การสอนดูจิตที่เข้าใจผิดไปจากความเป็นจริงว่าจิตเกิดดับ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 5 มิถุนายน 2010.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    คุณพูดเองเออเองเสียขนาดนี้ แถมยังมาว่าผมดื้อ ผมกลับเห็นคุณนั้นหนะดื้ออยู่ได้

    ใครครับที่บัญญัติว่าว่าใจคือสมอง ผมไม่เห็นมีปรากฏในพระไตรปิฎกเลยครับ

    แบบนี้คนที่มีจิตใจเลวทราม ก็ผ่าตัดสมองรักษาให้หายเลวทรามได้ใช่มั้ยครับ???

    คุณพูดเองแท้ๆนะครับว่าใจคือสมอง ในเมื่อสมองเป็นส่วนของรูปธรรมจับต้องได้

    ส่วนใจ(คุณเรียกจิตทางธรรม)เป็นส่วนของนามธรรมจับต้องไม่ได้

    มันคนละเรื่องกันชัดๆ ยังจะเอามาปนเปกันเองให้ได้ยังไงครับ

    สมองเป็นเหมือนตัวประมวลผลจากการผัสสะทางประสาทสัมผัสทั้งหลาย
    ถึงความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง หนัก เบา หวาน เค็ม หอม เหม็นฯลฯ

    ส่วนใจนั้น เมื่อสมองส่งข้อมูลมาให้ ใจก็แสดงอาการออกไปมากน้อยขึ้นอยู่กับความยึดมั่นถือมั่นในสภาวะที่เกิดขึ้นขณะนั้น

    รักมาก รักน้อย ไม่รัก ชอบมาก ชอบน้อย ไม่ชอบ หอมมาก หอมน้อย เหม็นมาก เหม็นน้อยฯลฯ

    เช่นบางคนได้กลิ่นสตอ บอกว่าเหม็นเขียวเป็นบ้า แต่ทำไมบางคนยังบอกว่าไม่เหม็นและชอบกินอีกต่างหากหละ???

    ถ้าใจเป็นสมองแล้ว คนทุกคนต้องรัก ชอบ ชังหรือไม่รัก ไม่ชอบ ไม่ชังเหมือนกันหมดใช่มั้ยครับ???

    แล้วทำไมไม่เป็นเช่นนั้นหละ เมื่อเห็นคนสวยเดินมา ทุกคนต้องชอบใช่มั้ยครับ??? แต่ทำไมบางคนไม่ชอบหละ

    หรือว่าคนนั้นมีความผิดปรกติทางสมอง จึงคิดเห็นไม่เหมือนคนอื่น???

    ผมจึงต้องถามยังไงว่า ถ้าใจคือสมองแล้ว คนเป็นก็มีสมอง คนตายก็มีสมองเช่นกัน

    คุณบอกว่าคนตายสมองใช้การไม่ได้ เพราะอะไรครับ???

    ทำไมใช้การไม่ได้หละในเมื่อมันเป็นสมองเช่นกัน

    เพราะไม่มีจิตใจที่ถือครองอยู่ใช่มั้ย??? จึงใช้การไม่ได้

    แสดงว่าที่ใช้การไม่ได้เพราะไม่มีผู้สั่งการนั่นเองใช่มั้ยครับ???

    ถ้าคุณบอกว่า จิตใจคือผู้ใช้สอยสมองและอาตยนะภายในทั้งหลายรับได้ครับ

    แต่ใจไม่ใช่สมองแน่นอนครับ

    ;aa24
     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->namotussa ครับ<!-- google_ad_section_end -->

    คุณนี่นิสัยถาวรจริงๆ กล่าวร้ายคนอื่นไปเบ็ดเสร็จเรียบร้อยแล้ว

    ค่อยมาขออโหสิกรรม ไม่รู้สึกว่าทำตัวเหมือนตัวตลกไปหน่อยหรือ

    ตบคนอื่นไปเต็มฝ่ามือแล้ว ค่อยมาบอกว่า อุ้ยโทษทีไม่ได้ตั้งใจ น่าหัวเราะมั้ยครับ???

    ใครกันแน่ครับที่เป็นพวกมิจฉาทิฐิ คุณยังไม่รู้ตัวอีกหรือ ไปหลงงมงายอยู่ที่ไหนมาครับ

    คุณไม่ต้องทำลิ้งค์มาก็ได้นะครับ เพราะลิ้งค์ที่ว่านี้ ผมเลิกอ่านไปนานแล้วครับ

    ชอบตีความเอาความคิดเห็นส่วนตัวไปใส่ในวงเล็บ

    ที่ผมถามๆไปรู้จักตอบบ้างสิครับ เพราะมีของใหม่ที่จะถามอีกนะครับ จะกลายดินพอกหางหมู

    ถ้าคิดว่า เข้ามาเพียงเพื่ออยากพูดแบบที่ตนเองต้องการเท่านั้น โดยไม่รับฟังความเห็นคนอื่น ก็ไปตั้งกระทู้เองครับ

    ถ้าเข้ามาแสดงความคิดเห็นในกระทู้ผม ก็แสดงว่าต้องการถกหาความจริงหรือสัจจธรรมให้ปรากฏขึ้นมา

