เรื่องที่ ๙ ฝันประหลาด

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย pongio, 28 กันยายน 2015.

  1. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,851
    โดยขุนอภิรักษ์จรรยา


    พูดถึงเรื่อง “ฝัน” วันหนึ่ง คือ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๑๖ ข้าพเจ้าได้สนทนากับอาจารย์บุญมี เมธางกูร ประธานกรรมการอภิธรรมมูลนิธิ วัดพระเชตุพน ฯ และผู้บรรยายพระอภิธรรมแก่นักศึกษา ประจำวันเสาร์และวันอาทิตย์มาหลายปี ก่อนที่ข้าพเจ้าจะไปศึกษาพระอภิธรรมที่ศาลาโพธิลังกา จนกระทั้งย้ายไปยังตึก (๓ ชั้น) สร้างใหม่ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นต้นมา
    ในวันนั้นได้สนทนากับท่านหลายเรื่องแต่ตอนท้ายได้พูดถึงเรื่อง “ฝัน” ข้าพเจ้าเล่าให้อาจารย์บุญมี เมธางกูร ฟังว่า
    “ผมนี่แปลก ถ้าฝันเห็นพระ (ภิกษุ) ทีไร รุ่งขึ้นเป็นได้พระสมเด็จ (พุฒาจารย์ โต พรหมรังสี) ทุกที"
    แล้วข้าพเจ้าก็เล่าถึงเรื่องที่ฝันให้อาจารย์บุญมีฟังถึงเรื่องที่ได้พระสมเด็จ โดยฝันทำนองนี้ถึง ๒ ครั้ง อาจารย์บุญมี เมธางกูร ชักสนใจ จึงขอให้ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้โดยละเอียด และว่าท่านจะนำไปลงหนังสือ (คงจะเป็นชุดเรื่องผีสางเทวดา ที่ท่านกำลังรวบรวมพิมพ์อยู่) ข้าพเจ้าได้รับปากท่านว่าจะเขียนให้ เพราะยังจำเหตุการณ์ในฝันได้ดีอยู่ จึงขอเล่าเรื่องที่ฝัน แล้ววันรุ่งขึ้นก็มีผู้มาบอกให้พระสมเด็จ ฯ ดังต่อไปนี้:
    ครั้งที่ ๑ เมื่อราวปี พ.ศ. ๒๔๙๕ (๒๑ ปีมาแล้ว) ข้าพเจ้ากับเพื่อนข้าราชการในกระทรวงศึกษาธิการอีก ๔ -๕ คนนั่งรถของกระทรวงคันเดียวกัน ได้ไปส่ง ม.ล. ปิ่น มาลากุล ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจะเดินทางไปประชุม ณ ต่างประเทศ ที่สนามบินดอนเมืองประมาณเวลา ๒๐.๐๐ นาฬิกา เมื่อส่งท่านแล้ว ได้กลับมาแวะที่ตลาดศรีย่านเพื่อรับประทานโจ๊ก ขณะที่นั่งรับประทานโจ๊กกันอยู่นั้น มีคุณเยื้อ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้ากองกลาง สำนักงานปลัดกระทรวง ฯ (ตำแหน่งในขณะนั้น ภายหลังเป็นรองปลัดกระทรวง) ได้พูดกับข้าพเจ้าว่า
    “ท่านขุนพระสมเด็จนี่ นึกๆ ถึงท่านไป แล้วก็จะได้มาเอง ผมได้มาหนึ่งองค์แล้ว”
