ขอถามท่านผู้เรื่อง วิปัสสนากับวิปัสสนึก ต่างกันอย่างไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เทพคาถา, 29 เมษายน 2016.

  1. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ไม่อยากได้อะไร

    แค่มาบอกความจริงเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2016
  2. มงคล พิมพา

    มงคล พิมพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2015
    โพสต์:
    111
    ค่าพลัง:
    +184
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
    "..จงอย่าลืมว่าก่อนพิจารณาทุกครั้งต้องเข้าฌานก่อน แล้วถอยหลังจากฌานมาหยุดอยู่เพียงอุปจารฌาน
    แล้วพิจารณาวิปัสสนาญาณจึงจะเห็นเหตุเห็นผลง่าย ถ้าท่านไม่อาศัยฌานแล้ววิปัสสนาญาณก็มีผลเป็นวิปัสสนึกเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรดีไปกว่านั่งนึกนอนนึกแล้วในที่สุดก็เลิกนึก และหาทางโฆษณาว่าฉันทำมาแล้วหลายปี ไม่เห็นได้อะไรเลย จงจำระเบียบนี้ไว้ให้ดี..."
    ที่มาจาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๒๐๒ หน้า ๘๑
    หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
     
  3. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ...ผมเคยฟัง พระอาจารย์หลวงพ่อชาดก ท่านเล่าถึง พระมีชื่อเสียงรูปหนึ่งมาขอเรียนกับท่าน ท่านเล่าว่า พระองค์นั้น ได้ทำกรรมฐานในแนวของท่าน แล้วเห็นสิ่งแปลกๆต่างๆ เช่นเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาเป็นต้น หลวงพ่อก็แก้ให้โดยกล่าวว่า สติยังไม่พอ ให้ฝึก สติในแนวของท่านให้พอ เพื่อให้สติเข้มแข็ง ก็จะทำให้ภาพต่างๆ หายไป โดยที่การทำสติ ของท่านก็มาในแนว กายคตาสติ โดยกำหนดการยุบพองของท้องเป็นตัวสร้างสติ
    ...ถ้ามีสติ ตามด้วยสัมปชัญญะ อย่างเข้มแข็ง ต่อเนื่อง ก็จะเห็นความเป็นไตรลักษณ์ ของขันธ์ห้า คือเห็นด้วย สัมปชัญญะนั้นแหละ

    ....ผมเคยฟัง พระอาจารย์ปราโมทย์ ทางซีดีที่ท่านเทศ มีคนถามว่า เวลานั่งทำสมาธิ หรือภาวนา จะต้องทำอย่างไร ท่านกล่าวว่า นั่ง ดูกายมันนั่ง ดูจิตมันคิด ดูกายมันนั่งหายใจ ถ้าเดินจงกรมก็ดูกายมันเดิน ดูจิตมันคิดของมัน ผมก็สงสัย ว่ามีเหตุผลอย่างไร ตอนนั้นงงมาก
    ....ผมเคยฟัง ธรรมะจากพระไตรปิฏก พระพุทธองค์ ในอานาปานสติ ว่า มีสติ รู้ลมเข้าออก ลมสั้นก็รู้ ลมยาวก็รู้ ผมก็สงสัยว่าทำไมต้องรุ้ลมสั้นลมยาว
    ....แท้จริง ตัวสัมปชัญญะที่ มีต่อมาจากการทำสติ ต่างหากที่สำคัญ พระองค์ทรงสอนให้ฝึกมีสัมปชัญญะ โดยมีสติก่อน แล้วตามด้วยสัมปชัญญะนั้นเอง เมื่อสติมีอย่างเข้มแข็ง ตัวสัมปชัญญะก็มีมากพอที่จะเห็นการทำงานของร่างกายและจิตใจ

    ....การเอาสัมปชัญญะมาดูการทำงานของขันธ์ห้า (จิตก็อยู่ในขันธ์ห้านะครับ) เพื่อให้เห็นว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จิตทำงานได้เองคิดได้เอง ประมาณนี้ อันนี้ถึงเรียกว่า เริ่มเข้าสูุการภาวนา

    [๔๒] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนเดือยข้าวสาลี หรือเดือยข้าว
    ยวะที่บุคคลตั้งไว้ผิด มือหรือเท้าย่ำเหยียบแล้ว จักทำลายมือหรือเท้า หรือว่าจักให้ห้อเลือด
    ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเดือยบุคคลตั้งไว้ผิด ฉันใดก็ดี ภิกษุนั้นแล
    ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จักทำลายอวิชชา จักยังวิชชาให้เกิด จักทำนิพพานให้แจ้ง ด้วยความเห็น
    ที่ตั้งไว้ผิด ด้วยการเจริญมรรคที่ตั้งไว้ผิด ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะ
    ความเห็นตั้งไว้ผิด.