    ผมถามนะครับ ที่คุณยกมาเสียมากมาย แต่กลับบอกว่า ไม่มีตัว ไม่มีตน แสดงว่าสิ่งพูดมาเหล่านั้นไม่เคยมีอยู่จริง

    แบบนี้ใช่พวกมิจฉาทิฐิฝ่ายนัตถิกทิฐิใช่มั้ยครับ??? ในเมื่ออะไรๆก็ไม่มี อะไรๆก็ไม่ใช่ ที่ใช่ก็ไม่มี ที่มีก็ไม่ใช่

    พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระนิพพาน มีอยู่จริงมั้ยครับ??? อย่าบอกนะครับว่ามีโดยสมมุติหรือคิดขึ้นเอง

    ส่วนเรื่องธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตานั้น คุณจะยกมา คุณเคยดูบริบทก่อนหน้าประโยคนี้มั้ยครับ???

    สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ สังขารา ทุกขา สัพเพ ธรรมา อนัตตาครับ

    ไม่เคยมีในพระพุทธพจน์ที่พูดขึ้นมาลอยๆโดยที่ ไม่มีบริบทดังกล่าวก่อนหน้าครับ

    ผมถามนะครับว่า อมตะธรรม เป็นสิ่งที่มีแก่นสาร เป็นที่พึ่งที่อาศัยได้ ใช่มั้ยครับ???

    ถ้าอมตะธรรมไม่มีอยู่จริงแล้ว พระพุทธองค์จะออกค้นหาสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงเพื่ออะไรหละครับ

    เชื่อผมเถอะ เลิกคิดเองเออเอง แล้วลงมือปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาซะ จะได้เห็นจริง

    คุณพูดว่า"ที่เชื่อในสิ่งที่ครูบาอาจารย์ได้สั่งสอนไว้ ที่ทำให้ผมเอง เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน"

    แล้วคุณเลิกคุยอวดได้แล้วนะครับ ผมถือว่าคุณกำลังอวดอุตตริมนุษยธรรมอยู่นะครับ

    ถ้าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานจริง ไม่มากล่าวร้ายผมเสร็จก็ขอโทษขอโพย หลงงมงายอยู่แบบนี้หรอกครับ

    ;aa24<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3502848", true); </SCRIPT>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2010
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณapichai53ครับ

    นิสัยแอบเนียนไม่เลิกจริงๆนะครับ

    พูดมาได้ผมกลัวจริงๆ กลัวจริงๆเข้ามาทำไมหละครับ

    คุณนี่มีนิสัยอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือปากพูดอย่าง แต่ใจทำอีกอย่าง

    อย่าบอกนะว่าขันธ์๕มันทำของมันเอง

    เป็นธรรมดาของพวกที่หลงไปหลงมา หาความจริงไม่ได้

    ที่ชอบแอบเนียนพูดลอยๆแล้วก็จากไปกับความหลงนั้น...

    ต้องบอกไว้ก่อนนะครับ ใครจะเรียกยังไงผมไม่รู้ แต่ไม่เคยคิดตั้งตนเป็นอาจารย์ของใครทั้งสิ้นครับ

    ;aa24
     
  4. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ท่านครับ ผมเอาคำพูดของท่านมาพิจารณา เรื่องจิตเที่ยง ไม่เที่ยง
    ท่านเล่น เอาประเด็นใหม่มาแจมด้วย แถมคำหรือสิ่งนั้น มันเป็นสิ่งที่เรา
    หลายท่านโดยเฉพาะผมยังไปไม่ถึง เป็นสิ่งที่คาดเดาว่ามีลักษณะโน้น
    ลักษณะนี้ ท่านสังเกตุดูคำพูดของผมนะ" นิพพานแล้วละก็มันน่าจะหมายถึงการไม่เกิดดับของจิต"

    คำว่า"มันน่าจะ" ท่านพอจะเข้าใจมั้ยว่าเป็น เป็นการคาดเดาของคู่สนทนา
    มิสมควรเอามาเป็นประเด็นถกเถียงกัน เพราะถ้าเถียงกันไปเถียงกันมา มันจะ
    เป็นการเถียงเรื่องของจินตนาการครับ

    เอางี้นะครับเราเลิกพูดว่านิพพานเป็นอย่างโน้น เป็นอย่างนี้ดีกว่าครับ
    มันไม่ใช่อะไรหรอก ผมกลัวเพื่อนๆสมาชิกจะหัวเราะเยาะเอาครับ

    ........เอาเป็นว่า คำว่า "เที่ยง"กับคำว่า"ไม่มีอยู่"
    ท่านว่ามันเหมือนหรือต่างกันครับ ???
     
