เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)...ตอนที่8เมื่อข้าพเจ้าไปอินเดีย,เล่าพุทธประวัติ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 24 กันยายน 2009.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    [​IMG]
    ตัดตอนจากเทปเมื่อข้าพเจ้าไปอินเดีย
    [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]ความจริงเรื่องไปอินเดียนี่ ถ้าพ่อจะไปเอง โดยมีคนติดตามไม่กี่คน ก็คงจะไปฟรีกันได้ เพราะว่ามีหลายฝ่ายด้วยกันมาอาราธนา หรือว่ามาขอร้องให้พ่อร่วมเดินทางไปด้วย แต่พ่อก็ไม่เห็นประโยชน์ในการไปอินเดีย เพราะพ่อเป็นคนคิดมากหรือคิดน้อย ก็เป็นเรื่องของลูกจะพึงคิด เพราะว่าเงินทุกบาทที่พ่อจะใช้ลงไป พ่อก็ต้องมองประโยชน์ก่อน ถ้าบังเอิญมันจะขาดทุนนี่ พ่อไม่ใช้ แต่เงินทุกบาทจะใช้ลงไป ถามีกำไรมันถึงจะใช้กันแต่พูดถึงด้านกำไรนี่ ความจริงไม่ใช่กำไรเป็นวัตถุ ต้องเป็นกำไรในด้านความสุขของจิตใจเป็นสำคัญ เพราะว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ไม่มีสิทธิ์ในการที่จะค้าขาย แต่พ่อเองก็ทำการค้า และก็เป็นการค้าอย่างหนัก การค้าที่ทำก็คือการค้ากำลังใจ คืออะไรก็ตามถ้าเป็นเหตุให้ได้รับความสุขกายบ้าง มีความสุขใจเป็นสำคัญ อันนี้ต้องการ [/FONT]เพราะความสุขจริง ๆ น่ะมันอยู่ที่ใจ เรื่องร่างกายจะหาความสุขจริง ๆ ไม่ได้
    เพราะว่าคนทุกคนเกิดมาเพื่อทุกข์ คนทุกคนเกิดมาเพื่อเสื่อม คนทุกคนเกิดมาเพื่อตาย และความป่วยไข้ไม่สบายก็เป็นสมบัติของคน ในเมื่อร่างกายมันเป็นโรคนิทธัง มันเป็นรังของโรค ปภังคุณัง มันจะต้องเน่าเปื่อยเป็นธรรมดา ถ้าเราจะมุ่งหาความสุขทางกายกัน ก็เลยไม่ต้องได้กันละ หมดไม่มีโอกาส ฉะนั้นการค้าของพ่อก็คือ เงินทุกบาทจะซื้อความสุขทางใจ แต่ก็ไม่ใช่ความสุขทางใจของพ่อคนเดียว เป็นความสุขทางใจของลูกด้วย และก็เป็นความสุขทางใจของทุก ๆ คนด้วย แต่ความจริงก็คิดว่าไม่ใช่เฉพาะคนไทยจะเป็นคนชาติไหนก็ตาม ถ้าเป็นคนหรือดีไม่ดีก็เกื้อหนุนไปถึงสัตว์ดิรัจฉานด้วยให้มีความสุข
    [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]ตอนนี้ก็มาพูดกันถึงเรื่องที่จะไปอินเดียก่อนจะไปหลายปีมาแล้ว และก็จนกระทั่งถึงวินาทีสุดท้ายที่จะขึ้นเครื่องบินที่ดอนเมืองไปอินเดีย มีคนมาส่งข่าวอยู่เสมอ ว่า พระไทยที่ไปศึกษาในอินเดีย ปฏิบัติตนไม่อยู่ในสมณะสารรูป เรียกว่าบางท่านทำตนเลวกว่าฆราวาสเสียอีก บางองค์ก็กินเหล้า บางองค์ก็กินข้าวเย็น บางองค์ก็ไม่ประพฤติระเบียบวินัย บางองค์ก็ถือตัวเกินไปอวดดีอวดเด่น
    รวมความว่าตามข่าวจริง ๆ เขาบอกว่าพระที่ไปศึกษาที่อินเดียมีความประพฤติเลวมาก พ่อก็มานั่งคิดว่าความจริงวาทะที่บอกนี่ มีทั้งวาจาและมีทั้งหนังสือยืนยัน บอกหลักฐานบอกเหตุ พ่อก็เลยมานั่งคิดว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า นัตถิ โลเก อนินทิโต คนที่ไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก พ่อคิดถึงตัวพ่อเองก็เหมือนกันทำงานเป็นสาธารณประโยชน์ ในที่บางแห่งเอาของไปแจกให้เขา เขาก็กลับด่าย้อนหลังกับเข้ามาก็มี ในที่บางแห่งเราทำประโยชน์ใหญ่ให้ ไปสร้างถาวรวัตถุที่อยู่ที่อาศัยให้ ให้ความสะดวก เขาก็ด่าตามหลังมา และก็ไปมองดูพระพุทธเจ้าเอง พระพุทธเจ้าท่านไปไหน ท่านก็ถูกด่าทุกแห่ง พ่อก็เลยมานั่งคิดถึงพระเพื่อความเป็นธรรม ว่าพระที่ไปอยู่ที่อินเดียไม่ได้อยู่องค์เดียว อยู่ด้วยกันหลายองค์ ข่าวที่แจ้งออกมานี่เขาบอกว่าพระ แสดงว่าพระไทยทั้งหมด ก็เลยคิด
    สลดใจว่าโอหนอ เรื่องข่าวคราวทั้งหลายอาจจะมีจริงและก็ไม่จริง และการปฏิบัติของนักศึกษาพระไทยที่ไปอินเดียก็อาจจะทำตามนั้นจริง และก็ไม่จริงก็ได้
    แต่ว่าที่ไหนมีขาวที่นั่นก็ต้องมีดำ ที่ไหนมีมืดที่นั่นก็ต้องมีสว่าง เป็นอันว่าที่ไหนมีคนดี ที่นั่นก็ต้องมีคนชั่ว พ่อก็คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา จะต้องมีเป็นที่ถูกใจคนบ้าง และก็ไม่ถูกใจคนบ้าง แต่บางท่านก็มาพูดด้วยเจตนาดีว่า [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]สงสารพระไทยทั้งประเทศ และก็ต้องถือว่านักเรียนนักศึกษาที่ไปศึกษาต่างประเทศ มีสภาพคล้ายตัวแทนของประเทศไทย ถ้าพระไทยไปทำความเสียหายในต่างประเทศ พระไทยก็จะเสียหมด จริงของท่าน เรื่องนี้พ่อเห็นด้วยว่าเป็นความจริง แต่ทว่าการที่พระไทยเสียไปหมดก็ไม่แน่ใจนัก
    ฉะนั้น พ่อคิดว่าการไปคราวนี้ก็ไม่ได้ไปเรื่องของพระ และถ้าอย่างนั้นลูกจะถามพ่อว่า พ่อไปเที่ยวอย่างนั้นหรือ ถ้าพ่อตั้งใจไปเที่ยว พ่อไม่ไปเลยดีกว่า เพราะพ่ออยู่ประเทศไทยพ่อก็ย่ำแย่เต็มทีแล้ว ปีนี้มีคนเขาบอกว่าร่างกายพ่ออ้วนขึ้น แต่พ่อมีความรู้สึกว่าร่างกายของพ่ออาจจะอ้วนขึ้น แต่กำลังมันอ่อนแอลง รู้สึกหนักใจว่าชีวิตของพ่อจะมีโอกาสได้อยู่กับลูกกี่ปีก็ไม่แน่นัก ความจริงลูกทุก ๆ คนก็เป็นลูกที่น่ารักทั้งหมด พ่อรักลูกมาก ทั้งนี้ เพราะงานของพ่อทุกอย่าง มีบางอย่างที่พ่ออกปากลูกทุกคนทำเอาชีวิตเข้าเสี่ยง แต่มีงานส่วนใหญ่ที่พ่อไม่ได้ออกปากขอร้อง แต่งานนั้นควรจะพึงทำ ลูกทุกคนก็ทำทันที โดยไม่ต้องให้พ่อขอร้องกับลูก ทั้งนี้ พ่อรวมถึงพระในวัดของพ่อด้วย แต่บางที ชีวิตของพ่ออาจจะต้องจากลูกไป ไอ้ความอาลัยที่มันก็ต้องมี
    แต่ทว่าความรักความอาลัยในขันธ์ ๕ ก็ไม่ควรมี ควรจะมีความรักความอาลัยกันแต่เฉพาะในด้านของความดี แต่พ่อคิดว่าถ้าพ่อตายเป็นผี พ่อคงยังไม่ทิ้งลูก นี่จะเห็นว่าพ่อรักลูกมากเกินไปละทั้ง บางทีหลายท่านจะถือว่าเป็นอุปาทานในการยึดมั่น ถ้าถือพ่อก็ยอมรับ ทั้งนี้ เพราะว่า พ่อก็นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วนานถึง ๒[FONT=Cordia New,Cordia New],[/FONT]๐๐๐ ปีเศษ แต่ว่าภาพพจน์ขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทุกที แสดงว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์ก็มีความอาลัยรักในบุคคลที่มีความเคารพในพระองค์เหมือนกัน
    [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]ฉะนั้นความรักลูกของพ่อ ถ้าหากว่าพ่อตายไปแล้ว พ่อยังจะห่วงลูก ถ้าสามารถจะปรากฏได้ พ่อก็จะปรากฏกายให้เห็น [/FONT]ถ้าทั้งนี้ใครเขาจะหาว่าเป็นอุปาทาน พ่อก็ยอมรับ เพราะพ่อถือว่าเป็นอุปาทานที่สร้างสรรค์ความดีให้กับลูก หรือว่าเป็นอุปาทานที่ [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]พ่อนึกถึงความดีของลูกทุกคน [/FONT]นั่นเอง แต่เรื่องของความอยู่ความตายอย่าสนใจกันเลย ทุกคนต้องตาย แต่ก่อนจะตายเป็นผี เป็นคนเขาก็ควรทำตนเป็นคนดี เมื่อตายเป็นผีจะได้เป็นผีดี ผีดีคือผีที่มีความสุข ความเจริญ
    [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]การบันทึกเทปคราวนี้พ่อมีเจตนาต้องการบันทึกเก็บไว้เป็นอนุสรณ์ในความดีของลูก และในการไปลำบากยากเข็ญด้วยกันในที่ทุกสภาพของลูกกับพ่อ ลูกรักทุกคนเป็นคนนับถือพระพุทธศาสนา เวลานี้พ่อก็พูดได้เต็มปากว่าลูกของพ่อทุกคนเป็นผู้ทรงอภิญญาเล็กและก็ทรงวิชชาสาม นี่[/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2009
  2. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    พูดกันระหว่างพ่อกับลูก และวิชชาทั้งสองประการนี่ลูกรัก ลูกอย่าไปเมากิเลสว่าได้แล้ว จงอย่าคิดว่าตัวดี ขณะใดที่ยังมีขันธ์ ๕ อยู่ มันไม่มีอะไรดีหรอกลูก
    ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าความดีที่เราได้จากพระพุทธศาสนา เมื่อมีร่างกายอยู่จงอย่าคิดว่าดี และก็จงอย่าตำหนิว่าเลว จงใช้พุทธภาษิต บทหนึ่งว่า อัตตนา โจทยัตตานัง จงตักเตือนตนของตนเองไว้เสมอว่าเรายังไม่ดี ขณะใดถ้ามีขันธ์ ๕ ขณะนั้นมันก็ไม่ดี การไปอินเดียคราวนี้ก่อนจะไปพ่อก็ให้ลูกทุกคนใช้กำลังใจพิสูจน์พระพุทธศาสนาก่อน และก็ใช้กำลังใจพิสูจน์สถานที่ก่อน การไปคราวนี้ก็มีความหวังอยู่อย่างหนึ่งว่า ต้องการให้ลูกทุกคนของพ่อพิสูจน์กำลังที่ลูกได้จากพระพุทธเจ้าคือคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าที่เรารู้ไว้ก่อนกับที่ไปเห็นของจริงมันเหมือนกันไหมการลงทุนครั้งใหญ่ของคณะมีความประสงค์เพียงเท่านี้ สิ่งที่จะได้ติดตามมาอีก นั่นเป็นผลกำไร
    ที่วัดไทยพุทธคยา พ่อมองดูพระไทยที่ไปเรียนพระพุทธศาสนา พ่อมีความรู้สึกอยู่อย่างหนึ่ง ว่าพระพุทธศาสนาจริง ๆ นี่ เราเรียนกันในเมืองไทย รู้สึกว่าจะได้ละเอียดกว่าเพราะว่าพระพุทธศาสนาเกิดในประเทศแขก ที่แขกบอกว่านับถือพระพุทธศาสนา แต่ความรู้จริง ๆ แขกรู้ไม่เท่าไทย ทั้งนี้เพราะว่าแขกอาจจะรู้จากตำรา มีเรื่องที่หลวงพ่องงอยู่นิดหนึ่ง ที่ว่างงก็เพราะว่ามีพระไทยเราไปศึกษามงคลในเมืองแขก เขาว่าเมืองแขกมีมงคลถึงขั้นด๊อกเตอร์ ศึกษาแต่มงคลอย่างเดียวถึงขั้นด๊อกเตอร์ แต่ความจริงถ้าพระไทยไปศึกษามงคลของแขกเพื่อจะไปศึกษาดูว่าแขกเขามีอะไรเป็นพิเศษในเรื่องของมงคล ศึกษาเพื่อเป็นการวัดความรู้ พ่อก็เห็นด้วย เพื่อเป็นการรู้รอบตัว
    แต่ว่ามงคลจริง ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้วว่าเป็นมงคลอย่างแท้ไม่ใช่มงคลนักคิด มงคลนักคิดของเมืองแขก องค์สมเด็จพระสามิสคือพระพุทธเจ้าทรงหักล้างไปแล้ว ฉะนั้นมงคลจริง ๆ ของเรามีอยู่แล้ว แต่พระไทยไปศึกษามงคลที่นั่น ก็รู้สึกแปลกใจ แต่ว่าศึกษาเพื่อเป็นความรู้รอบตัว ก็ไม่มีอะไรจะต้องคิด ความจริงมงคล ๓๘ ประการก็เป็นมหามงคลใหญ่ ถ้าจะเทียบกับมงคลจริง ๆ ก็เป็นด๊อกเตอร์เหมือนกัน ถ้าเป็นอรหันต์ ไม่เป็นด๊อกเตอร์ก็ซวยเต็มที
    การไปอินเดียคราวนี้ พ่อไปพบความร้อน ๑๐๒ องศาฟาเรนไฮด์ มันก็ร้อนน่ารัก ตอนนี้คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีผล ด้วยองค์สมเด็จพระทศพลตรัสไว้ในวินัย พระองค์บอกว่า ถ้าร้อนจัดกลางวันให้ปิดหน้าต่างเสีย เปิดแต่น้อย ถ้าหนาวจัดกลางวันให้เปิดหน้าต่างให้กว้าง คำสอนนี้ได้ผลในเมืองแขกจริง ๆ ลืมคุยกับลูกไปนะว่า พระสงฆ์ที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา หลักเกณฑ์ในการที่จะต้องทำจริง ๆ มีอยู่ ๓ ประการ คือ ๑. ทรงศีลบริสุทธิ์ ๒. ทรงจิตเป็นฌานสมาบัติ ๓. มีปัญญาวิปัสสนาญาณเข้มแข็ง ไม่ติดอยู่ในโลกธรรม และก็ไม่ติดอยู่ในขันธ์ ๕
    หลักเกณฑ์หรือว่ากฎในการบวชในพระพุทธศาสนามี ๓ อย่างเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมาก การจะรู้จากตำรับตำรามาหรือน้อยไม่สำคัญ สำคัญว่าทรงคุณธรรม ๓ อย่างนี่ครบถ้วนไหม
    ถ้าทรงศีลบริสุทธิ์ได้อย่างเดียว เขาเรียก สาธุชน หรือคนดีหมายถึงว่ามีอาการ ๓๒ ครบไม่บกพร่อง
    ถ้าได้ฌานสมาบัติ ก็เรียกว่า กัลยาณชน [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]กัลยาณชน ดีแล้วก็งามอีกด้วย หมายถึงผิวพรรณงาน มีเครื่องประดับดี
    ถ้ามีปัญญาฉลาดในการตัดกิเลส ท่านเรียกอารยชน เป็นคนประเสริฐ ดีด้วย และก็สวยงามด้วย และทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเศร้าหมอง คือมีอาการประเสริฐทั้งกาย วาจา และใจ
    ฉะนั้น หลักสูตรในพระพุทธศาสนามีเท่านี้ ถ้าทรงคุณธรรมได้ทั้ง ๓ ประการก็ดี พ่อจึงเห็นว่าการทรงตำราจะมากสักเท่าไรก็เป็นของดี ไม่ใช่ของเลว แต่ทว่าถ้าติดตำราเกินไป และก็เมาตำรา เขาเรียกกันว่าเสือกระดาษ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงเรียก ท่านสุธรรมเถร ว่า เถรใบลานเปล่า หรือว่า ขรัวในลานเปล่า คือ ท่านสุธรรมเถรท่านทรงพระไตรปิฏกอวดตนว่าเป็นคนรู้ในพระไตรปิฏก ท่านดูถูกแม้กระทั่งท่านพระโมคคัลลาน์ และท่านพระสารีบุตร ท่านอิจฉาริษยาทั้งสองท่านที่เป็นอัครสาวก เพราะท่านทะนงตนว่าฉันก็คนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นอัครสาวกก็ไม่วิเศษกว่าฉัน ในพระพุทธศาสนานี้ไม่มีอะไรเกินพระไตรปิฏก ความรู้มีเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อท่านมีความรู้ในพระไตรปิฏกครบถ้วน ท่านก็เลยทะนงตนว่าท่านเป็นผู้วิเศษ
    แต่ว่าพระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าเถรใบลานเปล่าหรือขรัวใบลานเปล่า ก็เพราะว่าการทรงพระไตรปิฏกเป็นการอ่านหนังสือจำได้ แต่ว่าการประพฤติปฏิบัติยังทำไม่ได้ ก็เหมือนกับแม่ครัวที่เก่งตำรากับข้าว ทำขนม ทำอาหารในด้านของตำรา จำตำราได้แต่ยังไม่ได้ทำกิน ฉะนั้นตำราของแม่ครัวก็ยังไม่มีประโยชน์ฉันใด แม้ในเรื่องของพระพุทธศาสนาก็เหมือนกัน ถ้าจะทรงพระไตรปิฏกหรือว่าจำทุกอย่างได้หมดตามคำสอนทั้งบาลีที่เป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี อรรถกถาเป็นการอธิบายจากพระอรรถกถาจารย์ก็ดี จำได้หมด ของพระพุทธเจ้าก็จำได้ ของคนอื่นอธิบายก็จำได้ แต่ว่ายังปฏิบัติศีลบริสุทธิ์ไม่ได้ มีสมาธิสมบูรณ์แบบไม่ได้ ไม่สามารถจะตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน อันนี้ องค์สมเด็จพระพิชิตมาร คือพระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าเถรใบลานเปล่า คือไม่มีความหมายในพระพุทธศาสนา
    ตอนเย็นวันที่ไปที่ต้นโพธิ์ที่พุทธคยา วันนั้นพ่อกำลังเพลียมาก พ่อเป็นโรคความดันต่ำ ความดันต่ำนี่มันแพ้ความร้อน เกิดความร้อนจัด เส้นโลหิตมันพองตัวขึ้นมา การสูบฉีดโลหิตมันขึ้นไม่ถึงสมองก็เกิดอาการเพลีย ร่างกายทั้งหมดมันก็เพลีย พ่อก็คิดในใจว่าวิชาความรู้ที่พ่อสอนลูกไว้ เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้า ถ้าเราจะไม่ต้องไปที่ต้นโพธิ์ เราก็อาจจะรู้ได้ อาศัยความดีที่พระพุทธเจ้าทรงมอบหมาย แต่ทว่าถ้าไม่ไป เราก็จะไม่พบความจริง เพื่อเป็นการยืนยัน ตอนที่ถึงต้นโพธิ์ เราก็จะทราบว่าแขกมีความรู้ในพระพุทธศาสนาจริง ๆ หรือเปล่า คือเรื่องวัตถุเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ไม่ต้องเอาการปฏิบัติ เพราะว่าการรู้วัตถุในพระพุทธศาสนาจริงหรือไม่จริง มันแสดงถึงผลการปฏิบัติ ไปที่นั่นเมื่อทำวัตรเสร็จ แต่ความจริงเรื่องสวดมนต์มาก ๆ นี่พ่อไม่ค่อยเอาหรอก ไม่ใช่ไม่เลื่อมใสในการสวดมนต์
    เมื่อหนุ่ม ๆ ก็ขยันสวด แต่ตอนแก่แรงมันไม่มี พ่อก็สวดไม่กี่บท บทที่ทิ้งไม่ได้ก็ คือ บทอิติปิโสภควา เพราะว่าเป็นการสรรเสริญคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตรง พ่อถือภาวนาเป็น
    [/FONT]
     
  3. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    ปัจจัย พ่อถือว่าแรงพ่อไม่มีลูกรัก ในเมื่อแรงไม่มี สวดมนต์ไม่ไหวก็ใช้ภาวนาแทน เรื่องภาวนาหรือพิจารณาพ่อทำได้ตลอดเวลาตื่น คือตลอดเวลาตื่น จิตมันก็เป็นอัตโนมัติ มันก็ทรงตัวของมัน เพราะทำจนชิน เราทำอย่างอื่นไม่ได้ เรามาทำอย่างนี้เป็นการทดแทนกัน ขณะที่พระท่านเริ่มสวดมนต์ จิตพ่อก็เข้านิ่งสนิทจับจุดตามปกติของจิตเป็นวิสัยเดิม คือว่าพอได้ยินใครเขาพูดเรื่องธรรมะหรือว่าพอได้ยินเสียงสวดมนต์ จิตก็จะจับเข้าสู่อุปจารสมาธิ หรือว่าเป็นฌานสมาบัติ ถ้าจิตเข้าไปสู่อุปจารสมาธิ ก็จะทำงานทันที ถ้าจิตเป็นฌานสมาบัติ ก็จะเป็นอารมณ์สงบ
    แต่วันนั้นร้อนจัด เพลียด้วย และก็นั่งอยู่ในที่นั้นจิตก็เป็นฌานสมาบัติอยู่นิดหนึ่ง แล้วก็ถอยมาเป็นอุปจารสมาธิเป็นกิจที่พึงจะต้องทำ พ่อฟังไปแล้วจิตเห็นภาอันหนึ่งว่า ก่อนที่องค์สมเด็จพระชนสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ก่อนจะออกจากพระราชนิเวศน์องค์สมเด็จพระทศพลทรงได้มอบสร้อยพระศอให้แก่พระนางกีสาโคตมี พระน้านางซึ่งเลี้ยงพระองค์แทนพระมารดา เพราะว่าพระมารดามรณภาพเสียตั้งแต่เมื่อคลอดพระองค์ได้ ๗ วัน ทั้งนี้เพราะว่าครรภ์ใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรได้เกิด ครรภ์นั้นเด็กคนอื่นไม่ควรจะมาเกิดด้วย และหลังจากนั้นเวลากลางคืนได้ทราบข่าวว่า พระนางพิมพาคลอดพระราชโอรส ความจริงพระนางพิมพาก็สวยงามมากลักษณะสวยจริง ๆ เป็นผู้หญิงที่มีความสวยสมบูรณ์แบบ องค์สมเด็จพระบรมสุคตทรงวาจาว่า “ปิยบุตะ ว่าบุตรที่รัก ปุตตังชีเว ห่วงผูกคอมันเกิดขึ้นแล้วหนอ”
    แต่วันนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงตัดสินพระทัยว่า จะหนีออกไปสู่มหาภิเนษกรมณ์ ทั้งนี้ก็อาศัยความอุ้มชูของเทวดา ในขณะที่องค์สมเด็จพระชินสีห์เสด็จออกจากพระราชนิเวศน์ พระองค์ทรงแต่งตัวแบบกษัตริย์ แพรวพราว สีมันระยับ พระวรกายสวยสดงดงามมาก พระรูปโฉมสวยจริง ๆ เป็นคนโปร่ง ๆ ผิวขาว ลกษณะสวยอิ่มเอิบหมดทั้งกาย หน้าตาหาจุดบกพร่องอะไรไม่ได้ สวยจัด องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ทรงม้ากัณฑกะ มีนายฉันนะจูงม้าข้างหน้า น้ำพระทัยของพระองค์มีความเข้มแข็งและก็เด็ดเดี่ยว มุ่งหน้าจะเอาพระโพธิญาณให้ได้ ฉะนั้นการเดินทางไปของนายฉันนะกับม้าจึงไปด้วยการเหยาะย่าง วิ่งหย่อง ๆ แต่ว่านายฉันนะเป็นคนมีกำลังมาก ถือเชือกม้า ม้าก็เหยาะย่างมาตามจังหวะ มาชนิดที่เรียกว่าไม่รีบจนเกินไป ไม่ใช่ม้าวิ่ง ม้าเดินเหยาะย่างมาตามจังหวะออกมาจากเขต ั
    พอถึงจุดหนึ่งซึ่งไม่ใช่ที่ต้นโพธิ์ จะเป็นคยาศีรษะหรืออะไรพ่อจำไม่ได้ เห็นบริเวณพื้นกว้างใหญ่ไพศาล เป็นลานสวย มีสนามหญ้า มีแม่น้ำใสสะอาด เป็นกลางเดือนหก สมเด็จพระภควันต์ก็ประทับจับพระขรรค์ตัดพระเกศา ตัดทีเดียวขาด อาศัยที่เป็นอัจฉริยะมนุษย์ ด้วยอำนาจเทวดาช่วย พระเกศาก็ขดเป็นวงกลม เป็นทักษิณาวัตรเวียนขวาเกาะติดหนังของพระองค์ มองดูแล้วก็คล้าย ๆ กับว่าคนปลงผม และนับตั้งแต่วันนั้นถึงปรินิพพาน องค์สมเด็จพระพิชิตมารไม่เคยปลงผม เพราะผมไม่ยาวออกมาอีก มองแล้วเหมือนพระโกน แล้วก็มีผมเกรียนติดศีรษะ รวมความว่าศีรษะโล้นนั่นเอง
    ฉะนั้นการทำพระพุทธรูปที่มีมวยผมข้างบนจึงผิดไม่ถูก อันนี้พ่อขอยืนยัน ขอลูกทุกคนจงพิจารณาตามนั้นด้วย แล้วองค์สมเด็จพระภควันต์ก็ทรงมอบเครื่องแต่งตัวให้แก่นายฉันนะ พระองค์รับเครื่องสักการะ คือเครื่องทรงของพระมีสบงจีวร จากพรหม ตอนนี้พรหมแสดงตนเป็นพรหมจริงๆ เห็นเป็นพรหมชัด เมื่อถวายขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์แล้ว พระองค์ก็ทรงฉลองพระองค์มีสบง จีวร สังฆาฏิ รัดประคดเอว อังสะ เป็นต้น และก็มีบาตรให้แก่องค์สมเด็จพระทศพล บาตรก็เป็นบาตรดินธรรมดา แต่คงจะสร้างด้วยกำลังของพรหม คงจะเป็นนิมิต พรหมคงไม่ขยันปั้นบาตร เวลามีพระพุทธเจ้าเสด็จออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ ก่อนจะออกผนวชรู้สึกว่า เทวดาและพรหมห้อมล้อมกันมาแสดงเทวทูตให้ปรากฏ จนกระทั่งองค์สมเด็จพระบรมสุคตทรงเห็นว่า ความตายมีได้ คุณ
    ธรรมที่ทำให้คนไม่ตายก็ต้องมี แต่ว่าเวลานั้นพระองค์จะเห็นเทวดาหรือไม่พ่อก็ไม่ทราบ
    หลังจากนั้นม้ากัณฑกะซึ่งเป็นม้าคู่บารมีก็ตาย นายฉันนะก็ร้องไห้เดินกลับวัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสวงหาด้วยทางจิต แสวงหาไปก็ต้องศึกษาก่อนไปศึกษาจากสำนักพราหมณ์ สำนักไหนที่เขาว่าดี องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ไปที่นั่น สุดท้ายไปสำนักอาฬารดาบส และอุทกดาบส ทั้งสองท่านสอนให้ได้สมาบัติ คือรูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ การศึกษานี้องค์สมเด็จพระมหามุนีใช้เวลาเล็กน้อย เพราะว่าปัญญาพระองค์ดีมาก ทรงจำดีมา มีความขยันหมั่นเพียรดี ศึกษา และก็ทำได้ดีกว่าทุกคนในสำนักนั้นจนกระทั้งอาจารย์ทั้งสอง คืออาฬารดาบส และอุทกดาบส อยากจะให้เป็นครูสอนแทน แต่พระองค์ก็ไม่เอาจึงออกป่า
    ตอนนี้เองก็มีท่านพราหมณ์ ๕ ท่าน คือท่านโกณฑัญญะ ท่านวัปปะ ท่านภัททิยะ ท่านมหานามะ ท่านอัสสชิ ทราบข่าวว่าพระพุทธเจ้าออกแสวงหาพิเนษกรมณ์ ก็พากันออกบวช โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอัญญาโกณฑัญญะ เป็นพราหมณ์องค์ที่ ๕ ในจำนวนพราหมณ์ ทั้ง ๕ องค์ และหนุ่มที่สุด ที่เข้าทำนายลักษณะพยากรณ์ว่าสิทธัตถะราชกุมารจะต้องเป็นศาสดาเอกในโลก ทายอย่างเดียว แต่พราหมณ์อีก ๔ องค์ทายว่าถ้าเป็นฆราวาสจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าได้บวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้าคือเป็นศาสดาเอกในโลก คำว่าศาสดาแปลว่า ครู
    ในเมื่อได้ยินข่าวพระพุทธเจ้าทรงออกผนวช ท่านทั้ง ๕ ก็ติดตามออกบวชมาปฏิบัติตอนนั้นองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ทรงแสดงภาพให้ปรากฏ ถึงการทรงทรมานพระกายที่พราหมณ์นิยมกันว่า การบรรลุมรรคผลชั้นสูงจริง ๆ ได้ตั้งอยู่ในการทรมานกาย กินแต่น้อย ๆ นอนน้อย ๆ นั่งน้อยๆ ยืนน้อย ๆ เดินน้อย ๆ เป็นอันว่าทรมานไม่ค่อยจะนอนก็แล้วกัน มีนั่งมากกว่ายืน กว่าเดิน กินก็น้อย จนกระทั้งเลิกกิน ดูภาพขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ ทรงทรมานพระกายตอนนั้น ผอมจริง ๆ เวลาจะไปสรงน้ำก็เดินซวนไปซวนมา บางครั้งท่าน ๕ ฤาษี ต้องเข้าประคอง แต่ว่าท่านก็ทรงอดทนมาก ทำอยู่อย่างนั้นใช้เวลานาน ๖ ปี ตั้งแต่วันออกผนวช จนกระทั่งวันบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงทรงมาดำริว่า การบรรลุมรรคผลคงไม่ใช่การทรมานตน จึงได้ทรงเสวยพระกระยาหารใหม่
     
