เมื่อหลวงปู่ปานเรียนหมอจากหลวงพ่อสุ่น

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 22 สิงหาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    [​IMG]
    ปรากฏว่ารุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง หลวงพ่อสุ่นกำลังรับแขกอยู่ แขกของหลวงพ่อสุ่นก็คือแขกคนไข้ คนไข้มาให้ท่านรักษาโรค เออ จะพูดถึงการรักษาโรคของหลวงพ่อสุ่น ไว้ก่อนนะ เพราะหลวงพ่อปานท่านก็เรียนมา ยาของท่านมีอยู่ ๒ ขนาน คือ ใบมะกากับข่า ๑ ขนาน ใบมะกาและหญ้าแพรก ๑ ขนาน บอกขนาดไว้ก็ได้ อีตอนนี้ฉันรู้ ท่านใช้ข่า ๔ ตำลึง แล้วก็ใบมะกา ๔ ตำลึง ใส่ลงไปในหม้อ เอาน้ำใส่ลงไป สวดอิติปิโสภควาไปทั้ง ๓ ห้อง แล้วก็ยาใบมะกากับหญ้าแพรกอีกขนานหนึ่ง สวดด้วยอิติปิโสเหมือนกัน เสกด้วยอิติปิโสเท่านั้นไม่มาก ยาใบมะกากับข่าสำหรับไว้รักษาโรคคนผู้หญิงที่ไม่มีครรภ์ หรือว่าคนไข้จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตามที่ไม่ปวดศรีษะ ถ้าเขาไม่มีครรภ์ ไม่ปวดศรีษะ ก็ให้กินยาใบมะกากับข่า หรือถ้าคนไข้หญิงมีครรภ์หรือว่าปวดศรีษะ ให้กินยาใบมะกากับหญ้าแพรก ยามี ๒ ขนาน เท่านั้น ถ้าหมอนิดอยากจะเป็นหมออย่างนี้บ้างก็ใช้ได้ ว่าอิติปิโสเสียให้คล่อง เวลาเขาเอายามาให้แล้วก็เอาธูปเทียนปักลงไป น้ำใส่ลงไป เวลาหลับตาลงไปให้เห็นภาพหม้อยา แล้วตั้งใจอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหมและเทวดาครูบาอาจารย์ทั้งหมด มีหลวงพ่อปานเป็นที่สุด อธิษฐานว่าขอให้ยานี้รักษาโรคนั้นให้หาย แล้วก็ว่าอิติปิโส ตามชอบใจ เวลาไปก็ให้ใจนั้นมองเห็นหม้อยานั้นให้แจ่มใสนะ ถ้าใจเห็นหม้อยาไม่แจ่มใส โรคนั้นหายยาก ยาขนานนั้นไม่ค่อยศักดิ์สิทธิ์ ถ้าใจเห็นหม้อยานั้นแจ่มใส ยาขนานนั้นศักดิ์สิทธิ์ ดีไม่ดีหม้อเดียวโรคหายเลย

    อีกอย่างหนึ่งท่านเป็นหมอน้ำมนต์ อีกอย่างหนึ่งท่านก็ใช้คาถาสับกระดาน โก๊กๆๆ ว่าคาถาไปด้วย คนไข้ก็ดิ้นกันตึงตังๆๆ อย่างนี้เรียกว่าคาถาเรียกลม นี่ก็อีกคาถา นะ มะ พะ ธะ ถอดกันไปถอดกันมาฉันว่าไม่ไหว ฉันไม่ได้เรียนหรอก ฉันย่องไปเปิดตำราของหลวงพ่อปานดูแล้วไม่เห็นมีอะไร วิธีตรวจโรคคนไข้ที่จะมารักษาโรคจากท่าน ท่านมีตำรา มีวิธีตรวจโรค คือ เสกหมากให้กิน หมากจะมีรสหวาน รสเปรี้ยว รสขม รสเฝื่อน รสยัน ร้อนหูร้อนหน้า ถ้ามีอาการอย่างนี้ท่านจะรู้เลยว่าคนนี้เป็นโรคอะไร ถ้ากินไปแล้วหมากมีอาการปกติเป็นโรคธรรมดา