เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓ มกราคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 3 มกราคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓ มกราคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพไม่ได้ออกบิณฑบาต เนื่องเพราะว่าต้องนำรถยนต์ที่ใช้อยู่ประจำไปเข้าศูนย์ซ่อม เนื่องจากว่าได้ทำการเคลมประกันเอาไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และนัดเข้าศูนย์ฯ กันภายในวันนี้

    จะว่าไปแล้ว รถยนต์คันนี้ก็อายุสูงวัยอยู่ทีเดียว เนื่องเพราะว่าเริ่มย่างเข้าปีที่ ๘ แล้ว แต่กระผม/อาตมภาพตั้งใจเอาไว้สองอย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือถ้าหากว่ามีรถยนต์ไฟฟ้า ที่ชาร์จครั้งหนึ่งวิ่งได้ประมาณ ๑,๐๐๐ กิโลเมตร ถึงจะเปลี่ยนรถใหม่ หรือไม่ก็ครบ ๑๐ ปีแล้วถึงจะเปลี่ยนรถใหม่

    แต่ดูท่าว่าเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้านั้น คงต้องชะลอเอาไว้ก่อน เนื่องเพราะว่าดูเหมือนจะไม่ได้รับการสนับสนุน ทั้งจากทางรัฐบาลและเอกชนของประเทศเรา จนป่านนี้รถไฟฟ้ายังคงไปไม่ถึงไหนเลย ในช่วงหยุดยาวสิ้นปีที่ผ่านมา ก็มีปัญหาเรื่องที่ชาร์จรถไฟฟ้าไม่เพียงพอ แม้ว่าพยายามที่จะจับจองออนไลน์เอาไว้ ก็ไม่มีสถานที่ให้ชาร์จไฟได้

    กระผม/อาตมภาพเองนั้น ตอนแรกตั้งใจจะทำสถานีชาร์จรถไฟฟ้าสัก ๖ หัวจ่าย ที่บริเวณหน้าวัดท่าขนุน เพื่อให้ญาติโยมที่มีรถไฟฟ้ามาชาร์จฟรี แต่เมื่อทางเจ้าหน้าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พร้อมกับเจ้าหน้าที่ของบริาัทถไฟฟ้า
    มาพิจารณาแล้ว ปรากฏว่าสถานที่นั้น อันดับแรก..ห่างไกลจากแหล่งกำเนิดไฟฟ้าหลัก ก็คือหม้อแปลง เป็นระยะทางเกือบ ๔๕๐ เมตร

    ประการที่สองก็คือสายไฟที่เดินเข้าไปนั้น เป็นสายไฟมาตรฐานขนาด ๒.๕ เท่านั้น สายไฟสำหรับสถานีชาร์จไฟฟ้า ต้องเป็นสายใหญ่ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงต้องขยับเข้าไปภายในวัด บริเวณหมู่เรือนไทยประยุกต์ ซึ่งต้องลดจาก ๖ ช่องจ่ายไฟเหลือแค่ ๒ ช่องจ่ายไฟเท่านั้น

    แต่ก็มีปัญหาอีกตรงที่เจ้าหน้าที่บอกว่า "ไฟฟ้าน่าจะไม่พอ จำเป็นที่จะต้องลงหม้อแปลงใหม่อีก ๑ ลูก" กระผม/อาตมภาพจึงต้องระงับโครงการเอาไว้ก่อน เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า วัดท่าขนุนในปัจจุบันนี้มีหม้อแปลงไฟฟ้า ๒๕๐ KVA สำหรับการใช้ไฟทั้งวัด ๑ ลูก และมีหม้อแปลงไฟฟ้าขนาด ๒๕๐ KVA สำหรับพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนโดยเฉพาะอีก ๑ ลูกแล้ว ถ้าหากว่าต้องลงหม้อแปลงอีกลูก ก็รู้สึกว่าจะสิ้นเปลืองมากจนเกินไป