  4. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    ตอนนี้ดูภาพ ตอนที่ทรงเสวยพระกระยาหารใหม่ คือกินเต็มที่ให้ร่างกายอ้วนพี พระองค์ทรงเห็นว่าความดีที่จะพึงได้อาจจะมาจากทางใจ ไม่ใช่ทางกายเพราะทางกาย นอกจากทรมานกาย เรียกว่านอนน้อย กินน้อย เดินน้อย มีนั่งมาก แล้วก็ยังกลั้นใจ เอาลิ้นกดเพดานจนถึงกับลมออกหูอู้ เป็นอันว่าร่างกายมันก็จะตาย ก็กลับคิดว่าทางใจคงจะดี เป็นเหตุให้ฤาษีทั้ง ๕ ไม่พอใจ เห็นว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นผู้มักมากในอาหาร การที่จะสำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นไปไม้ได้ คงไม่เป็นไปตามวิสัยที่พราหมณ์ต้องการ จึงหนีองค์สมเด็จพระพิชิตมารไปสู่ป่าอิติปตนฤมคทายวัน
    ตอนนี้ดูภาพท่านทั้ง ๕ เวลาก่อนจะไป ท่านก็ชี้หน้าและว่าต่าง ๆ ปรามาสองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า สิทธิธัตถะท่านหมดหวังที่จะได้เป็นศาสดาเอกในโลก เพราะท่านกลับมามักมากในกามคุณ เราไม่เห็นด้วย เราไม่ช่วยประคับประคอง เราไปละ ท่านก็ไปด้วยความโมโหโทโสกันทั้ง ๕ มีท่านอัญญาโกฑัญญะพราหมณ์เป็นหัวหน้า เรื่องของเรื่องก็ต้องตามใจท่าน ท่านอยากจะโกรธซะอย่าง ใครจะไปห้ามความโกรธ เป็นอันว่าเมื่อท่านไปแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ต้องเลี้ยงตังเอง เวลาจะเดินไปบิณฑบาตก็เดินโซซัดโซเซ แต่ว่าแข็งกำลังพระทัย อาศัยที่ได้ฌานสมาบัติก่อนองค์สมเด็จพระชินวรใช้ฌานสมาบัติเข้าช่วยเวลาที่จะไปบิณฑบาต เวลาที่จะเดินกลับ จะไปตักน้ำ จะไปอาบน้ำ จะต้องทำทุกอย่างด้วยพระองค์เองทั้งหมด
    ดูภาพขององค์สมเด็จพระบรมสุคตตอนนั้นลูรัก พ่อรู้สึกสงสารสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง ๆ แต่ว่าถ้าพระองค์ทำเพื่อพระองค์เองนะ ไม่หวังสงเคราะห์คนอื่น พ่อก็ไม่รู้สึกอะไรมากนัก แต่นี่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทำเพื่อสันติสุขของบุคคลอื่นด้วย ช่วยพระองค์เองด้วยและก็ช่วยคนอื่นด้วย แต่ว่าผลความดีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ได้มาด้วยความลำบาก คนที่ประกาศว่าเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พ่อรู้สึกสลดใจที่มาเป็นเณรใบลานเปล่ากันเสียมาก แล้วก็ใช้ผ้ากาสาวพัสตร์ขององค์สมเด็จพระบรมสุคตเป็นเครื่องหลอกลวงคน แต่ทั้งนี้ลูกก็อย่านึกว่าทุกท่านที่ทรงผ้ากาสาวพัสตร์ไม่ดีไปทั้งหมด ที่ดีจริง ๆ ก็มีมาก ที่หลอกลวงก็มีมาก คนชั่วก็มี คนดีก็มา คนชั่วหายาก คนดีถมไป ท่านว่าอย่างนี้นะลูก
    ต่อมาตามภาพนั้นท่านแสดงเร็ว องค์สมเด็จพระพิชิตมารก็มีพระวรกายดี ร่างกายเริ่มแข็งแรง มีเนื้อมีหนังดี คนที่เขาใส่บาตรองค์สมเด็จพระชินสีห์ เขาก็เรียกว่า สิทธัตถะร่างกายดีแล้วหรือ สิทธัตถะสมบูรณ์ขึ้นแล้ว สิทธัตถะผ่องใสแล้ว เวลาที่ท่านไปบิณฑบาตชาวบ้านเขาก็พูดกันอย่างนั้น ท่านก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ แต่ทุกคนเขาไม่โกรธว่าท่านจะอดข้าวหรือฉันข้าว เขาไม่ว่าอะไร เขาเลื่อมใสในจริยาของพระองค์ ก็มีอยู่มากคนด้วยกัน ที่เวลาองค์สมเด็จพระพิชิตมารเสด็จกลับบางคนก็ตามมาปฏิบัติให้ความสะดวก เขาช่วยท่าน ท่านก็ไม่ว่า เขาไม่ช่วยท่าน ท่านก็ไม่ตามใคร เป็นอันว่าในกาลต่อมา องค์สมเด็จจอมไตรมีร่างกายสมบูรณ์ ตอนนั้นนั่งอยู่ที่โคนต้นไทรใกล้ ๆ ต้นโพธิ์ มีสาขาใหญ่ เวลานั้นนางสุชาดาไม่มีลูก อยากจะมีลูก บนรุกขเทวดาไว้ เมื่อมีลูกแล้ว
    ครั้นเมื่อนางบุณทาสีมาเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็กลับไปบอกนางสุชาดาว่า รุกขเทวาดกำลังต้อนรับเจ้าแม่ค่ะ ภาพปรากฏว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรมีร่างสมบูรณ์บริบูรณ์ ผิว
    พรรณสวยสดงดงามมาก น่ารักสดชื่น สวยกว่าคนธรรมดา เป็นอันว่าหน้าท่านสวย ผิวท่านสวย ปากแดง ส่วนที่จะดำก็ดำสนิท ส่วนที่จะแดงก็แดงสินท กลมกลืนสวยจริง ๆ เมื่อรับข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดาแล้ว ก็ทรงเสวยข้าวมธุปายาส เมื่อหมดแล้ว ตามภาพนั้น องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถก็ทรงนำถาดทองคำไปลอยที่แม่น้ำเนรัญชรา เวลานั้นเป็นเวลาน้ำหลากไหลเชี่ยว ทรงอธิษฐานอย่างเดียวว่า ถ้าหากว่าเราจะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ขอให้ถาดนี้ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป ก็เป็นของอัศจรรย์ผงและต้นหญ้า ท่อนไม้ที่ไหลมาไหลลิ่วตามน้ำ
    แต่ว่าถาดทองคำไหลทวนน้ำขึ้นไปได้อย่างอัศจรรย์ ไประยะยาวพอสมควรไกลประมาณ ๗ เมตร ถาดก็จม จมลงไปซ้อนกันที่วิมานของพระยากาลนาคราชอยู่เมืองบาดาล แกนอนหลับสบาย พอถาดขององค์หนึ่งกระทบดังแกร๊ก ก็ลืมตา นี่นอนยังไม่ทันจะเต็มตื่น พระพุทธเจ้าตรัสอีกองค์แล้วรึ อะไรเดี๋ยวองค์ เดี๋ยวองค์ ตรัสบ่อยจริงๆ แล้วก็หลับต่อไป
    หลังจากที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับจากลอยถาดแล้ว พอมาถึงปรากฏว่ามีพราหมณ์เอาหญ้าคามาถวาย ๘ กำ ด้วยกัน องค์สมเด็จพระภควันต์ก็ทรงเอาหญ้าคาปูลาดไปบนแท่นหิน หินนะไม่ใช่แก้วหรือไม่ใช่แท่นเพชร ที่เรียกกันว่าแก้ว ๆ เขาแปลว่าของดี อย่างพ่อแก้วก็แปลว่าพ่อดี แม่แก้วก็แปลว่าแม่ดี สำหรับพระแท่นที่พระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่ง และทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ไม่ใช่แท่นที่ใครสร้างให้ ไม่มีรูปร่างเป็นแท่น ความจริงก็เป็นก้อนหินธรรมดา เป็นก้อนหินที่มีสันนูนขึ้นมา มีที่เรียบพอเล็กน้อย ตามริมทุกด้านมีรอยลู่ลง เรียกว่าด้านบนนั่งสบาย ๆ เป็นแท่นหินเรียบ ไม่ใช่เป็นแผ่น พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงเอาหญ้าคาขึ้นไปวางบนนั้น ทำให้นิ่มขึ้นมาหน่อยหนึ่ง หญ้าคาตอนนั้นเป็นสีขาว ๆ พ่อสงสัยว่าจะเป็นกำหญ้าคาที่มีความแห้งดีแล้วสีขาว ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ประทับนั่งบนหญ้าคาเหนือแท่นหินขึ้นมา เพราะหญ้าคาคลุมหิน
    คุยกันไปตามภาพ เวลานั้นจะเห็นว่าองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีความเปล่าเปลี่ยวเป็นอย่างมาก ถ้าเราจะคิดอย่างคนธรรมดานะ เพราะว่าปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ท่านก็ไปเสียแล้ว และองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน ป่าก็เต็มไปด้วยความเงียบสงัด เสียงสัตว์ทุกชนิดร้องตามจังหวะ กระแสน้ำก็ไหล ลมพัดมาคราวไร ใบไม้ก็เสียงเกรียวกราว มองมาดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเสด็จประทับอยู่พระองค์เดียว แต่ว่าการนั่งอยู่องค์เดียวเพื่อการแสวงหาประโยชน์ปัจจุบัน นั่นก็คือจะนั่งดูทรัพย์สมบัติก็น่าตำหนิ หรือก็ไม่น่าสงสาร แต่นี่องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงทรมานพระองค์อดข้าว อดน้ำ แล้วก็มานั่งเปล่าเปลี่ยวอยู่องค์เดียว เคยเป็นกษัตริย์อยู่ในพระราชฐานกษัตริย์เวลานั้นก็มีพระราชอำนาจมาก และพระองค์ก็มีความสมบูรณ์พูนสุข อีก ๗ วัน หลังจากออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ ก็จะมีโอกาสได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แต่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ก็ไม่ต้องการอย่างนั้น
    มาตอนนี้ภาพจริง ๆ ที่ปรากฏกับจิต ภาพตอนนี้สวยจริง ๆ ลูกรัก เห็นองค์สมเด็จพระธรรมมามิสทรงเสด็จประทับนั่งหันหลังเข้าต้นโพธิ์ ทรวดทรงของพระองค์ก็ดี ผิวพรรณก็สดสวย ลีลา
     
  5. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    การเยื้องกรายก็น่าเลื่อมใส พระองค์ทรงพระกายตรง นั่งขัดสมาธิมือขวาทับมือซ้าย เท้าขวาทับเท้าซ้าย มองไปอีกทีปรากฏว่าเวลานั้น เทวดาและพรหมก็มายืนเรียงรายรอบ ๆ อยู่บนอากาศก็รอบ ๆ เห็นบรรดาเทพธิดาและเทพบุตรทั้งหลายโปรยปรายดอกไม้บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างคนต่างก็พนมมือกันทั่วจักรวาล จะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยเทวดาและพรหม เวลานั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองจะทรงเห็นเทวดาและพรหมหรือไม่ พ่อก็ไม่ทราบเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าภาพปรากฏขณะนั้น
    ในขณะเดียวกัน องค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ทรงตั้งพระทัยคิดว่าเราจะนั่งตรงนี้ และเราจะไม่ยอมลุกจากที่นี้ ถึงแม้เลือด และเนื้อของเราจะเหือดแห้งไปก็ตามที หรือว่าชีวิตินทรีย์จะตักษัยก็ตาม คือว่ามันจะผอม หรือมันจะตายก็ช่างมัน ถ้าเราไม่ได้สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด เราจะไม่ยอมลุกจากตรงนี้ คือให้มันตายไปเสียเลยดีกว่า เพราะการบำเพ็ญมาสิ้นเวลา ๖ ปี ถ้าไม่ได้ก็จงตายเสียเถิด อันนี้ต้องเรียกว่า เป็นพระราชดำริของพระราชทรงพระนามว่าสิทธัตถะ เวลานั้นยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นอันว่าเมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงตัดสินพระทัยแล้ว เพราะอาศัยที่พระองค์เคยทรงสมาบัติ ๘ มาก่อน การรวบรวมกำลังใจจึงเป็นของไม่ยาก แต่ดูเหมือนจะมีเสียงบอกว่า คำว่า ไม่ยากคือ ไม่ยากแก่การตัดสินใจ แต่ว่ามีอารมณ์ใจยากอยู่นิดหนึ่ง ขณะที่นั่งลงไปใหม่ ๆ คิดในใจว่า เราจะทรงอารมณ์แบบไหน ถึงจะตรงกับการได้พระโพธิญาณ
    และในขณะนั้นเอง ความโปร่งจิตขององค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ปรากฏ เมื่อปรากฏตามนั้นแล้ว อารมณ์ก็โปร่งขึ้นมา ปัญญาก็เกิด คิดว่าอันดับแรกเราจะต้องทรงสมาธิก่อนให้จิตเป็นสุข ให้จิตมีการทรงตัว จึงได้เริ่มจับอานาปานุสติกรรมฐาน ทรงอารมณ์อยู่เป็นปกติ ใช้เวลาไม่นาน เริ่มตั้งกำลังใจเพียงแค่ครึ่งวินาทีอารมณ์จิตขององค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงสงัดจัดเป็นฌาน ทีแรกขึ้นเป็นฌานต้นทีเดียวถึงฌาน ๘ ทรงอารมณ์สบายอยู่ในสมาบัติ ๘ จิตสงบสงัด มีอารมณ์เป็นสุขมาก ในชั่วขณะเวลาผ่านไปประมาณสัก ๑ ชั่วโมงเศษ พ่อขอคุยกับลูกตามคำบอก จะเรียกว่าพูดตามพากย์ก็ได้ เวลาผ่านไปประมาณชั่วโมงครึ่ง ความสุขเกิดขึ้นจากสมาธิ อารมณ์เด็ดเดี่ยวเป็นอุเบกขารมณ์เกิดขึ้นจากสมาธิ ใจมีความปลอดจากกิเลส
    ตอนนั้นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์จึงได้ลดกำลังของสมาธิ ค่อย ๆ เลื่อนจากสมาบัติข้อที่ ๘ มาถึงข้อที่เรียกว่า อากิญจัญญายตนะ ลดลงมาถึงข้อที่ ๖ เรียกว่า วิญญาณณัญจายตนะ ลดลงมาข้อที่ ๕ เรียกว่า อากาสนานัญจายตนะ ค่อย ๆ ลดมาทีละน้อยลดลงมาถึงข้อที่ ๔ ที่เรียกว่า จตุตฌาน ลดลงมาถึงข้อที่ ๓ ที่เรียกว่า ตติยฌาน ลดลงมาถึงฌานที่ ๒ ที่เรียกว่า ทุติยฌานลดลงมาถึงฌานที่ ๑ ที่เรียกว่า ปฐมฌาน ลดลงมาถึงอุปาจารฌาน การลดลงมาก็ชื่อว่าจะลองเล่นกำลังฌาน ว่ากำลังจิตจะใช้กำลังได้ดีหรือไม่ เพราะทิ้งมานาน ลดลงมาถึงอุปจารสมาธิ แล้วขึ้นไป ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ แล้วก็ ๘ ๗ ๖ ๕ ๔ ๓ ๒ ๑ วิ่งไปวิ่งมา วิ่งมาวิ่งไป ใช้เวลาสักประมาณ ๑ ชั่วโมง ก็ปรากฏว่าถอยหลังมาอยู่ในอุปจารสมาธิใช้อารมณ์ตัดสินใจว่า คำว่า คำว่าพระโพธิญาณ มีสภาวะเป็นประการใด กิเลสทั้งหลายที่เข้ามาขัดข้องจิต ทำให้ทุกคนเห็นผิดเป็นถูกข้อนั้น มีอะไรบ้าง ขอจงปรากฏกับจิตของเรา
    ตอนนั้นปรากฏว่า อารมณ์จิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่จะตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน กลับเกิดปุพเพนิวาสานุสติญาณ การระลึกชาติได้ ตอนนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเห็นจิตในจิต คือมีความสว่างไสว จิตเป็นประกายพรึกขึ้นมาสว่างออก สภาวะต่าง ๆ คือเทวดาก็ดี พรหมก็ดี ที่แวดล้อมอยู่เวลานั้น ที่ยืนอยู่ใกล้ภาคพื้นดินก็ดี บนอากาศก็ดี ถือดอกชบาทำสักการะ เป็นอันว่าปรากฏแก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชัดทั่วจักรวาล เป็นเหตุให้พระองค์มีจิตเบิกบานว่า โอหนอ คำว่าพระโพธิญาณ คงจะสำเร็จแก่เราในตอนนี้ เป็นกำลังใจให้องค์สมเด็จพระชินสีห์ได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ
    ตอนนี้เห็นเทวดาก็ดี พรหมก็ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีอาการสดชื่นมาก พรหมบางท่านเข้ามาถวายงานพัดอยู่ใกล้ ๆ เทวดาทั้งหลายยืนล้อมรอบ และก็ลอยในอากาศล้อมรอบ ทรงสดชื่นมาก ทรงถอยหลังชาติไม่มีเหตุจำกัด ก็ทรงทราบว่าองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ได้เคยเกิดมาเป็นอะไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติไหนที่เคยไปรับพระพุทธพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็พระพุทธเจ้าชื่ออะไรพยากรณ์ว่าอย่างไร กิจใดทำไว้ ทราบชัดหมด
    ตอนนี้เป็นกำลังใจขององค์สมเด็จพระบรมสุคตว่า กัปนี้เราเป็นองค์ที่ ๔ ที่จะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ น้ำพระทัยขององค์สมเด้จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ใช้กำลังจิตที่ได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติถอยหลังเป็นประโยชน์มากรู้อดีตที่ล่วงมาแล้วว่ามีสภาพเป็นอย่างไร เกิดเป็นอะไรบ้าง เกิดเป็นคนบ้าง แล้วก็ตายเป็นเทวดาบ้าง ไปเป็นพรหมบ้าง ไปอยู่ในนรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ทำคุณประโยชน์อะไรมาบ้าง และก็ได้รับพระพุทธพยากรณ์ว่าอย่างไรบ้าง พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงสอนว่าอย่างไร และท่านผู้ใดที่เป็นพระอรหันต์เป็นเพราะอะไรเป็นเหตุ เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์มีกำลังใจ เพราะอาศัยปุพเพนิวาสานุสติญาณ จึงทบทวนไปทบทวนมา แล้วก็เลือกจัดธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ เอามาเป็นเครื่องพิจารณา
    ตอนนี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระมหากุรณาธิคุณเพื่อพิจารณาในด้านปุพเพนิวาสานุสติญาณ กำลังใจก็เต็มขึ้นเป็นเหตุให้ได้ทิพจักขุญาณหรือที่เรียกกันว่า จุตูปปาตญาณ เป็นอันว่าพระองค์กลับมีความรู้สึกว่า สัตว์ในโลกทั่วจักรวาลนี่เป็นคนก็ดี สัตว์ดิรัจฉานก็ดี บางท่านที่มาเกิดก็มาจากพรหมบ้าง มาจากเทวดาบ้าง มาจากมนุษย์บ้าง มาจากสัตว์ดิรัจฉานบ้าง อสุรกายบ้าง เปรตบ้าง สัตว์นรกบ้าง แล้วก็ทรงรู้ถึงว่า ถ้าพวกที่มีอารมณ์ตามนั้นที่ทรงอยู่ ตายแล้วจะไปอยู่ที่ไหน รู้ถึงเรื่องความเป็นอยู่เป็นอันว่าตอนนี้เป็นเหตุให้องค์สมเด็จพระบรมครู ใช้ปัญญาเข้าพิจารณาด้วยกำลังของทิพจักขุญาณ และปุพเพนิวาสานุสติญาณ ว่าคนและสัตว์นี้มีเครื่องยืนยันได้แน่นอนว่าไม่มีใครมีสภาวะทรงตัว
    และเหตุที่จะพึงตัดจะต้องเอาอะไรมาตัดกรรมที่เป็นกิเลส คือ ที่เรียกว่า กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ที่ทำให้คนมัวเมาอยู่ในร่างกายที่ไม่เป็นสาระไม่เป็นประโยชน์ การเกิดแต่ละชาติมีแต่โทษ ไม่มีคุณ จะเอาอะไรมาเป็นเครื่องตัด เราจะต้องตัดใจของเราก่อน และจึงจะไป
     
