เทศน์วันสงกรานต์ วันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 14 เมษายน 2025.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,532
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,724
    ค่าพลัง:
    +26,583
    เทศน์วันสงกรานต์ วันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘


    https://www.youtube.com/live/e9ebYj_NDPI เทศน์เริ่มนาทีที่ ๕๘.๐๐

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย ติฯ

    ณ บัดนี้ อาตมภาพรับหน้าที่วิสัชชนาในปุญญกถา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา เพิ่มพูนบารมี เสริมสร้างกุศลบุญราศีแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ซึ่งพร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศล ณ วัดท่าขนุนแห่งนี้

    ญาติโยมทั้งหลาย คำว่า "สงกรานต์" นั้นคือ การตัด หรือว่า ข้ามผ่าน คือ..เป็นวันที่พระอาทิตย์ข้ามผ่านจากราศีมีนสู่ราศีเมษ จัดว่าเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของฤดูกาลในบ้านเรา ซึ่งความจริงแล้วแต่โบราณมาเรานับเอาวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ เป็นวันขึ้นปีใหม่

    มาภายหลังวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ นั้นมีช้ามีเร็ว..มีก่อนมีหลัง ทางราชการจึงกำหนดให้วันที่ ๑๓ เมษายนเป็น "วันปีใหม่" หรือว่า "วันสงกรานต์" ก็แปลว่า มีการผิดเพี้ยนกันไปหลายวัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,532
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,724
    ค่าพลัง:
    +26,583
    แต่ด้วยเหตุที่ว่า..ทางโหราศาสตร์ของเรายังถือจันทรคติ คือ การขึ้น-แรม เป็นปกติ ดังนั้นบุคคลที่เกิดภายในวันที่ ๒๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ จึงยังไม่นับเป็นปีมะเส็ง ยังจัดว่าเป็นปีมะโรงอยู่ ต้องวันที่ ๒๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ซึ่งเป็นวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๕ จึงจะเริ่มนับว่าเกิดปีมะเส็ง

    แต่ในสมัยนี้พวกเราก็มักจะนับวันที่ ๑ มกราคม เป็นปีเกิดใหม่ ซึ่งเพี้ยนจากความเป็นจริงไปอย่างน้อยก็ ๓ เดือน ดังนั้นถ้าหากว่าเราไปแจ้งว่า เราเกิดปีมะเส็ง ทั้ง ๆ ที่เป็นปีมะโรงอยู่ การที่ไปพึ่งพาโหราศาสตร์หรือหมอดูก็จะมีการผิดเพี้ยนผิดพลาดได้ง่าย เนื่องเพราะว่าการศึกษาโหราศาสตร์นั้น ถ้าเป็นไปโดยลึกซึ้งแล้ว นอกจากวัน-เดือน-ปีเกิด ยังต้องการเวลาเกิดและสถานที่เกิดด้วย

    เพียงแต่ว่าการศึกษาโหราศาสตร์ที่ครอบคลุมละเอียดถึงขนาดนั้น ในปัจจุบันนี้เท่าที่กระผม/อาตมภาพศึกษาดู ในประเทศไทยของเราเหลือแต่โหราศาสตร์ระบบสิบลัคนาเท่านั้น นอกนั้นก็ขาดบ้างเกินบ้าง คำว่า "ขาด" ก็คือ..ส่วนใหญ่ถ้าเป็นตำราไทยก็จะขาด แต่ในส่วน "เกิน" ก็คือ..ไปเอาตำราจีนมาบ้าง ตำราอินเดียมาบ้าง แม้กระทั่งระบบยูเรเนียนของยุโรปก็มีมาด้วย จึงทำให้มีทั้งขาดและเกิน โอกาสที่จะถูกต้องอย่างแท้จริงจึงเป็นไปโดยยาก
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,532
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,724
    ค่าพลัง:
    +26,583
    เพียงแต่ว่า..ในเรื่องของสงกรานต์หรือว่าปีใหม่ไทย ในอดีตของเรามาก็ผูกพันกับระบบทางจันทรคติ หรือว่าในเรื่องของโหราศาสตร์-ดาราศาสตร์..เมื่อพระอาทิตย์ยกย้ายจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษซึ่งเป็นฤดูร้อน ก็มีการกำหนดให้มีการรดน้ำดำหัวเป็นประเพณีขึ้นมา ภายหลังก็เปลี่ยนค่านิยมเป็นการสาดน้ำกัน