    ข้าพเจ้าก็รับฟังไว้ ไม่ได้คิดอะไรมาก เมื่อรับประทานโจ๊ก คนขับรถก็ขับไปส่งตามบ้านต่างๆ ข้าพเจ้าเป็นบ้านสุดท้าย คือ อยู่ที่จุฬาลงกรณ์ซอย ๑๑ ปทุมวัน เมื่อมาถึงบ้านแล้ว ก็อาบน้ำ เข้านอนเวลาประมาณ ๒๒.๓๐ น. คืนนั้นนอนหลับไปประมาณตี ๒ (๒ นาฬิกา) ฝันว่าได้เห็นพระภิกษุ ๓ รูปมาบิณฑบาต ข้าพเจ้าก็ได้ใส่บาตรทั้ง ๓ รูป และได้ใส่บุหรี่การิคลงไปในบาตรด้วย (ข้าพเจ้าเคยสูบบุหรี่การิกบ่อยๆ) ลืมตาตื่นขึ้นมายังจำความฝันได้ดี ยังนึกในใจว่า ฝันเห็นพระคงจะดี แล้วก็นอนต่อไปอีก
    ตื่นเอาตอนเช้า พอเวลาประมาณ ๗.๓๐ น. ก็แต่งตัวออกจากซอย มาขึ้นรถประจำทางสายหัวลำโพง-ปากน้ำ เพื่อจะไปบ้านที่ปากน้ำ (อยู่ในตลาดเก่า) มีภรรยาและบุตรบางคนอยู่ โดยอพยพไปอยู่ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ ๒ ราว พ.ศ. ๒๔๘๗ อยู่ในบริเวณตลาด ก็เลยเปิดร้านค้าด้วย ส่วนที่บ้านจุฬา ฯ ซอย ๑๑ ข้าพเจ้าอยู่กับลูกๆ บางคนที่รับราชการ และที่กำลังเล่าเรียนอยู่ ตัวข้าพเจ้าเองในระยะนั้น ประจำทำงานอยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เมื่อไปถึงบ้านที่ปากน้ำได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มีแขกคนหนึ่งไปเยี่ยม แขกผู้นี้เคยเป็นเพื่อนครูด้วยกันมา และภายหลังข้าพเจ้ากลับเป็นผู้บังคับบัญชาเขา เขาเป็นศึกษาธิการอำเภอ ในเขตกรุงเทพมหานคร มีอายุแก่กว่าข้าพเจ้า ๓ ปี เมื่อไปพบข้าพเจ้า นั่งลงสนทนากันอย่างสนิทสนมในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมงานกัน ประโยคแรกที่เขาพูดกับข้าพเจ้าคือ
    “ท่านขุน ไม่เล่นพระสมเด็จ ฯ บ้างหรือ ?”
    ข้าพเจ้าตอบว่า "โอ ! คุณ ราคามันแพง องค์ละตั้ง ๓-๔ พันบาท (ราคาสมัยนั้น) เล่นไม่ไหวดอก"
    ต่อจากนั้นก็ได้สนทนากันถึงเรื่องสารทุกข์สุขดิบ ไปตามภาษาคนที่คุ้นเคยกัน และนานๆ พบกันที
    เขานั่งคุยอยู่เกือบชั่วโมงจึงได้ลากลับไป แต่ก่อนจะกลับเขาพูดว่า
    “ท่านขุน ! ผมมีพระสมเด็จ ๓ องค์ ผมจะให้ท่านขุนสักองค์หนึ่ง”
    ข้าพเจ้าได้ยินคำพูดของเขาก็ตะลึงงง ไม่นึกไปถึงว่าเขาจะกล้าให้ของที่นับถือ และมีค่าสูงสุดอย่างนี้ แล้วเขายังพูดต่อไปว่า
    “วันพฤหัส ผมจะมาฝากคุณนายไว้”
    ข้าพเจ้าก็กล่าวขอบคุณเขา ในที่สุดเขาก็ลาไป และรุ่งขึ้นข้าพเจ้าก็เดินทางไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งข้าพเจ้าประจำทำงานอยู่ โดยปรกติข้าพเจ้ามีสำนักงานอยู่ต่างหากจากศาลากลางจังหวัด และข้าพเจ้าก็พักบนสำนักงานนั้น ชั้นล่างเป็นที่ทำงานของข้าพเจ้า และมีเจ้าหน้าที่รองๆ อีก ๔-๕ คน ทำงานอยู่อีกหลังหนึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน ดังนั้น ครอบครัวจึงไม่ได้ไปอยู่ด้วย
