่อนสิ

    ผู้ที่เดินนำหน้ามาเมื่อสักครู่กล่าวบอก พร้อมทั้งชี้มือไปที่บ้านหลังหนึ่ง ผู้เขียนได้มองตามมือที่ชี้ไปพบว่า บ้านหลังนั้นอยู่ไม่ไกลจากที่หยุดเดิน ด้านหน้ามีซุ้มประตูเข้าบ้าน บนประตูมีไม้ดอกเถาเลื้อยออกดอกสีแดงเต็มซุ้มประตู ทางเดินเข้าบ้านปูด้วยกระเบื้องสวยแปลกตา

    ลักษณะตัวบ้านเป็นบ้านไม้ทรงสูงยอดแหลม บนจั่วหลังคามีภาพแกะสลักด้วยไม้เป็นมันละเลื่อมเป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ รอบๆชายคาเป็นไม้แกะสลักโดยรอบ ข้างฝาบ้านเป็นไม้ตีประกบกันดูสวยงามเรียบร้อย มีหน้าต่างโดยรอบ เห็นผ้าม่านปลิวไสวเมื่อโดนลมพัด ที่แปลกใจตัวเองก็คือเหมือนกับว่าตัวผู้เขียนเองเหมือนกับเคยอยู่ที่บ้านหลังนี้มาก่อนอย่างนั้นแหละ เพราะตามความรู้สึกคือ เหมือนกับคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาดกับบ้านหลังนี้

    คนนำทางพาผู้เขียนเดินผ่านซุ้มประตูเข้าไปภายในบริเวณบ้าน ขณะเดินผ่านซุ้มมีกลิ่นหอมอบอวลจากดอกไม้ด้านบนซุ้ม จนอดแหงนมองชื่นชมไม่ได้ เมื่อเข้าถึงตัวบ้านพบว่าใต้ถุนบ้านถูกยกพื้นขึ้นไปมีบันได3ขั้นเพื่อเดินขึ้น

    พื้นปูด้วยกระเบื้องหินอ่อนทั้งหมด บนพื้นมีตั่ง(เตียงสำหรับนั่งหรือนอน)วางอยู่บนพรมสีเขียวสด บนตั่ง(เตียง)ถูกปูด้วยพรมลายดอกสวยงาม ที่แปลกใจก็คือ พบว่าภรรยาผู้เขียนนั่งรออยู่ที่ตั่ง(เตียง)นั้น เธอใส่ชุดเหมือนชุดไทยจักรี นั่งพับเพียบเหมือนรอผู้เขียนอยู่

    อ้าว.....เธอ มาได้ไงเนี่ย

    ผู้เขียนรู้สึกดีใจที่ได้เจอภรรยาที่นี่

    แต่เงียบ......ไม่มีเสียงตอบกลับมา มีแต่นั่งส่งยิ้มมาให้อย่างเดียว แถมเลิกคิ้วขึ้น เหมือนกับว่าพึ่งเคยเจอกัน และผู้เขียนทักคนผิดซะงั้น

    เธอผู้นี้ชื่อเกตุมณี นั่งรอท่านกลับมาที่นี่ ตั้งแต่ท่านแต่งงานกับเธอใหม่ๆ เพียงแต่ท่านหมดบุญหมดวาระต้องกลับลงไปเกิดใหม่ เธอผู้นี้จึงนั่งรอท่านกลับมาตั้งแต่นั้น จึงไม่ต้องแปลกใจ ที่เธออาจจะไม่คุ้นเคยกับร่างใหม่ของท่านในขณะนี้

    ผู้ที่นำทางมาตั้งแต่ต้นอธิบายบอกกับผู้เขียน พร้อมทั้งพูดภาษาที่ผู้เขียนฟังไม่ออกกับหญิงนั้น2-3ประโยค(เข้าใจว่าไม่ใช่ภาษาโลกมนุษย์ เพราะพูดค่อนข้างเร็วสูงๆต่ำๆและไม่เคยได้ยินมาก่อน)

