เรื่องเด่น เรื่องเล่าในพระธรรมบท ตอน พระทารุจีริยเถระ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 9 กันยายน 2017.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เรื่องเล่าในพระธรรมบท ตอน พระทารุจีริยเถระ
    21415026_485583375131447_7561453818499840595_o.jpg

    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระทารุจีริยเถระ ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 101 นี้

    ครั้งหนึ่ง พ่อค้ากลุ่มหนึ่งแล่นเรือไปค้าขายทางทะเล เรือของพวกเขาเกิดอับปางในทะเลและเสียชีวิตทุกคน มีผู้รอดชีวิตอยู่เพียงคนเดียว โดยเขาผู้นี้ได้จับกระดานแผ่นหนึ่งไว้ได้และพยายามกระเสือกกระสนเข้าหาฝั่งของท่าเรือชื่อสุปปารกะได้สำเร็จ เขาไม่มีเสื้อผ้าปกปิดร่างกายจึงได้เอาปอพันท่อนไม้แห้งทำเป็นผ้านุ่งห่ม ถือกระเบื้องจากเทวสถานไปนั่งขอทานอยู่ ณ สถานที่ที่ผู้คนเดินผ่านไปมา ประชาชนที่เดินผ่านไปมาเห็นเขาแล้วก็ให้ข้าวยาคูและอาหารเป็นต้นแล้วกล่าวยกย่องว่า “ผู้นี้เป็นพระอรหันต์” มีผู้มีศรัทธาบางคนนำเสื้อผ้ามาให้ แต่เขาก็ได้ปฏิเสธที่จะใช้เสื้อผ้านั้นเพราะเกรงไปว่าหากเขาสวมใส่เสื้อผ้าเสียแล้ว “ลาภสักการะของเราจักเสื่อม” จึงเลือกที่จะนุ่งห่มแต่ผ้าเปลือกไม้เท่านั้น นอกจากนั้นแล้ว เมื่อผู้คนกล่าวว่าเขาเป็นพระอรหันต์ เขาก็เลยเข้าใจผิดคิดไปว่าตนเองเป็นพระอรหันต์จริงๆ ด้วยเหตุที่เขาใจผิดคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ซึ่งสวมใส่ผ้าเปลือกไม้ เขาจึงมีชื่อว่า “ทารุจีริยะ”

    ในครั้งนั้นมีท้าวมหาพรหมองค์หนึ่ง ซึ่งในอดีตชาติเคยเป็นเพื่อนร่วมปฏิบัติสมณธรรมกับเขามาก่อน เห็นเขาหลงทางไปเช่นนี้ก็ได้มาช่วยชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องให้ โดยท้าวมหาพรหมองค์นี้ได้มาหาเขาในคืนหนึ่งและได้บอกว่า “พาหิยะ ท่านไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ ท่านยังไม่ได้บรรลุพระอรหัตตมรรคเลย และยิ่งไปกว่านั้นท่านก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะทำให้เป็นพระอรหันต์ด้วย” พาหิยะทารุจีริยะมองดูท้าวมหาพรหมแล้วถามว่า “ท่านผู้เป็นเทวดา เอาละ เรายอมรับว่าเรามิได้เป็นพระอรหันต์ เดี๋ยวนี้พระอรหันต์หรือผู้บรรลุพระอรหัตตมรรคมีอยู่ในโลกหรือไม่” ท้าวมหาพรหมกล่าวว่า “พาหิยะ บัดนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ในนครสาวัตถี พระผู้มีพระภาคนอกจากจะเป็นพระอรหันต์แล้ว ยังทรงแสดงธรรมเพื่อความเป็นพระอรหันต์ด้วย”