  5. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ผมไม่ได้มั่วอะไรหรอกครับ อันที่จริงเป็นท่านนั้นแหล่ะมั่ว
    ท่านเล่นหยิบเอาประโยคสั้นๆมา มันก็มั่วซิ แต่ที่ว่ามั่วเป็นท่านเต็มๆครับ
    ท่านฟังผมอธิบายนะ ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วเฮ่อ! ฟังนะครับ
    ......จิตเกิดดับ จิตเป็นตัวรู้ จิตเป็นอารมณ์
    จิตเป็นทั้งตัวรู้และอารมณ์ แต่มันไม่ได้เกิดพร้อมกัน
    เมื่ออย่างหนึ่งดับไป อย่างหนึ่งก็เกิดขึ้น สลับกันไปมา
    ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย

    ที่ท่านว่า "จิตผู้ไม่รู้" คำนี้มันเป็นศัพท์ของท่านเอง
    ที่ท่านใช้ในการ โมเมว่า คนอื่นเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้
    กรุณาอย่ายัดเยียดครับ ไม่แฟร์

    ถามจริงท่านมีจิตไม่รู้ด้วยหรือครับ ส่วนผมไม่มีครับ
    จิตผมมันเป็นสภาวะเกิดดับต่างๆ ขาดแต่สภาวะผู้ไม่รู้ครับ
    เพราะการที่ยังไม่รู้คือการที่จิต แสดงสภาวะอื่นอยู่ สภาวะรู้ยังไม่เกิดครับ

    ท่านครับผมขอร้องครับพยายามอยู่ในกรอบ และหลักเหตุผล
    อันไหนจบได้ก็ควรจะจบ อย่าพยายามดึงเรื่องที่เราคุยไปแล้ว
    กลับมาอีก ท่านอย่าลืมนะครับว่า ไม่ใช่มีเพียงแต่เราสองคนคุยกัน
    ยังมีสมาชิกอื่นอีก เขาจะมองเราสองคนว่า เด็กหรือคนเสียสติสองคน
    ทะเลาะกัน ท่านไม่อายแต่ผมอายครับ

    ปัญหาอีกอย่างครับ ผมขอร้องแล้ว ขอร้องเล่าว่า จะถามอะไรให้แยกมา
    เพื่อคนอื่นจะได้รู้ว่า เป็นคำถามหรือบอกเล่าธรรมดา แต่ก็ไม่วาย
    พอคนอื่นไม่เข้าใจว่า จะถามหรือกำลังบอกเล่า ก็หาว่าไม่ตอบๆๆเลี่ยงๆๆ
    ทั้งๆที่เราก็อธิบายครอบคลุมไปทีเดียว แต่ก็ยังบอกมาว่าไม่ตอบๆๆเลี่ยงๆๆ

    เอาละครับ ผมจะตอบท่าน ที่ละเควสชั่นมาร์ค เดี๋ยวหาว่าไม่ตอบ

    คุณนี่เนียนจริงๆนะครับ คุณเคยพูดไว้จิตคือผู้รู้ใช่มั้ยครับ???
    จิตเป็นสภาวะครับ แปรเปลี่ยนไปแล้วแต่เหตุปัจจัย
    ดังนั้น ผู้รู้เป็นสภาวะอย่าหนึ่งในหลายอย่างที่เรียกว่าจิต

    ในเมื่อจิตคือผู้รู้ แสดงว่าอารมณ์คือสิ่งที่ถูกจิตรู้ใช่มั้ยครับ???
    แน่นอนครับ อารมณ์คือสิ่งที่ถูกรู้ ต้องเรียกว่า จิตรู้จิต
    จิตเกิด ไปรู้จิตที่ดับครับ ก็ผมเคยบอกว่า จิตเป็นสภาวะ
    อารมณ์หรือผู้รู้ก็เป็นสภาวะ ดังนั้นอารมณ์หรือผู้รู้ก็คือจิตครับ

    สภาวะรู้เกิดหลังจากสภาวะอารมณ์อันใดอันหนึ่งดับ
    กลับกัน เมื่อเกิดผู้รู้ อารมณ์ก็ดับ

    เดี๋ยวก็พูดว่า จิตเป็นผู้รู้ พออีกคคห.กลับพูดไปได้ว่าจิตเป็นอารมณ์
    แบบนี้เรียกว่าเค้าเรียกมั่วมั้ยครับ???
    ก็อีแบบนี้ไงครับ ใส่เครื่องหมายคำถามมั่วไปหมด
    ถามจริงๆ ประโยคนี้ท่านจะถาม หรือด่าผมกันแน่ครับ
    ถ้าถามจะได้ตอบ ถ้าด่าจะได้ย้อนกลับไป
    ขอย้ำอีกครั้งนะครับ กรุณาใช้ความพยายาม
    ขอแค่เศษเสี่ยว เรียบเรียงประโยคให้คนอื่น
    เข้าใจ ว่าท่านต้องการอะไร เขาจะได้สนองถูก
    เดี๋ยวจะมา ไม่ตอบๆ เลี่ยงๆหรือถามดีๆต้องว่าด้วย

    ตกลงจิตเป็นผู้รู้หรือจิตเป็นอารมณ์กันแน่ครับ???
    มันเป็นทั้งสองอย่างละครับ แต่มันเกิดพร้อมกันไม่ได้
    อีกอย่างเกิดอีกอย่างดับครับ

    ...อันนี้การบ้านครับ ท่านเข้าใจ เรื่องเหตุปัจจัยเท่าไรเพียงใดครับ???
     