    .....การทำวิปัสสนา ก็ต้องตั้งความเห็นให้ถูกต้องก่อน ถึงจักทำให้เกิดวิปัสสนาญาณ

    .....ญาณมิใช่เครื่องอยู่ของจิต
    .....เครื่องอยู่ของจิต ก็คือวิหารธรรม ถ้ามีคนถามตถาคตว่า อยู่ด้วยวิหารธรรมอะไรเป็นส่วนใหญ่ ให้ตอบว่า อยู่ด้วยอานาปานสติ.... อานาปานสติเป็นวิหารธรรมของมหาบุรุษ ประมาณน้้น ญาณไม่ใช่วิหารธรรม

    ....จิต เจตสิค รูป นิพพาน
    .....นิพพาน คือ อสังขตธาตุ ที่มีการรับรู้สิ่งต่างๆได้โดยไม่ได้ปรุงแต่ง การรับรุ้สิ่งต่างๆ เรียกว่า สัมปชัญญะบ้าง เรียกว่าญาณบ้างแล้วแต่สถานะ
    .....นิพพาน เกาะเกี่ยวกับ ขันธ์ห้าด้วยกิเลสสังโยชน์ การตัดกิเลสสังโยชน์ ก็ต้อง ให้ตัวนิพพานรับรู้ ความเป็นจริง ว่าขันธ์ห้า เป็นของไม่่น่าเอา ไม่น่ายึดเอาว่าเป็นตน เป็นของตน การรับรู้เรียกว่า รู้ด้วยญาณ

    .....การทำวิปัสสนา จำเป็นใหมต้องเข้าฌาน
    .....ถ้าทำฌานได้ ก็ง่ายที่จะบรรลุธรรม แต่ต้องเข้าใจคำสอนของพระองค์ด้วย

    ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน
    ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัด
    ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
    เหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้
    จิตย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว
    ก็มีญาณว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว

    .....ถ้าทำฌานไม่ได้ก็ไม่ได้หมายความว่า ทำวิปัสสนาไม่ได้

    [๓๐๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้
    อย่างนี้ ตลอด ๗ ปี เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
    พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ ๗ ปี
    ยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๖ ปี ... ๕ ปี ... ๔ ปี ... ๓ ปี ...
    ๒ ปี ... ๑ ปี เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลใน
    ปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ ๑ ปียกไว้ ผู้ใดผู้
    หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ เดือน เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
    อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่
    เป็นพระอนาคามี ๑ ๗ เดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่งเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้
    ตลอด ๖ เดือน ... ๕ เดือน ... ๔ เดือน ... ๓ เดือน ... ๒ เดือน ... ๑ เดือน ... กึ่ง
    เดือน เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน
    ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ กึ่งเดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่ง
    พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ วัน เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใด
    อย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็น
    พระอนาคามี ๑ ฯ

    ....การทำสติปัฏฐานสี่ ให้ถูกต้อง ก็คือการทำวิปัสสนานั้นเอง


    ....การทำวิปัสสนา ก็คือ วิธีทำให้ตัว นิพพานธาตุ รู้ว่าขันธ์ห้า เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นของไม่น่าเอาเป็นตัวตน เรียกการรู้นี้ว่า วิปัสสนาญานนั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2016
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ตกลง คุงประสิก. ประกาส. ผู้รู้ ตัวที่สาม. ขึ้นมาอีก

    อ้าง ชื่อพระ. มาเปนฐาน. ในการ. ตั้ง ผู้รู้ ตัวที่สาม
    ทั้งๆที่ พระท่าน. หลักๆ ท่านจะกล่าวว่า. ผู้รู้ ไม่เที่ยงเปนมุขนัยอุบาย
    ปล่อยจิต. เพื่อเริ่มต้นฝึกสติ สัมปชัญญะ
     
  5. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    .....ผมอ้างข้อความใหน ว่ามีตัวผุ้รู้ตัวที่สาม