    หญิงผู้นั้นเมื่อรับรู้(เจรจา)แล้ว รีบลุกขึ้นเดินก้าวมาที่ผู้เขียนเข้าสวมกอดผู้เขียนแน่นจนแทบหายใจไม่ออก เพราะไม่ทันตั้งตัวรับ จำต้องกอดตอบแบบ งงๆ ยอมรับว่า เมื่อได้กอดตอบแล้ว รู้สึกเหมือนความคุ้นเคยเริ่มกลับมา ทั้งกลิ่นตัวและการสัมผัส เหมือนกับย้อนฟื้นอดีตอีกครั้ง

    ผู้เขียนพึ่งจะสังเกตุความแตกต่างเมื่อได้อยู่ใกล้ประชิดติดตัวว่า หญิงผู้นี้มีบางอย่างที่ไม่เหมือนภรรยาซะทีเดียว เช่น ผมยาวกว่าจนจรดแผ่นหลัง (ภรรยาผู้เขียนผมยาวแค่ไหล่) ผมมีลักษณะเส้นตรงยาว รูปร่างอวบกว่านิดหน่อย ผิวขาวใสสะอาด(ภรรยาผิวไม่ค่อยขาว) จมูกโด่งกว่า คิ้วคมเข้ม ดวงตาใสสะอาดกว่า ริมฝีปากเล็กเรียวกว่า เพียงแต่รูปร่างและรูปหน้ามีลักษณะคล้ายกันเหมือนฝาแฝด

    พี่กลับมาแล้วเหรอ

    ประโยคแรกที่เธอพูดกับผู้เขียน ซึ่งน้ำเสียงนั้นก็แตกต่างจากภรรยา เพราะเธอเสียงเล็ก พูดเนิบๆอย่างคนใจเย็น พร้อมทั้งคลายจากอาการกอดรัด แหงนหน้ามองผู้เขียนตรงๆ

    ยังไม่ได้มา แต่พามาเยี่ยมเฉยๆ ต้องชดใช้กรรมยังไม่หมด ยังไม่หมดอายุขัย
    ผู้ที่พาผู้เขียนมา ตอบแทนทั้งหมด ก่อนที่ผู้เขียนจะตอบว่าอะไร


    ดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองผู้เขียนเหมือนกับรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย รู้สึกอาลัยอาวรณ์พร้อมทั้งมีหยาดน้ำตาซึมออกมา พร้อมทั้งกอดรัดตัวผู้เขียนอีกครั้ง จากการสัมผัสเหมือนกับว่าอยากจะสัมผัสให้นานที่สุด ให้สมกับการรอคอยที่ยาวนาน

    น้องรอพี่มานานมากแล้ว พี่ต้องสัญญานะว่าจะรีบกลับมาหาน้องโดยเร็ว หากว่าชดใช้กรรมหมดแล้ว

    เธอวิงวอนผู้เขียน พร้อมทั้งซบหน้าลงบนอกสะอื้นเบาๆ

    พี่ให้สัญญา

    เป็นคำตอบที่ผู้เขียนพูดออกไปโดยไม่รู้สึกตัวในขณะนั้น เหมือนกับว่าเบลอๆและพูดออกไปโดยที่ตัวเองไม่ต้องใช้ความคิดในการที่จะตอบโต้เลย เหมือนกับปากพูดออกไปเองโดยอัตโนมัติ ทั้งๆที่ใจยังไม่ได้คิดจะตอบ แต่ปากพาไป

    ท่านจะได้กลับมาที่นี่อีกหรือไม่ได้มา มันอยู่ที่ตัวท่านเอง อยู่ที่บุญกุศลที่ได้สร้างบุรุษที่พาผู้เขียนมาอธิบายบอก

    มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมาอยู่ที่นี่ หากหมั่นสร้างกุศลผลบุญ หากต้องการมีบ้านอาศัยก็ต้องหมั่นบริจาคทาน เช่น บริจาคที่ดินหรือซื้อที่ดินให้กับสาธารณะกุศลหรือให้กับวัด เพื่อเป็นถาวรณ์วัตถุทำนุบำรุงศาสนาสืบไป บริจาคสิ่งของ เพื่อจะได้มีสิ่งของไว้ใช้ บริจาคหลังคา/กระเบื้องมุงหลังคาให้กับวัดวาอาราม มีอยู่ทั่วไปตามงานเทศกาลวัดต่างๆ บริจาคปัจจัย เพื่อสร้างถานะในโลกนี้แลโลกหน้า ซึ่งมนุษย์ส่วนมากละเลยกัน

