เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๖

​

 

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๓๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพพร้อมด้วยคณะ ประกอบด้วยพระสมุห์ณัฐพสิษฐ์ ปญฺญาคโม เลขานุการรองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ (๒) พระมหาอินทรปกรณ์ ฐิตสุโภ ป.ธ.๔ เลขานุการเจ้าคณะตำบลลิ่นถิ่นเขต ๒ พระกานต์ สุทธจิตฺโต และพระณารัณย์ อํสุการี ซึ่งสองท่านหลังนี้โดนเหน็บไปด้วย เพื่อช่วยงานกองงานเลขานุการคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ในการจัดเก็บและตรวจสอบเกี่ยวกับข้อสอบต่าง ๆ ซึ่งทำการตรวจทั้งเมื่อวานและวันนี้ พร้อมกับจะได้ทยอยกันลงคะแนนไปด้วย

เมื่อเดินทางไปถึงวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) สิ่งแรกเลยก็คือลงยังวงอาหารเสียก่อน ทางวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) โดยพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) รองประธานแม่กองธรรมสนามหลวง (หนกลาง) นั้น ท่านถือเป็นธรรมเนียมเลยว่า ถ้าหากว่าทางวัดมีงาน ไม่ว่าพระภิกษุสามเณรจะมามากเท่าไรก็ตาม จะจัดภัตตาหารเช้า - เพล ตลอดจนกระทั่งน้ำปานะต่าง ๆ ถวายอย่างเต็มที่

โดยเฉพาะวันนี้แค่บรรดาผู้ที่มารับตราตั้งกรรมการตรวจข้อสอบกองธรรมสนามหลวงก็มีถึง ๓๒๐ รูปแล้ว..! ไหนจะกองตรวจพิเศษที่เป็นเจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ทั้งจังหวัดนครปฐม กาญจนบุรี สุพรรณบุรี และสมุทรสาครอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะถ้าหากว่าเป็นระดับเจ้าอาวาสมา ก็จะมีรถของทางวัดมาด้วย แปลว่าต้องมีพลขับมาอีกต่างหาก จึงทำให้ต้องเลี้ยงทั้งพลขับและผู้ติดตามด้วย ดังนั้น..ในแต่ละงานเฉพาะค่าอาหารแต่ละวัน ก็ตกประมาณสามถึงสี่แสนบาท..! แล้วแต่ว่าจำนวนคนมากหรือน้อย

พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. หรือที่พวกเราเรียกด้วยความเคยชินว่าหลวงพ่อเจ้าคุณแย้ม เคยบ่นว่า "เป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองสุด ๆ แต่ก็จำเป็นที่จะต้องทำ ในฐานะผู้บังคับบัญชา เราใช้งานเขาแล้ว ยังจะให้เขาหากินเองอีก ก็น่าเกลียดเกินไป" ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าพวกเราจะออกเดินทางเช้าขนาดไหนก็ตาม ไปถึงขอให้มั่นใจว่ามีภัตตาหารและน้ำปานะรออยู่แล้ว

ครั้นเมื่อได้เวลาสมควรแล้ว ทางด้านพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. ก็ทำพิธีการเปิด และมอบตราตั้งกรรมการตรวจข้อสอบกองธรรมสนามหลวง ซึ่งลงพระนามโดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อมฺพรมหาเถร) และเซ็นรับรองโดยแม่กองธรรมสนามหลวง คือพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (สุชิน อคฺคชิโน) กรรมการมหาเถรสมาคม เลขานุการในองค์สมเด็จพระสังฆราช แม่กองธรรมสนามหลวง ต้องนับว่าเป็นเกียรติประวัติส่วนตัวของบรรดากรรมการที่เข้าตรวจข้อสอบในครั้งนี้

 

ถ้าหากว่าฟังไม่ผิด ได้ยินว่าจะมีแค่กรรมการตรวจข้อสอบในเขตปกครองคณะสงฆ์หนกลางเท่านั้น ที่ได้รับตราตั้งในปีนี้ เพราะว่าเกิดจากการดิ้นรนเข้าไปขอความเมตตาจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ของหลวงพ่อเจ้าคุณแย้มท่านเอง ซึ่งท่านบอกว่า สมเด็จพระสังฆราชทรงยินดีมาก ที่ได้เป็นผู้ลงพระนามในตราตั้งครั้งนี้