ถ้าเป็นโรคธรรมดาท่านก็อยากจะรู้ว่าเป็นโรคอะไร เป็นโรคไทฟอยด์ เป็นมาเลเรียหรือว่าเป็นโรคพวกมดลูกหรืออะไรก็ตามนะ ท่านก็ใช้อำนาจอาโลกกสิณเข้าไปพิสูจน์ดูไข้ภายใน ท่านจะเห็นไข้ ท่านบอกว่าเห็นแจ่มใสแล้วก็ให้ยา รดน้ำมนต์ เรียกสับ เวลาเสกยาก็อธิษฐานขอให้ยานี้รักษาโรคนั้นโดยเฉพาะให้หายไปเดี๋ยวนี้ หมอนิดชอบใจไหมล่ะ ถ้าชอบใจก็จำเอาไว้นะ จุดธูปจุดเทียนขอจากท่าน ฉันไม่ได้เรียนจากท่านหรอก ขี้เกียจ ฉันขี้เกียจเรียน ฉันไม่เอาหรอก แต่ว่าจำมาได้คร่าวๆ เป็นขโมยดูตำราท่าน ฉันเป็นคนดีที่ไหนล่ะ นักขโมยนะ พ่อขโมยดะ เผลอไม่ได้ หลวงพ่อปานเผลอไม่ได้หรอก เรื่องตำรานี้ไม่มีใครกล้าแตะต้องของท่าน มีฉันคนเดียวขโมยเปิดดู เป็นเรื่องของฉัน แล้วท่านเคยว่าต่อหน้าแขกมากๆว่า อ้ายลิงดำนี่ มันขโมยเก่งนัก อะไรเผลอไม่ได้ แล้วแถมคุยกับเขาเสียด้วยซิว่า มันไม่ได้ขโมยแต่ชาตินี้ชาติเดียวนะ หลายร้อยชาติแล้ว ฉันเผลอไม่ได้ เคยเป็นลูกฉันนะ เผลอมันเป็นขโมยเด็ด ประกาศต่อหน้าประชาชนเสียด้วย นี่ขโมยมีเกียรตินะ ขโมยมีศักดิ์ศรี แต่ผู้ถูกขโมยไม่ว่าอะไร พอชาวบ้านเขาถามว่า ท่านลิงดำนี่ขโมยแล้วหลวงพ่อว่าอะไรบ้างไหม ช่างมัน วิสัยมันชอบขโมยก็ให้มันขโมยไป มันไม่เป็นเวรเป็นภัยแก่ใครนี่ ชอบลองอย่างเดียว ไม่เอาจริง ไม่ว่าอะไรถ้ามันลองได้แล้วเลิก มันทำเป็นผลตามที่มันคิด ตามที่เขียนไว้ ตามตำรา พอทำได้แล้วมันเลิก มันไม่เป็นเวรเป็นภัยกับใคร ก็เลยหมดเรื่องกันไป

    นี่ก็ว่ากันถึงวิชาหมอนะ ว่าให้ฟัง แล้วต่อมาหลังจากวันรุ่งขึ้นจากหลวงพ่อสุ่นเรียกหลวงพ่อปานไปถามเรื่องสะเดาะกุญแจ นี่เรามาทวนหลังกันใหม่นะ อีตอนนั้น วันนั้น แขกมาหา ปรากฏว่าน้ำในตุ่มไม่มี น้ำในตุ่มที่สำหรับทำน้ำมนต์น่ะไม่มีแล้ว หลวงพ่อสุ่นท่านก็เรียกหลวงพ่อปานเข้าไป กำลังเป็นนาค ว่า ปานเอ๊ย ปานมารดน้ำมนต์ให้คนไข้ทีเถอะ หลวงพ่อปานท่านเดินเข้าไปแล้วท่านก็กราบ พอกราบเรียนหลวงพ่อสุ่นว่าน้ำในตุ่มไม่มีขอรับ เมื่อกี้ผมไปดูแล้ว ประเดี๋ยวผมจะไปตักน้ำมาใส่ตุ่มก่อน ท่านก็ลุกขึ้นคว้าหาบคว้าถัง ๒ ลูก ใส่คานจะไปหาบน้ำจากท่าน้ำ หลวงพ่อสุ่นท่านก็โบกมือพูดว่า ปานเอ๊ย ไม่ต้องตักหรอกลูกเอ๊ย น้ำพ่อตักมาแล้ว พ่อตักใส่ตุ่มเต็มแล้ว อีตอนนี้ชักยุ่ง ท่านว่าเข้าไปดูอยู่ตะกี้นี้ประเดี๋ยวเดียว เห็นอยู่แล้วว่าน้ำในตุ่มมันไม่มี พอแขกเขามาก็ย่องไปดูน้ำในตุ่มเห็นว่าไม่มี