  6. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    แล้วพระโสดาบันที่ท่านอ้างว่า "เที่ยงตรงต่อนิพพาน"นี้มันไม่ใช้จุดมุ่งหมาย
    หรือความคิดที่จะไปนิพพานหรือ เมื่อคิดแล้วก็เป็นความจำหรือสัญญา
    แล้วสัญญานี้แหล่ะ ท่านที่ว่ากำหนดรู้ไว้ เป็นสติ เมื่อเวลาผ่านไปท่าน
    ก็ระลึกรู้ได้อยู่เสมอไม่ลืมเลือน ที่ว่าเที่ยงตรงมันอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ค้างคาโด่เด่อยู่ตลอดเวลา

    มีสัญญาที่ไหนในโลกบ้าง ที่ไม่เคยลืมเลือนไปบ้าง???
    ผมนี้ไงครับขนาดไม่ต้องเป็นโสดาบัน ตั้งแต่รู้ว่า จิตไม่เที่ยง
    ผมยังจำไว้เป็นสัญญา ไม่ลืมเลือน
     
  7. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    คุณกำลังจินตนาการอะไรอยู่หรือครับ
    ก็จิตไม่ยึดอารมณ์ก็แสดงชัดอยู่แล้วนะครับว่า อารมณ์กูไม่เอาใช่มั้ยครับ???
    แบบนี้ไม่เรียกว่าจิตส่วนจิต อารมณ์ส่วนอารมณ์ แล้วเรียกว่าอะไรดีครับ???

    ท่านอย่าสับสนซิครับ ท่านกำลังสับกับคำว่าจิต อารมณ์และสภาวะอยู่ครับ อย่างนี้ครับ
    จิต อารมณ์ หรือสภาวะ มันเป็นตัวเดียวกันเพียงแต่เรียกให้ต่างกัน
    เพื่อจะได้รู้ว่า เกิดคนละขณะครับ ตัวอย่าง
    .....เมื่อจิตผู้รู้เกิด อารมณ์โกรธจะหายไป
    .....เมื่อเกิดสภาวะรู้ขึ้น สภาวะโกรธจะดับไป
    .....เมื่อจิตเป็นผู้รู้ จิตที่เป็นผู้โกรธจะดับไป
    ท่านดูครับประโยคข้างบนมันเป็นความหมายเดียวกันครับ

    ที่ว่าจิตไม่ยึดอารมณ์ ความหมายคือจิตไม่ยึดจิต สภาวะใหม่ไม่ยึด
    สภาวะเก่า อารมณ์ใหม่ไม่ยึดอารมณ์เก่า

    สรุปว่าคำว่า จิต อารมณ์และสภาวะเป็นตัวเดียวกัน แต่ใช้เพื่อจะแยกแยะให้รู้ช่วงเวลาเกิดดับ

    คุณยังจะจินตนาการอะไรของคุณอีกครับที่พูดว่า "หมายความดังนี้ เมื่อเกิดสภาวะอารมณ์"
    เมื่อจิตเกิดสภาวะอารมณ์ ก็แสดงว่าจิตยึดอารมณ์เข้าไปเต็มๆแล้วนะ
    จิตตัวรู้เกิดที่หลังนั้นเกิดมาจากไหนครับ??? ตัวมันเองเป็นผู้รู้ไม่ใช่หรือครับ???

    มันใช่อย่างที่ท่านว่าที่ไหนกันครับ
    เมื่อเกิดสภาวะอารมณ์ อารมณ์มันเกิดจากผัสสะอายตนะนู้น
    แล้วความหมายของคำว่ายึดอารมณ์ก็คือ อารมณ์เกิดแล้ว
    อารมณ์ตัวใหม่หรือจิต(จิตและอารมณ์ความหมายเดียวกัน)
    ไปปรุงแต่งต่อไปเรื่อยๆ

    แต่ถ้าไม่ยึดก็คือ เมื่อมีอารมณ์เกิด อารมณ์ใหม่ที่เกิดต่อจากอารมณ์
    เก่าเป็นตัวผู้รู้ นั้นละครับไม่ยึด แต่ก็ช่วงขณะนั้นนะ แล้วแต่ว่าจิตหรือ
    อารมณ์จะมีคุณภาพแค่ไหน


    แล้วจิตตัวไม่รู้อยู่ที่ไหนครับ???
    คุณไม่รู้สึกอายคนอื่นบ้างหรือ ที่พูดขัดแย้งกันเองเป็นประจำ
    ผมเคยเตือนแล้วนะครับว่า อย่าพยายามอธิบายเพื่อเอาชนะเท่านั้น

    จิตตัวไม่รู้มันมีซะที่ไหนกันละ ที่ว่าไม่รู้ของท่านนะ
    มันเป็นช่วงเวลาที่เกิดอารมณ์ต่างๆ อารมณ์ผู้รู้ยังไม่เกิดแค่นั้น

    การบ้านจิตตัวไม่รู้ของท่านเป็นอย่างไรกันครับ???
     