    แล้วอีกประการหนึ่ง ถ้าหากว่าหัวจ่ายไฟฟ้าอยู่ภายในวัด ญาติโยมที่นำรถไฟฟ้ามาชาร์จได้ ก็ดูท่าจะมีแต่ผู้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น คนทั่ว ๆ ไปก็คงจะไม่วิ่งเข้าวัดไปอีกหลายร้อยเมตร เพื่อที่จะชาร์จไฟฟ้าอย่างแน่นอน เหตุเพราะว่าอันดับแรกก็คือ ไม่รู้ว่ามีหัวจ่ายไฟฟ้าอยู่ภายในวัด ประการที่สองก็คือ อยากที่จะวิ่งตรงไปสู่เป้าหมายทีเดียวมากกว่า
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ถ้าหากว่าเข้าทางประตูใหญ่วัดท่าขนุน ไปจนถึงสถานที่ชาร์จไฟฟ้า ก็ตกประมาณ ๗๐๐ เมตร ถ้าหากว่าเข้าทางด้านฌาปนสถานของวัด ก็ตกประมาณ ๔๕๐ เมตร จึงไม่ใช่เรื่องที่ท่านทั้งหลายจะเสียเวลาเพื่อที่จะแวะเข้าไป โครงการติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าฟรีสำหรับรถไฟฟ้าวัดท่าขนุน จึงต้องพับเก็บไปโดยปริยาย แล้วในขณะเดียวกัน ดูท่าว่าต้องใช้รถน้ำมันที่เปลี่ยนเป็นระบบแก๊สนี้ต่อไปอีกหลายปี

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ถ้าซื้อรถใหม่แล้วรถไฟฟ้า
    เกิด "บูม" ขึ้นมา เราก็จะเสียท่าขาดทุน เพราะจ่ายค่าน้ำมันแพงกว่าหลายเท่า ประการที่สองก็คือ การที่เราจะซื้อรถใหม่ ถ้ารถไฟฟ้าสามารถพัฒนาไปถึงระดับชาร์จครั้งหนึ่งวิ่งได้ ๑,๐๐๐ กิโลเมตร ก็น่าจะไม่คุ้มกัน เพราะว่าพัฒนาการทางด้านนี้ไปเร็วมาก เราซื้อรถใหม่มาปีสองปี แล้วต้องไปซื้อรถไฟฟ้า ดูท่าจะไม่คุ้มกับเงินของญาติโยมที่จ่ายไป

    โดยเฉพาะกระผม/อาตมภาพเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยในทุกเรื่อง อันดับแรกก็คือจะไม่ใช้รถที่หรูหราจนเกินไป ญาติโยมจะเห็นว่า กระผม/อาตมภาพใช้รถตรวจการระดับพื้น ๆ ที่วิ่งกันทั่วประเทศไทย ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้น มีญาติโยมปวารณาจะถวายรถตรวจการระดับพรีเมี่ยม ราคาเกือบ ๔ ล้านบาท แต่กระผม/อาตมภาพเองก็ดี น้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ก็ตาม ไม่อยากที่จะเครียดเวลาวิ่งอยู่บนท้องถนน เพราะว่ารถแพง อาจจะไปเฉี่ยวไปชนเข้าเมื่อไรก็ไม่รู้..!?

    โดยเฉพาะข้อตกลงทุกครั้งที่มีผู้ถวายรถก็คือ ผู้ถวายจะต้องรับผิดชอบเรื่องการต่อทะเบียน การต่อประกัน และค่าใช้จ่ายในการเข้าศูนย์ทุกครั้ง พูดง่าย ๆ ว่ากระผม/อาตมภาพมีหน้าที่ใช้เท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็จะไม่รับรถยนต์คันนั้นมาไว้เป็นภาระของตน

    ในเมื่อเรื่องมากขนาดนี้ จึงทำให้ญาติโยมที่ปวารณาถวายรถยนต์ต้องปวดหัวไปตาม ๆ กัน คิดว่าถ้าทนใช้รถยนต์นี้ไป จนกระทั่งรถไฟฟ้าสามารถที่จะขยับขึ้นมาในการชาร์จครั้งหนึ่งวิ่งได้ประมาณ ๑,๐๐๐ กิโลเมตร เพื่อเป็นการประกันความเสี่ยงว่าสามารถที่จะไปกลับได้ โดยไม่ตายอยู่กลางทางแล้ว ค่อยมาพิจารณากันใหม่ว่าจะเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าหรือไม่