  6. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    สอนบุคคลอื่น เมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริอย่างนี้ กำลังสมาธิที่ท่านกล่าวว่าเป็นเหตุให้เกิดปัญญา มันก็เกิด ก็มีความรู้สึกว่าสิ่งที่จะทำไม่ให้เกิดมีอยู่ ๔ อย่าง ต้องประกอบกัน คือ
    [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]ทุกข์ [/FONT]เป็นเครื่องดึงให้เกิด คือ คนที่หลงในความทุกข์ว่าเป็นความสุข ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ และก็ทุกข์เกิดจากความอยาก การทะเยอทะยาน อย่างเมื่อเราเป็นเด็ก ๆ เราก็อยากจะโต เมื่อโตแล้วก็อยากจะเป็นพระราชา ท่านปรารภถึงพระองค์เอง เมื่อเป็นพระราชาแล้วก็อยากจะเป็นพระราชาที่มีอำนาจ อำนาจที่มีพระองค์ต้องการก็คืออำนาจโดยธรรมหรือมีธรรมเป็นอำนาจ จะใช้ความดีสงเคราะห์คนอื่นให้มีความสุข ใช้ความดีเป็นอำนาจพระองค์ทรงคิดไกล
    เมื่ออาการอย่างนี้มันเกิดขึ้นมาก็ทำให้คับใจ ถ้าสิ่งใดที่ทำไม่ได้ตามความปรารถนา หรือว่าความปรารถนาไม่สมหวัง อารมณ์มันก็เป็นทุกข์ นี่ตัวอยากเป็นเหตุ ถ้าเราจะตัดก็ต้องตัดตัวอยาก ตัดตัวอยากก็จะต้องใช้กำลังความดี ทรงพิจารณาดูว่า ความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ ท่านตรัสคือ สมาธิ ปัญญา หรือที่เรียกว่า มรรค ๘ ทรงพิจารณาว่า
    เวลานี้ศีลของเราบริสุทธิ์หรือยัง ก็ทรงทราบว่าศีลบริสุทธิ์ทุกอย่าง สมาธิของเรามีกำลังพอหรือยัง ก็ทรงทราบว่าสมาธิของเรามีกำลังพอ จึงได้รวบรวมกำลังใจว่า จุดใดที่ยังมีภาวะติดอยู่ ตัดตรงไหนดีหนอ พิจารณาตอนนั้น จะตัดอารมณ์ใจอย่างเดียวหรือจะตัดอะไรด้วย อันดับแรกก็ตัดรูป คือไม่ห่วงใยในรูป นี่เราก็ตัดมาแล้ว ปัญญาบอกว่าต้องตัดรูป แต่ก็ทรงพิจารณาว่าเรานั่งที่นี่ก็ดี เราออกแสวงหาภิเนษกรมณ์ก็ดี นี่เราตัดรูปมาแล้วนี่นะ รูปเรา เราก็ตัด คือเราไม่หวังความสุขในรูปกายของเรา นี่เราตัดแล้ว รูปของพิมพาราชเทวี มเหสีที่รัก เราก็ตัดแล้ว รูปของลูกรักที่เกิดในวันเดียววันนั้นเราก็ตัดแล้ว รูปของพระราชบิดา พระราชมารดา หรือข้าราชการ เราก็ตัดแล้ว รูปของนางสนมนารี เราก็ตัดแล้ว และก็รูปของทรัพย์สินทั้งหลาย เราก็ตัดแล้ว
    ยังมีอะไรอีกบ้างไหมที่เราจะต้องตัด ก็เรื่องของนาม คือ ความปรารถนาของใจได้แก่โลกธรรม ๘ ทรัพย์สินที่พึงจะเกิดขึ้น เราตัดแล้วหรือยัง ก็ทรงพิจารณาว่า เวลานี้เราไม่มีอะไร มีแต่ผ้านุ่ง ผ้าห่ม กับร่างกาย ทรัพย์ทั้งหลายทั้งหมดที่มันมากกว่านี้ ที่เราครองอยู่ เราตัดแล้ว และการเสื่อมลาภไป ไม่มีลาภ เราเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ นึกถึงลาภนั้นบ้างหรือเปล่า ก็ทรงราบว่า เราไม่นัก นี่เราตัดแล้วเรื่อง ลาภ มาเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ เรามาจากความเป็นพระราชา เราไม่ได้ลาออก เราไม่ได้มีความผิด เราตัดมาเพื่อแสวงหาพิเนษกรมณ์เราตัดแล้ว การหมดยศฐาบรรดาศักดิ์ อำนาจศักดิ์ศรี เป็นเครื่องวังเวงใจให้เรานึกถึงบ้างไหม เราก็ไม่นึกถึง อันนี้เราก็ตัดแล้ว
    เวลานี้เราตัดผม คนสมัยนั้นเขาถือว่าคนไม่มีผม คนโกนหัว เป็นคนกาลกิณี อารมณ์อย่างนี้ที่เขาจะ นินทา เรา เราหวั่นไหวไหม ก็ทรงทราบในพระทัยว่า เราก็ไม่ได้หวั่นไหว และประการต่อไป ถ้าใครเขามา สรรเสริญ เราก็ได้รับการยกย่องขณะที่มาอยู่ป่า เช่น ปัญจวัคคีย์ฤาษีทั้ง ๕ เทิดทูนเราว่าเป็นคนดี และก็มีพราหมณ์ที่นำหญ้าคามาให้เราก็ดี คนหลายคนที่ผ่านมาเห็นเราเข้า รู้ว่าเราเป็นกษัตริย์มาในกาลก่อน เขาก็พากันสรรเสริญเยินยอ ว่าเราเป็นคนดี คำสรรเสริญอย่างนี้เราผูกพันหรือเปล่า ก็ทรงทราบว่า ไม่ผูกพันแล้ว
    ต่อไปองค์สมเด็จพระทีปแก้วก็มารำพึงว่า ความสุข ความทุกข์ ที่เนื่องกับร่างกายนี้เราตัดแล้วหรือยัง พระองค์ก็ทรงทราบว่าตัดแล้ว เพราะว่าเราตั้งมโนปณิธานว่า ถ้าไม่สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด เลือดและเนื้อมันจะเหือดแห้งไป นี่หมายความว่า ทุกขเวทนามันหนัก มันจะหิวขึ้นมาทีละน้อย ๆ หนักเข้า ๆ ร่างกายก็จะทรงไม่ไหว มันอาจจะตายซะตรงนี้ แต่อารมณ์เราก็ตัดแล้วด้วยดี มันจะตายซะตรงนี้ก็เชิญ ถ้าเราไม่ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ อันนี้เราก็ตัดแล้ว เป็นอันว่าการพิจารณาแบบนี้ เป็นปัจจัยให้องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงยบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน
    เวลานั้นลูกรัก ตามภาวะของภาพที่ปรากฏ คืออารมณ์เคลิ้ม เวลานั้นเห็นองค์สมเด็จพระพิชิตมาร มีกระแสจิตสว่างไสวเป็นประกายพรึกเหมือนกับอาทิตย์สักพันดวง และก็มีพระฉวีวรรณเปล่งปลั่ง เพราะความสดชื่นในจิต บรรดาเทวดาและพรหมต่างก็มานมัสการองค์พระธรรมสามิส โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านสหัมบดีพรหม กล่าวว่า สิทธัตถะ ท่านเอ๋ย เวลานี้กิจที่ท่านต้องการ คือพระสัมมาสัมโพธิญาณ ชื่อว่าเป็นอรหันต์องค์แรกในโลก บรรลุแล้วท่าน เป็นอันว่าท่านสหัมบดีพรหมยืนยัน และก็พรหมทั้งหมดยืนยันเทวดาทั้งหมดก็ยืนยันต่างคนต่างก็เอาเครื่องสักการวรามิสมีดอกไม้เป็นต้น ของสวรรค์ ของหอมต่าง ๆ มาบูชาองค์สมเด็จพระภควันต์ ในฐานที่ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ และต่างคนต่างก็มายืนรายรอบองค์สมเด็จพระบรมครูพนมมือแสดงสักการะ เป็นเหตุให้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงธรรมปีติขึ้นมาก มีความอิ่มเอิบ มีความสดชื่น
    ตอนนี้ตามปฐมสมโภชน์กล่าวว่า พระยามาราธิราช หรือที่เรียกว่าท้าวมาลัย เข้ามาเพื่อจะทำลายพิธี ตามที่บอกรู้สึกว่ามาดุดันมาก แต่ความจริงดุไม่ได้หรอก ประการที่หนึ่งเพราะว่าพระยามาราธิราชหรือท้าวมาลัย เป็นเทวดาที่อยู่ในอาณัติของพระอินทร์ และประการที่สองเทวดามีอำนาจไม่เกินพรหม นี่เค้าบอกว่าพระยามาราธิราชแผลงฤทธิ์ เทวดาและพรหมที่แวดล้อมอยู่หนีหมด อันนี้ไม่จริง ตามภาพนั้นปรากฏว่าไม่จริง มีเทวดาและพรหมถอยออกไปยืนถวายสักการะในที่อันสมควร ไม่ได้ยืนติดพระองค์
    ก็มีพระยามาราธิราชมาสะกิดว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ท่านจะไปหลงไหลใฝ่ฝันอะไรกับโพธิญาณ มันเป็นความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ท่านจงนึกถึงตำแหน่งพระเจ้าจักรพรรดิที่จะช่วยคนให้เป็นสุขทั้งโลกไม่ดีกว่าหรือ อีกประการหนึ่ง พระพิมพาราชเทวีก็มีพระรูปพระโฉมงดงาม และลูกชายคนเล็กก็เพิ่งเกิดใหม่ นอกจากนั้น สนมนารีก็มากมาย ทำไมไม่คำนึงถึงบ้าง ปล่อยให้เขาทั้งหมดมีความทุกข์ เพราะท่านหาความสุขแต่ผู้เดียว[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]
    สมเด็จพระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]“[/FONT]ปาปิมะ ดูก่อน มารผู้มีบาป[FONT=Cordia New,Cordia New]” [/FONT]เราทราบแล้วว่า เรากับท่านน่ะเป็นเพื่อนกันมาก่อนในอดีต อาศัยปุพเพนิวาสานุสติญาณ อาศัยที่เราถวายหญ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่ได้เอาของท่านไปถวาย ท่านจึงมีความเข้าใจว่าเราต้องการจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแต่ผู้เดียว ท่านก็ปรารถนาเช่นเดียวกัน การทำอย่างนี้มันมีบาป เราตั้งมโนปณิธานมาฉันใด เรา
     
  7. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    ก็ปฏิบัติฉันนั้น แม้แต่ตัวท่านเองถ้าทำไปไม่ช้าก็บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ จะมาทำจิตให้เป็นบาปเพื่อประโยชน์อะไร
    เพียงเท่านี้ พระยามรก็ถอยหลังไป ตอนนี้ซิลูกรัก ลูกรักทุกคนเห็นไหมว่า องค์สมเด็จพระทศพลมีบุญญาธิการเพียงใด องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ไม่ทรงสนพระทัย เรื่องลาภสักการะ เรื่อง ยศฐาบรรดาศักดิ์ เรื่องนินทาและสรรเสริญ เรื่องสุขเรื่องทุกข์ ต้องการอย่างเดียวคือพระโพธิญาณ อารมณ์ขององค์สมเด็จพระพิชิตมารตอนนี้ ลูกทุกคนต้องจำ เพราะว่าเราเป็นสาวกของท่าน ถ้าเราไม่ใช้กำลังใจอย่างท่าน เราจะมีผลตามที่ท่านสอนไม่ได้ เมื่อได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณแล้วเป็นของไม่ยาก เมื่อได้ทิพยจักขุญาณแล้วก็เป็นของไม่ยาก ถอยหลังเข้าไป แต่ว่าเราเป็นสาวก พ่อเข้าใจว่าลูกทุกคนต้องการอย่างนั้น มันก็ไม่ยาก ใช้อารมณ์ที่ลูกทุกคนศึกษาจากคำสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เรื่องไม่ยากมันก็เกิดขึ้น
    แต่พ่อก็ยังคิดว่า ยังยากอยู่ สู้เราตัดตรงตามที่องค์สมเด็จพระบรมครูทรงสอนไม่ได้ นั่นก็คือ ไม่ห่วงชีวิตและร่างกายของเรา ไม่ห่วงชีวิตและร่างกายของบุคคลอื่น ไม่ห่วงทรัพย์สินทั้งหลาย ถ้าตายคราวนี้ขอไปพระนิพพาน อย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือ เอาง่าย ๆ คนจะไปนิพพานเขาทำอย่างไร ก็ไปดูอารมณ์ขององค์สมเด็จพระจอมไตรดังที่กล่าวมาแล้ว ตอนนี้ตามภาพที่เคลิ้ม ไป ในเวลานั้นตามกระแสเสียงของพระท่านพูด ก็ปรากฏกับจิตตามนี้ พ่อมีความรู้สึกเห็นน้ำพระทัยขององค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงแสวงหาภิเนษกรณ์ มันเป็นความสุขหรือความทุกข์ ลูกรักต้องนอนกลางดิน ต้องกินกลางทราย ต้องอดทนทุกอย่างด้วยประการทั้งปวง
    เป็นอันว่าพระองค์มีทุกข์เพราะพวกเรา ฉะนั้นพวกเราทุกคน จงอย่าให้องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องผิดหวัง คำว่าต้องผิดหวัง ก็หมายความว่า กลายเป็นคนเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ สุขอันนี้พระพุทธเจ้าผิดหวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นพระ พระทุกองค์จงอย่าเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และก็จงอย่าเมาในใบลาน หรืออย่าเมาในตำรา จงใช้กำลังใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นแบบฉบับแล้วก็ปรับกำลังใจของเราให้เท่าหรือคล้ายคลึงกำลังใจของพระองค์ ที่มีพระพุทธประสงค์มาสอนเรา เมื่อจิตเคลิ้มไปตอนนี้ อารมณ์ใจพ่อก็เป็นสุข ขอให้ลูกรักของพ่อทุกคนจงจำไว้และปฏิบัติตาม
    วันที่พระพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตอนนั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์ตอนที่พระพุทธเจ้าประทับตัดสินพระทัย ว่าจะต้องการบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณที่นี่ เป็นวันกลางเดือนหก เป็นฤดูฝน มาวันหนึ่งมีคนบอกว่ามีฝนตกลงมา พระยานาคมาขดตัวเป็นแท่น แล้วก็แผ่พังพานป้องกันฝนไม่ให้ถูกองค์สมเด็จพระทศพล คนเกิดวันเสาร์จึงทำพระนาคปรก แต่รู้สึกนาคจะมีหัวมากไปสักหน่อย เนื้อแท้จริง ๆ นาคมีหัวเดียวแผ่พังพานออกไม่ใช่แผ่ให้หัวงอกออกมาตั้งหลายหัว แบบนี้มันไม่ถูก ลูกที่นั่งฟังทั้งหมดจะสงสัยไหมว่า ถ้าสมมติว่าพระยานาคท่านนั้นไม่มาแผ่พังพาน
    ให้พระพุทธเจ้า ฝนตกลงมาพระพุทธเจ้าจะเปียกไหม อันนี้เราต้องไปคิดว่า พระโมคคัลลาน์ เวลาไม่ต้องการให้ฝนเปียก ท่านจะเปียกไหม มันก็ไม่เปียก ไม่ต้องการให้แดดถูกตัวท่าน แดดก็ไม่ถูก
    ตอนนี้เราก็มาดูพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นครูของพระโมคคัลลาน์ ในเมื่อลูกศิษย์ทำได้อาจารย์จะทำได้ไหม เพราะวิชาทั้งหลายเหล่านั้นไปจากอาจารย์ เป็นอันว่าเป็นความดีของพระยานาคที่ท่านสงเคราะห์ แต่บังเอิญถ้าพระยานาคท่านไม่สงเคราะห์ พระพุทธเจ้าท่านก็คงไม่เปียก เพราะว่าท่านจะมานั่งยอมเปียกอยู่ได้อย่างไร ท่านก็เป็นผู้ทรงอภิญญาใหม่ ซึ่งเป็นยอดอภิญญา เรียกว่า บรรดาสาวกทั้งหมดจะมีฤทธิ์มีเดชเกินพระพุทธเจ้าไม่มี เท่าก็ยังไม่มีเลย นี่เราพูดกันตามความเป็นจริง จะทำอะไรก็คิดถึงเหตุผลถึงผลสักนิดหนึ่ง
    เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์ก็ทรงนั่งนึกต่อไปว่า คำว่าศาสดาแปลว่าครู การที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปฏิบัติมา ก็ไม่ใช่เพื่อต้องการความสุขส่วนตัว เป็นความต้องการที่ให้คนอื่นเขาสุขด้วยจึงเรียกว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอันว่าท่านก็นั่งนึกว่า ใครหนอที่จะรับพระธรรมเทศนาที่เราบรรลุแล้วได้ เพราะธรรมที่ได้มาแล้วนี้ ลึกซึ้งคัมภีรภาพมาก ยากเหลือเกินที่คนจะปฏิบัติตามได้ นึกมานึกไปก็หวลนึกขึ้นมาได้ว่า โอหนอ ท่านอาจารย์ทั้งสองคือท่านอาฬารดาบส กับท่านอุทกดาบส สองท่านเป็นอาจารย์ที่สอนให้องค์สมเด็จพระจอมไตรได้สมาบัติ ๘ ฉะนั้นในเมื่อสอนให้ลูกศิษย์ได้สมาบัติ ๘ ได้ ตัวท่านก็ต้องได้สมาบัติ ๘ ด้วย การได้สมาบัติ ๘ คือรูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ จิตละเอียดมา ถ้ารับพระธรรมเทศนาจากองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเต้า แผล็บเดียวก็เป็น อรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ
    คำว่า “ปฏิสัมภิทาญาณ” หมายความว่า ๑. ฉลาด ถ้าเขาพูดมาโดยย่อ ก็สามารถอธิบายให้ละเอียด เข้าใจชัดได้ ๒. ถ้าเขาพูดมายาว ๆ ก็สามารถย่อให้สั้นเข้า พอจำได้ ๓. และก็มีความฉลาดในภาษา มีปัญญารอบรู้ทุกอย่าง มีฤทธิ์รอบด้วยประการทั้งปวง เป็นอันว่าอภิญญา ๖ และวิชชา ๓ มีอะไร ปฏิสัมภิทาญาณก็มีหมด สำหรับปฏิสัมภิทาญาณนี้ต้องทรงสมาบัติ ๘ ก่อน
    องค์สมเด็จพระชินวรทรงคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเราจะไปเทศน์ให้ท่านอาจารย์ทั้งสองเพื่อจะได้บรรลุมรรคผล ก่อนที่องค์สมเด็จพระทศพลจะทรงทำอะไร พระพุทธเจ้าไม่ใช่พ่อ และพ่อก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านทำอะไร ท่านมีพระพุทธญาณเป็นเครื่องรู้ สมเด็จพระบรมครูจึงใช้ทิพยจักขุญาณดูว่าอาจารย์ทั้งสอบเวลานี้อยู่ที่ไหน ก็ทราบได้ว่าเวลานี้อาจารย์ทั้งสองตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นอรูปพรหม ไม่มีอายตนะ คือไม่มีเครื่องรับ เครื่องส่งของพระพุทธเจ้ามี เครื่องรับไม่มี ไม่มีตาจะรับ ไม่มีหูจะรับ มีแต่ตาไม่มีหู ตีใบ้ก็ยังใช้ได้ มีแต่หูไม่มีตา ใช้เสียงก็ยังดี นี่ไม่มีทั้งหูทั้งตา มีแต่จิตลอยเคว้งคว้างในอากาศ สมเด็จพระบรมโลกนาถก็ทรงปลงอนิจจังว่า โอหนอ น่าเสียดายอาจารย์ทั้งสอง ฉิบหายจากความดีเสียแล้ว เพราะว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วไม่มีโอกาสจะสนองคุณท่านอาจารย์ทั้งสอง เพราะไม่มีอายตนะจะรับ ความจริงพราหมณ์เขาก็เก่งนะ เขามีการสอนกันถึงสมาบัติ ๘
     
  8. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    ต่อไปองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงระลึกถึงท่านปัญจวัคคีย์ ฤาษีทั้ง ๕ ที่เกลียดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ามักมากในอาหาร และก็มักมากในกามคุณ กลับมาฉันข้าวใหม่ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่นึกอะไร นั่นเป็นความเข้าใจของลัทธิพราหมณ์ ว่าเป็นเรื่องธรรมดา ๆ จะไปนั่งห้ามปรามความรู้สึกกันไม่ได้ ฉะนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้ทรงคิดว่า เวลานี้ปัญจวัคคีย์ คือฤาษีทั้ง ๕ ได้แก่ ท่านโกณฑัญญะ ท่านวัปปะ ท่านมหานามะ ท่านภัททิยะ และท่านอัสสชิ ท่านทั้งหมดเวลานี้อยู่ที่ไหน องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงทราบว่าอยู่ในเขตป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แคว้นเมืองพาราณสี สถานที่นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปมากกว่าทุกเมือง แต่ทว่าการเดินทางไปของพระพุทธเจ้าไม่ถึงวัน เราก็ต้องคิดว่าองค์สมเด็จพระภควันต์ท่านทรงเดินไปแบบไหน
    ตอนนั้นเองพ่อก็มานึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า การเสด็จไปสู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันที่แขกสร้างสถูปไว้ตรงนั้นน่ะไม่ใช่ พ่อไม่ได้ทำลายผลประโยชน์ของเขา มันไม่จำเป็นหรอกถ้าเราจะไหว้กัน ที่จริง ๆ จะต้องห่างจากที่ตรงนั้นไปประมาณ ๓ กิโลเมตร เอาเชือกผูกจากที่เขาทำสัญลักษณ์ไว้ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก กางแขนเข้า แล้วก็ตัดมุมเฉียงเป็นตะวันออกเฉียงเหนือ เอาเชือกขึงไป ๓ กิโลเมตร ก็จะเข้าถึงเขตที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพบปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ตอนนั้นท่านทั้งหลายอยู่ในป่าทึบ แต่ว่าไกลบ้านไม่มากนัก มีหมู่บ้านหนา ๆ แต่ว่าเสียงไม่เกลื่อนกล่น หมายความว่าท่านหนีบ้าน ท่านไม่อยู่ในบ้าน ท่านอยู่ในป่า ท่านเป็นพราหมณ์ ท่านต้องการความดี ที่ตรงนั้นเป็นที่ที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาพระธรรมจักกัปปวัตตนสูตร
    ตอนนั้นจิตพ่อก็คำนึงไปถึงองค์สมเด็จพระชินสีห์ การลีลาของพระพุทธเจ้าท่านมีรองเท้าหรือเปล่า ดูแล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้วไม่มีรองเท้า ทรงพระบาทเฉย ๆ ดูรูปร่างขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถว่าจะเศร้าหมองหรือว่าผ่องใส ดูแล้วผ้าที่พระองค์ห่มก็สวย ทั้งนี้เพราะเป็นผ้าที่เทวดานำมาถวาย พระฉวีวรรณขององค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงขาวและก็เหลืองจัด เหลืองน้อยกว่าผ้าไปหน่อยหนึ่ง รู้สึกว่าลักษณะของพระองค์สวยจริง ๆ ดูทุกส่วนก็สวยกลมกลืนไปหมด ดูภาพตามอารมณ์เคลิ้มของจิต พ่อคิดไปถึงท่าน มันเหมือนกับลืมตาฝันนั่นแหละ ดูลีลาการเยื้องขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเสด็จเยื้องกรายไปช้า ๆ แบบสบาย ๆ ไม่ใช่เดินแบบตามควายหรือหนีตำรวจ เป็นอันว่าท่านไปแบบเรียบร้อยจริง ๆ เดินไปได้สักครู่หนึ่งแต่ว่าผลแห่งการเดิน ลูกรัก รถเราไปตั้ง ๘ ชั่วโมง ท่านเดินไม่ถึงวัน
    เวลาตอนเช้าฉันภัตตาหารที่เขานำมาถวายแล้ว อย่าลืมนะว่าอยู่ใกล้บ้ายนางสุชาดา นางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาสอยู่แถวนั้น และเมื่อองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็จงอย่าคิดว่า นางสุชาดาจะยังไม่นึกถึงองค์สมเด็จพระประทีปแก้วเพราะเดินอยู่แถวนั้น เดินไป เดินมา เด็กเลี้ยงควายก็เห็นหน้าท่าน ฉะนั้นนางสุชาดาก็ยังไม่ทิ้งองค์สมเด็จพระภควันต์ นอกจากถวายภัตตาหารครั้งนั้นแล้ว ก็ยังถวายต่อไป เพราะว่าเวลาที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ไม่ได้ใช้เวลาเป็นเดือน ท่านใช้เวลาคืนเดียว พูดกันอย่างภาษา
    ไทยรวบรัดกัน เริ่มตั้งแต่ตอนเย็นก็ไปจบเอาเวลาใกล้รุ่ง คืนเดียวเท่านั้น ถ้าใครเห็นพระองค์เมื่อไรก็พบแต่ความชื่นใจ
    ฉะนั้น นางสุชาดาก็คงไม่โง่จนกระทั่งจะไม่ถวายอาหารใหม่ เป็นอันว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรเสวยพระกระยาหารแล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงเยื้องกรายมุ่งไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แต่ว่าเดินไปได้ไม่เท่าไร ก็ทรงพบ อุปกาชีวก ท่านอุปกาชีวกนี่ลูกรัก ชีวกไม่ได้แปลว่านักบวช อาจจะเป็นชาวบ้านธรรมดา ๆ เขาเรียกกัน จะถือว่าเป็นนักบวชทีเดียวก็ไม่ใช่ แต่ว่าเป็นที่นิยมเรื่องศาสนาเหมือนกัน เพราะว่าในเมืองแขกนิยมศาสนา ท่านอุปกาชีวกเห็นองค์สมเด็จพระภควันต์มีฉวีวรรณผ่องใส เยื้องกรายก็น่ารักน่าเลื่อมใส จึงได้ถามองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า “ท่านบวชในสำนักของใคร ใครเป็นครูบาอาจารย์สอนท่าน ฉวีวรรณจึงสวยสดงดงามมาก” สมเด็จพระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสว่า ตถาคตนี่เป็นสยัมภูนะ หมายความว่า ตถาคตเป็นผู้รู้เอง ไม่มีใครสอน
    ท่านอุปกาชีวกฉุนนิด ๆ คิดว่าหมอนี่อวดวิเศษมากไปแล้ว ไอ้คนที่ไม่มีครูสอนน่ะ มันจะรู้เองได้ยังไง ความจริงแกก็คิดตามเหตุผลธรรมดา แกก็เลยส่ายหน้าไม่เชื่อพระพุทธเจ้าแล้วหลีกไป องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่คิดอะไร เป็นเรื่องธรรมดา ๆ เพราะว่าพระองค์มีเหตุมีผล ต่อมาภายหลังได้กลับมาหาพระพุทธเจ้า และได้เป็นพระอรหันต์ไปในที่สุด หลังจากนั้นแล้วองค์สมเด็จพระทศพลจึงได้เดินทางต่อไปยังเขตของเมืองพาราณสีที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เวลาที่ทรงดำเนินไปนั้นก็เห็นจะไปด้วยกำลังของอภิญญาน้อย ๆ คำว่าอภิญญาน้อย ๆ ก็หมายว่าค่อย ๆ เยื้องกรายไปให้เร็วกว่าธรรมดาหน่อย เพราะว่าถ้าเดินไปแบบธรรมดา ๆ ก็ใช้เวลาหลายวัน สมเด็จพระพิชิตมารก็คงจะกำหนดเวลาว่าเราจะไปถึงเวลาตะวันคล้อย เงาคล้อยมาประมาณสัก ๒ นิ้วเศษพอดี หากว่าไปด้วยอภิญญาจริง ๆ หรืออำนาจวาโยกสิน ปุ๊บเดียวมันถึงเลย
    ฉะนั้นพระพุทธเจ้าคงจะใช้กำลังน้อย ๆ ไม่ใช้กำลังมาก ๆ ไป ให้พอดี ๆ เป็นอันว่าประมาณบ่ายสองโมง องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็เสด็จเข้าเขตป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เข้าไปใกล้กับที่ท่านทั้ง ๕ อยู่ ท่านทั้ง ๕ เมื่อเห็นองค์สมเด็จพระบรมครูเสด็จเข้าไปเห็นหน้าตาแช่มชื่น มีผิวกายผ่องใส ผ้าที่ห่มก็มีสดใส ดูกายก็ไม่ซูบผอม เห็นร่างกายสมบูรณ์บริบูรณ์ทุกอย่าง สมลักษณะสมส่วน ท่านทั้ง ๕ ก็เกิดความไม่ชอบใจอีก เพราะถือว่าการอดเป็นของดี พราหมณ์ถือว่าอดจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ และทรงคุณธรรมพิเศษ คราวนี้องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์มีเนื้อเต็มซะแบบนี้ ไม่ชอบใจ
    เมื่อมองเห็นองค์สมเด็จพระจอมไตรก็จำได้ ท่านโกณฑัญญะซึ่งเป็นหัวหน้า เวลานั้นก็มีอายุแก่กว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประมาณเกือบ ๓๐ ปี เพราะว่าตอนที่องค์สมเด็จพระชินสีห์เมื่อท่านประสูติ โกณฑัญญะพราหม์ท่านบวชเป็นพราหมณ์แล้วและเก่งในไตรเภท ถึงกับดูลักษณะทายได้ถูกต้อง อายุเกือบจะ ๓๐ ปี ประมาณ ๒๗–๒๘ ปี อย่าคิดว่าท่านเป็นแขกดำมะเมื่อมนะ เป็นอันว่าทั้ง ๕ ท่านนี้มีผิวไม่ดำ ท่านเป็นแขกขาวไม่ใช่แขกดำ อย่าลืมว่าแขกก็มี ๒ พวก คือแขกขาวกับแขกดำ แขกขาวนี่เนื้อจริง ๆ ลก็ะ เขาจะมีความฉลาดมากกว่าแขกดำ แต่จะถือว่าแขก
     