    พอเช้าวันเสาร์ ข้าพเจ้าก็กลับไปบ้านปากน้ำอีกตามเคย พอไปถึงภรรยาของข้าพเจ้าบอกว่า ครูชำนาญเอาพระสมเด็จ ฯ มาไว้ให้ ๓ องค์ กับจดหมายฉบับหนึ่งแต่วันพฤหัส (คุณชำนาญ ธีรกุล บ้านอยู่อำเภอบางบ่อ และเคยเป็นศึกษาธิการอำเภอบางบ่อแห่งเดียวจนกระทั้งอายุครบเกษียณ)
    ข้าพเจ้าได้อ่านจดหมายของคุณชำนาญด้วยความระทึกใจ ในจดหมายนั้นบอกว่าได้ส่งพระสมเด็จมา ๓ องค์ ให้ข้าพเจ้าเลือกเอาองค์หนึ่ง ข้าพเจ้าได้ดูพระสมเด็จทั้ง ๓ องค์ ปรากฏว่า วัสดุที่เจ้าพระคุณสมเด็จพุฒาจารย์ โต สร้างนั้น ไม่เหมือนกัน คือ องค์หนึ่งเป็นสมเด็จถ้ำชา คือ ทำจากที่ใส่ใบชาเป้ตะกั่วสีเทาอมดำ องค์ที่ ๒ เป็นสมเด็จใบลาน ทำจากผงใบลานที่พระท่านเทศน์เผาจนป่นเป็นผงละเอียดสีดำ องค์ที่ ๓ เป็นพระผง เป็นเนื้อผงสีงาช้าง องค์ที่ ๓ นี้ถูกใจ ข้าพเจ้าตั้งใจจะขอรับองค์นี้ไว้
    ต่อมาอีก ๒ หรือ ๓ สัปดาห์ คุณชำนาญก็ได้มาขอรับ ๒ องค์ที่เหลือคืน ข้าพเจ้าก็บอกเขาว่า ถ้าคุณเต็มใจให้ผมก็ขอองค์นี้ (คือองค์พระผง) เขาก็ให้โดยดีและแสดงอาการเต็มใจ และบอกต่อไปด้วยว่า พระองค์นี้มีผู้เขาตีราคาไว้ ๒,๐๐๐ บาท (เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๕) ข้าพเจ้าได้กล่าวขอบคุณเขาเป็นอย่างมาก และในที่สุดเขาก็ลากลับ
    ข้าพเจ้าได้ย้อนกลับมานึกถึงเรื่องที่ฝันเมื่อคืน ก่อนที่คุณชำนาญมาบอกให้พระ ว่าฝันว่าเจอพระภิกษุ ๓ องค์ ได้ใส่บาตรทั้ง ๓ องค์ แล้วคุณชำนาญก็ได้นำพระสมเด็จมาถึง ๓ องค์ ให้เลือกเอาองค์หนึ่ง แล้วก็ตรงกับคุณเยื้อ วิชัยดิษฐ์ เล่าให้ฟังเมื่อคืนวันไปส่ง ม.ล. ปิ่น มาลากุล ที่ศรีย่าน ว่านึกๆ ไปแล้วก็ต้องจะได้เอง
    ข้าพเจ้าไม่เคยสนใจเรื่องพระเครื่องมาก่อน เคยสนใจแต่พระบูชา และก็เคยได้มาอย่างประหลาดๆ โดยมิได้นึกฝันตั้งแต่สมัยรับราชการอยู่ต่างจังหวัดลำปางและเชียงใหม่ เป็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสน ๓-๔ องค์ ซึ่งรู้สึกดีใจยิ่งกว่าได้เงินได้ทองเสียอีก
    อย่างไรก็ดี เมื่อได้พระสมเด็จจากคุณชำนาญมา ข้าพเจ้าก็เริ่มสนใจพระเครื่องขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง เป็นแต่เพียงสนใจเท่านั้น มิได้แสวงหาหรือเช่าซื้อเพิ่มเติมอีก พระสมเด็จ ฯ องค์ดังกล่าว ข้าพเจ้าได้เลี่ยมทองใส่กล่องเป็นอย่างดี และสวมคล้องคอตลอดมาเป็นเวลา ๒๐ ปี และเพิ่งจะให้บุตรชายคนเล็กไปเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง
    ข้าพเจ้ามั่นใจว่า พระสมเด็จ ฯ องค์นี้มีอภินิหารหลายอย่าง ซึ่งเคยปรากฏแก่ตัวข้าพเจ้ามาแล้วอย่างน้อย ๒ ครั้ง คือ ๑. ใช้รักษาโรคอย่างศักดิ์สิทธิ์ ๒.แคล้วคลาดจากภัยอันตรายอันเกิดจากอุบัติเหตุอย่างน่าพิศวง ถ้าบรรยายเหตุการณ์ทั้ง ๒ ครั้งนี้ก็จะมากเรื่องไป และบางท่านอาจจะไม่เชื่อเรื่องที่ข้าพเจ้าเล่าก็เป็นได้
    ครั้งที่ ๒ เหตุการณ์ผ่านมาประมาณปีเศษ ศึกษาธิการจังหวัดอ่างทองได้เปิดอบรมครูขึ้นที่จังหวัด ได้มีหนังสือเชิญให้ข้าพเจ้ากล่าวอบรมและบรรยายให้ความรู้แก่ครู ประมาณเกือบ ๒๐๐ คน ในราวปลายปี ๒๔๙๖ สำนักงานของข้าพเจ้ามีเรือยนต์หลวงอยู่ลำหนึ่ง เป็นเรือเก่าใช้เครื่องน้ำมันก๊าด สร้างมาแต่สมัยพระยาวิภัชวิทยาสาสน์เป็นศึกษาธิการมณฑล ข้าพเจ้านัดคนเรือว่าจะไปวันรุ่งขึ้น โดยเสมียนจดรายงานไปด้วยคนหนึ่ง
    คืนวันนั้นข้าพเจ้านอนอยู่บนสำนักงานคนเดียว ชั้นล่างมาครูทำหน้าที่เสมียนนอนอยู่คนหนึ่ง โดยปรกติข้าพเจ้านอนเวลา ๒๒.๐๐ น. ตอนดึกข้าพเจ้าได้ฝันเห็นพระภิกษุรูปหนึ่ง แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ใส่บาตรเหมือนฝันครั้งก่อน เพราะท่านไม่ได้มาบิณฑบาต ในฝันนั้นข้าพเจ้าจะได้สนทนาอะไรกับท่านบ้างจำไม่ได้เสียแล้ว แต่นึกในใจอยู่ว่า ถ้าฝันเห็นพระภิกษุ ถือว่าเป็นฝันที่เป็นมงคลและนิมิตดีอยู่ ได้แต่นึกเท่านั้น พอวันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ ๘.๐๐ น. เศษ คนเรือก็นำเรือวิภัชน์มาจอดด้านหลังสำนักงาน
    ข้าพเจ้าเตรียมกระเป๋าเดินทางและเอาเสมียนประจำสำนักงานไปด้วยคนหนึ่ง นั่งเรือไปสักพักใหญ่ เกือบจะพ้นเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแล้ว นึกถึงความฝันเมื่อคืนขึ้นมาได้ จึงพูดกับนายอารี ศาสตร์สาระ (ปัจจุบันเป็นศึกษาธิการอำเภอโท อำเภอคลองสาน) ว่า
    “เออ ! นายอารี เมื่อคืนฉันฝันดี ฝันว่าได้เห็นพระภิกษุองค์หนึ่ง ฝันเห็นพระนี่ ถือว่าฝันดี ฝันแบบนี้ฉันเคยได้พระสมเด็จ ฯ มาองค์หนึ่งแล้ว ไปอ่างทองคราวนี่ ฉันมองไม่ออกว่า จะมีอะไรดี”
    พูดแล้วก็ทิ้งเสีย มิได้เก็บเอามาถือเป็นอารมณ์อีก
    ระหว่างทางได้แวะนมัสการพระนอนป่าโมกข์ และตรวจโรงเรียนประจำอำเภอป่าโมกข์ ถึงตัวอำเภอตอนบ่าย คุณประยูร วีรวงษ์ ศึกษาธิการจังหวัด ให้พักที่ห้องมุขโรงเรียนประจำจังหวัด สะดวกและกว้างดี และการอบรมครูก็จัดขึ้นที่ ณ โรงเรียนนั้นเอง พอตกค่ำรับประทานอาหารแล้ว เวลาประมาณ ๑๙.๓๐ น. ข้าพเจ้าจึงได้บรรยายในที่ประชุมครู ถึงเรื่องหน้าที่การงาน การสอน การปกครอง ตลอดถึงความประพฤติของครู การบรรยายใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง ๓๐ นาที จึงเลิกประชุม