  8. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ที่ผมบอกว่า ท่านอ้างพุทธพจน์เพื่อให้จบๆ จุดมุ่งหมายของผมก็คือย้อน
    ที่ท่านว่าผม เลี่ยงคำถาม ตอบเพื่อให้จบๆไป ผมว่าผมเล่นแบบแฟร์ๆ
    แล้วนะเนี้ย
    ......ผู้เริ่มก่อนเรียกว่าผู้กระทบกระเทียบ
    ส่วนผู้กล่าวที่หลังเรียกผู้ย้อนครับ
    ท่านครับ ผมเกรงใจสมาชิกที่ศรัทธา เกรงใจพุทธพจน์ที่ท่านอ้างจริงๆครับ
    แถมยังมีอีกที่ท่านว่า กำลังโดนรุม แค่นี้ผมก็ละอายใจแล้วละครับ
    แต่มันยังน้อยกว่า ที่ผมเกรงใจคู่สนทนาก็คือท่าน
    ทำไมท่านก็คงรู้ ก็ไอ้คำที่ท่านชอบว่า เลี่ยงคำถาม ตอบมาๆๆ
    ถ้าไม่มีคำพวกนี้ผมหยุดไปนานแล้ว

    แล้วปัญหาเรื่องพุทธพจน์ เรื่องอรรถาจารย์ผมก็ได้กล่าวไว้แล้ว
    ทางที่ดีเราอย่ามาคุยกันเลยครับ ผมกลัวศาลเตี้ยครับ

    การบ้าน ออกตัวเสียก่อน นี้ไม่เกี่ยวกับพุทธพจน์ พุทธเจ้านะครับ
    อรรถาจารย์ในความหมายของท่านเป็นอย่างไรครับ
     
  9. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    พูดถึงนิพพานเป็นอัตตา ทำให้อดนึกถึงบุรุษโลกลืมผู้หนึ่ง

    บุคคลผู้เป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่สำหรับทุกๆ ศาสนา กล่าวกันว่า บุคคลผู้นี้มีสิทธิอำนาจแลพลังมากมายกว่าศาสดาทุกศาสนา ไม่ใช่แต่เพียงในพันทิปเท่านั้น เขายังโด่งดังในเมเนเพ้อเจ้ออีกด้วย ศาสดาท่านนี้ มีความสามารถพิเศษมากมาย ตั้งแต่หยั่งรู้ฟ้าดิน เป็นบุตรพระเจ้า เข้าใจสัจธรรมของทุกศาสนา พูดคุยกับผี ฯลฯ ความสามารถที่ทำให้เขาโด่งดังเป็นพิเศษ นั่นคือ การใช้นิ้วจึ๊กกระดึ๋ยกับตรงนั้นของผีสาว เพื่อทดสอบว่าผีสามารถร่วมเพศได้หรือไม่ ซึ่งทำให้เขาได้มีอีกฉายาหนึ่งว่า ทิวน้ำเมือก บางครั้งถึงกับยอมกัดฟันนุ่งกระโปรงมาสมัครสมาชิกใหม่ในชื่อไม่เลิกสวยอีกทั้งยังพยายามสวมบทบาทเป็นหญิงสูงอายุและเรียกตัวเองว่าเจ้าป้า ทำให้เป็นที่ตลกขบขันและเอือมระอาให้ชาวพันทิปคนอื่น ความสามารถพิเศษคือการหนีกระทู้และการอวตารมาชมตัวเองหรือด่าฝ่ายตรงข้าม

    ก็แค่นึกถึงขึ้นมาเฉยๆ หุหุ
    :cool:
     
  10. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    ผมบอกไว้ชัดเจนแล้วอย่างไม่ต้องตีความ ว่า
    กลัวคำสอนนี้(คำสอนที่ตีความตามความเข้าใจตนเอง
    ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจิตไม่เกิดไม่ดับเป็นอัตตา หรืออื่นๆ)
    จะแพร่ไปในวงกว้าง และยังเปิดสอนธรรมะด้วยตนเอง
    ผมกลัวจริงๆ....

    ผมไม่ได้กลัวท่าน ไม่ได้กลัวที่จะเข้ามาในกระทู้ของท่าน
    แต่ผมกลัวผลกระทบจากสิ่งที่ท่านทำ
    แค่นี้ท่านก็ยังไม่เข้าใจ แล้วเรื่องลึกซึ้งอย่างธรรมะ
    ท่านจะเข้าใจอย่างถูกต้อง ได้หรือ....

    ท่านลองสังเกตุดูง่ายๆ ท่านผู้ใดที่เผยแพร่
    ธรรมะที่ถูกต้อง มีแต่ผู้คนจะเข้ามาอนุโมทนา
    แต่ของท่านนี้ตรงกันข้าม ทุกคนเข้ามา
    คัดค้านโดยไม่ได้นัดหมาย ...เพราะอะไรหรือ ?
    เพียงแค่นี้... คนทั่วไป ก็เข้าใจแล้ว

    เหตุที่ฝืนเข้ามาเพราะเป็นห่วงการเผยแพร่ธรรมะ
    ที่ไม่ถูกต้อง จะกระจายไปในวงกว้าง จึงเข้ามา
    ช่วยกันดู ช่วยกันติติง ....ซึ่ง เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2010
  11. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ธรรมภูต [​IMG]
    ทำไมต้องยกมาทั้งหมดหละครับ???
    รูปก็คืออารมณ์ของจิต ทำให้เกิดธรรมารมณ์
    และอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์อยู่แล้วใช่มั้ยครับ???