    มนุษย์ส่วนมากอยู่ด้วยความอยากและกิเลศของวัตถุสิ่งของเข้าครอบงำจนไม่สนใจเรื่องอื่นเหมือนคนตามืดบอด ทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาดก็เพื่อต้องการสิ่งบำรุงบำเรอความอยาก และกิเลศของตนเองเป็นส่วนใหญ่ บ้าแต่วัตถุที่ไม่จีรังยั่งยืน ไม่เคยเข้าวัด ไม่เคยบริจาคไม่เคยทำบุญ-ทาน
    บางคนมีปัญญาที่จะสร้างบุญกุศลแต่ไม่คิดจะสร้างเป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก แต่ก็มีที่บางคนมีความคิดที่จะสร้างแต่ก็ไม่มีปัญญา จึงรู้สึกเวทนามนุษย์ในโลกปัจจุบันมาก ตั้งหน้าแต่ทำงานเพื่อที่จะเสวยความสุขเสพความอยากกับวัตถุปัจจุบัน จนลืมโลกอนาคต

    บางคนได้มาที่นี่แต่ไม่เคยบริจาคอะไรเลยหรือเคยแต่ภวปัจจัยไม่เพียงพอ จึงต้องนอนกับพื้นดินเกลือกกลิ้งกับทราย ไม่มีบ้านอยู่อาศัย ไม่มีเครื่องใช้ไม้สอย ไม่มีข้าทาสบริวาร ไม่มีทรัพย์สมบัติติดตัว ถึงแม้ในขณะที่เป็นมนุษย์ จะมีทรัพย์สินสมบัติมากมายมหาศาล แต่ก็ใช่ว่าจะเอาติดตัวมาที่นี่ได้ไม่

    จึงมีแค่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่สามารถมาเสวยสุขอยู่ที่นี่ได้ มนุษย์จึงควรสังวรณ์ในการหมั่นให้ทาน เหมือนกับการฝากบุญเอาไว้ เพื่อจะได้เป็นภวปัจจัยส่งผลมาถึงแก่โลกอนาคตหรือโลกทิพย์ในอนาคตกาล

    ผู้เขียนได้แต่ยืนฟังนิ่งเฉย ไม่มีความเห็นอะไร เพราะเหมือนกับรู้สึกคล้อยตามและเห็นด้วยกับสิ่งที่บุรุษผู้นั้นพูดทุกประการ อาจจะด้วยผู้เขียนเคยบริจาคทานให้กับตามวัดอยู่เนืองๆ เพราะภรรยาชอบไปวัดทำบุญอยู่บ่อยๆ

    แม้เราจะไม่ได้มีฐานะดีมากนัก แต่ก็ทำเท่าที่มีหรือพอจะทำได้ ครั้งแรกผู้เขียนก็เหมือนกับคนทั่วไปที่ไม่ค่อยได้เข้าวัดไปวัดมากนัก รู้จักแต่วัด แต่ไม่เคยเข้าไป
    บางปีทำแต่งานไม่เคยมีความนึกคิดหรือสนใจเรื่องพระเรื่องเจ้า เรื่องวัดเอาซะเลย ทั้งๆที่บ้านก็อยู่ไม่ห่างวัดมากนัก เรียนก็เรียนโรงเรียนวัด เดินก็ต้องเดินผ่านหน้าวัดแทบทุกวัน วันๆจึงคิดแต่เรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องในครอบครัว เรื่องซื้อของใช้สัพเพเหระเพื่อมาบำรุงบำเรอตัวเอง เหมือนกับคนทั่วๆไป

    แต่ก็มีเหตุให้ต้องส่งภรรยาไปวัดเพื่อทำบุญอยู่เนืองๆ จึงต้องคล้อยตามหรือคุ้นเคยไปด้วยโดยปริยาย จนรู้จักวัดต่างๆตลอดจนเจ้าอาวาสวัดในเขตระยองแทบจะทุกวัด หากมีเทศกาลปิดทองฝังลูกนิมิตรตามวัดต่างๆทุกๆปี ผู้เขียนและภรรยาก็จะตะเวณไปตามวัดต่างๆ ซึ่งส่วนมากตามวัดก็จะมีการรับบริจาคสร้างหลังคา/ซื้อที่ดินถวายวัด ซื้ออุกรณ์ก่อสร้าง บริจาคปัจจัย(เงิน)เพื่อซื้อเครื่องอุปโภคบริโภค ถวายผ้าไตร-จีวรณ์ บริจาคปัจจัย(เงิน)กฐิน ผ้าป่าเป็นต้น