  9. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    ขาวเก่งทุกคนก็ไม่ได้ แขกดำที่เขาเก่งก็มี ท่านโกณฑัญญะพราหมณ์มีรูปร่างลักษณะสูงโปร่ง คล้ายคลึงพระพุทธเจ้า คำว่าคล้ายคลึงนี่หมายความว่า สูงไล่ ๆ กันแต่ต่ำกว่าหน่อย ดูเนื้อจะเห็นว่าเป็นรอยผอมไปนิด เห็นจะเป็นเพราะการทรมานกาย
    ส่วนอีก ๔ ท่าน เป็นพราหมณ์หนุ่ม รู้สึกว่าหน้าตาก็ดีด้วยกันทั้งหมด เมื่อเห็นองค์สมเด็จพระบรมสุคตเสด็จเข้าไปใกล้ จึงแนะนำกันว่าเวลานี้ท่านสิทธัตถะหมดกำลังใจที่จะประพฤติความดี และพวกเราก็หนีมาอยู่ที่นี่เห็นจะลำบากต้องช่วยตนเองการมาคราวนี้คงจะหวังความช่วยเหลือจากเรา ฉะนั้นพวกเราจงอย่าต้อนรับเธอ อย่าปูอาสนะให้นั่ง อย่ารับบาตร อย่ารับสังฆาฏิ อย่าล้างเท้าให้ อย่าทำทุกอย่างที่เคยปฏิบัติ เพราะยังเจ็บใจที่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถคลายความเพียร เวียนมาเพื่อความมักมากในอาหาร แต่ทว่าคนที่เคยเคารพกัน จะว่ากันไปอีกทีก็อาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระภควันต์ก็อาจจะเป็นได้ เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรเข้าไปใกล้ทั้ง ๕ พราหมณ์ก็ลืมอาณัติสัญญา ต่างคนต่างปูอาสนะ จัดน้ำใช้น้ำฉัน รับบาตร รับสังฆาฏิ ล้างเท้าให้เป็นอย่างดี
    แต่ทว่าจุดแรกที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่งบนท่อนไม้เอาขาห้อย นั่งแบบสบาย ๆ แบบกันเองไม่ต้องมีลีลาอะไรมาก เพราะมีท่อนไม้ท่อนหนึ่ง มีต้นไม้ใหญ่ล้มลงก่อน ไม่ใช่ล้มขณะนั้น แต่ว่าท่านพวกนั้นถึงแม้ว่าจะต้อนรับ แต่ก็แสดงความไม่เคารพในองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค ในตอนนี้บรรดาลูกรักจะต้องคิดนะ ว่าความลำบากของพระพุทธเจ้าที่จะแสดงพระธรรมเทศนาว่าลำบากขนาดไหน ขนาดที่คนเขาไม่เชื่อ เขาเกลียดหาว่ามักมากในลาภสักการะ ละโมบโลภมากในอาหาร แต่องค์สมเด็จพระพิชิตมารก็สร้างศรัทธาให้เกิดกับเขา ลูกลองคิดดูซิ มันสร้างความลำบากใจสักเพียงใด นี่เป็นความรู้สึกของพ่อ และก็อาจจะเป็นความรู้สึกของลูกด้วย เพราะเราไม่มีความสามารถเท่าพระพุทธเจ้า แต่ทว่าถ้าดูสภาพอารมณ์เคลิ้มของพ่อ ที่พ่อนึกถึงลูกว่าลูกไปเมืองพาราณสี และเป็นเขตที่องค์สมเด็จพระมหามุนีแสดงพระธรรมเทศนาเป็นครั้งแรก คือธรรมจักกัปปวัตตนสูตร จิตมันก็เลยเคลิ้มไปถึงพระพุทธเจ้าตอนที่แสดงปฐมเทศนา
    ตอนนี้ภาพปรากฏกับจิตพ่อ ที่เรียกกันว่ามโนภาพ ก็เกิดขึ้นเป็นระยะตามที่กล่าวมา และในความรู้สึกว่าเวลานั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไมได้ทรงมีปริวิตกเหมือนกับที่พ่อคิด พ่อคิดว่าพระพุทธเจ้าทรงลำบากมาก พราหมณ์เขาไม่เชื่อ ก็พยายามตามไปสอน ค่าจ้างรางวัลก็ไม่มี เมื่อเข้าไปถึงแล้วเขาก็ประมาณพระองค์ด้วยถ้อยคำที่ไม่เคารพ แต่ในเมื่อเขาพูดจบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า เวลานี้เราได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
    พอสมเด็จพระประทีปแก้วตรัสจบ เขาก็ค้านว่า ท่านจะมาพูดอะไร เราไม่เชื่อหรอก ไม่มีใครเขาปฏิบัติ ไม่มีใครอุปถัมภ์ ต้องอยู่คนเดียวทนไม่ไหวในป่าเปลี่ยว ต้องออกมาหาที่พึ่ง การที่ท่านเลิกจากการทรมาน แล้วกลับมากินข้าวจนร่างกายอ้วนพีแบบนี้ จะมาบอกว่ามีส่วนแห่งความดี ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณนี่ ฉันไม่เชื่อ เชื่อไม่ได้ เพราะการทำแบบนี้ไม่ใช่ทางบรรลุมรรคผล เป็นคนที่มักมากไปด้วยลาภสักการะ
    แทนที่องค์สมเด็จพระจอมไตรจะทรงท้อถอย เบื่อหน่าย หรือจะโกรธ กลับมีพระมหากรุณาธิคุณ ตรัสง่าย ๆ ว่า พวกเธอทั้งหลายก่อนที่เราอยู่ด้วยกันมาถึงหลายปี ถ้อยคำอย่างนี้ คือคำว่า บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเธอเคยได้ยินไหม ว่าตถาคตเคยพูดกับเธอเมื่อไรบ้าง บรรดาท่านพวกนั้นฟังก็ตกใจ นิ่งอึ้งว่าจริงนะ ลักษณะในตอนนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์ก็ประทับนั่งอยู่บนตอไม้ ห้อยพระบาททั้งสองเอามือวางไว้บนขาทั้งสอง ดูลักษณะอาการสง่าผ่าเผยการเดินไปตั้งแต่ตอนเช้าถึงตอนบ่าย ถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ดูลักษณะขององค์สมเด็จพระทรงธรรมแล้ว ไม่เห็นมีความรู้สึกว่าเหนื่อยสักนิดเดียว [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]
    ฉะนั้นการเดินทางไปคราวนั้นต้องใช้อภิญญาช่วยแน่ พระองค์จึงมีพระพักตร์สดใสสดชื่นเป็นปกติ พราหมณ์พวกนั้นก็มานั่งคิดกัน และหันไปถามองค์สมเด็จพระภควันต์ว่า วันนี้เดินทาง
    มาจากไหน สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า วันนี้ฉันมาจากต้นโพธิ์ที่ไปพัก แล้วพวกเธอก็หนีมาก เขาถามว่าออกเดินเวลาเท่าไร สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า เวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้ามาประมาณ ๑ ใน ๔ ของเวลาเที่ยง จึงได้ออกเดิน ถามว่าเดินวันเดียวหรือ ท่านก็บอกว่าไม่เต็มวันหรอก เดินมาสักครู่เดียวมันก็ถึง ถามว่าเหนื่อยไหม ท่านก็ตอบว่า ถ้ายังไม่บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ถ้าจะเดินให้ถึงกับเหนื่อย คือเดินใกล้วิ่ง วันเดียวมันก็ไม่ถึง ท่านก็ถามว่า พวกเธอที่เดินมาจากตถาคตเดินมาใช้เวลาเท่าไรจึงถึง
    ท่านพวกนั้นก็บอกว่า การมา มาแบบสบายกว่าจะมาถึงที่พักนี่ได้ก็ประมาณ ๗ ราตรี องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ตรัสว่า นั่นถูกแล้ว ถ้ามากันแบบสบายต้องแบบนั้น แต่ว่านี่ตถาคตมาไม่ถึงวัน เพราะว่าในฐานะที่ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ บรรดาท่านพวกนั้นก็แปลกใจ ก็คิดว่าถ้าจะจริงนะ เคยอยู่ด้วยกันมาตั้งนาน คำนี้ไม่เคยได้ยินเลย ถ้ากระไรก็ดี ในเมื่อองค์สมเด็จพระมหามุนีตรัสอย่างนั้น ความรักความเคารพในเก่าก็คืนตัวใช้เวลาสั่งสนทนากัน เวลาที่ท่านพวกนั้นพูดแสดงความไม่เคารพ แต่ว่าสมเด็จพระบรมสุคตก็ไม่ได้แสดงอาการออกว่าไม่พอใจ ปรากฏว่าพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระจอมไตรยังสดชื่น ไม่มีอาการสะดุด คือคนที่ไม่ชอบใจนี่ ต้องมีอาการสะดุด ทั้งสิบลูกตามองหน้าพระพุทธเจ้า ไม่เห็นว่าพระพุทธเจ้ามีการสะดุดตรงไหนเลย
    ฉะนั้น ในเมื่อเห็นพระองค์ทรงเฉย ๆ มีหน้าตาแช่มชื่น มีอารมณ์สบาย จึงมีความสงสัยว่าเวลานี้ สิทธัตถะราชกุมารคงจะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ฉะนั้นจึงได้พร้อมยอมรับ ถ้าอย่างนั้นข้าพเจ้าเชื่อ ถ้าหากว่าท่านได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณจริง ๆ ละก็ ขอได้โปรดช่วยเทศน์สงเคราะห์สักหน่อยเถิดจะได้รับความรู้ในการเป็นพระโพธิญาณของท่าน บรรดาลูกรักทั้งหลายอย่าลืมนะ ว่าการพูดของท่านโกณฑัญญะจอมฉลาด ที่ให้องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถแสดงพระธรรมเทศนาโปรด เราจะถือว่าเชื่อเต็มอัตราน่ะไม่ได้แน่ะ นี่เป็นการพิสูจน์กันจริง ๆ หมายความว่าถ้าไม่เคยพูดก็ใช่ละ แต่เวลานี้มาพูดจะตรงตามความเป็นจริงหรือไม่ ก็ต้องรู้กันตอนแสดงพระธรรมเทศนา ถ้าการแสดงพระธรรมเทศนาเป็นไปโดยไร้ประโยชน์ นั่นหมายความว่า
    [/FONT]
     
  10. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    ท่านทั้ง ๕ จะไม่คบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกต่อไป เป็นอันว่าเราก็ต้องมองดูภาพกันคำว่ามองดูภาพอย่านึกว่าพ่อมีอำนาจทิพยจักขุญาณ มันเป็นภาพเลือนตามกำลังใจที่นึกไป
    รวมความว่าท่านทั้ง ๕ ถ้าตามกำลังใจนี่รู้สึกว่า ตัดสินใจว่าเชื่อไม่เคยได้ยินสำหรับเรื่องที่จะเทศน์ให้ฟัง ความมั่นใจก็ยังไม่มีมากนัก ยังไม่มั่นใจมาก ฉะนั้นเมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเทศน์ก็ค้านกับความรู้สึกแห่งความเป็นจริง เดี๋ยวก่อนลูกรัก ทั้งชายและหญิง พระพุทธเจ้าเวลาที่จะเทศน์ ท่านไม่ได้นั่งอยู่บนตอไม้หรือขอนไม้หรอกนะ เมื่อตกลงกันแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็จะทรงเทศน์ ท่านโกณฑัญญะกับท่านวัปปะ ก็จัดสถานที่ใหม่ ขอให้นั่งที่โคนต้นไม้ ไม้มีรากอยู่ข้างล่าง รากวนมาวนไป มีสภาพเหมือนแท่น ท่านก็จัดที่ให้เรียบ เอาอาสนะไปปู คือผ้าเท่าที่จะหาได้นั่นเอง ในป่าอะไรจะว่าแก้ว ๆ ไปซะหมด ประเดี๋ยวชาวบ้านเขาจะหาว่าในป่านี้รวยแก้ว พระแท่นแก้ว รัตนบังลังก์ รัตนแปลว่าแก้ว รัตนบังลังก์ หมายถึงบังลังก์แก้ว ในป่าจะไปหาที่ไหน ถ้าแก้วแปลว่าดีใช้ได้ จะเอาเนื้อแก้วแท้ ๆ ใช้ไม่ได้
    ก็เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าประทับนั่งเวลานั้นทางนั่งพับเพียบหรือว่านั่งขัดสมาธิ เอ้าใครตอบ พ่อพูดไปก็เอาใจนึกตามไปด้วยพระพุทธเจ้าไม่ได้นั่งพับเพียบ เสร็จประทับนั่งขัดสมาธิ ขัดแบบสบาย ๆ เขาเรียกว่าขัดสมาธิสองชั้น สมเด็จพระภควันต์ทรงพระกายตรง นั่งหลังตรง เห็นหรือเปล่า สวยสง่างามมาก ท่าทางผึ่งผาย แต่ว่าท่านทั้ง ๕ นั้น เวลานั่ง นั่งพับเพียบหรือกระโหย่ง ไม่ใช่พับเพียบ นั่งแบบกระโหย่ง จะถือว่านั่งแบบหยอง ๆ ก็ไม่ชัด จะว่านั่งคุกเข่าทีเดียวก็ไม่ใช่ นั่งกระโหย่งพนมมืออยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง
    ในที่สุดลงนั่งพับเพียบตามระเบียบปฏิบัติแห่งการฟังของพราหมณ์ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงแสดงปฐมเทศนา ก็คือเทศน์กัณฑ์แรกที่เราเรียกว่า ธรรมจักร ธรรมจักรเป็นเทศน์หักล้างความรู้สึกของพราหมณ์เดิม โดยสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าถือเอาใจความว่า อันดับแรกพระองค์ก็ทรงยกเรื่องการปฏิบัติของพราหมณ์ขึ้นมาพูดก่อนว่าการปฏิบัติของพราหมณ์ตามรูปเดิม ปฏิบัติมาไม่ถูกไม่ต้องตามความเป็นจริงไม่ใช่ทางบรรลุมรรคผล ทั้งนี้เพราะว่าตถาคตได้ทดลองมาแล้ว อย่างที่พวกเธอเห็นการทรมานคน ตถาคตทำมาแล้ว และทำยิ่งกว่าคนอื่นที่จะพึงทำ เธอทั้ง ๕ ก็เห็นแล้ว แม้แต่ตถาคตจะลุกขึ้นก็เซร่างกายเกือบจะทรงไม่ไหว เอามือลูบไปตามร่างกายที่อาหารไม่พอจะเลี้ยง ประสาทต่าง ๆ ไม่มีโอกาสจะเลี้ยง ขนก็หลุดตามมือ
    แต่ว่าการปฏิบัติอย่างนี้เป็นการเคร่งเครียดไป เป็นการทรมานตนไม่ใช่ทางบรรลุมรรคผล และอีกอันหนึ่งสำหรับการปฏิบัติที่จะไม่ได้บรรลุมรรคผลก็คือความอยากที่เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค ปฏิบัติไปด้วยมีความสนใจในกามคุณ ๕ ก็ดี หรือว่ามีการอยากได้ในมรรคผลต่าง ๆ ในขณะปฏิบัติก็ดี อย่างนี้ถือว่ามีอารมณ์ฟุ้งซ่าน จิตไม่มีกำลัง ถ้าจะให้จิตมีกำลังจริง ๆ ต้องเว้นเหตุ ๒ ประการนี้เสีย เวลาปฏิบัติอย่าทำให้ถึงขั้นทรมานตน คำว่าทรมานตนคือตัวลำบากเกินไป เครียดเกินไป นั่งนานเกินไป ที่เรียกว่า อัตตกิลมถานุโนค การปฏิบัติอยู่ในเขต ๔ ประการได้ คือนั่งก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นอนก็ได้
    จงอย่าลืมว่าเราฝึกฝนกันที่ใจ เรื่องกายนี้ไม่มีความหมาย กายมันเป็นที่อาศัยของใจ ความบริสุทธิ์ผุดผ่องจะมีขึ้นมาได้ หรือไม่ได้ มันอยู่ที่ใจเป็นสำคัญ ถ้าใจดีเสียอย่างเดียว ปากก็พูดดี กายก็ทำดี ถ้าใจเลว ปากก็พูดเลว กายก็ทำเลว ฉะนั้นเวลาที่ฝึกจะต้องใช้มัชฌิมาปฏิปทา คือทำปานกลาง หมายถึงว่าทำแบบสบาย ๆ อารมณ์ ฝืนทางกายอย่าให้มี ปล่อยกายมันไปตามปกติ มันอยากจะนอนก็ให้มันนอน มันอยากจะนั่งก็ให้มันนั่ง มันอยากจะเดินก็ให้มันเดิน มันอยากจะยืนก็ให้มันยืน การเดินเป็นการบริหารร่างกายทำให้ท้องไม่ผูก ใจทรงอารมณ์เข้าไว้ เวลาที่ใจทรงอารมณ์ของความดีก็ต้องดูกำลังใจด้วย เพราะว่าใจของเราคบหาสมาคมกับนิวรณ์ ๕ ประการมานาน นับเป็นแสน ๆ กัปหรือนับเป็นอสงไขย ๆ กัป มาอยู่ประเดี๋ยวเดียวเราจะจับให้มันอยู่ทรงตัวก็แสนยาก เราจะต้องฝึกฝนด้วยความลำบาก เพราะอามรณ์เคยชินของจิตเป็นอย่างนั้น
    จิตมันคิดเหนือขอบเขตต่าง ๆ มันก็คิดไปรอบ ๆ มีเหตุมีผลไม่มีเหตุไม่มีผลมันก็คิด อยู่เฉยๆ มันก็คิด สถานที่อยู่สบายมันก็คิด คิดกันคนละแบบ มันเป็นอารมณ์คิด แต่อารมณ์คิดของพวกเรานี่ โดยปกติก็มีความคิดอยู่อย่างเดียวว่า เราต้องการจะทรมานทั้งกายทั้งใจก็ดีให้เพลีย เมื่อมันเพลียแล้วมันก็ไม่รับอารมณ์ความชั่ว คืออารมณ์ของอกุศล คิดว่าอารมณ์ที่เป็นกุศลจะมาจากการการเพลียของกายและใจ อันนั้นไม่ถูก กายก็ดีใจก็ดีที่มีอาการเพลียมาก กำลังต้านทานของอารมณ์ที่เป็นอกุศลก็จะไม่มีเหมือนกัน สิ่งที่จะเข้ามาแทนก็คืออกุศล นั่นหมายความว่า ถ้ามันปวด มันเมื่อยขึ้นมา ความเบื่อหน่ายมันจะเกิด อารมณ์ฟุ้งซ่านมันจะมี มันจะมานั่งคิดว่า ถ้าเรากินข้าวมาก ๆ ก็จะดี จะไม่หิวอย่างนี้ และแรงจะไม่หมดแบบนี้ เราอยู่กับสามีภรรยาก็ดี จะได้มีคนปฏิบัติ
    องค์สมเด็จพระสวัสดิ์ตรัสว่า นั่นเป็นความเข้าใจผิดของพราหมณ์ และก็ถือกันมานานดึกดำบรรพ์ เข้าใจว่าเป็นของดี แต่ความจริงมันก็ดีหน่อยหนึ่ง แต่ก็ดีไม่มาก ดีที่ยกตนออกจากกามเข้ามาอยู่ในป่า แต่ทว่าก็เหมือนกับไม้ในป่านั่นแหละ เหมือนกับท่อนไม้ที่มียาง ชุ่มไปด้วยยางและก็แช่น้ำ นั้นมีอุปมาเหมือนกับคนที่เกิดมาเป็นชาวบ้านไม่ใช่นักบวช และก็ยังอยู่ในกามคุณ มีผัวมีเมียกันมีความต้องการในด้านของความรักระหว่างเพศ ด้านของความโลภ ด้านของความโกรธ ด้านของความหลง อันนี้เหมือนกับท่อนไม้ที่ชุ่มไปด้วยยางและก็แช่น้ำ
    สำหรับพวกท่านมีสภาพเหมือนกับไม้ที่ชุ่มไปด้วยยาง แต่ยกมาจากน้ำแล้วคือนักบวช ยกมาให้พ้นจากสภาพของการแช่น้ำ แต่ทว่าถ้าจิตยังอยู่ในขั้นอัตตกิลมถานุโยค คือการทรมานตนก็ดี และกามสุขัลลิกานุโยคก็ดี ถือว่าไม้นั้นยังชุ่มด้วยยาง ยางไม่ได้แห้งไปเพราะว่ากำลังใจตก เพราะการทรมานตน
    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระทศพลจึงได้แนะนำว่า เธอต้องปฏิบัติตามสบายกลาง ๆ แบบสบายๆ ให้อารมณ์เป็นสุข แต่ต้องมีอารมณ์ฝืนจากอารมณ์เดิมที่เราต้องการคือการทรมานตนต้องฝืน ต้องการให้ชุ่มไปด้วยยางนี่ต้องฝืน แต่ความจริงพวกกามนี่เธอไม่มีแล้ว การที่จะไปนึกถึงอยากมีลูก มีเมีย เขาไม่มี เขาเคร่งครัด แต่ว่าอยากอยู่อย่างเดียวว่าทำอย่างนี้ให้ได้มรรคผลได้ผล เป็นคนรู้ประเสริฐกว่าคนอื่น อารมณ์อย่างนี้เป็นอารมณ์ของกาม จงทิ้งไป เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรม
     
  11. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    ศาสดาเทศน์ไป ท่านพวกนั้นก็นั่งฟัง ฟังไปอารมณ์มันก็ตีกันกับการรับคำสอนจากของเดิมว่า มีการทรมานกายเป็นสำคัญ แต่องค์สมเด็จพระภควันต์กลับมาบอกให้เลิกเสีย ก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาว่าอันไหนมันแน่กันหนอ อารมณ์มันตีกัน ตอนนี้อารมณ์ฟุ้งก็เกิดขึ้น
    พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์ต่อไปว่า ผลการปฏิบัติของความดีต้องใช้มรรค ๘ ประการเข้าช่วย มีสัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ และก็มีสัมมาสมาธิ คือการตั้งใจชอบ เป็นปริโยสาร ก็หมายความว่าทรงศีลให้ดี ทำใจให้มั่นคง รู้จักผลแห่งการตัดขันธ์ ๕ เพราะขันธ์ ๕ เป็นปัจจัยของความทุกข์ หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงยก อริยสัจ ว่า ความทุกข์ทั้งหมดที่มีเพราะอาศัยกายเป็นเหตุ ถ้าเราไม่มีร่างกายแล้ว อะไรมันปวด อะไรมันเมื่อย ที่เราปวด เราเมื่อยเพราะมีร่างกาย โรคภัยไข้เจ็บมันเกิดกับกายไม่ได้เกิดกับใจ ความหิวกระหายมันเกิดจากกาย ความแก่มันเกิดจากกาย ความหนาวความร้อนเกิดจากกาย เป็นอันว่ากายเป็นปัจจัยของความทุกข์ ทุกข์ในที่นี้มีอะไรเป็นเหตุ กายมันจะมีมาได้ก็เพราะอาศัยเหตุ ไม่มีเหตุให้เกิดกาย กายมันก็เกิดไม่ได้
    สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสต่อไปว่า กายที่มันจะมีขึ้นมาได้เพราะอาศัยตัณหา กายที่เป็นเหตุของความทุกข์ เป็นเครื่องรับทุกข์ กายก็เหมือนกับเครื่องรับวิทยุ เขาส่งคลื่นมาทางไหนมันก็เข้า ทุกข์ก็มาจากที่อื่น แต่ว่ามาชนกายเข้า คนอื่นเขาด่าเขาว่ามา หูของกายมันก็รับ กลิ่นเหม็นเข้ามา จมูกของกายมันก็รับ รูปร่างลักษณะท่าทางที่ไม่พอใจเกิดขึ้น ตาของกายมันก็รับ ความหนาวความร้อนเข้ามา ผิวกายมันก็รับรสอาหารจะอร่อยหรือไม่อร่อย ชอบใจหรือไม่ชอบใจ ลิ้นของกายมันก็รับรส รวมความว่ากายเป็นหน้าที่รับทุกข์ ฉะนั้นเราจะทำลายทุกข์ให้พ้นไป และก็จะไม่มีกายขึ้นมาได้ก็ต้องทำลายตัวเหตุที่สร้างกายมารับความทุกข์ ด้วยเหตุที่สร้างกายมารับความทุกข์ นั่นก็คือสมุทัย คำว่า สมุทัย คำว่าสมุทัย ด้วยเหตุให้เกิดทุกข์ได้แก่ตัณหา ๓ ประการ คือ
    ๑. อารมณ์ความอยากได้ในสิ่งที่ไม่มี อยากจะให้มีขึ้น ๒. สิ่งที่มันมีขึ้นแล้ว ก็ตะเกียกตะกายป้องกันไม่ให้มันทรุดโทรม ๓. พอทรุดโทรม จะพัง ก็ป้องกันไม่ให้ฟัง ในที่สุดก็ป้องกันไม่ได้ มันก็เป็นทุกข์
    ฉะนั้นเราต้องตัดจุดนี้ การตัดก็ตัดด้วยอริยมรรค คือ สัมมาทิฐิ ตัวปัญญาความเห็นชอบ และก็สัมมาสมาธิเป็นตัวสุดท้าย ตั้งใจไว้ชอบ การตั้งใจทรงอารมณ์เป็นของสำคัญ ถ้าอารมณ์มีความมั่นของจิต การทรงอารมณ์จะดีหรือไม่ดี อยู่ที่ร่างกายสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ ถ้ากำลังร่างกายดี ประสาทดี จิตก็มีกำลังดี กำลังกายไม่ดี จิตก็มีกำลังไม่ดี ฉะนั้นก็ควรจะใช้ทั้งสองอย่างคือกำลังของจิต ในเมื่อร่างกายสมบูรณ์ ได้แก่ สมาธิเป็นตัวสนับสนุน สร้างกำลังให้มีอำนาจเหนือกว่าความต้องการที่เรียกกันว่าฌานโลกีย์
    นอกจากนั้นองค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ตรัสว่า ต้องใช้ปัญญาพิจารณาด้วย ให้เห็นตามความเป็นจริง ว่าร่างกายทั้งชายและหญิงมันเป็นอนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง มันเป็นทุกขัง มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา พังไปในที่สุด เมื่อร่างกายเป็นโรคนิทธัง มันเป็นรังของโรค ปภังคุณัง เน่าเปื่อยไปในที่สุด ขณะเมื่อทรงตัวอยู่ ร่างกายก็มีแต่ความสกปรกโสมมหาอะไรดีไม่ได้
    เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์จบ ทรงชี้เหตุว่า เหตุอันนี้แหละบรรดาเธอทั้งหลาย ถ้าเธอสามารถปฏิบัติได้ตามนี้ กิจที่จะต้องทำของเธอก็ไม่มีอีกแล้ว อาศัยที่ท่านทั้ง ๕ ตั้งใจฟังบ้าง และก็คิดไปบ้าง อารมณ์ค้านกันบ้าง เรียกว่าตีกันยุ่ง ของเก่าไปอย่างหนึ่ง ของใหม่ก็มาอีกอย่างหนึ่ง เราเคยใช้หม้อดินจะมาให้ใช้หม้อโลหะ เคยใช้เตาถ่านจะให้มาใช้เตาแก๊สยุ่งกันไปหมด ทั้งนี้อารมณ์มันก็ตีกัน การรับพระธรรมเทศนาจึงไม่สมบูรณ์แบบ เป็นอันว่าเมื่อเทศน์จบ รู้สึกว่าทั้ง ๕ ท่านมีอารมณ์ต่างกัน ท่านแรกคือพระโกณฑัญญะพราหมณ์มีความแช่มชื่นในจิตทั้ง ๆ ที่อารมณ์เดิมก็คิดต่อต้าน
    พอพระพุทธเจ้าเทศน์วาระแรกให้เลิกอัตตกิลมถานุโยค เมื่อเห็นเหตุผลที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาทรงเทศน์ แต่ว่ามาเห็นเอาตอนปลายที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงโปรดเทศน์แบบนี้ ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ฉะนั้นความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระชินวรและความเชื่อมั่นในตอนต้น ตั้งแต่ตอนเข้าไปพยากรณ์ลักษณะ แต่ว่าเวลาก็ช้าไปนิดกว่าจะเชื่อเป็นอันว่าพอเทศน์จบ ท่านอัญญาโกณฑัญญะ ได้พระโสดาบัน ส่วนพราหมณ์อีก ๔ ท่านยังไม่ได้อะไรเลย ได้แต่ไตรสรณาคมน์ พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณของพระองค์ว่า เวลานี้โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว คำว่าดวงตาในที่นี้หมายถึงปัญญาทราบเหตุทราบผล เป็นอริยชนเบื้องต้นคือพระโสดาบัน
    เพียงเท่านี้เพราะผลงานนี่เป็นเรื่องสำคัญ องค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ทรงดีพระทัย ว่าการบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณของพระองค์นี้ไซร้ไม่ไร้ผล แม้ว่าการเทศน์ครั้งแรกจะได้ผลเพียงหนึ่งคน และก็ได้ผลไม่เต็มที่ ไม่เป็นไร เพราะต้องการผลอย่างเดียว เหมือนกับเราปลูกดอกไม้ต้นไม้นั่นแหละ ปลูกตั้งร้อยต้น พันต้น มันมีผลสักต้นเราก็ชื่นใจฉันใด พระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็เหมือนกัน เทศน์กัณฑ์แรกก่อนจะเทศน์ก็เกี่ยงกันซะย่ำแย่ แต่พอเทศน์จบ ในเมื่อมีผลก็เป็นเหตุให้องค์สมเด็จพระทศพลดีพระทัยมาก ถึงกับเปล่งอุทานวาจาว่า “อัญญาสิ วัฑโพโกณฑัญโญ อัญญาสิ วัฑโพ โกณฑัญโญ แปลเป็นใจความว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้วหรอ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ”
    ความจริงท่านโกณฑัญญะเดิมทีท่านชื่อโกณฑัญญะเฉย ๆ ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปล่งอุทานวาจาอย่างนั้น ฉะนั้น อัญญาสิ จึงต่อหน้าชื่อของท่าน ภายหลังท่านทั้งหลายจึงเรียกว่า ท่านอัญญาโกณฑัญญะ อันนี้เป็นพระนามที่ได้จากการเปล่งอุทานวาจาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและต่อมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเล็ก ๆ น้อย ๆ กระจุ๋มกระจิ๋มอีกไม่กี่วันก็ปรากฏว่าทั้งหมดได้บรรลุมรรคผล คือเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด
    ฉะนั้นองค์สมเด็จพระบรมสุคตเมื่อทราบว่าทุกคนเป็นพระอรหันต์แล้ว สมเด็จพระทีปแก้วทรงทราบว่า อารมณ์ของพระอรหันต์ก็มีความต้องการอย่างเดียว ต้องการให้คนทั้งโลกมีความ
     