    ....ผมว่ามี สองตัวเท่านั้น

    ...."พระท่าน. หลักๆ ท่านจะกล่าวว่า. ผู้รู้ ไม่เที่ยงเปนมุขนัยอุบาย
    ปล่อยจิต."
    ....มันยังไง ผู้รุ้ไม่เที่ยง แล้วปล่อยจิต พูดอะไร งงๆ พูดให้ งง แล้วชอบใจว่างั้นเถอะ
    ....ผมอ้างพระ ท่านเทศน์อย่างนั้น ผมผิดตรงใหน ท่านเป็นผุ้แจก ซีดีเป็นร้อยๆ ก็เท่ากับประกาศตัวเป็นบุคคลสาธารณะแล้วกลัวคนจะมาว่าร้าย ผมก็มิได้ว่าร้ายไดๆเลย ยกย่องมาตลอด


    ....เรื่องผุ้รู้มีสองตัว ยังไม่มีใครมามีเหตุผลลบล้างสิ่งที่ผมกล่าวได้เลย
    ....กลุ่มคนที่เข้าใจว่า ผู้รุ้มีแค่จิต เท่านั้น ไม่มีนามธรรมตัวอื่น ก็เชิญกล่าว
    ....ส่วนผมบอกว่า มีนามธรรม อยู่สองตัวที่รับรู้ได้ คือ จิต และ นิพพานธาตุ ซึ่งการรับรู้มันต่างกันตรงที่ จิตรับรู้และมีอารมณ์ปรุงแต่งได้ ส่วน นิพพานธาตุ รับรุ้แต่ไม่มีอารมณ์มาปรุงแต่ง


    ....เวบบอร์ดก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่มีใครบังคับใคร ทุกคนมีอิสระเป็นประชาธิปตัย ในการเชื่ออย่างที่ตนเรียนรู้ รับรู้มา


    ....ท่านเชื่อว่า มีจิต เท่านั้นเป็นตัวผู้รู้ ไม่มีนามธาตุอื่น ที่สามารถรับรู้ได้ เชิญเลยครับ ตามสบาย
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เอางี้ สำหรับกรณีที่ว่า ผู้รู้ มีกี่ตัว แล้วคุงบอกว่า ฉองตัว

    แล้วไม่มีคนย้อนแย้ง อันนี้ผมพอตอบได้

    คือ คนจำนวนมากเขาเรียนหนังสือธรรม เขาจะพึง
    จำมาจากผุ้เรียนตำรา และ ผุ้ปฏิบัตว่า

    โลก คือ รูป กับ นาม

    รูป เขาก้พอทราบว่า มหาภูตรูปสี่ คือ รูป ธาตุเหล่านี้ รู้ ไม่ได้

    ส่วนที่เหลือ คือ นามธรรม

    คุณสมบัติของนาม คือ เปนธาตุรู้ ทั้งหมด คือมีเปนหมื่นตัว ในตำรา ส่วนนักปฏิบัต จะบอกว่าเปนแสน เปนล้าน ในตำรานั้นเขียนแค่หยิบมือ
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    จิตไม่เที่ยง

    ผู้รู้ไม่เที่ยง

    จิตเปนตัวทุกข์

    อันนี้คนหลายคนเขาทราบว่า พระท่านพูดสอนบ่อย

    บ่อยจน นักปฏิบัติกลุ่มนึง จะจับท่านเข้าคุก ด้วยข้อหาสอนผิด

    แต่ ตอนนี้ คนที่อาสัยมุขนัยนี้ในการปฏิบัติ มีจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว ที่ปฏิบัตแล้วได้ผล กิเลสหาที่ตั้งหยั่งลงไม่ได้

    มารสบช่องหลอกลวงไม่ได้
     
  8. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    หลง

    ยังไงๆ ถ้ายังไม่เคยเห็นตัวกูผู้รู้นี้ดับก็จะต้องหลงเชื่อว่า ตัวกูผู้รู้นี่เที่ยงเสมอ มันเป็นอย่างนั้นเอง ทีนี้อาจจะมีการแย้งว่า แล้วใครไปเห็นว่าผู้รู้มันดับ อันนี้เคยตอบไปแล้ว ไม่มีทางหรอกที่ใครจะไปเห็นทันขณะดับได้ มีแต่ผู้รู้ทวนไปรู้เอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2016
  9. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ท่านพูดว่า คนอื่นหลง แน่นอน ถ้าไม่เคยเห็นตัวกูผู้รู้ดับ...(ฟังดูดีนะ)