    หลังจากเลิกประชุมแล้ว กลับมาห้องพักสนทนากับศึกษาจังหวัด ผู้ช่วย และศึกษาธิการอำเภอ อยู่เป็นเวลานาน จึงได้เข้านอนหลับสนิทไปจนเช้ามืด ตามธรรมดาข้าพเจ้าตื่นแต่เช้าอยู่แล้ว ปรกติตื่นเวลา ๕.๓๐ น. เมื่อตื่นแล้วก็เดินทางลงข้างล่างจะไปห้องน้ำ เดินสวนทางกับครูคนหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าเคยรู้จักว่าอยู่อำเภอโพธิ์ทอง แต่ไม่รู้จักชื่อ
    ครูคนนี้หยุดพูดกับข้าพเจ้าว่า “ท่านครับ ผมมีพระมาให้ท่านดู ประเดี๋ยวผมจะไปหาท่าน”
    พูดเท่านั้นข้าพเจ้าก็พยักหน้ารับแล้วเดินทางไปยังห้องน้ำ เมื่อทำธุระเสร็จแล้วออกมาห้องพัก สักครู่ใหญ่ๆ ครูคนที่ว่านี้ก็เข้าไปหาข้าพเจ้าในห้องพัก ขณะนั้นศึกษาธิการจังหวัดได้เข้าไปสนทนาอยู่ก่อนแล้ว ครูคนนั้นก็ได้เอากล่องพระเครื่องออกมาทั้งกล่อง เป็นกล่องสังกะสีสำหรับใช้ใส่สบู่ ดูเหมือนสบู่ตราวัว ๓ ก้อน มีพระเครื่องหลายสิบองค์ และอีกองค์หนึ่งเขาถอดออกจากคอ ลงมาวางปนกับพระอื่นๆ ในกล่องนั้นด้วยพร้อมกับพูดว่า
    “ท่านเลือกเอาเถิดครับ เอาองค์ไหนก็ได้”
    ข้าพเจ้ามองหน้าเขาด้วยความพิศวง แล้วก็มองดูพระเครื่องในกล่องนั้นที่มีอยู่มากมาย ในที่สุดข้าพเจ้าไปสะดุดตาเข้าองค์หนึ่ง ลักษณะเป็นพระสมเด็จ แต่เป็นรูปสามเหลี่ยม หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า “สมเด็จสามเหลี่ยม”
    ข้าพเจ้าจึงบอกเขาว่า “คุณเต็มใจจะให้ ผมก็อยากได้องค์นี้” (ชี้ที่องค์ ๓ เหลี่ยม)
    เขาก็เอาออกมาถอดจากสร้อยคอที่แขวนพระ ส่งให้ข้าพเจ้า
    พระองค์นี้เลี่ยมนากไว้ ข้าพเจ้าบอกว่านากผมไม่เอาดอก ขอแต่พระเฉยๆ ก็พอ เขาจึงแกะเอาพระออกจากที่เลี่ยมนาก ส่งให้ผมด้วยความเต็มใจ ต่อหน้าศึกษาธิการจังหวัด ข้าพเจ้าได้ตอบขอบคุณเขาเป็นอย่างมาก ศึกษาธิการจังหวัดไม่แน่ใจว่าจะเป็นพระสมเด็จแท้หรือไม่ จึงให้คนไปเชิญผู้ชำนาญการดูพระเครื่องมา ผู้ชำนาญพระเครื่องนี้ เป็นข้าราชการตำแหน่งคลังจังหวัดอ่างทอง เมื่อท่านผู้นี้เห็นพระสมเด็จสามเหลี่ยม ก็ถามข้าพเจ้าทันทีว่า ‘เขาบอกให้แล้วหรือครับ ?” ถามอยู่เช่นนี้ ๒-๓ ครั้ง
    ผมตอบไปว่า “ครับ เขาให้แล้ว”
    คลังจังหวัดดูพระแล้วก็บอกว่า “ดีมากครับ”
    ข้าพเจ้าจำได้ว่า เมื่อคราวข้าพเจ้าไปตรวจอำเภอโพธิ์ทอง เมื่อคราวก่อนครูคนเดียวกันนี้ได้เคยเอาพระเครื่องมาให้ถึง ๓ องค์ ยังระลึกถึงเจ้าของผู้ให้อยู่เสมอ