    อาการของจิต ของคุณต่างจากอารมณ์อย่างไร
    อาการถึงเนื่องด้วยอารมณ์
    และรูปก็คืออารมณ์

    ถ้ารูปคืออารมณ์ ทำไมต้องรอมาปรุงให้เกิดไม่เกิดอีกที
    ถ้ารูปคืออารมณ์แล้ว ทำไมไม่เกิดอารมณ์ก็ได้

    สนุกกับภาษาด้วยคน

    :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2010
  12. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697

    ที่เรายกมาน่ะ พุทธพจน์นะ

    เห็นคุณชอบอนัตตลักขณสูตร เป็นพิเศษ
    ซึ่งจะบอกถึงขันธ์ห้าเป็นไตรลักษณ์ จึงเป็นทุกข์
    ไม่กล่าวบอกนิพพานเป็นอย่างไร

    อย่างนั้นคุณไปเอาพุทธพจน์
    ที่ว่านิพพานที่เป็นอัตตา หรือเป็นอะไรก็ได้ที่คุณคิดก็ได้ มาโชว์ซิ

    ถ้าอยากให้มีใคร เข้านิพพาน พระสูตรไหนล่ะที่บอกไว้
    หรือคิดเองเออเองตีความเอง

    :boo:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2010
  13. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
    ตอบปัญหาธรรมะ (หมวดธรรมะ)


    1. คำถาม

    เรื่องฐิติจิตเดิมแท้นั้นหลานเข้าใจดีเพราะเห็นอยู่ทุกวันนี่คือโทษที่หลานไม่รู้จักศัพท์ปริยัติเอง แต่อยากทราบว่าจิตพระนิพพานคือจิตที่มีรสชาติสุขุมเพราะจิตไม่ยึดมั่นจากกิเลสที่ละได้แล้วใช่ไหมครับ ผมคาดเอาจากการปฏิบัติของผม (จิตไม่ยึดในธรรมด้วย)

    คำตอบ

    เรื่องฐิติจิต จิตเดิมแท้เป็นจิตล้วนๆ แต่กิเลสมาเกยมาพาดคล้ายๆกับพระอาทิตย์เป็นธรรมชาติเดิม อยู่แต่เมฆหมอกก็คล้ายกับกิเลสนั่นเอง แต่อย่าเข้าใจว่าจิตเป็นพระนิพพาน พระนิพพานเป็นจิต ดังนี้ เพราะเหตุว่าจิตเป็นผู้เคารพพระนิพพาน ไม่ใช่พระนิพพานเคารพจิตใช้เพียงคำว่าจิตหลุดพ้น จากความสกปรกคือกิเลส แต่จิตไม่ใช่พระนิพพาน เหตุนั้นท่านจึงบัญญัติว่า รูป จิต เจตสิกนิพพาน ดังนี้ จะว่าจิตไม่ยึดมั่นในที่ทั้งปวง จะว่าปัญญา และสติไม่ยึดมั่นอันสมดุลย์กันอยู่กับจิต จิตก็ดี สติก็ดี ปัญญาก็ดี เป็นกองทัพธรรมรวมกันอยู่ก็ว่าได้ สิ่งไหนที่บัญญัติว่าจิต และบัญญัติว่าพระนิพพาน จิตกับพระนิพพานไม่ได้แย่งเก้าอี้กัน จิตก็เป็นจิตตามสมมติ

    พระนิพพานก็เป็นพระนิพพานตามสมมติ แต่รสธรรมของพระนิพพานนั้นไม่ใช่สมมติเสียแล้ว และก็ใครเป็นผู้เสวยพระนิพพานเล่า จิตเสวยพระนิพพาน หรือพระนิพพานเสวยจิต ก็ต้องตอบให้สมคุณค่าว่า พระนิพพานนั่นเองเสวยรสของพระนิพพาน ไม่ได้เป็นหน้าที่จิตไปแย่งเสวยคำพูดเหล่านี้หลวงปู่ไม่เคยได้ยินท่านผู้ใดพูดให้ฟังดอกมันเกิดขึ้นอัตโนมัติของหลวงปู่นี่เอง แม้หลวงปู่จะมีกิเลสมากเท่าภูเขาก็ตาม แต่อัตโนมัติที่มันรู้ส่วนตัวที่เรียกว่าสันทิฏฐิโก หลวงปู่ลงโอแบบนั้น จะถูกหรือผิดก็ให้พระธรรมเป็นผู้ตัดสิน หลวงปู่ไม่กล้าตัดสินเอง (เดี๋ยวจะตีความหมายว่ามานะทิฏฐิ ถือตัว อุปาทาน)


    2. คำถาม

    พระนิพพานฟากผู้รู้ไปจนไม่มีที่หมายนั้นคืออย่างไร

    คำตอบ

    พระนิพพานฟากผู้รู้ไปจนไม่มีที่หมายนั้น คือไม่ยึดตนเป็นผู้รู้ ผู้รู้เป็นตนดังกล่าวแล้วนั้นเอง ผู้รู้เป็นแต่สักว่ารู้ ก็เป็นแต่ว่ารู้ตะพึดตะพืออยู่เช่นนั้นเอง เมื่อไม่ยึดถือว่าผู้รู้เป็นตน ตนเป็นผู้รู้ ผู้รู้ก็ดี ผู้ยึดถือก็ดีก็จบกัน ณ ที่นั้นเอง ที่เราไม่มี ของเราไม่มีนั้นเพราะมีแต่สังขารและกองทุกข์ และถ้าสำคัญว่าเรามีในพระนิพพาน พระนิพพานมีในเราก็ต้องเอาเราไปเสวยอีกยกเราเทียมพระนิพพาน เรียกว่าไม่เคารพพระนิพพานก็ว่าได้