  12. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    สบาย สบายแบบไหน ท่านจะไปแจกเงินแจกทอง ท่านไม่มีเงิน ไม่มีทองจะแจก แต่ว่าจริง ๆ แจกเงินแจกทองมันก็สบายไม่จริง แต่ว่ามันเป็นความสุขเฉพาะหน้า
    ฉะนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงมีพระพุทธดำรัสว่าเวลานี้ เธอทั้ง ๕ กิจที่จะพึงทำไม่มีอีกแล้วกิจที่พึงจะทำ เธอทำได้แล้ว และก็จบแล้ว กิจอื่นจากนี้ไม่มี หมายความว่ากิจที่จะทำให้เกิดมรรคเกิดผล นอกจากความเป็นอรหันต์ไม่มีอีกแล้ว เป็นอรหันต์ก็จบกันที แล้วสมเด็จพระมหามุนีจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า พวกเธอทั้งหลายจงช่วยกันไปประกาศพระศาสนา สอนให้คนมีความเข้าใจ บรรดาลูกรักทั้งหลายอาจจะคิดว่า ไม่ได้เรียนอะไรกันมาเลย แล้วจะไปสอนกันยังไง ทั้งนี้ พ่อก็ขอให้ลูกทุกคนดูตัวของตัวเอง ว่าพอลูกทุกคนฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยศึกษาเรื่องราวของพระสงฆ์มาก่อน ไปดูใจลูกเองว่ามีความรู้สึกอะไรขึ้นมาบ้าง นี่แหละธรรมะขององค์สมเด็จพระ ชินวร เมื่อได้แล้วก็เกิดปัญญา
    เหมือนกับเราไม่เคยไปอินเดีย พอไปที่อินเดียก็รู้ว่า กรุงราชคฤห์อยู่ที่ไหน พาราณสีอยู่ที่ไหน อย่างนี้เป็นต้น ข้อนี้ฉันใด ธรรมะขององค์สมเด็จพระจอมไตรถ้าบรรลุมรรคผล ทุกคนก็มีความเข้าใจ ฉะนั้น องค์สมเด็จพระบรมครูจึงได้ส่งไปประกาศพระศาสนา และก็ทรงบอกว่าทางหนึ่งหรือสายหนึ่งไปองค์เดียวนะ อย่าไปซ้ำกันสององค์ ช่วยแยกกันไปสอน นับเป็นอรหันต์ชุดแรกในพระพุทธศาสนา
    ตอนนี้ขอให้ลูกสังเกตให้ดีนะ ว่าทำไมท่านปัญจวัคคีย์ฤาษีทั้ง ๕ ติดตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตั้งแต่เริ่มต้น และเมื่อเวลาที่องค์สมเด็จพระทศพลแสดงพระธรรมเทศนาโปรด ทุกท่านน่าจะเป็นอรหันต์ทันที เหมือนกับคนอื่นทั้งหลายที่ไม่ได้ติดตามพระพุทธเจ้ามาก่อน แต่พอองค์สมเด็จพระชินวรเทศน์จบ อย่างเลวชาวบ้านก็ได้พระโสดาบันบ้าง ส่วนใหญ่ก็เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณกันไปหมด และสำหรับทั้ง ๕ องค์ที่ติดตามองค์สมเด็จพระบรมสุคตมานาน แต่ว่าองค์สมเด็จพระพิชิตมารเทศน์ในตอนแรกพอจบท่านโกณฑัญญะได้พระโสดาบัน อีก ๔ องค์ไม่ได้อะไรเลย ได้แต่เพียงไตรสรณาคมน์ หรือว่าได้แต่เพียงสรณาคมน์เท่านั้น สรณาคมน์แปลว่าการเข้าถึง ได้ที่พึ่ง คือยอมรับนับถือ
    ขอบรรดาลูกรักอย่าลืมว่า พราหมณ์ทั้ง ๕ มีความไม่พอใจในองค์สมเด็จพระจอมไตรมาก่อน ว่าสมเด็จพระชินวรละจากการทรมานกาย เขาถือว่าไม่เป็นเหตุบรรลุมรรคผล เมื่อองค์สมเด็จพระทศพลมายืนยันก็ยอมรับ แต่ว่าการยอมรับ ก็ยังรับไม่เต็มตัว คือรับไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เอาแต่เพียงว่าไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินมาก่อนในลักษณะการพูดอย่างนี้ เมื่อองค์สมเด็จพระมหามุนีทรงยืนยัน ก็จะฟังเทศน์ การฟังเทศน์ ครั้งนี้ถือว่าเป็นการทดลอง ทดสอบความจริงกัน เชื่อก็มีส่วนเชื่ออยู่บ้างว่าไม่เคยพูด และตอนนี้มาพูด พูดตอนมีแรงก็ไม่แน่นักสำหรับคนที่จะหลอกลวงกัน จัดว่าเป็นลีลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อพระปัญจวัคคีย์ ฤาษีทั้ง ๕
    ในสมัยที่องค์สมเด็จพระบรมโกลเชษฐ์ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ในตอนนั้นองค์สมเด็จพระประทีปแก้วยังไม่เสด็จไปเทศน์โปรดบรรดาพระ
    ประยูรญาติมีสมเด็จพระราชบิดา เป็นต้น ทั้งนี้เพราะว่าองค์สมเด็จพระทศพลทรงทราบอุปนิสัยของหมู่พระประยูรญาติทั้งหลายว่า มีทิฐิมานะมาก เพราะการที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงเทศน์โปรดจะมีมรรคมีผลก็ต้องอาศัยคนที่มีรับฟังมีศรัทธาความเชื่อ และก็มีปสาทะ คือความเลื่อมใสเสียก่อน ถ้าขาดศรัทธา ความเชื่อ ปสาทะ ความเลื่อมใส ถึงแม้ว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรจะเทศน์โปรดเท่าไรก็ไม่มีมรรคไม่มีผล
    ฉะนั้นการที่องค์สมเด็จพระทศพลจะเทศน์โปรดใครจึงได้ทรงอาศัยตรวจดูด้วยพระพุทธญาณเสียก่อน ถ้าบุคคลใดตกอยู่ในข่ายพระญาณขององค์สมเด็จพระชินวรเมื่อใด ตอนนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงจะไปเทศน์โปรด ฉะนั้นการเทศน์ของพระพุทธเจ้าจึงไม่เหมือนการเทศน์ของพระสมัยปัจจุบัน ซึ่งการเทศน์ของพระในปัจจุบันนี่ไม่ได้พิจารณาคนอย่างหนึ่ง หรือถ้าจะเปรียบก็เหมือนหมอใช้ยาหม้อใหญ่ ใครเป็นโรคอะไรก็กินยาหมอนั้น ถ้าบังเอิญโรคไปตรงกับยาเข้ามันก็หาย แต่ส่วนใหญ่คนที่เป็นโรคมักจะไม่ตรงกับยาที่ต้มให้ ฉะนั้นโรคจึงไม่หาย
    ข้อนี้มีอุปมาฉันใด การเทศน์ของพระสงฆ์ในสมัยปัจจุบันส่วนใหญ่มักจะเป็นการเทศน์ตามประเพณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีงานศพ งานบวชนาค งานทอดกฐิน ก็นิมนต์พระไปเทศน์ เรื่องเทศน์ที่น่าหนักใจที่สุดก็คือเทศน์งานศพ ซึ่งรู้สึกกว่าจะเป็นประเพณีมากเกินไป ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะสิ่งที่น่ารำคาญใจก็คือว่า ถ้าพระยังไม่เทศน์ แกก็ยังไม่ทุบน้ำแข็ง ถ้าพระเริมเทศน์เมื่อไร เจ้าหน้าที่ฝ่ายน้ำแข็งก็เริ่มทุบน้ำแข็งบนศาลาเมื่อนั้น เป็นอันว่าเสียงพระเทศน์ กับเสียงทุบน้ำแข็งมันดังไม่เท่ากัน คนผู้รับฟังก็ฟังเสียงทุบน้ำแข็งไปก่อน
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเวลาจะไปเทศน์โปรดใคร นอกจากจะทรงทราบอุปนิสัยของคนแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงพิจารณาด้วยว่าการเทศน์คราวนี้เราจะเทศน์เรื่องอะไรจึงจะมีมรรคมีผลแก่บุคคลผู้ฟัง เป็นอันว่าในตอนต้นที่องค์สมเด็จพระทศพลยังไม่ไปโปรดหมู่พระประยูรญาติเพราะหมู่ประยูรญาคิเป็นคนที่มีมานะทิฐิมาก ฉะนั้นพระองค์จึงวนเวียนอยู่ระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองพาราณสี
    ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณได้ ๕ ปี พระราชบิดา และหมู่พระประยูรญาติที่มีความเลื่อมใสได้ทรงทราบข่าวว่า องค์สมเด็จพระบรมศาสดาได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ และก็สอนบุคคลทั้งหลายที่รับฟังพระธรรมเทศนาของท่าน ต่างคนต่างก็ได้บรรลุมรรคผลเป็นอันมาก ก็ตั้งใจคอยอยู่ว่า เมื่อไรหนอองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จมาสู่กรุงกบิลพัสดุ์มหานคร
    ครั้นเมื่อจอมบพิตรอดิศรพรพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช คอยมาสิ้นเวลาถึง ๕ ปี องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ไม่เสด็จไปก็ร้อนพระทัย ว่าจะต้องอาราธนาองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาไปกรุงกบิลพัสดุ์มหานคร ดังนั้นจอมบพิตรอดิศรพระเจ้าสุทโธทนะมหาราชจึงส่งอำมาตย์คนหนึ่งพร้อมบริวาร ๑ พันคน ให้มากราบทูลอาราธนาสมเด็จพระทศพลไปเทศน์โปรด ที่กรุงกบิลพัสดุ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2009
  13. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    เวลานั้นองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ประทับอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหารในกรุงราชคฤห์มหานคร เมื่ออำมาตย์กับบริวารมาเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วองค์สมเด็จพระทีปแก้วแสดงพระธรรมเทศนาโปรด เมื่อจบแล้ว มหาอำมาตย์พร้อมด้วยบริวาร ๑ พันคน ก็บรรลุอรหัตผลเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา ขอบวช แล้วก็ลืมคำสั่งของพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช ตอนนี้ก็สงสัยเหมือนกันว่า ท่านลืมเองหรือพระพุทธเจ้าทรงใช้พุทธปาฏิหาริย์ให้ลืม
    เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะมหาราชเห็นอำมาตย์และบริวารหายไปประมาณ ๑ เดือนไม่กลับ จึงจัดอำมาตย์ประเภทนั้นพร้อมบริวาร ๑ พัน มา ๒-๓ คราวด้วยกัน ทุกคราวท่านทั้งหมดก็บรรลุพระอรหันต์หมด แต่ก็ไม่มีพระองค์ใดทูลอาราธนาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปกรุงกบิลพัสดุ์มหานคร
    พระเจ้าสุทโธทนะ ก็ร้อนพระทัยว่า ส่งไปทีไรก็ไม่กลับมาสักที จึงได้เรียกอุทายีซึ่งเป็นสหชาติ (เกิดวันเดียวกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทั้งหมดมี ๑ พันคน พระเจ้าสุทโธทนะสืบทราบก็นำมาเลี้ยง ให้เป็นเพื่อกับพระสิทธัตถะกุมาร) ท่านอุทายิเวลานั้นเป็นอำมาตย์ผู้ใหญ่ เข้ามาเฝ้า พระเจ้าสุทโธทนะก็สั่งว่า อุทายี ฉันส่งคนไปอาราธนาองค์สมเด็จพระชินสีห์ครั้งละพันคนหลายครั้งแล้ว หายไปหมด แม้แต่องค์สมเด็จพระบรมสุคต และใคร ๆ ที่ส่งไปก็ไม่กลับมา ถ้าเช่นนั้นแล้วละก็ ไหน ๆ เธอก็เป็นสหชาติเป็นเพื่อนเล่นมาตั้งแต่เด็กกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เธอจงพาบริวารไปพันคนไปเฝ้าองค์สมเด็จพระทศพแล้วกราบทูลอาราธนาสมเด็จพระบรมศาสดามากรุงกบิลพัสดุ์มหานคร ท่านอุทายีก็ไป
    เมื่อท่านอุทายีเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระชินวรในพระเวฬุวันมหาวิการตอนนั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรมก็แสดงพระธรรมเทศนาโปรด ปรากฏว่า ท่านอุทายี และบริวารพันคนต่างคนต่างก็เป็นพระอรหันต์จึงพากันขอบวชในสำนักขององค์สมเด็จพระภควันต์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อนุญาตโดยเปล่งพุทธวาจาว่า "เอหิภิกขุ" แปลว่า เจ้าจงมาเป็นภิกษุมาเถิด เมื่อพระอุทายีบวชแล้วก็คอยหายโอกาสที่จะกราบทูลอาราธนา อยู่มาวันหนึ่งโอกาสมีแล้วแทนที่ท่านจะกราบทูลอาราธนาโดยตรงว่า เวลานี้พระราชบิดามีพระประสงค์จะอาราธนาพระพุทธองค์ไปกรุงกบิลพัสดุ์มหานคร แทนที่ท่านจะกล่าวอย่างนี้ท่านกลับใช้ลีลาอย่างหนึ่ง ก็กราบทูลพรรรณนาภูมิประเทศระหว่างทางจากกรุงราชคฤห์กับกรุงกบิลพัสดุ์ว่า ระยะทางที่ผ่านมาประมาณ ๖๐ โยชน์ เป็นหนทางที่น่ารื่นรมย์ น่าชมยิ่งนัก
    เป็นอันว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงทราบว่า พระอุทายีต้องการกราบทูลอาราธนาพระองค์ไปกรุงกบิลพัสดุ์ ฉะนั้นพระพุทธองค์ จึงตรัสว่า “อุทายิ ดูก่อน อุทายี การพรรณนาระหว่างทางของกรุงราชคฤห์มหานครกับกบิลพัสดุ์ ว่าเป็นสถานที่ร่มรื่น น่าชื่นชมในการทัศนาจร อันนี้เราทราบว่าเธอต้องการนิมนต์ตถาคตไปกรุงกบิลพัสดุ์ ถ้าอย่างนั้นละก็ตถาคตจะไป
    พร้อมด้วยบริวารจำนวนมาก แต่ก่อนที่ตถาคตจะไปเธอจงพาบริวารของเธอทั้งพันองค์ล่วงหน้าไปก่อน ไปทำให้จอมบพิตรอดิศรและหมู่พระประยูรญาติให้เกิดศรัทธา[FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]พระอุทายีก็ปฏิบัติตาม
    ต่อมาสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์ ๒ หมื่นองค์เศษติดตามไปด้วย ระยะทาง ๖๐ โยชน์ พระพุทธองค์เสด็จไปวันละ ๑ โยชน์ ก็ทรงค้างแรม จึงใช้เวลาถึง ๖๐ วัน ทั้งนี้เพราะว่าองค์สมเด็จพระบรมศาสดาให้พระอุทายีไปสร้างศรัทธาก่อน เพราะหมู่ประยูรญาติมีทิฐิมานะมาก ถ้าใครเป็นเด็กกว่าละก็ไม่ยอมไหว้
    ครั้นเวลาครบ ๖๐ วัน องค์สมเด็จพระภควันต์ก็เสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ์มหานคร จอมบพิตรอดิศรพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช พร้อมด้วยหมู่พระประยูรญาติก็เสด็จออกมารับแล้วจัดที่พักให้ในเมือง เป็นมหาวิหารกว้างขวางมากพอกับพระสงฆ์ ๒ หมื่นองค์เศษ มีพระประยูรญาติบางคนแก่กว่าสมเด็จพระทศพลคิดว่า สิทธัตถะราชกุมารเป็นคนชั้นลูกชั้นหลาน ถ้าหากเราจะกราบจะไหว้ก็ไม่เป็นการสมควร จึงจัดให้ลูกหลานอายุอ่อนกว่าสมเด็จพระบรมศาสดานั่งข้างหน้า ตัวเองนั่งแถวหลัง แต่สมเด็จพระราชบิดาคือพระเจ้าสุทโธทนะมหาราชก็ทรงถวายนมัสการองค์สมเด็จพระพิชิตมารตามปกติ ซึ่งพระองค์เคยไหว้มาแล้วถึง ๓ วาระ แต่หมู่พระประยูรญาติที่แก่กว่าไม่ยอมไหว้ สมเด็จพระจอมไตรสังเกตอากัปกิริยาของหมู่พระประยูรญาติว่ายังไม่มีศรัทธา ยังไม่สมควรจะแสดงพระธรรมเทศนา
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ เวลาจะเทศน์โปรดใคร บุคคลนั้นต้องมีศรัทธา มีความเคารพในธรรม ถ้าคนใดไม่ยอมเคารพในธรรมองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะไม่ยอมเทศน์ ฉะนั้นการแสดงพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์แต่ละคราวจึงได้มีมรรคผล ไม่เหมือนบรรดาท่านสาธุชนในสมัยปัจจุบันที่นิมนต์พระไปเทศน์ตามประเพณีในงาน พระก็เลยเทศน์ตามประเพณี ก็เลยไม่มีผลตามประเพณีเหมือนกัน ใครกินเหล้าก็ยังกินเหล้าต่อไป ใครลักขโมยก็ยังลักขโมยต่อไป ใครฆ่าสัตว์ก็ฆ่าสัตว์ต่อไป ใครที่โกหกก็โกหกต่อไป ใครที่เจ้าชู้ไม่เลือกก็ประพฤติผิดในกามต่อไป ไม่มีผลตามประเพณี
    ขอย้อนถึงองค์สมเด็จพระทศพล ความจริงพระองค์ไม่ได้ถือตัว แต่ว่าส่วนใหญ่เขาเคารพ ที่ส่วนน้อยที่ไม่เคารพถือว่าพระพุทธองค์เด็กกว่า ฉะนั้นอาศัยที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดามีพระมหากรุณาธิคุณต่อหมู่พระประยูรญาติ จึงทรงแสดงพุทธปาฏิหาริย์ เหาะขึ้นไปบนอากาศวนไปวนมาแสดงความมหัศจรรย์
    ในตอนนั้นพระพุทธบิดาลุกขึ้นถวายนมัสการด้วยความเคารพแล้วก็ประกาศว่า "ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า การถวายนมัสการพระองค์นี้ขาพเจ้ากระทำแล้วเป็นวาระที่ ๓ ในครั้งนี้ คือว่าครั้งแรกเมื่อคลอดออกจากครรภ์มารดาได้ ๗ วัน ในตอนนั้นมีพราหมณ์ท่านหนึ่งมาเยี่ยม พระพุทธองค์ยังเป็นเด็กเล็กอยู่ก็แสดงปาฏิหาริย์ไปยืนอยู่บนชฎาของชฏิลผู้มาเยี่ยม ตอนนั้นข้าพระพุทธเจ้าก็ถวายนมัสการครั้งหนึ่งแล้ว 
    [/FONT]
     