    แต่มาที่..ว่า..ไม่มีทางหรอกที่ใครจะไปเห็นทันขณะดับได้..(อันนี้วิปัสนึกไปแล้ว)

    ........
    เคล็ดลับ...ผู้รู้ ..รู้อะไร...ให้เอาสิ่งที่ถูกรู้ออกให้หมด...ถ้าเอาสิ่งที่ถูกรู้ออกได้หมด..ก็จะรู้ทันกาละที่ผู้รู้...หมด...ตามไปด้วย...และไม่ควรใช้คำว่าดับ กับผู้รู้

    ....
    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา....ใช้คำว่า อนัตตา....ไม่ไช้คำว่าดับ
    ดับ ใช้กับ ทุกข์ ....
     
  10. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    การทำวิปัสสนา ไม่ควรใช้คำว่า จำเป็นต้องเข้าฌาณก่อน..(ก็ได้)
    เพราะ ทุกวิปัสสนา ล้วนอาศัยความสงบ(วิหารธรรม)มารองรับนั่นก็คือฌาณ

    มันทำฌาณกับวิปัสสนา พร้อมกัน...ปัญญาที่ได้จากการวิปัสสนาคือ ญาณ(ปัญญาที่รู้เห็นความจริงในสิ่งนั้น)...ญาณ คือปัญญาเปรียบเหมือน ได้กรรไกรมาอันหนึ่ง..แต่ต้องรู้และเข้าใจด้วยว่า จะเอาไปตัดอะไร ผม กระดาษ ก็ง่าย..แต่ถ้าจะตัดเหล็ก ก็ไม่เหมาะ...ถ้าเป็นเหล็กที่จะต้องตัด มันก็ต้องใช้กรรไกรตัดเหล็ก(ปัญญาที่ยิ่งยวด ขึ้นไปอีกกว่านี้)...
     
  11. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ผู้รู้ สองตัวของ คุณประสิทธิ ที่ว่า มี
    จิต
    นิพพานธาตุ
    ...
    ก็ถูก...ส่วนตัวผม จิตคือตัวสติ....นิพพานธาตุคือสัมปชัญญะหรืออายตนะใจ...(ส่วนตัว ลอกเลียนแบบได้)
     
  12. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    จิตไม่เที่ยง....ถืก....(จิตตัวที่1)..ตัวไหนล่ะ ตัวที่ถูกรู้มันเกิดจากไหนล่ะ
    ผู้รู้ไม่เที่ยง....ถืก.....(เป็นจิตตัวที่2มั้ยหรือเป็นสติ )
    จิตเป็นตัวทุกข์....(ทำไม ถึงไม่เจาะจง)..ว่า ตัวที่1หรือตัวที่2

    แล้วมันคือตัวรู้ตัวไหน ที่รู้ว่าจิตเป็นตัวทุกข์ล่ะ ตกลง ผู้รู้หลงเป็นทุกข์ ไปกับจิตที่ถูกรู้ งั้นเหรอ ถ้าจิตเป็นตัวทุกข์...ผู้รู้ก็อย่าไปรู้มันสิ...

    เห็นมั้ย จิตที่ถูกรู้ มันไม่ได้เป็นตัวทุกข์...แต่ตัวที่หลงไปเป็นทุกข์กับ จิตที่ถูกรู้ต่างหากคือตัว....หลง.(ไปทุกข์กับจิต ทำไม)..พะนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2016
  13. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ความสงบ ที่ฝึกสงบมาดีแล้ว..เวลาจะคิดอะไร ทำอะไร.จำเป็นต้องมาเข้าฌาณก่อนทุกครั้งด้วยเหรอ....ก็แค่..อ้อ ท่านพึ่งทำงานมาเหนื่อยๆ พักให้ร่างกายหายเหนื่อย กินข้าวกินน้ำให้ร่างกาย ปกติก่อน...ค่อยว่ากัน

    มันไม่จำเป็นจะต้องมาเข้าฌาณทุกครั้งหรอก...จะนั่งสมาธิ ก็ถึงว่าจะเข้าฌาณเข้าสู่ความสงบ(พูดในกรณีที่คน คนนั้น เวลาออกจากสมาธิแล้ว สงบไม่เป็น เป็นแต่สงบได้เพราะจะนั่งสมาธิ..อันนี้ เรียกว่า เข้าฌาณได้)