    ประการแรกก็คือ ช่วยให้คลายร้อน ประการที่สอง..ความจริงเป็นสิ่งที่งดงามที่สุดก็คือ การไปแสดงออกซึ่งความเคารพต่อผู้ใหญ่ แต่ในปัจจุบันของเราไม่ค่อยจะเน้นกันตรงคุณงามความดี ไปเน้นในเรื่องของความสนุกสนานเฮฮาอย่างเดียว กลายเป็นลดคุณค่าในวัฒนธรรมประเพณีของเราไปอย่างน่าเสียดาย

    แต่ว่า..ในประเพณีส่วนหนึ่งนั้นเราก็เอาจากพราหมณ์มาปรับเป็นพุทธ ก็คือ ให้มีการทำบุญใส่บาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรม เจริญพระพุทธมนต์ ถวายสังฆทาน เหล่านี้เป็นต้น ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าเรื่องของขนบธรรมเนียมประเพณีมีการรับเอามาจากชาติต่าง ๆ แล้วก็ดัดแปลงไปให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมประเพณีเดิม ๆ ของตนเอง จนกลายเป็นสงกรานต์แบบไทยขึ้นมา
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,532
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,724
    ค่าพลัง:
    +26,583
    คราวนี้เนื้อหาสาระที่สำคัญก็คือว่า..บรรพบุรุษของเรานั้นเน้นในเรื่องของกองบุญการกุศล จึงได้มีการสร้างบุญสร้างกุศลอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน บุคคลที่เคร่งครัด..ตั้งแต่ก่อนนอนก็กราบหมอน-กราบพระ รำลึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ก่อน..แล้วถึงได้เข้านอน

    ตื่นขึ้นมาก็กราบหมอน-กราบพระ สวดมนต์..จนกำลังใจทรงตัว บางคนก็นั่งสมาธิภาวนาต่อด้วย แล้วถึงได้ไปล้างหน้าล้างตา แต่งตัว เข้าครัวทำกับข้าวกับปลาไปรอใส่บาตรหน้าบ้าน ถ้าหากว่าเป็นวันโกน วันพระ ก็มีการหิ้วปิ่นโตเข้าวัด

    ดังนั้น..ในเรื่องของการสั่งสมบุญกุศล จึงเป็นเรื่องที่บรรพบุรุษของเราได้กระทำต่อเนื่องมายาวนาน
    เพราะความไม่ประมาท ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ ก็คือ การเวียนว่ายตายเกิดแต่ละชาติแต่ละภพนั้น ถ้าขาดบุญขาดกุศลเสียแล้ว ก็จะประสบพบแต่ความทุกข์ยากลำบากต่าง ๆ นานา

    ท่านทั้งหลายก็จะเห็นว่า บุคคลที่ยากจนแทบไม่มีอะไรจะกินก็มี ต้องลำบากทุกข์ยากพิกลพิการก็มี นั่นก็คือ การสร้างกรรมในอดีตไว้มาก แต่สร้างบุญเอาไว้น้อย

     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,532
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,724
    ค่าพลัง:
    +26,583
    ดังนั้น..บรรพบุรุษของเราจึงตั้งหน้าตั้งตาสั่งสมบุญกุศล ในทาน ในศีล ในภาวนา เรื่องของทานนั้นก็มีปกติใส่บาตรกันอยู่ทุกวัน เรื่องของศีลนั้นมีการรักษาศีล ๕ เป็นปกติ ถ้าหากว่าเป็นวันพระก็เพิ่มศีลอุโบสถเข้ามา พอเริ่มอายุมาก ๔๐ กว่า ๕๐ ปีก็เริ่มไปถือศีลอุโบสถเป็นโยมวัด ปล่อยวางภาระหน้าที่ต่าง ๆ ให้ลูกหลานรับผิดชอบกันเอง ตนเองเพียงแต่อยู่เป็นมิ่งขวัญกำลังใจและสั่งสมบุญ เพื่อหนทางในการข้ามวัฏสงสารของตนเอง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น..เราท่านทั้งหลายในปัจจุบันนี้จึงนับว่าเป็นผู้ประมาทมาก เพราะว่าไม่ค่อยที่จะสร้างบุญสร้างกุศล