ก็เตรียมหาบเอาไว้ คิดว่าท่านสั่งจะได้ลงไปตักทันที เพราะรดน้ำมนต์นี่ ตอนหลวงพ่อปานเป็นนาค ดูจะเป็นภาระเป็นตำแหน่งจะต้องทำเป็นหมอรดน้ำมนต์ แลเห็นอยู่แล้วว่าน้ำไม่มี แล้วท่านว่าน้ำมี ก็เลยเดินไปดู ก็ปรากฏว่าน้ำเต็มตุ่ม ก็ชักแปลกใจมากๆ อีตอนนี้น้ำเต็มตุ่มแล้ว หลวงพ่อสุ่นบอกว่า พ่อตักไว้แล้วตักเมื่อกี้นี้เอง หลวงพ่อปานบอกว่า เราก็นั่งดูท่านอยู่ ไม่เห็นท่านไปไหน ท่านบอกว่าท่านตักน้ำไม่มี ท่านนั่งอยู่ตรงนั้น คุยอยู่กับแขก ฉันก็นั่งอยู่ไม่ไกลนัก เวลาท่านบอกว่าตักน้ำไม่เห็นท่านลุกไปไหน ปรากฏว่าน้ำมี อันนี้แปลกใจ แล้ววันนั้นก็รดน้ำมนต์กันไปประมาณ ๕๐ คน น้ำในตุ่มยุบลงไปไม่ถึงคืบ ตุ่มลูกนั้นไม่โต เป็นตุ่มเล็กๆ หากจะรดกันจริง ๔ คนหมดตุ่มกระถางเล็กๆ แต่วันนั้นแขกตั้ง ๕๐ คน ยุบลงไปไม่ถึงคืบ เป็นเรื่องอัศจรรย์ พอแขกไปหมดแล้ว หลวงพ่อสุ่นก็เรียกหลวงพ่อปานเข้าไป บอกว่า ปานเอ๊ย เอ็งแปลกใจหรือลูก แปลกใจหรือว่าน้ำในตุ่มมันมาได้อย่างไร หลวงพ่อปานบอกว่าแปลกใจขอรับ ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไรปาน เรื่องนี้เป็นเรื่องของพระนะลูกนะ พระที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานี่ ถ้ามีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าจริงๆ ทำอะไรก็ได้นะ อ้ายเรื่องน้ำนี่ไม่ต้องเดินไปตักก็ได้ ที่พ่อบอกว่าตักน่ะ พ่อเอาใจตัก เอาเข้านั่น นี่เรื่องมันยุ่งกันใหญ่ ท่านว่าเอาใจไปตักน้ำ ท่านว่าท่านไม่ได้เอาถังของท่านลงไปตักหรอก เป็นยังไงลูกหลานที่รัก แปลกใจไหม พระแก่เอาใจตักน้ำได้ แล้วท่านก็บอกว่าปานอยากจะได้ไหมคาถาตักน้ำนี่ หลวงพ่อปานบอกว่าอยากได้ เรื่องอยากได้คาถาตักน้ำเป็นเรื่องไม่อัศจรรย์ แล้วปานอยากจะเรียนหมออย่างหลวงพ่อไหมล่ะ เรียนหมอนี่มันดีนาลูกนา เราได้มีโอกาสสงเคราะห์คน หมอของเรานี่เวลาจะยกครูต้องใช้เงิน ๖ บาท หัวหมูบายศรีซ้ายขวา แต่เวลาจะรักษาเขาจะเรียกเขาไม่ได้นะ อ้ายเงิน ๖ บาทนี่ พอปีหนึ่งเรายกครูครั้งเดียว เราหาของเราเองเราหาได้ ต้องรักษาด้วยอำนาจเมตตาจิตนะ เธอจะทำได้ไหมเล่า หลวงพ่อปานท่านบอกว่าท่านรักอยู่แล้ว บอกว่าทำได้ขอรับ หลวงพ่อสุ่นก็หัวเราะ ก็เลยบอกว่า พ่อรู้ว่าเจ้าต้องการละเจ้าทำได้ ปานเอ็งน่ะมีคนเดียวนะ พ่อบวชพระมาหลายร้อยองค์แล้ว วิชาความรู้ที่พ่อมีอยู่นี่พ่อไม่สามารถจะถ่ายทอดให้ใครได้หมด