  14. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระประทีปแก้วมีอายุได้ ๗ ปี วันนั้นกำลังทำพิธีแรกนาขวัญอยู่ องค์สมเด็จพระบรมครูนั่งอยู่ใต้ต้นไทรทรงเข้าสมาธิอานาปานุสติกรรมฐานถึงปฐมฌาน ความมหัศจรรย์เกิดขึ้น คือตะวันคล้อยบ่ายไปมากแล้ว แต่เงาร่มของต้นไม้ยังตรงอยู่เหมือนกับเวลาเที่ยงวัน ข้าพเจ้าเห็นอัศจรรย์ก็ถวายนมัสการพระองค์อีกเป็นวาระที่ ๒ ครั้นมาคราวนี้องค์สมเด็จพระมหานุมีเสด็จมา ข้าพระพุทธเจ้าก็ถวายนมัสการเป็นวาระที่ ๓ เมื่อบรรดาหมู่พระประยูรญาติเห็นความหัศจรรย์อย่างนั้นก็พากันไหว้พากันกราบ
    เมื่อสมเด็จพระบรมโลกนาถเห็นว่าหมู่พระประยูรญาติคลายมานะความถือตัวถือตน องค์สมเด็จพระทศพลจึงเสด็จลงมา หลังจากนั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แสดงพระธรรมเทศนาโปรด ขึ้นต้นศีลห้า คือแนะนำให้เคารพในพระรัตนตรัย แสดงถึงคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ แล้วจบลงด้วยอานิสงส์ของศีลห้าว่ามีประโยชน์เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข
    เมื่อเทศน์จบ สมเด็จพระราชบิดาได้ดวงตาเห็นธรรม คือบรรลุพระโสดาปัตติผล และหมู่พระประยูรญาติก็ได้มรรคผลไปตาม ๆ กัน เมื่อเทศน์จบคราวนี้มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น คือ ฝนโบกขรพรรษ ตกลงมา สำหรับฝนโบกขพรรษนี่ ไม่เหมือนฝนตกธรรมดาคือตกเป็นละออง และน้ำฝนมีสีแดงคล้ายสีเท้านกพิราบ ถ้าใครต้องการให้เปียกมาก็เปียกมาก ใครต้องการให้เปียกน้อยก็เปียกน้อย ใครไม่ต้องการให้เปียกฝนก็จะไม่เปียก ทั้งนี้เป็นเพราะว่า เป็นฝนมาจากเทวดาบันดาล ครั้นฝนหายไปแล้ว เทศนาจบแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็เสด็จเข้าที่พักในมหาวิหาร บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็มานั่งคุยกันว่าวันนี้อัศจรรย์จริง การแสดงพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าครั้งไรไม่เคยมีฝนโบกขรพรรษอย่างเช่นครั้งนี้ เราไม่เคยเห็น
    คราวนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์ประทับอยู่ในมหาวิหารทรงทราบเรื่องที่บรรดาพระสงฆ์สั่งสนทนากันเห็นว่าเป็นประโยชน์ พระพุทธองค์จึงเสด็จออกจากมหาวิหารเข้าไปประทับนั่งระหว่างท่ามกลางสงฆ์ เมื่อพระสงฆ์ปูอาสนะถวายแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ประทับนั่ง แล้วทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า "ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอสั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร" พระสงฆ์ทั้งหลายก็พรรณนาเรื่องที่สนทนากันมาแล้ว ถวายให้ทรงทราบ
    องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า "ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ตถาคตมีบารมีเต็มได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าแล้วได้ทำให้ฝนโยกขรพรรษให้ตกลงมาได้อย่างนี้เป็นของไม่อัศจรรย์ เพราะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าในสมันเมื่อตถาคตยังบำเพ็ญบารมีอยู่ คือบารมียังไม่เต็มแต่ตถาคตสามารถทำฝนโบกขรพรรษให้ตกลงมาได้อย่างนี้จึงถือว่าเป็นของอัศจรรย์" ตรัสแล้วพระพุทธองค์ก็ทรงดุษณีภาพนิ่งอยู่
    บรรดาพระสงฆ์อยากรู้เรื่องราวเป็นมายังไง จึงกราบทูลอาราธนาสมเด็จพระบรมศาสดาแสดงธรรมเบื้องต้น สมเด็จพระภควันต์จึงแสดงพระธรรมเทศนาให้ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายฟังว่า "ในสมัยเมื่อตถาคตยังมีบารมีไม่เต็ม ทรงเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรหน่อพระบรมพงศ์โพธิสัตว
    สามารถทำฝนโบกขพรรษให้ตกลงมาได้เป็นของอัศจรรย์อย่างยิ่ง" แล้วมสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงเล่าเรื่องพระเวสสันดรให้ภิกษุสงฆ์ฟัง
    เวลาผ่านไป ๒ ปี นับจากที่องค์สมเด็จพระพระชินสีห์ที่เสด็จมากรุงกบิลพัสดุ์มหานครแล้ว ก็เป็นพรรษาที่ ๗ นับจากพระพุทธองค์ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณในปีนั้นองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงพิจารณาว่า พระราชบิดาคือพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช พระบาทท้าวเธอเป็นผู้มีพระคุณใหญ่มาหลายอสงไขยกัปแล้ว คือเป็นบิดา และเวลานี้ตถาคตก็ได้แสดงธรรมเทศนาเป็นเหตุให้พระองค์บรรลุพระโสดาบัน และในกาลสุดท้ายขณะที่พระองค์ประชวรหนัก สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก ๒ หมื่นองค์เศษ ได้เสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์อีกวาระหนึ่ง
    คราวนี้พระองค์เสด็จเจ้าไปในห้องบรรทมของพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงรู้อยู่ แต่ทว่าเป็นวิสัยขององค์สมเด็จพระบรมครู จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า "มหาราชะ ขอถวายพระพร พระมหาบพิตรพระราชสมภาร เวลานี้ทุกขเวทนาทางกายของพระองค์เป็นประการใดบ้าง มันบีบคั้นมากไหม" พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชก็กราบทูลต่อพระพุทธองค์ว่า "ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระพุทธเจ้าข้า ทุกขเวทนามันบีบคั้นเกือบจะทนไม่ไหว"
    สมเด็จพระจอมไตรจึงได้ตรัสว่า "พระมหาบพิตร พระองค์ทางมีพระสติเป็นประการใด ความดีที่พระองค์ทรงไว้ คือทรงศีล ๕ เป็นปกติ และเข้าถึงไตรสรณาคมน์คือเคารพพระพุทธเจ้า เคารพพระธรรม เคารพพระสงฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์ปักลงตรงนิพพาน อารมณ์จิตอย่างนี้คลายไปจากจิตพระองค์แล้วหรือยัง"
    พระสุทโธทนะมหาราชก็กราบทูลว่า “ความเคารพพระพุทธเจ้าก็ดี เคารพพระธรรมก็ดี เคารพพระสงฆ์ก็ดี ศีล ๕ ของข้าพระพุทธเจ้าก็ดี และอารมณ์จิตมุ่งหวังพระนิพพานก็ดี สิ่งทั้ง ๓ ประการนี้ยังไม่คลายไปจากจิต พระพุทธเจ้าข้า”
    สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้มีพระพุทธฎีกา ตรัสถามว่า “พระมหาบพิตร อาตมาอยากจะถามพระองค์ว่า เวลานี้พระองค์เห็นแล้วหรือยังว่า ร่างกายมันเป็นเราเป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเรา” (เวลานั้นปรากฏว่าทุกขเวทนาครอบงำพระองค์หนัก) พระเจ้าสุทโธทนะจึงได้กราบทูลองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถว่า “ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า เวลานี้ทุกขเวทนามันบีบคั้นหนัก ร่างกายมันเจ็บไปหมด”
    และประการที่สองที่พระพุทธองค์ตรัสถามว่า “เห็นว่าร่างกายเป็นเราเป็นของเรา เรามีในร่างกายร่างกายมีในเรา เวลานี้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นแล้วพระพุทธเจ้าข้า ร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายมันเป็นแต่เพียงธาตุสี่ คือธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุลม เป็นที่อาศัยของจิต ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก ร่างกายไม่มีการทรงตัว มีการเกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมมีแต่ความทุกข์ มีโรคภัยเบียดเบียน ทำให้มีทุกขเวทนาอย่างสาหัส ข้าพระพุทธเจ้ามีความเห็นว่า ร่างกายนี้มีสภาพนอกเหนือจากจิตใจ ไม่ใช่ร่างกายของข้าพระพุทธเจ้า และเป็นร่างกายที่
    ประกอบด้วยโทษ หาประโยชน์มิได้ เมื่อมีชีวิตอยู่ก็ต้องปรนเปรอทุกอย่าง ไม่ต้องการให้มันแก่มันก็แก่ ไม่ต้องการให้มันป่วยมันก็ป่วย ไม่ต้องการให้มันพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มันก็พลัดพรากจากของรักของชอบใจ เวลานี้ความตายมันจะเข้ามาถึงร่างกายก็ห้ามมันไม่ได้ แต่ว่าจิตใจของข้าพระพุทธเจ้ามิได้มีความต้องการร่างกายนี้ต่อไป เห็นว่าร่างกายนี้เป็นพิษเป็นภัย ข้าพระพุทธเจ้าต้องการพระนิพพานเป็นที่ไปพระพุทธเจ้าข้า”
    สมเด็จพระบรมศาสดาเมื่อทรงสดับ ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ (ความจริงพระพุทธเจ้าโดยปกติไม่ยิ้ม ไม่ใช่ว่าพระองค์ไม่อยากยิ้ม เพราะว่าเป็นประเพณีของพระพุทธเจ้า ถ้ายิ้มจะต้องมีเหตุ ถ้าไม่มีเหตุพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่ยิ้ม แต่ไม่ใช่หน้าบึ้ง ทรงวางพระทัยสบาย) เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงแย้มพระโอษฐ์แล้ว พระอานนท์ซึ่งเป็นพระอุปัฏฐากขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็จะต้องกราบทูลถามเหตุผลทันที ว่าพระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์เพราะเหตุประการใดพระพุทธเจ้าข้า
    สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “อานันทะ ดูก่อนอานนท์ หรือว่าภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เวลานี้พระเจ้าสุทโธทนะซึ่งเป็นพระราชบิดาของเรามาในกาลก่อน เวลานี้จอมบพิตรมีจิตเข้าถึงความเป็นพระอรหัตผลแล้ว เป็นอันว่าการจะแคล้วจากกันจนถึงอายุขัยย่อมไม่มี จะต้องนิพพานในวันนี้ แต่ทว่าเวลานี้ทุกขเวทนาของพระเจ้าสุทโธนะมหาราชมีความทุกข์อย่างหนักทุกส่วนของร่างกายถูกบีบคั้นไปด้วยทุกขเวทนา แต่ทว่าที่พระองค์ทรงพูดกับเราได้เหมือนคนปกตินั้นเพราะว่าใช้ ขันติธรรม ข่มกำลังใจ และมีกำลังใจสูง เวลานี้จิตใจของพระองค์แจ่มใสเป็นกรณีพิเศษ”
    ตามที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ตรัสอย่างนี้ พระอรหันต์ทุกองค์ท่านก็ทราบเพราะเป็นพระอรหันต์ด้วยกัน ย่อมเห็นใจกัน ดังนั้นทุกองค์จึงยกมือพนมขึ้นว่า “สาธุ” เป็นความจริงตามที่พระองค์ตรัสแล้ว พระพุทธเจ้าข้า (ท่านที่เป็นพระอรหันต์ย่อมรู้วาระของคนที่เป็นพระอรหันต์ รวมทั้งรู้วาระของคนที่เป็นพระอนาคามี พระสกิทาคามี พระโสดาบันด้วย และยังรู้ถึงทุกขเวทนาทางร่างกายที่มันจะพังว่ามันมีการบีบคั้นอย่างหนัก)
    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า “ต่อแต่นี้ไปตถาคตจะลดทุกขเวทนาทางร่าง
     
  15. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    กายของพระพุทธบิดา” แล้วสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงตั้งสัตยาธิษฐานเป็นพระพุทธฎีกาว่า “บุญบารมีใดที่ตถาคตบำเพ็ญมาแล้ว สิ้นเวลาสี่อสงไขยกับแสนกัปเพื่อปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า รื้อความทุกข์ของคนทั้งหลายให้มีความสุข รอจากวัฏฏะ คือเวียนตายเวียนเกิดในวัฏสงสาร มีพระนิพพานแดนเกษมสันต์เป็นที่ไป ฉะนั้น บุญบารมีใดที่ตถาคตสั่งสมไว้ในกาลก่อนจนกระทั่งวันบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธญาณ ขอบุญบารมีอันนี้นั้นจงช่วยให้พระพุทธบิดา คือพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช หายจากทุกขเวทนาที่บีบคั้นพระวรกายอยู่เวลานี้” แล้วองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงยกพระหัตถ์ลูบตั้งแต่พระเศียรถึงพระบาทสามวาระ แล้วสมเด็จพระพุทธองค์จึงตรัสถามพระพุทธบิดาว่า “เวลานี้ทุกขเวทนาบรรเทาแล้วหรือยัง” ื้
    พระเจ้าสุทโธทนะก็กราบทูลว่า “เวลานี้ทุกขเวทนาทั้งหมด ปรากฏว่าหายไปพร้อมกับพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงลูบตั้งแต่ศีรษะถึงปลายพระบาท” (คือมือแตะศีรษะอาการปวดศีรษะก็หาย ลูบไปถึงคออาการเจ็บก็หาย คล้าย ๆ กับปาดโรคให้หมดไป) เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทำตามนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์ก็ให้พระสงฆ์ที่อยู่ใกล้ ๆ ใครอยากจะสงเคราะห์พระสุทโธทนะทำได้ (พระสงฆ์ไป ๒ หมื่นองค์เศษ ทำทุกองค์ก็ไม่ไหว) ตอนนั้นก็เป็นหน้าที่ของ พระนันทะ ซึ่งเป็นพระราชโอรสเหมือนกัน ต่อมาก็มีพระอานนท์ พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระอนุรุทธ ต่างท่านต่างก็ทำเช่นเดียวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เป็นอันว่าเวลานั้น ทุกขเวทนาทางกายของพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช ไม่มีเลยพระองค์ทรงชื่นจิต หน้าผาผ่องใส มีสภาวะเป็นปกติ แต่ว่าโรคที่มันเบียดเบียนร่างกายก็เป็นเรื่องของโรค ร่างกายที่มันไม่มีแรงลุกไม่ไหว ก็คงลุกไม่ไหวตามเดิม เพราะพระพุทเจ้าไม่ได้ทรงบันดาลให้ลุกขึ้นได้ พระพุทธองค์ทรงบันดาลให้บรรเทาจากทุกขเวทนา
    ต่อจากนั้นมา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า “ความดีเดิมของพระองค์ไม่เสื่อม เวลานี้ตถาคตก็ทราบดีว่ากำลังใจของพระองค์ไม่ติดอยู่ในร่างกายเดิมแล้ใช่ไหม” พระองค์ก็ยอมรับว่า “เป็นความจริงพระพุทธเจ้าข้า” “ร่างกายของบุคคลอื่น พระองค์ทรงห่วงใยใครบ้าง” พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชก็กราบทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้าไม่ห่วง พระพุทธเจ้าข้า เพราะทราบว่าร่างกายนี่ประเดี๋ยวมันก็พัง”
    ต่อมาพระพุทธองค์ก็ตรัสถามว่า “ทรัพย์สินในการเป็นพระราชา ในการครองราชย์ ความยิ่งใหญ่ในฐานะที่เป็นพระราชาห่วงไหม” พระเจ้าสุทโธทนะก็ประกาศว่า “ไม่ห่วง พระพุทธเจ้าข้า” สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสถามต่อไปอีกว่า “สมบัติทั้งหลาย ประชากรข้าราชบริพารของพระองค์ล่ะ ห่วงไหม” พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชก็ทรงประกาศว่า “ไม่ห่วง พระพุทธเจ้าข้า” คราวนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์ ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์ก็กราบทูลถามต่อไปว่า “พระพุทธองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์เพราะอะไร พระพุทธเจ้าข้า” (ไม่ถามไม่ได้ เพราะเป็นหน้าที่ของพระพุทธอุปัฏฐาก)
    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า “อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เวลาอีกชั่วไม่กี่ขณะจิตจากนี้ไป พระพุทธบิดาคือพ่อของเราจะไปนิพพาน” หลังจากองค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสจบ เพียงชั่วครู่เดียว พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชซึ่งนอนเจ็บอยู่เวลานั้น แต่ไม่มีทุกขเวทนาด้วยอำนาจพุทธานุภาพและสังฆานุภาพพระองค์ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นพนมกล่าวคำขอขมาโทษต่อพระรัตนตรัยว่า “กรรมใดที่ข้าพระพุทธเจ้าได้เคยประมาทพลาดพลั้งในสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี ในพระธรรมก็ดี ในพระอริยสงฆ์ทั้งหลายก็ดี ตั้งแต่อดีตกาลมาจนปัจจุบันด้วยเจตนาก็ดี ไม่มีเจตนาก็ดี เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอบรรดาพระอริยสงฆ์ทั้งหลายพร้อมด้วยองค์
    สมเด็จพระชินสีห์เป็นประธาน ได้โปรดอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะเข้าพระนิพพาน”
    บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายและองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยกพระหัตถ์ขึ้นกล่าวว่า “สาธุ” พร้อมกัน แล้วพระเจ้าสุทโธทนะก็กราบนมัสการองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้ง ๆ ที่นอนอยู่นั่นอีกครั้งหนึ่งตรัสว่า “เวลานี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอทูลลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ในที่นี้และไม่ได้ปรากฏอยู่ด้วย ตลอดจนกระทั่งบรรดาคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ถึงวาระแล้วที่ต้องลาไป” แล้วองค์สมเด็จพระจอมไตรและบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็ยกมือขึ้น “สาธุ” พร้อมกับสร้างความชื่นใจให้ปรากฏ
    เป็นอันว่าเวลานั้น พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชก็นิพพาน (กาลัง กัตตวา ตามภาษาบาลีกล่าวว่า ถึงเวลาที่ต้องไป) พระองค์ก็ไปสู่แดนพระนิพพานตามพระประสงค์ของพระองค์ มีจริยาหนึ่งของพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช ที่ทรงปฏิบัติแด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าคือ พระองค์เป็นพ่อของพระสิทธัตถะราชกุมาร แต่ทว่าพระองค์ไม่ใช่พ่อของพระพุทธเจ้า สิทธัตถะราชกุมารเดิมเป็นลูกของท่าน เวลานี้สิทธัตถะราชกุมารบรรลุธรรมพิเศษเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็วางตัวตามความเหมาะสม คิดว่า คนนี้ร่างกายนี้เป็นร่างกายของลูก แต่ว่าความดีที่ลูกทรงอยู่นี้ไม่ใช้เรื่องของลูก เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า ฉะนั้นท่านจึงวางใจถวายนมัสการด้วยความเคารพในฐานะลูกเป็นพระพุทธเจ้าไม่ใช่ฐานะพ่อกับลูก
    เป็นอันว่าพระเจ้าสุทโธทนะมหาราชก็นิพพานก่อนสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอย้อนกล่าวถึงคราวที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมากรุงกบิลพัสดุ์มหานครเป็นครั้งแรกนั้น บุคคลที่สำคัญอีกท่านหนึ่งคือพระนางพิมพาราชเทวี พระองค์รู้ข่าวว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์เสด็จมาโปรดก็ดีใจมาก เพราะนับตั้งแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปจากพระราชวังคราวนั้นแล้วไม่เคยพบองค์สมเด็จพระประทีปแก้วเลย
    วันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกมหาภิเนกษกรมณ์ในคราวนั้นปรากฏว่า องค์สมเด็จพระภควันต์ หนีเขาออกไป หนีพ่อ หนีแม่ หนีเมีย และหนีลูก หนีทุกคนที่อยู่ในนั้น เพราะองค์สมเด็จพระภควันต์ไม่ได้ลาใครเลย พระองค์ตัดกำลังใจครั้งใหญ่ที่สุด นั่นก็คือ ในวันนั้นพระองค์กำลังอยู่ในพระราชอุทยาน มีเจ้าพนักงานมากราบทูลว่า เวลานี้พระนางพิมพาราชเทวีประสูติพระราชโอรส ปรากฏว่ามีรูปงามเหลือเกิน ตอนนี้องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็มาดำริว่า “ปุตตัง ชีเว ห่วงลูกผูกคอเกิดขึ้นแล้ว”
    (ตามธรรมดาพระพุทธเจ้าตรัสห่วงไว้ ๓ ห่วง คือ ๑.ปุตตัง ชีเว ห่วงลูกผูกคอ ๒.ธนัญปาเท การ
    ห่วงในทรัพย์ เปรียบเสมือนมีใครมาผูกข้อเท้าไว้ไปไหนไม่ค่อยจะได้ เพราะห่วงทรัพย์ ๓.ภริยาหัตเถ ห่วงภรรยา มันหนักที่มือเพราะต้องทำงานมาก)
    ดังนั้น ในวันนั้นเมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า พระราชโอรสเกิดจึงตรัสว่า โอหนอห่วงใหญ่เกิดขึ้นแล้ว ปุตตัง ชีเว ห่วงลูกผูกคอเกิดขึ้นแล้ว แต่ทว่าอาศัยองค์สมเด็จพระประทีปแก้วได้ทรงบำเพ็ญบารมีมาถึงสี่อสงไขยกับแสนกัป มีพระพุทธประสงค์ตรงโดยเฉพาะว่า ตั้งใจจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นจากวัฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิด เพื่อหวังพระนิพพานเป็นที่ไป ดังนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงได้ตัดสินพระทัยว่า ลูกจะออกวันนี้หรือวันไหนไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่า เราจะห่วงลูกดีหรือว่าจะห่วงมนุษย์ทั้งโลกดี เป็นอันว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาก็ทรงตัดสินพระทัยว่า “เราห่วงการทำกำลังใจที่ไม่บริสุทธิ์ ให้เป็นกำลังใจที่บริสุทธิ์ เป็นของประเสริฐกว่า”
    หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระบรมศาสดาก็ทรงดำริว่า “ถ้าเราเป็นผู้บริสุทธิ์ บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเมื่อไร โอกาสที่เราจะช่วยคนทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังซึ่งมีความทุกข์ถึงเราอยู่ ให้พ้นจากความทุกข์ได้ เป็นการใช้หนี้ความดีของเขาที่มีความห่วงใยในเรา”
    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเสด็จออกไปจากตำหนักในคืนวันนั้น โดยไม่สนใจกับใครทั้งหมด คืนนั้น ก่อนที่องค์สมเด็จพระบรมสุคตจะเสด็จออก พระองค์ก็ย่อง ๆ ๆ เข้าไปในที่ประทับของพระนางพิมพา ค่อย ๆ แย้มม่านออกดู เห็นโฉมตรูพิมพาราชเทวีกำลังหลับกกพระราหุลลูกน้อยอยู่ แล้วองค์สมเด็จพระบรมครูก็ตัดสินใจว่า “ไปละ ลูกจะเป็นยังไง เมียจะเป็นยังไงนี่ไม่สำคัญ เราเห็นความสำคัญที่มีอยู่ คือ พระโพธิญาณ” องค์สมเด็จพระพิชิตมารจึงเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์
    รุ่งเช้าคนทั้งหลายไม่เห็นพระองค์ แต่ตอนเย็นทุกคนเห็นนายฉันนะซึ่งเป็นสหชาติของพระพุทธองค์กลับมาพร้อมด้วยเครื่องแต่งองค์ของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า วันนั้นทุกคนทราบว่า พระสิทธัตถะราชกุมารซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ และอีก ๗ วัน ก็จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช พระองค์ตัดสินพระทัยออกบวชซะแล้ว
    เมื่อพระนางพิมพาทราบข่าวการบวชของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์จึงได้ถามนายฉันนะ ว่า "องค์สมเด็จพระภควันต์ทรงเครื่องสีอะไร และที่พระวรกายของพระองค์ทำอะไรบ้าง" นายฉันนะก็กราบทูลว่า "สมเด็จพระบรมศาสดาเมื่อถึงสถานที่แล้ว พระองค์จับพระขรรค์แก้วมาตัดพระเมาลี (ตัดผม) แล้วปรากฏว่า ผมที่เหลืออยู่ขมวดเหมือนกับโกนศีรษะ หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์ก็ทรงเครื่องที่ย้อมด้วยน้ำฝาด"
    เมื่อพระนางพิมพาทราบอย่างนั้นก็สั่งให้คนมาโกนผมบ้าง และห่มผ้าที่ย้อมน้ำฝาดบ้าง ต่อมาได้ทราบข่าวว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทรมานพระองค์ เสวยกระยาหารน้อย พระนางพิมพาก็เสวยพระยาหารน้อยบ้าง ต่อมาทราบว่าองค์สมเด็จพระภควันต์เข้าไปพักที่โคนต้นโพธิ์นั่งสมาธิ ทำจิตสงบ เมื่อข่าวนี้มาถึงพระนางพิมพาก็อาศัยโคนต้นไม้ที่มีอยู่ในพระราชฐานเป็นที่
     
  16. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    เจริญสมาธิบ้าง เป็นอันว่าได้ทราบข่าวว่าพระพุทธเจ้าทำแบบไหน พระนางพิมพาก็ทำแบบนั้นทุกอย่าง ทั้งนี้เพราะเป็นคู่บารมีกันมานานนักหนาในกาลก่อน
    เมื่อองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดหมู่พระประยูรญาติ อันมีพระราชบิดา คือพระเจ้าสุทโธทนะมหาราชเป็นประธานแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงระลึกพระนางพิมพาที่เป็นคู่บารมีกันมา นับตั้งแต่เอนกชาติ คือ ตั้งแต่เริ่มต้นที่องค์สมเด็จพระทศพลทรงปรารถนาพระโพธิญาณ พระนางพิมพาก็เข้าไปตั้งปณิธานปรารถนาต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ว่าปรารถนาเป็นคู่บารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์จนกว่าจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ
    และก็พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชกับพระนางสิริมหามายาราชเทวี เวลานั้นก็เป็นชาวบ้านธรรมดา ต่างคนต่างก็เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์นั้น ว่าขอเป็นพระพุทธบิดา ขอเป็นพระพุทธมารดาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และมีเด็กชายคนหนึ่งเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ว่าขอเป็นราชโอรส เป็นลูกติดตาม
    นี่เป็นอันว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบความจริงว่า ยอดหญิงพิมพาเป็นคู่บารมีกันมาตั้งแต่ต้นจนอวสาน การแสดงพระธรรมเทศนาโปรดหมู่พระประยูรญาติและสมเด็จพระราชบิดาคราวนั้นปรากฏว่า พระนางพิมพาไม่ยอมไปฟังเทศน์ มีคนไปกราบทูลให้ทรงทราบ พระนางก็ตรัสว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]"[/FONT]ในเมื่อพระลูกเจ้าเสด็จมาถึงประเทศนี้แล้ว และองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงรู้จักตำหนักนี้ดี เคยอยู่มาก่อน ถ้าองค์สมเด็จพระชินวรไม่เสด็จมาโปรดเราถึงที่ เราก็ไม่ไป[FONT=Cordia New,Cordia New]" [/FONT]
    นี่เพราะอาศัยน้ำใจที่พระนางมีความรัก ทําทุกสิ่งทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติแต่ครั้นองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์เสด็จมา พระนางก็เกิดการน้อยใจว่า ตำหนักนี้เคยอยู่ ทำไมองค์สมเด็จพระบรมครูจึงไม่มาเทศน์โปรดสอนเราถึงตำหนัก เมื่อท่านไม่มาเราก็ไม่ไป
    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ทรงรู้น้ำพระทัยของพระนางพิมพาดี องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงทรงตั้งใจจะไปโปรดพระนางพิมพาถึงตำหนักที่อยู่ และองค์สมเด็จพระบรมครูก็ทรงทราบว่า การไปคราวนี้ พระนางพิมพาอาศัยที่มีความรักความอาลัยอยู่เดิมจะเข้ามากอดที่ขาของพระองค์แล้วก็พร่ำรำพันถึงความทุกข์ และความรักในอดีต กิจนี้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของสตรี แต่ถ้าเราจะห้ามพิมพาไม่ให้ทำอย่างนี้ การบำเพ็ญบุญบารมีมาถึงสี่อสงไขยกับแสนกัป ความจริงพระนางพิมพาไม่เคยทำบุญด้วยตนเองเลย มีอย่างเดียวเราทำอะไร เธอยินดีด้วยช่วยโมทนา เป็นปัตตานุโมทนามัย หากว่าเราห้ามพิมพาไม่ให้มากอดขาเราแล้วไซร้ พิมพาจะอกแตกกาย ไม่ได้บรรลุมรรคผล เป็นอันว่าผลที่ติดตามมาถึงสี่อสงไขยกับแสนกัปก็จะไม่เกิดผล ถ้าเราห้ามเธอไม่ให้มากอดขาเรา
    เมื่อองค์สมเด็จพระทศพลทรงตัดสินพระทัยว่าเรื่องอย่างนี้จะเกิดขึ้นมาก็ [FONT=Cordia New,Cordia New]"[/FONT]ไม่เป็นไร เพราะจิตใจของเราไม่มีกิเลสแล้ว[FONT=Cordia New,Cordia New]" [/FONT]แต่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงมีความไม่ประมาท [FONT=Cordia New,Cordia New]([/FONT]ไม่ใช่ว่า ไม่มีกิเลสแล้วจะทำอะไรก็ได้ ไม่เกรงใจคนที่อยู่ในโลกีย์วิสัยจะติฉินนินทาเพราะว่า นินทาปสังสา เป็น
    ธรรมดาของชาวโลก แม้จะกล่าวโดยธรรมจะมีผลไม่ใหญ่ แต่ทางคดีโลกนี้ไซร้มีผลใหญ่มาก คือคนใดก็ตามที่ถูกนินทาว่าร้าย กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ กว่าที่เขาจะรู้ว่าคนที่ถูกนินทาเป็นคนบริสุทธิ์ เป็นคนดี ดีไม่ดีชาวบ้านชาวเมืองก็หลงเกลียดหลงโกรธไปนับเวลาเป็นแรมเดือน ซึ่งเราท่านทั้งหลายก็คงเคยโดยมาบ้างเหมือนกัน[FONT=Cordia New,Cordia New]) [/FONT]
    เป็นอันว่า เมื่อองค์สมเด็จพระทศพลทรงทราบตามความเป็นจริงแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้ทรงชวนพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตร ๒ ท่านไปเป็นเพื่อน เพื่อเป็นพยาน คือให้ทั้งสองท่านรับทราบไว้ด้วยจะได้ช่วยแก้ความเข้าใจผิดของคนต่อภายหลัง ขณะที่เดินไประหว่างทางยังไม่ถึงตำหนักของพระนางพิมพาราชเทวี สมเด็จพระชินสีห์จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า [FONT=Cordia New,Cordia New]"[/FONT]พระสารีบุตร และพระโมคคัลลาน์ ถ้าเราทั้งสามเจ้าไปในตำหนักของพระนางพิมพาแล้ว ถ้าพระนางพิมพาจะมากอดขาเรา ขอเธอทั้งสองจงอย่าห้าม และขอจงเข้าใจว่า เวลานี้จิตใจของตถาคตน่ะไม่มีอะไรแล้ว แต่ทว่ามีความห่วงใยในพระนางพิมพา ถ้าเธอทั้งสองห้าม เธอไม่มีโอกาสเข้ามากอดขาเรา เธอจะอกแตกตาย เพราะการบำเพ็ญบารมีมาในกาลก่อนไซร้ เธอไม่ได้ทำเอง มีหน้าที่อย่างเดียว คือ โมทนาความดีที่ตถาคตทำ ฉะนั้น การบรรลุมรรคผลของพระนางพิมพาจึงต้องเนื่องด้วยตถาคต จะหาทางช่วยตัวเองให้บรรลุมรรคผลนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้[FONT=Cordia New,Cordia New]" [/FONT]
    พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านเข้าใจว่าเรื่องการจับต้องเนื้อ จับต้องการเพื่อราคะ มันไม่มีแก่พระอรหันต์
    เมื่อพระนางพิมพาทราบจากเจ้าพนักงาน ก่อนที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารจะเสด็จไป พระนางพิมพาก็ดีใจ หายจากความทุกข์โศก ชำระร่างกายให้สะอาด และทราบว่าสมเด็จพระบรมโลกนาถยังทรงเครื่องย้อมน้ำฝาก พระนางนาถก็ทรงแต่งตามนั้น แล้วโกนศีรษะเหมือนกับพระทุกท่าน ดู ๆ ไป ก็คล้ายกับนางภิกษุณี แต่ตอนนั้นยังไม่มี เมื่อพระนางทราบข่าวสมเด็จพระชินสีห์จะเสด็จไป ก็ให้สาวใช้ทำสถานที่ให้สะอาด มีอะไรที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยชอบใจในกาลก่อน พระนางก็สั่งทำเพื่อองค์สมเด็จพระชินวรทั้งหมด
    ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระบรมสุคตเสด็จเข้าไปแล้ว นางแก้วก็เข้ามากอดขาร้องไห้เหมือนกัน ตามที่องค์สมเด็จพระภควันต์ตรัสไว้ เมื่อพระนางสร่างจากความโศกแล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จึงได้มีพระพุทธฎีกาสั่งสอนพระนางพิมพาว่า
    [FONT=Cordia New,Cordia New]"[/FONT]เธอจงอย่าคิดอาลัยในร่างกายและชีวิต เพราะที่ตถาคตออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลียดเธอ แต่มีความหวังอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าเราจะทรงชีวิตอยู่ตามธรรมดาของบุคคลธรรมดา เรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แบบนี้ มันจะหาที่สุดไม่ได้ ทั้งนี้ เพราะการเสวยราชสมบัติเป็นกษัตริย์มันก็มีสภาพไม่พ้นเหมือนบุคคลธรรมดา คือ กษัตริย์ก็ดี ยาจกเข็ญใจก็ดี คนธรรมดาก็ดี มีความเกิดขึ้นมาเป็นเบื้องต้น ร่างกายก็เสื่อมโทรมไปตามลำดับในท่ามกลาง ในที่สุดต่างคนก็ต่างตายเหมือนกัน ชีวิตการเกิดและการตายของสองเรานี้นั้นนับชาติไม่ถ้วน ล้วนแล้วแต่การเกิดมาครั้งใดก็มีแต่ความ
     