    พาหิยะฟังคำของท้าวมหาพรหมแล้วมีความสลดใจ และได้รีบเดินทางออกจากท่าเรือสุปปารกะไปยังนครสาวัตถี ซึ่งท้าวมหาพรหมก็ได้ใช้อำนาจเทวฤทธิ์บันดาลให้พาหิยะเดินทางไปถึงนครแห่งนั้นซึ่งอยู่ไกลออกไปถึง 120 โยชน์โดยใช้เวลาเดินทางเพียงคืนเดียวเท่านั้น พาหิยะพบว่าพระศาสดากำลังบิณฑบาตพร้อมด้วยหมู่ภิกษุจึงได้เข้าไปทำความเคารพแล้วกราบทูลให้ทรงแสดงธรรมโปรด แต่พระศาสดาตรัสตอบว่า เป็นช่วงที่พระองค์กำลังออกบิณฑบาต ยังไม่ถึงเวลาที่จะทรงแสดงธรรมโปรด พาหิยะฟังพระพุทธดำรัสนั้นแล้วกราบทูลว่า “พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าอันตรายแห่งชีวิตของพระองค์ หรือของข้าพระองค์ จะบังเกิดขึ้นเมื่อใด ขอพระองค์จงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิด” พระศาสดาทรงทราบว่าพาหิยะเดินทางมาไกลถึง 120 โยชน์โดยใช้เวลาเดินทางเพียงคืนเดียวเท่านั้น และทรงทราบด้วยว่าพาหิยะมีปีติปราโมทย์จากการได้เห็นพระองค์ ซึ่งบุคคลที่มีปีติปราโมทย์มากเช่นนี้ แม้ฟังธรรมแล้วจักไม่อาจแทงตลอดสัจธรรมได้ จะต้องรอให้มีจิตสงบเป็นอุเบกขาเสียก่อนเมื่อทรงแสดงธรรมจึงจะได้ผล แต่พาหิยะก็ยังกราบทูลคะยั้นคะยอให้พระศาสดาทรงแสดงธรรมโปรดให้จงได้ ดังนั้นพระศาสดาจึงได้ทรงแสดงธรรมขณะประทับยืนอยู่บนถนนว่า “พาหิยะ เพราะเหตุนั้น เธอพึงศึกษาในศาสนานี้อย่างนี้ว่า เมื่อเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อได้ยินเสียง ก็สักแต่ว่าได้ยิน เมื่อได้สูดกลิ่น ก็สักแต่ว่าได้สูดกลิ่น เมื่อสัมผัสด้วยกาย ก็สักแต่ว่าสัมผัส เมื่อรับรู้ด้วยใจ ก็สักแต่ว่ารับรู้”

    พาหิยะเมื่อได้สดับธรรมของพระศาสดาเช่นนี้แล้ว ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์และได้ทูลขอบรรพชากับพระศาสดา แต่พระศาสดาได้ตรัสบอกให้เขาไปหาบาตรและจีวรมาให้ครบเสียก่อนจึงจะทรงบรรพชาให้ ขณะที่พาหิยะแสวงหาบาตรและจีวรอยู่นั้นเอง เขาก็ได้ถูกแม่โคนมที่นางยักษิณีตนหนึ่งเข้าสิงขวิดตาย เมื่อพระศาสดาเสด็จเที่ยวบิณฑบาต ทรงกระทำภัตตกิจเสร็จแล้ว เสด็จออกไปพร้อมกับภิกษุทั้งหลาย ทรงพบร่างของพาหิยะนอนตายอยู่ที่ข้างกองขยะ จึงทรงบัญชาให้พระภิกษุทั้งหลายทำการฌาปนกิจศพของพาหิยะ แล้วรับสั่งให้สร้างสถูปเป็นที่บรรจุอัฐิธาตุของท่านไว้

    เมื่อพระศาสดาเสด็จกลับถึงวัดพระเชตวันแล้ว ได้ตรัสบอกภิกษุทั้งหลายที่สงสัยทูลถามถึงปรายภพของพาหิยะว่า พาหิยะ “ปรินิพพาน”แล้ว พระศาสดายังได้ตั้งพาหิยะในตำแหน่งเอตทัคคะว่า “ภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะ(พาหิยะผู้นุ่งผ้าเปลือกไม้) เป็นเลิศกว่าภิกษุ ผู้สาวกของเราผู้ตรัสรู้เร็ว” ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า “พาหิยทารุจีริยะบรรลุพระอรหัตเมื่อใด” พระศาสดาตรัสตอบว่า “พาหิยทารุจีริยะ บรรลุอรหัตขณะยืนฟังเราแสดงธรรมบนถนนขณะเที่ยวบิณฑบาต” พระภิกษุทั้งหลายสงสัยต่อไปว่าคนที่ฟังธรรมเพียงเล็กน้อย จะสามารถบรรลุพระอรหัตได้อย่างไร พระศาสดาจึงตรัสว่า ปริมาณของคำพูดหรือความยาวของถ้อยคำไม่เป็นเรื่องสำคัญอะไร แต่สำคัญอยู่ที่คุณภาพของคำพูดหรือถ้อยคำ ที่จะเอื้อประโยชน์แก่บุคคลนั้นๆต่างหาก

    จากนั้น พระศาสดาได้ตรัส พระธรรมบท พระคาถาที่ 101 ว่า

    สหสฺสมฺปิ เจ คาถา
    อนตฺถปทสญฺหิตา
    เอกํ คาถาปทํ เสยฺโย
    ยํ สุตวา อุปสมฺมติฯ

    คาถาแม้ตั้งพัน
    แต่ไม่ประกอบด้วยบทที่มีประโยชน์
    สู้คาถาที่ประกอบด้วยประโยชน์เพียงบทเดียว
    ที่คนฟังแล้วสงบ ไม่ได้.


    เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กันยายน 2017
  2. mrmos

    mrmos Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2016
    โพสต์:
    1,190
    ค่าพลัง:
    +1,101

แชร์หน้านี้

Loading...