มีเอ็งคนเดียวเท่านั้นที่พ่อคิดจะถ่ายทอดให้ได้ ตั้งแต่เอ็งยังเป็นเด็กๆ ที่พ่อเอ็งพามาหา พอมองเห็นหน้าแล้ว พ่อคิดว่าเอ็งพอบวชแล้วพ่อจะต้องเอาเอ็งมาอยู่ด้วย มีคนเดียวที่พอจะถ่ายทอดความรู้ความสามารถที่พ่อมีอยู่ได้ หลวงพ่อปานปลื้มใจ หลวงพ่อสุ่นก็ว่า เอายังงี้ก็แล้วกันนะลูกปานนะ ก่อนที่จะเรียนหมอ เราก็ขึ้นต้นทำใจกันเสียก่อน เพราะว่าหมอของเรานี่น่ะ เราใช้กำลังใจเป็นสำคัญ เราไม่ได้ใช้วัตถุว่าพวกพระนี่ไม่มีทรัพย์ไม่มีสิน ไม่มีเงินมาทองมาซื้อเครื่องไม้เครื่องมือเหมือนหมอหลวงเขา หมอหลวงเขามีเงินงบประมาณรัฐบาลให้ อ้ายเรานี่มันเงินชาวบ้าน ชาวบ้านก็เป็นคนจน เราจะไปกะเกณฑ์ว่าคนนั้นเอาเงินมาเท่านั้น คนนี้เอาเงินมาเท่านี้ แล้วก็ไม่มีใครสามารถหาเอามาให้ได้หรอก คือเราต้องใช้ทางใจ พระพุทธเจ้าท่านสอนกำลังทางใจไว้ ถ้าเรามีกำลังทางใจเสียอย่างเดียวนะ อะไรๆเราทำได้หมด แล้วท่านก็ถามอีก ปานเอ๊ย เอ็งเห็นอ้ายพวกทำโบสถ์ไหม อีตอนที่หลวงพ่อปานเข้าไปเป็นนาคน่ะ ช่างกำลังทำโบสถ์ จวนจะเสร็จอยู่แล้ว หลวงพ่อปานพบเขาเหมือนกัน ท่านก็บอกว่าเห็น เอ็งรู้ไหมว่าพวกทำโบสถ์มันกินปลาที่ไหน เขากินปลาในสระขอรับ หลวงพ่อปานถามว่าเขากินปลาในสระไม่บาปหรือ ไม่บาปหรอก หลวงพ่อสุ่นท่านว่าอย่างงั้น บอกว่าไม่บาป ก็พ่อเอาใบไม้ทำปลาให้มันกิน ทีแรกมันซื้อหมูกิน พ่อสงสารมันเลยเอาใบไม้ทำปลาไว้ในสระให้มันกินกัน มันกินกันจนขี้เขียวเลย อ้ายปลาประเภทนี้มันเป็นปลาที่พ่อเสกใบไม้ให้มันเกิดขึ้น กินยังไงมันก็ไม่บาป รสชาติมันอร่อยเสียยิ่งกว่าปลาธรรมดาเสียอีก เออเอ็งอยากได้ไหมคาถาบทนี้ หลวงพ่อปานก็บอกว่าอยากได้ ท่านเลยบอกว่าไม่เป็นไร พ่อให้หมด พ่อบอกแล้วนี่ ไม่มีอะไรที่พ่อจะหวงลูก ไม่มีอะไรที่จะกีดกัน สิ่งไรที่พ่อมีอยู่พ่อให้หมด เอายังงี้ก็แล้วกัน ก่อนจะทำอย่างนั้นเราต้องเริ่มต้นวางพื้นฐานกันเสียก่อน หลวงพ่อปานก็ถามว่าวางพื้นฐานอย่างไร วางพื้นฐานด้านกำลังใจซิ เราต้องสร้างกำลังใจกันเสียก่อนถึงจะเป็นหมอได้ เสกใบไม้ให้ปลาก็ได้ ตักน้ำด้วยใจก็ได้ เอ็งเอาไหมล่ะ เอาเทียนหนักบาทมา ๕ เล่ม ธูป ๕ ดอก ดอกไม้ ๕ กระทง ข้าวตอก ๕ กระทง พ่อจะให้เรียน เรียนวิชาหมอกัน