    เมื่อวิ่งไปถึงวัดท่ามะขาม (วัดราษฎร์ประชุมชนาราม) น้องเล็ก ก็ปล่อยกระผม/อาตมภาพลงที่อาคารปฐมา เพื่อตรวจงานบูรณปฏิสังขรณ์วัดท่ามะขาม ในฐานะประธานอุปถัมภ์โครงการงานบูรณปฏิสังขรณ์วัดท่ามะขามแห่งนี้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    แต่ความจริงแล้วผู้ที่ ลงทุน ลงแรง ลงเงิน ทั้งหมด ก็คือพระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม ป.ธ.๖ วัดปากน้ำภาษีเจริญ หรือว่าที่ท่านทั้งหลายรู้จักกันในนามหลวงพ่อมหาเอ บ้านสุมโน ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์รุ่นแรก ๆ ที่กระผม/อาตมภาพบวชให้ เมื่อไปเรียนบาลีที่วัดปากน้ำแล้ว สามารถที่จะสร้างความเลื่อมใสศรัทธาในการนำปฏิบัติธรรมให้แก่ญาติโยมจำนวนมาก จึงทำให้ท่านมีกำลังเพียงพอที่จะอาสามาพัฒนาวัดท่ามะขามแห่งนี้ให้

    ความจริงแล้วกระผม/อาตมภาพต้องการให้ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสเลย แต่ว่าช่วงนั้นท่านเจ็บไข้ได้ป่วย โดยเฉพาะเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษ จึงไม่ยอมรับภาระตรงนี้ หากแต่ว่าเป็นผู้หาเงิน เพื่อที่จะบูรณปฏิสังขรณ์ โดยมีพลเอกเจษฎา เปรมนิรันดร ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม รับผิดชอบในการหาช่างมาดำเนินงานให้ จึงต้องขอโอกาสนี้ขอบพระคุณและเจริญพรขอบพระคุณทั้งสองท่าน ที่รับภาระใหญ่ไป ทำให้กระผม/อาตมภาพมีหน้าที่แค่ผ่านมาก็คอยดูแลเท่านั้น

    ผ่านไปประมาณ ๒ ชั่วโมงเศษ รถของทางศูนย์รถยนต์ก็มาส่งน้องเล็ก พวกเราอาศัยรถคันใหม่ที่ทิดเดช (นายพิรุฬห์พัชร์ รัคสิกรณ์) ถวายให้ใช้ชั่วคราวในระหว่างที่รถเข้าซ่อมในศูนย์ฯ วิ่งออกมาทางถนนบายพาสกาญจนบุรี กระผม/อาตมภาพจะโทรแจ้งให้กับทิดจ้อน (นายปริวัฒน์ วัฒนะโชติ) มารับเงินไปฝากเข้าธนาคารให้ แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า "เงินอยู่ที่ไหน ?" แล้วก็นึกได้ว่าเงินอยู่ในรถที่ส่งเข้าศูนย์ซ่อมไปเรียบร้อยแล้ว จึงกำหนดใจถามท่านปู่ท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งดูแลรักษารถอยู่

    เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพนั้น มีความผูกพันกับท่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งก็คือในรถยนต์คันนั้น มีรูปแกะสลักลอยองค์ท่านปู่ท้าวเวสสุวรรณ ของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ใส่เอาไว้ในรถ เพื่อช่วยคุ้มครองเป็นประจำ