    หมายเหตุ ฟาก = เป็นคำอีสาน แปลว่า "เลยไปอีก"



    อ่านต่อที่
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8569
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2010
  14. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ท่านครับ ท่านอย่าแกล้งทำเป็นใสซื่ออย่างนี้ซิครับ อย่างนี้ผมก็เหนื่อยเด่ะ
    ไอ้ที่ว่าเหมือนกันคือ อารมณ์กุศล อกุศสต่างๆ อย่างเช่นพวกโลภะ
    โทสะและโมหะฯลฯ มันมีเหมือนกันหมด ต่างกันตรงที่เวลาและลักษณะ
    การเกิด ไม่เหมือนหรือไม่พร้อมกัน

    ฉะนั้นสภาวะจิต จะเป็นอารมณ์ใดมันอยู่ที่ผัสสะของแต่ละคนครับ
    บางคนอาจเห็นงูแล้วกลัว แต่บางคนอาจเห็นแล้วน่ารัก
    ...กลับกัน คนที่กลัวงูอาจเห็นหนูน่ารัก แต่คนที่เห็นงูน่ารักอาจกลัวหนู
    ท่านดูซิครับว่า สองคนนี้มีอารมณ์รักกับกลัวเหมือนกัน ต่างกันที่ผัสสะที่
    มากระทบ ดังนั้นทุกคนมีรัก โลภ โกรธ หลงเหมือนกัน
    ต่างกันที่ เวลาเกิดครับ

    ใครที่ทำให้เกิดสภาวะกุศลครับ??? ใช่จิตมั้ยครับ??? หรือสภาวะกุศลเกิดขึ้นเองครับ???

    สภาวะกุศลไม่ใช่จิตทำให้เกิดนะครับ
    สภาวะกุศลเกิดจาก อายตนะภายในไปกระทบอายตนะภายนอก ถ้าสิ่ง
    กระทบเป็นกุศล สภาวะหรืออารมณ์หรือจิตมันก็เป็นกุศล
    หวังว่าคงไม่ต้องอธิบายเรื่องอายตนะนะครับ
     
  15. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    อันนี้ผมไม่อธิบายแล้วครับ นี้ดีนะที่ใช้วิธีพิมพ์
    ถ้าเป็นการพูด ปากผมฉีกถึงรูหูแล้วครับ
    เรื่องนี้เคยคุยกันตั้งแต่ปีมะโว้ แถมในกระทู้นี้ก็อธิบายไปแล้วด้วย
    ใครจะเป็นผู้รับกรรมครับ สิ่งต่างๆที่จิตไปยึดไว้ เป็นสังขาร แล้วกลายเป็น
    สัญญา ถ่ายทอดไปเรื่อยๆ จนไปปฏิสนธิในกายใหม่ มันก็เป็นจนปฏิบัติให้เข้าถึงนิพาน

    ยังเอาเรื่องรับกรรมชดใช้กรรมมาคุยอีก ท่านจำไม่ได้หรือว่าเราคุยกัน
    เรื่อง การยึดมั่นถือมั่นของจิตไปแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2010
  16. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ผมบอกว่า สภาวะว่า"สภาวะที่เรียกว่าจิตเมือนกัน ต่างกันที่คุณภาพ"
    แล้วผมเคยอธิบายว่า ที่เรียกว่าจิตหรือสภาวะหรืออารมณ์ เป็นตัวเดียวกัน
    แล้วความหมายจะไม่ใช่ "จิตทุกคนเหมือนกันแต่ต่างกันที่คุณภาพหรือครับ"

    แล้วที่บอกว่า โลกจะวุ่นวาย ผมมีคำว่าคุณภาพต่อท้ายไว้หรือเปล่า
    ดูให้ละเอียดซิครับ
    ที่กระทำกรรมไม่เหมือนกัน หรือจิตมีคุณภาพมันอยู่ที่สติครับ
    ไม่ใช่ตัวรู้หรือธาตุรู้อะไรของท่าน ถ้าบอกตัวรู้ ไอ้ประเภทลงมือจนสำเร็จแล้ว
    พึ่งมารู้มันเยอะแยะไปครับ

    แล้วท่านว่าเกิดที่ไหนครับ มันเป็นดวงๆแบบท่านบอกหรือ
    ผมเห็นหมอผ่ากระโหลกชาวบ้าน เห็นมีแต่มันสมอง
     
  17. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ผมจะบอกให้นะครับ ที่ท่านแปลมันคนละเรื่องกันเลย
    การที่จะเอาคำว่าอาการมาใช้นั้น จะต้องประกอบด้วยกริยาสองครั้ง
    หรือการกระทำสองหน หนแรกเป็นการกระทำปกติ แต่การกระทำครั้ง
    แรกมันส่งผลให้เกิดการกระทำครั้งที่สองครับ
    และการกระทำหรือกริยาครั้งที่สองที่เกิดเรียกว่า อาการ