  17. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    เหน็ดเหนื่อยร่างกาย เหน็ดเหนื่อยใจ และในที่สุดเราก็ต้องตายกัน ถ้าหากเราจะต้องเกิดมาแล้วก็ตายกันอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ หาที่สิ้นสุดไม่ได้แล้ว ขึ้นชื่อว่า ความสุขใจ มันก็ไม่มี”
    “เวลานี้พี่คือตถาคตได้เข้าถึงการจบแห่งการเวียนว่ายตายเกิดสำหรับตถาคตไม่มี แดนที่จะพึงไป คือ พระนิพพาน เป็นแดนอมตะ หาความตายไม่ได้ และเป็นแดนที่มีความสุขที่สุดที่เรียกว่า เอกันตบรมสุข เป็นความสุขอย่างเลิศประเสริฐกว่าความสุขใด ๆ ที่จะพึงหาได้ในวัฏสงสาร คือ ความสุขในการเป็นมนุษย์ก็ดี ความสุขในการเป็นเทวดาก็ดี ความสุขในการเป็นพรหมก็ดี ยังสุขไม่เท่ากับความสุขในพระนิพพาน”
    “ฉะนั้น ขอน้องหญิงพิมพาราชเทวี ซึ่งเป็นคู่บารมีของตถาคตมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันของเธอจงทรงไว้ซึ่งสัจจธรรม คือ ความดี ตอนต้นให้คิดถึงกฎของธรรมดา มองดูร่างกายของเรา ร่างกายของเธอเมื่อก่อนนี้เป็นเด็ก ต่อมาเป็นวัยสาว เวลานั้นสวยสดงดงามเป็นอย่างยิ่ง จะหาหญิงใดมีผิวพรรณผุดผ่องสวยงามเสมอเหมือนนั้นแสนยาก แต่ทว่าเวลานี้เราสองคนด้วยกันต่างคนต่างก็มีอายุเกินกว่า ๓๐ ปี และจะ ๔๐ ปีแล้ว จงมาดูว่าเราสองคนนี่ ยังคงสดสวย มีผิวพรรณผ่องใส ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวเหมือนสมัยก่อนหรือไม่”
    ขณะเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเทศน์ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ก็มีการแสดงภาพของพระองค์ให้เศร้าหมอง พระนางพิมพาก็มองหน้าพระพุทธเจ้า มองทั่วทั้งพระวรกาย เห็นว่าพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาค่อย ๆ เหี่ยว ค่อย ๆ แห้งลงมาทีละน้อย ๆ ก็สลดใจ แล้วก็มองดูกายของพระนางเองเล่า ก็พบว่า โอหนอ กายของเรานี้ก่อนที่องค์สมเด็จพระชินสีห์จะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ร่างกายของเราเป็นที่น่านิยมน่าชื่นชมมีความน่ารักน่าชื่นใจ เพราะมีความผ่องใสในผิวพรรณ และเนื้อหนังนี้นั้นก็เต็มไปด้วยความอวบอัดเต่งตึงน่ารัก แต่ทว่าระหว่างนี้ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายขององค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ดีรู้สึกว่าเศร้าหมองลงไปมาก ฉะนั้นพระธรรมเทศนาที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งเคยเป็นพระสวามีเรานี้เทศน์เป็นความจริง
    เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นพิมพายอดหญิง มองเห็นตามความเป็นจริงแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้กล่าวต่อไปว่า "พิมพา เราไม่ใช่ว่าเกิดมาแล้วแก่เท่านี้ จงดูหมู่พระประยูรญาติผู้ใหญ่ของเราดูชั้นปู่ ชั้นย่า ชั้นตา ชั้นยาย ไปถึงชั้นทวดของเราก็ได้ ที่เรารู้จักชื่อท่านทั้งหลายนั้นร่างกายของท่านอยู่ที่ไหน ในที่สุดท่านก็ต้องตายไปหมดทุกคน เราเองซึ่งมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแก่ในท่ามกลาง ในที่สุดเราก็ต้องตาย
    ฉะนั้น นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปขอพิมพาน้องหญิง จงอย่าสนใจในร่างกายของพี่ และก็จงอย่าสนใจในร่างกายของเธอ และก็จงอย่าสนใจในร่างกายของบุคคลใดทั้งหมด จงกำหนดจิตว่า ร่างกายนี้ไม่ช้าก็ต้องสลายตัว เพื่อทำให้กำลังใจเป็นสุข พิมพา จงนึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัยทั้งสามประการ คือ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ สามประการนี้ให้ประจำใจของพิมพาราชเทวี เธอจะมีความสุข และหลังจากนั้นจงปฏิบัติในศีลห้าประการให้เคร่งครัด และปฏิบัติให้เป็น
    อัตโนมัติ คือเป็นปกติ จิตนี้คิดไว้เสมอว่า ถ้าตายจากชาตินี้ไปแล้ว ขึ้นชื่อว่า มนุษยโลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ไม่มีสำหรับเรา สิ่งที่เราต้องการนั่นก็คือพระนิพพาน"
    เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์จบ ก็ปรากฏว่า พระนางพิมพาราชเทวี ได้บรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาอารมณ์แห่งความข้องใจที่คิดว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทอดทิ้งพระนางก็หมดไป กราบขอขมาโทษต่อองค์สมเด็จพระจอมไตรในกรที่พระนางล่วงเกินด้วยประการทั้งปวง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงมีพระพุทธอภัยให้แก่พระนางพิมพา
    หลังจากนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมไปด้วยพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตรก็เสด็จกลับยังที่ประทับคือ มหาวิหารที่พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชจัดถวายไว้ ต่อมาอีกนานเท่าไรไม่ทราบชัด องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ก็ได้เทศน์โปรดพระนางพิมพาราชเทวีจนได้บรรลุอรหัตผลเป็นพระอริยบุคคลสูงสุดในพระพุทธศาสนา และปรากฏว่าท่านได้เข้าพระนิพพานก่อนองค์สมเด็จพระบรมศาสดาจะปรินิพพาน
    สำหรับพระราหุล ราชโอรสนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงให้บวชเณร และต่อมาก็บรรลุอรหัตผลเช่นกัน และก็เข้าพระนิพพานก่อนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นเดียวกับพระนางพิมพา และพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาเรื่อยมาถึง ๔๕ ปี เป็นอันว่าตอนนี้อายุขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอายุย่างเข้า ๘๐ ปี ชรามากแล้ว แต่ทว่าขอลูก ๆ ที่กำลังนั่งฟัง ลองใช้กำลังใจดูซิว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่ออายุ ๘๐ ปี แก่เท่าพ่อไหม ความจริงพ่ออายุ ๖๐ ปีเศษ ๆ ลูกทุกคนอาจจะไม่มั่นใจว่าท่านจะแก่เท่าพ่อไหม พ่อก็ต้องตอบว่า พระองค์ทรงแก่ ๘๐ ปี ทั้งนี้ก็ต้องกล่าวว่าแก่โดยปี ๘๐ ปี แต่ว่าพระวรกายขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแก่ไม่เท่าพ่อ ถ้าจะเปรียบเทียบกันจริงๆ พ่อว่า เมื่อพ่ออายุ ๓๐ ปี พ่อแก่กว่าพระพุทธเจ้าตอนอายุ ๘๐ ปี นี่พูดกันโดยขันธ์ ๕ จริง ๆ
    แต่ทว่าลูกชายและหญิงทั้งหมดก็จงอย่าลืมนะ ว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า ท่านเป็นอัจฉริยะมนุษย์ ว่าถึงรูปร่างลักษณะ ไม่ใช่ใช้กำลังของอภิญญาเข้าช่วย หรือว่าไม่ใช่ใช้กำลังพระพุทธญาณเข้าช่วยจึงไม่แก่ คือร่างกายมันแก่ช้าไปเอง วันเดือนปีมันไปเร็วกว่าร่างกาย ถ้าหากว่าจะไปดูองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์เวลานั้น ท่านต้องทรงทรมานพระกายอยู่ในป่าบ้าง ในเขาบ้าง ในถ้ำบ้าง ในเมืองบ้าง แต่ว่าอยู่ที่ไหนก็ไม่ได้หยุด มีหน้าที่ในการพูด การสั่งสอน เวลาจะไปไหนก็ไปด้วยความลำบาก และก็ต้องไปบิณฑบาตฉันเอง อาหารก็เลือกไม่ได้ ที่นอนก็เลือกไม่ได้ เว้นแต่ไปอยู่ในมหาวิหารแห่งใด อันนี้มีความสุขทางกายแน่ เพราะเขาจัดให้ดี แต่ส่วนใหญ่ขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วประทับอยู่ในป่า อยู่ในเขา เพราะต้องเดินไปโปรดที่โน่น เดินไปโปรดที่นี่ เรื่องร่างกายก็เต็มไปด้วยความทรุดโทรม การเสด็จไปไหน เดินไปไกลแสนไกล ก็ไม่เคยบ่นลำบาก
    นี่เป็นจริยาอันหนึ่งที่เป็นคุณความดีขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ในฐานะที่เป็นพระพุทธเจ้า ทรงมีพระฉวีวรรณผุดผ่อง รูปร่างหน้าตาก็ยังไม่แสดงความชำรุดทรุดโทรมมาก การเสื่อมตัวของสังขารก็มีน้อย ผิดกับพ่อ หน้าย่นกว่าพระพุทธเจ้าตั้งเยอะ รูปร่างหน้าตาก็ทรุดโทรม กำลังก็ไม่ดี ฉะนั้น ความเป็นพระพุทธเจ้าจึงมีความจำเป็น ไปไหนต้องเอาพระรูปพระโฉมที่ทรงสวยสดงดงามไปด้วย ช่วยสร้างศรัทธา
    ทั้งนี้เพราะ พระพุทธเจ้าต้องมี ๔ อย่าง คือ ๑. มีเสียงเพราะ พระพุทธเจ้าทรงมีเสียงเพราะ พูดแล้วก็จับใจคน ๒. มีรูปสวย ทรวดทรงดี ลักษณะ ๓๒ ครบถ้วน ลักษณะพิเศษอีก ๘๐ ครบ สวยจริง ๆ ๓. ความเศร้าหมองภายนอกของรูป ใช้จีวรย้อมน้ำฝาดห่ม แลดูเศร้าหมองไม่สวย ๔. เทศน์ไพเราะจับใจคนฟัง ฟังเข้าใจง่าย และฉลาดในการแสดงธรรม
    มีครบทั้ง ๔ อย่าง เพื่อให้ครบตามความต้องการของคน คนทุกคนต้องการเสียงเพราะ อันนี้ยกไว้ให้เลย เสียงไม่เพราะคนไม่ต้องการฟัง ยิ่งการแสดงธรรม ถ้าเสียงไม่เพราะยิ่งไปกันใหญ่ เป็นอันว่าต้องเสียเพราะ คนบางพวกต้องการรูปงาม พระพุทธเจ้านอกจากจะมีรูปสวย ยังมีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการอีกด้วย ช่วยให้สวยมากขึ้น เหมาะสำหรับคนต้องการความสวยหรือเพลิดเพลินในความสวย และบางคนต้องการความเศร้าหมอง พระองค์ก็มีผ้าน้ำฝาดห่มและนุ่ง เป็นอันว่า ฉันไม่ต้องการความสวยสดงดงาม ถ้อยคำในการพูดก็มีความฉลาด จับใจคน รู้ใจคนก่อนว่าคนนี้ต้องการอะไร เวลาไปพูดก็พูดตามแบบนั้นตามความต้องการ
    ฉะนั้น ผลขององค์สมเด็จพระพิชิตมารในการประกาศพระศาสนาจึงมีผลมาก ยากที่บุคคลอื่นจะทำตามได้ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจำเป็นจะต้องมีรูปงาม พระวรกายของพระองค์เมื่ออายุ ๘๐ ปี จึงไม่เก่าเท่าพ่อเมื่ออายุ ๓๐ ปี เวลาพ่อพูด ลูกใช้กำลังใจดูให้ดีนะ ทดสอบกำลังใจว่า ที่พ่อพูดนี่ตรงกับอารมณ์ของลูกไหม และก็จงอย่าถืออุปาทานเป็นสำคัญ ว่าพ่อพูดอะไรมันถูกไปหมด อันนี้ก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน เพื่อความมั่นใจของบรรดาลูกทุกคน ทำกำลังใจเดี๋ยวนี้ ขึ้นไปถามองค์สมเด็จพระทศพล ขอดูพระรูปพระโฉมพระองค์เวลานั้น ท่านจะแสดงให้ปรากฏ
    ความจริงแล้ว หน้าตาขององค์สมเด็จพระบรมสุคตมองแล้วก็ยังชื่นใจอยู่ วาระสุดท้ายขององค์สมเด็จพระชินสีห์ก็เข้ามาถึงตอนอายุ ๘๐ ปี แต่ว่าพระองค์เคยตรัสกับพระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์คนที่มีความคล่องในอิทธิบาท ๔ คือ ฉันทะ มีความพอใจ วิริยะ มีความเพียร จิตตะ มีอารมณ์จดจ่อ วิมังสา ใช้ปัญญาใคร่ครวญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของความดี คือ มรรคผล คนประเภทนี้องค์สมเด็จพระทศพลตรัสว่า ถ้าต้องการให้ขันธ์ ๕ อยู่กับกัปหนึ่ง ก็อยู่ได้
    เพราะท่านที่มีกำลังใจสมบูรณ์ด้วยอิทธิบาท ๔ ก็ต้องเป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ หรือว่าเป็นอรหันต์ขั้นฉฬภิญโญก็ได้ รวมความว่าเป็นอรหันต์ก็แล้วกัน ฉะนั้น เมื่ออิทธิบาท ๔ สมบูรณ์แล้ว เป็นพระอรหันต์ ท่านเรียกว่า โลกุตตระ เป็นคนเหนือโลก อำนาจของโลกไม่มีอำนาจเกินกำลังของพระอรหันต์ เว้นไว้แต่ว่าพระอรหันต์ไม่โกง ที่ไม่โกงก็คือ ยอมรับนับถือกฎของกรรม ถ้ากฎของกรรมดีมา ทำให้ร่างกายเป็นสุข ท่านก็ยอมรับ ถ้ากฎของกรรมชั่วเดิมมา มันทำให้ร่างกายเป็น
     
  18. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    ทุกข์ ท่านก็ยอมรับ แต่ว่าใจของท่านไม่รับด้วย ไม่ยอมสุข ไม่ยอมทุกข์ด้วย สุขของโลกีย์เป็นเหตุที่สร้างความทุกข์ไม่ใช่สุขที่มั่นคง แสดงว่ากำลังใจท่านมีกำลังเหนือโลกีย์วิสัย
    ฉะนั้น เรื่องร่างกายที่มันจะตายหรือไม่ตาย ไม่ใช่เรื่องกฎของกรรม จะถือว่าเป็นการหมดอายุขัยเฉย ๆ ก็ย่อมไม่ใช่วิสัยของพระอรหันต์ ที่จะยอมให้เป็นไปตามนั้น ตามปกติ เมื่อถึงอายุขัยแล้ว เห็นว่าสมควรจะอยู่ต่อไป จะทำให้บรรดาประชากรมีความสุข ก็จะอธิษฐานจิตให้ร่างกายนี้มันทรงต่อไปได้ แล้วก็ใช้งานได้ ที่เขาเรียกกันว่า ต่ออายุ ถ้าเห็นว่าจะอยู่ต่อไปมันก็ไร้ประโยชน์ ทว่าสิ่งที่เราทำทั้งหมดตามหน้าที่ ทำครบถ้วนแล้ว ก็ปล่อยไปตามภารกิจของมัน มันอยากจะพังก็เชิญพัง และการพังของร่างกายพระอรหันต์นี้เป็นกรณีพิเศษ นอกจากองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ คือ พระพุทธเจ้า ทรงเป็นอัจฉริยมนุษย์ เอากันขั้นพระสาวก คือ พระสารีบุตรท่านจะนิพพาน ไปลาพระพุทธเจ้านิพพาน พระพุทธเจ้าทรงถามว่า สารีบุตร เธอจะนิพพานที่ไหน แต่ความจริงท่านกราบ พระสารีบุตรก็กราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะไปนิพพานที่ห้องคลอด หมายความว่าเกิดห้องไหน ไปตายห้องนั้น ทั้งนี้ก็ต้องการจะสงเคราะห์มารดา ซึ่งเป็นมิจฉาทิฐิ
    พระโมคคัลลาน์ กรรมเก่าเข้าสนอง โดนทุบเสียกระดูกแหลกเหลว โดนแล้วท่านก็ไม่ยอมตาย อธิษฐานด้วยกำลังของฤทธิ์ ประสานกระดูก เนื้อหนัง ดีแล้ว ร่างกายปกติตามเดิม ด้วยกำลังของอภิญญาสมาบัติ เหาะไปกราบลาองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์เพื่อนิพพาน
    เห็นไหมลูกรัก ท่านจะยังไม่นิพพานก็ได้ แต่เห็นว่าภารกิจใหญ่หมดแล้ว ถึงวาระแล้วก็ควรนิพพาน อีกอันหนึ่งจะเห็นว่า พระอานนท์ เวลาที่จะนิพพาน ไปบอกกับพระญาติทั้งสองฝ่าย แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ และกรุงเทวทหะนคร เพราะเทวทหะนครเป็นญาติฝ่ายแม่ กรุงกบิลพัสดุ์ เป็นญาติฝ่ายพ่อ ญาติทั้งสองฝ่ายก็บอกว่า ถ้าพระอานนท์นิพพาน พระธาตุ คือ กระดูกของท่านต้องเป็นของเรา ทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างก็จะเกิดรบกัน พระอานนท์เห็นท่าไม่ดี ก็เลยบอกในหมู่พระญาติว่า เวลาอาตมาตายจะเผาร่างกายเอง ท่านไม่ต้องช่วยกันเผา ไม่ต้องทำศพ มันจะยุ่ง ถ้าทำศพฉันคนเดียว ท่านจะกลายเป็นคนหลายศพ ถ้าตายไปก็จะตายกันหลายศพ การที่จะมาตายเพราะกระดูกของพระที่ตายแล้ว ไม่เกิดประโยชน์ มันเป็นโทษ
    ฉะนั้น การฌาปนกิจศพเป็นหน้าที่ของพระองค์เอง ดังนั้น เวลาที่พระอานนท์จะนิพพาน จึงได้เหาะขึ้นไปในระหว่างแม่น้ำ คือ ทั้งสองญาติอยู่คนละฝั่งแม่น้ำ เหาะขึ้นไปเส้นขานตรงกลางพอดี สูงขึ้นในอากาศ นิพพานแล้วอธิษฐานเตโชธาตุ คือไฟ เผาร่างกายหมด เนื้อหมด หนังหมด เหลือแต่กระดูเป็นชิ้นเล็ก ๆ กระดูกก็กระจายออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งละครึ่งองค์
    จะเห็นว่าพระอรหันต์มีกำลังเหนือโลก จึงเรียกว่า โลกุตตระ คือ เป็นผู้เหนือโลก ฉะนั้นกำลังของพระพุทธเจ้าย่อมเป็นกำลังความดี ที่เหนือกว่าพระอรหันต์สาวก เมื่อเวลาพระองค์อายุ ๘๐ ปี ร่างกายจึงไม่แก่หง่อมเท่าพ่อ ตอนนี้ก็มาดูองค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงปรารภการนิพพาน ปรากฏพระองค์ประทับอยู่ที่ปาวาลเจดีย์ ไกลจากกุสินารามมหานครประมาณ ๑๒๐ โยชน์ วันหนึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงโปรดให้พระอานนท์เข้าเฝ้า แล้วก็ถามนิมิตเครื่องหมาย แต่ความ
    จริงพ่อคิดว่าไม่ใช่ ตำราตอนนี้คงจะเฝือไปว่าถามพระอานนท์ว่า เรามีเกวียนเก่าอยู่เล่มหนึ่ง เราจะซ่อมบำรุงเกวียนเก่าดีหรือเอาเกวียนใหม่ดี ท่านชำรุดทรุดโทรมมาก ท่านบอกว่าเวลานั้นมารเข้าดลใจให้พระองค์ไม่กล้าทูลองค์สมเด็จพระจอมไตร ไม่คัดค้านทัดท่าน ถ้าทัดทานว่า ไม่ควรจะเปลี่ยนเกวียนใหม่ใช้ซ่อมแซมเกวียนเก่า พระพุทธเจ้าก็จะทรงอธิฐานอยู่ครบ ๑ กัป อันนี้พ่อว่าอธิบายมากไป ด้วยเหตุด้วยผลมันไม่สมดุลกัน
    ทั้งนี้ เพราะว่าในกัปนี้จะต้องทรงพระพุทธเจ้าถึง ๑๐ พระองค์ ถ้าหากว่าสมเด็จพระสมณโคดมบรมครู สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์นี้อยู่ไปตลอดกัปอีก ๖ องค์ข้างหลังจะมาตรัสเมื่อไรกันแน่ และต้องลาไปกัปหลังไม่ตรงกับความเป็นจริง ฉะนั้นขอบรรดาลูกรักทั้งชายและหญิงทุกคน เวลาจะฟังอะไร ก็ต้องใช้ปัญญา ใช้สมองสักนิดหนึ่ง ถ้าหากว่าความเป็นจริงจะเป็นอย่างไร ก็ต้องหาความจริงตามหลักสูตร ตามหลักวิชาของลูกที่เรียนมาจากพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นวิชาของพระพุทธเจ้า ลองพิสูจน์ดูว่าตอนนั้นองค์สมเด็จพระบรมครูแสดงนิมิตเครื่องหมายกับพระอานนท์หรือเปล่า เราจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้แสดงนิมิตเครื่องหมายว่าต้องการจะอยู่ ตามตำราว่ามารมาอาราธนาองค์สมเด็จพระบรมครู ตอนนี้พ่อขอตอบว่าจริง พระยามาราธิราชขออาราธนาอยู่เสมอ
    เมื่อตอนที่บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณใหม่ ๆ ท่านก็มาอาราธนาว่า พระสมณโคดม เวลานี้ท่านเป็นสุขแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว ไปนิพพานเสียเถอะ จะอยู่ให้ลำบากเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปาปิมะ ดูก่อน มารผู้มีบาป เราบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้วก็จริง แต่ทว่าบริษัท ๔ คือ อุบาสก อุบาสิกา ยังไม่ครบถ้วนเพียงใด เราจะยังไม่นิพพาน เราจะนิพพานต่อเมื่อบริษัท ๔ ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว คือ พระสงฆ์ก็มี ภิกษุณี คือ พระผู้หญิงก็มี อุบาสก หมายถึงคนที่นับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายผู้ชาย อุบาสิกา คนนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายผู้หญิง ทั้ง ๔ ฝ่าย ทั้งหมดนี้ต้องเป็นอรหันต์กันมาก ต้องได้กันถึงขั้นอรหัตผล ถ้าไม่ถึงขั้นอรหัตผล ก็ถือว่ายังไม่สมบูรณ์ ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็จะเข้ามาถวายตัวเป็นลูกศิษย์ แล้วก็ถือว่ามีลูกศิษย์สมบูรณ์ ยังใช้ไม่ได้ ที่ใช้ได้จริง ๆ ทั้ง ๔ ฝ่ายต้องเป็นอรหันต์ด้วย พระยามารก็ถอยไป
    ตอนอายุ ๘๐ ปี จัดว่าเป็นอายุขัยขององค์สมเด็จพระมหามุนี ตอนนี้ท่านกล่าวว่าพระยามารมาทูลอาราธนาอีก ท่านก็บอกว่า ทนจริง แต่ว่าการนิพพานไม่ใช่อำนาจของพระยามาร เมื่อพระยามารมาทูลอาราธนาว่า เวลานี้บริษัท ๔ สมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว ขอองค์สมเด็จพระประทีปแก้วอย่าทรงทรมานพระวรกายต่อไปอีกเลย โปรดนิพพานหาความสุขเสียเถิด ท่านจึงตรัสว่า ปาปิมะ ดูก่อน มารผู้มีบาป เธอจงถอยไป เรื่องนิพพานหรือไม่นิพพาน เป็นเรื่องของตถาคต ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะมากำหนดให้นิพพาน หรือคนอื่นจะมากำหนดให้อยู่ แล้วองค์สมเด็จพระบรมครูก็มองดูขันธ์ ๕ ว่าเวลานี้ข้างในมันก็โทรมมาก ถึงกาลสมัยที่ควรจะนิพพานได้แล้ว เพราะว่าพระศาสนาที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงปลูกฝัง ทั้งพระผู้หญิง พระผู้ชาย อุบาสก อุบาสิกา สมบูรณ์บริบูรณ์ จึงได้ทรงตัดสินพระทัยปลงอายุสังขาร วันนั้นเป็นวันกลางเดือน ๓ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปอีก ๓ เดือน เราจะนิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ ที่เมืองกุสินารามหานคร
     