    บางปีตะเวณทำติดต่อกัน4-5วัด หรือ6-7วัดก็มี ตามแต่เวลาจะเอื้ออำนวย-ปัจจัย(เงิน)ที่จะทำหรือสามารถเดินทางไปได้ ก็เป็นอย่างนี้แทบจะทุกๆปีถือเป็นเรื่องปกติและความเคยชินไปเองเป็นกิจวัตร

    ได้เวลาที่ท่านจะต้องกลับแล้ว

    บุรุษที่นำพาผู้เขียนมาตั้งแต่แรกพูดปิดรายการ ผู้เขียนจำต้องค่อยๆดึงแขนหญิงนั้นที่กอดผู้เขียนอยู่ออก เหมือนจะเตือนว่า ถึงเวลาที่จะต้องจากกันอีกครั้งแล้ว เท่าที่ดูนัยตาพบว่า นางนั้นน้ำตาไหลอาบนองทั้งสองแก้ม จนหยดลงบริเวณแขนผู้เขียน

    พี่คงต้องไปก่อนแล้ว หากว่าพี่มีบุญวาสนาจริง เราคงจะได้พบกันอีกในปลายภาคหน้า เธอจงรักษาตัวเพื่อรอการกลับมาของพี่ หวังว่าเราคงได้พบกันอีก

    ผู้เขียนพูดแบบนั้นจริงๆทั้งๆที่ใจไม่ได้นึกตามคำพูด แต่ปากพาไปอีกจนได้ เธอพยักหน้าเหมือนกับรับรู้กับการที่จะต้องจากในครั้งนี้ อีกครั้งพร้อมกับยกมือโบกลา สองแก้มเปียกไปด้วยน้ำตา

    ผู้เขียนยกมือโบกตอบแล้วจึงหันหลังกลับเพื่อเดินตามบุรุษนั้นที่ตอนนี้ ไปยืนคอยที่ใต้ซุ้มทางเข้าบ้านแล้ว

    ชายผู้นั้นพาผู้เขียนเดินออกมาจากบริเวณบ้านกลับมายังทางเดิมที่เคยยืนมองตั้งแต่ครั้งแรก พร้อมทั้งหันมาบอกผู้เขียนว่า

    ทีนี้ท่านเดินนำหน้าเราบ้าง เราจะเดินตามท่านไปห่างๆ ทำใจให้เป็นปกติ

    ผู้เขียนจึงเดินนำแซงไป จำได้ว่าเมื่อเดินมาได้สักประมาณแค่5-10ก้าว ในขณะนั้นมีความรู้สึกครั้งสุดท้ายว่า ตัวผู้เขียนเหมือนกับตกไปในเหวด้านหน้า มันวูบไม่รู้สึกตัวอีกเลย

    เธอ เธอ เธอ

    ความรู้สึกแรกที่ได้ยินคือเสียงภรรยาผู้เขียนเรียก และตามมาด้วยการเขย่าตัวอย่างแรง ทำให้ผู้เขียนค่อยๆลืมตาขึ้นมอง ภาพที่เห็นคือภรรยาผู้เขียนกำลังเรียกและเขย่าตัวผู้เขียนเป็นระยะๆ

    เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมไม่ไปทำงาน ไม่สบายหรือเปล่า

    เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร นอนหลับ วันนี้วันหยุดนี่ จะไปทำไมผู้เขียนตอบ

    อะไร วันหยุดที่ไหน วันนี้มันวันที่3แล้วนะ เธฮหยุด3วันเลยเหรอ ชั้นกลับไปบ้าน จนชั้นกลับมาแล้ว จำได้ว่าวันนี้เธอไปเข้ากะดึกไม่ใช่เหรอภรรยาผู้เขียนแย้งอีก