แต่คราวนี้ว่า ด้วยความที่ท่านเป็นรองแม่กองธรรมสนามหลวงในเขตหนกลาง หลวงพ่อเจ้าคุณแย้มท่านจึงสามารถขอตราตั้งเหล่านี้มาให้กับบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาได้ แต่ว่าในเขตหนอื่น ๆ นั้น ท่านอาจจะคิดว่าบรรดาผู้ตรวจหรือว่ากรรมการตรวจข้อสอบธรรมสนามหลวงได้รับตราตั้งไปแล้ว แบบที่กระผม/อาตมภาพก็ได้มานานจนตัวเองก็ลืมไปแล้วว่ากี่ปี แล้วไม่ได้คิดว่ามีคนใหม่ที่ยังไม่ได้รับตราตั้งด้วย เนื่องเพราะว่าบางท่านอย่าง หลวงพ่อญา (พระครูวัชรชลธรรม) เจ้าอาวาสวัดท่าซิก เจ้าคณะอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี นั่นก็คร่ำหวอดในวงการมา ๔๐ กว่าปีแล้ว แต่ว่าก็ไม่มีตราตั้ง เพิ่งมารับไปเมื่อวานนี้เช่นกัน

ดังนั้น..ในเรื่องของคณะกรรมการหลงสำรวจแบบนี้ ถ้าหากว่ามีการทำงานที่ละเอียดรอบคอบ เหมือนกับกองงานเลขานุการเจ้าคณะภาค ๑๔ ตลอดจนกระทั่งกองงานรองแม่กองธรรมสนามหลวง (หนกลาง) วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ก็สามารถที่จะหากำลังใจและเกียรติประวัติ ให้กับบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาได้แบบที่หลวงพ่อเจ้าคุณแย้มท่านทำในครั้งนี้

เมื่อมอบตราตั้งและรับฟังโอวาทเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ฝ่าฝืนคำสั่งผู้บังคับบัญชา ก็คือโดยปกติแล้วพระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคุณแย้มท่านจะบอกเสมอว่า "พระสังฆาธิการของเรา ต้องรู้จักหน้าที่ ต้องทำตามหน้าที่ ต้องไม่ละทิ้งหน้าที่ และต้องไม่ทำเกินหน้าที่"

แต่วันนี้กระผม/อาตมภาพจำเป็นต้องละทิ้งหน้าที่ เหตุเพราะว่าต้องกลับมาดูแลการปฏิบัติธรรมของทางวัดท่าขนุน ซึ่งจัดให้มีการบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ รุ่นที่ ๑/๒๕๖๗ แล้วยังต้องไปร่วมเปิดงานถนนคนนั่งยองทองผาภูมิ ตลอดจนกระทั่งเปิดนิทรรศการต่าง ๆ ของตลาดริมแคว ยลวิถีเมืองท่าขนุน โดยที่งานนี้กระผม/อาตมภาพได้เชิญท่านสมมารถ คำถนอม วัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี และคณะมาร่วมเป็นเกียรติด้วย

 

แต่กระนั้นก็ตาม ด้วยความที่รถติดมาก จึงทำให้เลยเวลาเพลไปไม่น้อย กระผม/อาตมภาพต้องแวะซื้อข้าวกล่องที่สถานีบริการน้ำมันเจ้าประจำ ฉันเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ค่อยคลานตามรถอื่น ๆ ซึ่งพากันแห่ไปเที่ยวทองผาภูมิ เนื่องเพราะว่าระยะนี้อากาศทางทองผาภูมิค่อนข้างจะเย็นมาก ถ้าหากว่าท่านใดตรวจสอบจากกูเกิ้ล ก็จะเห็นว่าเมื่อเช้านี้อากาศที่ทองผาภูมิอยู่ที่ ๑๘ องศาเซลเซียส แต่ว่านั่นเป็นประมาณการณ์จากเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือที่สมัยนี้เรียกว่า AI อากาศในความเป็นจริงก็คือ ๑๖ องศาเซลเซียสเท่านั้น