    สมัยก่อนในตัวของ
    กระผม/อาตมภาพเอง จะพกท่านปู่ท้าวเวสสุวรรณของหลวงปู่เนื่อง วัดจุฬามณีติดตัวอยู่ แต่มาภายหลังสละให้กับลูกกิฟท์ (นางสาวอันตรา ลักษณะ) ไปใช้งานแทน ซึ่งคุณลูกเธอออกทัวร์ นำลูกค้าตะลอนไปทั่วเหนือใต้ออกตก ไม่เคยโดนผีที่ไหนหลอก ปลอดภัยได้ทุกเมื่อ ในขณะที่บางทริปนั้น เพื่อนฝูงต้องแห่กันมานอนอยู่ห้องเดียวกับลูกกิฟท์กันหมด เนื่องเพราะว่าทุกคนโดนผีหลอกจนนอนไม่ได้..! เมื่อไม่มีของท่านอาจารย์ปู่ กระผม/อาตมภาพก็หันมาพกท่านปู่ท้าวเวสสุวรรณ ของท่านเจ้าคุณศรีสัจจญาณมุนี (สนธิ์ ยติธโร) วัดสุทัศนเทพวรารามแทน
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    แล้วขณะเดียวกัน เมื่อสร้างเหรียญรอยพระพุทธบาทหลังท้าวเวสสุวรรณของวัดท่าขนุน กระผม/อาตมภาพก็พกเพิ่มขึ้นมาอีกเหรียญหนึ่ง แต่ว่าภายหลังเมื่อรองสมเกียรติ (นายสมเกียรติ นาคศรีโภชน์) รองนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลท่าขนุนและรองประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ อยู่ในช่วงดวงตก เกิดอุบัติเหตุ รถพังไปสองคันติด ๆ กัน กระผม/อาตมภาพจึงสละเหรียญรอยพระพุทธบาทหลังท้าวเวสสุวรรณเนื้อเงินที่พกประจำติดตัวอยู่ให้ไป ตั้งแต่นั้นมาทุกอย่างก็ปกติ และเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาตามลำดับ

    ในเมื่อมีท่านปู่ท้าวเวสสุวรรณอยู่ในรถ จึงได้น้อมใจถามท่านว่า "สตางค์ยังอยู่หรือไม่ ?" ท่านปู่บอกว่า "ยังอยู่ครบถ้วนดี ไม่มีใครเห็น" กระผม/อาตมภาพจึงบอกน้องเล็กที่ทำท่าจะเหยียบกระจายว่า "ใจเย็น ๆ ไปตามปกติของเรา เงินยังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน"

    เมื่อไปถึง ทางเจ้าหน้าที่รับรถก็ยังแปลกใจว่า อยู่ ๆ ย้อนกลับมาทำไม ? กระผม/อาตมภาพก็บอกว่า "ลืมของเอาไว้ในรถ" แล้วเจ้าหน้าที่ก็พาตรงเข้าไปยังรถ ซึ่งจอดเข้าที่ซ่อมและกำลังมีการถอดเบาะออก โดยเฉพาะถอดเบาะหลังสองตัวที่กระผม/อาตมภาพวางเป้ใส่เงิน ๔,๔๖๐,๐๐๐ บาทเอาไว้ ปรากฏว่าเป้ใส่เงินก็วางอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยที่คนถอดก็มองไม่เห็น เมื่อกระผม/อาตมภาพหยิบเป้ขึ้นมา ทางช่างก็ยังทำหน้างง ๆ ว่า "เอ๊ะ..ยังมีของหลงอยู่อีกด้วยหรือ ?"

    เมื่อขอบคุณบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย และน้อมใจขอบพระคุณท่านปู่ท้าวเวสสุวรรณแล้ว กระผม/อาตมภาพก็หอบเงินขึ้นรถของทิดเดช เดินทางต่อไปยังวัดอุทยาน เพื่อที่จะไปถ่ายรูปสำหรับการขอวีซ่าเข้าประเทศจีน เนื่องจากว่ามีกำหนดการเดินทางไปประเทศจีนในอีกประมาณครึ่งปีข้างหน้า แต่เนื่องจากว่าทางประเทศจีนนั้น อันดับแรกเลยก็คือขอวีซ่ายากมากสำหรับพระ ประการที่สองก็คือ รูปสำหรับขอวีซ่าของประเทศจีนนั้น จุกจิกยุ่งยากมากที่สุด มีข้อกำหนดเยอะมาก จึงต้องไปถ่ายรูปที่ร้านประจำ ซึ่งรู้เรื่องเกี่ยวกับการขอวีซ่าเข้าประเทศจีนเป็นอย่างดี

    แม้จะมีข่าวว่าท่านเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ประสานกับทางประเทศจีน ขอฟรีวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวไทย แต่ว่ารายละเอียดยังไม่ปรากฏ ทางด้านบริษัททัวร์จึงได้ขอให้พวกเราส่งไฟล์รูปไปตามปกติ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงแล้วค่อยว่ากันใหม่ เมื่อถ่ายรูปกันเสร็จเรียบร้อย กระผม/อาตมภาพเข้าสู่ที่พัก ก็มาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนให้แก่ญาติโยมทั้งหลายได้ฟังกันในวันนี้

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...