    พระสมเด็จสามเหลี่ยมนี้ เพื่อนของข้าพเจ้าคนหนึ่งเป็นคลังภาค ๑ (อยุธยา) คือ ขุนอนุการบรรณกิจ (ทองคำ โกมลมิศร) ว่า มีอภินิหารดีมาก และรักษาโรคได้ด้วย เคยมีคนเช่าซื้อราคาตั้งหมื่นก็หาไม่ได้ ส่วนตัวเขานั้นเพิ่งได้มา โดยเช่ามาเพียงราคา ๑ พันบาทเท่านั้น และเขาบอกข้าพเจ้าว่า เขาจะหาได้เคยมีคนมาบอกให้เช่าในราคา ๑,๕๐๐ บาท แต่ตอนนี้ยังไม่ได้พบตัวกัน เผอิญก็มีผู้มาให้ข้าพเจ้าเสียก่อน เขาเล่าถึงอภินิหารของพระสมเด็จสามเหลี่ยมยืดยาวเกี่ยวกับการรักษาโรค คล้ายกับเรื่องของข้าพเจ้าเหมือนกัน เป็นอันพอจะยืนยันได้ว่า พระสมเด็จรูปสามเหลี่ยมก็ดี สมเด็จรูปสี่เหลี่ยมก็ดี ถ้าเป็นของแท้รักษาโรคได้อย่างศักดิ์สิทธิ์ และก็เกิดจากประสบการณ์แก่ตัวข้าพเจ้าเองด้วย ดังได้เล่ามาตอนต้นแล้ว
    ข้าพเจ้าได้ฝันเห็นพระภิกษุ ๒ ครั้งๆ แรกเห็น ๓ องค์ และได้ใส่บาตรทั้ง ๓ องค์ รุ่งขึ้นก็มีผู้มาบอกให้พระสมเด็จ โดยนำมา ๓ องค์ ให้เลือกเอาองค์หนึ่ง ครั้งที่ ๒ เห็นพระภิกษุองค์เดียว รุ่งขึ้นก็มีผู้นำพระสมเด็จ (สามเหลี่ยม) มาให้องค์หนึ่ง จึงทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจว่า ถ้าฝันเห็นพระภิกษุ หรือฝันเห็นพระพุทธรูป คงจะเป็นนิมิตมงคลที่ดีแน่นอน
    อนึ่ง ขอเล่าเรื่องพระสมเด็จอีกสักหน่อย กล่าวคือ ข้าพเจ้าได้พระสมเด็จพุฒาจารย์โตโดยมิได้ฝันล่วงหน้าก็ยังมีอีก ๒ ครั้ง ครั้งหนึ่งมีผู้นำมาให้ถึง ๓ องค์ แต่ไม่พบตัวข้าพเจ้า เป็นพระสมเด็จสี่เหลี่ยมองค์หนึ่งงดงามพอๆ กับที่ได้องค์แรกอีก ๒ องค์ รูปขององค์สมเด็จเลือนลาง ไม่ใคร่ชัดเจน รายนี้ผู้ให้เป็นศึกษาธิการอำเภอ อีกองค์หนึ่งผู้นำมาให้ข้าพเจ้าไม่รู้จัก ไม่ได้เป็นครู แต่เป็นข้าราชการกรมชลประทานมีภรรยาเป็นครู ในเขตท้องที่ๆ ข้าพเจ้าปกครอง ทำเรื่องราวเสนอขอย้ายภรรยาเข้ากรุงเทพ ฯ อยู่ร่วมกับสามีผ่านข้าพเจ้า เรื่องผัวเมียอยู่คนละจังหวัดนี้มามากมายและทางราชการก็มักจะช่วยเหลือในโอกาสที่จะช่วยได้ รายนี้ข้าพเจ้าก็ทำไปตามหน้าที่ ทั้งๆ ที่ไม่คุ้นเคยรู้จักทั้งสามีและภรรยา ในที่สุดภรรยาได้ย้ายไปอยู่ร่วมกับสามีสมความประสงค์ เหตุการณ์ล่วงเลยมานานเกือบปี
    วันหนึ่งฝ่ายสามีได้ไปหาข้าพเจ้าที่บ้านปากน้ำวันอาทิตย์ เผอิญข้าพเจ้าไม่อยู่ ไปเยี่ยมญาติที่พระประแดง ข้าพเจ้ากลับราวบ่าย ๒ โมงเศษ ชายผู้นี้ยังคงคอยข้าพเจ้าอยู่ตั้งแต่ ๑๐ นาฬิกา จนบ่าย ๒ โมงเศษ เมื่อพบกันแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จักเขา เขาก็เลยเล่าเรื่องให้ฟังถึงเรื่องนี้ ข้าพเจ้าได้ช่วยให้ภรรยาเขาได้ย้ายมาอยู่ร่วมกัน