    หา......อะไรนะ นี่มันวันที่3แล้วเหรอ

    ผู้เขียน งง กับคำบอกเล่า อะไรกัน นี่เรานอนหลับไป3วันกับอีก2คืนเลยเหรอ เป็นไปได้ยังไง เราไม่เคยนอนหลับนานขนาดนี้มาก่อนนี่นะ แล้วครั้งนี้จะนอนนานขนาดนี้เลยเหรอ

    ผู้เขียนพยายามนึกทบทวนกลับไปกลับมา รวมทั้งสิ่งที่ฝันไปขณะหลับ เท่าที่จำได้มันไม่น่าจะนานขนาดนี้นี่นา เพราะหากเอาเวลาที่เดินทางขณะฝัน มันก็ไม่ได้ข้ามคืนสักหน่อย น่าจะใช้เวลารวมไม่เกิน5-6ชั่วโมงแค่นั้น

    สายตาภรรยาที่มองผู้เขียนอย่างไม่เข้าใจ พร้อมบ่นพึมพำว่าตัวผู้เขียนน่าจะเพี้ยนแล้วเดินออกจากห้องไป ผู้เขียนลุกขึ้นนั่งบนเตียงสลัดหัวไป-มาอย่างกับจะเรียกสติกลับคืนมา

    สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนมีความรู้สึกว่า เหมือนกับพึ่งไปผจญมากับเหตุการณ์จริงๆมาก็คือ กลิ่นตัวจากหญิงที่สวมกอดผู้เขียนในความฝันยังติดตัวจนได้กลิ่นติดจมูกอยู่ และยิ่งกว่านั้นคือ

    ......... แขนด้านขวาของผู้เขียนมีหยดน้ำเกาะติดอยู่2-3หยด..........

    ….....................................มันเป็นไปได้ยังไง...................................


    ….........................ภควัณตัง................................
     
  11. suphattra

    suphattra สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +19
    สาธุๆๆสาธุๆๆอ่านเเลัวนั่งร้องไห้ คนมีภรรยาอยู่เเลัวใช่ไหม ถ้าเป็นสัญญาเก่ามันทุกข์นะ;9k
     
  12. tidti2005

    tidti2005 ภควัณตัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +631
    :'( :boo:อ่า......น่า นะ ซะงั้น
     
  13. suphattra

    suphattra สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +19
    โห.......โดนดึงจิตไปหรอ
     
  14. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    มาติดตามอ่านครับ อ่านง่ายขึ้นเยอะเลย :cool:

    ถ้าอยากเป็นมือโปร หารูปมาลงด้วย จะสุดยอดมากครับ อิอิ
     
  15. ยัย fame

    ยัย fame เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2011
    โพสต์:
    386
    ค่าพลัง:
    +104
    รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ...........ที่คุณเดินทางไปไม่เจอพวกฝรั่งเลยเหรอ...ทำไมมีแต่อะไรที่เป็นแบบไทย ๆ ทั่งนั่นเลย ไม่มีพม่า อินโด หรืออะไรประมาณนี้นะคะ...มันเหมือนวรรณคดีของไทยยังไงไม่รู้.........
     
  16. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ประสบการณ์แบบนี้ มีไม่ได้ง่ายๆนะ เล่าเรื่องน่าติดตาม มีความสามารถดี
     
  17. pangbualun

    pangbualun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2010
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +285
    สนุกดีน่าติดตาม แต่ถ้าเว้นวรรคให้ดีจะน่าอ่านและไม่ละลานตา สิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้นอกจากที่ตาเห็นยังมีอีกมากมายในโลกนี้ จะติดตามอีกต่อไป
     
  18. Zintellar

    Zintellar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    423
    ค่าพลัง:
    +143
    เด๋วจะเข้ามาอ่านต่อยังอ่านไม่จบเลย
     
  19. Zintellar

    Zintellar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    423
    ค่าพลัง:
    +143
    เหมือนนิยายจริงๆเลย เรื่องที่ไม่ได้พบเห็นอย่างในปัจจุบัน ผมก็ว่านิยายหมดน่ะแหละ จะมารออ่านต่อ
     
  20. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    เรียบเรียงได้น่าติดตาม ขอชื่นชม
     

แชร์หน้านี้

Loading...