    การสร้างบุญสร้างกุศลก็ยังสร้างบาปไปในตัวด้วย อย่างเช่นว่า การใส่บาตร..จิตใจก็ไม่ได้มุ่งอยู่ในเรื่องของทาน เรื่องของการสละออก แต่ว่าไปเซลฟี่บ้าง ไปไลฟ์สดบ้าง มุ่งอยู่ตรงที่จะอวดคนอื่นว่าเราทำความดี หรือว่าการรักษาศีล..ก็ไม่ได้สนใจที่จะรักษา เนื่องเพราะเห็นว่าในเรื่องของการรักษาศีลนั้นเป็นเรื่องโบราณ ไม่ทันสมัย

    ในเรื่องของการเจริญภาวนาก็ไม่ค่อยจะปฏิบัติ จึงเป็นบุคคลที่กำลังใจน้อย ถึงเวลาก็ไหลตามกระแสโลกไปได้ง่าย โดนคนชักชวนไปในทางที่ไม่ดี ก็ไม่มีกำลังที่จะหักห้ามตนเอง จึงกลายเป็นความวุ่นวายในสังคมไทยอยู่ในปัจจุบันนี้

     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,532
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,724
    ค่าพลัง:
    +26,583
    ดังนั้น..การที่ท่านทั้งหลายมาบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันสงกรานต์ที่วัดท่าขนุนของเรา ซึ่งเริ่มด้วยการใส่บาตร ตอนนี้เราก็มาสมาทานศีล และฟังธรรม อีกสักครู่หนึ่งยังมีการฟังการเจริญพระพุทธมนต์ ตลอดจนกระทั่งถวายภัตตาหารสังฆทาน จึงจัดว่าท่านทั้งหลายตั้งใจในการบำเพ็ญกุศลด้วยดี กระทำแบบผู้มีปัญญา ทำบุญที่เป็นบุญจริง ๆ

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้..เมื่อสะสมไปนานเข้าก็จะกลายเป็น "ปุพเพกตปุญญตา" คือ ผลบุญที่เราสร้างสมไว้ตั้งแต่ต้น..เมื่อรวมตัวกันมาก ๆ เข้า ผลกรรมก็แสดงออกได้น้อย

    เหตุเนื่องเพราะว่า..ถ้ากรรมเก่าที่เราได้ทำเอาไว้ เปรียบเสมือนอย่างกับเกลือที่มีความเค็ม แล้วเราสร้างบุญสร้างกุศลเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่สร้างกรรมใหม่ เหมือนกับเอาน้ำจืดเติมลงไปเรื่อย ๆ เกลือนั้นก็จะลดความเค็มลงไปทุกที เกลือไม่ได้หายไปไหน ยังคงมีจำนวนเท่าเดิม แต่น้ำจืดที่ท่วมทับมากเข้า ๆ ท้ายที่สุดเกลือก็ไม่สามารถจะแสดงความเค็มออกมาได้
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,532
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,724
    ค่าพลัง:
    +26,583
    ดังนั้น..การสร้างบุญสร้างกุศลจึงไม่ใช่การล้างบาป แต่เป็นการสร้างความดีให้มากกว่าความชั่ว จนกระทั่งเคยชินอยู่กับความดี ความชั่วไม่สามารถที่จะแสดงผลได้อีก จึงทำให้ชีวิตของเราก็จะประสบแต่สิ่งที่ดี ๆ เท่านั้น

    แต่ว่าบุคคลทั่วไปนั้น ก็มักจะสร้างคุณงามความดีบ้าง สร้างความชั่วบ้าง อยู่ในลักษณะ "ดีบ้างชั่วบ้าง" สลับกันไป ถึงเวลาที่บุญส่งผลเราก็มักจะเพลิดเพลินจนขาดสติ พอกรรมส่งผลเข้าก็ลำบากเดือดร้อนไปทั่ว ถ้าอยู่ในลักษณะนี้เรายิ่งต้องเร่งสั่งสมบุญกุศลสำหรับตนเองให้มากยิ่งขึ้น ไม่เช่นนั้นแล้ว ผลบุญที่มีน้อย ผลกรรมที่มีมาก ก็อาจจะส่งผลให้เราเดือดร้อนไปอีกนาน