  19. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    หลังจากที่พระองค์ทรงปลงอายุสังขารแล้ว ปรากฏว่าแผ่นดินไหว พระอานนท์อยู่หน้าถ้ำแปลกใจ ว่าแผ่นดินไหวเพราะอะไรจึงได้เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตร ถามเหตุที่แผ่นดินไหว องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า เหตุที่แผ่นดินจะไหวมีอยู่ ๘ อย่าง โดยย่อในที่นี้จะขอกล่าว ๒ อย่าง คือ อย่างผู้มีฤทธิ์บันดาลก็ได้ หรือว่าพระพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขารก็แผ่นดินไหว เมื่อพระอานนท์ทราบว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรจะปรินิพพาน ก็ตกใจ ทูลอาราธนาองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาอยู่ต่อไป สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ ตถาคตก็ทรมานตนมาถึง ๔๕ ปีแล้ว ธรรมส่วนใดที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจะต้องสอน ที่เราจะปกปิดไว้ไม่มี เราสอนหมดทุกอย่าง เมื่อเรานิพพานแล้ว ธรรมวินัยส่วนนี้ทั้งหมดจะเป็นศาสดาสอนเธอ
    ในเมื่อขันธ์ ๕ มันทรงไม่ไหว ตถาคตก็สอนเธออยู่เสมอว่าขันธ์ ๕ เป็นของธรรมดา มันเกิด แก่ เจ็บ และในที่สุดมันก็ต้องตายเหมือนกันหมด เธอจะเกาะองค์สมเด็จพระบรมสุคตอยู่อย่างนี้ตลอดกาลตลอดสมัยไม่ได้ ความดีที่จะเกิดขึ้นนั้นไซร้ ก็คือ การปฏิบัติตนเอง ฟังแล้วก็จำ จำแล้วก็คิด คิดแล้วก็ปฏิบัติตาม ถ้าสามารถทำได้ ในที่สุดไม่ช้าก็จะบรรลุมรรคผล เป็นพระอริยบุคคล คือ เป็นพระอรหันต์ เป็นอันว่าในตอนนั้นปรากฏว่า พระอานนท์ก็เสียใจ จึงได้ทูลถามองค์สมเด็จพระพิชิตมารว่าจะทรงนิพพานที่ไหน
    สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า เราจะนิพพานในระหว่างนางรังทั้งคู่ ที่เมืองกุสินารามหานคร พระอานนท์ก็ทัดท่านองค์สมเด็จพระชินวรว่า เมืองกุสินาราเป็นเมืองเล็ก การนิพพานที่นั่นจะไม่เหมาะสม สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เหมาะ เมืองนั้นเคยเป็นเมืองของพระเจ้าจักรพรรดิ และคนที่เป็นจักรพรรดิในเมืองนั้นก็คือตถาคต ฉะนั้น เมืองใดที่เคยมีจักรพรรดิ เมืองนั้นถือว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญ เมืองที่พระอานนท์เสนอนั้นก็คือ เมืองราชคฤห์กับเมืองพาราณสี การที่องค์สมเด็จพระบรมครูตรัสแก่พระอานนท์ว่า เมืองกุสินารามหานครเมื่อก่อนนี้เป็นมหาประเทศ เป็นเขตที่อยู่ของพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก นั่นเป็นเหตุอันหนึ่ง
    แต่เนื้อแท้จริง ๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงไปนิพพานที่นั่น ก็เพื่อหวังจะไปโปรดบริษัทคนสุดท้าย คือว่าคนที่มาเกิดจะได้บรรลุมรรคผล บางคนก็พระอรหันต์สอนได้ แต่บางท่านพระอรหันต์สอนไม่ได้ เพราะมีวิสัยตรงเฉพาะพระพุทธเจ้า ท่านผู้นั้นคือ สุภัททะปริพาชก
    การคุยคราวนี้ถือว่าเป็นการพูดคุยกันระหว่างพ่อกับลูก ฉะนั้น ในการคุยจึงไม่มีอะไรมาก คุยกันได้อย่างเปิดอก แต่ทว่าบังเอิญท่านทั้งหลายที่จะมาฟังการคุยบ้าง ก็ต้องขออภัยท่าน เพราะว่าเรื่องบางอย่างก็ไม่น่าจะเชื่อ แต่ที่พ่อกล้าพูดก็เพราะว่า บรรดาลูก ๆ ทุกคน ทั้งลูกที่เป็นพระ และลูกที่เป็นฆราวาส ก็สามารถมีอารมณ์ใจพิสูจน์ได้ ในเมื่อมีคนที่มีอารมณ์ใจพิสูจน์ได้ พ่อก็กล้าพูด ถือว่าการพูดอย่างนั้นคนที่ไม่มีอารมณ์ใจจะพิสูจน์ได้ จะกล้าพิสูจน์หรือไม่กล้าพิสูจน์ จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ไม่มีความหมาย ตัวอย่างอันนี้ก็มีมาคือ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ในครั้งนั้นพระโมคคัลลาน์อัครสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครู ท่านได้พบอะไรเข้าแล้วกับพระลักขณะ พบแล้วท่านก็ยิ้ม
    เมื่อพระลักขณะถามว่ายิ้มเพราะเรื่องอะไร ท่านมหาโมคคัลลาน์จึงได้พูดว่า ท่านจงถามเราต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราก็จะบอก เป็นอันว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์จบ พระลักจขณะก็ถามพระมหาโมคคัลลาน์ พระมหาโมคคัลลาน์ก็ทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็ตรัสว่า เรื่องนี้ตถาคตได้เห็นมาแล้วตั้งแต่วันบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ แต่ตถาคตไม่มีพยาน ตถาคตจึงไม่พูด มาวันนี้ท่านโมคคัลลาน์เป็นพยานให้กับเรา คือ ได้เห็นเช่นกับเรา เราจึงจะพูด เรื่องที่คนไม่น่าเชื่อ พระพุทธเจ้าก็รอการพูดเหมือนกัน รอการพูดว่า เมื่อไรจะมีคนเห็นบ้างแล้วจึงจะพูด
    เรื่องราวที่พ่อคุยกับลูกมาแล้วก็เช่นเดียวกัน เป็นเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อ แต่ความจริงอาจจะรู้กันมานานแล้วก็ได้ เวลานี้ คนที่มีกำลังใจพอที่จะพิสูจน์ได้ ก็มีมากด้วยกัน เมื่อพระทราบว่าองค์สมเด็จพระชินวรจะนิพพาน ก็มากันมากมาย อันนี้ต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา จำนวนพระในเวลานั้น ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นพระทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะนั้นนั่นเอง อยู่ใกล้ก็มาถึงก่อน อยู่ไกลก็มาถึงทีหลัง เพราะว่าทุกท่านรู้ว่าพระพุทธเจ้าจะทรงนิพพาน ก็ต้องเร่งรัดตัวเอง
    บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระจอมไตร เมื่อทราบข่าวเข้าก็ต้องมากันเหมือนกัน ต่างคนต่างมาคิดว่า ถ้าพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว หลักชัยในการสอนก็จะสิ้นไป ถ้าคนที่ยังไม่ได้มรรคผล ก็ต้องการได้มรรคผล ท่านที่ได้มรรคผลเบื้องต่ำก็ต้องการได้มรรคผลเบื้องสูง ฉะนั้น ข่าวที่แพร่ไปเวลานั้น ในที่สุดใกล้ถึงวันนิพพานก็ปรากฏว่ามี บรรดาพระสงฆ์มาประชุมกันประมาณแสนแปดหมื่นองค์เศษ ไม่ใช่เล็กน้อยนะ บางคนอาจจะคิดว่า พระทั้งแสนแปดหมื่นองค์จะเลี้ยงกันอย่างไร เรื่องที่น่าหนักใจ นั่นก็คือ อาหารการบริโภค น้ำที่จะฉันเข้าไป และสิ่งที่น่าหนักใจที่สุดก็คือ ส้วม แต่เรื่องส้วมนี่ไม่เป็นไร สมัยนั้นป่ามาก
    มาสำหรับเรื่องอาหาร ตามกฎธรรมดาสำหรับคนที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อทราบว่าพระองค์นิพพาน นอกจากพระจะมา ชาวบ้านก็มาด้วย ก็มีความเข้าใจว่าพระมาหนึ่ง คนก็มาถึงสิบ ฉะนั้น ในบริเวณนั้นแทนที่จะมีแต่พระประมาณเกือบสองแสนรูป ก็จะต้องเป็นคนนับเป็นล้านเกลื่อนกล่นไป ในเมื่อบรรดาประชาชนเขามากัน เขาก็ต้องนำอาหารมาด้วย อาหารที่เขานำมาด้วยก็จะช่วยให้พระมีความเป็นอยู่ได้ นี่พูดกันถึงกฎธรรมดา เป็นวิธีการธรรมดาๆ ถ้าเป็นวิธีที่ผิดธรรมดาก็ต้องคิดว่า
    ๑. พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า
    ๒. พระอรหันต์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระอรหันต์มาก ถอยจากพระอรหันต์มาก็มี พระอริยะตั้งแต่พระโสดา พระสกิทาคา และพระอนาคามีมาก นอกนั้นก็เป็นผู้เข้าถึงไตรสรณาคมน์ ทั้งหมดนี้เป็นคนนำลาภมาทั้งสิ้น เป็นอันว่าเป็นปัจจัยที่จะเป็นเหตุให้มีลาภสักการะ คำว่า ลาภในที่นี้หมายถึงอาหารการบริโภค เพราะว่าคนมีบุญอยู่ที่ไหน ที่นั่นไม่ขาดแคลนด้วยอาหารการบริโภคหรือความเป็นอยู่ จะมีอยู่บ้างก็เป็นกฎของกรรมบีบบังคับในบางกรณีเท่านั้น ต้องถือว่าเป็นกรณีพิเศษ
    ฉะนั้น เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ประกาศว่าพระองค์จะนิพพาน เมื่อท่านที่มีบุญมามากอย่างนั้น พ่อคิดว่าไม่มีใครอดตาย และถ้าหากว่ามีความจำเป็นจริง ๆ ท่านที่ทรงอภิญญาและปฏิสัมภิทาญาณ ก็คงจะใช้กำลังฤทธิ์ของท่านเข้าช่วย เหมือนกับเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงทำผ้าจุลกฐิน พระมหาโมคคัลลาน์ก็ไปนำเอาผลมะม่วงที่ป่าหิมพานต์ มาทำน้ำอัฏฐบานเลี้ยงพระ ถึงอยู่ไกลแสนไกลแต่ทว่าท่านไปเอามาได้ ไปเดี๋ยวเดียวก็กลับ นี่เป็นอันว่าเวลานี้พระโมคคัลลาน์ท่านนิพพานแล้วก็จริง แต่ทว่าพระที่ทรงฤทธิ์มาก ที่พ่อพูดไว้นี้ก็เพื่อบรรดาลูกรักทั้งหลายจะวิตก
    เมื่อองค์สมเด็จพระชินวรกำหนดไว้ต่อไปจากนี้อีก ๓ เดือน เราจะนิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ที่เมืองกุสินารามหานคร เวลาที่พระองค์จะเทศน์โปรดบรรดาท่านพุทธบริษัทที่รับฟัง พุทธบริษัทก็มีทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระพุทธเจ้าไม่ทรงเทศน์เรื่องพระสูตร และก็ไม่ทรงเทศน์เรื่องชาดก เทศน์แต่เฉพาะศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้น เพราะว่าเป็นการรวบรัด การที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ทรงประกาศก่อนถึง ๓ เดือน เมื่อตอนก่อนนี้พ่อก็คิดว่า เป็นกฎธรรมดา ๆ เท่านั้นเอง คือหมายความว่าตั้งใจไว้ว่าจะนิพพานเมื่อไรก็บอกกันไปเพื่อทราบ เพื่อบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่อยู่ห่างไกลได้ทราบ แล้วมาชุมนุมกัน หรือว่าจะไปชุมนุมกันเวลานิพพานก็ได้ พ่อคิดว่าอย่างนั้นนะ ความจริงคราวนี้ก็มาพร้อมกัน
    แต่ขาดพระอยู่ชุดหนึ่ง คือ พระมหากัสสป พร้อมไปด้วยบริษัทของท่าน ๕๐๐ รูป พระมหากัสสปมีความสูงไล่เลี่ยกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์สูงเท่ากับ ๘ ศอกของคนสมัยนั้น ท่านผู้นี้ไม่ได้อยู่ในคามวาสี เป็นฝ่ายอรัญวาสี อยู่ป่าชัฏ เป็นฝ่ายธุดงค์ ข่าวที่องค์สมเด็จพระบรมสุคตจะนิพพาน พระมหากัสสปไม่ทราบกับเขาเลย เป็นอันว่าการไม่ทราบ ลูกอาจจะคิดว่าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็น่าจะใช้อำนาจพระพุทธญาณเปล่งฉัพพรรณรังสีไปบอกก็ได้ หรือว่าพระมหากัสสปก็เป็นพระปฏิสัมภิทาญาณน่าจะใช้ทิพยจักขุญาณมาถามพระพุทธเจ้าก็ได้หรือกำหนดการรู้ที่เรียกกันว่า อนาคตังสญาณ
    แต่ความจริงเรื่องการใช้ญาณนี้บรรดาลูกรัก ถ้าใช้เพื่อคนอื่นเขาไม่ได้ใช้พร่ำเพรื่อ แต่ใช้เพื่อตัดกิเลสเขาใช้เป็นปกติ เขามีไว้ตัดกิเลสกัน เขาไม่ได้มีไว้อวดกัน ฉะนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์ก็จะต้องมีเหตุมีผล ว่าทำไมองค์สมเด็จพระทศพลจึงไม่บอกพระมหากัสสป และการที่จะให้พระ มหากัสสปซึ่งเป็นพระสาวกมารู้อะไรทุกอย่างเป็นไปไม่ได้ เพราะพระอรหันต์นี่ตัดดีจากความนิยมของชาวโลก หมายความว่า ไอ้ความดี ความเด่น ที่มีชื่อเสียง ท่านตัดไปเสียแล้ว ท่านไม่มีความต้องการ ฉะนั้นญาณที่อยากจะรู้เล็กรู้น้อยสำหรับพระอรหันต์จึงไม่มี ญาณน่ะมีแต่ความต้องการไม่มี เมื่อความต้องการไม่มี ก็เลยไม่รู้
    อย่าลืมว่าพระมหากัสสปท่านมีลูกศิษย์ตั้ง ๕๐๐ องค์ และก็มีหลายท่านที่ยังเป็นปุถุชน ยังไม่ได้บรรลุพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ หรือว่าท่านที่บรรลุพระโสดา สกิทาคา อนาคาแล้ว ต้องการเป็นพระอรหันต์ ดังนั้นการใช้กำลังใจมาดูฌานหรือญาณก็ดี ก็ต้องเนื่องด้วยมรรคผลของบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย จะเอากำลังใจมาดูนั่นดูนี่ ดูว่าเวลานี้องค์สมเด็จพระชินสีห์อยู่ที่ไหน ในเมื่อ

     
  20. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    ความจำเป็นไม่มี ก็ไม่ดู ก่อนที่พระมหากัสสปจะออกสู่ธุดงค์วัตรได้มาลาองค์สมเด็จพระจอมไตรที่ปาวาลเจดีย์
    ถ้าจะถามว่า พระประมาณแสนแปดหมื่นรูป และภิกษุณี ตลอดจน อุบาสก อุบาสิกา เวลารับฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเทศน์เสียงคนธรรมดาจะได้ยินไปได้สักกี่วา พระองค์ไม่มีเครื่องวิทยุ และก็ไม่มีเครื่องรับวิทยุใช้พระสุรเสียงจากพระโอษฐ์ของพระองค์เอง ออกเทศน์ธรรมดาให้พุทธบริษัทฟัง และคนฟังเทศน์นับจำนวนเป็นล้าน ถ้าจะให้คนฟังทั้งหมดรู้เรื่องกัน ก็จะต้องบอกกันเป็นทอด ๆ ไป เหมือนกับถ่ายทอดถ้อยคำเป็นคำ ๆ ไป
    ตอนนี้ขอบรรดาลูกรัก จงอย่าลืมว่าองค์สมเด็จพระบรมสุคตเป็นพระพุทธเจ้า และก็ความเป็นพระเจ้า ก็ต้องมีอะไรหลาย ๆ อย่าง ที่ไม่เหมือนกับเรามี และก็ต้องดีกว่าพวกเรามี และก็ต้องดีกว่าพระอัครสาวกทั้งสอง นั่นก็คือยามเทศน์ธรรมดา ถอว่าทรงเทศน์เป็นอัศจรรย์ หมายความว่ามีการแสดงฤทธิ์เป็นอัศจรรย์อยู่เสมอ คือ ๑. คนที่ฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้า จะนั่งไกลหรือนั่งใกล้ก็ตาม จะได้ยินเสียงพระพุทธเจ้าเป็นปกติ ชัดเจนแจ่มใสเหมือนกันทุกท่าน ๒. คนจะนั่งอยู่ด้านไหนก็ตาม เวลาพระพุทธเจ้าเทศน์ จะเห็นว่าพรพุทธเจ้าหันหน้าไปหาตนเสมอ ๓. คนที่นั่งฟังเทศน์ จะใช้ภาษาอะไรก็ตาม จะมีความรู้สึกว่า พระพุทธเจ้าเทศน์ภาษาของตนอยู่เสมอ ฟังรู้เรื่องหมด เป็นการเทศน์ด้วยปาฏิหาริย์ เป็นอันว่าคนสักกี่สิบล้านคน ร้อยล้านคน ก็ไม่มีความสำคัญ
    ฉะนั้นการที่องค์สมเด็จพระภควันต์ทรงปลงอายุสังขาร และก็เทศน์เฉพาะศีล สมาธิ ปัญญา ทั้งพระทั้งคนรวมกันแล้วปริมาณเป็นล้าน ๆ ทุกคนก็จะเห็นหน้าพระพุทธเจ้าเวลาเทศน์เสมอว่าหันหน้าไปทางตน และก็จะได้ยินเสียงองค์สมเด็จพระทศพลเหมือนอยู่ใกล้ ๆ เมื่อมองไปก็จะเหมือนพระพุทธเจ้านั่งอยู่ใกล้ ๆ คนเหมือนกันทุกคน อย่างนี้เรียกว่า "เทศนาปาฏิหาริยะ"
    การแสดงพระธรรมเทศนาด้วยอำนาจพระพุทธปาฏิหาริย์ ถ้าจะถามว่าบรรดาพระสาวกทั้งหลายทำได้ไหม ก็ต้องตอบว่า ยังไม่เคยเห็นใครทำกัน ท่านจะทำได้หรือไม่ได้เป็นวิสัยของท่าน เกินวิสัยที่พ่อจะรู้เหมือนกัน ถ้าหากว่าบังเอิญจะบอกว่ารู้ มันก็ไม่ใช่รู้จริงเป็นการเดา เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปลงพระทัย ว่าจะนิพพานระหว่างนางรังทั้งคู่ ที่เมืองกุสินารามหานคร ความจริงเป็นนครที่มีบริเวณเล็กจิ๋วนิดเดียว ในเวลานั้นร่างกายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีโรคเข้ามาเบียดเบียน รู้สึกซูบผอมลงไป ผิวก็คล้ำลง พระพุทธเจ้าไม่มีพระพุทธประสงค์จะทะนุบำรุงร่างกาย ไม่สนใจทั้งหมด
    ตอนนี้สมเด็จพระบรมสุคตสนใจอย่างเดียว คือเทศน์ทิ้งทวน หมายถึงว่าเทศน์เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อสุดท้ายปลายมือก็ว่ากันแต่เนื้อ ๆ อธิบายเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ให้บรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าใจชัด เป็นการลัดตัดทางเพื่อมรรคผลทางนิพพาน คือความเป็นอรหันต์ ในขณะที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารไม่อยู่ หมอประจำพระองค์ขององค์สมเด็จพระบรมครู คือท่านอาชีวกโกมารภัจก็ไม่อยู่เหมือนกัน ไม่ทราบว่าไปไหน เมื่อกลับมาทราบว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรง
    ประชวร ก็เข้าไปทูลถามอาการ เพื่อจะถวายพระโอสถ แต่ปรากฏว่าองค์ศมเด็จพระบรมสุคตไม่ทรงบอกอาการ ถามแล้วก็ทรงนิ่งเฉยอยู่ หมออาชีวโกมารภัจ ก็รู้สึกน้อยใจเหมือนกัน
    แต่ว่ามีความกตัญญูในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก จึงได้ปรุงยาขึ้นขนานหนึ่ง คิดว่าถ้าพระพุทธเจ้าเสวยยาขนานนี้แล้ว เราจะได้รู้ทันทีว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์เป็นโรคอะไร เมื่อเสร็จแล้วก็นำไปถวายสมเด็จพระจอมไตรพระองค์ก็ไม่ทรงรับ ทรงคว่ำพระหัตถ์เสีย ท่านโกมารภัจก็เสียใจ คิดว่าถ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรฉันยาขนานนี้ เราจะรู้อาการโรค แล้วก็จะถวายยาเพียงครั้งเดียวโรคก็หาย ความจริงองค์สมเด็จพระประทีปแก้วอาจจะรู้ว่าท่านโกมารภัจทำได้ แต่องค์สมเด็จพระจอมไตรตัดสินพระทัยแล้วว่า พระองค์จะทรงนิพพานกลางเดือนหก แล้วเรื่องอะไรจะฉันยา
    สำหรับทุกขเวทนาในร่างกายของพระองค์นั้นมี ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไม่รู้จักเจ็บ ไม่รู้จักปวด แต่พระองค์ก็ทรงใช้ อภิวาสนขันติ คือความอดทนอย่างยิ่ง เป็นการระงับทุกขเวทนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การระงับทุกขเวทนาทรงใช้อานาปานสติกรรมฐาน เมื่อท่านหมออาชีวกโกมารภัจถวายยาองค์สมเด็จพระพิชิตมารไม่ทรงรับ จะให้ใครกินก็เห็นว่าไม่สมควร เพราะเป็นยาเฉพาะพระพุทธเจ้า จึงเอาไปใส่ในบ่อน้ำ บ่อน้ำท่านบอกว่าเวลานั้นน้ำลึกมากอยู่ก้นบ่อพอใส่ยาลงไปก็มีเหตุอัศจรรย์ น้ำฟูขึ้นไปเลยปากบ่อขึ้นไปในอากาศประมาณ ๗ ชั่วลำตาล นาน ๆ เข้ามันก็อดงอกแบบนี้ไม่ได้
    เป็นอันว่า หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ทรงเทศน์เป็นลำดับ ทำให้คนและพระบรรลุมรรคผลเป็นอันมาก เพราะมักจะชี้ตัวอย่างที่พระวรกายขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระองค์เองถึงแม้ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า แต่เรื่องขันธ์ ๕ ก็ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า ทั้งนี้เพราะขันธ์ ๕ ก็มีการเสื่อมไปทุกวัน ๆ ในที่สุดวันกลางเดือนหกมันก็จะพัง ทรงชี้ให้เห็นชัด บรรดาท่านพุทธบริษัทบางท่านที่เป็นปุถุชนก็ทนไม่ไหว ถึงกับร้องไห้สงสารองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    สำหรับท่านที่เป็นพระอริยะก็ปลงธรรมสังเวช ว่า โอหนอองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์บำเพ็ญบารมีมาถึงเพียงนี้ แต่ว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ไม่ได้ชนะขันธ์ ๕ ในเรื่องที่มันจะพัง ฉะนั้นในเมื่อพระพุทธเจ้าทรงเป็นอัจฉริยมนุษย์ เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐกว่าคนทั้งปวง กว่าเทวดา และพรหม ก็ยังไม่สามารถฝืนกฎธรรมดาของโลก กล่าวคือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของขันธ์ ๕ ได้ฉันใด และพวกเราทั้งหลายจะสามารถทรงกายอยู่ได้อย่างไร ในไม่ช้าก็ต้องตายเช่นเดียวกัน เรื่องนี้ลูกรัก เป็นเหตุให้คนบรรลุมรรคผลง่ายขึ้น เป็นอันว่า เป็นประโยชน์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศว่าจะนิพพานอีก ๓ เดือน ไม่ใช่หมายความว่าเป็นเรื่องบอกปกติธรรมดา รวมความว่าองค์สมเด็จพระมหามุนีต้องการจะรวมคนที่มีบารมีแล้ว ก็ยังรอองค์สมด็จพระทีปแก้วแสดงธรรมเทศนามาสงเคราะห์เท่านั้น ท่านพวกนั้นก็จะได้มรรคได้ผล
    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระทศพลจึงประกาศไปตามนั้น วันเวลาใกล้เข้ามา คนและพระก็มากเข้ามาทุกที เมื่อถึงเวลาวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ ลูกรักทั้งหลาย เวลาที่กำลังฟังพ่อพูดอยู่นี่นะ ลูกก็พยายามเอาใจนึกไปด้วย ใช้ความรู้ที่ลูกมีอยู่ตามไปด้วย ดูสภาพสรีระขององค์สมเด็จพระบรมครู
     

แชร์หน้านี้

Loading...