    ฉะนั้นจะเรียกอาการได้ ต้องเกิดจากการกระทำ สองหนและจากสิ่งสองสิ่ง
    ที่ท่านยกตัวอย่างมาก็มั่วครับ มันมีอย่างหรือครับเสวยสิ่งที่เป็นอาการ
    เสวยเป็นกริยาหนแรก ความสุขเป็นผลหรืออาการ ที่เกิดจากเสวยครับ
    นี้มันอะไรของท่านครับ ท่านยกอะไรมาครับ คุยเรื่องอาการจิตอยู่
    ท่านมั่วได้ใจจริงๆ คุยกันเรื่องจิตอยู่ ท่านเล่นดำน้ำเฉยเลย
    ประเด็นปัญหามันอยู่ที่ผมว่าท่าน "เอาคำว่าอาการมาใช้กับจิตมันผิด"

    ท่านลืมไปหรือเปล่าครับ ว่าเรากำลังอธิบายความว่าจิตใครเป็นอย่างไร
    ซึ่งมันคือการดูจิตตัวเอง

    ประโยคที่ยกมาก็มั่วสุดบรรยายครับ
    อันที่จริงมันต้องเป็นแบบนี้ครับ

    อาการปวดท้องที่ท่านบอกมันไม่ใช่ครับ
    อาการมันต้องดูที่...การเดินหาห้องน้ำครับ
    ผมบอกท่านแล้วไงว่า อาการต้องเกิดจากผล
    หรือการกระทำครั้งที่สอง
    ....เนื่องจากเขาปวดท้อง เขาจึงแสดงอาการเดินไปหาห้องน้ำ

    ปวดท้องจะเป็นอาการได้ต่อเมื่อเป็นผลจากกริยาแรกครับ
    เช่น เขาเสวยของดิบๆ จึงมีอาการปวดท้องครับ
     
  18. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    อธิบายไปตั้งมากมายกายกอง แล้วก็ผ่าน ไปแล้วด้วย เล่นย้อนกลับมาอีก
    จะลูกเล่นอะไรครับท่าน ถ้าจะให้ผมหยุดหรือให้ผมยอมแพ้ บอกมา
    คำเดียวก็ได้ครับ เอางี้ถ้าทนได้ผมจะทน กับพฤติการณ์แบบนี้
    แต่ทนไม่ได้ผมขอไว้ก่อนผมไปแบบไม่ปี่มีขลุ่ยนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าไร้
    มรรยาท

    อันนี้จะอธิบายสั้นๆ บอกจริงๆผมเริ่มเซ็งแล้วละ วนกลับมาอีกแล้ว
    ท่านไม่มีอะไรจะถามแล้วหรือ

    เอางี้ครับอายตนะภายในมันมีหู ตา ลิ้น จมูก กายและใจ
    ไอ้ใจคำนี้นะ มันเกิดจากการเรียกที่สับสนจากทางโลกและธรรม
    รวมไปถึงทางวิยาศาสตร์กายภาพด้วย

    เราต้องสังเกตุว่าอายตนะภายในมันเป็นรูป ดังนั้นคำว่าใจ ในที่นี้มัน
    ต้องเป็นรูปด้วย แล้วอะไรละที่ใช้นึกคิดจินตนาการต่าง มันก็คือสมอง
    ของคนเรา แต่ต้องเข้าใจว่า ใจหรือสมองในที่นี้ไม่ใช่จิตที่เป็นสภาวะ
    เป็น นาม

    ผมขออธิบายแค่นี้ ไอ้ที่ท่านเพ้อเจ้อมาเอาเป็นว่าผมไม่เข้าใจ
     
  19. zeedhama

    zeedhama Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +48
    อนุโมทนาค่ะ

    จิตไม่เกิดดับ ที่เกิดดับคืออาการของจิต
     
  20. zeedhama

    zeedhama Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +48
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    เขาถามว่าจิตมีกี่ดวง บอกเอ๊ะ! ของข้ามันมีดวงเดียวนี่นะ พ่อให้มาดวงเดียว เขาบอกผิดตำรา ถามตำราของแกมีกี่ดวง เขาบอกอย่างย่อมัน ๘๐ อย่างพิสดารมี ๑๒๐ กว่าใช่ไหม.. ถาม มันติดตรงไหนบ้างล่ะ ติดตั้งแต่ฝ่าส้นตีนขึ้นไปถึงหัวแกใช่ไหม ยังไม่หมดเลย...(หัวเราะ) พระพุทธเจ้าตรัสว่า เอกะจะรัง จิตตัง...จิตดวงเดียวเที่ยวไป" ไอ้ที่บอกเป็นหลายดวง คืออารมณ์เข้ามาสิงจิตอยู่ใช่ไหม.. อย่างจิตมีความโกรธ จิตมีความโลภ จิตมีความหลง ใช่ไหม.. จิตมีความรัก อารมณ์ของจิตก็ต่างกันไป นั่นมันเป็นอารมณ์ ไม่ใช่ดวงจิต ดวงจิตจริงมันดวงเดียว"

    อ่านได้ที่นี่
     

แชร์หน้านี้

Loading...