    ด้วยความระลึกถึงในความช่วยเหลือที่ข้าพเจ้ามีต่อภรรยาเขาจึงมาหาและนำพระมาให้ ว่าแล้วเขาก็เอาพระออก มี ๕-๖ องค์ ที่สร้อยคอ เขาแขวนพระสมเด็จงามอยู่องค์หนึ่ง เขาทำท่าจะถอดออกมาวางให้เลือก ข้าพเจ้าบอกเขาว่า ไม่ต้อง คุณเอาไว้บูชาติดตัวคุณไว้เถิด แล้วข้าพเจ้าก็ดูพระที่วางไว้ ก็เห็นพระสมเด็จองค์หนึ่งสวยงามมากแต่ชำรุด คือ หัก ๒ ท่อน จึงคิดเอาองค์นี้ดีกว่า เจ้าของจะได้ไม่เสียดายมาก ในที่สุดข้าพเจ้าก็บอกเขาว่า เอาองค์ที่หัก ๒ ท่อนนี่แหละ เขาก็มอบให้โดยดี ข้าพเจ้ากล่าวขอบใจเขาแล้วเขาก็ลากลับ
    สรุปแล้ว ข้าพเจ้าได้พระสมเด็จอีก ๒ ครั้ง โดยไม่ได้ฝันล่วงหน้า และโดยไม่ได้คิดนึกมาก่อนว่าจะมีผู้นำมาให้ ทั้งๆ ที่คนสุดท้ายนี้มิได้รู้จักและเคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อนเลย
    หลังจากที่ข้าพเจ้าได้วานลูกศิษย์นำองค์หนึ่งไปให้ช่างเชื่อมพระ เชื่อมรอยต่อที่หักมาเรียบร้อยแล้ว ดูไม่รู้ว่ามีชำรุดหรือเสียหายตรงไหน แต่สมเด็จองค์นี้มีเรื่องราวยืดยาว ขอเล่าเพียงสั้นๆ ว่า ข้าพเจ้าถูกต้ม เพราะข้าพเจ้าเอาองค์นี้ไปให้พระเถระรูปหนึ่งดู ท่านขอเอาไว้บอกว่าจะตกแต่งให้ดีกว่านี้ เนื่องจากข้าพเจ้าคุ้นเคยกันมาก่อน จึงมอบให้ท่านด้วยความไว้วางใจ แต่แล้วข้าพเจ้าก็ผิดหวังเอาคืนจากท่านไม่ได้ ท่านบอกว่ามีคนยักยอกไปจากท่านอีกทีหนึ่ง ในที่สุดท่านขอชดใช้เงินข้าพเจ้าเพียงหนึ่งพันบาท ซึ่งราคาในขณะนั้นให้เช่ากันประมาณ ๔ -๕ พันบาท ข้าพเจ้าเห็นกับตา ที่ท่านรับเงินค่าให้เช่าพระจากผู้อื่น ข้าพเจ้าจำได้ว่าเหตุการณ์เรื่องนี้เกิดขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ ก่อนที่จะเดินทางไปดูงานที่สหรัฐอเมริกาและยุโรปเพียง ๑ เดือน
    พระภิกษุรูปดังกล่าว ข้าพเจ้าขอสงวนนามท่าน บอกได้เพียงแต่ว่าท่านเป็นพระนิกายมหายาน ในที่สุดข้าพเจ้าขอยุติเรื่องฝันเห็นพระภิกษุกับเรื่องที่ได้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) มาโดยมิได้นึกถึง หรือทราบล่วงหน้ามาก่อน และทั้งบางท่านที่ให้ข้าพเจ้าก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนดังได้บรรยายมาแล้วแต่ต้นเท่าที่อยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้าเพียงเท่านี้

    http://www.dharma-gateway.com/ubasok/boonmee/boonmee-07-02.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...