เมื่อไปถึง ปรากฏว่าญาติโยมทั้งหลายที่ปฏิบัติธรรมกำลังนั่งสมาธิกันสงบเงียบเรียบร้อย เนื่องเพราะว่าเดินจงกรมในช่วงบ่ายแล้ว ต่อด้วยการเจริญสมาธิภาวนา กระผม/อาตมภาพจึงมารับและลงบัญชีเงินจากไอ้ตัวเล็ก ที่นำเงินทำบุญต่าง ๆ จากบรรดากระทู้ที่ท่านทั้งหลายได้ร่วมบุญในเว็บไซต์วัดท่าขนุนมาส่ง และเบิกวัตถุมงคลต่าง ๆ เพื่อไปส่งให้แก่บรรดาผู้ที่ได้จองเอาไว้

โดยที่กระผม/อาตมภาพมีคำสั่งว่า "ให้ปิดการจองเหรียญเสริมปัญญาเนื้อทองคำไปเลย จะเก็บเอาไว้ขึ้นราคาทีหลัง..!" เนื่องเพราะว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ที่บรรดาผู้จองไว้จะโอนเงินมาเพื่อให้ได้เป็นเจ้าของอย่างแน่นอน หลังจากนั้นกระผม/อาตมภาพก็มาตรวจงานต่าง ๆ ตลอดจนกระทั่งเซ็นเอกสารที่ตกค้างในช่วงระยะเวลาที่เดินทางไปมา แล้วก็มารับคณะของคุณสมมารถ คำถนอม วัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี ที่ฝ่ารถติดเข้ามาถึง

คุณสมมารถ นำเอาคณะทำงานที่รู้จักมักคุ้นกันแทบทุกคนมาด้วย เนื่องเพราะว่าส่วนใหญ่ก็เป็นบรรดานักวัฒนธรรมชำนาญการบ้าง นักวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษบ้าง ของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี ที่ร่วมงานกับวัดท่าขนุนมาเป็นสิบปีแล้ว เพียงแต่ว่าวัฒนธรรมจังหวัดนั้นมีการโยกย้ายผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป กระผม/อาตมภาพเองตั้งแต่ทำงานด้านนี้มา ก็เจอวัฒนธรรมจังหวัดไม่ต่ำกว่า ๕ - ๖ ท่านแล้ว แต่ละท่านก็ล้วนแล้วแต่ทำงานร่วมกับวัดท่าขนุนเป็นอย่างดียิ่ง

ท่านวัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรีนำคณะมาสักการะปีใหม่ และร่วมงานเปิดงานถนนคนนั่งยองทองผาภูมิ โดยที่กระผม/อาตมภาพเป็นผู้เชิญมาเอง เนื่องเพราะว่าในช่วงของงานตลาดริมแควเมืองท่าขนุน จัดให้มีการยลวิถีชุมชน ด้วยการจัดนิทรรศการต่าง ๆ และมีการแสดงออกซึ่งวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยปีนี้จะมี "กะเหรี่ยงฟาดข้าว" ให้ดู

ทางด้านวัฒนธรรมจังหวัดและคณะ จึงมาในเสื้อผ้าของบรรดาพี่น้องกะเหรี่ยง เพียงแต่ว่าเป็นกะเหรี่ยงที่ไม่ได้อยู่ในเผ่าใดเลย ไม่ว่าจะเป็นกะเหรี่ยงโพล่วหรือว่ากะเหรี่ยงสะกอ เพราะว่าเป็นชุดที่ตัดมาคล้ายกับชุดกะเหรี่ยงเท่านั้น ไม่ได้มีสีสันบังคับเหมือนกับกะเหรี่ยงทั่ว ๆ ไป ที่ว่าผู้ชายต้องใช้สีนี้ ผู้หญิงแต่งงานแล้วต้องใช้สีนี้ ผู้หญิงยังไม่แต่งงานต้องใช้สีนี้ เป็นต้น เพียงแต่ว่าให้กลมกลืนไปกับบรรยากาศที่จะได้เข้าร่วมในช่วงค่ำนี้เท่านั้น

กระผม/อาตมภาพเองต้องรีบมาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนนี้ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องออกไปเป็นประธานร่วมในการเปิดงานถนนคนนั่งยองทองผาภูมิปีที่ ๑๔ ประจำปี ๒๕๖๖ และเปิดนิทรรศการตลาดริมแคว เมืองท่าขนุน ยลวิถีชุมชนของปีนี้เช่นกัน

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๓๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)