    แต่ถ้า บางคนฝึกสติมาดี เกิดปัญญา จนมีความสงบเป็นวิหารธรรมอยู่แล้ว..(คนละสภาวะกับ เนืองๆ นะ เพราะเนืองๆหมายถึง กำหนดอยู่ ทรงอยู่..ไม่ทรงก็ไม่อยู่ ไม่กำหนดก็ไม่อยู่..แบบนี้ ก็ต้อง เริ่มต้น นับหนึ่งเข้าสู่ความสงบใหม่ทุกครั้ง..พวกนี้ ไม่ควรเรียกฌาณ เรียกญาณ...เพราะมัน ยังไม่เป็นวิหารธรรม ที่ รู้แล้วรู้เลย...(ญาณ ปัญญา)..ที่รู้แล้วรู้เลย ไม่ต้องมาเทียวเข้าเทียวออก ถึงบ้างไม่ถึงบ้าง แบบนี้....เรียกได้แค่ คือ ความสงบ...อย่าเรียกฌาณเลย
     
  14. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    นี่มันเป็นการจงใจตบแต่งขันธ์ชัดๆ คนละเรื่องกันเลยครับ คำตอบของคุณมาจากการอวดรู้ แล้วพยายามดำน้ำเอาปรากฏการณ์ที่ผมกล่าวถึงไปเทียบเคียงแบบตรรกศาสตร์ โชว์โง่อยู่ดี ตามรู้ตัวให้ทันดีกว่าครับ
     
  15. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    พูด มั่วๆๆๆๆๆ พูดแบบไร้ปัญญา

    เมื่อพูดมาว่า คุณสมบัติของนาม(เอารวมเป็นนามตัวเดียวได้มั้ย)..คือเป็นธาตุรู้ ทั้งหมด..(เอามารวมเป็นรู้เดียวกัน ได้มั้ย อย่ามีหลายตัวเลยนะ มันเว่อ)

    เกิดมาก็มี รูปกับนาม เดียวเหมือนกัน...อย่าเว่อ เป็นถึงขนาดหมื่นแสนล้านตัวเลยนะ อันนี้พวก หลงอยู่..ต่างหาก ที่เข้าใจแบบนี้
     
  16. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    มันตบแต่งขันธ์ยังไง อ่านยังไง จึงเข้าใจว่าเป็นการตบแต่งขันธ์...ก็ท่านพูดมาอยู่เนืองๆ..ว่าผู้รู้ดับ...ดับแบบไหน แบบกดสวิท หรือ เป่าปูดๆๆเหมือนดับเทียน หรือเอาน้ำรดไฟให้ดับ....อิอิ..ของท่านต่างหากตบแต่ง...เนืองๆ

    ผมโชวโง่ งั้นเหรอ....ยังดีกว่าพวกที่ไม่รู้ตัวว่า ตนเองโชวโง่ แบบที่ท่านโชวอยู่เนืองๆ นะผมว่า
     
  17. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ใช่แล้ววว โชว์โง่ ไม่รู้จักแล้วก็เดามั่ว
    กดสวิทซ์ เป่าปู้ดป้าดอะไร นั่นแหละคนไม่เคยเห็นจริง เดายังไงก็ไม่ถูกหรอก อย่ามั่วดีกว่า

    เห้อเจ้อ..
     
  18. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ขอถามท่านนิดเดียวนะ......คำว่า เป็นการตบแต่งขันธ์......คำคำนี้ ท่านเอามาจากในตำราไหนหรือครับ....หรือหลวงพ่อองค์ไหน พา กล่าวครับ...(พา มโน)หรือครับ

    เนืองๆ
     
  19. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ขันธ์ ๕ น่ะ เขาให้รู้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ไปตบแต่งถอดโน่นถอดนี่เอาตามใจตน แต่กรณีที่คุณกล่าวเรื่องเคล็ดลับอะไรนั่นน่ะ ดูก็รู้ ว่าแค่ทำอวดรู้ มั่วๆ ปะติดปะต่อไปเรื่อย ประเภทสวมรอย ทำทีเป็นรู้ลงตัวที่เดียวกัน โง่นะ อวิชชาหลอกให้ทำตามทั้งนั้น

    พอนะ ไปดูตัวเองให้ดีๆ งดเพ้อเจ้อบ้าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2016
  20. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ครับๆๆๆๆๆๆ ท่านก็เหมือนกันนะ เลิกเพ้อเจ้อ ด้วยนะ
    .....
    ผู้......รู้......สิ่งที่ถูกรู้
    ........รู้....................
     

แชร์หน้านี้

Loading...