    จึงมีพระบาลีที่กล่าวไว้ว่า "สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย" การสั่งสมบุญนั้นย่อมนำมาซึ่งความสุข เนื่องเพราะว่าบุญนั้นส่งผลให้เราในด้านดีโดยประการเดียวเท่านั้น
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,532
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,724
    ค่าพลัง:
    +26,583
    หลายท่านก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ เห็นคนทำความชั่วแล้วอยู่สุขอยู่สบาย เราก็ไปคิดว่า..ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป ความจริงบุคคลทั้งหลายเหล่านั้นเขากินบุญเก่าอยู่ ถ้าหากว่าบุญเก่าขาดช่วงลงไปเมื่อไร ต่อให้ร่ำรวยขนาดไหน เดี๋ยวก็อาจจะต้องรับโทษ ติดคุกติดตะราง หรือไม่ก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ไม่มีแผ่นดินจะอยู่..!

    เรื่องของบุญเรื่องของกรรมนั้นไม่ใช่ความเชื่อ แต่เป็นความจริงแท้ คือ เราทำอะไรก็ได้สิ่งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำไม่ช้าก็เร็วย่อมส่งผลให้เกิดแก่ตัวเรา ดังนั้น..ในเรื่องของพระพุทธศาสนาของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงสอนให้เราเชื่อกรรม เชื่อการส่งผลของกรรม เชื่อว่าการกระทำความดีความชั่วนั้นย่อมต้องได้รับผล เชื่อว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของเราเกิดจากกรรมเก่าที่ได้กระทำมาในอดีต

    ในเมื่อเป็นไปในลักษณะอย่างนี้ เราท่านทั้งหลายต่อให้ไม่เชื่อ แต่ถ้าหากว่าพินิจพิจารณาเอาโดยปัญญาที่พอมีอยู่ว่า สิ่งหนึ่งถ้าหากว่าเราทำแล้วเสมอตัวกับกำไร สิ่งหนึ่งเราทำแล้วเสมอตัวกับขาดทุน โดยปกติของพวกเราก็ต้องทำในสิ่งที่เสมอตัวและกำไร ดังนั้น..ต่อให้ท่านทั้งหลายไม่เชื่อเรื่องกรรม แต่ถ้าหากว่าท่านทำไปแล้วกรรมดีกรรมชั่วมีจริง ท่านก็ได้กำไร ถ้าไม่มีท่านก็แค่เสมอตัว แต่ถ้าท่านทำกรรมชั่วแล้วผลของกรรมมีจริง ท่านก็ขาดทุนย่อยยับ ถ้าไม่มีท่านก็แค่เสมอตัว

    ก็แปลว่าท่านทั้งหลายควรที่จะตั้งจิตของตนให้แจ่มใส ตั้งใจของตนให้เป็นสมาธิ จักได้มีสัมมาทิฏฐิ สามารถที่จะพิจารณาว่า สิ่งใดเป็นความดี สิ่งใดเป็นความชั่ว แล้วก็เลือกกระทำในสิ่งที่ดี ละเว้นในสิ่งที่ชั่ว ท้ายที่สุดผลดีทั้งหลายเหล่านั้น ก็ย่อมส่งผลให้เกิดความสุขแก่ตัวของท่านเอง
     
  9. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,532
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,724
    ค่าพลัง:
    +26,583
    อาตมภาพรับหน้าที่วิสัชชนามาในปุญญกถา คือ การสั่งสมบุญย่อมนำมาซึ่งความสุข ก็พอสมควรแก่เวลา

    ท้ายสุดแห่งพระธรรมเทศนา อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะเป็นประธาน มีบารมีของอดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน คือ หลวงปู่สาย อคฺควํโส เป็นที่สุด ได้โปรดดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายมีความปลอดภัยในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ แม้ว่าประสงค์จำนงหมายสิ่งหนึ่งประการใด ที่เป็นไปโดยชอบประกอบด้วยธรรมแล้ว ขอให้ความประสงค์ของทุกท่านจงสำเร็จสัมฤทธิ์ผล สมดังมโนรถปรารถนาทุกประการ โดยทั่วหน้ากันทุกท่านทุกคนเทอญ เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้


    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เทศน์วันสงกรานต์ ณ วัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)

     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...