    นี่ลูกหลานลองคิดดูนะ นี่หลวงพ่อสุ่นสอนวิชากรรมฐานหลวงพ่อปานนะ แต่ว่าหลวงพ่อปานชอบหมอ ชอบมีฤทธิ์ ท่านเลยไม่บอกว่ากรรมฐาน บอกว่าเป็นคาถาหมอ คาถามีฤทธิ์ นี่เป็นความฉลาดของพระรุ่นเก่า เรียกว่าท่านปฏิบัติตามแนวพระพุทธเจ้าจริงๆ สมัยพระพุทธเจ้าน่ะ ท่านไปพบใครเขาชอบอะไรเข้าท่านก็จะสอนวิชานั้นให้เขา แต่ความจริงเป็นกรรมฐาน อย่างพวกชฏิลบูชาไฟ ท่านเห็นเข้าท่านบอกว่าการบูชาไฟน่ะเป็นการดีๆ มาก ท่านไม่ตำหนิของเขาว่าเลวนะ ดี แต่นี่ยัง แต่ยังเป็นไฟภายนอก ควรจะบูชาไฟภายใน แล้วท่านก็ยกกิเลสขึ้นมาเป็นไฟ ราคัคคิ ไฟคือราคะ โทสัคคิ ไฟคือโทสะ โมหัคคิ ไฟคือโมหะ นี่ท่านไม่ได้ไปเที่ยวลบล้างใครเขา คนที่เขามีความคิดอะไรอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วเราก็ไปชมความคิดของเขาว่าดี แล้วเราเอาสิ่งที่ดีกว่าแทรกเข้าไป อย่างนี้ฉันว่ามันดีกว่าไปหักล้างความต้องการเดิมของเขาอย่างที่เขาคิดว่าการยกศาลพระภูมิเป็นของดีนี่แหละ ก็มีเพื่อนฉันหลายคนไปเที่ยวว่าเขาว่าไม่ควรจะไปยกศาลพระภูมิ ไม่เป็นเรื่องไม่เป็นราว นี่ฉันก็ไม่เห็นด้วยเหมือนกัน ฉันคิดว่าเจ้าเพื่อนของฉันนี่มันฉลาดมากเกินไป แต่ความจริงถ้ามันจะบอกว่าพระภูมินี่เป็นเทวดา เขาเป็นเทวดา เขาสามารถมีอำนาจเหนือเรา เขาควบคุมเราได้ เขาลงโทษเราได้ แต่หากว่าเราอยากจะเป็นเทวดาบ้างก็ทำตนอย่างพระภูมิ คือ ปฏิบัติให้มีหิริและโอตตัปปะ คือ อายความชั่ว เกรงความชั่ว สร้างความดี ต่อไปเขาก็จะเป็นเทวดาอย่างพระภูมิบ้าง เราจะมีโอกาสเข้ามาควบคุมมนุษย์บ้าง อย่างนี้จะดีกว่า นี่ตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้านะ การหักล้างไม่เป็นเรื่อง แต่ความจริงใครเขาจะบูชาพระภูมิ ใครเขาจะบูชาเจ้า ฉันไม่ตำหนิเขา ฉันว่าเขาทำดี ดีเพราะอะไร ดีเพราะเขายังรู้จักบูชา จิตใจเขายังรู้จักนอบน้อม รู้จักมีเคารพ คนประเภทนี้เป็นคนดีแล้วนี่ ถ้าเราจะให้เขาดียิ่งกว่านั้น เราก็เอาความดีอื่นแทรกเข้าไปซิ อย่าไปล้างความดีของเขา ถ้าล้างความดี ถ้าเขาเหลือแต่ความไม่ดี ทีนี้เราจะเอาของดีไปให้เขาได้ยังไง นี่เป็นความคิดโง่ๆ ของพระแก่ๆ อย่างฉันนะ ฉันเป็นคนแก่แล้วฉันก็โง่ หลวงพ่อสุ่นท่านมีความฉลาด เรียกได้ว่าลอกแบบฉบับของพระพุทธเจ้า ไม่หักล้างน้ำใจคน ในเมื่อหลวงพ่อปานชอบฤทธิ์ชอบเดช ท่านก็สอนกรรมฐานให้ แต่ท่านไม่บอกว่าเป็นกรรมฐาน บอกว่าเป็นพื้นฐานของความเป็นหมอ เป็นพื้นฐานของความเป็นผู้มีฤทธิ์ เอากะท่านซี

    ที่มา ประวัติหลวงปู่ปาน และ http://thaisquare.com/Dhamma/book/prawat_luangpopan/content.html#
     

แชร์หน้านี้

Loading...